ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 98 จากทั้งหมด 138 หน้า แสดงรายการที่ 1941 - 1960 จากข้อมูลทั้งหมด 2746 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1941 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร และกองทุนหมุนเวียนเพื่อการกู้ยืมแก่เกษตรกรและผู้ยากจน | สสป | 16/06/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะ ของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร และกองทุนหมุนเวียนเพื่อการกู้ยืมแก่เกษตรกรและ ผู้ยากจน สรุปได้ดังนี้ 1.1 ความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร 1.1.1 การบริหารจัดการกองทุนฟื้นฟู ฯ ให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้แทนเกษตรกร มีวาระ การดำรงตำแหน่งคราวละสามปี และจะดำรงตำแหน่งเกินสองวาระติดต่อกันไม่ได้ ในกรณีคณะกรรมการกองทุน ฟื้นฟู ฯ ดำรงตำแหน่งครบวาระแต่ยังไม่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟู ฯ ชุดใหม่ ให้คณะกรรมการกอง ทุนฟื้นฟู ฯ ซึ่งดำรงตำแหน่งครบวาระดังกล่าวปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ 1.1.2 ให้คณะกรรมการบริหารกองทุนฟื้นฟู ฯ กำกับดูแลให้เลขาธิการสำนักงานกองทุนฟื้น ฟู ฯ ทำงานให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของพระราชบัญญัติกองทุนฟื้นฟู ฯ และเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ 1.1.3 การเร่งจัดการหนี้ ให้คณะกรรมการกองทุนฟื้นฟู ฯ เร่งรัดดำเนินการบริหารใช้จ่ายเงิน กองทุนฟื้นฟู ฯ ที่เหลือสำหรับการจัดการหนี้ประมาณ 800 ล้านบาท เพื่อการจัดการหนี้ให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน โดยจัดการหนี้ตามลำดับความสำคัญของหนี้ 1.1.4 การเร่งรัดการพิจารณาอนุมัติแผนและโครงการฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ให้คณะกรรม การบริหารกองทุนฟื้นฟู ฯ เร่งรัดการพิจารณาอนุมัติแผนและโครงการฟื้นฟู ฯ ที่ได้ยื่นไว้และทบทวนแล้ว 1.2 ความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับกองทุนหมุนเวียนเพื่อการกู้ยืมแก่เกษตรกรและผู้ยากจน 1.2.1 การค้ำประกันการกู้ยืมเงิน กรณีการกู้ยืมเงินเพื่อเป็นทุนในการประกอบอาชีพให้ผู้กู้ยืม สามารถใช้การค้ำประกันการกู้ยืมเงินโดยบุคคล องค์กรนิติบุคคล ส.ป.ก. 4-01 หรือทรัพย์สินที่จดทะเบียนไว้ กับทางราชการ เช่น รถยนต์ เป็นต้น ทั้งนี้ สำหรับการค้ำประกันการกู้ยืมเงินโดยบุคคล ควรกำหนดให้มีวงเงิน การค้ำประกันไม่เกิน 100,000 บาท 1.2.2 องค์กรบริหารเงินกู้อื่น นอกจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ควรจัด ให้มีองค์กรอื่น เช่น สหกรณ์ และธนาคารของรัฐ เป็นต้น ให้สามารถเข้าร่วมโครงการในการให้บริการบริหาร เงินกู้ 1.2.3 เพิ่มวงเงินให้กู้ยืมให้แก่เกษตรกรและผู้ยากจน จากไม่เกินรายละ 500,000 บาท เป็น รายละไม่เกิน 2,500,000 บาท และลดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี เป็นร้อยละ 1-4 ต่อปี 1.2.4 ควรกำหนดให้ผู้ที่ได้รับการอนุมัติเงินกู้ยืมต้องเข้าโครงการฟื้นฟูและพัฒนาขององค์การ บริหารเงินกู้ และปฏิบัติตามข้อกำหนดของโครงการฟื้นฟูและพัฒนาอย่างเคร่งครัด เพื่อให้สามารถหารายได้ใช้ หนี้เงินกู้ยืมและไม่เป็นหนี้อีกในอนาคต 1.2.5 การดำเนินงานของกองทุนหมุนเวียน ฯ ควรเน้นการจัดการหนี้นอกระบบ เพื่อไม่ให้ซ้ำ ซ้อนกับการดำเนินงานของกองทุนฟื้นฟู ฯ ที่จัดการหนี้ในระบบ 1.2.6 การจัดการหนี้ของกองทุนหมุนเวียน ฯ ควรกำหนดเกณฑ์การจัดลำดับความสำคัญของ หนี้เพื่อให้หนี้ที่เป็นภาระหนักและเร่งด่วนของเกษตรกรและผู้ยากจนได้รับการจัดการก่อน 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟู ฯ และ คณะกรรมการกองทุนหมุนเวียน ฯ
|
|||||||||||||||||||||
1942 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง นโยบายการแก้ไขปัญหาการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิการในสังคมไทย | สสป | 16/06/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะ ของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง นโยบายการแก้ไขปัญหาการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิการในสังคมไทย สรุป ได้ดังนี้ 1.1 ด้านกฎหมายขจัดการเลือกปฏิบัติต่อคนพิการ รัฐอาจตรากฎหมายขจัดการเลือกปฏิบัติต่อคน พิการขึ้นโดยตรง หรืออาจปรับปรุงกฎหมายที่มีอยู่ให้มีบทลงโทษ มีกลไกรักษาหรือบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิ ภาพ โดยอาจคุ้มครองคนพิการโดยเฉพาะหรืออาจครอบคลุมกลุ่มผู้ด้อยโอกาสโดยรวม 1.2 ด้านการให้การศึกษาแก่สาธารณชน รัฐต้องให้การศึกษาเพื่อให้สาธารณชน โดยเฉพาะพ่อ แม่ ผู้ปกครอง ผู้ดูแลบุคคลในครอบครัวและผู้ให้บริการคนพิการมีจิตสำนึกและรู้วิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง รวมทั้งใช้ประโยชน์ จากสื่อโดยเฉพาะช่องทีวีไทย (ทีวีสาธารณะ) ในการให้การศึกษาแก่ประชาชน และจัดให้มีหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับ การสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเพื่อลดการเลือกปฏิบัติกับคนพิการ ตลอดจนให้ความสำคัญกับการดำเนินงานของ องค์กรภาคเอกชนที่ปัจจุบันมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือเด็กและคนพิการทั้งในรูปแบบการจัดการศึกษา หรือ อื่น ๆ 1.3 ด้านการเสริมสร้างบทบาทของครอบครัว รัฐต้องให้ความสำคัญกับการค้นหาและการสร้างกล ไก และวิธีการที่ทำให้ครอบครัวแสดงบทบาทอย่างถูกต้องต่อบุตรหลานคนพิการ จัดทำทะเบียนครอบครัวที่มีเด็ก พิการเพื่อให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนสามารถเข้าช่วยเหลือ และส่งเสริมเยาวชนให้ได้รับการอบรมตั้งแต่เด็กใน การให้ความช่วยเหลือและเอื้อเฟื้อแก่คนพิการ 1.4 ด้านการสร้างโอกาสทางอาชีพ รัฐควรสร้างโอกาสพิเศษทางอาชีพให้แก่คนพิการเพื่อสร้างผล ผลิตและมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศ และคำนึงถึงการจ้างงานคนพิการในหน่วยงานราชการ สถานประกอบ การ และหน่วยงานภาคเอกชนให้มากขึ้น 1.5 ด้านการพัฒนาองค์กรคุ้มครองสิทธิ รัฐต้องกำหนดนโยบายในการส่งเสริมความเข้มแข็งให้กับ องค์กรด้านคนพิการเพื่อให้มีการดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ จัดตั้งองค์กรด้านคนพิการที่ทำหน้า ที่พิทักษ์สิทธิให้กับคนพิการในรูปแบบขององค์กรพัฒนาเอกชนที่มีผู้ปฏิบัติงานที่เป็นคนพิการ ตลอดจนส่งเสริม ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความรู้ความเข้าใจ มีส่วนร่วมสนับสนุนองค์กรด้านคนพิการ รวมทั้งสนับสนุนเรื่อง งบประมาณให้องค์กรคนพิการในท้องถิ่นในการทำกิจกรรมต่าง ๆ 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความ มั่นคงของมนุษย์ ร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข อัยการสูงสุด สำนักงานคณะ กรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิ การ สำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว และองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศ ไทย
|
|||||||||||||||||||||
1943 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการจัดการทรัพยากรแร่ของประเทศไทย" | สสป | 16/06/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะ ของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "แนวทางการจัดการทรัพยากรแร่ของประเทศไทย" สรุปได้ดังนี้ 1.1 ส่งเสริมการประกอบกิจการเหมืองแร่ที่ดีโดยการยกระดับมาตรฐานสถานประกอบการเหมือง แร่และกิจการต่อเนื่อง ให้มีมาตรฐานสูงขึ้นทั้งด้านการผลิตและความรับผิดชอบต่อสังคม โดยให้ทุกเหมืองแร่มี แผนการควบคุม ป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนในท้องถิ่น 1.2 ให้มีหน่วยงานติดตามเฝ้าระวังการปนเปื้อนของสารเคมีอันเกิดจากการทำเหมืองแร่ รวมทั้งมี ระบบการตรวจวัดการปนเปื้อนของสารเคมีในน้ำ ดิน และอากาศ และมีระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพในภาวะ ที่เกิดการรั่วไหลของสารเคมีจากการทำเหมืองแร่ 1.3 ให้มีหน่วยงานกำหนดมาตรการกำกับและติดตามตรวจสอบให้เจ้าของเหมืองแร่ต้องจัดทำแผน การฟื้นฟูพื้นที่เหมืองแร่ร้างและดำเนินการตามแผนดังกล่าวเพื่อคืนความสมบูรณ์ของระบบนิเวศน์และทรัพยากร ธรรมชาติ 1.4 ส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจโครงการทำเหมืองแร่ มีส่วนร่วมใน การจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และร่วมในกระบวนการประชาพิจารณ์ภายใต้การรับ รู้ข้อมูลข่าวสารที่สมบูรณ์และเท่าเทียม 1.5 แก้ไขปรับปรุงอัตราค่าภาคหลวงแร่ให้สูงกว่าเดิม โดยเฉพาะการปรับอัตราค่าภาคหลวงแร่ทอง คำให้คุ้มค่ากับการให้ประทานบัตรแร่เพื่อเป็นรายได้ของประเทศ 1.6 สร้างกลไกควบคุมการผลิต การใช้ทรัพยากรแร่ที่สำคัญ โดยการมีส่วนร่วมเกี่ยวกับการดำเนิน โครงการ เช่น ก๊าซธรรมชาติปิโตรเลียม แร่ที่ใช้สำหรับทำปุ๋ย เป็นต้น เพื่อให้การเก็บค่าภาคหลวงแร่เข้าสู่ภาครัฐ ให้ได้มากที่สุด รวมถึงการจัดสรรเงินรายได้ดังกล่าวเป็นกองทุนสำหรับการจัดการปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ ของชุมชนต่าง ๆ ที่มีสาเหตุมาจากโครงการทำเหมืองแร่ 1.7 ให้มีแผนแม่บทหลักการจัดการทรัพยากรแร่ของประเทศในระยะยาว โดยการกำหนดนโยบาย ทรัพยากรแร่เป็นวาระแห่งชาติเพื่อส่งเสริมให้มีการนำทรัพยากรแร่ไปใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด 1.8 ให้มีมาตรการติดตามตรวจสอบการดำเนินโครงการการทำเหมืองแร่อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อ ให้เจ้าของได้ปฏิบัติตามรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) อย่างเคร่งครัด 1.9 ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการใช้เทคโนโลยีในการผลิตแร่ที่ทันสมัย และพัฒนาอุตสาหกรรมต่อ เนื่องจากแร่แบบครบวงจรในประเทศแทนการส่งสินแร่หรือแร่ดิบออกนอกประเทศ 1.10 มีการศึกษาประเมินยุทธศาสตร์ในการพัฒนาแหล่งทรัพยากรธรณี รวมถึงแหล่งแร่ที่สำคัญ 1.11 ให้มีการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assess ment : SEA) ก่อนกำหนดให้มีโครงการทำเหมืองแร่ และก่อนการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวด ล้อม (EIA) เพื่อให้ทราบทิศทางการพัฒนาที่เหมาะสมกับศักยภาพของพื้นที่และไม่ส่งผลกระทบในด้านต่าง ๆ 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณาและผลการดำเนินการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง แวดล้อมร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง
|
|||||||||||||||||||||
1944 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การยกระดับคุณธรรมจริยธรรมของสังคมไทย" | สสป | 16/06/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะของ สภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "การยกระดับคุณธรรม จริยธรรมของสังคมไทย" สรุปได้ดังนี้ 1.1 นโยบายเร่งด่วนที่ควรดำเนินการ อาทิ 1.1.1 ควรกำหนดให้การยกระดับคุณธรรม จริยธรรม เป็นนโยบายที่สำคัญและเป็นวาระแห่งชาติ 1.1.2 ควรปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2550 โดยปรับปรุงคณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ เป็นคณะกรรมการยกระดับคุณธรรม จริยธรรมของสังคมไทย แห่งชาติ 1.1.3 ควรเร่งรัดการปฏิบัติตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2550- 2554) ในการพัฒนาคนให้มีคุณภาพ คุณธรรม 1.1.4 ควรเร่งรัดการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หมวด 11 เกี่ยวกับจริยธรรม ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ 1.1.5 ควรยกย่องนักการเมือง ข้าราชการ นักธุรกิจ ประชาชนที่ประพฤติปฏิบัติตามคุณธรรม จริย ธรรม ผู้ได้รับการยอมรับจากสังคมเพื่อให้เป็นตัวอย่างและแบบฉบับที่ดี 1.1.6 ควรเร่งรัดการปฏิรูปเศรษฐกิจ เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศมีความมั่นคง ประชาชนมีรายได้ อย่างพอเพียงและเหมาะสมโดยมีปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นรากฐานที่สำคัญ 1.1.7 ควรเร่งรัดการปฏิรูปสังคมเพื่อให้สังคมมีความสงบเรียบร้อย มีความเป็นธรรม เป็นสังคมที่ อยู่เย็นเป็นสุขร่วมกันโดยมีศาสนาและการศึกษาเป็นรากฐานที่สำคัญ 1.2 นโยบายที่รัฐบาลควรดำเนินการในระยะยาว อาทิ 1.2.1 ควรสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนในสังคม มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการสร้างจิตสำนึกด้านคุณ ธรรมและจริยธรรมในการยกระดับคุณธรรม จริยธรรมของสังคมไทย 1.2.2 ควรสร้างรากฐานที่มั่นคงของสังคม รากฐานที่สำคัญคือ จิตใจที่ยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต 1.2.3 ควรส่งเสริมค่านิยมที่พึงประสงค์ โดยดำเนินการเป็นกระบวนการอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง ค่านิยมที่พึงประสงค์ ได้แก่ ค่านิยมพื้นฐาน 5 ประการ ของคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ 1.2.4 ควรปฏิรูปการศึกษา และให้มีการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาให้เหมาะสมยิ่ง ขึ้น โดยให้ทุกภาคส่วนของสังคมที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง และเปลี่ยนปรัชญาการศึกษาที่ว่า "ความรู้คู่คุณ ธรรม" เป็น "ศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม นำความรู้สู่การพัฒนา" 1.2.5 ควรกำหนดวิธีการและมาตรการที่จะให้มีการปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมหรือจรรยา บรรณที่กำหนด 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับกระทรวง การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร กรมการ ศาสนา ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม (ศูนย์คุณธรรม) รวมทั้งสำนักบริหารและพัฒนาองค์ความ รู้ (องค์การมหาชน)
|
|||||||||||||||||||||
1945 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ทิศทางระบบพลังงานทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทย" | สสป | 09/06/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะ ของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง ทิศทางระบบพลังงานทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทย สรุปได้ดังนี้ 1.1 รัฐต้องมีโครงการนำร่องระบบผลิตไฟฟ้าชุมชนผสมผสานแสงแดดและเชื้อเพลิงชีวมวลขนาดเล็ก (Micro Grid) ระดับตำบล หรือหนึ่งตำบล หนึ่งเมกะวัตต์ โดยให้มีการนำร่องใน 5 ภาค และมีเป้าหมายเพื่อให้เกิด การพัมนาพลังงานทางเลือกนี้ทั่วประเทศให้เป็น 7,800 เมกกะวัตต์ ภายใน 10 ปี 1.2 รัฐต้องมีนโยบายและวิธีการดำเนินการอย่างมั่นคงและแน่วแน่ และรอบคอบในการส่งเสริมการ เพาะปลูก การผลิต และการใช้พืชพลังงานอย่างเหมาะสมกับศักยภาพการผลิตของประเทศเพื่อใช้พลังงานทดแทน หรือพลังงานหมุนเวียนที่สามารถผลิตในประเทศเข้าไปทดแทนในอัตราส่วนที่เหมาะสมและยั่งยืน 1.3 รัฐต้องมีแผนแม่บทพลังงานทดแทนแห่งชาติรวมทั้งนโยบายในการบริหารจัดการพืชอาหารและ พืชพลังงานอย่างเหมาะสม โดยส่งเสริมให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และศักยภาพการผลิตในแต่ละภูมิภาค 1.4 รัฐต้องมีนโยบายส่งเสริมและพัฒนาเทคโนโลยีในการเพาะปลูก รวมทั้งการผลิตเชื้อเพลิงจากพืช พลังงานอย่างมั่นคง เพื่อให้ประชาชนมั่นใจในการปลูกและใช้เป็นเชื้อเพลิงเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและการใช้ 1.5 รัฐต้องมีนโยบายให้สถาบันทางวิชาการด้านพลังงานมีการสร้างบุคลากรและศูนย์การเรียนรู้ใน ด้านพลังงานอย่างกว้างขวางในชุมชนทั่วประเทศ และติดตามการสนับสนุนอย่างเป็นระบบ 1.6 รัฐต้องมีการวางผังเมืองและดำเนินการตามผังเมือง เพื่อให้การใช้พลังงานและการคมนาคมเป็น ไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเข้ากับระบบขนส่งทางรางที่กำลังจะสร้าง และควรมีมาตรการประหยัดพลังงานผ่าน ระบบการส่งเสริมควบคุมอาคารทั้งเก่าและสร้างใหม่ โดยกำหนดผู้รับผิดชอบที่ชัดเจน 1.7 รัฐต้องมีนโยบายและแผนงานในด้านการจัดการพลังงานที่ได้จากขยะอย่างเป็นระบบและมาตร ฐานสากล 1.8 รัฐต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการรับความร่วมมือจากประชาชนผ่านกระบวนการ มีส่วนร่วมของประชาชนในการดำเนินการใด ๆ ที่เกี่ยวกับการผลิตพลังงานทดแทน 1.9 รัฐต้องติดตาม ส่งเสริม และพัฒนายานพาหนะรุ่นใหม่ ๆ ในระบบขนส่งคมนาคมที่ใช้เชื้อเพลิงที่ เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูง 1.10 รัฐควรมีมาตรการด้านภาษีในการสนับสนุนให้มีการพัฒนาองค์ความรู้หรือนวัตกรรมที่เกี่ยวข้อง กับพลังงานทดแทน รวมทั้งมาตรการส่งเสริมสำหรับผู้ผลิตและผู้ใช้พลังงานทดแทน 1.11 รัฐควรมีนโยบายด้านพลังงานนิวเคลียร์ในทิศทางที่จะทำให้ประชาชนมั่นใจในความปลอดภัยต่อ คนและสิ่งแวดล้อม 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา รวมทั้งผลการดำเนินการของกระทรวงพลังงานร่วมกับสภาที่ ปรึกษา ฯ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโล ยี และกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
|
|||||||||||||||||||||
1946 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง นโยบายการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนไทยและกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ | สสป | 03/06/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะ ของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง นโยบายการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนไทยและกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ สรุปได้ดังนี้ 1.1 แนวนโยบายหลักในการพัฒนาคุณภาพชีวิต ได้แก่ 1.1.1 การเพิ่มคุณภาพและศักยภาพ "คน" ทางร่างกาย จิตใจ สังคม และสติปัญญา 1.1.2 การพัฒนา เสริมสร้างภูมิปัญญาของชุมชน 1.1.3 การขยายโอกาสและการยกระดับภูมิปัญญาท้องถิ่นโดยอาศัยหลัก "พอประมาณ" และ "มีเหตุผล" 1.1.4 การสร้างความมั่นคงของฐานทรัพยากร ความหลากหลายทางชีวภาพ และคุณภาพสิ่ง แวดล้อมเพื่อรักษาสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ 1.1.5 การเสริมสร้างระบบและวัฒนธรรม ธรรมาภิบาล และประชาธิปไตยในสังคมไทย 1.1.6 ให้ความสำคัญและสนับสนุนให้ประเทศมีการจัดระบบสวัสดิการให้แก่ประชาชนอย่าง ทั่วถึงและกว้างขวางในหลายรูปแบบ 1.2 การพัฒนาคุณภาพชีวิตสำหรับกลุ่มคนที่มีลักษณะเฉพาะ 10 กลุ่มซึ่งมีปัญหาร่วมด้านทัศนคติ ของสังคม การเข้าไม่ถึงหรือไม่ได้รับสวัสดิการของสังคม และการขาดการสนับสนุนส่งเสริมให้มีส่วนร่วมในการ แก้ไขปัญหาของตนเอง ควรมีนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาดังต่อไปนี้ 1.2.1 ส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมของสังคมทั้งในระบบและนอกระบบการศึกษาเพื่อให้สังคมเข้าใจ และเคารพความแตกต่าง พร้อมที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำของคนร่วมสังคมและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเลือก ปฏิบัติที่มีต่อเพื่อนร่วมสังคมเดียวกัน 1.2.2 พัฒนาและส่งเสริมให้สังคมไทยในทุกระดับจัดระบบสวัสดิการสำหรับผู้ด้อยโอกาสทั้งใน ส่วนที่รัฐจัดให้ และระบบสวัสดิการที่ชุมชน หรือกลุ่มอาชีพร่วมกันดำเนินการเพื่อให้บรรลุการมีหลักประกันด้าน ปัจจัย 4 แก่ทุกคน 1.2.3 องค์กรของรัฐจะต้องมุ่งมั่นที่จะเป็นองค์กรต้นแบบที่มีการดำเนินงานโดยปราศจากการ เลือกปฏิบัติ โดยยึดหลักการเคารพสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และความเท่า เทียม 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความ มั่นคงของมนุษย์ ร่วมกับสภาที่ปรึกษา ฯ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวง ศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุข
|
|||||||||||||||||||||
1947 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงแรงงานแห่งสาธารณรัฐเกาหลีและกระทรวงแรงงานแห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยการจัดส่งแรงงานไทยไปสาธารณรัฐเกาหลี ภายใต้ระบบการจ้างแรงงานต่างชาติ | รง | 26/05/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาร่างบันทึก ความเข้าใจระหว่างกระทรวงแรงงานแห่งสาธารณรัฐเกาหลี และกระทรวงแรงงานแห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วย การจัดส่งแรงงานไทยไปสาธารณรัฐเกาหลี ภายใต้ระบบการจ้างแรงงานต่างชาติ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และแจ้งให้สภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป 2. ให้กระทรวงแรงงานเร่งรัดแจ้งผลการพิจารณาดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสา มัญ ฯ ที่เห็นว่า เนื่องจากปัญหาการว่างงานที่อาจมีมากขึ้นในอนาคตจึง ควรมีการเจรจาด้านแรงงานกับประเทศ ต่าง ๆ เพื่อเปิดตลาดแรงงานอื่น ๆ ทั้งนี้ ควรเป็นการเจรจาในระดับประเทศไม่ใช่การเจรจาในระดับหน่วยงาน เพื่อให้เกิดอำนาจต่อรอง โดยเฉพาะควรมีการรวมกลุ่มกับประเทศผู้ส่งออกแรงงานอื่น ๆ ในการเจรจาต่อรอง เช่น ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม เพื่อสร้างอำนาจต่อรองให้มากยิ่งขึ้น 3. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปพิจารณาศึกษา และเสนอแนวทางที่จะดำเนินการตามข้อสังเกต ของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ โดยด่วน กรณีในอนาคตควรมีการหารือระหว่างรัฐบาลและรัฐสภาเพื่อสร้างความ ชัดเจนในประเด็นขอบเขตการปฏิบัติตามมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ว่า มีเรื่องใดบ้างที่ต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภาตามมาตรานี้ เพื่อความชัดเจนในทางปฏิบัติ แล้วนำเสนอคณะ รัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
1948 | การปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 | นร | 19/05/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ของกระทรวง ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่น (หนังสือสำนักงบประมาณ ลับ ด่วนที่สุด ที่ นร 0716/201 ลงวันที่ 18 พฤษภาคม 2552) 2. เห็นชอบให้สำนักงบประมาณนำข้อเสนอเกี่ยวกับการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ไปจัดทำเป็นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 และเอกสารประกอบงบประมาณ โดยให้ส่งร่างพระราชบัญญัติงบประมาณราย จ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ดังกล่าวให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน และ แจ้งผลการพิจารณาให้สำนักงบประมาณทราบโดยตรง ก่อนนำไปจัดพิมพ์เป็นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณราย จ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 และเอกสารประกอบงบประมาณ และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ ความเห็นชอบในวันอังคารที่ 2 มิถุนายน 2552 เพื่อนำเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
1949 | แผนปรับปรุงการบริหารจัดการและบริการของระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค | 19/05/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงคมนาคมรับไปทบทวนแผนปรับปรุงการบริหารจัดการและบริการของระบบ
ขนส่งมวลชนกรุงเทพ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ร่วมกับกระทรวงการคลัง (สำนักงานบริหารหนี้ สาธารณะ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ) และสำนักงบประมาณ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง หนึ่งภายใน 2 สัปดาห์ สำหรับกรอบวงเงินโครงการเช่าและซ่อมแซมบำรุงรักษารถยนต์โดยสารปรับอากาศโดยใช้ ก๊าซธรรมชาติ (CNG) เป็นเชื้อเพลิง โดยเฉพาะในเรื่องเกี่ยวกับค่าซ่อมรถและอัตราดอกเบี้ย ให้นำผลการพิจารณา ของคณะกรรมการพิเศษระดับรัฐมนตรี ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) เป็นประธาน มาเป็น หลักในการพิจารณา |
|||||||||||||||||||||
1950 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ | นร | 06/05/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอประเด็นเกี่ยวกับการปฏิบัติงานร่วมกันของสภา
ที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ดังนี้ 1. เรื่องต่าง ๆ ที่สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดทำความเห็นและข้อเสนอแนะส่งมาเพื่อ คณะรัฐมนตรี นั้น ขั้นตอนการปฏิบัติใช้เวลานานในการให้หน่วยงานพิจารณาให้ความเห็นและจัดทำรายงานผล การดำเนินการที่เกี่ยวข้องซึ่งทำให้เรื่องล่าช้าและอาจไม่ทันการณ์โดยเฉพาะกรณีเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วน รวมทั้ง ขั้นตอนเสนอคณะรัฐมนตรีเป็นการนำเสนอเพื่อคณะรัฐมนตรีทราบเท่านั้น ซึ่งอาจไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของ กฎหมายที่สภาที่ปรึกษา ฯ มีหน้าที่ให้คำปรึกษาและเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีในปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวกับเศรษฐ กิจและสังคม จึงมอบให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวีระชัย วีระเมธีกุล) รับไปพิจารณา โดยอาจ ตั้งคณะกรรมการหรือคณะทำงาน ประกอบด้วย ผู้แทนสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และหน่วยงานต่าง ๆ ที่ เกี่ยวข้อง ที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวีระชัย ฯ) เห็นสมควรเพื่อพิจารณาแนวทางการดำเนิน การและการประสานงานกับสภาที่ปรึกษา ฯ ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 2. การแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาที่ปรึกษา ฯ แทนตำแหน่งที่ว่าง มีประเด็นข้อกฎหมาย ที่มีความเห็นแตกต่างกันว่า การดำเนินการแต่งตั้งเลขาธิการสภาที่ปรึกษา ฯ ตามมาตรา 27/2 วรรคสองแห่ง พระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. 2543 เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2547 ที่บัญญัติให้เลขาธิการสภาที่ปรึกษา ฯ เป็นข้าราชการพล เรือนสามัญ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรี จะเป็นการดำเนินการที่ไม่ เป็นไปตามมาตรา 258 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่บัญญัติให้สำนักงานสภาที่ปรึกษา ฯ เป็น หน่วยงานอิสระในการบริหารงานบุคคล การงบประมาณ และดำเนินการอื่น ๆ ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ หรือไม่ ซึ่งสำนักงานสภาที่ปรึกษา ฯ ได้ส่งเรื่องให้ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณา โดยให้รองนายกรัฐมนตรี (นาย กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ) ติดตามผลการพิจารณาดำเนินการเรื่องนี้ โดยให้หารือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ด้วย
|
|||||||||||||||||||||
1951 | รายงานผลการพิจารณากลั่นกรองโครงการภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ระยะที่ 2 | กค | 06/05/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. รับทราบแผนการลงทุนสำหรับโครงการภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 (Stimulus Package 2 : SP2) "โครงการ SP2" ในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2553-พ.ศ. 2555 วงเงินลงทุนรวม 1,431,330 ล้านบาท ซึ่ง คณะกรรมการกลั่นกรองโครงการภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 ได้พิจารณาโครงการ SP2 ภายใต้กรอบการ ลงทุนที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติ จำนวน 1,566,867 ล้านบาท พบว่า มีโครงการ SP2 ที่มีความเหมาะสมที่จะอนุมัติ ให้ดำเนินการได้ในวงเงินลงทุน 1,431,330 ล้านบาท โดยมีโครงการลงทุนที่มีลำดับความสำคัญและมีความพร้อม ในการดำเนินงานสูง (กลุ่มโครงการประเภทที่ 1) ที่สามารถเริ่มดำเนินงานได้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 จำนวน 1,063,673 ล้านบาท รวม 13 สาขา 2. อนุมัติให้ดำเนินโครงการ SP2 ประเภทที่ 1 มีความพร้อมที่จะดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 วงเงินลงทุนรวม 1,063,673 ล้านบาท โดยในกรณีที่โครงการใดที่เข้าข่ายต้องดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบ และกฎหมายใด ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่ง ครัดต่อไป และหากหน่วยงานเจ้าของโครงการสามารถเริ่มดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 ก็ให้ดำเนินการ ได้ สำหรับโครงการ SP2 ประเภทที่ 2 และ 3 เมื่อหน่วยงานดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ เรียบร้อยและพร้อม ดำเนินงาน ให้เสนอคณะกรรมการ ฯ พิจารณากลั่นกรองและนำเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ดำเนินโครงการ 3. อนุมัติแผนการระดมทุนและกลยุทธ์การระดมทุนสำหรับโครงการ SP2 ในส่วนที่รัฐบาลเป็นผู้รับภาระ ในการลงทุน และให้กระทรวงการคลังพิจารณาดำเนินการในการจัดหาเงินลงทุน 4. เห็นชอบแนวทางการดำเนินโครงการ SP2 ประกอบด้วย การเตรียมการด้านการจัดซื้อจัดจ้าง การ เตรียมความพร้อมในการเบิกจ่ายงบลงทุน และการกำกับดูแล เร่งรัด และติดตามประเมินผลโครงการ และให้หน่วย งานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการให้เรียบร้อยโดยเร็ว 5. เห็นชอบแนวทางการพิจารณากลั่นกรองโครงการที่เสนอขอบรรจุเข้าโครงการ SP2 เพิ่มเติม ประกอบ ด้วย การกำหนดหลักเกณฑ์การเสนอโครงการ รวมทั้งระยะเวลาการพิจารณากลั่นกรองโครงการ และการนำเสนอ โครงการให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติ 6. สำหรับกรอบระยะเวลาการพิจารณาโครงการที่เสนอขอบรรจุเข้าในโครงการ SP2 เพิ่มเติม นั้น ให้ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และคณะกรรมการ ฯ เร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยให้คณะ กรรมการ ฯ นำเสนอโครงการที่พิจารณากลั่นกรองแล้วต่อคณะรัฐมนตรีภายในเดือนมิถุนายน 2552
|
|||||||||||||||||||||
1952 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการพัฒนาพื้นที่ชุ่มน้ำ : กรณีศึกษากว๊านพะเยา จังหวัดพะเยา | สสป | 06/05/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น และข้อเสนอแนะ ของสภา ฯ เรื่อง แนวทางการพัฒนาพื้นที่ชุ่มน้ำ : กรณีศึกษากว๊านพะเยา จังหวัดพะเยา สรุปได้ดังนี้ 1.1 จัดทำแผนแม่บทพัฒนากว๊านพะเยาโดยการมีส่วนร่วมของประชาชนในท้องถิ่น องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น หน่วยราชการในจังหวัดพะเยา และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง 1.2 เร่งดำเนินการขอขึ้นทะเบียนกว๊านพะเยาเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ (Ram sar Site) ตามอนุสัญญาว่าด้วยการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ (Ramsar Convention) ที่ไทยเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาเมื่อ วันที่ 13 กันยายน 2541 เป็นการยกระดับกว๊านพะเยาที่ได้ขึ้นบัญชีไว้ให้เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำระดับนานาชาติแล้ว ให้ เป็นที่ยอมรับในระดับสากลเพิ่มขึ้น 1.3 สนับสนุนให้มีการจัดตั้งองค์กรใหม่ระดับจังหวัดทำหน้าที่ดูแล รักษา และพัฒนากว๊านพะเยา 1.4 กำหนดกระบวนการในการดำเนินโครงการกู้วัดติโลกอาราม ในกว๊านพะเยา โดยให้ปฏิบัติตาม ขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องคือ ให้ปฏิบัติตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 พระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490 และพระราชบัญญัติส่งเสริมและ รักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 รวมถึงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2543 และมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2532 อย่างเคร่งครัด และดำเนินการต่อผู้ที่กระทำความผิดตามกฎหมาย 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณาและผลการดำเนินการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง แวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม และกระทรวงการพัฒนาสังคมและ ความมั่นคงของมนุษย์ 3. ให้กระทรวงวัฒนธรรมรับโครงการกู้วัดติโลกอารามไปศึกษาผลกระทบด้านต่าง ๆ ร่วมกับหน่วย งานที่เกี่ยวข้อง โดยให้รับความเห็นของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติที่ไม่เห็นด้วยกับโครงการดังกล่าวเนื่อง จากสภาพวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างมีอายุนับร้อยปีและจมอยู่ในน้ำเป็นเวลานานมีสภาพอิ่มน้ำไม่สามารถคงรูปเดิม ไว้ได้ รวมทั้งส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศวิทยา และการดำเนินงานจะต้องใช้งบประมาณเป็นจำนวน มาก นอกจากนี้ เมื่อดำเนินการแล้วจะทำให้ทัศนียภาพกว๊านพะเยาขาดความงดงามตามธรรมชาติ ไปประกอบ การพิจารณาด้วย แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
1953 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การกระจายรายได้ด้วยการสร้างสังคมสวัสดิการ" | สสป | 06/05/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะของ สภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "การกระจายรายได้ด้วยการสร้างสังคมสวัสดิการ" ดังนี้ 1.1 กำหนดการสร้างสังคมสวัสดิการให้เป็นวาระแห่งชาติ 1.2 สร้างภาคีสังคมสวัสดิการจากภาคส่วนต่าง ๆ ของสังคมใน 3 รูปแบบ ได้แก่ 1.2.1 สวัสดิการโดยรัฐ (pubilc welfare) แบ่งออกเป็น 3 ด้าน คือ - การบริการสังคม (social service) ประกอบด้วย การบริการด้านการศึกษา สาธารณสุข ที่อยู่อาศัย บริการด้านสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐาน เช่น ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ เป็นต้น บริการจัดหางานทำ และ การได้รับความยุติธรรมจากกระบวนการยุติธรรม - การประกันสังคม (social insurance) ประกอบด้วย การประกันเจ็บป่วย และประสบอัน ตราย ประกันทุพพลภาพ การประกันคลอดบุตร การสงเคราะห์บุตร การประกันชราภาพ การประกันการเสียชีวิต และการประกันการว่างงาน - การสงเคราะห์สังคม หรือการช่วยเหลือทางสังคม (social assistance) ได้แก่ การให้ความ ช่วยเหลือแก่คนที่อยู่ในภาวะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เช่น การช่วยเหลือเด็ก คนชรา คนพิการ คนเร่ร่อน เป็นต้น หรือผู้ ที่ตกอยู่ในภาวะวิกฤต เช่น ผู้ประสบภัยพิบัติ ไฟไหม้ น้ำท่วม เป็นต้น ทั้งนี้ แนวทางการสร้างสวัสดิการพื้นฐาน โดยรัฐให้มีบทบาทหลัก สามารถดำเนินการได้ 3 วิธี คือ การจัดการงบประมาณ การคลังเพื่อการกระจายรายได้ และการจัดให้มีระบบความมั่นคงทางสังคม (social security) 1.2.2 สวัสดิการโดยภาคธุรกิจ โดยการจัดสวัสดิการให้กับแรงงานลูกจ้างและแรงงานคล้ายลูกจ้าง เช่น ผู้รับงานไปทำที่บ้าน และเกษตรกรภายใต้พันธสัญญา โดยผ่านการปรับปรุงกฎระเบียบของทางราชการใน 3 ด้าน คือ - การคุ้มครองแรงงาน โดยการขยายการคุ้มครองแรงงานตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรง งานให้ครอบคลุมลูกจ้างทุกประเภท รวมถึงผู้รับงานไปทำที่บ้านด้วย - การประกันสังคม โดยให้มีการประกันสังคมถ้วนหน้าครอบคลุมแรงงานลูกจ้าง และคล้าย ลูกจ้างทุกประเภท - สวัสดิการแรงงานในลักษณะอื่น ๆ เป็นสวัสดิการแรงงานที่จัดขึ้นโดยนายจ้าง เช่น ที่พัก อาหารกลางวัน บริการรถโดยสาร เป็นต้น 1.2.3 สวัสดิการโดยชุมชน (Community welfare) รูปแบบในการจัดสวัสดิการสำหรับกลุ่มนี้ ได้แก่ การที่รัฐส่งเสริมและสนับสนุน โดยภาคชุมชนร่วมสมทบ สามารถจำแนกตามฐานการจัดสวัสดิการได้ดังนี้ - ขยายผลสวัสดิการบนฐานทรัพยากรและวัฒนธรรม - สนับสนุนสถาบันแรงงานที่ไม่เป็นทางการ - ส่งเสริมงบประมาณเพื่อการส่งเสริมสถาบันสวัสดิการชุมชน - สวัสดิการอื่น ๆ 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่น คงของมนุษย์ ร่วมกับสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรง งาน สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
|
|||||||||||||||||||||
1954 | การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 | นร | 06/05/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบการกำหนดวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 จำนวน 1,700,000 บาท โดยเป็นนโยบายงบประมาณขาดดุล จำนวน 350,000 ล้านบาท รายได้จำนวน 1,350,000 ล้านบาท โดย อนุมัติให้ปรับโครงสร้างหนี้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 เพิ่มขึ้นอีกจำนวน 12,000 ล้านบาท 2. เห็นชอบรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ของกระทรวง ส่วนราช การ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น 3. เห็นชอบการยกเว้นมติคณะรัฐมนตรี กรณีรายจ่ายลงทุนที่ขออนุมัติผูกพันข้ามปีงบประมาณในปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2553 4. เห็นชอบการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 5. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นใดที่มีโครงการจำนวนมาก ให้ส่งผลการพิจารณาข้อ เสนอการปรับปรุงให้สำนักงบประมาณได้ภายในวันที่ 15 พฤษภาคม 2552
|
|||||||||||||||||||||
1955 | ร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวว่าด้วยการแลกเปลี่ยนสิทธิการเช่าที่ดินระหว่างกันเพื่อใช้ในงานทางการกงสุล | กต | 28/04/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบผลการพิจารณาเกี่ยวกับร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักร
ไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวว่าด้วยการแลกเปลี่ยนสิทธิการเช่าที่ดินระหว่างกัน เพื่อใช้ในงานทางการกงสุล โดยเห็นว่าร่างความตกลง ฯ น่าจะเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 190 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่ต้องได้รับความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีก่อนดำเนินการมีผลผูกพัน แต่ไม่น่าจะเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 190 วรรคสอง ที่จะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อนดำเนิน การ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยอนุมัติให้เอกอัครราชทูต ณ เวียง จันทน์เป็นผู้ลงนามในความตกลง ฯ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
1956 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง แนวทางการบริหารจัดการระบบบริการคมนาคมขนส่งทางบกสนับสนุนการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน | คค | 28/04/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะ ของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง แนวทางการบริหารจัดการระบบบริการคมนาคมขนส่งทางบกสนับสนุนการท่องเที่ยว ที่ยั่งยืน สรุปได้ดังนี้ 1.1 พัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน (ถนน ผังเมือง สาธารณูปโภค และสาธารณูปการ) โดยคำนึง ถึงความสะดวก รวดเร็ว ความปลอดภัยและมาตรฐานในระดับสากล ในขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญกับจุดเด่น เสน่ห์ และอัตลักษณ์ของพื้นที่ที่เป็นแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวมาเยือนตามศักยภาพของแต่ละแหล่งท่องเที่ยว 1.2 สร้างมาตรการความปลอดภัยและสิ่งอำนวยการความสะดวกภายในยานพาหนะชนิดต่าง ๆ โดยดำเนินการให้เป็นมาตรฐานเดียวกันและมีการตรวจติดตามอย่างต่อเนื่องเป็นระยะ 1.3 จัดหาและสนับสนุนแหล่งเงินทุนกู้ยืมระยะยาว ดอกเบี้ยต่ำเพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาประสิทธิ ภาพของรถโดยสารเพื่อยกระดับคุณภาพ 1.4 ควบคุมความเร็วของรถโดยสารสาธารณะ และรถโค๊ชสำหรับท่องเที่ยว โดยนำระบบการตรวจ ติดตามด้วย GPS การฝังชิพ (Chip Computer) ในตัวรถโดยสารสาธารณะ และติดตั้งอุปกรณ์บันทึกข้อมูลพนัก งานขับรถ (Digital Tachograph) มาใช้อย่างจริงจัง 1.5 จัดตั้งสถาบันพัฒนาบุคลากรด้านการท่องเที่ยว เพื่อเป็นสถาบันหลักในการกำหนด กำกับและ พัฒนาคุณภาพของบุคลากรและการบริการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว รวมทั้งบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาค รัฐและเอกชนในการจัดฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากร 1.6 บังคับใช้มาตรฐานให้บริการรถสาธารณะอย่างเข้มงวด เช่น จำนวนชั่วโมงการขับ และการหยุด พักรถ 1.7 จัดตั้งศูนย์กลางบริการข้อมูลและอำนวยความสะดวกแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop service) 1.8 สร้างระบบอำนวยความสะดวกจุดผ่านแดนเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวในภูมิภาค ให้แก่นักท่อง เที่ยวโดยเฉพาะพัฒนาการอนุมัติวีซ่าให้เป็นระบบกลุ่มประเทศในลักษณะเดียวกับวีซ่าแซงเก้น (SCHENGEN) ใน กลุ่มประเทศแถบยุโรป รวมทั้งปรับปรุงกฎระเบียบบริเวณชายแดน โดยผลักดันให้มี Visa on Arrival, Multiple Entry Visa และ Free Tax Zone 1.9 ผลักดันการสร้างเส้นทางเลาะชายแดนหรือเป็นการเปิดพื้นที่ใหม่ ๆ ซึ่งจะสามารถใช้ประโยชน์ ได้ทั้งการท่องเที่ยว และการคมนาคมร่วมกันกับประเทศเพื่อนบ้าน 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวง การท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง กระทรวง สาธารณสุข กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนัก งานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
|
|||||||||||||||||||||
1957 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างศักยภาพของชุมชน" | สสป | 21/04/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะ ของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างศักยภาพของชุมชน" สรุปได้ดังนี้ 1.1 การพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็งและพึ่งตนเองได้ต้องสร้างความพร้อมของชุมชนให้สมาชิกของชุมชน มีจิตใฝ่รู้ ใฝ่พัฒนา มีความกระตือรือร้นที่จะพัฒนาชุมชนของตนเอง การพัฒนาชุมชนที่ได้รับความสำเร็จจะต้อง เกิดจากภายในจากประชาชนในชุมชน 1.2 การพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็งและพึ่งตนเองได้ต้องเป็นการพัฒนาแบบองค์รวมมีการพัฒนาอย่าง ครบวงจรและบูรณาการในทุกด้านทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง จิตใจ วัฒนธรรม ทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม 1.3 การพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็งและพึ่งตนเองได้ต้องมียุทธศาสตร์การเสริมสร้างศักยภาพของชุมชน ที่ถูกต้องและเหมาะสม กล่าวคือ มียุทธศาสตร์การเสริมสร้างทุนทางสังคมในชุมชน ยุทธศาสตร์การเพิ่มขีดความ สามารถในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาของชุมชน ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างความเข้มแข็งขององค์กรชุมชน และ ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างการบริหารจัดการที่ดี ซึ่งรัฐบาลควรส่งเสริมสนับสนุนยุทธศาสตร์การเสริมสร้างศักย ภาพของชุมชนทั้ง 4 ด้าน เป็นยุทธศาสตร์ของชาติในการพัฒนาความเข้มแข็งของชุมชนให้มีความเข้มแข็งและพึ่ง พาตนเองได้ 1.4 ควรส่งเสริมสนับสนุนการจัดตั้งและการดำเนินงานของวิทยาลัยชุมชนให้แพร่หลาย กว้างขวาง ยิ่งขึ้น มีประสิทธิภาพและได้ประสิทธิผลยิ่งขึ้น เพื่อให้สมาชิกของชุมชนได้มีโอกาสเข้ารับการศึกษา การฝึกอบรม และการพัฒนาศักยภาพของตนเอง 1.5 ควรมีการติดตามความก้าวหน้าของการดำเนินงานการพัฒนาชุมชน รวมทั้งการขับเคลื่อนยุทธ ศาสตร์การเสริมสร้างศักยภาพของชุมชน พร้อมทั้งปัญหาและอุปสรรค โดยให้มีการนำเสนอข้อมูลความก้าวหน้า ให้แก่ประชาชน สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทราบเป็นระยะ ๆ เพื่อ เสนอแนะแนวทางการป้องกันแก้ไขปัญหาได้ทันเวลา 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความ มั่นคงของมนุษย์ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
|
|||||||||||||||||||||
1958 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "นโยบายส่งเสริมศาสนาในการพัฒนาสังคม" | สสป | 21/04/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะ ของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "นโยบายส่งเสริมศาสนาในการพัฒนาสังคม" สรุปได้ดังนี้ 1.1 นโยบายเร่งด่วนที่ควรรีบดำเนินการ มีดังนี้ 1.1.1 ควรถือการส่งเสริมศาสนาเป็นนโยบายที่สำคัญของชาติ โดยการจัดทำแผนทำนุบำรุง ส่งเสริมศาสนาแห่งชาติ เพื่อเป็นกรอบและแนวทางในการทำนุบำรุงส่งเสริมศาสนาให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนด ไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 79 1.1.2 ควรจัดทำยุทธศาสตร์การส่งเสริมบทบาทของศาสนาซึ่งรวมทั้งศาสนสถาน ศาสนวัตถุ ศาสนพิธี ศาสนบุคคล ศาสนธรรม ในการป้องกันแก้ไขปัญหาสังคม การพัฒนาสังคม การส่งเสริมความสามัคคี ของประชาชนในชาติ รวมทั้งการส่งเสริมศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม และการพัฒนาชีวิตตามที่บัญญัติไวัในรัฐ ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปี พ.ศ. 2550 มาตรา 79 1.1.3 ควรเร่งรัดพระราชบัญญัติอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา 1.1.4 ควรจัดให้มีการสอนวิชาศีลธรรม หน้าที่พลเมืองดี และประวัติศาสตร์ไทย ในหลักสูตร การศึกษาทุกระดับ 1.1.5 ควรเพิ่มงบประมาณในการส่งเสริมศาสนา ศีลธรรม คุณธรรม และจริยธรรมให้มากขึ้น 1.2 นโยบายที่ควรเร่งดำเนินการในระยะยาว มีดังนี้ 1.2.1 ควรจัดให้มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับนโยบายการส่งเสริมศาสนาในการพัฒนาสังคม โดย ให้ครอบคลุมมากขึ้นทั้งในเชิงกว้างและเชิงลึกเพื่อศึกษาปัญหาการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ 1.2.2 ควรจัดให้มีการประชุมสัมมนาและการอบรมผู้บริหารสถานศึกษา ครู และอาจารย์ของ สถานศึกษาในทุกระดับเกี่ยวกับการบูรณาการศาสนาและการศึกษาเพื่อให้ศาสนาเป็นรากฐานของการศึกษาให้ เยาวชนมีคุณธรรมนำความรู้สู่การพัฒนา 1.2.3 ควรสนับสนุนการจัดตั้งและการดำเนินงานของโรงเรียนวิถีพุทธ และโรงเรียนที่ส่งเสริม การสอนศาสนา ศีลธรรม คุณธรรม และจริยธรรม 1.2.4 รัฐบาล รวมทั้งหน่วยงานและองค์การที่เกี่ยวข้องควรปรับปรุงยุทธศาสตร์และกลวิธีการ เผยแพร่ศาสนา ศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรมจากการดำเนินงานในเชิงรับเป็นเชิงรุก 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ทั้งนี้ ให้กระทรวงวัฒนธรรมไปดำเนิน การตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2551 (เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง แนวทางการ ดำเนินการของคณะรัฐมนตรีในเรื่องที่สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้คำปรึกษา ข้อเสนอแนะ หรือ ความเห็นต่อคณะรัฐมนตรี) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||
1959 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การขยายผลสู่สาธารณะเกี่ยวกับการพัฒนาแหล่งน้ำ ดิน ป่า และการเกษตรตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง | สสป | 17/04/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะ ของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง การขยายผลสู่สาธารณะเกี่ยวกับการพัฒนาแหล่งน้ำ ดิน ป่า และการเกษตรตามหลัก ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สรุปได้ดังนี้ 1.1 ควรใช้ชุมชนและแผนชุมชนเป็นตัวตั้งในการขยายผลสู่สาธารณะ โดยรัฐทำหน้าที่ส่งเสริมและ สนับสนุนให้ชาวบ้านแต่ละชุมชนได้รับความรู้และเกิดความเข้าใจในเรื่องแหล่งน้ำ ดิน ป่า และการเกษตร อันจะ นำไปสู่การปรับใช้และประพฤติเป็นวิถีชีวิตต่อไป 1.2 ควรกำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายอย่างชัดเจน โดยวัตถุประสงค์อาจกำหนดไว้ 3 ประการ คือ เพื่อให้คนพึ่งตนเองได้ระดับหนึ่ง เพื่อให้คนอยู่กับผู้อื่นในสังคมได้อย่างสันติสุข และเพื่อให้คนอยู่ร่วมกับธรรม ชาติได้อย่างยั่งยืน 1.3 ควรมีการจัดการความรู้และการสร้างมาตรฐานการเรียนรู้ในหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 1.4 ควรมีหน่วยงานที่รับผิดชอบในการปฏิบัติขยายผลสู่สาธารณะ โดยให้องค์กรปกครองส่วนท้อง ถิ่นเป็นหน่วยงานรับผิดชอบ ส่วนจังหวัดและอำเภอเป็นหน่วยงานกำกับดูแลการปฏิบัติการขยายผล ให้ราชการ ส่วนภูมิภาคเป็นผู้ให้คำแนะนำด้านเทคนิค ให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นหน่วยงานประสาน ให้สถาบันการ ศึกษาและสถาบันศาสนาให้ความรู้ที่เกี่ยวข้อง และขอความร่วมมือจากองค์กรอื่น ๆ ในชุมชน ได้แก่ สหกรณ์ สื่อ มวลชน องค์กรเอกชน เป็นต้น 1.5 ควรมีระบบการติดตามและประเมินผลโดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ จัดทำคู่มือการติดตามและประเมินผลฉบับมาตรฐานกลางขึ้น โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ทำ การติดตามประเมินผลและให้ชุมชนในพื้นที่ต่าง ๆ ได้มีการประเมินตนเองเป็นระยะ ๆ 1.6 ควรจัดงบประมาณให้เพียงพอและดำเนินการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อ ส่งเสริมให้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของคนไทยต่อไป 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง แวดล้อม ร่วมกับกรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมควบ คุมมลพิษ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรมทรัพยากรน้ำ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม สำนักงานปลัดกระทรวง ศึกษาธิการ กรมพัฒนาที่ดิน กรมส่งเสริมการเกษตร กรมวิชาการเกษตร กรมการพัฒนาชุมชน กรมส่งเสริมการ ปกครองท้องถิ่น และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
|
|||||||||||||||||||||
1960 | ผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องตามความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อคณะรัฐมนตรี | นร | 07/04/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
1. รับทราบแนวทางการดำเนินการของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีในเรื่องที่สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติให้คำปรึกษา ข้อเสนอแนะ หรือความเห็นต่อคณะรัฐมนตรี รวม 4 ขั้นตอน ดังนี้ 1.1 ขั้นตอนที่ 1 จัดทำบันทึกเสนอนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายให้กำกับ การบริหารราชการสภาที่ปรึกษา ฯ แทนนายกรัฐมนตรี 1.2 ขั้นตอนที่ 2 การจัดทำความเห็นของหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 1.3 ขั้นตอนที่ 3 การนำเสนอคณะรัฐมนตรี 1.4 ขั้นตอนที่ 4 การแจ้งมติคณะรัฐมนตรี การเผยแพร่รายงาน ผลการพิจารณา หรือผลการดำเนิน การของคณะรัฐมนตรี 2. รับทราบผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องความเห็น และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ ที่เสนอต่อ คณะรัฐมนตรี ซึ่งส่งมายังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และอยู่ระหว่างการดำเนินการในขั้นตอนต่าง ๆ มีจำนวน รวมทั้งสิ้น 35 เรื่อง อยู่ในขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้ 2.1 เรื่องที่อยู่ระหว่างรองนายกรัฐมนตรี (นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ) พิจารณาสั่งการ (ขั้นตอนที่ 1) จำนวน 5 เรื่อง 2.2 เรื่องที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของหน่วยงานหลักที่ได้รับมอบหมาย (ขั้นตอนที่ 2) จำนวน 26 เรื่อง 2.3 เรื่องที่หน่วยงานหลักพิจารณาแล้วและได้เสนอความเห็นมาแล้วอยู่ระหว่างเสนอบันทึกให้นายก รัฐมนตรี/รองนายกรัฐมนตรีสั่งการเพื่อนำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี (ขั้นตอนที่ 3) จำนวน 4 เรื่อง
|
.....