ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 3 จากทั้งหมด 55 หน้า แสดงรายการที่ 41 - 60 จากข้อมูลทั้งหมด 1084 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 41 | การแต่งตั้งผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์) | พน. | 11/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.เห็นชอบให้กระทรวงพลังงานเสนอข้อมูล
ข้อเท็จจริง และเหตุผลความจำเป็นที่จะต้องเร่งดำเนินการเพิ่มเติม
กรณีการแต่งตั้งผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ราย นายเทพรัตน์
เทพพิทักษ์ ไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อขอให้พิจารณาทบทวนเรื่องดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง ๒.
เห็นชอบให้ถือเป็นแนวทางปฏิบัติว่า กรณีที่หน่วยงานเจ้าของเรื่องได้เสนอเรื่องใด ๆ
เกี่ยวกับการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ หรือพนักงานของหน่วยงานของรัฐ
รัฐวิสาหกิจหรือกิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ หรือให้บุคคลดังกล่าวพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่
หรือพ้นจากตำแหน่ง หรือให้ผู้อื่นมาปฏิบัติหน้าที่แทน
ต่อคณะรัฐมนตรีตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๖ (เรื่อง
แนวทางปฏิบัติอันเนื่องมาจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร)
และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ/อนุมัติในเรื่องนั้น และให้ดำเนินการต่อไปได้เมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา ๑๖๙ (๒) แล้ว นั้น
หากเรื่องใดคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาแล้วไม่เห็นชอบด้วยกับมติคณะรัฐมนตรี
แต่หน่วยงานเจ้าของเรื่องยังคงเห็นว่าเรื่องดังกล่าวมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องรีบดำเนินการ
หากล่าช้าออกไปจะเกิดความเสียหายต่อหน่วยงานและอาจส่งผลกระทบต่อผู้ที่เกี่ยวข้องหรือประชาชนโดยรวมได้
รวมทั้งไม่สามารถจะชะลอเรื่องไว้จนกว่าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่จะเข้าบริหารราชการแผ่นดินได้
ก็ให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องทำหนังสือแจ้งยืนยันข้อมูล ข้อเท็จจริง
และเหตุผลความจำเป็นที่จะต้องเร่งดำเนินการเรื่องนั้นอย่างเร่งด่วนไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง
เพื่อขอให้คณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาทบทวนผลการพิจารณาของคณะกรรมการการเลือกตั้งในเรื่องดังกล่าวอีกครั้งหนึ่งต่อไป
ทั้งนี้ ให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องจัดทำข้อมูลรายละเอียดต่าง ๆ
และเหตุผลความจำเป็นให้ถูกต้อง ครบถ้วน ชัดเจน
พร้อมจัดส่งผู้แทนซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานไปร่วมชี้แจงต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งให้ชัดเจน
ถูกต้อง และตรงประเด็นด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 42 | ผลการประชุม The 1st Asia Zero Emission Community (AZEC) Ministerial Meeting | พน. | 05/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุม
The 1st
Asia Zero Emission Community (AZEC) Ministerial Meeting
เมื่อวันที่ ๓-๕ มีนาคม ๒๕๖๖ ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยมีรองนายกรัฐมนตรี
(นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ
โดยที่ประชุมได้ร่วมรับรองแถลงการณ์ร่วมสำหรับการประชุมฯ ซึ่งประเทศพันธมิตรจะร่วมผลักดันความร่วมมือให้บรรลุเป้าหมายด้านการเปลี่ยนแปลงผ่านทางพลังงานของภูมิภาค
เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานหมุนเวียน ก๊าซธรรมชาติเหลว และเทคโนโลยีการดักจับ
การใช้ประโยชน์และการกักเก็บคาร์บอน
โดยญี่ปุ่นได้เน้นย้ำและให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยคาร์บอนควบคู่กับการเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงาน
ไทย มุ่งเน้นการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานไปพร้อมกับการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน
และพร้อมจะร่วมมือกับนานาประเทศในการขยายความเชื่อมโยงด้านพลังงานในภูมิภาคและสนับสนุนประเทศพันธมิตรในการบรรลุเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานร่วมกัน
เป็นต้น และการหารือทวิภาคีระหว่างรองนายกรัฐมนตรี (นายสุพัฒนพงษ์
พันธ์มีเชาว์) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
กับผู้บริหารระดับสูงของประเทศ/องค์กรที่เข้าร่วมการประชุม เช่น ไทย-ญี่ปุ่น
เห็นพ้องที่จะร่วมสร้างสรรค์ โดยร่วมกันจัดงาน “ASEAN-Japan Fast Track
Pitch Event” ณ กรุงเทพมหานคร ในเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๖
เพื่อกระตุ้นให้เกิดการพัฒนานวัตกรรม Start-up ไทย-ออสเตรเลีย
ออสเตรเลียเสนอความร่วมมือในการถ่ายทอดองค์ความรู้
การเชื่อมโยงสายส่งไฟฟ้าในพื้นที่ห่างไกลและการสร้างตลาดซื้อขายพลังงานไทย-IEA
มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลแนวทาง/มาตรการการรับมือกับวิกฤติพลังงานโลก
และความร่วมมือด้านการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนและยานยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น
พร้อมทั้งได้ร่วมลงนามในบันทึกความร่วมมือเกี่ยวกับเทคโนโลยีดักจับ การใช้ประโยชน์และการกักเก็บคาร์บอน
และร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามเอกสารความร่วมมือของบริษัทด้านพลังงานของไทยด้วย ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 43 | ผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะกรณีการบังคับให้นักเรียนลาออกจากโรงเรียนและกลั่นแกล้งดำเนินคดีอาญากับผู้ปกครอง | สม. | 25/04/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะกรณีการบังคับให้นักเรียนลาออกจากโรงเรียนและกลั่นแกล้งดำเนินคดีอาญากับผู้ปกครอง
ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วเมื่อวันที่
๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๕ โดยมีผลสรุปในภาพรวมว่า
ควรพิจารณาให้ความคุ้มครองเฉพาะการแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับการทุจริตอันเป็นกลไกที่ได้รับการรับรองไว้ในมาตรา
๖๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเป็นเบื้องต้นก่อน และกระทรวงศึกษาธิการ
โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนได้แต่งตั้งคณะทำงานจัดทำคู่มือการคุ้มครองและช่วยเหลือนักเรียนโรงเรียนเอกชน
รวมทั้งอยู่ระหว่างการยกร่างระเบียบว่าด้วยจรรยามารยาท วินัย
และหน้าที่ของผู้รับใบอนุญาต ผู้อำนวยการ ผู้บริหาร
ผู้จัดการและบุคลากรทางการศึกษา ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 44 | รายงานผลการเดินทางเยือนสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ | พณ. | 21/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเดินทางเยือนสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
(United Arab Emirates :
UAE) ของรองนายกรัฐมนตรี (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงพาณิชย์
ระหว่างวันที่ ๖-๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ ซึ่งมีประเด็นการหารือที่สำคัญ ได้แก่ (๑)
ไทยและ UAE เห็นพ้องที่จะจัดทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระหว่างกัน
การส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างไทยและ UAE เช่น
การจัดตั้งกลไกสภาธุรกิจไทย-UAE และการเชิญชวนนักธุรกิจ UAE มาลงทุนในไทย (๒)รองนายกรัฐมนตรี (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ได้เป็นสักขีพยานในการลงนามสัญญาซื้อขายและความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนไทยและ UAE (๓) กิจกรรมอื่น เช่น การประชุมร่วมกับกลุ่มเศรษฐกิจของไทยใน UAE และ (๔) แนวทางการดำเนินงานในระยะต่อไป เช่น
การจัดกิจกรรมส่งเสริมการค้าระหว่างไทย-UAE ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 45 | การปรับเพิ่มเงินค่าตอบแทนของผู้บริหารและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล [ร่างระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเงินค่าตอบแทนนายกองค์การบริหารส่วนตำบล รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบล รองประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบล สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนตำบล และเลขานุการสภาองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] | มท. | 14/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง แนวทางการปรับค่าตอบแทนของผู้บริหารและสมาชิกสภาท้องถิ่น)
เฉพาะในส่วนที่กำหนดหลักการให้ปรับเงินเดือนหรือค่าตอบแทนของผู้บริหารและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลไม่เกินร้อยละ
๒๐ สำหรับการออกระเบียบในเรื่องนี้ มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการตามาอำนาจหน้าที่ภายใต้กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒.
ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ ที่ควรพิจารณาความคุ้มค่า
ต้นทุนและผลประโยชน์ เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม
ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐด้วย และการนำรายได้ที่ไม่รวมเงินอุดหนุนและเงินกู้หรือเงินอื่นใดนั้นองค์การบริหารส่วนตำบลแต่ละแห่งจะกำหนดสูงกว่าร้อยละสี่สิบของเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นไม่ได้
ตามนัยมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒
และที่แก้ไขเพิ่มเติม
เพื่อให้เป็นไปตามหลักแห่งการปกครองของท้องถิ่นอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของผู้บริหารและสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลดังกล่าวควรสอดคล้องกับศักยภาพและความสามารถในการปกครองตนเองในด้านรายได้ขององค์กรปกครองท้องถิ่นเป็นสำคัญ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 46 | รายงานผลการขับเคลื่อนและติดตามการดำเนินงานการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน และผู้บริหารท้องถิ่น รัฐบาลนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 | นร.11 สศช | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการขับเคลื่อนและติดตามการดำเนินงานการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ว่าราชการจังหวัด
ผู้แทนภาคเอกชน และผู้บริหารท้องถิ่น
เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน
โดยมีข้อเสน ๘ ด้าน รวม ๖๑ ประเด็น
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ
(กรอ.) เสนอ สรุปผลการดำเนินการได้ ดังนี้ ๑.
ผลการดำเนินการในภาพรวม โครงการที่ดำเนินการไปแล้ว จำนวน ๘ ประเด็น
ส่วนใหญ่อยู่ในด้านการเยียวยา ฟื้นฟู และช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) โครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน ๓๗ ประเด็น
ส่วนใหญ่อยู่ในด้านโครงสร้างพื้นฐาน และโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน
๑ ปี ซึ่งมีความจำเป็นต้องมีการศึกษาออกแบบและการจัดทำการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมก่อนการขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมาย
และโครงการที่อยู่ระหว่างขอรับการจัดสรรงบประมาณ จำนวน ๑๖ ประเด็น
เนื่องจากพบปัญหาอุปสรรคบางประการ เช่น ต้องใช้ระยะเวลาดำเนินการ
และผู้เข้าร่วมโครงการยังไม่มีความรู้ความเข้าใจในหลักการโครงการ ๒.
ผลที่ได้รับจากการดำเนินงาน เช่น
ยกระดับภาคการเกษตรไปสู่สินค้าเกษตรมูลค่าสูงโดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาปรับใช้ในการแปรรูปสินค้าเกษตร
พัฒนาพื้นที่เพื่อเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวระดับโลก
พัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพและเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน ๓.
ปัจจัยความสำเร็จที่มีผลต่อการดำเนินงาน เช่น
การดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอนและบูรณาการกับทุกภาคส่วนในพื้นที่
และการมีกระบวนการที่มีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ๔.
ข้อเสนอแนะในการดำเนินงานระยะต่อไป เช่น
ส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการธุรกิจสามารถเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจ
พัฒนาและแก้ไขปัญหาที่มาจากการเติบโตของความเป็นเมือง และสนับสนุนกรสร้างความเข้มแข็งให้กับกลไก
กรอ.
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 47 | หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต [กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 (Coronavirus Disease 2019 (COVID-19))] (ฉบับที่ 3) | สธ. | 07/03/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต [กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
หรือโรคโควิด ๑๙ (Coronavirus Disease 2019 (COVID-19))] (หลักเกณฑ์
UCEP Plus) (ฉบับที่ ๓) โดยแก้ไขหลักเกณฑ์ UCEP Plus และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มเติมรายการยาต้านไวรัสโควิด ๑๙
ในบัญชีและอัตราค่าใช้จ่ายแนบท้ายหลักเกณฑ์ UCEP Plus หมวดที่
๓ ค่ายา จำนวน ๑ รายการ ได้แก่ รายการยาต้านไวรัส Molnupiravir 200 mg ในอัตรา ๑๕ บาท/เม็ด ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเกี่ยวกับการให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้บริหารการจัดหายาและให้สถานพยาบาลเบิกจ่ายยาไปที่กระทรวงสาธารณสุข
เป็นแนวทางเดียวกันทุกกองทุน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 48 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา | สผ. | 24/01/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา
ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรและสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ สรุปได้
ดังนี้ ๑.๑
คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร
เห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมเหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติฯ เพื่อให้สอดคล้องกับการแก้ไขเนื้อหาของร่างพระราชบัญญัติฯ
รวมทั้งมีข้อสังเกตว่า ผู้ดำรงตำแหน่งเป็นข้าราชการการเมือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ
ซึ่งอาจช่วยผู้สมัครในการหาเสียงเลือกตั้งได้ตามมาตรา ๓๔
ต้องพึงระมัดระวังในการช่วยหาเสียงเลือกตั้งให้กับผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
มิให้ฝ่าฝืนข้อห้ามตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นความผิด
เพื่อไม่ให้เกิดข้อร้องเรียนที่อาจนำไปสู่การสืบสวน สอบสวน หรือไต่สวนของคณะกรรมการการเลือกตั้งได้
ในการช่วยหาเสียงให้แก่ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องคำนึงถึงการใช้เวลาราชการหรือทรัพย์สินของรัฐในการช่วยหาเสียง
รวมถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐในพื้นที่ซึ่งมีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมายให้พึงระมัดระวัง
และวางตัวเป็นกลางทางการเมืองโดยเคร่งครัด
และคณะกรรมการการเลือกตั้งควรพิจารณาทบทวนแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
พ.ศ. ๒๕๖๓ ในสาระสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดให้ข้าราชการการเมือง
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น
หรือเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ ๑.๒ คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของวุฒิสภา มีข้อสังเกตว่า
การเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองและสมาชิกพรรคการเมือง
ทั้งที่เป็นหรือไม่เป็นข้าราชการการเมือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาท้องถิ่น
หรือผู้บริหารท้องถิ่น
ให้การสนับสนุนผู้สมัครได้จะเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งของพรรคการเมือง
การมีส่วนร่วมของประชาชน และการพัฒนาการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และมาตรา ๑๑๓
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติว่า “สมาชิกวุฒิสภาต้องไม่ฝักใฝ่หรือยอมตนอยู่ใต้อาณัติของพรรคการเมืองใด
ๆ” การให้สมาชิกวุฒิสภาสามารถช่วยเหลือผู้สมัครรับเลือกตั้งท้องถิ่น
ซึ่งอาจสังกัดพรรคการเมืองหรือมีพรรคการเมืองให้การสนับสนุนอาจสุ่มเสี่ยงที่จะเข้าข่ายฝักใฝ่พรรคการเมือง
ดังนั้น จึงไม่ควรให้สมาชิกวุฒิสภามีบทบาทในการช่วยเหลือผู้สมัครรับเลือกตั้ง
ตลอดจนร่างพระราชบัญญัตินี้แก้ไขปัญหาการใช้บังคับกฎหมายที่มีอยู่
ซึ่งมีความย้อนแย้งในเชิงหลักการและปัญหาในทางปฏิบัติซึ่งทำให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติมีการหลบเลี่ยงและเปิดโอกาสให้กระทำการในทางมิชอบ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
ตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร
เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๓.
ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักรับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาดังกล่าว
ไปพิจารณาร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าว
และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
ภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 49 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา | สว. | 24/01/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา
ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรและสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ สรุปได้
ดังนี้ ๑.๑
คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร
เห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมเหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติฯ เพื่อให้สอดคล้องกับการแก้ไขเนื้อหาของร่างพระราชบัญญัติฯ
รวมทั้งมีข้อสังเกตว่า ผู้ดำรงตำแหน่งเป็นข้าราชการการเมือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ
ซึ่งอาจช่วยผู้สมัครในการหาเสียงเลือกตั้งได้ตามมาตรา ๓๔
ต้องพึงระมัดระวังในการช่วยหาเสียงเลือกตั้งให้กับผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
มิให้ฝ่าฝืนข้อห้ามตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นความผิด
เพื่อไม่ให้เกิดข้อร้องเรียนที่อาจนำไปสู่การสืบสวน สอบสวน หรือไต่สวนของคณะกรรมการการเลือกตั้งได้
ในการช่วยหาเสียงให้แก่ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องคำนึงถึงการใช้เวลาราชการหรือทรัพย์สินของรัฐในการช่วยหาเสียง
รวมถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐในพื้นที่ซึ่งมีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมายให้พึงระมัดระวัง
และวางตัวเป็นกลางทางการเมืองโดยเคร่งครัด
และคณะกรรมการการเลือกตั้งควรพิจารณาทบทวนแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
พ.ศ. ๒๕๖๓ ในสาระสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดให้ข้าราชการการเมือง
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น
หรือเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ ๑.๒ คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของวุฒิสภา มีข้อสังเกตว่า
การเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองและสมาชิกพรรคการเมือง
ทั้งที่เป็นหรือไม่เป็นข้าราชการการเมือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาท้องถิ่น
หรือผู้บริหารท้องถิ่น
ให้การสนับสนุนผู้สมัครได้จะเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งของพรรคการเมือง
การมีส่วนร่วมของประชาชน และการพัฒนาการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และมาตรา ๑๑๓
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติว่า “สมาชิกวุฒิสภาต้องไม่ฝักใฝ่หรือยอมตนอยู่ใต้อาณัติของพรรคการเมืองใด
ๆ” การให้สมาชิกวุฒิสภาสามารถช่วยเหลือผู้สมัครรับเลือกตั้งท้องถิ่น
ซึ่งอาจสังกัดพรรคการเมืองหรือมีพรรคการเมืองให้การสนับสนุนอาจสุ่มเสี่ยงที่จะเข้าข่ายฝักใฝ่พรรคการเมือง
ดังนั้น จึงไม่ควรให้สมาชิกวุฒิสภามีบทบาทในการช่วยเหลือผู้สมัครรับเลือกตั้ง
ตลอดจนร่างพระราชบัญญัตินี้แก้ไขปัญหาการใช้บังคับกฎหมายที่มีอยู่
ซึ่งมีความย้อนแย้งในเชิงหลักการและปัญหาในทางปฏิบัติซึ่งทำให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติมีการหลบเลี่ยงและเปิดโอกาสให้กระทำการในทางมิชอบ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
ตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร
เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๓.
ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักรับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาดังกล่าว
ไปพิจารณาร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าว
และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
ภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 50 | ผลการประชุมหารือ เรื่อง "การพัฒนาพื้นที่รอบสถานีขนส่งมวลชน (TOD) และเมืองอัจฉริยะ (Smart City)" ณ ประเทศญี่ปุ่น | คค. | 27/12/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมหารือ
เรื่อง “การพัฒนาพื้นที่รอบสถานีขนส่งมวลชน (TOD) และเมืองอัจฉริยะ (Smart City)” ณ ประเทศญี่ปุ่น
ระหว่างวันที่ ๖-๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๕ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล)
ทำหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนไทย พร้อมด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงคมนาคมเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระชับความสัมพันธ์และขับเคลื่อนความร่วมมือด้านคมนาคมขนส่งระหว่างไทยและญี่ปุ่นให้มีความก้าวหน้าขึ้นไปอีกระดับในประเด็นต่าง
ๆ ได้แก่ ความร่วมมือด้านระบบรางระหว่างไทย-ญี่ปุ่น
การพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานีขนส่งมวลชนและการมุ่งสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ
การแลกเปลี่ยนแนวทางในการบริหารจัดการการจราจรอัจฉริยะ การก่อสร้างอุโมงค์
และระบบการบริหารทางพิเศษ รวมทั้งการเสริมสร้างความร่วมมือด้านคมนาคมขนส่งกับฝ่ายญี่ปุ่นในสาขาอื่น
ๆ ที่ตอบสนองการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลไทย อาทิ การส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์
พลังงานสะอาด
และการใช้เทคโนโลยีและระบบวิศวกรรมขั้นสูงเข้ามามีส่วนในการขับเคลื่อนภารกิจที่เกี่ยวข้อง
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 51 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การทบทวนนโยบายและผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาเพื่อแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของคณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา | สว. | 20/12/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง
การทบทวนนโยบายและผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาเพื่อแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
ของคณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา โดยมีข้อเสนอแนะ เช่น
ควรมีการทบทวนการจัดการศึกษา ทั้งในมิตินโยบาย ยุทธศาสตร์ โครงสร้าง ทรัพยากร
บุคลากร (ผู้บริหารและครู) งบประมาณ และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด
ควรมีการทบทวนแนวทางการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับแผนการศึกษาอาเซียน พ.ศ.
๒๕๕๙-๒๕๖๓ นโยบายของรัฐบาล ยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐)
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) แผนการศึกษาแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๔ และแผนยุทธศาสตร์การศึกษาเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้
๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) ควรปลูกฝั่งอุดมการณ์แบบแผนทางความคิด ความเชื่อ
และค่านิยมที่อยู่บนหลักสังคมพหุวัฒนธรรมเชิงสร้างสรรค์ควบคู่กับความมั่นคงของประเทศ
เป็นต้น ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณารายงานพร้อมทั้งข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ
ได้แก่ การทบทวนการจัดการศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งระบบ
การทบทวนแนวทางการจัดการศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้มีความเป็นเอกภาพ (Unity) การทบทวนถึงแนวทางการปลูกฝังอุดมการณ์ แบบแผนทางความคิด ความเชื่อ
และค่านิยม การจัดการเรียนการสอนในสถานศึกษา
และถ่ายทอดวัฒนธรรมความเป็นอยู่ในสังคมพหุวัฒนธรรมผ่านกิจกรรมค่าย
“ประวัติบ้านตำนานเมือง” รู้เข้า รู้เรา สร้างสันติสุขชายแดนใต้
ข้อจำกัดและเงื่อนไขที่เป็นอุปสรรคต่อการศึกษาของเด็กและเยาวชนในพื้นที่
การบูรณาการพัฒนาการศึกษาควบคู่กับการพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตได้ดำเนินการพัฒนาและให้ความรู้แก่ผู้ปกครองของเด็กในพื้นที่ให้มีการพัฒนาองค์ความรู้ด้านการประกอบอาชีพ
รวมทั้งได้ดำเนินการยกระดับมาตรฐานการศึกษาของโรงเรียนในพื้นที่
และมีการบูรณาการการเรียนการสอนหลักสูตรอิสลามศึกษาตอนต้น ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 52 | รายงานผลการเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ | พณ. | 13/12/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกาของรองนายกรัฐมนตรี
(นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
และคณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ ระหว่างวันที่ ๓๑ ตุลาคม-๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๕
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑. รองนายกรัฐมนตรี (นายจุรินทร์ฯ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นำคณะผู้บริหารระดับสูงกระทรวงพาณิชย์เข้าร่วมรับเสด็จทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา
สิริวัฒนาพรรณวดี องค์ประธานในพิธีเปิดงาน American Film Market (Thai
Night) เมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ ณ โรงแรม Hotel Casa
del Mar นครลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา โดยจัดขึ้นภายใต้ธีม THAILAND
TRANSFORMED ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการพลิกโฉมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยในทุกมิติ ๒. กิจกรรมเจรจาธุรกิจในงาน American Film
Market 2022 ระหว่างวันที่ ๑-๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๕
มีผู้ประกอบการไทยร่วมงาน จำนวน ๘ ราย ผู้ประกอบการต่างชาติ จำนวน ๙๙ ราย จาก ๒๕
ประเทศ มีการเจรจาธุรกิจ รวม ๒๖๙ ครั้ง มูลค่าการค้า รวม ๘๔๙.๖๘ ล้านบาท นอกจากนี้
มีการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างบริษัทของไทยกับบริษัทต่างชาติเพื่อร่วมผลิตผลงานภาพยนตร์เรื่องอินทรีแดง
(๒๐๒๔) ๓. การหารือกับผู้บริหารบริษัทต่าง ๆ
เช่น บริษัท Space
Exploration Technologies Corp. หรือ SpaceX เป็นบริษัทที่ออกแบบและผลิตยานอวกาศ
รวมถึงธุรกิจการเดินทางสู่อวกาศ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินโครงการ Starlink
ซึ่งเป็นโครงข่ายดาวเทียมวงโคจรระดับต่ำเพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงครอบคลุมกว่า
๔๔ ประเทศทั่วโลก และบริษัท Overhill Farms Inc. เป็นธุรกิจในเครือบริษัท
CP Foods North America (CPF) ที่ผลิตอาหารแช่แข็งพร้อมรับประทานในรูปแบบต่าง
ๆ ให้กับห้างค้าปลีกที่มีสาขาทั่วสหรัฐอเมริกา โดยบริษัท CPF
มีนโยบายผลักดันและส่งเสริมอาหารไทยต้นตำรับ (Authentic Thai Food) ไปทั่วโลก
โดยปัจจุบันได้นำผัดไทยพร้อมรับประทานไปจำหน่ายในห้างค้าส่งขนาดใหญ่ที่มีสาขาครอบคลุมทั่วสหรัฐอเมริกา ๔. แนวทางการดำเนินการต่อไป ได้แก่ (๑)
ผลักดันการส่งออกธุรกิจบริการเอนเตอร์เทนเมนต์และแอนิเมชันของไทย (๒)
ส่งเสริมสินค้าอุตสาหกรรมอาหารไทยในฐานะครัวของโลก และ (๓)
จัดกิจกรรมส่งเสริมภาพลักษณ์สินค้าอาหารไทยผ่านกลุ่มคนที่มีอิทธิพลต่อความคิดและการตัดสินใจของกลุ่มเป้าหมาย
(Influencer)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 53 | การจัดตั้งสถาบันคลังข้อมูลขนาดใหญ่แห่งชาติ (องค์การมหาชน) [ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันคลังข้อมูลขนาดใหญ่แห่งชาติ (องค์การมหาชน) พ.ศ. ....] | ดศ. | 13/12/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันคลังข้อมูลขนาดใหญ่แห่งชาติ
(องค์การมหาชน) พ.ศ.
.... มีสาระสำคัญเป็นการยกฐานะของสถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ
(Government Big Data Institute : GBDI)
หน่วยงานภายในภายใต้สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล
ให้เป็นสถาบันคลังข้อมูลขนาดใหญ่แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (National Big
Data Institute : NBDI) ซึ่งเป็นองค์การมหาชน
เพื่อทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางในการขับเคลื่อน วิเคราะห์
และบูรณาการข้อมูลขนาดใหญ่ของประเทศโดยตรง ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้แก้ไขชื่อหน่วยงาน ตัดคำว่า
“คลัง” และ “แห่งชาติ” ออก เพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับภารกิจของหน่วยงาน
ตลอดจนมติคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ เมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๔๗ ที่กำหนดว่า
“ไม่ควรใช้คำว่า “แห่งชาติ”
ในการกำหนดชื่อหน่วยงานของรัฐเนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศเอกรัฐ
และหน่วยงานของรัฐทุกแห่งทำหน้าที่ในฐานะ “แห่งชาติ” อยู่แล้ว” และให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สำนักงาน ก.พ. และสำนักงบประมาณ เช่น การกู้ยืมเงินของ NDBI ต้องทำด้วยความระมัดระวัง
รอบคอบ เพื่อป้องกันความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ (Default Risk)
โดยจะต้องยู่ภายใต้กฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะและกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ
ตลอดจนระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
ควรให้ผู้บริหารหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวข้องกับมิติด้านเศรษฐกิจ
สังคมและสิ่งแวดล้อม ร่วมเป็นกรรมการด้วย
ให้มีการประเมินผลการปฏิบัติงานและพิจารณาปรับเปลี่ยนองค์กรรูปแบบใหม่
เมื่อได้ดำเนินการจัดตั้ง NDBI ครบ ๒ ปี เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 54 | แนวทางเสริมสร้างศักยภาพการคลังท้องถิ่น (แบบประเมินสุขภาพการคลังท้องถิ่น) | นร.12 | 15/11/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบ ตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ ดังนี้ ๑. รับทราบแนวทางเสริมสร้างศักยภาพการคลังท้องถิ่น
(แบบประเมินสุขภาพการคลังท้องถิ่น) และแนวทางการขับเคลื่อน ๒. มอบหมายให้กระทรวงการคลัง
โดยคณะผู้บริหารการคลังประจำจังหวัด (คบจ.) เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการดำเนินการ
ดังนี้ ๒.๑
นำแนวทางเสริมสร้างศักยภาพการคลังท้องถิ่น (แบบประเมินสุขภาพการคลังท้องถิ่น)
ไปใช้เป็นเครื่องมือประเมินสถานะด้านการคลังและงบประมาณของท้องถิ่น
และให้ประเมินตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖
โดยใช้ข้อมูลผลการปฏิบัติงานของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕
ในการประเมินและให้พิจารณาคัดเลือก อปท. ให้ครอบคลุมทุกประเภท ยกเว้น อปท.
รูปแบบพิเศษ ๒.๒ ในการณีที่ คบจ.
พบประเด็นที่ควรเพิ่มความเข้มแข็ง ปัญหา หรือข้อจำกัดจากการประเมิน
สามารถให้ความช่วยเหลือทั้งด้านวิชาการและการปฏิบัติอย่างเหมาะสมโดยตรงหรือประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งเสนอแนะหน่วยงานที่รับผิดชอบพิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒.๓
นำข้อมูลเผยแพร่ให้หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน
รวมทั้งสาธารณชนภายในจังหวัดได้รับทราบเพื่อร่วมกันส่งเสริมและผลักดันให้ อปท.
มีศักยภาพในการบริหารการเงินและงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
๓. ให้กระทรวงการคลังสรุปและรายงานผลการประเมินในภาพรวม
และแผนการดำเนินการในระยะต่อไปต่อ ก.พ.ร.
เพื่อสนับสนุนการเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องมือประเมินสถานะด้านการคลังและงบประมาณของท้องถิ่น
และให้ข้อเสนอแนะเพื่อสร้างความเข็มแข็งการให้บริการประชาชนในพื้นที่ โดยให้คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ
กระทรวงการคลัง
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตเพิ่มเติมของสำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่เห็นควรกำหนดตัวชี้วัดที่สะท้อนการดำเนินงานของ
อปท. เพื่อบรรลุเป้าหมายและตัวชี้วัดของผลสัมฤทธิ์หรือประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่กำหนดไว้
ในปีถัดไปควรทำประเมิน อปท. ให้ครบทุกแห่งทั่วประเทศ
รวมทั้งควรมีการสร้างการรับรู้และความเข้าใจในแนวทางประเมินให้กับท้องถิ่นอย่างทั่วถึง
เพื่อให้การประเมินเป็นไปตามมาตรฐานเดียวกัน
และแนวทางเสริมสร้างศักยภาพการคลังท้องถิ่น ด้านรายได้
ควรที่จะกำหนดตัวชี้วัดให้ครอบคลุมทุกประเภทรายได้ของ อปท. ด้านงบประมาณรายจ่าย
เนื่องจากงบประมาณรายจ่ายของ อปท.
จะมีความสัมพันธ์กับรายได้ที่เป็นภาษีที่รัฐจัดเก็บและแบ่งให้ อปท.
รวมทั้งเงินอุดหนุนทั่วไปซึ่งเป็นรายได้หลักที่ได้รับจัดสรรจากรัฐบาลโดยจัดสรรเป็นงวดและไม่มีระยะเวลาที่แน่นอนในการจัดสรรทำให้ส่งผลต่อการประเมินประสิทธิภาพในการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีของ
อปท. ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 55 | รายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปีที่ 3 (25 กรกฎาคม 2564-25 กรกฎาคม 2565) | นร.04 | 25/10/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
เห็นชอบรายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
ปีที่ ๓ (๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๔-๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๕)
และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ตามที่คณะกรรมการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีเสนอ
ดังนี้ ๑.๑ ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจัดพิมพ์รายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปีที่ ๓ (๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๔-๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๕) ๑.๒
ให้กระทรวงการต่างประเทศแปลบทสรุปสำหรับผู้บริหารเป็นฉบับภาษาอังกฤษเพื่อเผยแพร่ในต่างประเทศ
ทั้งนี้ คณะกรรมการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี
ได้แจ้งผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ ในคณะกรรมการติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีทราบด้วยแล้ว ๑.๔ ให้สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
จัดพิมพ์บทสรุปสำหรับผู้บริหารฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ๒.
เห็นชอบปก “รายงานผลการดำเนินงานของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
ปีที่ ๓ (๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๔-๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๕)”
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 56 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษสำหรับผู้เชี่ยวชาญทักษะสูง นักลงทุน ผู้บริหารระดับสูง และผู้ประกอบการวิสาหกิจเริ่มต้น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | มท. | 27/09/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษสำหรับผู้เชี่ยวชาญทักษะสูง
นักลงทุน ผู้บริหารระดับสูง และผู้ประกอบการวิสาหกิจเริ่มต้น (ฉบับที่ ..) พ.ศ.
....
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงอุตสาหกรรมเป้าหมายสำหรับให้คนต่างด้าวซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทักษะสูง
นักลงทุน ผู้บริหารระดับสูง
และผู้ประกอบการวิสาหกิจเริ่มต้นมีสิทธิขออนุญาตเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ
(Smart Visa) เพื่อให้ครอบคลุมอุตสาหกรรมเป้าหมายเดิมของ
Smart Visa
และอุตสาหกรรมเป้าหมายตามพระราชบัญญัติการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย
พ.ศ. ๒๕๖๐ พร้อมทั้งเพิ่มอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่มีศักยภาพสูงในอนาคต (เดิมจาก ๑๓
อุตสาหกรรมเป้าหมาย เป็น ๑๘ อุตสาหกรรมเป้าหมาย) ทั้งนี้
เพื่อให้สอดล้องกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม ที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี
และความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อความโปร่งใสในการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล
เกิดผลสัมฤทธิ์ หรือประโยชน์ต่อภาครัฐและประชาชนเป็นสำคัญ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 57 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง แนวทางการผลิตและการพัฒนาครู ของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการผลิตและการพัฒนาครู วุฒิสภา | สว. | 02/08/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง แนวทางการผลิตและการพัฒนาครู
ของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการผลิตและการพัฒนาครู วุฒิสภา
ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นชอบด้วยและมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติม สรุปได้ว่า
ด้านการผลิตครู ควรผลักดันให้เกิดการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตครูเพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นระบบ
โดยมีแนวทางสำคัญ ได้แก่ (๑) การปรับหลักสูตรการผลิตครูให้สอดคล้องกับความต้องการ
และ (๒) ผลักดันให้เกิดการพัฒนาสถาบันผลิตครู
และควรผลักดันการบูรณาการการทำงานระดับพื้นที่ โดยคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัดร่วมกันจัดทำแผนความต้องการครูทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพให้ตรงตามความต้องการ
รวมถึงควรร่วมกันศึกษาวิเคราะห์การดำเนินการทั้งระบบตั้งแต่การผลิตครูจนถึงการนำครูไปใช้อย่างจริงจัง
ด้านการพัฒนาครู ควรจัดทำหลักสูตรเพื่อผลิตและพัฒนาครูประจำการให้สอดรับกับความต้องการ
และสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงอย่างผลิกผัน
โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลมาใช้ในการจัดการเรียนการสอน
กรอบมาตรฐานคุณวุฒิวิชาชีพครูตามหลักธรรมาภิบาล รวมถึงคุณธรรม จริยธรรม
และจรรยาบรรณของครู ผู้บริหารสถานศึกษา และศึกษานิเทศก์ ต้องมีมาตรฐานในการจัดการเรียนการสอน
กรอบมาตรฐานคุณวุฒิวิชาชีพครูตามหลักธรรมาภิบาล รวมถึงคุณธรรม จริยธรรม
และจรรยาบรรณของครู ผู้บริหารสถานศึกษา และศึกษานิเทศก์ ต้องมีมาตรฐานความรู้
มาตรฐานการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการเป็นผู้นำ และสร้างผู้นำทางวิชาการ
มีบทบาทสำคัญในการกำกับดูแล ให้คำปรึกษาแนะนำแก่ผู้ดำรงตำแหน่งครูเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอน
ดังนั้น
ผู้บริหารสถานศึกษาและศึกษานิเทศก์ควรเป็นตำแหน่งที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพที่นำไปสู่วิทยฐานะได้
ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 58 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านอาหารศึกษาในคณะกรรมการอาหารแห่งชาติ | สธ. | 28/06/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติแต่งตั้ง
รองศาสตราจารย์สิรี ชัยเสรี เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
(ด้านอาหารศึกษา) ในคณะกรรมการอาหารแห่งชาติ
แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่พ้นจากตำแหน่งก่อนวาระเนื่องจากถึงแก่กรรม ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๘ มิถุนายน
๒๕๖๕) เป็นต้นไป โดยผู้ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแทนนี้อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ซึ่งตนแทน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 59 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ (1. นางพงษ์สวาท กายอรุณสุทธิ์ ฯลฯ จำนวน 9 คน) | พปส. | 29/03/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
จำนวน ๙ คน ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ดังนี้ ๑. นางพงษ์สวาท
กายอรุณสุทธิ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านกฎหมาย) ๒. นายพีรพน พิสณุพงศ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านศิลปวัฒนธรรม) ๓. นางสรวงมณฑ์ สิทธิสมาน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านการศึกษา) ๔.
นายธวัชชัย ไทยเขียว กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านการพัฒนาเด็ก
เยาวชนและครอบครัว) ๕. นายยศพร
ปัญจมะวัต กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านสุขภาพจิต) ๖.
นางกรกนก ศิริวงษ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านคนพิการและผู้สูงอายุ) ๗. นางสุนทรี ทับทิมไทย ชัยสัมฤทธิ์โชค กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค) ๘.
นายอภิรักษ์ หาญพิชิตวณิชย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านสื่อสารมวลชน) ๙.
นายประดิษฐ์ เรืองดิษฐ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านสื่อสารมวลชน) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๙
มีนาคม ๒๕๖๕) เป็นต้นไป และให้กระทรวงวัฒนธรรม (สำนักงานกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์)
รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน ที่เห็นควรเร่งรัดกระบวนการสรรหาและคัดเลือกบุคคลเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการองค์การมหาชนตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดและตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๖ มีนาคม ๒๕๖๔ เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการตามกฎหมาย/กรรมการและผู้บริหารขององค์การมหาชนอย่างเคร่งครัด
เพื่อมิให้เกิดความล่าช้า ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 60 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีอำนาจมีคำสั่งให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 พ.ศ. .... | นร.01 | 22/03/2565 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีอำนาจมีคำสั่งให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามมาตรา
๑๕ แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐมีอำนาจมีคำสั่งให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามมาตรา
๑๕ แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐
ให้สอดคล้องกับระดับตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมในปัจจุบัน
ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง และสำนักงาน ก.พ.ร. เช่น
ควรกำหนดขอบเขตประเภทหรือระดับตำแหน่งของผู้บริหารมหาวิทยาลัยให้มีความชัดเจน
และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีควรเพิ่มเนื้อหาให้ครอบคลุมประเภทและระดับตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานของรัฐรูปแบบอื่น
ๆ ด้วย เช่น กองทุนที่เป็นนิติบุคคล หน่วยบริการรูปแบบพิเศษ สถาบันภายใต้มูลนิธิ
อันจะช่วยให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารของหน่วยงานของรัฐมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
ที่เห็นว่ากรณีของรัฐที่มีการจัดตั้งใหม่ เช่น
องค์การมหาชนที่มีการจัดตั้งขึ้นภายหลังพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารฯ
มีผลใช้บังคับอาจต้องพิจารณากำหนดหรือปรับปรุงรายชื่อหน่วยงานของรัฐและหน่วยงานอื่นไว้ในร่างกฎกระทรวงฯ
ตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
