ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 5 จากทั้งหมด 55 หน้า แสดงรายการที่ 81 - 100 จากข้อมูลทั้งหมด 1084 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 81 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 และในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | นร.01 | 15/02/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ ๓
ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ และในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓
พร้อมผลการวิเคราะห์เรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็น พบว่า
ประชาชนได้ยื่นเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นผ่านช่องสายด่วนของรัฐบาล ๑๑๑๑
มากที่สุด โดยยื่นเรื่องประเด็นค่าครองชีพมากที่สุด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการขอความช่วยเหลือของผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19) และขอให้พิจารณาทบทวนสิทธิและเร่งรัดการจ่ายเงินตามมาตรการดูแลและเยียวยาต่าง
ๆ เนื่องจากเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ซึ่งสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจะประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาต่าง
ๆ โดยเร็ว ๒.
ขอความร่วมมือให้ทุกส่วนราชการพิจารณาดำเนินการ ดังนี้
๒.๑
แจ้งความคืบหน้าการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และเร่งรัดการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรม
ภายในระยะเวลาที่เหมาะสม
๒.๒
รวบรวมสถิติระยะเวลาที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องทุกข์ในแต่ละประเภทเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์ไปยังหน่วยงาน
เพื่อใช้เป็นข้อมูลสำหรับการกำหนดเป็นข้อตกลงระยะเวลาแล้วเสร็จของงานการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องทุกข์ต่อไป
๒.๓
เชื่อมโยงข้อมูลกับระบบการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ของหน่วยงานเข้ากับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
และให้หน่วยงานที่ไม่มีระบบบฐานข้อมูลเรื่องร้องทุกข์ของตนเองเข้าร่วมใช้งานระบบการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
เพื่อเป็นการรวบรวมเรื่องร้องทุกข์ให้เป็นภาพรวมของประเทศ ๓.
มอบหมายให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีขยายผลการดำเนินโครงการศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล
โดยพัฒนาให้มีระบบการติดตามผลและสถานะเรื่องร้องทุกข์ (Tracking
System) เพื่อให้ประชาชนสามารถติดตามเรื่องร้องทุกข์ด้วยตนเองได้ทุกที่ทุกเวลา
รวมทั้งจัดให้มีระบบรายงานผล (Dashboard) สำหรับผู้บริหารใช้ในการกำกับติดตามการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 82 | รายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน เรื่อง ธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน กรณีการลงทุนของภาคธุรกิจไทยในต่างประเทศ | สม. | 15/02/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
เรื่อง ธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน กรณีการลงทุนของภาคธุรกิจไทยในต่างประเทศ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป สรุปได้
ดังนี้ ๑.
ประเทศไทยตระหนักถึงความสำคัญของการกำกับดูแลนักลงทุนไทยที่ไปลงทุนในต่างประเทศให้ดำเนินธุรกิจโดยเคารพสิทธิมนุษยชนตามกรอบของหลักการชี้แนะของสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน
โดยเฉพาะการพิจารณาจัดตั้งกลไกในการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เป็นรูปธรรม
ซึ่งได้กำหนดเป็นหนึ่งในกิจกรรมสำคัญตามแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน
ระยะที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕) ด้านการลงทุนระหว่างประเทศและบรรษัทข้ามชาติ
โดยกำหนดให้กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงยุติธรรมดำเนินการศึกษาและหารือร่วมกับภาคีส่วนต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาแนวทางพัฒนากฎหมาย นโยบาย
หรือกลไกที่เป็นรูปธรรมในการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนนอกอาณาเขตเพื่อให้เกิดการป้องกัน
คุ้มครอง เยียวยา และเกิดความรับผิดชอบข้ามพรมแดนที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล
ทั้งนี้ คณะกรรมการขับเคลื่อนงานด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน
โดยมีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะเพื่อแก้ไขปัญหาในกรณีที่มีข้อร้องเรียน
หรือร้องทุกข์จากการดำเนินธุรกิจของสถานประกอบการ
หรือนักลงทุนซึ่งส่งผลกระทบเชิงลบหรือก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชน ทั้งกรณีการลงทุนในประเทศ
และการลงทุนของสถานประกอบการ หรือนักลงทุนไทยที่ไปลงทุนในต่างประเทศ เพื่อสร้างหลักประกันให้การดำเนินธุรกิจที่เคารพสิทธิมนุษยชนได้รับการเคารพและยึดถือปฏิบัติอย่างจริงจัง ๒. ประเทศไทยตระหนักถึงความสำคัญของธนาคารในการกำกับดูแลการประกอบธุรกิจที่สอดคล้องกับประเด็นสิ่งแวดล้อม
สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental,
Social and Governance : ESG) ตามแนวทางการดำเนินกิจการธนาคารเพื่อความยั่งยืน
(Sustainable Banking Guidelines) โดยธนาคารแห่งประเทศไทยได้กำหนดให้ประเด็นความยั่งยืนด้าน
ESG เป็นกลยุทธ์ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๕๖๓-๒๕๖๕ รวมทั้งได้ผลักดันให้สมาคมธนาคารไทย สมาคมธนาคารนานาชาติ
พร้อมทั้งธนาคารสมาชิก ลงนามร่วมกันในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกำหนดแนวทางการดำเนินกิจการธนาคารอย่างยั่งยืนในด้านการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบ
(Responsible Lending) ซึ่งสนับสนุนให้ธนาคารต่าง ๆ
บูรณาการปัจจัยด้าน ESG ซี่งรวมถึงประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนเข้าสู่การดำเนินกิจการของธนาคารในทุกขั้นตอน
ตั้งแต่การกำหนดนโยบาย การพัฒนากระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
การพัฒนากระบวนการบริหารจัดการความเสี่ยงและผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการให้สินเชื่อของธนาคาร
ตลอดจนการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใสต่อสาธารณชน นอกจากนี้
ธนาคารแห่งประเทศไทยยังได้จัดการอบรมเพื่อสร้างความตระหนักรู้และพัฒนาศักยภาพบุคลากรในเรื่องธนาคารเพื่อความยั่งยืนให้แก่ผู้บริหารระดับสูงและพนักงานของสถาบันการเงินอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 83 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564) | ปสส. | 26/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร
วันจันทร์ที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๔ ตามที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรเสนอ
ดังนี้ ๑.
ที่ประชุมพิจารณาเรื่องที่คณะรัฐมนตรีส่งมาให้วิปรัฐบาลพิจารณา ได้แก่ (๑)
ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive
Economic Partnership Agreement) (๒) ข้อตกลงยอมรับร่วมผลการตรวจสอบและรับรองผลิตภัณฑ์ยานยนต์ของอาเซียน
(ASEAN Mutual Recognition Arrangement on Type Approval for Automotive
Products) (๓) ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม
พ.ศ. .... (๔) ร่างพระราชบัญญัติการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ. .... และ
(๕) ร่างพระราชบัญญัติการเข้าชื่อเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
พ.ศ. .... ๒.
ที่ประชุมพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ปีที่ ๒ ครั้งที่
๑๕ (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) วันพุธที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๔ ครั้งที่ ๑๖
(สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) วันพฤหัสบดีที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๖๔ และครั้งที่ ๑๗
(สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ วันศุกร์ที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๖๔
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 84 | ร่างพระราชบัญญัติการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติการเข้าชื่อเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. .... จำนวน 2 ฉบับ [สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (วันจันทร์ที่ 25 มกราคม 2564)] | ปสส. | 26/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร
วันจันทร์ที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๔
ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติการเข้าชื่อเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
พ.ศ. .... จำนวน ๒ ฉบับ ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
ตามที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 85 | การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | มท. | 12/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบการเตรียมความพร้อมในการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบอื่น
ซึ่งตามผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานและสนับสนุนการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
กระทรวงมหาดไทย ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ เห็นว่า
กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งมีความพร้อมในการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบอื่นต่อไปแล้ว
คือ เทศบาล
ประกอบกับสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ยกร่างแผนการจัดการเลือกตั้งสำหรับการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลและนายกเทศมนตรี
ซึ่งคาดว่าจะให้มีการเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ ๒๑ หรือ ๒๘ มีนาคม ๒๕๖๔
รวมทั้งได้กำหนดแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 ไว้แล้ว
ตลอดจนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ตั้งงบประมาณสำหรับการเลือกตั้งขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ ไว้พร้อมแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒.
ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นของเทศบาล
และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งคณะกรรมการการเลือกตั้งทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 86 | แผนการใช้เงินของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 และการเพิ่มอัตราเงินอุดหนุนนักเรียนยากจนพิเศษ (ทุนเสมอภาค) | กสศ. | 12/01/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบแผนการใช้เงินของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๕ ภายในกรอบวงเงิน ๖,๕๕๖.๘๖๔๙ ล้านบาท ตามนัยมาตรา ๖ (๓)
ของพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยให้ กสศ.
เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนของกฎหมายวิธีการงบประมาณ
ซึ่งสำนักงบประมาณจะพิจารณารายละเอียดของแผนงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณของ กสศ.
ให้สอดคล้องกับแนวทางและหลักเกณฑ์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๕ ตามความจำเป็นและเหมาะสมภายในกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๕ อีกครั้งหนึ่ง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้ กสศ.
รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรให้ผู้จัดการ กสศ.
ในฐานะผู้บริหารทุนหมุนเวียนตามนัยพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘
ทำหน้าที่กำกับดูแลและติดตามผลการดำเนินงานตามแผนงานอย่างใกล้ชิด
พร้อมทั้งรายงานผลให้คณะกรรมการบริหาร กสศ. ทราบอย่างต่อเนื่อง
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 87 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม | ศธ. | 22/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
(Memorandum of Understanding between the Government of the Kingdom
of Thailand and the Government of the Socialist Republic of Viet Nam on co-operation in the field of education) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ
มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับการดำเนินความร่วมมือด้านการศึกษาเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านวิชาการในขอบเขตและรูปแบบต่าง
ๆ เช่น การอำนวยความสะดวกในโครงการแลกเปลี่ยนผู้นำทางการศึกษาและฝึกอบรมครู
ผู้เชี่ยวชาญ ผู้บริหาร นักเรียน และบุคลากรทางการศึกษา
การส่งเสริมการเชื่อมโยงของโรงเรียนและสถาบันการศึกษา
การจัดการศึกษาและพัฒนาหลักสูตร การอำนวยความสะดวกด้านการสอนภาษาไทยและภาษาเวียดนาม
การแลกเปลี่ยนวัสดุอุปกรณ์และข้อมูลทางการศึกษา
ตลอดจนการประชุม/สัมมนาและทุนการศึกษา เป็นต้น ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงศึกษาธิการสามารถดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
๒.
ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมและสำนักงบประมาณที่เห็นว่า (๑) ขอบเขตความร่วมมือภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ
ควรระบุให้ชัดเจนว่าครอบคลุมการศึกษาในระดับใด และควรพิจารณาเพิ่ม STEM
Education ในสาขาความร่วมมือด้วย และ (๒) ค่าใช้จ่ายในการจัดประชุมคณะทำงานร่วมที่จะเกิดขึ้น
ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
รายการค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการและกิจกรรม ภายใต้กรอบ MOU หรือตามพันธกรณีด้านการศึกษา ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณไว้แล้ว
สำหรับค่าใช้จ่ายอื่นในการดำเนินกิจกรรมภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจฯ
ให้ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับการจัดสรรไว้แล้วในโอกาสแรก
ส่วนค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 88 | บทสรุปผู้บริหาร (Executive Summary) ของประเทศไทยสำหรับการประเมินติดตามการปฏิบัติตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ค.ศ. 2003 รอบที่ 2 | ปช. | 22/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบบทสรุปผู้บริหาร
(Executive Summary) ของประเทศไทย
สำหรับการประเมินติดตามการปฏิบัติตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต
ค.ศ. ๒๐๐๓ (United Nations Convention against Corruption : UNCAC) รอบที่ ๒ ประกอบด้วย ข้อมูลการต่อต้านการทุจริตและการติดตามทรัพย์สินคืนของประเทศไทย
และข้อเสนอแนะของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United
Nations Office on Drugs and Crime : UNODC) เกี่ยวกับเรื่องมาตรการป้องกันการทุจริตและการติดตามทรัพย์สินคืน
รวมทั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับความสำเร็จและแนวปฏิบัติที่ดีในการดำเนินการดังกล่าว
ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 89 | ร่างกฎกระทรวงการขอรับใบอนุญาตและการออกใบอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต การขอออกใบแทนใบอนุญาต การพักใช้ใบอนุญาตและการเพิกถอนใบอนุญาตเพื่อจัดการบริหารพื้นที่คุ้มครองสมุนไพร หรือใช้ประโยชน์จากสมุนไพร พ.ศ. .... | สธ. | 08/12/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการขอรับใบอนุญาตและการออกใบอนุญาต
การต่ออายุใบอนุญาต การขอออกใบแทนใบอนุญาต
การพักใช้ใบอนุญาตและการเพิกถอนใบอนุญาตเพื่อจัดการบริหารพื้นที่คุ้มครองสมุนไพร
หรือใช้ประโยชน์จากสมุนไพร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขการขอรับใบอนุญาตและการออกใบอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต
การขอออกใบแทนใบอนุญาต การพักใช้ใบอนุญาตเพื่อจัดการบริหารพื้นที่คุ้มครองสมุนไพรหรือใช้ประโยชน์จากสมุนไพร
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงมหาดไทยที่เห็นควรเพิ่มเติมเอกสารและหลักฐานทางวิชาการด้านการสำรวจทรัพยากรป่าไม้หรือพืชสมุนไพรของหน่วยงานราชการประกอบการดำเนินการขอใบอนุญาตตามที่กำหนดไว้ในร่างข้อ
๓ นอกจากนี้ ร่างข้อ ๑๐ ที่กำหนดว่า กรณีที่การอนุญาตเป็นพื้นที่ในความรับผิดชอบหรือดูแลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
(อปท.) หรือชุมชน ให้ผู้ยื่นคำขอและผู้อนุญาตจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจาก อปท.
หรือชุมชนนั้น เห็นควรตัดการรับฟังความคิดเห็นจาก อปท.
เนื่องจากเป็นการสร้างเงื่อนไขและขั้นตอนการอนุญาตเกินความจำเป็น
ตลอดจนอาจเป็นประเด็นปัญหาข้อกฎหมายว่าต้องรับฟังความคิดเห็นจากผู้บริหารท้องถิ่น
สภาท้องถิ่น หรือประชาชนในท้องถิ่น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งดำเนินการออกกฎกระทรวงกำหนดพื้นที่คุ้มครองสมุนไพร
ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาโดยด่วนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 90 | ผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน และผู้บริหารท้องถิ่นเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (ภูเก็ต กระบี่ ตรัง พังงา ระนอง และสตูล) | นร.11 | 03/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด
ผู้แทนภาคเอกชน และผู้บริหารท้องถิ่นเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน
(ภูเก็ต กระบี่ ตรัง พังงา ระนอง และสตูล) เมื่อวันอังคารที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๓
จังหวัดภูเก็ต ๑.๒ เห็นชอบตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี
และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ รวมทั้งรายงานผลการดำเนินการให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ๒. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 91 | ขออนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณตามแผนการดำเนินงานระยะ 5 ปี ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2564-2568) ของศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยสะเต็มศึกษาขององค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ | ศธ. | 03/11/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณตามแผนการดำเนินงานระยะ
๕ ปี ฉบับที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๘) ของศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยสะเต็มศึกษาขององค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
(ซีมีโอ) วงเงินรวมทั้งสิ้น ๒๓๕.๙๑ ล้านบาท เพื่อดำเนินงานตามภารกิจของศูนย์สะเต็มศึกษาฯ
ภายใต้วิสัยทัศน์ว่า “เป็นศูนย์แห่งความเป็นเลิศในระดับภูมิภาคด้านการวิจัยและการพัฒนาศักยภาพด้านสะเต็มศึกษาที่ส่งเสริมนโยบายและแนวปฏิบัติที่รองรับด้วยงานวิจัย”
ซึ่งมีกรอบแนวทางการดำเนินงานตามภารกิจของศูนย์สะเต็มศึกษาฯ ได้แก่ (๑)
การประเมินและวิจัยเกี่ยวกับสะเต็มศึกษา เพื่อพัฒนาศักยภาพของประเทศและภูมิภาคด้านงานวิจัยเกี่ยวกับสะเต็มศึกษา
เพื่อให้ผู้นำทางการศึกษามีข้อมูลประกอบการกำหนดนโยบายที่มีฐานจากงานวิจัย (๒)
การพัฒนาสื่อและศักยภาพบุคลากรทางการศึกษา เพื่อวิจัย
พัฒนาและทดสอบสื่อการจัดการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ
และเผยแพร่สู่สถาบันการศึกษาและโรงเรียน อีกทั้งพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาทั้งในระดับผู้นำด้านนโยบาย
ผู้บริหารการศึกษา ผู้อำนวยการสถานศึกษา ครู ศึกษานิเทศก์ในด้านการเป็นผู้นำด้านการจัดการสะเต็มศึกษา
และ (๓) การให้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย การสร้างพันธมิตร และการสื่อสาร โดยกระทรวงศึกษาธิการจะจัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายและเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป
ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒.
ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ. เช่น (๑) ควรสนับสนุนตามแผนการดำเนินงานของศูนย์สะเต็มศึกษาฯ
โดยจัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายและเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามระยะเวลาของแผนงาน
โดยกำหนดผลสัมฤทธิ์ที่แสดงให้เห็นถึงความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณ
การบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของศูนย์สะเต็มศึกษาฯ และ (๒) แผนการดำเนินงานของศูนย์สะเต็มศึกษาฯ
เป็นแผนที่จัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นกรอบการดำเนินงานภายในเฉพาะศูนย์สะเต็มศึกษาฯ
เท่านั้น จึงไม่มีความจำเป็นต้องนำแผนดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการพิจารณากลั่นกรองแผนระดับที่
๓ ตามแนวทางการนำเสนอแผนเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี
โดยสามารถดำเนินการเสนอแผนการดำเนินงานของศูนย์สะเต็มศึกษาฯ ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนปกติ
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 92 | เสนอคณะรัฐมนตรีเห็นสมควรให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | มท. | 06/10/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์การบริหารส่วนจังหวัดก่อน
และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งคณะกรรมการการเลือกตั้งทราบต่อไป
สำหรับการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประเภทอื่นจะได้พิจารณาในโอกาสต่อไป
โดยคำนึงถึงสถานการณ์ เช่น ระยะห่างกับการดำเนินการตามกระบวนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
(การลงประชามติ การเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ)
และความพร้อมของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 93 | การดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2562 เรื่อง แนวทางการบริหารจัดการผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูงภาครัฐ (Government Chief Information Officer Management Guideline) | นร.10 | 29/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๒) เรื่อง
แนวทางการบริหารจัดการผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูงภาครัฐ [Government
Chief Information Officer (GCIO) Management
Guideline] ของสำนักงาน ก.พ. และเห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรี (๒๖
พฤศจิกายน ๒๕๖๒) รวมทั้งเห็นชอบการเพิ่มเติมบทบาทของ GCIO ระดับกระทรวง
กรม และจังหวัด
ในการเป็นผู้นำการปรับเปลี่ยนและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและการบริการของหน่วยงานในรูปแบบ
Digital Transformation เพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนองค์กรสู่ยุคดิจิทัลอย่างเร่งด่วน
ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ ที่ได้เสนอตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว ส่วนงบประมาณในปีต่อ ๆ ไป
ให้พิจารณาจัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงแรงงาน สำนักงาน ก.พ.ร.
และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) เช่น
การให้หน่วยงานที่รับผิดชอบหลักในการฝึกอบรมหลักสูตร GCIO
การจัดเตรียมงบประมาณการอบรมให้แก่บุคลากรภาครัฐที่ต้องเข้าร่วมการอบรม
เนื่องจากบางปีงบประมาณหลายหน่วยงานไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณด้านการอบรม
การเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ GCIO ในการผลักดันระบบการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ
และการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาสนับสนุนการทำงานของหน่วยงานภาครัฐ เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 94 | ร่างพระราชบัญญัติการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติการเข้าชื่อเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | มท. | 01/09/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น
พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยปรับปรุงกระบวนการการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่นเพื่อให้ประชาชนในท้องถิ่นสามารถเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่นได้สะดวกและมีความเหมาะสมยิ่งขึ้น
และร่างพระราชบัญญัติการเข้าชื่อเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงวิธีการในการเข้าชื่อเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นให้สอดคล้องกับมาตรา
๒๕๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย รวม ๒ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๒.
รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติการเข้าชื่อเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 95 | ผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน และผู้บริหารท้องถิ่นเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 1 (ระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา) | นร.11 | 25/08/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน
และผู้บริหารท้องถิ่นเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก ๑ (ระยอง
ชลบุรี และฉะเชิงเทรา) เมื่อวันอังคารที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๓ ณ จังหวัดระยอง
และเห็นชอบตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี
และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ
รวมทั้งรายงานผลการดำเนินการให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒.
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 96 | การพิจารณาแต่งตั้งผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ | พม | 08/07/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ เป็นผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ โดยให้ได้รับค่าตอบแทนคงที่เดือนละ ๓๓๐,๐๐๐ บาท ค่าตอบแทนผันแปรไม่เกินร้อยละ ๓๐ ของผลตอบแทนรวมในแต่ละปี และร่างสัญญาจ้างผู้บริหารพร้อมสิทธิประโยชน์อื่นที่ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติจะได้รับ ตามมติคณะกรรมการการเคหะแห่งชาติ ครั้งที่ ๑๙/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ และให้ นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ลาออกจากตำแหน่งผู้บริหารขององค์การมหาชนก่อนลงนามในสัญญาจ้างด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 97 | รายงานผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment: ITA) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 | ปช | 16/06/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment : ITA) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ และรายงานสรุปผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐนำไปประกอบการพิจารณาปรับปรุง พัฒนา และยกระดับ ตลอดจนเตรียมความพร้อมรับการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ หน่วยงานภาครัฐที่เข้ารับการประเมิน ๘,๒๙๙ หน่วยงาน มีผลการประเมินผ่านเกณฑ์ตั้งแต่ระดับ A ขึ้นไป จำนวน ๙๗๐ หน่วยงาน หรือคิดเป็นร้อยละ ๖๖.๗๔ คะแนน ซึ่งอยู่ในระดับผลการประเมินที่ระดับ C ๑.๒ รับทราบรายชื่อหน่วยงานที่ดำเนินการไม่ครบตามขั้นตอนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติกำหนด ๑.๓ ให้ผู้บริหารของหน่วยงานภาครัฐให้ความสำคัญกับการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ โดยเตรียมพร้อมในการประเมินอย่างต่อเนื่องและให้ข้อมูลประกอบการประเมินที่เกิดจากการดำเนินงานหรือที่เกิดจากการให้บริการประชาชนอย่างแท้จริง รวมถึงนำผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ มาใช้ในการพัฒนาหน่วยงาน ๑.๔ ให้ทุกกระทรวงพิจารณากำหนดให้ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตประจำกระทรวง หรือกลุ่มส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรม ได้มีบทบาทในการเตรียมความพร้อมและยกระดับผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ๑.๕ ให้องค์กรสื่อของรัฐประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้เกี่ยวกับการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐทั่วประเทศได้รับทราบและเข้ามามีส่วนร่วมในการประเมิน ซึ่งจะช่วยให้ผลการประเมินสามารถสะท้อนการรับรู้เกี่ยวกับการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐได้ดียิ่งขึ้น ๒. ให้ส่งความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป ได้แก่ (๑) หน่วยงานที่กำหนดเป็นตัวชี้วัดตามคำรับรองการปฏิบัติราชการและได้ขยายผลการดำเนินงานไปยังราชการบริหารส่วนภูมิภาคที่ครอบคลุมส่วนราชการระดับจังหวัดถึงระดับอำเภอ ควรสนับสนุนงบประมาณให้เพียงพอต่อการดำเนินการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ เพราะถือเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญของประเด็นยุทธศาสตร์ที่ ๔ “พัฒนาระบบป้องกันการทุจริตเชิงรุก” และตัวชี้วัดความสำเร็จในภาพรวมของยุทธศาสตร์ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๕) ตลอดจนเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ตามแนวนโยบายสำคัญของรัฐบาล (๒) ให้ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตประจำกระทรวง หรือจังหวัด เป็นศูนย์กลางในการขับเคลื่อนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสร่วมกับกลุ่มส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรมในแต่ละกรม หรือจังหวัดภายใต้สังกัด และให้ใช้หลักสูตรเสริมสร้างธรรมาภิบาลต่อต้านการทุจริตและคู่มือแนวทางการประเมินความเสี่ยงการทุจริตของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการส่งเสริมการประเมินและยกระดับค่าคะแนน และ (๓) ในการผลักดันรายงานผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ และขับเคลื่อนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ให้บรรลุผลจำเป็นต้องยกระดับการมีส่วนร่วมของบุคลากรในหน่วยงานและอาศัยผู้บริหารของหน่วยงานภาครัฐเห็นถึงความสำคัญกับการประเมิน ITA และนำผลการประเมินมาใช้ในการพัฒนาหน่วยงานเพื่อหาทางยับยั้งการทุจริตหรือผลประโยชน์ทับซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ทันการณ์ รวมทั้งการกำหนดผู้รับผิดชอบหลักในภารกิจดังกล่าวในหน่วยงานอย่างชัดเจน ได้แก่ ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตประจำกระทรวง หรือกลุ่มงานส่งเสริมและคุ้มครองจริยธรรมให้มีบทบาทในการเตรียมความพร้อมและยกระดับผลการประเมินอย่างต่อเนื่องให้สอดคล้องตามภารกิจและอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานที่รับการประเมิน |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 98 | ให้รายงานความคืบหน้าในการดำเนินการแก้ไขปัญหาของสหกรณ์ | นร | 28/04/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า ปัจจุบันการดำเนินกิจการของสหกรณ์หลายแห่งประสบปัญหาทั้งในด้านการบริหารจัดการ ด้านการเงิน หรือขาดสภาพคล่อง รวมทั้งปัญหาความโปร่งใสในการดำเนินงานของผู้บริหารสหกรณ์ด้วย ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อสมาชิกสหกรณ์และประชาชนที่เกี่ยวข้องในวงกว้างได้ ดังนั้น คณะรัฐมนตรีจึงมีมติมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมส่งเสริมสหกรณ์) ติดตามและตรวจสอบการดำเนินกิจการของสหกรณ์ต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง รวมทั้งให้จัดทำรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการแก้ไขปัญหาของสหกรณ์เสนอต่อนายกรัฐมนตรีทุก ๆ ๑ เดือน โดยเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๓ เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 99 | ผลการเยือนกรุงโตเกียว และจังหวัดชิบะ ประเทศญี่ปุ่น ของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) | นร13 | 24/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการเยือนกรุงโตเกียว และจังหวัดชิบะ ประเทศญี่ปุ่น ของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ระหว่างวันที่ ๑๗-๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ โดยได้พบปะหารือในประเด็นต่าง ๆ กับภาครัฐและหน่วยงานพันธมิตร รวมทั้งภาคเอกชนของญี่ปุ่น ได้แก่ (๑) การเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Comprehensive and Progressive Agreement of Trans-Pacific Partnership : CPTPP) ของไทย โดยไทยจะเสนอเรื่องการเข้าร่วม CPTPP ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาภายในเดือนเมษายน ๒๕๖๓ และจะยื่นความจำนงเข้าร่วมเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการในการประชุมคณะกรรมาธิการ CPTPP ครั้งที่ ๓ ณ สหรัฐเม็กซิโก ณ ในเดือนสิงหาคม ๒๕๖๓ (๒) ความร่วมมือด้านการยกระดับภาคการเกษตรชุมชนของไทย โดยไทยได้ขอความร่วมมือจากหน่วยงานพันธมิตรและเอกชนของญี่ปุ่นที่มีบทบาทในการพัฒนาการเกษตรของญี่ปุ่น เพื่อนำเทคโนโลยีและรูปแบบการพัฒนาการเกษตรของญี่ปุ่นมายกระดับภาคการเกษตรชุมชนของไทยให้เป็นเกษตรกรรมสมัยใหม่ โดยเฉพาะด้านเครื่องจักรแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร และ (๓) การหารือกับภาคเอกชนรายบริษัท โดยได้หารือกับผู้บริหารจากภาคเอกชนที่มีแผนการขยายการลงทุนในไทย รวมถึงบริษัทที่สนใจจะนำสินค้าเกษตรและสินค้าจากชุมชนของไทยไปจำหน่ายในตลาดผู้บริโภคญี่ปุ่นและเทศอื่น ๆ และเห็นชอบการมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการหารือให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเสนอ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับการเร่งศึกษาประโยชน์และผลกระทบในการเข้าร่วมเป็นสมาชิก CPTPP อย่างรอบด้าน รวมทั้งทำความเข้าใจกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องภายในประเทศ และหาแนวทางรองรับที่เหมาะสมเพื่อให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาและสามารถดำเนินกระบวนการที่เกี่ยวข้องได้ตามกรอบเวลาที่คาดการณ์ไว้ การส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตามสาขาการลงทุนเพื่อรองรับการขยายตัวของการลงทุนของญี่ปุ่นในไทยในระยะยาว และการสานต่อความร่วมมือกับญี่ปุ่นเพื่อพัฒนาขีดความสามารถในภาคเกษตรกรรมของไทย โดยเฉพาะในการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการผลิตและการแปรรูปผลิตภัณฑ์ซี่งจะมีส่วนช่วยส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่มต่อสินค้าเกษตรของไทย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 100 | ผลการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง | กต | 10/03/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของนางแคร์รี หล่ำ (Carrie Lam) ผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ในฐานะแขกของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ระหว่างวันที่ ๒๘-๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ โดยมีภารกิจหลักระหว่างการเยือนและประเด็นสำคัญของการหารือ ได้แก่ (๑) การเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี โดยทั้งสองฝ่ายย้ำถึงความสำคัญของการผลักดันการเชื่อมโยงทางยุทธศาสตร์ระหว่างไทยกับเขตบริหารพิเศษฮ่องกง (๒) การประชุม High Level Joint Committee (HLJC) ไทย-ฮ่องกง ครั้งที่ ๑ ได้ร่วมกันกำหนดแนวทางและมาตรการการส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ เช่น ด้านการค้า ด้านการโยกย้ายฐานการผลิตและการลงทุน และด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เป็นต้น และ (๓) การลงนามบันทึกความเข้าใจ โดยรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) และผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกงได้ร่วมกันลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเสริมสร้างความส้มพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับฮ่องกง รวมทั้งร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนไทยกับเขตบริหารพิเศษฮ่องกง และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการเยือนดังกล่าว ได้แก่ การเพิ่มพูนมูลค่าการค้า การจัดทำความตกลงการค้าเสรี การลงทุน อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ การเงิน การแลกเปลี่ยนวิสาหกิจและวิสาหกิจเริ่มต้น (Start-up) ด้านเทคโนโลยีและดิจิทัล การพัฒนาทรัพยากรบุคคล การท่องเที่ยว และความเชื่อมโยงระดับประชาชน การเชื่อมโยงเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างไทยกับเขตบริหารพิเศษฮ่องกง และการขับเคลื่อนการประสานงานและการทำงานของกลไกการประชุมระดับสูงไทย-ฮ่องกง เพื่อให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรมต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
