ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 97 จากทั้งหมด 138 หน้า แสดงรายการที่ 1921 - 1940 จากข้อมูลทั้งหมด 2746 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1921 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การติดตามประเมินผลการพัฒนาประเทศในปีแรกของแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 | สสป | 25/08/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง การติดตามประเมินผลการพัฒนาประเทศในปีแรกของแผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 และรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าว ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. ให้กระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการ และปรับปรุงแผนบริหารราชการแผ่น ดินให้สอดคล้องกับเป้าหมาย แนวทางพัฒนา และแผนงานในแผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 10 รวมทั้งในกรณีที่มีการ ปรับปรุงครึ่งแผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 10 (Mid Plan Review) โดยเฉพาะแผนงานและโครงการพัฒนาที่เกี่ยวข้อง กับดัชนีชี้วัดที่ไม่เป็นไปตามแผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 10 หรือต่ำกว่าเป้าหมายของแผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 10 และใน การปรับปรุงครึ่งแผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 10 ควรสนับสนุนให้มีหลักประกันสุขภาพตลอดชีวิต เพื่อการยกระดับ ความอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกันในสังคมไทย 2. ให้ส่วนราชการระดับจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ให้ความสำคัญกับความสอด คล้องกันระหว่างแผนพัฒนาจังหวัดและแผนของ อปท. กับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้มากขึ้นเพื่อ ให้เป็นประโยชน์ต่อการบรรลุความสำเร็จของแผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 10 ในระดับต่าง ๆ 3. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้รับผิดชอบการจัดทำแผน พัฒนาระดับภูมิภาค แผนพัฒนากลุ่มจังหวัด แผนพัฒนาพื้นที่เฉพาะ รวมทั้งแผนพัฒนาที่เป็นนโยบายสำคัญ ของรัฐบาล และให้พิจารณาความเหมาะสมในการปรับปรุงพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน โดย เพิ่มเติมบทบัญญัติว่าด้วยการจัดทำนโยบายของรัฐบาล การแถลงนโยบายและผลงานของรัฐบาลต่อรัฐสภาต้อง แสดงความสอดคล้องระหว่างนโยบายของรัฐบาลกับวิสัยทัศน์และแนวคิดในการพัฒนาประเทศตามแผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||
1922 | ขอลดหย่อนค่ารายปีและค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินของโรงไฟฟ้าจะนะ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย | พน | 05/08/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า เพื่อให้การคำนวณค่ารายปีและค่าภาษีโรงเรือนของโรงไฟฟ้าจะนะ ของ
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นไปอย่างเหมาะสม เป็นธรรม และเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย จึง มอบหมายให้กระทรวงพลังงานประสานงานกับกระทรวงมหาดไทยพิจารณาทบทวนเรื่องนี้ โดยอาจมอบหมายให้ ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาจัดการประชุมพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพลังงาน กฟผ. และ องค์การบริหารส่วนตำบล อำเภอคลองเปียะ เป็นต้น เพื่อให้ได้ข้อยุติร่วมกัน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้ กระทรวงพลังงานนำผลการพิจารณาเสนอคณะรัฐมนตรีด้วย |
|||||||||||||||||||||
1923 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การพัฒนาศักยภาพและสมรรถภาพของผู้สูงอายุในเชิงรุกเพื่อให้พึ่งพาตนเองได้" | สสป | 05/08/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การพัฒนา ศักยภาพและสมรรถภาพของผู้สูงอายุในเชิงรุกเพื่อให้พึ่งพาตนเองได้" ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ดังนี้ 1.1 ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย 1.1.1 กำหนดให้มีการส่งเสริมสุขภาพและสมรรถภาพของผู้สูงอายุเป็นวาระแห่งชาติ 1.1.2 ผลักดันแผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2550-2554) ในยุทธศาสตร์การ พัฒนากีฬาเพื่อมวลชนและแผนพัฒนาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเน้นและให้ความสำคัญกลุ่มผู้สูงอายุมากขึ้นเพื่อเป็น การรองรับเข้าสู่ยุคผู้สูงอายุไทย 1.1.3 ส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตบุคลากรทางด้านการส่งเสริมสุขภาพร่างกายและจิตใจผู้ สูงอายุเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของประชากรผู้สูงอายุที่นับวันจะเพิ่มมากขึ้น 1.1.4 จัดให้มีหน่วยงานนำร่องเพื่อเป็นศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ 1.1.5 ส่งเสริมและสนับสนุนให้ภาคธุรกิจเอกชนและภาคประชาสังคมได้มีส่วนร่วมในการสนับ สนุนกิจกรรมการเสริมสร้างสุขภาพร่างกายและจิตใจของผู้สูงอายุ โดยสร้างแรงจูงใจด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การ กำหนดให้มีมาตรการทางภาษี เป็นต้น 1.1.6 ส่งเสริมและสนับสนุนองค์กรปกครองท้องถิ่นจัดให้มีสถานที่ อุปกรณ์และเครื่องมือ รวม ทั้งกระบวนการจัดการการเสริมสร้างสุขภาพของผู้สูงอายุอย่างเพียงพอและทั่วถึง เช่น จัดให้มีสวนสุขภาพในทุก อำเภอและทุกตำบล เป็นต้น 1.2 ข้อเสนอแนะเชิงการผลักดันยุทธศาสตร์ 1.2.1 พัฒนาระบบประกันสุขภาพเพื่อดูแลสุขภาพ จัดสวัสดิการความปลอดภัย และส่งเสริม สุขภาพและสมรรถภาพของผู้สูงอายุ 1.2.2 จัดตั้งศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาผู้สูงอายุแห่งชาติ เพื่อเป็นองค์กรที่ส่งเสริมและพัฒนาผู้สูง อายุในทุกมิติ 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณาและผลการดำเนินการของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความ มั่นคงของมนุษย์ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิ การ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานพระ พุทธศาสนาแห่งชาติ
|
|||||||||||||||||||||
1924 | ความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง การดำเนินโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างร้ายแรงตามมาตรา 67 วรรคสองของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย | นร | 05/08/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะกรรมการกฤษฎีกา (ที่ประชุม
ร่วมกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ 1 และคณะที่ 5)) เสนอผลการพิจารณาประเด็นปัญหาข้อกฎหมาย เรื่อง การดำเนิน โครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างร้ายแรงตามมาตรา 67 วรรคสองของรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย สรุปได้ดังนี้ 1. การดำเนินการตามมาตรา 67 หากกรณีใดที่มีกฎหมายกำหนดรายละเอียดในการดำเนินการไว้แล้ว ก็ให้ดำเนินการตามที่กฎหมายบัญญัติ ส่วนกรณีใดที่ยังไม่สามารถดำเนินการได้เพราะยังไม่มีกฎหมายกำหนดรายละ เอียดในการดำเนินการ ก็ต้องรอจนกว่าจะมีกฎหมายจึงจะดำเนินการตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญต่อไปได้ 2. ในระหว่างที่ยังไม่มีการจัดทำหรือปรับปรุงกฎหมาย หน่วยงานอนุญาตที่เกี่ยวข้องสามารถใช้ดุลพินิจ ประกาศให้รู้ทั่วไปว่า โครงการหรือกิจกรรมใดบ้างที่เห็นว่ามีผลกระทบต่อประชาชนอย่างรุนแรงตามมาตรา 67 ของ รัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ ประกาศดังกล่าวเป็นเพียงเพื่อประโยชน์ในการบริหารและอำนวยความสะดวกต่อประชาชน โดยไม่ มีผลเป็นเด็ดขาด ผู้ที่เกี่ยวข้องยังสามารถโต้แย้งได้ ซึ่งหากแต่ละหน่วยงานกำหนดหลักเกณฑ์เป็นเอกเทศ ก็อาจก่อ ให้เกิดความสับสนแก่ประชาชนผู้ประสงค์จะประกอบกิจการต่าง ๆ ได้ จึงสมควรที่คณะรัฐมนตรีจะกำหนดให้หน่วย งานอนุญาตที่เกี่ยวข้องร่วมกันกำหนดให้เป็นแนวทางและมาตรฐานเดียวกัน 3. ในระหว่างที่ยังไม่มีกฎหมายกำหนดรายละเอียดการจัดตั้งองค์การอิสระ หน่วยงานอนุญาตสามารถ ออกใบอนุญาตให้แก่โครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนได้ หากโครงการหรือกิจกรรมนั้นได้มี การศึกษาและประเมินผลต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในชุมชน และได้จัดให้มีกระบวนการรับฟัง ความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสีย ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายซึ่งใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันกำหนดไว้
|
|||||||||||||||||||||
1925 | การเสนอขอเพิ่มและเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 | นร | 05/08/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ 1.1 ผลการพิจารณาการเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2553 ของส่วนราช การ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ซึ่งจำแนกตามหน่วยงาน แผนงาน-ผลผลิต/โครงการ-รายการ จำนวนทั้งสิ้น 88,906.84 ล้านบาท โดยการเพิ่มงบประมาณรายจ่ายดังกล่าวมีการผูกพันงบประมาณ รวม 4 รายการ วงเงินรวม ทั้งสิ้น 1,361.69 ล้านบาท เป็นเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 จำนวน 154.34 ล้าน บาท และผูกพันงบประมาณปีงบประมาณ พ.ศ. 2554-พ.ศ. 2557 จำนวน 1,207.35 ล้านบาท 1.2 ให้สำนักงบประมาณนำเรื่องการเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณดังกล่าว เสนอต่อคณะกรรมาธิ การวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 เพื่อพิจารณาต่อไป 2. ให้กระทรวงสาธารณสุขประสานในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณในการเปลี่ยนแปลงรายการเพิ่ม งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ในกรอบวงเงิน 154,096,800 บาท 3. ในกรณีการขอเพิ่มงบประมาณของสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม ให้สำนักงานปลัดกระทรวง อุตสาหกรรมประสานงานกับกระทรวงการคลัง เพื่อขอรับการจัดสรรเงินกู้ตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2553- 2555 โดยด่วนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
1926 | การส่งเรื่องเพื่อขอความเห็นจากสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ | นร | 05/08/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวีระชัย วีระเมธีกุล) รับไปพิจารณา
เกี่ยวกับการส่งเรื่องเพื่อขอความเห็นจากสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในคณะกรรมการประสานความร่วม มือระหว่างคณะรัฐมนตรีกับสภาที่ปรึกษา ฯ ว่าการเสนอเรื่องเกี่ยวกับแผนแม่บทกรณีใด หรือมีเนื้อหาอย่างไรบ้างที่สม ควรจะขอให้สภาที่ปรึกษา ฯ พิจารณาให้ความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีแล้วแจ้งผลการพิจารณา ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำเนินการต่อไป ตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
1927 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "สิทธิ หน้าที่กับบทบาทการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาประเทศ" | สสป | 28/07/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "สิทธิหน้าที่ กับบทบาทการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาประเทศ" ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติเสนอ สรุปได้ดังนี้ 1.1 ข้อเสนอด้านกฎหมาย 1.1.1 กำหนดระยะเวลาการออกกฎหมายให้แน่ชัด โดยกฎหมายกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นต้อง เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญโดยเคร่งครัด 1.1.2 ให้ประชาชนมีบทบาทในกระบวนการบัญญัติกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายที่ครอบ คลุมเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากร การจัดสรรคลื่นความถี่วิทยุโทรคมนาคม การจัดการชลประทาน และเก็บข้อ มูลจากประชาชนที่ถูกผลกระทบก่อนที่จะเสนอร่างกฎหมายในเรื่องดังกล่าว 1.1.3 ควบคุมให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย 1.1.4 ส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนของสังคมยอมรับกฎกติกาของสังคม หากมีปัญหาในการบังคับใช้ รัฐธรรมนูญ ให้ใช้วิธีออกเสียงประชามติ ไม่ยอมรับการล้มล้างรัฐธรรมนูญ 1.1.5 ส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนต้องยอมรับและปฏิบัติตามกฎหมายโดยเคร่งครัด 1.1.6 ส่งเสริมให้เกิดการยอมรับสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่นที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ 1.2 ข้อเสนอแนะด้านสิทธิ หน้าที่และการมีส่วนร่วมของประชาชนในเชิงนโยบาย 1.2.1 ปรับท่าทีเพื่อส่งเสริมให้การใช้สิทธิ หน้าที่ ตลอดจนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการ พัฒนาประเทศเป็นไปตามเจตนารมณ์ที่ตั้งไว้ และภาครัฐควรให้ข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาประเทศแก่ ประชาชนให้มากที่สุดและไม่บิดเบือนข้อเท็จจริง 1.2.2 เสริมสร้างความสมานฉันท์ ความเป็นปึกแผ่น และความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน โดยให้ วัดและโรงเรียนเป็นศูนย์กลางในการสร้างความสามัคคี ให้ผู้นำทางศาสนา ปราชญ์ชาวบ้าน ครู และหมอพื้นบ้าน เป็นต้น เป็นกลไกการเชื่อมประสานความสามัคคี และจัดให้มีเวทีแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและประสบการณ์อย่าง เท่าเทียม 1.2.3 ยกระดับความรู้ความเข้าใจต่อประเด็นสิทธิ หน้าที่ ตลอดจนการมีส่วนร่วมของประชาชน ในการพัฒนาประเทศโดยรัฐรับเป็นเจ้าภาพในการดำเนินงานและสนับสนุนให้มีบรรยากาศเอื้อต่อการเป็นสังคม แห่งการเรียนรู้ 1.2.4 ส่งเสริมให้เกิดการปฏิรูปกฎหมายที่มีเนื้อหาสาระที่เอื้อให้ประชาชนได้เข้ามามีสิทธิ หน้า ที่ และมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศได้อย่างแท้จริง 1.2.5 ส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการจัดตั้งองค์กรจากภาคประชาชน 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 47 หน่วยงาน
|
|||||||||||||||||||||
1928 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982" | สสป | 28/07/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การเข้าเป็นภาคี อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982" ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เสนอ สรุปได้ดังนี้ 1.1 การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2550 ที่เห็นชอบในหลักการการเข้า เป็นภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 โดยการจัดทำกฎหมายกลางให้ครอบคลุมทุกเรื่อง ที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญา ฯ ควรดำเนินการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญา ฯ และออกกฎหมายกลาง เพื่อรองรับการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญา ฯ ให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. 2553 เป็นอย่างช้า 1.2 ตั้งคณะกรรมการดำเนินการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญา ฯ ขึ้นเป็นการเฉพาะ รวมทั้งจัดงบประมาณให้ เพียงพอต่อการดำเนินการ โดยให้ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานกรรมการ อธิบดีกรมสนธิสัญญาและ กฎหมาย เป็นกรรมการและเลขานุการ และให้มีกรรมการจากภาครัฐ ภาคเอกชน และนักวิชาการที่เกี่ยวข้อง 1.3 การดำเนินการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตรา 190 เนื่องจากประเทศไทยได้มีการ ลงนามในอนุสัญญานี้ตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม 2525 ดังนั้น โดยบทเฉพาะกาลในมาตรา 305 (5) จึงไม่ต้องดำเนิน การตามมาตรา 190 วรรคสาม แต่ต้องดำเนินการเพื่อให้รัฐสภาเพื่อให้ความเห็นชอบการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญา ฯ และก่อนการให้สัตยาบันอนุสัญญา ฯ รัฐบาลต้องดำเนินการตามมาตรา 190 วรรคสี่ 1.4 การดำเนินการเพื่อให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญา ฯ เนื่องจากอนุสัญญานี้ เกี่ยวกับกฎหมายทะเลค่อนข้างเป็นเรื่องทางเทคนิคเฉพาะทาง ในการชี้แจงรายละเอียดหรือตอบคำถามในรัฐสภาจึง ควรขออนุญาตรัฐสภาให้ดำเนินการโดยคณะผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ 1.5 การทำคำประกาศ (Declaration) ประกอบการให้สัตยาบันอนุสัญญา ฯ รัฐควรทำคำประกาศดัง กล่าวประกอบไปด้วย โดยสาระสำคัญของคำประกาศให้คณะกรรมการดำเนินการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญา ฯ ทำการ ศีกษาและร่างคำประกาศเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศไทยมากที่สุด 1.6 ให้คณะกรรมการดำเนินการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญา ฯ และคณะอนุกรรมการจัดการความรู้เพื่อผล ประโยชน์แห่งชาติทางทะเลดำเนินการให้ความรู้ และช่วยเหลือด้านเทคนิคที่เกี่ยวกับอนุสัญญา ฯ เพื่อจะได้สามารถ ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขหรือออกกฎหมายในการรองรับกฎหมายกลางที่ออกเพื่ออนุวัติการตามอนุสัญญา ฯ 1.7 ดำเนินการจัดการผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเลอย่างเป็นระบบและบูรณาการเพื่อประโยชน์สูงสุด ของประเทศ โดยทำการศึกษาและตั้งหน่วยงานกลางทำหน้าที่เสนอแนะและกำกับดูแลนโยบายผลประโยชน์แห่งชาติ ทางทะเลในภาพรวมทั้งระบบ 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา ผลการดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวง กลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานอัยการสูง สุด และผู้แทนคณะอนุกรรมการจัดการความรู้เพื่อผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเล
|
|||||||||||||||||||||
1929 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง กระบวนการคุ้มครองสิทธิของประชาชน กรณีหน่วยงานของรัฐกระทำการอันไม่ชอบด้วยกฎหมาย | สสป | 28/07/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง กระบวนการ คุ้มครองสิทธิของประชาชนกรณีหน่วยงานของรัฐกระทำการอันไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ดังนี้ 1.1 ด้านการสร้างแนวความคิดพื้นฐาน 1.1.1 สร้างแนวความคิดพื้นฐานที่เกี่ยวกับกฎหมายมหาชน โดยเฉพาะแนวความคิดที่เกี่ยวกับกฎ หมายปกครอง ประโยชน์สาธารณะ ตลอดจนการมีส่วนร่วมของประชาชนให้กับหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐอันจะ นำไปสู่ความเข้าใจและการปรับใช้บัญญัติแห่งกฎหมายให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ที่วางไว้และสร้างแนวความคิดพื้น ฐานดังกล่าวให้กับประชาชนต่าง ๆ เพื่อให้สามารถใช้สิทธิของตนตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายรับรองไว้ได้อย่าง ถูกต้องและเหมาะสม 1.2 ด้านการสร้างกระบวนการเรียนรู้ให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจากกระบวนการใช้สิทธิของประชาชน 1.2.1 สร้างกระบวนการเรียนรู้ให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการใช้สิทธิของประชาชนเพื่อ ประโยชน์ต่อการคุ้มครองสิทธิของประชาชนตามรัฐธรรมนูญและการบริหารราชการแผ่นดิน 1.2.2 สร้างกระบวนการเรียนรู้ในการใช้สิทธิให้กับประชาชนและสังคม เนื่องจากการใช้สิทธิของ ประชาชนในการโต้แย้งหน่วยงานของรัฐอาจก่อให้เกิดผลเสียทางด้านต่าง ๆ ได้ 1.2.3 ให้ความรู้กับประชาชนในเรื่องของการควบคุมการใช้อำนาจรัฐเพื่อให้ประชาชนมีความเข้า ใจว่าเรื่องใดเป็นเรื่องทางนโยบาย เรื่องใดเป็นเรื่องทางปกครองที่อยู่ภายใต้นโยบายของรัฐ เพื่อให้ประชาชนรู้ว่าใน กรณีที่ประชาชนได้รับผลกระทบจากเรื่องดังกล่าวกลไกหรือวิธีการโต้แย้งจะสามารถทำอย่างไรได้บ้าง 1.3 ด้านการปรับปรุงวิธีการคิดและวิธีการทำงานของหน่วยงานของรัฐ 1.3.1 ปรับปรุงวิธีการคิดและวิธีการทำงานของเจ้าหน้าที่ เนื่องจากกฎหมายและกฎเกณฑ์ หรือ ระเบียบต่าง ๆ และวิธีในการปฏิบัติงานของหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐที่กำหนดขึ้นมา โดยหน่วยงานของรัฐเหล่านั้น บางเรื่องถูกกำหนดขึ้นมาไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายหรือไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม 1.4 ด้านการกำหนดให้มีกฎหมายที่เหมาะสม 1.4.1 กำหนดให้มีองค์กรที่มีลักษณะเป็นองค์กรสาธารณะ องค์กรภาคประชาชน องค์กรพัฒนา ภาคเอกชน โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐทางด้านงบประมาณในการที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการให้ความรู้ ตลอด จนการใช้สิทธิของประชาชนในการโต้แย้งการกระทำทางปกครองของหน่วยงานของรัฐ รวมทั้งสามารถที่จะเป็นตัว แทนของประชาชนในการที่จะเป็นกระจกสะท้อนปัญหาให้กับรัฐ 1.4.2 ความเป็นผู้เดือดร้อนเสียหาย หรืออาจเดือนร้อนเสียหายของประชาชน ตามมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 จะต้องมีการเปิดกว้างมากขึ้นไม่ว่า จะเป็นการเปิดโอกาสให้มีการฟ้องคดีโดยองค์กรภาคประชาชน หรือองค์กรที่เป็นอิสระจากหน่วยงานของรัฐ 1.4.3 มีกฎหมายที่เข้ามาจัดการกับข้อร้องเรียนของประชาชนที่เป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็นกระบวน การเก็บข้อมูล ระยะเวลาการดำเนินการ วิธีการแก้ไขปัญหา หรือการดำเนินการต่อข้อร้องเรียน 1.4.4 มีกฎหมายที่ชัดเจนในการกำหนดให้มีการดำเนินการทางวินัยกับเจ้าหน้าที่ในหน่วยงาน ของรัฐเองที่มีการกระทำที่เป็นการละเมิดสิทธิของประชาชนอย่างชัดแจ้ง และแสดงให้เห็นถึงการไม่เคารพสิทธิของ ประชาชนอย่างที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น 1.4.5 มีกฎหมายที่เปิดโอกาสให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎ หมายจากหน่วยงานของรัฐมีสิทธิที่จะเป็นผู้ที่จะร้องขอให้ผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานดังกล่าวดำเนินการตั้งกรรม การสอบสวนกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ และถ้าผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่ที่มีการกระทำทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎ หมายดังกล่าวไม่ดำเนินการจะต้องชี้แจงให้ประชาชนผู้ร้องขอทราบว่ามีเหตุผลใดในการไม่ดำเนินการ 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงยุติธรรมร่วมกับกระทรวง ทุกกระทรวง หน่วยงานอิสระ ศาลปกครอง และศาลยุติธรรม
|
|||||||||||||||||||||
1930 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การบริหารจัดการทรัพยากรอย่างเป็นระบบในภาคอุตสาหกรรม" | สสป | 14/07/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การบริหาร จัดการทรัพยากรบุคลากรอย่างเป็นระบบในภาคอุตสาหกรรม" ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติเสนอ สรุปได้ดังนี้ 1.1 ให้มีการจัดตั้งกรรมการบริหารจัดการบุคลากรอย่างเป็นระบบในภาคอุตสาหกรรมโดยมีนายก รัฐมนตรีเป็นประธาน และมีกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงแรงงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม เป็น 3 กระทรวง หลักร่วมกับภาคเอกชนซึ่งประกอบด้วยสภาอุตสาหกรรม และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง 1.2 จัดทำแผนการพัฒนาทรัพยากรบุคคลให้สอดคล้องกับความต้องการของระบบอุตสาหกรรมแต่ ละประเภท พื้นฐานทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของไทย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับตลาด โลก 1.3 ปรับปรุงฐานข้อมูลด้านความต้องการแรงงานของภาคอุตสาหกรรมตามตำแหน่ง ประเภทของ อุตสาหกรรม และความต้องการในแต่ละพื้นที่ พร้อมทั้งพัฒนามาตรฐานของข้อมูลแต่ละระดับ มีการแลกเปลี่ยน ข้อมูลระหว่างกันและจัดทำการวัดผลิตภาพแรงงานให้มีความน่าเชื่อถือ และให้ทุกหน่วยงานอ้างอิงจากแหล่งเดียว กัน 1.4 จัดทำมาตรฐานฝีมือแรงงาน สนับสนุนงบประมาณในการสอบเทียบ และกำหนดโครงสร้างผล ตอบแทนให้ขึ้นอยู่กับฝีมือแรงงาน เพื่อให้ผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับอาชีวศึกษาได้พัฒนาฝีมือแรงงานและได้รับผล ตอบแทนที่สูงสุดตามทักษะแรงงานของตน 1.5 แรงงานไทยยังขาดความรู้พื้นฐานและต้องการฝึกอบรมทางด้านทั่วไป (Generic Training) โดย เฉพาะในด้านภาษาต่างประเทศ การใช้คอมพิวเตอร์ การเป็นผู้นำ การทำงานเป็นทีมและการแก้ปัญหา 1.6 การฝึกทักษะเพิ่มเติมหรือการฝึกระหว่างทำงานเป็นเรื่องสำคัญโดยเฉพาะบทบาทของนายจ้าง หรือสถานประกอบการที่จะเข้ามามีส่วนรร่วมในการฝึกทักษะดังกล่าว 1.7 สนับสนุนและยกระดับอุตสาหกรรมของประเทศให้เท่าเทียมกับประเทศที่พัฒนาแล้วที่มีการจัด การทดสอบผู้บริหารโรงงาน เพื่อให้มีความรอบรู้ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบริหารและการพัฒนาบุคลากร รวมถึง เทคโนโลยีต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้สามารถบริหารโรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยเหลือมิให้โรงงานประสบกับ ปัญหาต่าง ๆ ซึ่งจะส่งผลต่อแรงงานจำนวนมาก 1.8 การพิจารณาค่าแรงขั้นต่ำควรจะมีการกำหนดดัชนีชี้วัดที่ชัดเจนว่าถึงเวลาที่จะปรับค่าแรงขั้นต่ำ แล้ว เพื่อผู้ประกอบการจะได้เตรียมตัวล่วงหน้า 1.9 รัฐควรวางแผนและพัฒนากำลังคนของประเทศเพื่อให้มีความเหมาะสมทั้งระดับเทคนิคที่ต้องใช้ อาชีวศึกษาและงานอาชีพระดับปริญญาโดยส่งเสริมบุคลากรให้เลือกเรียนและพัฒนาความสามารถที่เหมาะสมกับ ตัวเองทั้งทางด้านโอกาส สติปัญญา และทุนทรัพย์ 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาห กรรม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยย และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับความเห็นและข้อเสนอ แนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
|
|||||||||||||||||||||
1931 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการพัฒนาและคุ้มครองระบบทรัพย์สินทางปัญญาของไทย | สสป | 09/07/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการ พัฒนาและคุ้มครองระบบทรัพย์สินทางปัญญาของไทย ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เสนอ สรุปได้ดังนี้ 1.1 จัดตั้งกองทุนรัฐร่วมเอกชนเพื่อการวิจัยและพัฒนาในอุตสาหกรรมเป้าหมาย จัดตั้งบริษัทร่วมทุน ในการพัฒนาเทคโนโลยีและหน่วยบ่มเพาะเทคโนโลยี เร่งสร้างนวัตกรรมรุ่นใหม่ ๆ และจัดตั้งศูนย์ขยายนวัตกรรม ต้นแบบเพื่อส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม 1.2 จัดตั้งสำนักงานอนุญาตเพื่อทำหน้าที่บริการจัดการทรัพย์สินทางปัญญา โดยให้ความสำคัญกับ การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาแก่มหาวิทยาลัย การแบ่งปันผลประโยชน์ รวมทั้งสร้างความร่วมมือระหว่างมหา วิทยาลัยและภาคอุตสาหกรรมเพื่อนำองค์ความรู้และเทคโนโลยีไปพัฒนาหรือต่อยอดในเชิงอุตสาหกรรม 1.3 สร้างกลไกภายในทั้งด้านกฎหมายและการบริหารจัดการที่เข้มแข็ง โปร่งใสก่อนการรับรองพันธ กรณีระหว่างประเทศ รวมทั้งสร้างเครือข่ายความร่วมมือระดับภูมิภาคและกำหนดจุดยืนร่วมกันในการจัดการความ หลากหลายทางชีวภาพ 1.4 เร่งพัฒนาและแก้ไขปัญหาด้านทรัพย์สินทางปัญญาภายในประเทศ โดยศึกษาความเหมาะสมใน การจัดตั้ง "องค์การมหาชน" ทำหน้าที่ในการกำกับดูแลระบบทรัพย์สินทางปัญญาระดับชาติ ซึ่งคงรูปแบบการทำ งานแบบราชการ หากแต่เป็นหน่วยงานที่สร้างรายได้เหนือรายจ่ายสามารถเลี้ยงและพัฒนาตัวเองได้ มีการทำงาน และบริการเป็นเอกชน ซึ่งจะมีความคล่องตัว รวดเร็ว เน้นคุณภาพการให้บริการและสามารถใช้ประโยชน์ทรัพยากร และบุคคลให้มีประสิทธิภาพสูงสุด 1.5 ประเทศไทยควรเสนอตัวเป็นประเทศเจ้าภาพในการตั้งศูนย์กลางนานาชาติทรัพย์สินทางปัญญา ร่วมกันในภูมิภาคอาเซียนในลักษณะและรูปแบบการดำเนินงานเดียวกับ OHIM โดยแต่ละประเทศที่มีความชำนาญ ในเรื่องเฉพาะด้านใดก็ให้เป็นตัวแทนจัดตั้งศูนย์กลาง ณ ประเทศนั้น สำหรับประเทศไทยซึ่งมีศักยภาพ มีฐานองค์ ความรู้ และมีฐานทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพ ดังนั้น ระยะเริ่มแรกจึงควรขอเป็นเจ้าภาพจัดตั้งองค์กร ร่วมระบบทรัพย์สินทางปัญญาระดับภูมิภาคด้าน "สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ และการคุ้มครองพันธุ์พืช" เพื่อเป็นการ ยกระดับงานด้านทรัพย์สินทางปัญญาในภูมิภาคและรองรับต่อการเกิดประชาคมอาเซียน (Asean Community) ใน อนาคต 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงเทค โนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณ สุข และกระทรวงอุตสาหกรรม
|
|||||||||||||||||||||
1932 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง "การพัฒนาการท่องเที่ยวแนวใหม่เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย" | สสป | 30/06/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอของ สภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "การพัฒนาการท่องเที่ยวแนวใหม่เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย" สรุปได้ ดังนี้ 1.1 ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนต้องสร้างรูปแบบการท่องเที่ยวแบบสร้างเสริม ประสบการณ์ตามวิถีชีวิตและวัฒนธรรมท้องถิ่นในลักษณะที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการดำรงชีพหรือประกอบกิจ กรรมจริงของชุมชน โดยให้นักท่องเที่ยวมีโอกาสเป็นเจ้าของกิจกรรมจริงช่วงระยะเวลาหนึ่ง และให้ความสำคัญ กับการศึกษาทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการท่องเที่ยว แนวโน้มทางการตลาดท่องเที่ยว กระแส การท่องเที่ยวโลก และความคาดหวังของนักท่องเที่ยว เพื่อนำมาปรับและพัฒนาตัวสินค้า การบริการ และวิธี การทำการตลาดให้สอดรับซึ่งกันและกัน รวมทั้งสร้างสรรค์นวัตกรรมสินค้าการท่องเที่ยวใหม่ ๆ 1.2 มาตรการสนับสนุนคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติควรเร่งดำเนินงานในส่วน ที่เกี่ยวข้อง อาทิ 1.2.1 การกำหนด "จุดขายหลัก" ทางการท่องเที่ยวของไทยเพียงหนึ่งเดียว 1.2.2 การนำจุดเด่นของเหตุการณ์ สถานที่ กิจกรรม พฤติกรรมคนไทย รวมทั้งวัฒนธรรม ของประชากรภายในประเทศ ความเชียวชาญด้านคุณภาพการบริการ และความหลากหลายของกิจกรรมการ ท่องเที่ยวมาเป็นข้อมูลในการเสนอขายการท่องเที่ยว 1.2.3 กำหนดแนวทางในการทำโฆษณาและประชาสัมพันธ์ด้านการท่องเที่ยวของประเทศ ในแต่ละปี 1.2.4 เร่งสร้างจิตสำนึกและค่านิยมในความเป็นไทย 1.2.5 จัดหลักสูตรอบรมด้านการท่องเที่ยวให้กับผู้บริหารท้องถิ่น 1.2.6 การดำเนินการด้านกลยุทธ์การท่องเที่ยว โดยใช้กลยุทธ์ด้านราคา และความคุ้มค่า ของเงินเป็นตัวนำสำหรับแก้ปัญหาด้านวิกฤตเศรษฐกิจ 1.2.7 เร่งรัดมาตรการในการรักษาความปลอดภัยต่อนักท่องเที่ยว 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวง วัฒนธรรม สำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยว และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย รวมทั้งข้อคิดเห็นเพิ่มเติมจาก หน่วยงานอื่น ๆ ได้แก่ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมส่งเสริมการเกษตร และกรมการพัฒนา ชุมชน
|
|||||||||||||||||||||
1933 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการส่งเสริมผู้ประกอบการและสนับสนุนการเป็นเจ้าของธุรกิจไทย" | สสป | 30/06/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะ ของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "แนวทางการส่งเสริมผู้ประกอบการและสนับสนุนการเป็นเจ้าของธุรกิจไทย" สรุปได้ ดังนี้ 1.1 ภาพรวมการพัฒนา 1.1.1 กำหนดนโยบายการส่งเสริมผู้ประกอบธุรกิจ SMEs ให้มีเอกภาพ เป็นการทำงานแบบ บูรณาการเบ็ดเสร็จ โดยการจัดตั้งหน่วยงานกลางบริหารงานเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) เพียงองค์กรเดียว เพื่อเชื่อมโยงบูรณาการการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในทุกระดับ ทุกกรมที่เกี่ยวข้อง และทุกด้านของ การพัฒนาเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกัน รวมทั้งสนับสนุนส่งเสริมและพัฒนาด้านองค์ความรู้ด้านต่าง ๆ ให้กับผู้ ประกอบการ SMEs อย่างจริงจัง 1.1.2 ปรับปรุงการดำเนินงานของหน่วยงานที่มีอยู่แล้วให้มีผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม และมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม 1.1.3 ส่งเสริมและสร้างค่านิยมให้คนไทยโดยเฉพาะเยาวชนและนักศึกษาเพื่อให้เกิดแนวคิดและ เห็นคุณค่าของการเป็นเจ้าของธุรกิจโดยเริ่มปลูกฝังตั้งแต่ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นต้นไป 1.2 การพัฒนาผู้ประกอบการ อาทิ 1.2.1 สร้างโครงการดำเนินธุรกิจแบบครบวงจรของอาชีพอิสระที่มีอนาคตให้ผู้ที่สนใจได้เลือก และสามารถนำไปประกอบธุรกิจได้จริง 1.2.2 จัดตั้งทีมที่ปรึกษาธุรกิจทำหน้าที่คอยให้คำปรึกษาด้านต่าง ๆ แก่ผู้ประกอบการ SMEs อย่างใกล้ชิดและตรวจติดตามอย่างต่อเนื่องทุกระยะ 1.2.3 ส่งเสริมให้เกิดเครือข่ายวิสาหกิจในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และการ รวมกลุ่มเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน 1.3 การพัฒนาตัวสินค้า บริการ และรูปแบบการบรรจุหีบห่อ อาทิ 1.3.1 กำหนดมาตรฐานสินค้าและบริการแต่ละประเภทโดยมีระบบการตรวจ ควบคุมคุณภาพ ที่โปร่งใสอย่างเข้มงวดเป็นที่ยอมรับและได้มาตรฐานสากล 1.3.2 ส่งเสริมการค้นคิด ริเริ่ม สร้างสรรค์โดยนำภูมิปัญญาหรือเอกลักษณ์ของชุมชนมาสร้าง มูลค่าให้กับตัวสินค้า รูปแบบการบรรจุหีบห่อ และบริการ โดยเฉพาะให้ความสำคัญกับการสร้างความแตกต่าง (Differentiation) หรือเอกลักษณ์ 1.3.3 ส่งเสริมให้รัฐและเอกชนช่วยประสานให้ผู้ผลิตสินค้ารายย่อยมีโอกาสดำเนินธุรกิจกับผู้ ซื้อรายใหญ่ได้ 1.4 การสนับสนุนด้านทุน อาทิ 1.4.1 จัดหา ประสานงาน และอำนวยความสะดวกกับธนาคารที่มีความพร้อมในการสนับสนุน เงินทุน เป็นผู้ช่วยด้านจัดทำเอกสารการธนาคาร และการเข้าถึงแหล่งเงิน การบริหารการเงิน และการบริหาร ความเสี่ยงในการลงทุน โดยปรับปรุงขั้นตอนการเข้าถึงให้รวดเร็ว สะดวก และง่ายยิ่งขึ้น รวมทั้งจัดทำเอกสาร รายละเอียดแหล่งเงินที่เหมาะสมในแต่ละธุรกิจ 1.4.2 สร้างมาตรการด้านภาษีให้มีเงื่อนไขหรือกลไกที่สามารถช่วยส่งเสริมการเป็นผู้ประกอบ การอิสระและดำเนินการให้การจัดเก็บภาษีเป็นไปอย่างถูกต้องโปร่งใสเป็นธรรม 1.4.3 ออกมาตรการด้านการเงินที่สนับสนุนผู้ประกอบธุรกิจ SMEs เป็นการเฉพาะ 1.5 การส่งเสริมด้านการตลาดและการประชาสัมพันธ์ อาทิ 1.5.1 ส่งเสริมให้เอกชนมีการสร้างตราสินค้า (Brand) ที่เข้มแข็ง และมีคุณภาพเป็นของตนเอง เพื่อสามารถส่งออกไปสู่ตลาดระดับต่างประเทศ 1.5.2 สนับสนุนผู้ประกอบธุรกิจรุ่นใหม่ ซึ่งมีความสนใจในสินค้าและประเภทให้เป็นผู้แทนนำ สินค้าไปเสนอขายยังต่างประเทศโครงข่ายการตลาดและการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง
|
|||||||||||||||||||||
1934 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ "ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการภาครัฐ" | สสป | 30/06/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะ ของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการภาครัฐ" โดยมีความเห็น และข้อเสนอแนะเกี่ยวกับธรรมาภิบาลด้านการเสริมสร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตย ธรรมาภิบาลด้านการกระจาย อำนาจสู่ท้องถิ่น ธรรมาภิบาลด้านกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน ธรรมาภิบาลด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม และทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน และธรรมาภิบาลด้านกฎหมายและการบริหารบ้านเมืองที่ดี สรุปได้ดังนี้ 1.1 ควรยึดกรอบการบริหารบ้านเมืองที่ดีตามแนวทางรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่มีฐาน คิดธรรมาภิบาลชุมชน โดยเน้นการปรับโครงสร้างทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจ ปฏิรูปกฎหมาย เพื่อคุ้มครอง ส่งเสริมสิทธิประชาชนและชุมชนในการพัฒนาตนเองและการมีส่วนร่วมของประชาชนในทุกระดับ 1.2 สร้างธรรมาภิบาลจากความร่วมมือของภาคต่าง ๆ ในสังคม 1.3 มุ่งเน้นประสิทธิผลของการบริหารบ้านเมืองที่ดี เช่น การพัฒนาที่ยั่งยืน การสร้างวัฒนธรรม ประชาธิปไตยทั้งแบบมีส่วนร่วมและแบบทางตรงให้มากยิ่งขึ้น 1.4 แก้ไขกฎหมายตามรัฐธรรมนูญทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อให้เกิดความ อิสระและสามารถดำเนินการตามเจตจำนงของชุมชนท้องถิ่น 1.5 แก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทั้งหมดให้กระจาย สู่ท้องถิ่นและรองรับสิทธิมนุษยชนต่อการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างแท้จริง 1.6 ส่งเสริมให้ชุมชนท้องถิ่นร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในการจัดทำแผนพัฒนา ชุมชนทั้งระบบหมู่บ้าน ตำบล และระหว่างตำบลอย่างบูรณาการ และเป็นอิสระสอดคล้องกับสภาพปัญหา เจต จำนง และต้นทุนทางสังคมของท้องถิ่นนั้น ๆ 1.7 พัฒนากลไกขององค์กรที่รองรับบทบัญญัติ เรื่อง สิทธิการมีส่วนร่วมของประชาชนตามมาตรา 67 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยการบังคับให้ต้องมีการศึกษาและประเมินผลกระทบ ต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในชุมชน รวมทั้งจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสีย ก่อนการดำเนินโครงการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง 1.8 พัฒนากลไกขององค์กรที่จะรองรับในแนวนโยบายแห่งรัฐด้านการมีส่วนร่วมของประชาชนตาม มาตรา 87 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่ระบุว่ารัฐต้องส่งเสริมการมีส่วนร่วมในกระบวนการกำหนด นโยบาย การวางแผน การตัดสินใจทางการเมือง การทำบริการสาธารณะ การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ และ การจัดให้มีกฎหมายจัดตั้งกองทุนพัฒนาการเมืองภาคพลเมืองเพื่อช่วยเหลือการดำเนินกิจกรรมสาธารณะของชุม ชนและกลุ่มประชาชน 1.9 ยกเลิกประกาศและพื้นที่เป้าหมายที่จะประกาศหมู่เกาะเป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อเป็นพื้นที่พิเศษ เพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนขององค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อ.พ.ท.) ให้ กลับไปดำเนินการบริหารจัดการที่ดินบนหมู่เกาะท่องเที่ยวตามกระบวนการที่มีประชาชนมีส่วนร่วม 1.10 ให้พระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำมีทิศทางในการสร้างความสมดุลระหว่างทุนทางเศรษฐกิจ ทุน ทางสังคมและทุนทางสิ่งแวดล้อม โดยเน้นกระบวนการการมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียมกันระหว่างภาครัฐ ภารธุรกิจ เอกชน และภาคประชาชน เพื่อนำไปสู่การจัดสรรน้ำที่เป็นธรรม มีประสิทธิภาพ และสร้างการพัฒนาที่ยั่งยืน 1.11 แก้ไขกฎหมายป่าไม้ทั้งหมดเพื่อรองรับสิทธิชุมชนในการจัดการป่าอย่างยั่งยืน ตามแนวทางรัฐ ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 66 และมาตรา 67 1.12 นำพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 มาใช้ ให้เกิดการปฏิบัติจริงในองค์กร และหน่วยงานของรัฐ รวมถึงการกำหนดการบริหารบ้านเมืองที่ดีจากความร่วมมือ ระหว่างรัฐกับภาคีสังคมต่าง ๆ และส่งเสริมสิทธิชุมชนต่อการพัฒนาตนเองและการมีส่วนร่วมของประชาชนในทุก ระดับ 1.13 ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนให้เป็นรูปธรรม โดยเน้นการมีกฎหมายที่สนับสนุนและรับ รองให้ประชาชนมีสิทธิ เสรีภาพ รวมทั้งมีศักยภาพในการรวมกลุ่มเป็นองค์กรประชาชนที่มีความชอบธรรมในการ พัฒนานโยบายสาธารณะและมีส่วนร่วมในการตัดสินใจต่อนโยบายและโครงการใด ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งในระดับท้องถิ่น และประเทศชาติ 1.14 ต้องมีมาตรการผลักดันและจูงใจ รวมถึงบทกำหนดโทษเพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงาน ของรัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีความรับผิดชอบในระบบการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีและสังคมแบบมีส่วน ร่วม 1.15 เร่งรัดการตรากฎหมายตามรัฐธรรมนูญ เช่น องค์กรอิสระด้านสิ่งแวดล้อม และสิทธิมนุษยชน เป็นต้น ให้เป็นไปตามเงื่อนไขและระยะเวลาที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ เพื่อนำไปสู่จุดมุ่งหมายที่แท้จริงตามเจตนา รมณ์ของรัฐธรรมนูญ 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา รวมทั้งผลการดำเนินการของสำนักงาน ก.พ.ร. และส่วนราช การที่เกี่ยวข้อง
|
|||||||||||||||||||||
1935 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การคุ้มครองสิทธิบุคคลที่มีคู่สมรสเป็นชาวต่างชาติ | สสป | 30/06/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะ ของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง การคุ้มครองสิทธิบุคคลที่มีคู่สมรสเป็นชาวต่างชาติ สรุปได้ดังนี้ 1.1 ด้านกฎหมาย 1.1.1 ออกกฎหมายเพิ่มเติมเพื่อคุ้มครองดูแลช่วยเหลือคนไทยที่มีคู่สมรสเป็นชาวต่างชาติให้มี ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 1.1.2 ให้ตำรวจท่องเที่ยวและตำรวจตรวจคนเข้าเมืองมีอำนาจสอบสวนคดีบางประเภทที่เกีjยว ข้องโดยตรงตามควรแก่กรณี เช่น คดีหลอกลวงต้มตุ๋น ฉ้อโกงนักท่องเที่ยว คดีที่เกี่ยวกับการค้ามนุษย์ หลอกลวง หญิงไทยไปขายหรือไปทำงาน 1.1.3 ทบทวนนโยบายการเปิดเสรีการเข้าออกประเทศไทยภายใน 30 วัน โดยไม่ต้องขอวีซ่า กับในบางประเทศเพื่อป้องกันกลุ่มอิทธิพลในการมาแสวงหาผลประโยชน์หรือการหลบหนีของผู้กระทำความผิด ในประเทศเหล่านั้นเข้ามาอยู่ในประเทศไทย 1.2 ด้านการบริการ 1.2.1 เพิ่มศูนย์คุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือคนไทยที่สมรสกับชาวต่างชาติในจังหวัดที่มีชาวต่าง ชาติอาศัยอยู่มาก และในต่างประเทศที่มีคนไทยอาศัยอยู่มาก 1.2.2 พัฒนาระบบการให้บริการคุ้มครองสิทธิและการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายผ่าน ระบบอินเทอร์เน็ตแก่คนไทยที่มีคู่สมรสเป็นคนต่างชาติ 1.2.3 จัดทำฐานข้อมูลของคนไทยที่สมรสกับชาวต่างชาติให้ทันสมัย 1.3 ด้านการเผยแพร่และการให้ความรู้ 1.3.1 จัดให้มีการจัดพิมพ์เอกสารหรือคู่มือ เพื่อเผยแพร่ความรู้ทางกฎหมายอย่างกว้างขวางที่ เกี่ยวข้องกับสิทธิการสมรส มรดก การหย่า การรับรองบุตรที่เกี่ยวกับกฎหมายไทย และกฎหมายประเทศนั้น ๆ 1.3.2 สร้างฐานข้อมูลชาวต่างชาติที่เข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย 1.4 ด้านวัฒนธรรมและประเพณี 1.4.1 จัดกิจกรรมหรือการตั้งชมรมเพื่อส่งเสริมความเข้าใจทางวัฒนธรรม ความคิดระหว่างคน ไทยและชาวต่างชาติ และจัดฝึกอบรมทางด้านภาษาให้กับหญิงไทยที่มีคู่สมรสเป็นชาวต่างชาติ 1.4.2 ส่งเสริมพัฒนาให้เด็กและเยาวชนที่ถูกทอดทิ้งจากบิดามารดาชาวต่างชาติ (ลูกครึ่ง) ได้ รวมกลุ่มกันเพื่อร่วมทำกิจกรรมในเชิงบวก และให้คนไทยที่มีคู่สมรสเป็นชาวต่างชาติได้มีโอกาสรวมกันเป็นเครือ ข่ายในการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และร่วมกันพัฒนาส่งเสริมเยาวชนที่ถูกทอดทิ้งจากบิดามารดาชาวต่างชาติไป ในทางที่ดี 1.4.3 จัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมเฉพาะสำหรับคนไทยที่สมรสกับคนต่างชาติ และคนต่างชาติที่มีคู่ สมรสเป็นคนไทย รวมทั้งบุตรของบุคคลเหล่านั้นให้มีการดำเนินกิจกรรมเพื่อลดความขัดแย้ง ความแตกต่างทาง วัฒนธรรม ค่านิยม ความคิด 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา รวมทั้งผลการดำเนินการของกระทรวงการพัฒนาสังคมและ ความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงวัฒน ธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด และกรมการกงสุล
|
|||||||||||||||||||||
1936 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การบริหารจัดการลุ่มน้ำยม : กรณีโครงการเขื่อนแก่งเสือเต้น | สสป | 30/06/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะ ของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง การบริหารจัดการลุ่มน้ำยม : กรณีโครงการเขื่อนแก่งเสือเต้น สรุปได้ดังนี้ 1.1 การบริหารจัดการทรัพยากรลุ่มน้ำยมทั้งระบบ 1.1.1 การแก้ไขปัญหาภัยแล้ง อาทิ พัฒนาระบบประปาหมู่บ้านในลุ่มน้ำยม ให้มีน้ำสะอาดเพื่อ การอุปโภคอย่างเพียงพอและทั่วถึง พัฒนาแหล่งน้ำต้นทุนและระบบชลประทานเพิ่มเติมโดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบ ต่อการใช้น้ำในพื้นที่ตอนล่าง ทบทวนโครงการผันน้ำจากลุ่มน้ำยมไปสู่ลุ่มน้ำน่านที่จะเกิดขึ้นใหม่โดยมีการศึกษา ผลกระทบต่อการขาดแคลนน้ำในลุ่มน้ำยมตอนล่างและต่อระบบนิเวศน์พื้นที่ชุ่มน้ำในลุ่มน้ำยม เป็นต้น 1.1.2 การป้องกันอุทกภัย อาทิ ส่งเสริมและสนับสนุนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมโดยชุมชนในแต่ ละพื้นที่ เพื่อให้ชุมชนมีบทบาทสำคัญในการป้องกันน้ำท่วมด้วยตนเอง และพัฒนาการไปสู่ความเข้มแข็งของชุมชน ในการป้องกันภัยธรรมชาติ ส่งเสริมและสนับสนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทำการสำรวจพื้นที่รับน้ำตามธรรม ชาติหรือแก้มลิง ขุดคูคลองเชื่อมระหว่างแม่น้ำยมกับแก้มลิง และพัฒนาพื้นที่แก้มลิงให้สามารถรองรับน้ำได้อย่าง เต็มที่ รวมทั้งดำเนินการปรับปรุงโดยขุดลอกลำน้ำเดิมที่ถูกพัฒนาจนเปลี่ยนสภาพไป เป็นต้น 1.1.3 การอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ ทรัพยากรน้ำและคุณภาพน้ำ โดยให้มีมาตรการรักษา ป่าธรรมชาติเพื่อให้คงสภาพสมบูรณ์ และฟื้นฟูป่าเสื่อมโทรมในเขตต้นน้ำยมและลุ่มน้ำสาขาให้กลับคืนเป็นแหล่ง น้ำต้นน้ำตามธรรมชาติดังเดิม ตลอดจนส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดทำแผนการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ ทรัพยากรป่าไม้อย่างยั่งยืนเพื่อรักษาพื้นที่ป่าต้นน้ำตามจารีตประเพณี วัฒนธรรมท้องถิ่น และดำเนินการเพื่อหา มาตรการลดการชะล้างและการพังทลายของดินในบริเวณต้นน้ำยมและลำน้ำสาขา โดยให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการ กำหนดมาตรการดังกล่าว 1.1.4 การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในลุ่มน้ำยม โดยปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้น้ำ ทั้งใน ด้านอุปโภคและบริโภคและระบบชลประทาน และปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำธรรมชาติและแหล่งน้ำที่สร้างขึ้นอย่างมี ประสิทธิภาพ ปรับปรุงแผนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในลุ่มน้ำยมในด้านการพัฒนาแหล่งน้ำ และบรรเทา ภัยแล้ง ด้านบรรเทาน้ำท่วม ด้านการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรน้ำให้สอดคล้องกับสภาพที่เป็นจริง 1.2 โครงการสาธารณะที่เกี่ยวกับการสร้างแหล่งกักเก็บน้ำหรือทางน้ำไหลที่มีผลกระทบต่อประชา ชน อาทิ 1.2.1 มีหลักประกันให้แก่ชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนด้วยการจัดหาพื้นที่รองรับ การย้ายถิ่นฐานของชุมชน มีการพัฒนาที่ดินพัฒนาอาชีพ มีระบบโครงสร้างพื้นฐานสาธารณูปโภค-สาธารณูป การ การสาธารณสุข การศึกษาอย่างต่อเนื่องเป็นธรรมและมีส่วนร่วมของประชาชน 1.2.2 การจ่ายค่าชดเชยที่ดินและทรัพย์สินที่เหมาะสมและคุ้มค่าแก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ ให้คิดมูลค่าที่ดินตามราคาที่ดินที่ประมาณการว่าจะสูงขึ้นเมื่อสร้างเขื่อนเสร็จแล้ว 1.2.3 จัดทำแผนมวลชนสัมพันธ์ เพื่อประชาสัมพันธ์และทำความเข้าใจกับชาวบ้านในพื้นที่ที่ได้ รับผลกระทบ 1.3 การสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ 1.3.1 ลดความสูงของระดับสันเขื่อนและระดับกักเก็บในระดับที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดผลกระทบ ต่อประชาชน ระบบนิเวศน์ และทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่น้อยที่สุด 1.3.2 พิจารณาก่อสร้างเขื่อนขนาดเล็ก หรือฝายกั้นลำน้ำยมเพิ่มขึ้นให้มีระยะห่างจากจุดที่วาง แผนสร้างเขื่อนไว้เดิมอย่างเหมาะสมกับสภาพของแต่ละพื้นที่เพื่อช่วยรองรับน้ำจากการลดความสูงระดับสันเขื่อน แก่งเสือเต้นลง 1.3.3 จัดหาพื้นที่สร้างอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและขนาดย่อมเพื่อให้มีปริมาณมากพอที่จะรองรับ ปริมาณน้ำท่า และน้ำต้นทุนของแต่ละลุ่มน้ำสาขาท้ายเขื่อน 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับ ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
|
|||||||||||||||||||||
1937 | แผนปรับปรุงการบริหารจัดการและการบริการของระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) | นร | 30/06/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินการ ผลการพิจารณา และความเห็นของคณะกรรมการพัฒนา การเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับแผนปรับปรุงการบริหารจัดการและบริการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่ง ชาติเสนอ และให้แก้ไขถ้อยคำในหนังสือสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ด่วนที่ สุด ที่ นร 1115/2842 ลงวันที่ 30 มิถุนายน 2552 หน้า 3 จากเดิม "3.3 กระทรวงคมนาคมควรพิจารณาทบ ทวนบทบาทของ ขสมก. ในการเป็นหน่วยงานกำกับดูแล (Regulator) และ/หรือการเป็นหน่วยงานให้บริการ (Operator) พร้อมทั้งจัดทำแผนการปรับบทบาทของ ขสมก. ที่ชัดเจน ..." เป็น "3.3 กระทรวงคมนาคมควรเป็น หน่วยงานกำกับดูแล (Regulator) ..." ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เสนอเพิ่มเติม 2. ให้กระทรวงคมนาคมรับผลการพิจารณารวมทั้งความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ ไปปรับปรุงในส่วนของข้อมูลแผนปรับปรุงการบริหารจัดการและการบริการระบบขนส่งมวล ชนกรุงเทพ ของ ขสมก. ให้ชัดเจนครบถ้วนทั้ง 4 เรื่อง ได้แก่ ความเหมาะสมของเส้นทางเดินรถ ความเหมาะสม ของประมาณการผู้โดยสาร ผลกระทบด้านภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของผู้ใช้บริการที่มีรายได้น้อย รวมทั้งความ เหมาะสมของประมาณการรายได้ แล้วจัดส่งให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยด่วน
|
|||||||||||||||||||||
1938 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ยุทธศาสตร์การพัฒนาและแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมของต่างประเทศ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับประเทศไทย" | สสป | 23/06/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะ ของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "ยุทธศาสตร์การพัฒนาและแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมของต่างประเทศเพื่อนำมา ประยุกต์ใช้กับประเทศไทย สรุปได้ดังนี้ 1.1 ด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ 1.1.1 จัดลำดับความสำคัญและกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับกรอบนโยบายเศรษฐกิจมหภาค โดยเฉพาะนโยบายด้านการเงินการคลังให้ชัดเจนและวิเคราะห์ข้อดีข้อด้อยของกรอบนโยบายเศรษฐกิจปัจจุบัน เพื่อใช้ประกอบเป็นแนวทางการกำหนดกรอบนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่เหมาะสมต่อไป 1.1.2 ให้การสนับสนุนการขยายตลาดและหาตลาดใหม่ ๆ สำหรับสินค้าที่ส่งออก และการ กระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศจากนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศและจากในประเทศ 1.1.3 ให้การสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำระยะ 2 ปีแรก แก่วิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และขนาดย่อย ธุรกิจส่งออก ธุรกิจการท่องเที่ยว เกษตรกร และกลุ่มเกษตรกร และสหกรณ์การเกษตร 1.1.4 สร้างความเข้มแข็งให้กับโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน (Financial Safety Net) รวมทั้ง เศรษฐกิจมหภาค 1.2 ด้านสังคม 1.2.1 ปรับเปลี่ยนทัศนคติคนในชาติให้เห็นถึงความสำคัญของปรัชญาในการดำเนินชีวิตโดย เน้นเศรษฐกิจพอเพียง การออม ความซื่อสัตย์ การตรงต่อเวลา การเคารพกฎระเบียบ และการมีวินัยในการ ดำเนินชีวิต ตลอดจนการรักษาสิ่งแวดล้อม 1.2.2 ให้ความสำคัญกับโครงสร้างการจัดบริการทางสังคมให้มีความเท่าเทียมกัน รวมทั้งให้ ความสำคัญกับหลักการการกระจายอำนาจบริการทางสังคมหรือให้มีการจัดการโดยอิสระ 1.2.3 ผลักดันนโยบายสวัสดิการทางสังคมของภาครัฐให้ครอบคลุมถึงประชากรที่ยากจนทั้ง ประเทศ ลดภาระการส่งเงินประกันสังคมของแรงงานที่มีรายได้น้อย และขยายโอกาสการเข้าถึงทางการศึกษา อย่างทั่วถึง รวมทั้งทบทวนโครงสร้างค่าจ้างขั้นต่ำของผู้ใช้แรงงาน และการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการ แก้ไขปัญหาทางสังคม 1.3 ด้านสิ่งแวดล้อม (รวมถึงปัญหาโลกร้อน) 1.3.1 มีการคัดกรองประเภทของการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนจากต่างประเทศ หรือการ ทำความตกลงระหว่างประเทศที่จะก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมตามมา โดยใช้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์เข้ามา ช่วยในการวิเคราะห์ และตัดสินใจ เช่น การคำนวณต้นทุนทรัพยากรภายในที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Domestic Resource Cost) เป็นต้น 1.3.2 สร้างและพัฒนากลไกในการบริหารจัดการที่มีธรรมาภิบาลและความเป็นธรรมในการ จัดการสิ่งแวดล้อม เช่น การแก้ปัญหาโครงสร้างของหน่วยงานที่มีความขัดแย้งด้านผลประโยชน์ (Conflict of interests) พัฒนากลไกและสร้างระบบการตรวจสอบเพื่อการถ่วงดุลและพัฒนาระบบให้ประชาชนสามารถเข้า ถึงกระบวนการยุติธรรมได้สะดวก ลดค่าใช้จ่าย รวมทั้งกำหนดกลไกการเยียวยาและชดเชยผู้ที่ได้รับความเสีย หายจากผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างชัดเจนและเป็นธรรม เป็นต้น 1.3.3 สร้างความร่วมมือในเชิงสร้างสรรค์กับประเทศเพื่อนบ้านและประเทศอื่นในภูมิภาคใน การเจรจาด้านการค้าและสิ่งแวดล้อมให้มากขึ้นเพื่อสร้างอำนาจต่อรองในเวทีโลก 1.4 ด้านการเปิดเสรี 1.4.1 ควรกำหนดท่าทีและนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่อง FTA แบบทวิภาคี 1.4.2 ควรเปิดเสรีการค้าที่เหมาะสมและรอบคอบ โดยยึดเอาข้อตกลงการค้าในเวทีองค์การ การค้าโลก (WTO) เป็นหลัก 1.4.3 มีความชัดเจนในการสร้างเศรษฐกิจฐานความรู้เพื่อเชื่อมโยงกับการคุ้มครองทรัพย์สิน ทางปัญญา 1.5 ด้านการพัฒนาคุณภาพคน 1.5.1 สนับสนุนด้านการเงินให้แก่มหาวิทยาลัยที่มีผลงานดีเด่นทางการวิจัย การเสริมสร้าง บรรยากาศด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยถือเป็นนโยบายหลักที่มีความสำคัญในการวางรากฐานวิทยา การของประเทศ โดยรัฐต้องร่วมมือกับสถาบันการศึกษา กลุ่มอุตสาหกรรม และสื่อมวลชนในการปลุกกระแส ความตื่นตัวทางด้านวิทยาศาสตร์ให้กับสาธารณชนในการนำหลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้ในชีวิต ประจำวัน โดยการสร้างสรรค์อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งผลักดันเยาวชนให้มีจิตวิญญาณ (Spirit) ในด้าน วิทยาศาสตร์เพื่อเป็นการสร้างฐานการพัฒนากำลังคนที่มีคุณภาพในอนาคต 1.5.2 ผลิตบุคลากรด้านสาธารณสุขที่ยังขาดแคลนให้เพียงพอต่อความต้องการ 1.5.3 จัดให้มีการประสานงานในการฝึกอบรมและพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อให้แรงงานไทยมี ฝีมือและเป็นที่ยอมรับของนายจ้าง 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนา การเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง
|
|||||||||||||||||||||
1939 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจอาเซียน - ญี่ปุ่น | สผ | 23/06/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาความตกลงหุ้น ส่วนเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบ ต่อไป โดยผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญ ฯ สรุปได้ดังนี้ 1.1 มาตรการเยียวยาอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ คือ อุตสาหกรรมยานยนต์และเหล็ก ซึ่งได้มีการดำเนินงานเพื่อพัฒนาห่วงโซ่มูลค่า (Value Chain) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและผลิตภาพภาคอุตสาหกรรม 1.2 การป้องกันและแก้ไขผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ได้มีการบูรณาการทำงานร่วมกันระหว่างกรมควบ คุมมลพิษซึ่งเป็นหน่วยงานด้านนโยบายและกรมโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นหน่วยงานปฏิบัติในการจัดการขยะพิษ /ขยะสินค้าใช้แล้ว/สารอันตรายต่าง ๆ นอกจากนี้ กรมศุลกากรได้มีการติดตั้งเครื่องตรวจจับสารกัมมันตภาพรังสี ณ ท่าเรือแหลมฉบัง 1.3 ด้านโครงสร้างและกระบวนการในการจัดทำความตกลงการค้าเสรี ได้จัดตั้งคณะอนุกรรมการดู แลการเจรจาความตกลงการค้าเสรี ภายใต้คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ มีรองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ เป็นประธาน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นรองประธาน โดยให้คณะกรรมการดังกล่าว พิจารณาเกี่ยวกับการกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบกำกับดูแลการเยียวยาในภาพรวม ตามข้อสังเกตของคณะกรรมา ธิการวิสามัญ ฯ ต่อไป 2. ให้กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการต่างประเทศ เร่งรัดแจ้งผลการพิจารณาดำเนินการตามข้อสัง เกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญ ฯ โดยด่วน กรณีควรให้มีหน่วยงานรับผิดชอบกำกับดูแลการเยียวยาในภาพรวม รวมทั้งให้มีการบูรณาการการบริหารจัดการกองทุนของหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและไม่ซ้ำซ้อน ตลอดจนให้มีคณะทำงานระดับรัฐบาลศึกษาแนวทางและยุทธศาสตร์ในการพัฒนาความร่วมมืออาเซียนและญี่ปุ่น ในด้านอื่น ๆ นอกเหนือจากด้านการค้า แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
1940 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การพัฒนาท่าเรือสองฝั่งทะเลในการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบาราและท่าเรือสงขลาแห่งที่ 2" | สสป | 16/06/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะของ สภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "การพัฒนาท่าเรือสองฝั่งทะเลในการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบาราและท่าเรือสงขลา แห่งที่ 2" สรุปได้ดังนี้ 1.1 จัดทำแผนแม่บทในการสร้างและพัฒนาท่าเรืออ่าวไทยเชื่อมทะเลอันดามัน โดยกำหนดแนวทางใน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวเนื่องกับท่าเรืออย่างชัดเจนและอย่างบูรณาการ โดยคำนึงถึงอนาคตในการเติบ โตและโอกาสในการแข่งขันของประเทศในอนาคตข้างหน้า เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศเพื่อให้ ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านการขนส่ง (logistics) ของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 1.2 ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาท่าเรือให้สามารถเชื่อมโยงกับแนวเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจแนวเหนือ -ใต้ และแนวตะวันออก-ตะวันตก (North-South/East-West Economic Corridor) โดยเฉพาะการเชื่อมโยงระบบการ คมนาคมขนส่งจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ภาคตะวันตกเฉียงใต้ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณ รัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยให้ความสำคัญต่อการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการขยายตัวด้านเศรษฐ กิจการค้าชายแดนซึ่งจะนำเข้าและส่งออกสินค้าส่งผ่านมายังท่าเรือแหลมฉบังหรือท่าเรือน้ำลึกปากบาราในอนาคต 1.3 จัดทำแผนส่งเสริมการพัฒนาการลงทุนโดยจัดตั้งเขตอุตสาหกรรมภาคใต้ (Southern Seaboard) เพื่อรองรับการพัฒนาที่จะเกิดขึ้นหลังจากการสร้างท่าเรือซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากการก่อสร้างท่าเรือโดยอาศัยรูปแบบ การพัฒนาของเขตอุตสาหกรรมภาคตะวันออก (Eastern Seaboard) นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง หรือนิคมอุตสา หกรรมมาบตาพุด 1.4 พัฒนาการขนส่งระบบรางเพื่อเชื่อมต่อการขนส่งจากภาคอื่น ๆ มายังท่าเรือน้ำลึกปากบารา โดย จัดให้มีสถานีขนส่งเพื่อใช้สำหรับการเปลี่ยนโหมดการขนส่งอย่างมีประสิทธิภาพ 1.5 ต้องมีความชัดเจนในการอนุรักษ์แหล่งท่องเที่ยวและการประมงชายฝั่งโดยให้คำนึงถึงการขยายตัว ของภาคอุตสาหกรรมหลังพื้นที่ท่าเรือให้มีความเหมาะสม 1.6 คำนึงถึงปัจจัยด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมในบริเวณการสร้างท่าเรือ และให้ความสำคัญต่อชุมชนที่ อาจได้รับผลกระทบด้านวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป โดยรัฐควรมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาฝีมือแรงงานที่ อยู่ในพื้นที่เพื่อรองรับโอกาสการจ้างงานในอนาคต 1.7 ควรใช้โครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบาราเป็นการลงทุนโครงการสาธารณะขนาดใหญ่ เพื่อ ให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับมหภาคซึ่งจะทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบภายใต้ภาวะวิกฤตด้านการเงินและ การลงทุนของโลก 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา รวมทั้งผลการดำเนินการของกระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวง การท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงอุตสาหกรรม และ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
|
.....