ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 4 จากทั้งหมด 55 หน้า แสดงรายการที่ 61 - 80 จากข้อมูลทั้งหมด 1084 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 61 | รายงานผลการประชุมสมัชชาใหญ่สมัยสามัญขององค์การการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ ครั้งที่ 24 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | กก. | 15/03/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมสมัชชาใหญ่สมัยสามัญขององค์การการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ
(United Nations World Tourism
Organization : UNWTO) ครั้งที่ ๒๔ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง
เมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน-๓ ธันวาคม ๒๕๖๔ ณ กรุงมาดริด ราชอาณาจักรสเปน
โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม
มีสาระสำคัญ ได้แก่ (๑)
รับทราบผลการดำเนินงานขององค์การการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ (UNWTO) รวมทั้งกำหนดแนวนโยบายและทิศทางการพัฒนาการท่องเที่ยวโลก (๒)
สถานการณ์การท่องเที่ยวโลก ปี ๒๕๖๓ (๓) การดำเนินงานตามแผนงานทั่วไปของ UNWTO
เช่น โครงการนำร่อง “The Best Tourism Villages by UNWTO” ซึ่งประเทศไทย โดยชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนตำบลบ่อสวก อำเภอเมือง
จังหวัดน่าน ได้รับรางวัล Upgrade Programme ประจำปี ๒๕๖๔
และการอนุมัติรายการข้อตกลงภายใต้การทำงานของคณะกรรมการย่อยของสภาผู้บริหารองค์การการท่องเที่ยวโลก
(๔) การรับรองร่างงบประมาณประจำปีขององค์กรในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๖๕-๒๕๖๖ (๕)
การรับรองการแต่งตั้งนาย Zurab Pololikashvili ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ
UNWTO ในช่วงปี ๒๕๖๕-๒๕๖๘ (๖) การคัดเลือกสถานที่จัดตั้งสำนักงานภูมิภาคของ
UNWTO (๗)
การพิจารณาให้การรับรองร่างประมวลกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองนักท่องเที่ยว
(๘)
การรับรองหัวข้อวันท่องเที่ยวโลกและการแต่งตั้งประเทศเจ้าภาพจัดงานวันท่องเที่ยวโลก
ปี ๒๕๖๕ และ ๒๕๖๖ (๙) การประชุมสมัชชาใหญ่สมัยสามัญ ครั้งที่ ๒๕ ในปี ๒๕๖๖
โดยมีอุซเบกิสถานเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม และการประชุมสภาผู้บริหารฯ สมัยที่ ๑๑๖
ในเดือนมีนาคม ๒๕๖๕ โดยมีซาอุดีอาระเบียเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม
ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 62 | เสนอคณะรัฐมนตรีเห็นสมควรให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นของกรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา | มท. | 08/03/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นของกรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งคณะกรรมการการเลือกตั้งทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 63 | ร่างกฎกระทรวงการจัดให้มีเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน บุคลากร หน่วยงาน หรือคณะบุคคลเพื่อดำเนินการด้านความปลอดภัยในสถานประกอบกิจการ พ.ศ. .... | รง. | 01/02/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการร่างกฎกระทรวงการจัดให้มีเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน
บุคลากร หน่วยงาน หรือคณะบุคคลเพื่อดำเนินการด้านความปลอดภัยในสถานประกอบกิจการ
พ.ศ. .... ของกระทรวงแรงงาน ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขสำหรับนายจ้างในการจัดให้มีเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน บุคลากร
หน่วยงาน หรือคณะบุคคล เพื่อดำเนินการด้านความปลอดภัยในสถานประกอบกิจการ
โดยหลักเกณฑ์ดังกล่าวจะเป็นกลไกในการกำกับ ดูแล
และบริหารจัดการด้านความปลอดภัยในสถานประกอบกิจการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
โดยให้รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงคมนาคมและกระทรวงพลังงาน ที่เห็นว่ากำหนดให้นายจ้างแต่งตั้งผู้แทนนายจ้างระดับบังคับบัญชาซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับเทคนิคชั้นสูงหรือระดับวิชาชีพ
จำนวนหนึ่งคน แล้วแต่กรณี เป็นกรรมการความปลอดภัยและเลขานุการนั้น
อาจทำให้ไม่สามารถดำเนินการได้ในทางปฏิบัติ และการกำหนดให้มีการทบทวนคู่มือว่าด้วยความปลอดภัย
อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานของหน่วยงานอย่างน้อยทุกหกเดือนเป็นช่วงเวลาที่ถี่เกินไป
และการกำหนดให้นายจ้างต้องจัดให้ลูกจ้างซึ่งผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรผู้บริหารความปลอดภัยและต้องไม่เป็นเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับวิชาชีพ
เป็นผู้บริหารหน่วยความปลอดภัยนี้
อาจส่งผลกระทบต่อสถานประกอบกิจการปิโตรเลียมที่มีจำนวนพนักงานน้อย ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงแรงงานรับมติที่ประชุมร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมื่อวันที่
๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๔ รวมทั้งความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงสาธารณสุข สภาคณบดีคณะสาธารณสุขศาสตร์แห่งประเทศไทย
และสภาสถาบันการศึกษาและเครือข่ายวิชาชีพอาชีวอนามัยและความปลอดภัย ที่เห็นควรให้ดำเนินการตามมติที่ประชุมระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับข้อคัดค้านร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้
เมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๔ ตามข้อ ๓
และการควบคุมคุณภาพของเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานตามร่างข้อ ๒๑ (๓)
ต้องเป็นอย่างเข้มงวด เพื่อให้เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานมีคุณภาพ
และเกิดประโยชน์สูงสุดตามเป้าประสงค์ของพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน
พ.ศ. ๒๕๕๔ ต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 64 | แผนการใช้เงินของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 | กสศ. | 11/01/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแผนการใช้เงินของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖
ภายในกรอบวงเงิน ๗,๕๙๐.๓๔๔๘ ล้านบาท
ตามนัยมาตรา ๖ (๓) ของพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยให้ กสศ จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
พร้อมรายละเอียดของกลุ่มเป้าหมายและค่าใช้จ่ายที่ชัดเจน ตามความจำเป็นอย่างเหมาะสม
และไม่ซ้ำซ้อนในการสนับสนุนเงินและค่าใช้จ่ายให้แก่เด็กและเยาวชนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์หรือด้อยโอกาส
ตลอดจนพิจารณานำเงินนอกงบประมาณหรือเงินอื่นใดของ กสศ. มาสมทบค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานให้ครอบคลุมทุกแหล่งทั้งเงินงบประมาณและเงินนอกงบประมาณ
เพื่อให้สอดคล้องตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนของกฎหมายวิธีการงบประมาณ ซึ่งสำนักงบประมาณจะได้พิจารณารายละเอียดของแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณของ
กสศ. ให้สอดคล้องกับแนวทางและหลักเกณฑ์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ ภายในกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ อีกครั้งหนึ่ง
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษารับความเห็นของกระทรวงการคลัง
ที่เห็นควรให้ผู้จัดการ กสศ. ในฐานะผู้บริหารทุนหมุนเวียน
ตามนัยพระราชการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘
ทำหน้าที่กำกับดูแลและติดตามผลการดำเนินงานตามแผนงานอย่างใกล้ชิด
พร้อมทั้งรายงานผลให้คณะกรรมการบริหาร กสศ. ทราบอย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 65 | ขอขยายกลุ่มเป้าหมายในการรับรองหลักสูตรเพื่อพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลของหน่วยงานภาครัฐ | ดศ. | 23/11/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
โดยสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.)
รับผิดชอบดำเนินการรับรองหลักสูตรการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลในข้าราชการและบุคลากรของรัฐ
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐ เรื่อง ร่างแนวทางการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลของข้าราชการและบุคลากรภาครัฐเพื่อการปรับเปลี่ยนเป็นรัฐบาลดิจิทัล
สำหรับข้าราชการและบุคลากรภาครัฐ ๖ กลุ่ม ประกอบด้วย ผู้บริหารระดับสูง
ผู้อำนวยการกอง ผู้ทำงานนโยบายและวิชาการ ผู้ทำงานด้านบริการ
ผู้ปฏิบัติงานด้านเทคโนโลยี และผู้ปฏิบัติงานอื่น ๆ ทั้งนี้
ตามมติคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๔
ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
และให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน)
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงาน ก.พ.ร. อาทิ
กระบวนการพัฒนาและปรับปรุงหลักสูตรต้องสามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็วเพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของดิจิทัลเทคโนโลยี
ไม่ควรดำเนินการไปในลักษณะของงานปกติประจำ
ควรมีการทบทวนและปรับปรุงมาตรฐานให้เป็นไปตามรอบระยะเวลาที่เหมาะสมและต่อเนื่อง
และหากมีการพัฒนาระบบการยื่นขอรับรองหลักสูตรในรูปแบบออนไลน์ได้จะช่วยลดระยะเวลาและขั้นตอนในการดำเนินการ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒.
ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดย สดช.
เร่งกำหนดมาตรฐานของหลักสูตรการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลสำหรับข้าราชการและบุคลากรของรัฐในแต่ละกลุ่มเป้าหมาย
กำหนดกลไกการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานอย่างเป็นระบบ
และสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับองค์กรที่มีความเชี่ยวชาญและเป็นที่ยอมรับในสาขาที่เกี่ยวข้อง
อาทิ การพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลและด้านเทคโนโลยีดิจิทัล
เพื่อสร้างการยอมรับในฐานะหน่วยงานรับรองหลักสูตรการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัล
รวมทั้งให้ร่วมกับสำนักงาน ก.พ.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการส่งเสริมและสนับสนุนให้หน่วยงานของรัฐจัดฝึกอบรมในหลักสูตรการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลสำหรับข้าราชการและบุคลากรของรัฐที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
โดย สดช. เป็นลำดับแรก
เพื่อให้ข้าราชการและบุคลากรภาครัฐได้รับการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลภายใต้มาตรฐานเดียวกัน |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 66 | ผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน และผู้บริหารท้องถิ่น เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (กระบี่ ภูเก็ต ตรัง พังงา ระนอง และสตูล) | นร.11 สศช | 16/11/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด
ผู้แทนภาคเอกชน และผู้บริหารท้องถิ่น
เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (กระบี่ ภูเก็ต ตรัง พังงา
ระนอง และสตูล) เมื่อวันอังคารที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ เห็นชอบในหลักการของโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปีทั้ง
๗ โครงการ กรอบวงเงิน ๔๙๔ ล้านบาท โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี
งบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
และให้กระทรวงมหาดไทยเสนอขอรับการจัดสรรจากสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป
และอนุมัติในหลักการให้ประเทศไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงานเอ็กซ์โปร วาระพิเศษ (Specialized Expo) ณ จังหวัดภูเก็ต
ภายใต้ชื่องาน EXPO-๒๐๒๘-Phuket, Thailand และมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
(นายอนุทิน ชาญวีรกูล)
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในหนังสือเสนอตัวเป็นเจ้าภาพในนามของประเทศไทยอย่างเป็นทางการ
(Letter candidature) ทั้งนี้ ในส่วนของงบประมาณให้ดำเนินการพิจารณาความเหมาะสมตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
พร้อมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการด้านการเยียวยา ฟื้นฟู
และช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ด้านการท่องเที่ยว ด้านเกษตร
ด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต ด้านโครงสร้างพื้นฐาน และข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีเพิ่มเติม
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 67 | รายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปีที่ 2 (25 กรกฎาคม 2563 - 25 กรกฎาคม 2564) | นร.04 | 09/11/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบตามที่คณะกรรมการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีเสนอ
ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบรายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปีที่ ๒ (๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๓-๒๕ กรกฎาคม
๒๕๖๔) และให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดทุกกระทรวงรับไปพิจารณาร่างรายงานฯ อีกครั้งหนึ่ง
และส่งการปรับปรุงแก้ไขให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ๑.๒
ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจัดพิมพ์รายงานฯ ๑.๓
ให้กระทรวงการต่างประเทศแปลบทสรุปสำหรับผู้บริหารเป็นฉบับภาษาอังกฤษเพื่อเผยแพร่ในต่างประเทศ ๑.๔ ให้สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
จัดพิมพ์บทสรุปสำหรับผู้บริหารฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ๒.
กรณีรัฐมนตรีเจ้าสังกัดของแต่ละหน่วยงานประสงค์จะปรับปรุงแก้ไขรายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปีที่ ๒ (๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๓-๒๕ กรกฎาคม
๒๕๖๔) ให้แจ้งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายในวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๔
เพื่อดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 68 | แนวทางการประเมินผู้บริหารของหน่วยงานภาครัฐ | นร.10 | 14/09/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบบัญชาของนายกรัฐมนตรีที่เห็นชอบให้มีการจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่
ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ และตรวจราชการ ระหว่างวันที่ ๘-๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ ในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน
(กระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต ระนอง และสตูล) โดยให้จัดการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ในวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ ณ จังหวัดกระบี่
และมีประเด็นการตรวจราชการสำคัญของกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน ได้แก่ (๑) การส่งเสริมและติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยวเพื่อรองรับการเปิดประเทศอย่างปลอดภัย
(Smart Entry) ในห้วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และ
(๒) การพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 69 | การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | มท. | 07/09/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นขององค์การบริหารส่วนตำบล
กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา ซึ่งคาดว่าจะให้มีการเลือกตั้งภายในวันที่ ๒๘
พฤศจิกายน ๒๕๖๔ ถึงวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔
รวมทั้งได้กำหนดแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับการออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ ไว้แล้ว ตลอดจนองค์การบริหารส่วนตำบล
กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา ได้กำหนดรายการค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นไว้ในข้อบัญญัติ
รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่นเพิ่มเติม
สำหรับกรณีการจัดการเลือกตั้งภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ ไว้พร้อมแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งคณะกรรมการการเลือกตั้งทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 70 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง แทนตำแหน่งที่ว่าง (นายยอดพจน์ วงศ์รักมิตร) | พน. | 17/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง
นายยอดพจน์ วงศ์รักมิตร เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิง) ในคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ลาออก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๑๗ สิงหาคม ๒๕๖๔) เป็นต้นไป ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเสนอ
และให้ผู้ได้รับแต่งตั้งแทนตำแหน่งที่ว่างอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว ทั้งนี้ ในครั้งต่อ ๆ ไป
ให้กระทรวงพลังงานดำเนินการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด
ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ (เรื่อง
การดำเนินการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ
ตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามกฎหมาย) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๖ มีนาคม ๒๕๖๔ (เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการตามกฎหมาย/กรรมการและผู้บริหารขององค์การมหาชน)
ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 71 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล (นางสาวพัดชา พงศ์กีรติยุต) | กค. | 01/06/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาวพัดชา พงศ์กีรติยุต เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ)
ในคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล แทน พลตำรวจเอก
สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ลาออก เมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๖๓ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑ มิถุนายน ๒๕๖๔) เป็นต้นไป
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ในครั้งต่อ ๆ ไป
ให้กระทรวงการคลังดำเนินการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาลให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างเคร่งครัดด้วย
ตามนัยมติตณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ (เรื่อง
การดำเนินการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ
ตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามกฎหมาย)
และมติตณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๔ (เรื่อง
การแต่งตั้งกรรมการตามกฎหมาย/กรรมการและผู้บริหารขององค์การมหาชน)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 72 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การปฏิบัติตามกฎหมายของโครงการก่อสร้างทางรถไฟยกระดับ และถนนยกระดับในเขตกรุงเทพมหานคร และการใช้ประโยชน์ที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (โฮปเวลล์) ของคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร | สผ. | 25/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง การปฏิบัติตามกฎหมายของโครงการก่อสร้างทางรถไฟยกระดับ
และถนนยกระดับในเขตกรุงเทพมหานคร และการใช้ประโยชน์ที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย
(โฮปเวลล์) ของคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร
ซึ่งกระทรวงยุติธรรมได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
โดยสรุปผลการพิจารณาได้ว่า กรณีการพิจารณาแก้ไขพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ.
๒๕๔๕
ให้มีความละเอียดชัดเจนมากขึ้นโดยเฉพาะขั้นตอนและวิธีการในการปฏิบัติงานของสำนักงานอนุญาโตตุลาการ
จะได้มีการทบทวนหรือปรับปรุงพระราชบัญญัติฯ
ตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
พ.ศ. ๒๕๖๒ ต่อไป และการแก้ไขพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๒ เพื่อกำหนดการใช้อำนาจหน้าที่ของผู้บริหารศาลปกครอง และที่ประชุมใหญ่ของตุลาการศาลปกครองสูงสุดอาจจะมีผลเป็นการแก้ไขกฎหมายเพื่อออกหลักเกณฑ์ที่กำหนดการใช้ดุลพินิจของตุลาการศาลปกครองซึ่งอาจกระทบต่อความเป็นอิสระของตุลาการศาลปกครองได้
การปรับปรุงการปฏิบัติงานของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีในส่วนที่เกี่ยวกับการติดตามการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีของกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ได้มีหนังสือเวียนแจ้งให้ทุกส่วนราชการทราบและถือปฏิบัติ
และในส่วนการดำเนินการตามกฎหมายกับบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด และบุคคลต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้อง และดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และพยานหลักฐานต่าง ๆ
กระทรวงคมนาคมได้ดำเนินการโดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบและดำเนินคดี
รวมทั้งในส่วนของความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ด้วยแล้ว
ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 73 | ร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... | ศธ. | 25/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
รับทราบและเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอว่า
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔)
มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พ.ศ. .... โดยนำร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... (นายดิเรก พรสีมา
กับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวน ๑๔,๕๐๖ คน เป็นผู้เสนอ) ไปประกอบการพิจารณา
แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งต่อมาสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเสร็จแล้ว
โดยร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นร่างพระราชบัญญัติที่จัดทำขึ้นตามมาตรา ๒๕๘ จ.
ด้านการศึกษา ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ซึ่งกำหนดให้มีการปฏิรูปประเทศในด้านการศึกษา โดยเฉพาะให้มีกลไกและระบบการผลิต
คัดกรองและพัฒนาผู้ประกอบวิชาชีพครูให้ได้ผู้มีจิตวิญญาณของความเป็นครู
มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง
ได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสมกับความสามารถและประสิทธิภาพในการสอน
ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวจึงเป็นกฎหมายที่มีความสำคัญที่รัฐบาลจะต้องผลักดันให้มีผลใช้บังคับโดยเร็ว
เพื่อเป็นกฎหมายแม่บทในการบริหารและการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
และแนวทางการบริหารและการจัดการศึกษาในอนาคตต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม
ยังมีความเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้องบางประการ ดังนั้น
เพื่อให้การจัดทำร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีการนำข้อคิดเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้องมาประกอบการพิจารณาอย่างครบถ้วน
จึงได้จัดให้มีการประชุมหารือร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
เลขาธิการสภาการศึกษา ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และคณะกรรมการขับเคลื่อนเพื่อการปฏิรูปการศึกษาภาคประชาชน เมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม
๒๕๖๔ โดยที่ประชุมมีมติให้แก้ไขร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้วิชาชีพครู เป็น
“วิชาชีพชั้นสูง” ๑.๒ แก้ไขคำว่า “หัวหน้าสถานศึกษา” เป็น
“ผู้บริหารสถานศึกษา” ๑.๓ แก้ไขคำว่า
“ใบรับรองการประกอบวิชาชีพครู” เป็น “ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู” ๒.
ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ....
ที่ตรวจพิจารณาแล้ว ไปแก้ไขตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอ
แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 74 | ผลการประชุมหารือแนวทางความร่วมมือการจัดหาวัคซีนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน | นร.11 | 05/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบผลการประชุมหารือแนวทางความร่วมมือการจัดหาวัคซีนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน
เมื่อวันพุธที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๖๔ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และมีผู้เข้าร่วมการประชุม
ประกอบด้วย รองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล และนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์)
ผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งเห็นชอบตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี
และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุม โดยที่ประชุมเห็นชอบแนวทางความร่วมมือการจัดหาวัคซีนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน
๔ ด้าน ประกอบด้วย (๑) ด้านการกระจายและฉีดวัคซีน
โดยใช้กลไกการทำงานของภาคเอกชนในการจัดสถานที่ฉีดวัคซีนและกระจายวัคซีนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
และสำหรับพื้นที่ต่างจังหวัดจะดำเนินการผ่านกลไกคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน
(กรอ.) จังหวัดและกลุ่มจังหวัด พร้อมร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงมหาดไทยสำหรับการจัดเตรียมสถานที่และกระจายวัคซีน
รวมถึงอุปกรณ์และบุคลากรที่จะเข้ามาช่วยปฏิบัติงานในจุดต่าง ๆ (๒) ด้านการสร้างความเชื่อมั่นและประชาสัมพันธ์
โดยภาคเอกชนจะมีส่วนช่วยในการประชาสัมพันธ์เรื่องการจัดหาและบริหารวัคซีน
และสร้างความรับรู้แก่ประชาชนเรื่องการฉีดวัคซีนเพื่อให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น (๓)
ด้านการสนับสนุนระบบอำนวยความสะดวกระบบงานต่าง ๆ
โดยแอปพลิเคชันลงทะเบียนการฉีดวัคซีน “หมอพร้อม”
ภาคเอกชนจะมีส่วนในการสนับสนุนระบบเพิ่มเติมระหว่างการลงทะเบียนและการฉีดวัคซีน
และ (๔) ด้านการจัดหาวัดซีนเพิ่มเติม ให้กระทรวงสาธารณสุข
โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
และองค์การเภสัชกรรมพิจารณาแนวทางการผ่อนคลายกระบวนการพิจารณาอนุญาตให้ใช้วัคซีนสำหรับกลุ่มเป้าหมาย
ที่อยู่ระหว่างประเมินข้อมูลประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีนเป็นกรณีฉุกเฉิน (Emergency Use Authority : EVA) เพื่อให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒.
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 75 | รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2562 | พม. | 30/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย
พ.ศ. ๒๕๖๒ ประกอบด้วย บทสรุปผู้บริหารและข้อเสนอแนะ สถานการณ์ทั่วไป
สวัสดิการสังคมสำหรับผู้สูงอายุ สถานการณ์เด่นในรอบปี ๒๕๖๒ และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการสังคมเพื่อผู้สูงอายุไทย
และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนในเชิงนโยบายต่อไป
ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
โดยให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เช่น ภาระด้านงบประมาณควรคำนึงถึงความครอบคลุมของทุกแหล่งเงินที่จะนำมาใช้จ่าย
รวมถึงการสร้างการรับรู้และความเข้าใจสำหรับการเตรียมความพร้อมและการมีส่วนร่วมของผู้สูงอายุทุกมิติ
เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 76 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ (1. นายประเสริฐ ตปนียางกูร) | กค. | 30/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ จำนวน ๕ คน
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓๐ มีนาคม ๒๕๖๔) เป็นต้นไป
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑. นายประเสริฐ ตปนียางกูร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากสภาวิศวกร ๒. พลอากาศตรี หม่อมหลวงประกิตติ เกษมสันต์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากสภาสถาปนิก ๓. นายเทพ วงษ์วานิช กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ๔. นายพีระ เพชรพาณิชย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ๕ นายวิเชียร พงศธร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรม ทั้งนี้ ในครั้งต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงการคลังดำเนินการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างเคร่งครัดตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ (เรื่อง การดำเนินการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามกฎหมาย) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๔ (เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการตามกฎหมาย/กรรมการและผู้บริหารขององค์การมหาชน)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 77 | การแต่งตั้งกรรมการตามกฎหมาย/กรรมการและผู้บริหารขององค์การมหาชน | นร. | 16/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า
ปัจจุบันมีเรื่องหารือปัญหาข้อกฎหมายไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นจำนวนมากว่าหน่วยงานของรัฐและองค์การมหาชนไม่สามารถแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการตามกฎหมาย
รวมทั้งกรรมการและผู้บริหารขององค์การมหาชนได้ทันภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้
หน่วยงานของรัฐและองค์การมหาชนนั้น จะดำเนินการอย่างไรจึงจะถูกต้องตามกฎหมาย
ซึ่งส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการองค์การมหาชนนั้น ๆ ดังนั้น
คณะรัฐมนตรีจึงมีมติมอบหมายให้รัฐมนตรีทุกท่านตรวจสอบและเร่งรัดการแต่งตั้งคณะกรรมการตามกฎหมาย
รวมทั้งกรรมการและผู้บริหารขององค์การมหาชนต่าง ๆ
ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างเคร่งครัดเพื่อมิให้เกิดปัญหาขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 78 | ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยนเรศวร พ.ศ. …. | อว. | 02/03/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยนเรศวร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยนเรศวร
พ.ศ. ๒๕๓๓ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
โดยเปลี่ยนสถานะของมหาวิทยาลัยนเรศวรที่เป็นส่วนราชการ
เป็นมหาวิทยาลัยที่มีฐานะเป็นหน่วยงานในกำกับของรัฐ
(สถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐ) ที่ไม่เป็นส่วนราชการ เพื่อปรับปรุงการศึกษาระดับอุดมศึกษาให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม
และเป็นไปตามแนวทางการปฏิรูปมหาวิทยาลัยให้เป็นมหาวิทยาลัย ๔.๐ และนโยบายของรัฐบาล
ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาในประเด็นตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า
(๑) การกำหนดให้อธิการบดีเลือกผู้ดำรงตำแหน่งรองอธิการบดีเป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัย
อาจไม่สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๔๖ (๒) วาระการดำรงตำแหน่งของนายกสภามหาวิทยาลัย
กรรมการสภามหาวิทยาลัย ผู้ทรงคุณวุฒิ
และกรรมการสภามหาวิทยาลัยประเภทตัวแทนผู้บริหารและคณาจารย์ที่กำหนดไว้คราวละสองปีอาจไม่เหมาะสม
จึงสมควรกำหนดให้นายกสภามหาวิทยาลัยและกรรมการสภามหาวิทยาลัยดังกล่าวมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสามปีหรือสี่ปีเช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐอื่น
ๆ และ (๓) มีการกำหนดให้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นหลายคณะโดยไม่มีการกำหนดหน้าที่และอำนาจไว้อย่างชัดเจน
ซึ่งไม่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
พ.ศ. ๒๕๖๒ จึงไม่ควรบัญญัติมาตราเฉพาะกำหนดให้มีคณะกรรมการดังกล่าว
และให้รับความเห็นเพิ่มเติมบางประการของสำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน
ก.พ.ร. ไปประกอบการพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๒. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น กรณีเงินรายได้ของมหาวิทยาลัยนเรศวรที่ไม่ต้องนำส่งคืนคลังเป็นรายได้แผ่นดิน
เห็นควรที่จะกำหนดให้มีการวางหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการเกี่ยวกับการเบิกเงิน
การรับเงินและการเก็บรักษาเงินรายได้ที่ชัดเจนด้วยความระมัดระวังและรอบคอบอย่างต่อเนื่อง
มีการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม มีความโปร่งใส และตรวจสอบได้
และกรณีค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนสถานภาพของข้าราชการและลูกจ้างประจำเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย
หรือลูกจ้างของมหาวิทยาลัยในระยะแรกของการเปลี่ยนผ่าน
ควรกำหนดบทเฉพาะกาลให้ชัดเจนเกี่ยวกับเงื่อนเวลาและภาระของงบประมาณที่เกิดขึ้นให้ใช้จ่ายจากเงินรายได้ของมหาวิทยาลัยเป็นลำดับแรก
รวมทั้งเห็นควรมุ่งเน้นการจัดการศึกษาในสาขาที่สถาบันมีศักยภาพและเป็นจุดเด่นหรือมีความเชี่ยวชาญ
และควรให้ความสำคัญกับกระบวนการการคัดเลือกผู้บริหารและองค์ประกอบของสภามหาวิทยาลัยและคณะกรรมการต่าง
ๆ ให้มีความโปร่งใส เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 79 | ร่างกฎ ก.พ.อ. การได้รับเงินประจำตำแหน่งผู้บริหารและข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาของสถาบันวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. .... | อว. | 23/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎ ก.พ.อ.
การได้รับเงินประจำตำแหน่งผู้บริหารและข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาของสถาบันวิทยาลัยชุมชน
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขสำหรับการได้รับเงินประจำตำแหน่งสำหรับข้าราชการพลเรือน
ผู้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารซึ่งไม่เป็นข้าราชการ
และผู้ดำรงตำแหน่งประเภทผู้บริหารในสถาบันวิทยาลัยชุมชน
เพื่อให้การรับเงินประจำตำแหน่งและการเบิกจ่ายเงินประจำตำแหน่งของบุคลากรในสถาบันวิทยาลัยชุมชนมีความชัดเจนและสอดคล้องกับข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาและข้าราชการพลเรือนสามัญ
ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงบประมาณที่เห็นว่า (๑)
การพิจารณาแต่งตั้งรองผู้อำนวยการวิทยาลัย สำหรับวิทยาลัยที่ยังแต่งตั้งไม่ครบเต็มจำนวนอัตราสูงสุดที่กำหนดให้มีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งจากเงินงบประมาณแผ่นดิน
(ไม่เกิน ๓ ตำแหน่ง) ก.พ.อ. ควรคำนึงถึงปริมาณภาระงานที่แตกต่างกันและความคุ้มค่าของงบประมาณค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรภาครัฐในภาพรวมด้วย
และ (๒) ภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการตามข้อเสนอดังกล่าว
เห็นควรให้สถาบันวิทยาลัยชุมชนใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
ซึ่งได้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับไว้แล้ว ส่วนค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป
ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป
รวมทั้งปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้องครบถ้วน และให้ดำเนินการตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ อย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 80 | แนวทางปฏิบัติเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการเข้าสำรวจและจัดเก็บข้อมูลภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่หน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจ | นร.01 | 15/02/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบแนวทางปฏิบัติเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการเข้าสำรวจและจัดเก็บข้อมูลภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่หน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจ
ตามมติคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๖๓ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.๑
หน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจต้องทำการสำรวจว่าเป็นเจ้าของที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้าง
หรือครอบครองที่ราชพัสดุที่ใดบ้าง ณ บริเวณใด
ซึ่งการเป็นเจ้าของหรือครอบครองดังกล่าว หน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจจะเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีตามกฎหมาย
โดยผู้เป็นเจ้าของหรือครอบครองที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างอยู่ ณ วันที่ ๑ มกราคม
ของปีใด เป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีสำหรับปีนั้น ๑.๒ เจ้าพนักงานสำรวจ พนักงานประเมิน
พนักงานเก็บภาษีขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รับการแต่งตั้งจากผู้บริหารท้องถิ่นจะจัดทำรายการที่ดินและสิ่งปลูกสร้างซึ่งใช้ประโยชน์ในพื้นที่ต่าง
ๆ ทุกประเภท ทั้งพื้นที่ของเอกชน พื้นที่ที่มีโฉนด และพื้นที่หน่วยงานของรัฐ
โดยในกรณีพื้นที่ของรัฐหากมีการใช้ประโยชน์เพื่อการสาธารณะตามกฎหมายของหน่วยงานนั้น
จะได้รับการยกเว้นภาษี แต่หากมีการใช้ประโยชน์ในลักษณะการหารายได้จะอยู่ในข่ายที่ต้องถูกประเมินภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
ดังนั้น หน่วยงานต้องเตรียมเอกสารข้อมูลที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพื่อแสดงแก่ท้องถิ่น
เพื่อให้การสำรวจและจัดทำข้อมูลเป็นไปอย่างรวดเร็วและถูกต้อง ๑.๓ กรณีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประเมินภาษีแล้ว
หากหน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจเห็นว่าการประเมินดังกล่าวไม่ถูกต้อง
สามารถอุทธรณ์ได้ภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งการประเมินภาษี โดยการอุทธรณ์มี
๓ ลำดับ คือ (๑) อุทธรณ์ไปที่ผู้บริหารท้องถิ่น (๒) หากหน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจไม่เห็นชอบตามผลการพิจารณาของผู้บริหารท้องถิ่นมีสิทธิอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์การประเมินภาษีประจำจังหวัด
ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน โดยยื่นคำร้องผ่านท้องถิ่น และ (๓)
ฟ้องต่อศาล โดยคำพิพากษาของศาลจะถือเป็นที่สิ้นสุด ๑.๔ กรณีทรัพย์สินของรัฐหรือของหน่วยงานของรัฐซึ่งใช้ในกิจการของรัฐหรือของหน่วยงานของรัฐ
หรือในกิจการสาธารณะ โดยมิได้ใช้หาผลประโยชน์จะได้รับการยกเว้นภาษีตามมาตรา ๘ (๑)
แห่งพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ๒๕๖๒ ๒.
ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจถือปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดังกล่าว
เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีในการเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นการทั่วไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
