ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 99 จากทั้งหมด 138 หน้า แสดงรายการที่ 1961 - 1980 จากข้อมูลทั้งหมด 2746 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1961 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการใช้ประโยชน์จากภาษีเพื่อสนับสนุนการพัฒนาระบบการให้บริการด้านการท่องเที่ยวของท้องถิ่น" | สสป | 07/04/2552 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะ ของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "แนวทางการใช้ประโยชน์จากภาษีเพื่อสนับสนุนการพัฒนาระบบการให้บริการด้าน การท่องเที่ยวของท้องถิ่น" สรุปได้ดังนี้ 1.1 มาตรการเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีของรัฐ ควรปรับปรุงโครงสร้างกฎหมายเกี่ยวกับมาตรการ ด้านภาษีให้ทันสมัยและทันต่อการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นโดยให้ท้องถิ่นสามารถจัดเก็บภาษีได้โดยตรงเพิ่มขึ้น และ ควรสร้างมาตรฐานและข้อกำหนดในการจัดเก็บภาษีท้องถิ่นในอัตราเดียวกันทั่วประเทศให้ชัดเจน และไม่ซ้ำซ้อน เป็นต้น 1.2 มาตรการเกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณจากภาษีคืนสู่ท้องถิ่น โดยรายได้ที่จัดเก็บโดยหน่วย งานใดในพื้นที่โดยตรง ควรมีการกำหนดสัดส่วนที่ให้ท้องถิ่นสามารถหักเก็บไว้ในสัดส่วนที่เหมาะสม ก่อนนำส่ง ส่วนกลาง และรายได้ที่จัดเก็บโดยหน่วยงานส่วนกลางควรกำหนดสัดส่วนการจัดสรรให้พื้นที่อย่างชัดเจน 1.3 มาตรการใช้ประโยชน์ของภาษีเพื่อพัฒนาระบบการให้บริการและการท่องเที่ยวของท้องถิ่น ให้กำหนดสัดส่วนการนำเงินงบประมาณไปใช้ประโยชน์ให้ตรงกับสัดส่วนภาษีที่จัดเก็บ และสร้างกลไกการกำกับ ดูแลการใช้ประโยชน์จากงบประมาณท้องถิ่นในรูปคณะกรรมการ 1.4 มาตรการสนับสนุน ให้เร่งผลักดันร่างกฎหมายรายได้ท้องถิ่น โดยกำหนดโครงสร้างให้ครอบ คลุมส่วนต่าง ๆ ให้ครบวงจร และเร่งประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ ความเข้าใจ และข้อมูลเกี่ยวกับระบบภาษีและการ จัดเก็บภาษีแก่ผู้เสียภาษีโดยเฉพาะภาษีท้องถิ่น รวมทั้งควรดำเนินนโยบายภาษีให้ชัดเจนและส่งเสริมองค์ความรู้ เกี่ยวกับการบริหารจัดการและการพัฒนาระบบบริการประชาชนในด้านต่าง ๆ เป็นต้น 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณาและผลการดำเนินการของกระทรวงการคลังร่วมกับสำนักงาน พัฒนาการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนา การเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1962 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การเพิ่มความปลอดภัยในการใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ" | สสป | 07/04/2552 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะ ของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "การเพิ่มความปลอดภัยในการใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ" สรุปได้ดังนี้ 1.1 การพัฒนามาตรฐานรถโดยสารสาธารณะ อาทิ การตรากฎระเบียบว่าด้วยมาตรฐานพนักงาน ขับรถ ระบบค่าจ้าง สวัสดิการ ระยะเวลาการทำงาน การพักผ่อนที่เหมาะสม วินัย และมาตรฐานวิชาชีพของพนัก งานขับรถ การกำหนดมาตรฐานรถโดยสารสาธารณะและมาตรฐานอู่ต่อรถโดยสารสาธารณะ รวมทั้งมีกระบวน การในการตรวจสภาพรถโดยมีการออกใบรับรองมาตรฐานเป็นระยะทุก 3 เดือน ส่วนพนักงานบริการบนรถโดย สารสาธารณะต้องได้รับการอบรม การตรวจสอบประวัติ และมีข้อกำหนดว่าด้วยวินัยและมารยาท เป็นต้น 1.2 การพัฒนามาตรฐานที่ปลอดภัยของรถโดยสารสาธารณะ อาทิ สนับสนุนให้องค์กรผู้ประกอบ การและองค์กรของพนักงานมีส่วนร่วมในการควบคุม พัฒนามาตรฐาน และจัดทำแนวทางหรือข้อปฏิบัติที่ดี และ การใช้มาตรการทางภาษีเพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถพัฒนาคุณภาพรถโดยสารสาธารณะ จัดสรรเงิน จากภาษีน้ำมัน หรือกองทุนอื่นของรัฐให้ผู้ประกอบการกู้ยืมระยะยาวในอัตราดอกเบี้ยต่ำ เป็นต้น 1.3 ควรปรับปรุงระบบการเดินรถให้เป็นธรรม โดยให้ความสำคัญกับระบบการให้สัมปทานเดินรถ ที่เป็นธรรมอย่างน้อยให้มีผู้ประกอบการตั้งแต่ 2 รายขึ้นไปในทุกเส้นทาง 1.4 ตรากฎระเบียบกำหนดมาตรฐานการประกันภัยผู้เสียหายจากรถโดยสารสาธารณะ 1.5 จัดตั้งส่วนงานที่รับเรื่องร้องเรียนจากผู้โดยสาร 1.6 ส่งเสริมสิทธิของผู้ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะและการเข้าถึงสิทธิของผู้ใช้บริการ โดยให้ตรา เป็นกฎระเบียบว่าด้วยสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้โดยสาร 1.7 ตรากฎระเบียบว่าด้วยมาตรฐานรถที่ปลอดภัยที่ทางราชการจะเช่าหรือซื้อเพื่อใช้ในราชการเพื่อ ความปลอดภัยของข้าราชการ หรือผู้เข้าร่วมกิจกรรมของส่วนราชการ 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาด ไทย กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพลังงาน กระทรวงสาธารณสุข สำนัก งานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนัก งานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และผู้ประกอบการรถโดยสาร ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคมไปดำเนินการตาม มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2551 (เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง แนวทางการดำเนินการ ของคณะรัฐมนตรีในเรื่องที่สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้คำปรึกษา ข้อเสนอแนะ หรือความเห็นต่อ คณะรัฐมนตรี) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1963 | การจัดกลุ่มสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมแห่งชาติ เป็นองค์การมหาชนในกลุ่มที่ 1 ในกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี | นร | 24/03/2552 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาเรื่อง การจัดกลุ่มสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี
และนวัตกรรมแห่งชาติเป็นองค์การมหาชนในกลุ่มที่ 1 ในกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เห็นว่าโดยที่คณะ รัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 (เรื่อง ขอยกเว้นกรอบวงเงินรวมสำหรับค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร) มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ) รับไปพิจารณาทบทวนความจำเป็นและความคุ้มค่า ในการจัดการบริหารรูปแบบองค์การมหาชนเพื่อพิจารณาปรับปรุงให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาในรายละเอียดของสำนักงาน ก.พ.ร. และครอบคลุมถึงประเด็นการจัดกลุ่มของ องค์การมหาชนด้วย นอกจากนี้ หากภารกิจของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ ฯ มีความจำเป็น จะต้องดำเนินงานอยู่อย่างต่อเนื่อง ก็อาจไม่เข้าหลักเกณฑ์ในการจัดเป็นองค์การมหาชนในกลุ่มที่ 1 ได้ เนื่องจาก หลักเกณฑ์ขององค์การมหาชนในกลุ่มที่ 1 จะต้องเป็นองค์การมหาชนที่จัดตั้งขึ้นเพื่อพัฒนาและดำเนินการตาม นโยบายสำคัญเฉพาะด้านของรัฐให้เกิดผลในทางปฏิบัติภายในระยะเวลาจำกัด ดังนั้น จึงมีมติให้กระทรวงวิทยา ศาสตร์และเทคโนโลยีนำเรื่องนี้เสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง เมื่อสำนักงาน ก.พ.ร . ได้เสนอผลการพิจารณามาแล้ว สำหรับการกำหนดอัตราเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่น ของผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบาย วิทยาศาสตร์ ฯ และผู้ที่เกี่ยวข้องในชั้นนี้ให้เป็นไปตามอัตราขององค์การมหาชน กลุ่มที่ 2 (บริการที่ใช้เทคนิควิชา การเฉพาะด้านหรือสหวิทยาการ) ไปพลางก่อน ทั้งนี้ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ) เร่งรัด การเสนอผลการพิจารณาดังกล่าวข้างต้นของสำนักงาน ก.พ.ร. ต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1964 | การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ 11 (The 11th Informal ASEAN Ministerial Meeting on the Environment - IAMME) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | ทส | 17/03/2552 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานผลการประชุม
รัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ 11 (The 11th Informal ASEAN Ministerial Meeting on the Environment-IAMME#11) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างววันที่ 6-10 ตุลาคม 2551 ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยสาระสำคัญของการประชุม IAMME#11 ที่ประชุมได้พิจารณาเกี่ยวกับการจัด ตั้ง ASEAN Center of Biodiversity (ACB) ปัจจุบันมี 5 ประเทศ ที่ยื่นสัตยาบันสารแล้ว ประกอบด้วย บรูไน ลาว ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และสิงคโปร์ โดยที่ประชุมได้ขอให้ประเทศสมาชิกเร่งรัดการให้สัตยาบันเพราะจะมีผลต่อการ ใช้เงินช่วยเหลือจากสหภาพยุโรปจำนวน 5 ล้านยูโร ภายในสิ้นปี พ.ศ. 2552 และเร่งรัดการดำเนินการลงนามใน ร่าง ASEAN Framework Agreement on Access to, and Fair and Equitable Sharing of Benefits Arising from the Utilisation of Biological and Genetic Resources (ABS) และรับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานตาม ASEAN Strategic Plan of Action on Water Resources and Management (ASPA-WRM) ประกอบด้วย 4 โครง การ รวมทั้งการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการอาเซียนด้านสิ่งแวลล้อมศึกษา (2008-2012) โดยเห็นชอบแผน การดำเนินงานในระดับภูมิภาครวม 5 กิจกรรม และการจัดตั้งคณะทำงานด้านสิ่งแวดล้อมศึกษา (AWGEE) โดยมี บรูไนเป็นประธาน นอกจากนี้ ที่ประชุมรับทราบว่าจะมีการจัดทำรายงานสถานการณ์สิ่งแวดล้อมอาเซียน (SOER -4) โดยสำนักเลขาธิการอาเซียนได้รับเงินสนับสนุนในการจัดทำ SOEA-4 จำนวน 150,000 ดอลลาร์สหรัฐ และรับทราบผลการพิจารณาร่างแผนงานการจัดตั้งประชาสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASCC Blueprint) ของ การประชุม the 5th Coordinating Conference on the ASEAN Socio-Cultural Community (SOC-COM) และการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสสำหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นทางการ ครั้งที่ 11 (IAMME#11) ซึ่งยังไม่ได้ข้อยุติ โดยจะได้นำเสนอร่าง ASCC Blueprint เสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการยกร่าง ASCC Blueprint (the ASCC Blueprint Drafting Committee) เพื่อพิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1965 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การคุ้มครองสิทธิเด็กและเยาวชนจากสื่อโทรทัศน์ | พม | 10/03/2552 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง การคุ้มครองสิทธิเด็กและเยาวชนจากสื่อโทรทัศน์ รวมทั้งรับทราบ ความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วม กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. มาตรการเร่งด่วน 1.1 นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจายเสียงและ กิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 หรือรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายต้องเร่งเสนอให้คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งกรรมการผู้ทรง คุณวุฒิ จำนวน 6 คน เพื่อให้คณะอนุกรรมการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ตามบทเฉพาะกาล มาตรา 79 สามารถเริ่มปฏิบัติหน้าที่ได้โดยเร็ว และสั่งการให้คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคและคณะกรรมการเฉพาะเรื่อง พิจารณาใช้อำนาจตามมาตรา 21(1) ในกรณีที่คณะอนุกรรมการวิทยุกระจายเสียง ฯ ไม่สามารถดำเนินการให้ ครบขั้นตอนตามกฎหมายได้ 1.2 รัฐในฐานะเจ้าของกิจการ ควรใช้อำนาจทางบริหารสั่งการให้หน่วยงานที่รับผิดชอบการแพร่ ภาพกระจายเสียงทางสื่อโทรทัศน์ ดำเนินการตรวจสอบการกระทำที่ไม่เหมาะสม ตามหลักเกณฑ์ซึ่งกรมประชา สัมพันธ์ได้เคยประกาศไว้ และให้ถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เดิมไปพลางก่อน ตลอดจนสั่งการหรือประสานงานให้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ของตนที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด 2. มาตรการระยะยาว 2.1 รัฐจะต้องกำหนดนโยบายและมาตรการการคุ้มครองสิทธิของเด็กและเยาวชนซึ่งเป็นผู้บริโภค เป็นการเฉพาะ และควรประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาคเอกชน ภาคประชาชน และภาควิชาการที่เกี่ยว ข้องเพื่อรับฟังข้อเท็จจริงของสภาพปัญหาและร่วมกันแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อเด็กและเยาวชนไทยอย่างต่อ เนื่องและจริงจัง 2.2 รัฐควรกำหนดมาตรการ หรือสนับสนุนงบประมาณ เพื่อให้รายการโทรทัศน์ที่เป็นประโยชน์ สำหรับเด็กและเยาวชนสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องพึ่งพิงการโฆษณาที่ไม่เหมาะสม รวมทั้งควรมีมาตรการ ส่งเสริมและจูงใจให้ผู้ผลิตสินค้า รวมถึงผู้ประกอบการโฆษณามีกลไกและแนวทางการกำกับดูแลในการคุ้มครอง เด็กและเยาวชนจากสื่อโทรทัศน์ในทำนองเดียวกันกับการริเริ่มจัดทำข้อตกลงสนับสนุนนโยบายการโฆษณาด้วย ความรับผิดชอบในประเทศไทย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1966 | รายงานผลการดำเนินโครงการเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงานเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมในชุมชน และขออนุมัติขั้นตอน วิธีการ และอัตราค่าใช้จ่ายตามโครงการ | นร | 10/03/2552 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ) ประธานกรรมการบริหารโครง
การเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงานเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมในชุมชนเสนอ ดังนี้ 1. อนุมัติขั้นตอน วิธีการ และอัตราค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการดำเนินโครงการเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงานเพื่อ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมในชุมชน 2. อนุมัติในหลักการให้ส่วนราชการต่าง ๆ ยกเว้นการทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบ ประมาณของส่วนราชการและหน่วยงานที่ร่วมดำเนินงาน 3. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกอร์ปศักดิ์ ฯ) รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลังว่ามีความจำเป็น ต้องออกระเบียบกระทรวงการคลังเพื่อรองรับการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตามโครงการ ฯ เป็นการเฉพาะด้วย หรือไม่ ผลการพิจารณาเป็นประการใด ให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1967 | การปรับแผนการฝึกอบรม จัดประชุมสัมมนา และการดูงาน | นร | 03/03/2552 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ทุกส่วนราชการรับไปตรวจสอบและพิจารณาทบทวนและปรับแผนการฝึกอบรม
ประชุมสัมมนา และดูงานในต่างประเทศ ในความรับผิดชอบอีกครั้งหนึ่ง แล้วแจ้งผลการพิจารณาให้รัฐมนตรี เจ้าสังกัดส่งไปยังฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) ภายในวันที่ 17 มีนาคม 2552 เพื่อรวบรวมนำเสนอนายกรัฐมนตรีและรายงาน ให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป เนื่องจากเห็นว่าข้อมูลการปรับแผนการฝึกอบรมฯ ที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการ รัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) รวบรวมได้ ปรากฏว่า ส่วนราชการต่าง ๆ ส่วนใหญ่แจ้งว่าไม่สามารถปรับแผนการฝึกอบรมฯ ได้ และขอคงงบประมาณค่าใช้จ่ายในการ เดินทางไปฝึกอบรมประชุมสัมมนา และดูงานในต่างประเทศไว้สูงถึงร้อยละ 94 ของงบประมาณแผ่นดินในส่วนนี้ ทั้งหมด ซึ่งถือว่ามีการปรับแผนน้อยมาก และจะไม่สามารถตอบสนองต่อเจตนารมณ์ของรัฐบาลที่ต้องการให้ เกิดการใช้จ่ายงบประมาณในประเทศ เพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศโดยเร็วและให้มากที่สุด สมควรที่ ส่วนราชการแต่ละแห่งจะต้องพิจารณาทบทวนและปรับแผนการฝึกอบรม ประชุมสัมมนาและดูงานในต่างประเทศ รวมถึงกรณีที่เป็นกิจกรรมส่วนหนึ่งของโครงการหรือหลักสูตรของสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1968 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (Sovereign Wealth Fund : SWF) ของประเทศไทย | สสป | 03/03/2552 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและ
ข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง การจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (Sovereign Wealth Fund : SWF) ของ ประเทศไทย และรับทราบผลการพิจารณาของกระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยในส่วนของสภาที่ ปรึกษา ฯ มีความเห็นและข้อเสนอแนะ สรุปได้ดังนี้ การจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (Sovereign Wealth Fund : SWF) ของประเทศไทย ในระยะแรกรัฐบาลจะต้องจัดสรรเงินทุน จำนวนประมาณ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินทุนประมาณร้อยละ 10 จากเงินทุนสำรองที่บริหารโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และใน อนาคตหากประเทศไทยมีรายได้จากการส่งออกโภคภัณฑ์อื่น ๆ เพิ่มขึ้นในอัตราที่สูง อาจจะนำรายได้ส่วนหนึ่งมา สมทบเข้ากองทุน ฯ ส่วนการบริหารเงินทุน ควรมีการลงทุนในต่างประเทศเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Investment) และกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการลงทุนตามมาตรฐานสากล โดยจำกัดให้กองทุน ฯ ลงทุนในต่างประเทศเท่านั้น กับให้มีการจัดตั้งบรรษัทบริหารจัดการกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของประเทศไทย (Thailand Investment Corpora tion : TIC) ทำหน้าที่ในการบริหารจัดการกองทุน ฯ รวมทั้งให้มีคณะกรรมการกำกับดูแล (Steering Committee) บรรษัทบริหารจัดการกองทุน ฯ คณะกรรมการนโยบายการลงทุน และคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงเพื่อจัดทำ นโยบายการลงทุนและนโยบายการบริหารความเสี่ยง รวมถึงมีการจัดระบบข้อมูลกองทุน ฯ และให้มีการตรากฎ หมายขึ้นมารองรับการดำเนินงานของบรรษัทบริหารจัดการกองทุน ฯ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1969 | ผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ 5/2552 | นร | 24/02/2552 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรม
การและเลขานุการคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (รศก.) เสนอ ดังนี้ 1. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการ รศก. ครั้งที่ 5/2552 เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2552 และเห็นชอบมติคณะกรรมการ รศก. ดังนี้ 1.1 แนวทางการระดมทุนในรูปแบบ Public Private Partnerships (PPPs) ที่ประชุมมีมติเห็น ชอบแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาแนวทางการเพิ่มบทบาทภาคเอกชนในรูปบบ PPPs มีหน้าที่พิจารณา แนวนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการลงทุนภาครัฐในรูปแบบ PPPs กำหนดขั้นตอน และกระบวน การทำงานในการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนให้มีความชัดเจนและสอดคล้องกับพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอก ชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง และศึกษาแนวทาง การปรับปรุงระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และนำผลการพิจารณาเสนอให้คณะกรรมการ รศก. และคณะ รัฐมนตรีพิจารณาต่อไป 1.2 กรอบแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะปานกลาง ที่ประชุมมีมติเห็นชอบสาขาการลงทุนสำคัญใน 5 สาขา และมอบหมายให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องจัดส่งรายละเอียดแผนการลงทุนให้สำนักงานคณะกรรมการ พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รวบรวมและกลั่นกรองและให้ สศช. ร่วมกับกระทรวงการคลัง พิจารณากรอบวงเงินให้สอดคล้องกับข้อกฎหมาย และการรักษาวินัยการคลังที่ยั่งยืน โดยดำเนินการให้แล้ว เสร็จภายใน 1 เดือน และนำเสนอรองนายกรัฐมนตรี (นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ) พิจารณาก่อนนำเสนอคณะ กรรมการ รศก. ต่อไป 1.3 ผลกระทบจากพระราชบัญญัติการเดินอากาศ (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2551 ต่ออุตสาหกรรม ผลิตและซ่อมอากาศยานและชิ้นส่วน ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงคมนาคม กระทรวง พาณิชย์ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกันพิจารณาความเหมาะสมของการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยว ข้อง เพื่อแก้ไขปัญหาการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมผลิตและซ่อมอากาศยานและชิ้นส่วนของประเทศ ต่อไป แล้วรายงานคณะกรรมการ รศก. และคณะรัฐมนตรี และให้กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงคมนา คมร่วมกันจัดทำแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตและซ่อมอากาศยานและชิ้นส่วนของประเทศเพื่อใช้เป็น กรอบแนวทางการพัฒนาและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอากาศยานทั้งระบบต่อไป 1.4 มอบหมายให้ส่วนราชการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ดังนี้ 1.4.1 มอบให้ สศช. ประสานกับธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการต่างประเทศ และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้จัดส่งข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ให้ สศช. รวบรวม และนำเสนอคณะกรรมการ รศก. 1.4.2 มอบให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานมาตรการกีดกันทางการค้าในทุกรูปแบบของประเทศคู่ค้าสำคัญเพื่อเป็นข้อมูล สำหรับนายกรัฐมนตรีในการเดินทางไปเจรจาในต่างประเทศ 2. รับทราบและเห็นชอบข้อเสนอเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงทุนตามกรอบแผนฟื้นฟู ฯ ที่จะลงทุนใน 5 สาขาหลักที่สำคัญ โดยปรับเพิ่มเป็น 6 สาขาหลัก ฯ โดยแยก "เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์" ออกจาก "อุตสาห กรรมท่องเที่ยวและเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์" ใน (3) เป็นอีก 1 สาขา
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1970 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระดับจังหวัดกรณีศึกษาลุ่มน้ำปราจีนบุรี" | ทส | 17/02/2552 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ระดับจังหวัด กรณีศึกษาลุ่มแม่น้ำปราจีนบุรี" รวมทั้งรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการ ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยในส่วนของ สภาที่ปรึกษา ฯ มีความเห็นและข้อเสนอแนะ ดังนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสนับสนุน นโยบายและงบประมาณให้ "ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมลุ่มน้ำปราจีนบุรี" นำไปสู่การปฏิบัติ เพื่อเป็นแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัดอย่างมี ส่วนร่วมที่แท้จริง และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรีจัดประชุมบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานหลัก ที่เกี่ยวข้องในระดับจังหวัด ให้ร่วมกันพิจารณายุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลุ่มน้ำปราจีนบุรีดังกล่าว เพื่อร่วมกันสร้างและพัฒนากระบวนการทำแผนปฏิบัติการประจำปี ตลอดจนการสนับ สนุนงบประมาณ เครื่องมืออุปกรณ์ และบุคลากรเพื่อนำแผนไปปฏิบัติให้บรรลุผล
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1971 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การแก้ไขปัญหาวิกฤติของชาติ" | สสป | 03/02/2552 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและ
ข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ เรื่อง "การแก้ไขปัญหาวิกฤติของชาติ" รวมทั้งรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยสภาที่ปรึกษา ฯ มีความ เห็นดังนี้ ควรเยียวยาและชดเชยต่อผู้เสียหายโดยเร่งด่วน และให้แต่งตั้งคณะกรรมการอิสระ ทำหน้าที่สืบสวน สอบ สวน เพื่อทำความจริงให้ประจักษ์ รวมทั้งหาผู้รับผิดชอบ โดยรัฐบาลให้คำมั่นว่าจะนำผลแห่งการสอบสวนนั้นไป พิจารณาอย่างตรงไปตรงมา และกำชับให้หน่วยราชการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2545 เรื่อง การใช้หลักกฎหมายกรณีผู้ชุมนุมละเมิดสิทธิของผู้อื่น โดยให้เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบใช้วิธีการเจรจาก่อน โดย เสนอแนะให้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย หากไม่ปฏิบัติตามก็ให้ดำเนินการตามกฎหมาย โดยให้ดำเนินการใน ระดับถ้อยทีถ้อยอาศัย และต้องมองว่าทุกคนเป็นผู้ร่วมชาติ และให้รัฐบาล (รวมทั้งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชา ธิปไตย) ต้องแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามที่ถือปฏิบัติในนานาอารยประเทศและหลีกเลี่ยงการ ดำเนินการซึ่งเป็นการสุ่มเสี่ยงต่อความรุนแรง ลดเงื่อนไขความขัดแย้งและสร้างบรรยากาศความไว้วางใจ และสนับ สนุนการสร้างความสมานฉันท์และการปฏิรูปการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ซึ่งกว้างขวางกว่าการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐ ธรรมนูญเพียงเท่านั้น นอกจากนี้ ควรกวดขันมิให้มีการใช้สื่อปลุกเร้าความโกรธและความเกลียดชัง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1972 | ขออนุมัติดำเนินการเพื่อก่อสร้างงานโยธาโครงการรถไฟสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่ และช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ | นร | 27/11/2551 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ 1. เห็นชอบและให้ดำเนินการตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายโอฬาร ไชยประวัติ) เป็นประธานกรรมการเกี่ยวกับความชัดเจนของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่ และ ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ รวม 3 ประเด็น และรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอเพิ่มเติม 2. อนุมัติให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ดำเนินการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสี เขียวเข้ม ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่ ในส่วนของงานโยธา กรอบวงเงิน 16,443 ล้านบาท งานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน กรอบ วงเงิน 2,388 ล้านบาท และงานที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงาน 658 ล้านบาท ค่าจ้างที่ปรึกษาคัดเลือกผู้รับจ้าง งานโยธาและงานระบบรถไฟฟ้า 14 ล้านบาท ค่าสำรวจอสังหาริมทรัพย์ 6 ล้านบาท และค่า Provision sum ของงาน โยธา กรอบวงเงิน 2,280 ล้านบาท 3. อนุมัติให้ รฟม. ดำเนินการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อน ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ ในส่วน ของงานโยธาโดยมีกรอบวงเงิน 15,134 ล้านบาท งานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน กรอบวงเงิน 675 ล้านบาท และงานจ้างที่ ปรึกษาบริหารและควบคุมงาน 605 ล้านบาท ค่าจ้างที่ปรึกษาคัดเลือกผู้รับจ้างงานโยธาและงานระบบรถไฟฟ้า 14 ล้านบาท ค่าสำรวจอสังหาริมทรัพย์ 6 ล้านบาท และค่า Provision sum ของงานโยธา กรอบวงเงิน 2,099 ล้านบาท 4. ให้ รฟม. ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและติดตามผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และดำเนินการกรณีมี การเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการตามความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และรับความ เห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ ไป พิจารณาด้วย 5. อนุมัติให้กระทรวงการคลังจัดหาแหล่งเงินกู้ที่เหมาะสม และค้ำประกันเงินกู้ดังกล่าว รวมทั้งให้สำนักงบ ประมาณจัดหางบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมตามแผนการใช้จ่ายจริง โดยรัฐบาลรับภาระด้านการลงทุน งานโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง 6. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 2 ฉบับ และร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เป็นกรณีที่มีความจำเป็น โดยเร่งด่วน จำนวน 2 ฉบับ รวม 4 ฉบับ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ 7. กรณีที่ รฟม. จะดำเนินการจัดจ้างผู้รับจ้างก่อสร้างงานโยธาในรูปแบบการแข่งขันประกวดราคานานา ชาติ (International Competitive Bidding หรือ ICB) และขอยกเว้นการดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2549 มอบให้กระทรวงคมนาคมเสนอต่อคณะกรรมการว่าด้วย การพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (กวพ.อ.) และเมื่อได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการดังกล่าว แล้วให้ดำเนินการ ต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1973 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การจัดระบบการให้บริการและคุ้มครองทางสังคมแก่แรงงานนอกระบบ | สสป | 27/11/2551 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การจัดระบบการให้บริการและคุ้มครองทางสังคมแก่แรงงานนอกระบบ ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ รวมทั้งผลการพิจารณาและผลการดำเนินการของกระทรวงแรงงานร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ทั้งนี้ ให้กระทรวงแรงงานพิจารณาดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๑ (เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แนวทางการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีในเรื่องที่สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้คำปรึกษา ข้อเสนอแนะ หรือความเห็นต่อคณะรัฐมนตรี) ด้วย
โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มีดังนี้ ๑. ด้านนโยบาย ๑.๑ ควรดำเนินการขยายความคุ้มครองการประกันสังคมไปสู่แรงงานนอกระบบโดยการบังคับด้วยกฎหมาย เพื่อจะได้สามารถขยายความคุ้มครองไปสู่แรงงานนอกระบบได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ ควรเริ่มกับกลุ่มอาชีพที่มีความพร้อมด้านฐานข้อมูลและมีความพร้อมในการจ่ายเงินสมทบ ซึ่งเป็นการดำเนินการระยะ ๓ ปีแรก กำหนดให้เข้าร่วมกองทุนด้วยความสมัครใจ และตั้งแต่ปีที่ ๔ เป็นต้นไป ควรบังคับโดยกฎหมาย ๑.๒ รัฐควรสนับสนุนให้แรงงานนอกระบบมีการรวมกลุ่มในรูปแบบต่าง ๆ เช่น รูปของสมาพันธ์ สหกรณ์ เพื่อก่อให้เกิดการสนับสนุนกระบวนการเพิ่มผลผลิต ควบคุมการจ้างงานที่เป็นธรรม และพัฒนาตลาดเฉพาะ รวมทั้งปรับบทบาทภาครัฐให้สนับสนุนการเชื่อมโยงวงจรการผลิต การจ้างงาน ตั้งแต่วัตถุดิบจนถึงการตลาด และการพัฒนาแบบรวมกลุ่มการผลิต ได้แก่ การสนับสนุนเงินทุนประกอบอาชีพ การส่งเสริมกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิต การส่งเสริมศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบลให้สามารถดำเนินการได้ครบวงจร การปรับเปลี่ยนระบบการผลิตพืชไปสู่การผลิตที่ปลอดสารพิษและการส่งเสริมการเกษตรผสมผสาน การปรับปรุงพันธุ์พืชและสัตว์เศรษฐกิจเพื่อนำพันธุ์ดีส่งเสริมให้เกษตรกรไปใช้ในการผลิตและขยายพันธุ์ ส่งเสริมกระบวนการพัฒนาเกษตรยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง และดำเนินโครงการฟื้นฟูเกษตรหลังการพักชำระหนี้ ๒. ด้านกฎหมาย ๒.๑ ควรแก้ไขพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ เพื่อให้แรงงานทุกสาขาอาชีพสามารถเข้าสู่ระบบการประกันสังคมได้ทั้งหมดโดยไม่มีการยกเว้น ๒.๒ ควรกำหนดให้มีการตราพระราชกฤษฎีกา โดยเพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีสงเคราะห์บุตร โดยกำหนดให้รับเงินสงเคราะห์บุตรแบบเหมาจ่ายรายเดือน ๆ ละ ๓๕๐ บาท ต่อบุตร ๑ คน สำหรับบุตรที่มีอายุไม่เกิน ๖ ปีบริบูรณ์ และไม่เกิน ๒ คน ๒.๓ ควรมีการปรับปรุงพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ โดยเพิ่มคำจำกัดความของแรงงานนอกระบบให้หมายความรวมถึงแรงงานในทุกสาขาอาชีพที่มิใช่ลูกจ้างประจำของสถานประกอบการ เพื่อคุ้มครองแรงงานที่อยู่นอกเหนือจากแรงงานในระบบได้อย่างครอบคลุม ๓. ด้านการจัดตั้งกองทุนแรงงานนอกระบบ ๓.๑ ควรจัดตั้งกองทุนแรงงานนอกระบบ แยกออกจากกองทุนประกันสังคมอย่างชัดเจน และมีคณะกรรมการบริหารกองทุนโดยเฉพาะ ทั้งนี้ ควรแยกประเภทกองทุนตามประเภทกลุ่มอาชีพของแรงงานนอกระบบ เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองที่มีความเฉพาะและตรงตามความต้องการของแรงงานแต่ละกลุ่มอาชีพมากที่สุด ๓.๒ รัฐควรสนับสนุนเงินงบประมาณประเดิมเพื่อการจัดตั้งกองทุนประกันสังคมสำหรับแรงงานนอกระบบอย่างเพียงพอ รวมทั้งสนับสนุนการดำเนินงานควบคู่ไปด้วย ๓.๓ รัฐควรมีส่วนร่วมในการสมทบเงินเข้ากองทุนเช่นเดียวกับการสมทบเงินให้กับแรงงานในระบบ ๓.๔ กองทุนควรมีหลักเกณฑ์ด้านความคุ้มครองผู้ประกันตนเกี่ยวกับโรคที่ไม่สามารถรับบริการหรือได้รับการยกเว้นเช่นเดียวกับผู้ประกันตนของระบบประกันสังคม ๓.๕ ควรแก้ไขพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบ ประเภทของประโยชน์ทดแทน ตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนของผู้ประกันตนซึ่งมิใช่ลูกจ้าง พ.ศ. ๒๕๓๗ มาตรา ๖ โดยเพิ่มประเภทของประโยชน์ทดแทนจากกองทุนนอกระบบให้เท่าเทียมกับแรงงานในระบบประกันสังคม ๔. ด้านการบริหารจัดการกองทุน ๔.๑ ควรมีการเลือกตั้งกรรมการเพื่อบริหารกองทุนประกันสังคมสำหรับแรงงานนอกระบบเป็นการเฉพาะ โดยให้มีคณะกรรมการในจำนวนที่เหมาะสม มีองค์ประกอบจากหลากหลายอาชีพ รวมทั้งให้มีผู้ประกันตนมีส่วนร่วมเป็นกรรมการด้วย ๔.๒ ควรแก้ไขพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบฯ มาตรา ๕ ซึ่งระบุเกี่ยวกับการจ่ายเงินสมทบให้กับสำนักงานประกันสังคมแต่ไม่ได้ระบุกองทุนที่ต้องจ่ายเงินเข้าสมทบ โดยระบุประเภทผู้จ่ายเงินสมทบและประเภทกองทุนอย่างชัดเจน ๔.๓ สำนักงานประกันสังคมและสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติควรนำฐานข้อมูลของผู้รับบริการมาใช้ร่วมกัน เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการสืบค้นข้อมูลอันจะเป็นประโยชน์ต่อผู้รับบริการในอันที่จะได้รับบริการที่มีคุณภาพและมีมาตรฐานอย่างเดียวกัน ๔.๔ องค์กรที่ทำหน้าที่ในการบริหารจัดการกองทุนประกันสังคมสำหรับแรงงานนอกระบบควรมีความคล่องตัวด้านระเบียบการเบิกจ่ายเงินและการจัดซื้อจัดจ้างหรืออาจเป็นองค์กรมหาชน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1974 | การรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2551/52 | นร | 19/11/2551 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. ให้คณะอนุกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติระดับจังหวัด (อนุ กขช. จังหวัด) พิจารณาราคาจำนำข้าว เปลือกหอมจังหวัดตันละไม่เกิน 13,000 บาท ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2551 (เรื่อง กรอบและหลักเกณฑ์การรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2551/52) สำหรับการวินิจฉัยว่าข้าวเปลือก หอมจังหวัดมีชั้นคุณภาพเช่นเดียวกับข้าวเปลือกหอมมะลิที่ควรได้รับราคาเพิ่มขึ้นหรือไม่ ประการใด ให้รีบส่งเรื่อง ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมการข้าว และกรมวิชาการเกษตร) พิจารณาวินิจฉัยข้าวเปลือกที่รับจำนำไว้ แล้วดำเนินการตามผลการพิจารณาต่อไป 2. ให้กระทรวงมหาดไทยแจ้งกำชับผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะประธาน อนุ กขช. จังหวัด ทราบและถือ ปฏิบัติตามแนวทางข้างต้นโดยด่วนด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1975 | ขออนุมัติดำเนินการเพื่อก่อสร้างงานโยธาโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงหมอชิต-สะพานใหม่ และช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ | คค | 11/11/2551 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่ และช่วงแบริ่ง-สมุทร
ปราการ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยเห็นว่า โครงการดังกล่าวเป็นเรื่องที่มีลำดับความสำคัญและผลตอบ แทนทางเศรษฐกิจสูง และเป็นทางเลือกให้กับประชาชนในการเดินทาง แต่โดยที่ยังมีประเด็นปัญหาสำคัญบาง ประการที่สมควรได้รับการพิจารณาให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจนก่อน เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี จึงลง มติให้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง มีรองนายกรัฐมนตรี (นายโอฬาร ไชยประวัติ) เป็นประธาน รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงคมนาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุขุมพงศ์ โง่นคำ) เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา และ ผู้แทนกรุงเทพมหานคร รวมทั้งบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องตามที่ประธานเห็นสมควร เป็นกรรมการ เพื่อพิจารณาความ ชัดเจนในประเด็นดังต่อไปนี้ และให้นำผลการพิจารณาของคณะกรรมการเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน 2 สัปดาห์ 1. บทบาทของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และกรุงเทพมหานครเกี่ยวกับการ ดำเนินโครงการนี้ และแนวทางในการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพมหานครในอนาคต 2. การจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ของโครงการ 3. วิธีประกวดราคาที่เหมาะสมสำหรับการจัดจ้างผู้รับจ้างก่อสร้างงานโยธาของโครงการ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1976 | ขออนุมัติดำเนินการเพื่อก่อสร้างงานโยธาโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงหมอชิต-สะพานใหม่ และช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ | คค | 11/11/2551 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่ และช่วงแบริ่ง-สมุทร
ปราการ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยเห็นว่า โครงการดังกล่าวเป็นเรื่องที่มีลำดับความสำคัญและผลตอบ แทนทางเศรษฐกิจสูง และเป็นทางเลือกให้กับประชาชนในการเดินทาง แต่โดยที่ยังมีประเด็นปัญหาสำคัญบาง ประการที่สมควรได้รับการพิจารณาให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจนก่อน เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี จึงลง มติให้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง มีรองนายกรัฐมนตรี (นายโอฬาร ไชยประวัติ) เป็นประธาน รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงคมนาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุขุมพงศ์ โง่นคำ) เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา และ ผู้แทนกรุงเทพมหานคร รวมทั้งบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องตามที่ประธานเห็นสมควร เป็นกรรมการ เพื่อพิจารณาความ ชัดเจนในประเด็นดังต่อไปนี้ และให้นำผลการพิจารณาของคณะกรรมการเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน 2 สัปดาห์ 1. บทบาทของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และกรุงเทพมหานครเกี่ยวกับการ ดำเนินโครงการนี้ และแนวทางในการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพมหานครในอนาคต 2. การจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ของโครงการ 3. วิธีประกวดราคาที่เหมาะสมสำหรับการจัดจ้างผู้รับจ้างก่อสร้างงานโยธาของโครงการ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1977 | ขออนุมัติกู้เงินระยะยาวเพื่อใช้ในการดำเนินงานของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 26/08/2551 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กู้เงินระยะยาว จำนวน 4,274 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินงานและชำระหนี้เงินกู้ของ รฟท. โดยกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน เงินกู้ดังกล่าว 2. ให้ รฟท. รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐ กิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ ที่ให้ รฟท. จัดทำแผนการดำเนินงานและกรอบระยะเวลาการดำเนิน การแก้ไขปัญหาองค์กร และจัดทำประมาณการทางการเงิน ที่ประกอบด้วยข้อมูลภาระงบประมาณที่ภาครัฐจะต้อง จัดสรรชำระหนี้/เงินอุดหนุน/การลงทุนเพิ่มให้แก่ รฟท. แต่ละปีเพื่อใช้ในการฟื้นฟูกิจการให้เป็นไปตามเป้าหมาย และให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างองค์กร และการบริหารจัดการในส่วนที่สามารถดำเนินการได้ก่อน เพื่อ เตรียมความพร้อมและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการ รวมทั้งการหาเอกชนร่วมลงทุนและบริหารจัดการเกี่ยวกับ การให้บริการในส่วนที่เป็นเชิงพาณิชย์ และบริหารสินทรัพย์ที่มีอยู่ (ที่ดิน) ให้เกิดผลตอบแทน และสร้างรายได้ให้ กับ รฟท. เพื่อลดภาระเงินอุดหนุนจากงบประมาณแผ่นดิน นอกจากนี้ รฟท. ควรกำหนดแนวทางที่ชัดเจนในการ ปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานโดยไม่ต้องรอผลการพิจารณาการปรับปรุงโครงสร้างการบริหารจัดการฟื้น ฟูฐานะการเงินอันจะเป็นการช่วยลดผลการดำเนินงานที่ขาดทุนลงได้ส่วนหนึ่ง ไปดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1978 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐสภา | สสป | 26/08/2551 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐฏิจและสังคมแห่งชาติ สรุปได้ดังนี้ 1.1 นโยบายเร่งด่วนที่จะเร่งดำเนินการในปีแรก 1.1.1 นโยบายแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ 1.1.2 นโยบายเพิ่มศักยภาพของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง 1.1.3 นโยบายจัดสรรงบประมาณตามขนาดประชากร (Small Medium Large: SML) ให้ครบทุกหมู่บ้านและชุมชน 1.1.4 นโยบายสนับสนุนสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการขนาดกลาง ขนาดย่อม และวิสาหกิจชุมชน 1.1.5 นโยบายพักหนี้ของเกษตรกรรายย่อยและยากจน 1.1.6 นโยบายสร้างระบบประกันความเสี่ยงให้เกษตรกร 1.1.7 นโยบายเร่งรัดการลงทุนที่สำคัญของประเทศ 1.1.8 นโยบายฟื้นความเชื่อมั่นด้านการลงทุนและส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศไทย 1.1.9 นโยบายขยายพื้นที่ชลประทานและเพิ่มประสิทธิภาพระบบชลประทาน 1.1.10 นโยบายเร่งรัดมาตรการและโครงการเพื่อบรรเทาผลกระทบจากวิกฤติโลกร้อน 1.2 นโยบายสังคมและคุณภาพชีวิต 1.2.1 นโยบายการศึกษา 1.2.2 นโยบายแรงงาน 1.2.3 นโยบายการพัฒนาสุขภาพของประชาชน 2.1.4 นโยบายศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม 1.3 นโยบายเศรษฐกิจ 1.3.1 นโยบายการเงินการคลัง 1.3.2 นโยบายการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ 1.3.3 นโยบายโครงสร้างพื้นฐานและระบบบริหารจัดการขนส่ง 1.3.4 นโยบายพลังงาน 3.1.5 นโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศ 1.4 นโยบายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 1.5 นโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม 1.6 นโยบางการต่างประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ 1.7 นโยบายความมั่นคงของรัฐ 1.8 นโยบายการบริหารจัดการที่ดี 2. รับทราบผลการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นั้น เป็นข้อเสนอแนะที่เป็น รายละเอียดในระดับของการนำนโยบายไปปฏิบัติ สามารถนำไปพิจารณาประกอบเพื่อให้เกิดการปฏิบัติได้ อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดประสิทธิผลอย่างเต็มที่และตรงตามกลุ่มเป้าหมายของนโบาย และเกิดประโยชน์ต่อ ประชาชนอย่างทั่วถึงในกลุ่มต่าง ๆ รวมทั้งการระมัดระวังความเสี่ยงและการรักษาวินัยทางการเงินการคลัง ในกรณีของนโยบายด้านสินเชื่อ ซึ่งรายระเอียดตามความคิดเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวนั้น สอดคล้องกับ ข้อพิจารณาและลำดับความสำคัญการดำเนินการนโยบายที่ได้กำหนดไว้เป็นแผนงาน/โครงการและกลยุทธ์ ภายใต้แผนบริหารราชการแผ่นดิน ปี 2551-2554 และได้ใช้เป็นกรอบยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณ ปี 2552
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1979 | รายงานผลการพิจารณาอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัยของนางเกสมณี สนั่นเครื่อง | นร | 26/08/2551 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องการดำเนินการทางวินัยและการพิจารณาอุทธรณ์ที่
แต่งตั้งตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2549 ยังคงปฏิบัติต่อไป โดยให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายก รัฐมนตรี (นายชูศักดิ์ ศิรินิล) เป็นประธานกรรมการ พร้อมทั้งมีองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ตามเดิม และให้ส่ง เรื่องรายงานผลการพิจารณาอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัยของนางเกสมณี สนั่นเครื่อง ตามที่คณะทำงานพิจารณา อุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัย ฯ ให้คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องการดำเนินการทางวินัยและการพิจารณาอุทธรณ์ พิจารณา และให้คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องการดำเนินการทางวินัยและการพิจารณาอุทธรณ์รับไปพิจารณาใน ประเด็นความเห็นของคณะทำงานพิจารณาอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัย กรณีนายนิรัตน์ ทะมีพันธ์ ว่าควรส่งเรื่อง ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการ หรือควรนำเสนอคณะรัฐมนตรี พิจารณา หรือแจ้งให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.ดำเนินการ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1980 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การคุ้มครองสิทธิที่จะได้รับการเยียวยาความเสียหายของผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา | สสป | 26/08/2551 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
1. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สรุปได้ดังนี้ 1.1 การแก้ไขปัญหาในลักษณะบูรณาการ 1.1.1 แนวคิดในการเยียวยาผู้เสียหายและจำเลย 1.1.2 การกำหนดเงื่อนไขในการเยียวยา โดยถ้าเป็นความเสียหายเล็กน้อย 1.1.3 การเยียวยาโดยรูปแบบอื่นนอกจากตัวเงิน 1.1.4 การจัดตั้งกองทุนในการเยียวยา 1.1.5 การสร้างระบบป้องกันสิทธิของประชาชน 1.1.6 การสร้างกลไกทางกฎหมายรูปแบบอื่น ควรใช้กระบวนการทางเลือกในคดีอาญา 1.2 การแก้ไขปัญหาในระยะเร่งด่วน และในระยะต่อไป 1.2.1 การแก้ไขปัญหาในระยะเร่งด่วน (1) การใช้สิทธิอุทธรณ์ (2) ระยะเวลาการยื่นคำร้อง (3) การรับรู้สิทธิของผู้เสียหายและจำเลย 1.2.2 การแก้ไขปัญหาในระยะต่อไป (1) ความล่าช้าในการเยียวยา (2) สำหรับกรณีของจำเลย ควรกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของศาลในการออกคำสั่ง (3) การนำเทคโนโลยีสารสนเทศที่ชื่อว่า Electronic Monitoring (EM) 1.2.3 ฐานความผิดที่กฎหมายควรให้ความคุ้มครองความผิดที่เกิดจากยานพาหนะหรือการจราจร 1.2.4 บุคคลที่กฎหมายควรให้การคุ้มครอง ประเทศไทยควรใช้หลักดินแดน 2. รับทราบผลการพิจารณาของกระทรวงยุติธรรม ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย สำนักงาน ศาลยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมราชทัณฑ์ กรมคุมประพฤติ และสำนักงานกิจ การยุติธรรม และขอขอบคุณสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้ความเห็นและข้อเสนอแนะในเรื่องดังกล่าว ต่อคณะรัฐมนตรี
|