ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 6 จากทั้งหมด 55 หน้า แสดงรายการที่ 101 - 120 จากข้อมูลทั้งหมด 1084 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 101 | ผลการประชุม Asian Financial Forum ครั้งที่ 13 และการพบปะผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานด้านเศรษฐกิจของเขตบริหารพิเศษฮ่องกง | กค | 11/02/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุม Asian Financial Forum (AFF) ครั้งที่ ๑๓ และการพบปะผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานด้านเศรษฐกิจของเขตบริหารพิเศษฮ่องกง (ฮ่องกง) จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๑-๑๔ มกราคม ๒๕๖๓ ณ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เข้าร่วมการประชุม AFF ภายใต้หัวข้อ “Redefining Growth : Innovation, Breakthrough, Inclusiveness” ซึ่งเป็นเวทีการประชุมนานาชาติที่รวมผู้บริหารระดับสูงจากภาคการเงิน ภาครัฐ และภาคเอกชนของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก โดยไทยได้เน้นย้ำในด้านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้างความเชื่อมโยง (Connectivity) กับประเทศต่าง ๆ การส่งเสริมการเงินเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนและการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะการดำเนินโครงการ National e-Payment การสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อมุ่งสู่เศรษฐกิจนวัตกรรมโดยการลงทุนในด้านการศึกษาการวิจัยและพัฒนา ๒. การหารือผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานด้านเศรษฐกิจของฮ่องกง เช่น การหารือทวิภาคีกับนายพอล ชาน (Mr. Paul Chan) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของฮ่องกง การหารือทวิภาคีร่วมกับนายปีเตอร์ แลม (Mr. Peter K N Lam) ประธานสภาพัฒนาการค้าฮ่องกง (Hong Kong Trade DEVELOPMENT Council : HKTDC) และการพบปะหารือกับคณะผู้แทนภาคการเงินการธนาคารในฮ่องกง (Thai Professional and Friends of Thailand from Financial Sector) เป็นต้น เพื่อขับเคลื่อนและสานต่อความร่วมมือระหว่างรัฐบาลของทั้งสองฝ่ายในด้านต่าง ๆ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 102 | ผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน และผู้บริหารท้องถิ่น เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ชายแดน (นราธิวาส ปัตตานี และยะลา) | นร11 | 21/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน และผู้บริหารท้องถิ่นเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ขายแดน (นราธิวาส ยะลา ปัตตานี) เมื่อวันอังคารที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๖๓ โดยมีประเด็นสำคัญ ได้แก่ (๑) ด้านการยกระดับการผลิตและสร้างมูลค่าเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรกรรม (๒) ด้านการพัฒนาการค้าและการลงทุนเชื่อมโยงประเทศเพื่อนบ้าน (๓) ด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยว (๔) ด้านการพัฒนาระบบโลจิสติกส์และโครงสร้างพื้นฐาน และ (๕) ด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ประชาชนอยู่ดีมีสุขและยั่งยืน ๑.๒ เห็นชอบตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ รวมทั้งรายงานผลการดำเนินการให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ๒. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 103 | การขอรับการสนับสนุนงบประมาณการซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดการแข่งขันมหกรรมกีฬาระดับนานาชาติ 5 รายการ | กก | 21/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อจัดซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดการแข่งขันมหกรรมกีฬาระดับนานาชาติ ๕ รายการ ประกอบด้วย (๑) การแข่งขันมหกรรมกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน (โตเกียว ๒๐๒๐) (๒) การแข่งขันมหกรรมกีฬาโอลิมปิกเยาวชนฤดูหนาว (โลซาน ๒๐๒๐) (๓) การแข่งขันมหกรรมกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว (ปักกิ่ง ๒๐๒๒) (๔) การแข่งขันมหกรรมกีฬาโอลิมปิกเยาวชนฤดูร้อน (ตาการ์ ๒๐๒๒) และ (๕) การแข่งขันมหกรรมกีฬาเอเชียนเกมส์ (หางโจว ๒๐๒๒) ซึ่งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาแล้วเห็นควรซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดการแข่งขันฯ ทั้ง ๕ รายการ จากบริษัท แพลนบี มีเดีย จำกัด (มหาชน) ที่เป็นผู้บริหารจัดการลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดและการตลาด มูลค่ารวม ๔๘๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (รวมภาษีทั้งหมดที่เกี่ยวข้องแล้ว แต่ไม่รวมค่าดำเนินการด้านเทคนิคการออกอากาศ) โดยได้รับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติแล้ว ๒๔๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท จึงจำเป็นต้องขอรับการสนับสนุนจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ มาสมทบในวงเงิน ๒๔๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไปให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการกีฬาแห่งประเทศไทย รับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เช่น เห็นควรให้การกีฬาแห่งประเทศไทยดำเนินการเกี่ยวกับงบประมาณการถ่ายทอดสดการแข่งขันดังกล่าวให้สอดคล้องกับมติคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ ๔/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๖๒ และในการขอรับการสนับสนุนงบประมาณการจัดซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดการแข่งขันมหกรรมกีฬาดังกล่าวจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ นั้น จะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรา ๒๗ (๒๑) และมาตรา ๕๕ แห่งพระราชบัญญัติจัดสรรองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 104 | รายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน สำหรับปีสิ้นสุด วันที่ 30 กันยายน 2560 | คค | 07/01/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน (กปถ.) สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน งบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน งบแสดงการเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์สุทธิ/ส่วนทุน และงบกระแสเงินสด ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบรับรองงบการเงินแล้วมีความเห็นว่า งบการเงินของ กปถ. แสดงฐานะการเงินโดยถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังประกาศใช้ โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินมีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะประกอบการตรวจสอบงบการเงินบางประการ สำหรับรายงานการประเมินผลการใช้จ่ายเงินและทรัพย์สิน กปถ. สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินมีข้อเสนอแนะให้ผู้บริหาร กปถ. ดำเนินการแก้ไขความเสี่ยงในการบริหารจัดการลูกหนี้ค่าหมายเลขทะเบียนรถ การประมวลผลข้อมูลบัญชีและการเงิน การอนุมัติโครงการตามกรอบวงเงิน ประสิทธิภาพในการใช้จ่ายเงินตามโครงการที่ได้รับการอนุมัติ และการติดตามผลจากการตรวจสอบงบการเงิน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้เสนอรัฐสภาทราบต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมนำรายงานในเรื่องนี้ไปประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อรัฐสภาได้รับทราบรายงานดังกล่าวแล้ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 105 | รายงานผลการเดินทางเยือนนครเซี่ยงไฮ้ของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ | พณ | 17/12/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางเยือนนครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ ๕-๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การเข้าร่วมพิธีเปิดงาน China International Import Expo (CIIE) 2019 ซึ่งเป็นงานมหกรรมแสดงสินค้านานาชาติประจำปีที่สำคัญเป็นลำดับต้นของจีน โดยในปี ๒๕๖๒ ไทยได้รับเกียรติให้เป็นประเทศแขกเกียรติยศ (Guest Country of Honor) โดยมีประธานาธิบดีของจีน (นายสี จิ้นผิง) เป็นประธานในพิธีเปิดงาน ซึ่งมีผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมแสดงสินค้า จำนวน ๔๖ ราย คาดการณ์มูลค่าซื้อขายในระยะเวลา ๑ ปี ประมาณ ๒,๐๐๐ ล้านบาท ๒. การพบหารือผู้บริหารและเยี่ยมชมซูเปอร์มาร์เก็ตเหอหม่า เฟรช (Hema Fresh หรือ Freshhippo) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของอาลีบาบาที่ให้บริการด้านการค้าปลีกผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ โดยมีสินค้าไทยวางจำหน่ายมากกว่า ๕๐๐ รายการสินค้า ซึ่งผู้บริหารของซูเปอร์มาร์เก็ตดังกล่าวเชื่อมั่นว่าสินค้าไทยมีโอกาสขยายตัวอีกมากในตลาดจีน โดยกระทรวงพาณิชย์จะเร่งผลักดันให้สินค้าไทยเข้าไปวางจำหน่ายให้มากขึ้น ทั้งนี้ คาดการณ์ว่ายอดจำหน่ายสินค้าไทยปี ๒๕๖๒ อยู่ที่ประมาณ ๔๕๐ ล้านหยวน หรือประมาณ ๒,๐๒๕ ล้านบาท ๓. การพบหารือผู้บริหารระดับสูงของอาลีบาบา โดยอาลีบาบายินดีส่งเสริมการตลาดและการส่งออกสินค้าเกษตรร่วมกัน อาทิ หมอนยางพารา ข้าว ผลไม้ สินค้าอาหาร และสินค้าศักยภาพอื่น ๆ ในอนาคต ตลอดจนส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบนิเวศพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีนวัตกรรมดิจิทัลของไทย ๔. กิจกรรมการเปิดตัวโครงการความร่วมมือการจำหน่ายสินค้าไทยผ่านช่องทางการค้าออนไลน์ ภายใต้ชื่อ TOPTHAI Flagship Store บนแพลตฟอร์มพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ Tmall Global ของอาลีบาบา มีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดันตราสินค้าไทยระดับสูงและตราสินค้าไทยที่มีคุณภาพและเอกลักษณ์เข้าสู่ตลาดจีน ตั้งเป้าผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมไม่น้อยกว่า ๑๐๐ บริษัท สร้างยอดจำหน่ายได้ไม่น้อยกว่า ๑,๒๐๐ ล้านบาท ใน ๓ ปี ๕. การพบหารือผู้บริหารตลาดหลงอู๋ (Longwu) และผู้นำเข้าผลไม้รายสำคัญ โดยตลาดหลงอู๋เป็นหนึ่งในตลาดนำเข้า ค้าส่ง ค้าปลีกผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดในนครเซี่ยงไฮ้ ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์คาดว่ามูลค่าการนำเข้าผลไม้ไทยในปี ๒๕๖๒ จะอยู่ที่ ๑,๗๔๐ ล้านหยวน หรือประมาณ ๗,๘๓๐ ล้านบาท โดยกระทรวงพาณิชย์จะผลักดันให้มีการนำเข้าผลไม้ไทยมากขึ้น และคาดว่าในปี ๒๕๖๓ มูลค่าการนำเข้าผลไม้ไทยจะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ ๒๐ ๖. แผนการดำเนินงานเร่งด่วน เพื่อขับเคลื่อนการส่งออกของไทยให้เกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศได้เชิญผู้นำเข้าจากต่างประเทศในกลุ่มสินค้าข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา และผลไม้เข้าร่วมกิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจกับผู้ผลิต/ผู้ส่งออกของไทย ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ และกำหนดจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดร่วมกับผู้นำเข้า ผู้จัดจำหน่าย และร้านค้าปลีกสมัยใหม่ในจีน เพื่อยกระดับการส่งออกผลไม้และสินค้านวัตกรรมจากผลไม้ไทยตลอดปีงบประมาณ ๒๕๖๓
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 106 | ขออนุมัติเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนย ปี 2562 เพิ่มเติม | กษ | 11/12/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในการอนุมัติเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนย ปี ๒๕๖๒ เพิ่มเติม ปริมาณ ๒,๙๙๓.๐๒ ตัน ในอัตราภาษีร้อยละ ๕ ตามมติคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๒ และขอยกเว้นการจัดสรรโควตาตามสัดส่วนผู้ประกอบการ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ เรื่อง การบริหารจัดการนมทั้งระบบ เนื่องจากเป็นการพิจารณาจัดสรรให้แก่ผู้ประกอบการตามความจำเป็นและเดือดร้อนจากการขาดแคลนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต ๑.๒ มอบหมายให้คณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมเป็นผู้บริหารการจัดสรรโควตาในข้อ ๑.๑ ให้กับผู้ประกอบการตามความจำเป็นและเดือดร้อนจากการขาดแคลนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต โดยต้องนำเข้าให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๒ และต้องไม่กระทบต่อมาตรการและปริมาณการรับซื้อน้ำนมโคจากเกษตรกร ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและข้อสังเกตของกระทรวงสาธารณสุขที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการรณรงค์ส่งเสริมการบริโภคนมพร้อมดื่มและผลิตภัณฑ์นมที่ใช้น้ำนมโคในประเทศอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการพัฒนาศักยภาพทั้งด้านการผลิตและการตลาดให้กับผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นมโดยเฉพาะสหกรณ์ให้สามารถแข่งขันได้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำนมโคในประเทศในระยะยาว นอกจากนี้ นมผงขาดมันเนยเข้าข่ายเป็นอาหารตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ดังนั้น ผู้นำเข้าต้องขอรับใบอนุญาตนำเข้าอาหาร และควบคุมคุณภาพของผลิตภัณฑ์นมผงขาดมันเนยให้มีคุณภาพมาตรฐานสอดคล้องตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ ๓๕๐) พ.ศ. ๒๕๕๖ เรื่อง นมโค เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อผู้บริโภค ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 107 | แนวทางการบริหารจัดการผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูงภาครัฐ (Government Chief Information Officer Management Guideline) | นร10 | 26/11/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางการบริหารจัดการผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูงภาครัฐ (Government Chief Information Officer Management Guideline) โดยเป็นการกำหนดโครงสร้าง รูปแบบความสัมพันธ์ บทบาทและหน้าที่ความรับผิดชอบ รวมทั้งคุณสมบัติของผู้ที่จะดำรงตำแหน่งผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูงภาครัฐในแต่ละระดับ ตลอดจนกำหนดให้มีทีมสนับสนุนการปฏิบัติงานของผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูงภาครัฐ และแนวทางการอบรมผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูงภาครัฐ และทีมสนับสนุนฯ เพื่อเพิ่มทูนทักษะด้านดิจิทัล ตามข้อเสนอของสำนักงาน ก.พ. ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ. รับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ข้อเสนอแนะของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) และข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ.ร. และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการบริหารพนักงานราชการไปพิจารณาร่วมกันให้ได้ข้อยุติในประเด็นต่าง ๆ เช่น คุณสมบัติของผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูงภาครัฐแต่ละระดับ และทีมสนับสนุนฯ ความซ้ำซ้อนขององค์ประกอบและหน้าที่ความรับผิดชอบระหว่างคณะกรรมการผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูงภาครัฐกับคณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล การจัดอบรมหลักสูตรผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูงภาครัฐให้เหมาะสมและสอดคล้องกับภารกิจของแต่ละหน่วยงานและไม่ซ้ำซ้อนกับหลักสูตรรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริหารระดับสูง และการจัดสรรกรอบอัตรากำลังพนักงานราชการเพิ่มเติมให้แก่ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ เป็นต้น ก่อนดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้สำนักงาน ก.พ. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการสนับสนุนกรอบอัตรากำลังพนักงานราชการเพิ่มเติมให้กับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องนั้น จะทำให้เป็นภาระงบประมาณด้านบุคลากรภาครัฐ จึงเห็นควรให้สำนักงาน ก.พ. กำหนดแนวทางและหลักเกณฑ์การเสนอขออนุมัติกรอบอัตรากำลังให้ได้ข้อยุติอย่างชัดเจน และเห็นควรให้สำนักงาน ก.พ. เร่งจัดทำคู่มือประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานภาครัฐทราบ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. เห็นชอบให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๔๑ (เรื่อง การแต่งตั้งผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูงประจำกระทรวง ทบวง กรม และการจัดทำแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศของกระทรวง) ในส่วนของการแต่งตั้งผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูงประจำกระทรวง ทบวง กรม ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ ๔. เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ (เรื่อง โครงการอบรมหลักสูตรรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริหารระดับสูง จากเดิม “ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ชื่อเดิมกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร) โดยสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการโครงการอบรมหลักสูตรรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริหารระดับสูง” เป็น “ให้สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการโครงการอบรมหลักสูตรผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูงภาครัฐ พร้อมทั้งมอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับผิดชอบรับรองกรอบหลักสูตรผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูงภาครัฐและผู้ช่วยบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูงภาครัฐ มีการติดตาม ประเมินผล และให้คำแนะนำการปรับปรุงและแนวทางการพัฒนาหลักสูตรให้เหมาะสมกับบริบทและกลุ่มเป้าหมายการพัฒนา รวมทั้งสร้างชุมชนเครือข่ายผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูงภาครัฐ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล โดยให้นำทักษะด้านดิจิทัลของผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูงภาครัฐและผู้ช่วยผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูงภาครัฐที่คณะกรรมการข้าราชการพลเรือนกำหนดมาใช้เป็นกรอบในการออกแบบหลักสูตรผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูงภาครัฐด้วย โดยในระหว่างที่กรอบหลักสูตรผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูงภาครัฐและผู้ช่วยผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูงภาครัฐยังไม่ได้รับการรับรอง ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมจัดการฝึกอบรมหลักสูตรเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับผู้บริหารระดับสูงภาครัฐไปพลางก่อน ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 108 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลเขตบริหารพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน | กต | 26/11/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลเขตบริหารพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน (Memorandum of Understanding between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the Hong Kong Special Administrative Region of the People’s Republic of China on Strengthening Economic Relations) มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดแนวทางส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับเขตบริหารพิเศษฮ่องกงใน ๖ ด้าน ได้แก่ (๑) การจัดทำความตกลงการค้าเสรีและการปรับปรุงความตกลงว่าด้วยการลงทุนระหว่างไทยกับเขตบริหารพิเศษฮ่องกง (๒) ความร่วมมือด้านการลงทุนและการโยกย้ายฐานการผลิต (๓) ความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (๔) ความร่วมมือด้านการเงิน (๕) ความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีสมัยใหม่และวิสาหกิจเริ่มต้น (Start-up) และ (๖) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ๑.๒ อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ร่วมลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ กับผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน ในระหว่างการเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ ๒๘-๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 109 | ผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน และผู้บริหารท้องถิ่น เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง1 (กาญจนบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี) | นร11 | 12/11/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน และผู้บริหารท้องถิ่นเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง ๑ (กาญจนบุรี ราชบุรี และสุพรรณบุรี) เมื่อวันอังคารที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งมีผลการประชุมในประเด็นสำคัญ ได้แก่ ด้านเกษตร ด้านการท่องเที่ยว ด้านการบริหารจัดการน้ำ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และข้อเสนอเชิงนโยบาย ๑.๒ เห็นชอบตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ รวมทั้งรายงานผลการดำเนินการให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ๒. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 110 | ขอความเห็นชอบร่างหนังสือแสดงเจตจำนงว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ระหว่างกระทรวงกลาโหมกับคณะกรรมการบริหารงานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และอุตสาหกรรมเพื่อการป้องกันประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน | กห | 29/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงกลาโหมจัดทำหนังสือแสดงเจตจำนงว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ระหว่างกระทรวงกลาโหมแห่งราชอาณาจักรไทยกับคณะกรรมการบริหารงานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและอุตสาหกรรมเพื่อการป้องกันประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (Letter of Intent on Cooperation in Science, Technology and Industry for Defence between the Ministry of Defence of the Kingdom of Thailand and the State Administration of Science, Technology and Industry for Kingdom of Thailand and the State Administration of Science, Technology and Industry for National Defence of the People of the People’s Republic of China) มีสาระสำคัญเป็นการเสริมสร้างขีดความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และขยายความสัมพันธ์ที่มีอยู่ระหว่างกันภายใต้กรอบของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับของแต่ละประเทศ การกำหนดให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และอุตสาหกรรมป้องกันประเทศจีน-ไทย ซี่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการจัดทำและตรวจสอบแผนและโครงการต่าง ๆ ที่ทำร่วมกัน การจัดประชุมประจำปี และการประสานงานในกรณีที่เกิดข้อพิพาทระหว่างกัน โดยจะมีการลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงฯ ภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๒ ณ ประเทศไทย ๑.๒ ให้ผู้อำนวยการศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหารหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยในร่างหนังสือแสดงเจตจำนงฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือแสดงเจตจำนงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงงกลาโหมรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมที่เสนอให้มีการปรับข้อความในหนังสือแสดงเจตจำนงฯ จากเดิม “ความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ” เป็น “ความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และอุตสาหกรรม สำหรับการป้องกันประเทศ” เพื่อให้สื่อถึงกรอบเนื้อหาของความร่วมมือนี้อย่างชัดเจนมากขึ้น และใช้ข้อความนี้ในเนื้อหาส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และในการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ อาจพิจารณาเพิ่มเติมองค์ประกอบให้มีผู้บริหารหรือผู้แทนจากหน่วยงานภาคพลเรือนที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นคณะกรรมการหรือที่ปรึกษาด้วย เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนางานวิจัยและอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 111 | ขอเสนอมาตรฐานสถิติเพื่อให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ | ดศ | 22/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบมาตรฐานสถิติที่ได้ดำเนินการแล้วเสร็จ และประกาศใช้เป็นมาตรฐานในการผลิตสถิติ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่นของรัฐนำมาตรฐานดังกล่าวใช้เป็นแนวทางในการจัดทำข้อมูลสถิติของหน่วยงานต่อไป เพื่อให้ข้อมูลสถิติของประเทศสามารถแลกเปลี่ยนเชื่อมโยง และใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่จัดทำขึ้นต่างช่วงเวลาและต่างแหล่งข้อมูลได้ร่วมกัน สามารถนำมาใช้ในการวิเคราะห์เพื่อตัดสินใจในการกำหนดนโยบายหรือตอบโจทย์ตัวชี้วัดต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม เกิดความคุ้มค่าของการใช้ทรัพยากรในการผลิตสถิติของประเทศ ๑.๒ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานของรัฐจัดทำสถิติให้เป็นไปตามแผนกำหนดความรับผิดชอบในการดำเนินงานทางสถิติตามแผนแม่บท และดำเนินการให้ถูกต้องตามมาตรฐานสถิติ ๑.๓ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานของรัฐจัดส่งข้อมูลการใช้มาตรฐานสถิติ รวมถึงรายละเอียดของข้อมูล (Metadata) ตามมาตรฐานที่สำนักงานสถิติแห่งชาติกำหนด ทั้งข้อมูลระดับย่อย (Microdata) และข้อมูลสถิติเพื่อให้สำนักงานสถิติแห่งชาติรวบรวมเป็นข้อมูลในการจัดทำศูนย์กลางรายการข้อมูลภาครัฐ (National Data Catalogue and Directory services) และเพื่อให้สามารถติดตามและประเมินสถานการณ์การพัฒนาสถิติของประเทศให้มีคุณภาพตามหลักการพื้นฐานสถิติทางการและสอดคล้องตามมาตรฐานสากล สามารถนำมาใช้สนับสนุนการตัดสินใจของผู้บริหารและการใช้ประโยชน์จากข้อมูลร่วมกันได้อย่างคุ้มค่า ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควร (๑) พิจารณากำหนดให้หน่วยงานสามารถผลิตสถิติใหม่เพิ่มเติมได้นอกเหนือจากที่กำหนดภายใต้มาตรฐานสถิติ หากพิจารณาแล้วว่ามีความจำเป็นที่ต้องจัดทำและเป็นประโยชน์ต่อประเทศ (๒) สำนักงานสถิติแห่งชาติอาจพิจารณานำเสนอการจัดประเภทมาตรฐานอาชีพ (ประเทศไทย) ปี ๒๕๔๔ เพื่อเป็นมาตรฐานในการจัดทำข้อมูลสถิติของประเทศ (๓) ให้มีการหารือและแลกเปลี่ยนการทำ mapping ข้อมูลสถิติระหว่างหน่วยงาน เพื่อจัดทำทะเบียนข้อมูลสถิติกลาง และให้สำนักงานสถิติแห่งชาติเป็นหน่วยงานกลางในการประสานงาน (๔) คำนึงถึงนโยบายการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐ กรอบการกำกับดูแลข้อมูล และประเด็นการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล (๕) เร่งรัดการจัดทำมาตรฐานสถิติอื่น ๆ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อประโยชน์ในการนำมาใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาการจัดทำสถิติทางการให้อยู่ในมาตรฐานเดียวกัน (๖) มีการกำหนดรายละเอียดขอบเขตของข้อมูลเนื้อหา รูปแบบ และวิธีการในการจัดทำศูนย์กลางรายการข้อมูลภาครัฐให้ชัดเจน และ ๗) ประชาสัมพันธ์ให้ภาคเอกชนมีการจัดทำข้อมูลสถิติที่สามารถเชื่อมโยงเข้าสู่มาตรฐานสถิติได้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. การนำเสนอมาตรฐานสถิติและมาตรฐานการผลิตสถิติต่อคณะรัฐมนตรีในครั้งต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพิจารณานำตัวแปรที่สอดคล้องกันเสนอคณะรัฐมนตรีในคราวเดียวกัน เพื่อให้หน่วยงานผู้จัดทำและใช้ข้อมูลสถิติสามารถวางแผนการปรับเปลี่ยนระบบสถิติได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 112 | รายงานสรุปผลการประชุมระดับผู้บริหารหน่วยงานภาคีตามโครงการปฏิบัติการเฉพาะกิจร่วมไทย - ออสเตรเลีย ว่าด้วยความร่วมมือด้านยาเสพติดการฟอกเงิน และอาชญากรรมข้ามชาติ (Taskforce Storm) | ยธ | 15/10/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการประชุมระดับผู้บริหารหน่วยงานภาคีตามโครงการปฏิบัติการเฉพาะกิจร่วมไทย-ออสเตรเลีย ว่าด้วยความร่วมมือด้านยาเสพติด การฟอกเงิน และอาชญากรรมข้ามชาติ (Taskforce Storm) เมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๖๒ ณ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) โดยที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าของปฏิบัติการต่าง ๆ และชื่นชมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ภายใต้ปฏิบัติการดังกล่าว ซึ่งในส่วนของสำนักงาน ป.ป.ส. นั้น ตำรวจสหพันธ์ออสเตรเลีย (Australian Federal Police : AFP) ยินดีสนับสนุนโครงการร่วมในการพัฒนาศักยภาพตรวจพิสูจน์วิเคราะห์ยาเสพติดทางวิทยาศาสตร์ หรือ Drug Profiling ซึ่งสำนักงาน ป.ป.ส. ได้มอบชุดตัวอย่างยาเสพติดประเภทเมทแอมเฟตามีนที่ถูกตรวจยึดในประเทศไทยให้แก่ AFP เพื่อวิเคราะห์หาแหล่งที่มาและความเชื่อมโยงระหว่างคดี และจะมีการตรวจยาเสพติดชุดที่ ๒ ในเดือนกันยายน ๒๕๖๒ และหน่วยงานภาคีมีมติเห็นชอบที่จะร่วมปฏิบัติการเฉพาะกิจนี้เพื่อร่วมกันปราบปรามอาชญากรรมและแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน และได้มีการลงนามในเอกสารขยายระยะเวลาแผนปฏิบัติการเฉพาะกิจร่วมไทย-ออสเตรเลียฯ ออกไปอีกเป็นเวลา ๒๔ เดือน โดยข้อกำหนดและเงื่อนไขยังคงอยู่ โดยมีผลไปจนถึงวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 113 | การรายงานผลการเดินทางไปราชการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ณ ประเทศญี่ปุ่น | วธ | 24/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางไปราชการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ณ ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ ๑๗-๒๐ สิงหาคม ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยในต่างประเทศ “Thai Textiles : A Touch of Thai” ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติโตเกียว โดยกิจกรรมที่จัดขึ้นภายในงาน ประกอบด้วย การแสดงแฟชั่นโชว์ผ้าไทยร่วมสมัย นิทรรศการผ้าไทย การบรรเลงดนตรีไทยร่วมสมัย และงานเลี้ยงรับรองอาหารไทย ๒. กระทรวงวัฒนธรรมได้ดำเนินโครงการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยในประเทศญี่ปุ่น ภายใต้แนวคิด “ผ้าไทยสู่สากล” ใน ๓ เมืองหลักของญี่ปุ่น ประกอบด้วย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติโตเกียว กรุงโตเกียว The Garden Oriental Osaka นครโอซากา และโรงแรม Okura Fukuoka เมืองฟูกุโอกะ โดยได้มีการนำเสนอถึงความเป็นไปได้ของผ้าไทยในตลาดสากล มีการนำไปออกแบบอย่างร่วมสมัยทั้งเครื่องนุ่งห่ม เคหะภัณฑ์ ฯลฯ โดยใส่ใจกับผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน รวมถึงการทอผ้าไทยร่วมกับเส้นใยยับยั้งแบคทีเรีย ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ กระบวนการผลิตมีทั้งแบบทอมือและระบบโรงงาน ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกกับผ้าไทยมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ผ้าไทยสามารถขยายตลาดไปสู่อุตสาหกรรมการแพทย์และการดูแลสุขภาพด้วย ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและคณะผู้บริหารของกระทรวงวัฒนธรรมได้พบหารือแลกเปลี่ยนประสบการณ์การบริหารจัดการพิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้ทางด้านวัฒนธรรมในกรุงโตเกียว ได้แก่ (๑) พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติโตเกียว (Tokyo National Museum) เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีรูปแบบการจัดแสดงโบราณวัตถุ ชิ้นงานทางศิลปะ ที่จัดเรียงตามยุคสมัยของญี่ปุ่นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน (๒) พิพิธภัณฑสถานโอเดะ (Edo-Tokyo Museum) เป็นพิพิธภัณฑ์ที่แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการที่มาของกรุงโตเกียว และมีการใช้เครื่องมือนำชมแบบพกพาซึ่งมีให้เลือกหลายภาษา รวมทั้งภาษาไทยด้วย (๓) พิพิธภัณฑ์ดิจิทัล (Team Lab : Borderless Digital Museum) เป็นพิพิธภัณฑ์ดิจิทัลแห่งแรกของประเทศญี่ปุ่นที่ผสมผสานเทคนิคการจัดแสดงทั้งแสง สี เสียง และกลิ่น โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลทั้งหมด ซึ่งมีส่วนสำคัญให้ผู้เข้าชมได้จินตนาการและมีอิสระในการสร้างผลงานทางศิลปะอย่างสร้างสรรค์ และ (๔) พิพิธภัณฑ์ Tobido Gallery (Nippon Maruonochi Museum) เป็นพิพิธภัณฑ์ที่แสดงเทคโนโลยีของบริษัท Toppan จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี อาทิ เครื่องสแกนสามมิติขนาดพกพาที่นำมาใช้สแกนเพื่อบันทึกข้อมูลสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ได้ เครื่องพิมพ์ ๓ มิติที่สามารถจำลองชิ้นงานศิลปะหรือโบราณวัตถุให้มีขนาดและน้ำหนักเทียบเท่ากับของจริง และการใช้เทคโนโลยี Visual Reality ร่วมกับระบบอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (5G Internet) จัดแสดงผ่านคอมพิวเตอร์ให้ผู้สูงอายุ ผู้พิการ หรือผู้ที่อยู่ห่างไกลสามารถเข้าร่วมพิพิธภัณฑ์ได้โดยไม่ต้องเดินทางมาที่พิพิธภัณฑ์
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 114 | ผลการประชุมด้านกลไกการปฏิรูปกฎหมายของสาธารณรัฐเกาหลี | นร09 | 17/09/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมด้านกลไกการปฏิรูปกฎหมายของสาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๔-๖ กันยายน ๒๕๖๒ ในรูปแบบการอภิปรายแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์เชิงลึกระหว่างรองนายกรัฐมนตรี กรรมการกฤษฎีกา กรรมการพัฒนากฎหมาย ผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และเจ้าหน้าที่ภาครัฐที่เกี่ยวข้อง รวม ๑๐ คน กับผู้บริหาร นักวิจัย และเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกลไกการปฏิรูปกฎหมายของสาธารณรัฐเกาหลี แห่งสถาบันรัฐประศาสนศาสตร์แห่งสาธารณรัฐเกาหลี (Korea Institute of Public Administration : KIPA) สถาบันวิจัยกฎหมายแห่งสาธารณรัฐเกาหลี (Korea Legislation Research Institute : KLRI) สำนักงานปฏิรูปกฎระเบียบ (Regulatory Reform Office : RRO) กระทรวงกฎหมายของรัฐบาล (Ministry of Government Legislation : MOLEG) และสำนักงานบริการวิจัยประจำสภานิติบัญญัติ (National Assembly Research Service : NARS) โดยมีหัวข้อการอภิปรายเกี่ยวข้องกับภาพรวมของระบบการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการทางกฎหมาย (Regulatory Impact Analysis : RIA) การจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย การวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายและการตรวจสอบความถูกต้องของการวิเคราะห์ต้นทุนและประโยชน์ การปฏิรูปมาตรการทางกฎหมายเพื่อรองรับนวัตกรรมและนโยบายการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่ ๔ ของสาธารณรัฐเกาหลี ตลอดจนการใช้เครื่องมือและแนวปฏิบัติในการรับฟังความเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้อง ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกานำผลการประชุมดังกล่าวมาประยุกต์ให้สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทยต่อไปด้วย ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาปรับปรุงโครงสร้างองค์กร และคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อรองรับการปฏิรูปกฎหมายของประเทศด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 115 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง พ.ศ. .... | อว | 27/08/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาของสาขาวิชารัฐศาสตร์และสาขาวิชานิเทศศาสตร์ กำหนดสีประจำสาขาวิชาดังกล่าว แก้ไขครุยวิทยฐานะและเข็มวิทยฐานะของมหาวิทยาลัย รวมทั้งแก้ไขครุยประจำตำแหน่งและเครื่องหมายประกอบครุยประจำตำแหน่งของนายกสภามหาวิทยาลัย กรรมการสภามหาวิทยาลัย อธิการบดีของมหาวิทยาลัย ผู้บริหารของมหาวิทยาลัยและคณาจารย์ของมหาวิทยาลัย ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 116 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติและศูนย์พลังงานอาเซียน (Memorandum of Understanding on Education, Research, and Community Development between National Science and Technology Development Agency and ASEAN Center for Energy) | พน | 27/08/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติและศูนย์พลังงานอาเซียน (Memorandum of Understanding on Education, Research, and Community Development between National Science and Technology Development Agency and ASEAN Center for Energy) โดยให้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นหน่วยงานระดับภูมิภาคอาเซียนด้านการวิจัยเทคโนโลยีเชื้อเพลิงชีวภาพ และอนุมัติการลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ โดยผู้อำนวยการ สวทช. และผู้บริหารระดับสูงของศูนย์พลังงานอาเซียน (ASEAN Center for Energy) เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ซึ่งจะมีการลงนามในการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน ครั้งที่ ๓๗ และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒-๖ กันยายน ๒๕๖๒ ณ กรุงเทพมหานคร โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการริเริ่มให้เกิดความร่วมมือระหว่าง สวทช. และศูนย์พลังงานอาเซียน เพื่อเป็นหน่วยงานระดับภูมิภาคอาเซียนด้านศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเชื้อเพลิงชีวภาพ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนในภูมิภาคอาเซียนให้ได้ร้อยละ ๒๓ ภายในปี ค.ศ. ๒๐๒๕ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพลังงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงพลังงาน สวทช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นว่า ร่างบันทึกความเข้าใจฯ เป็นเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือที่เกี่ยวกับองค์การระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันรัฐบาลไทยที่จะต้องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามมาตรา ๔ (๗) แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 117 | ผลการประชุมเวทีข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง ครั้งที่ 2 | กต | 20/08/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบผลการประชุมเวทีข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (Belt and Road Forum for International Cooperation : BRF) ครั้งที่ ๒ และกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนเข้าร่วมการประชุมฯ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๕-๒๗ เมษายน ๒๕๖๒ ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยสาระสำคัญของผลการประชุมฯ ประกอบด้วย (๑) การประชุมระดับสูงของ BRF ครั้งที่ ๒ โดยประธานาธิบดีของจีนเป็นประธานพิธีเปิดการประชุมฯ และได้กล่าวต่อที่ประชุมฯ ว่า ข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทางจะสร้างโอกาสความร่วมมือที่เปิดกว้างและนำไปสู่ความมั่งคั่งร่วมกัน (๒) การประชุมผู้นำโต๊ะกลมของ RBF ครั้งที่ ๒ ที่ประชุมฯ ได้รับรองแถลงการณ์ร่วมของการประชุม RBF ครั้งที่ ๒ (๓) การประชุมเวทีกลุ่มย่อย เป็นการประชุมระดับรัฐมนตรีและผู้บริหารระดับสูงขององค์การระหว่างประเทศ เพื่อระดมความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการส่งเสริมความเชื่อมโยงในมิติต่าง ๆ เช่น ด้านนโยบายการพัฒนา โครงสร้างพื้นฐาน ดิจิทัล เศรษฐกิจ เป็นต้น (๔) การหารือทวิภาคีระหว่างนายกรัฐมนตรีกับประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีของจีนเกี่ยวกับแนวทางส่งเสริมความร่วมมือเชิงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ไทย-จีน อย่างรอบด้าน และ (๕) การหารืออย่างไม่เป็นทางการระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้นำประเทศอื่น ๆ เช่น การหารือกับประธานาธิบดีมองโกเลีย โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องจัดทำแผนงานระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๖) เป็นต้น และมอบหมายหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวเนื่องกับผลการประชุมฯ และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมภายใต้กรอบ BRF ใน ๕ มิติ ได้แก่ การเสริมสร้างการสอดประสานของนโยบายการพัฒนา การส่งเสริมความเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริมการพัฒนายั่งยืน การสร้างเสริมความเข้มแข็งของความร่วมมือที่ได้ผลในทางปฏิบัติ และความก้าวหน้าด้านการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงพาณิชย์ที่เห็นควรให้มีการบรรจุเรื่องการสนับสนุนและส่งเสริมความร่วมมือในการดำเนินการตามพันธกรณีอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกในการอนุรักษ์ ปกป้อง คุ้มครอง รักษา และส่งเสริมมรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติที่มีความสำคัญต่อมวลมนุษยชาติให้คงอยู่ต่อไป ทั้งในด้านการแลกเปลี่ยนทางวิชาการหรือการถ่ายทอดองค์ความรู้ร่วมกัน และควรมีการหยิบยกประเด็นการจัดตั้งกลไกการหารือระดับสูงระหว่างไทยกับผู้บริหารระดับสูงของมณฑลกวางตุ้ง ฮ่องกง และมาเก๊า ในการหารือระดับสูงระหว่างไทยกับจีนในโอกาสต่อไป เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือทางเศรษฐกิจระดับอนุภูมิภาคกับมณฑลของจีนให้สำเร็จเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 118 | ผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 และรายงานการศึกษาเพื่อจัดทำแผนพัฒนาคุณธรรม และความโปร่งใสในการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | ปช | 20/08/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยชี้แจงว่า ผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั่วประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ พบว่า ในภาพรวมมีค่าคะแนนเฉลี่ย ๖๑.๑๑ คะแนน ซึ่งต่ำกว่าค่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ (๘๕ คะแนนขึ้นไป) ดังนั้น จึงเห็นควรให้มีการเผยแพร่ผลการประเมินดังกล่าวให้ประชาชนรับทราบ เพื่อเป็นการสะท้อนคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานและการบริหารจัดการของ อปท. รวมทั้งให้ผู้บริหารของ อปท. และผู้ที่เกี่ยวข้องปรับปรุงและพัฒนา อปท. ให้สามารถยกระดับผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสให้สูงขึ้นต่อไป ๒. รับทราบผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของ อปท. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ และให้กระทรวงมหาดไทย และ อปท. เผยแพร่ผลการประเมินคุณธรรมฯ และรายงานการศึกษาเพื่อจัดทำแผนพัฒนาคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของ อปท. เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้กับประชาชนและผู้ที่เกี่ยวข้องในการสะท้อนปัญหาและผลกระทบจากการบริหารจัดการของ อปท. รวมทั้งเป็นการเฝ้าระวัง ตรวจสอบการบริหารจัดการของ อปท. ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย และ อปท. ประสานในรายละเอียดกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทย และ อปท. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ เช่น (๑) การจัดเก็บภาษีเสริมและจัดสรรรายได้ให้แก่ อปท. ควรคำนึงถึงผลกระทบด้านฐานะการคลังและข้อจำกัดการใช้นโยบายภาษีอากรของรัฐบาลในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ประกอบกอบกับการจัดสรรภาษีเงินได้นิติบุคคลตามพื้นที่จัดตั้ง อาจจะมีปัญหาความเหลื่อมล้ำ ซึ่งอาจส่งผลให้บางพื้นที่ไม่ได้รับการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ (๒) ตัวชี้วัดเรื่องการใช้งบประมาณ ควรคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ความครอบคลุมทุกแหล่งเงิน และความสามารถในการจัดเก็บรายได้ อันจะนำไปสู่ความสำเร็จของการป้องกันการทุจริตในภาพรวม และการดำเนินงานอย่างโปร่งใส และ (๓) อปท. ควรมีข้อเสนอแนวทางการปรับพฤติกรรมการทำงาน รวมถึงการสร้างวัฒนธรรมองค์กร เพื่อสนับสนุนให้การยกระดับผลการประเมินฯ ของ อปท. บรรลุเป้าหมาย เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย แล้วให้กระทรวงมหาดไทยรายงานผลการดำเนินการในภาพรวมต่อคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 119 | การกำหนดประเภทเรื่องที่นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ให้ความเห็นชอบ/อนุมัติให้เสนอคณะรัฐมนตรีและมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) พิจารณากลั่นกรองเรื่องก่อนเสนอนายกรัฐมนตรี | นร05 | 06/08/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบประเภทเรื่องที่ให้เสนอนายกรัฐมนตรีเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๒ (เรื่อง การกำหนดหลักการในการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ หากไม่มีข้อทักท้วงให้ถือเป็นมติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบ อนุมัติ อนุญาต รับทราบ หรือมีคำสั่ง ตั้งแต่วันที่เสนอคณะรัฐมนตรีทราบ) รวม ๗ เรื่อง ดังนี้ ๑.๑ การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ๑.๒ การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ๑.๓ การแต่งตั้งเอกอัครราชทูต ๑.๔ การแต่งตั้งคณะกรรมการตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรี ๑.๕ การแต่งตั้งผู้บริหารสูงสุด รองผู้บริหารสูงสุด และคณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และหน่วยงานของรัฐ ๑.๖ การมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวง ตามมาตรา ๔๑ และมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ๑.๗ เรื่องสำคัญอื่น ๆ ที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเห็นสมควรนำเสนอนายกรัฐมนตรี ๒. เห็นชอบให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเรื่องดังต่อไปนี้เสนอผ่านรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เพื่อพิจารณากลั่นกรองเสนอนายกรัฐมนตรีต่อไป ๒.๑ เรื่องที่หน่วยงานตามรัฐธรรมนูญและหน่วยงานอิสระเสนอคณะรัฐมนตรี เช่น ศาลปกครอง ศาลยุติธรรม ศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ๒.๒ การดำเนินคดีในศาลปกครองในกรณีที่คณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีถูกฟ้องในคดีปกครอง ๓. เห็นชอบให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ (เรื่อง กำหนดหลักการให้รองนายกรัฐมนตรีอนุมัติเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีและกลั่นกรองเรื่องให้นายกรัฐมนตรี)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 120 | รายงานผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐอินเดียของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ | พณ | 11/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐอินเดีย (เจนไน-มุมไบ) ของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระหว่างวันที่ ๑๖-๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การเปิดงานสัมมนาเรื่อง “ธุรกิจบริการโรงแรมและวัสดุก่อสร้างและกิจกรรมสร้างเครือข่ายธุรกิจ” จัดโดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศร่วมกับสภาธุรกิจไทย-อินเดีย ณ นครมุมไบ สาธารณรัฐอินเดีย มีผู้เข้าร่วมงานจากภาคเอกชนของไทยและอินเดียรวมกันกว่า ๑๓๐ ราย ในธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ๔ สาขา ได้แก่ ที่พักอาศัยและอสังหาริมทรัพย์ โรงแรม ก่อสร้าง และโครงสร้างพื้นฐานชุมชนเมือง พร้อมทั้งเป็นสักขีพยานในการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) รวม ๔ ฉบับ ได้แก่ (๑) กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศและหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งบอมเบย์ หรือชื่อเดิมนครมุมไบ (Bombay Chamber of Commerce & Industry) (๒) กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศและเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ มุมไบ (World Trade Center Mumbai) (๓) หอการค้าไทยและหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งรัฐคุชราตภาคใต้ (Southern Gujarat Chamber of Commerce & Industry) และ (๔) สภาธุรกิจไทย-อินเดีย และสภาวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดเล็ก และขนาดย่อมไทย-อินเดีย (Indo-Thai Chamber of MSMEs) ๒. การพบประธานสมาพันธ์อุตสาหกรรมแห่งอินเดียภาคใต้ [Confederation of Indian Industry (CII)-Southern region] และสมาชิกสมาพันธ์ฯ ในกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ รวม ๙ สาขา ได้แก่ ยางและยางล้อ ชิ้นส่วนยานยนต์ ขนส่งและโลจิสติกส์ พืชน้ำมัน บริการ ร้านอาหารและโรงแรม เคมีภัณฑ์ ก่อสร้าง โครงสร้างพื้นฐานและอากาศยาน เขตเศรษฐกิจพิเศษ (SEZ) และธุรกิจบริการให้คำปรึกษาและการลงทุน รวมทั้งผู้บริหารบริษัทชั้นนำอื่น ๆ ในรัฐทมิฬนาฑูและรัฐมหาราษฏระ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ระหว่างกัน โดยเฉพาะหารือแนวทางส่งเสริมการค้าการลงทุนของไทยในอินเดียให้ขยายตัวเพิ่มยิ่งขึ้น ตลอดจนชักชวนให้นักธุรกิจอินเดียเข้ามาลงทุนในระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ของไทยมากขึ้น ๓. การพบผู้บริหารบริษัท Emrald Resilient Tyre Manufacturers Ltd. ผู้ผลิตยางล้อ และบริษัท Parisons และสมาคมผู้สกัดตัวทำละลายแห่งอินเดีย ผู้นำเข้าน้ำมันปาล์ม เพื่อหาลู่ทางขยายการส่งออกยางพาราและน้ำมันปาล์มของไทยสู่ตลาดอินเดียให้เพิ่มขึ้น ๔. การมอบตราสัญลักษณ์ Thai SELECT ให้แก่ร้านอาหารไทยในเมืองเจนไนและนครมุมไบ รวม ๒ แห่ง ปัจจุบันมีร้านอาหารไทยในอินเดียที่ได้รับมอบตราสัญลักษณ์ Thai SELECT รวมทั้งสิ้น ๘ แห่ง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
