ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 94 จากทั้งหมด 138 หน้า แสดงรายการที่ 1861 - 1880 จากข้อมูลทั้งหมด 2746 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1861 | การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | นร | 27/04/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ 1.1 วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 จำนวน 2,070,000 ล้านบาท โดย เป็นนโยบายงบประมาณขาดดุลจำนวน 420,000 ล้านบาท รายได้สุทธิจำนวน 1,650,000 ล้านบาท รวมทั้งราย ละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 1.2 ยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีกรณีรายจ่ายลงทุนที่ขออนุมัติผูกพันข้ามปีงบประมาณที่เริ่มดำเนินการใน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 1.3 ให้สำนักงบประมาณนำข้อเสนอตามข้อ 1.1 ที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีไปจัดทำเป็นร่างพระ ราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 และเอกสารประกอบงบประมาณ โดยให้ส่งร่างพระ ราชบัญญัติฯ ดังกล่าว ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน และแจ้งผลการพิจารณาให้ สำนักงบประมาณทราบโดยตรง ก่อนนำไปจัดพิมพ์เป็นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 และเอกสารประกอบงบประมาณ เพื่อนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในวันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2553 และนำเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรต่อไป 2. เห็นชอบให้ส่วนราชการดำเนินการตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) เสนอเพิ่มเติม ดังนี้ 2.1 ส่วนราชการที่ยังไม่ได้ทำหนังสือขอรับการจัดสรรงบกลางมายังสำนักงบประมาณตามขั้นตอน 3 ส่วนราชการ ได้แก่ กรมทางหลวง จำนวน 1 โครงการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำนวน 1 โครงการ และกรมศุลกา กร จำนวน 3 โครงการ 2.2 ส่วนราชการที่ยังไม่ได้ขอทำความตกลงแผนการปฏิบัติงาน และแผนการใช้จ่ายเงินมายังสำนักงบ ประมาณตามขั้นตอน 6 ส่วนราชการ ได้แก่ กรมส่งเสริมการเกษตร จำนวน 1 โครงการ กรมประมง จำนวน 4 โครง การ กรมปศุสัตว์ จำนวน 2 โครงการ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) จำนวน 1 โครงการ กรมส่ง เสริมสหกรณ์ จำนวน 1 โครงการ และกรมราชองค์รักษ์ จำนวน 1 โครงการ 2.3 ส่วนราชการที่ยังไม่ได้เสนอคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ผ่าน รัฐมนตรีเจ้าสังกัดมายังสำนักงบประมาณ 4 ส่วนราชการ ได้แก่ กองบัญชาการกองทัพไทย (หน่วยบัญชาการทหาร พัฒนา) จำนวน 1 โครงการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล) จำนวน 1 โครงการ กรมศุลกา กร จำนวน 2 โครงการ และกรมโยธาธิการและผังเมือง จำนวน 1 โครงการ
|
|||||||||||||||||||||
1862 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง โฉนดชุมชน | สสป | 02/03/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและ
ข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง โฉนดชุมชน และรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนัก นายกรัฐมนตรีเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็น และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. ที่ดินที่รัฐจะนำมาดำเนินการตามนโยบายโฉนดชุมชน ควรเป็นที่ดิน 3 ประเภท ดังนี้ 1.1 ประเภทที่หนึ่ง ที่ดินของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจที่ราษฎรอยู่อาศัยและทำกินมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ ที่ดินของรัฐที่มีการบุกรุกใหม่ 1.2 ประเภทที่สอง ที่ดินของรัฐหรือที่ดินที่รัฐจัดหามาเพื่อดำเนินการจัดสรรให้ราษฎรหรือเกษตร กรมีที่อยู่อาศัยหรือพื้นที่ทำการเกษตร 1.3 ประเภทที่สาม ที่ดินที่เอกชนครอบครองหรือได้รับเอกสารสิทธิที่ดิน โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือที่ดินที่เอกชนทิ้งร้างไม่ทำประโยชน์เกินเวลาที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายที่ดิน 2. รัฐบาลควรออกโฉนดชุมชน รับรองสิทธิชุมชนโดยไม่กำหนดระยะเวลา และให้สามารถสืบทอดทาง มรดกได้ โดยกำหนดเงื่อนไขให้รัฐสามารถที่จะเพิกถอนโฉนดชุมชนได้ทั้งแปลงหากชุมชนไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงร่วม ระหว่างรัฐกับชุมชน 3. รัฐบาลควรศึกษาและนำแนวทางการดำเนินการรับรองสิทธิชุมชนในลักษณะสิทธิร่วมแบบโฉนดชุม ชนเป็นแนวทางการดำเนินการจัดการโฉนดชุมชน จากตัวอย่างที่ได้มีการดำเนินการอยู่แล้วในหลายพื้นที่ เช่น กรม ส่งเสริมสหกรณ์ดำเนินการในพื้นที่นิคมสหกรณ์ หรือตามโครงการพระราชดำริ เช่น หุบกะพง เป็นต้น 4. การออกโฉนดชุมชนในที่ดินในพื้นที่ของรัฐ ประกอบด้วย ที่ดินราชพัสดุ ที่ดินสาธารณประโยชน์ ที่ ดินตามกลุ่มกฎหมายป่าไม้ ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน และที่ดินตามกฎหมายจัดรูปที่ดินสามารถดำเนินการได้ทันที เนื่องจากกฎหมายเฉพาะของที่ดินแต่ละประเภทมีบทบัญญัติให้ผู้รักษาการตามกฎหมายสามารถอนุญาตให้ชุมชน ใช้ประโยชน์หรือทำเป็นโครงการร่วมกับชุมชน และรัฐบาลยังสามารถใช้กฎหมายปฏิรูปที่ดินสำหรับสนับสนุนการ ปฏิรูปที่ดินเป็นแปลงรวมและจัดรูปแบบองค์กรชุมชนในรูปแบบของสหกรณ์ขึ้นดำเนินการบริหารจัดการที่ดินร่วม กัน โดยที่รัฐบาลประกาศให้ที่ดินที่ประสงค์จะออกโฉนดชุมชนเป็นพื้นที่ปฏิรูปที่ดิน 5. รัฐบาลสามารถยกระดับที่ดินที่อยู่อาศัยของชุมชนเมืองให้เป็นโฉนดชุมชนได้ โดยกำหนดให้ทำข้อ ตกลง ระเบียบและกติการ่วมที่ชัดเจน จะช่วยให้ชุมชนเมืองสามารถพัฒนาชุมชนได้ดียิ่งขึ้นรวมถึงจะช่วยแก้ไขปัญหา ชุมชนเมืองซึ่งเป็นปัญหาของเมืองใหญ่ทั่วประเทศ 6. รัฐบาลควรจะมีมาตรการสนับสนุนการดำเนินการโฉนดชุมชนให้ครอบคลุมทั้งที่ดิน ป่าไม้ แม่น้ำ ระบบเกษตรกรรมและที่อยู่อาศัยในพื้นที่นิเวศร่วม รวมทั้งให้ชุมชนได้มีส่วนร่วมในการวางกฎระเบียบสำหรับการ บริหารจัดการที่มีความแตกต่างกันตามระบบนิเวศ จารีต ประเพณี และวัฒนธรรมของแต่ละชุมชน 7. รัฐบาลควรจะมีมาตรการสนับสนุนการจัดตั้งกองทุนที่ดินระดับชุมชนควบคู่กันไปในพื้นที่ซึ่งดำเนิน การโฉนดชุมชน โดยการระดมทุนจากภายในชุมชนสมทบกับงบประมาณของรัฐบาลภายใต้ระเบียบร่วมระหว่างรัฐ บาลกับชุมชนเพื่อเป็นทุนสำหรับช่วยการกระจายสิทธิที่ดิน และการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนเจ้าของที่ดินเนื่องจาก ความจำเป็นทางเศรษฐกิจ ภาวะหนี้สินหรือการต้องเปลี่ยนอาชีพหรือย้ายถิ่นฐานของสมาชิก 8. รัฐบาลควรมีนโยบายเร่งรัดจัดตั้งธนาคารที่ดินระดับประเทศ รวมทั้งการปรับปรุงกองทุนที่ดินที่ได้ จัดตั้งไว้แล้ว ให้มีประสิทธิภาพสอดคล้องกับแนวนโยบายรัฐบาล เพื่อเป็นเงินทุนสำหรับจัดหาที่ดินให้แก่ประชาชน เกษตรกร และรับโอนหรือปรับโครงสร้างหนี้ของประชาชนในกรณีที่ภาวะหนี้สินนั้นนำไปสู่การสูญเสียที่ดิน และ การปรับปรุงระบบภาษีที่ดินแบบก้าวหน้า เพื่อช่วยให้เกิดการกระจายการถือครองที่ดินให้มีการใช้ประโยชน์อย่าง ทั่วถึงและเป็นธรรม 9. รัฐบาลควรจัดให้มีแผนงานและงบประมาณสำหรับสนับสนุนการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน การพัฒนาอาชีพ การพัฒนาระบบสาธารณูปโภค และการจัดซื้อที่ดินบางส่วน โดยให้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการ ดำเนินงานโฉนดชุมชน
|
|||||||||||||||||||||
1863 | ร่างพระราชบัญญัติมาตรการแทนการฟ้องคดีอาญา พ.ศ. .... | ยธ | 16/02/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติมาตรการแทนการฟ้องคดีอาญา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎ หมายว่าด้วยมาตรการแทนการฟ้องคดีอาญา โดยการนำมาตรการชะลอการฟ้องคดีอาญามาใช้เป็นมาตรการแทน การฟ้องคดีอาญา ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับความเห็นของคณะรัฐมนตรี ในประเด็นเรื่องการชะลอการฟ้อง ควรกำหนดให้ เป็นอำนาจของพนักงานอัยการหรือศาล และความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานปลัด สำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักศาลยุติธรรม ที่เห็นควรกำหนดให้มีบทบัญญัติที่กำหนดให้ คู่กรณีที่มีกรณีพิพาทกันสามารถเลือกใช้มาตรการแทนการฟ้องคดีอาญา หรือเลือกใช้มาตรการไกล่เกลี่ยในอำนาจ หน้าที่ของนายอำเภอตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการแผ่นดินก่อนที่ผลการพิจารณาจะได้ข้อยุติที่ทำให้สิทธิ ในการนำคดีมาฟ้องระงับลง หรือก่อนคดีขาดอายุความ รวมทั้งให้มีการวางระบบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทออกเป็น 3 ระดับ เช่น ในชั้นตำรวจมีหน้าที่รับผิดชอบไกล่เกลี่ยคดีทั่วไป ส่วนคดีที่มีระดับความขัดแย้งและบทลงโทษสูงขึ้นให้ พนักงานอัยการ และศาลทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย นอกจากนี้ การนำหลักการไกล่เกลี่ยคดีอาญามาใช้อาจจะกระทบต่อ การคุ้มครองสิทธิในกระบวนการยุติธรรมตามรัฐธรรมนูญ ระบบกฎหมายอาญาและระบบการดำเนินคดีอาญาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา รวมถึงการใช้มาตรการในการลงโทษผู้กระทำความผิด จึงควรมีการรับฟัง ความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนอย่างกว้างขวางในภาพรวมให้ดีเสียก่อน ไปประกอบการพิจารณา ด้วย แล้วให้ส่งคณะกรรมการประสานงานด้านนิติบัญญัติพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป 2. อนุมัติให้ถอนร่างพระราชบัญญัติไกล่เกลี่ยข้อพิพาทคดีอาญาในชั้นสอบสวน พ.ศ. .... ออกจากการ พิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ |
|||||||||||||||||||||
1864 | ความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ พ.ศ. .... | นร | 16/02/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา
เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ พ.ศ. .... เฉพาะประเด็นอำนาจการพิจารณาของรัฐสภา สรุปได้ดังนี้ 1. กรณีที่วุฒิสภาแก้ไขเพิ่มเติมร่างมาตรา 3 จาก "... ให้คณะรัฐมนตรีเสนอกรอบการใช้จ่ายเงินกู้ตาม พระราชบัญญัติ ฯ ต่อรัฐสภา "เพื่อทราบ" ก่อนเริ่มดำเนินการ "เป็น ... ให้คณะรัฐมนตรีเสนอกรอบการใช้จ่ายเงิน กู้ตามพระราชบัญญัตินี้ต่อรัฐสภา "เพื่อพิจารณา" ก่อนเริ่มดำเนินการ "โดยแสดงรายละเอียดของโครงการที่จะนำ เงินกู้ไปใช้จ่าย" นั้น ในชั้นนี้ยังไม่อาจวินิฉัยได้ว่าการกำหนดความดังกล่าวจะเป็นกรณีที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ และอาจเป็นการก้าวก่ายอำนาจของฝ่ายบริหารหรือไม่ แต่มีข้อสังเกตว่าการแก้ไขเพิ่มเติมเพียงเท่าที่แก้ไขมานี้ ใน ทางปฏิบัติไม่อาจปฏิบัติได้ เพราะขาดความชัดเจนว่าสภาทั้งสองจะดำเนินการอย่างไรในการพิจารณา 2. กรณีแก้ไขเพิ่มเติมร่างมาตรา 3 ให้แต่ละสภาตั้งบุคคลที่เป็นสมาชิกแห่งสภานั้น ๆ เป็นคณะกรรมา ธิการร่วมกันเพื่อพิจารณากรอบและรายละเอียดของโครงการที่จะนำเงินกู้ไปใช้จ่ายแต่ละครั้ง และให้เสนอผลการ พิจารณาและกรอบการใช้จ่ายเงินกู้ นั้น จะเป็นการสร้างกระบวนการพิจารณาของรัฐสภาขึ้นใหม่นอกเหนือไปจาก ที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ ซึ่งไม่อาจทำได้ เพราะเป็นการขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ รวมไปถึงกรณีให้ ประธานรัฐสภาตั้งคณะกรรมการขึ้นพิจารณาศึกษารายละเอียดของโครงการที่จะนำเงินกู้ไปใช้จ่ายแต่ละครั้ง แล้ว ให้เสนอผลการพิจารณากรอบการใช้จ่ายเงินกู้ เนื่องจากไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของประธานรัฐสภา ทั้งยังเป็นการ สร้างกระบวนการพิจารณาของรัฐสภาขึ้นใหม่ จึงเป็นการขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ 3. สำหรับการให้ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) ในเรื่องนี้ เป็นไปเพื่อประโยชน์ใน การบริหารราชการแผ่นดินตามมติของคณะรัฐมนตรีเท่านั้น การวินิจฉัยชี้ขาดเป็นที่สุดย่อมเป็นอำนาจหน้าที่ของ ศาลรัฐธรรมนูญ
|
|||||||||||||||||||||
1865 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ครั้งที่ 1/2553 | นร | 09/02/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ
(กรอ.) ครั้งที่ 1/2553 วันที่ 27 มกราคม 2553 และเห็นชอบมติคณะกรรมการ กรอ. และมอบหมายให้หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะกรรมการ กรอ. ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการ แล้วรายงานให้คณะกรรมการ กรอ. และคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการ และเลขานุการคณะกรรมการ กรอ. เสนอ ดังนี้ 1. แนวทางการขับเคลื่อน กรอ. จังหวัดและกลุ่มจังหวัด คณะกรรมการ กรอ. มีมติรับทราบและมอบหมายให้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวีระชัย วีระเมธีกุล) ประสานกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราช การเพื่อให้คณะกรรมการ กรอ.จังหวัดและกลุ่มจังหวัดมีส่วนร่วมในกระบวนการเสนอกรอบงบประมาณของคณะกรรม การนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.น.จ.) ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 และให้ใช้ ถือปฏิบัติต่อไป 2. ข้อเสนอของ กรอ.จังหวัด เรื่อง การสนับสนุนการเปิดเส้นทางบิน สุวรรณภูมิ-ลำปาง-สุวรรณภูมิ และ การขยายทางวิ่งท่าอากาศยานตรัง คณะกรรมการ กรอ. มีมติรับทราบการสนับสนุนการเปิดเส้นทางบินแบบประจำ ณ ท่าอากาศยานลำปาง ของบริษัทการบินกรุงเทพ จำกัด และรับทราบผลการพิจารณาการขยายทางวิ่งท่าอากาศ ยานตรัง ของกรมการบินพลเรือน โดยให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับ กรอ.จังหวัดและกลุ่มจังหวัด รวมทั้งหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องกำหนดมาตรการสนับสนุนและส่งเสริมเพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทางทางอากาศภายในประเทศมากขึ้น และ มาตรการจูงใจให้ผู้ประกอบการสายการบินเข้ามาให้บริการในเส้นทางบินภายในประเทศที่มีปัญหาการยกเลิกหรือที่ ยังไม่มีสายการบินให้บริการเที่ยวบินประจำ รวมทั้งศึกษาแนวทางพัฒนาและใช้ประโยชน์ท่าอากาศยานภูมิภาค เพื่อ ให้เกิดการกระจายรายได้และผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจไปยังต่างจังหวัด และการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้คุ้มค่าและเกิด ประโยชน์สูงสุดต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ 3. ความคืบหน้าการขอปรับลดค่าอนุรักษ์น้ำบาดาล คณะกรรมการ กรอ. มีมติรับทราบและมอบหมายให้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมศึกษาการทรุดตัวของแผ่นดินให้ดำเนินการเฉพาะบริเวณพื้นที่ที่มีปัญหา ก่อน เช่น พื้นที่ที่เป็นที่ตั้งของโรงงานอุตสาหกรรมที่ไม่สามารถใช้น้ำประปาในกระบวนการผลิตได้ โดยเฉพาะอุตสาห กรรมฟอกย้อม เป็นต้น และหากมีความจำเป็นต้องให้กิจการใดใช้น้ำประปาให้พิจารณาแนวทางในการนำเงินกองทุน พัฒนาน้ำบาดาลมาใช้บรรเทาผลกระทบให้กับภาคอุตสาหกรรม โดยพิจารณาเรื่อง การลดต้นทุนภาคอุตสาหกรรม และ Safe Yield ประกอบด้วย และรายงานความก้าวหน้าให้คณะกรรมการ กรอ. ทราบเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง 4. แนวทางแก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนากองเรือพาณิชย์ไทย คณะกรรมการ กรอ. มีมติดังนี้ 4.1 มอบหมายให้กรมสรรพากรเร่งดำเนินการพิจารณามาตรการด้านภาษีตามที่คณะกรรมการร่วมภาค เอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เสนอ ได้แก่ (1) การยกเว้นภาษีเงินได้จากการขายเรือเก่าเพื่อนำเงินได้ไปซื้อเรือลำใหม่ จากเดิมต้องซื้อเรือลำใหม่ภายใน 1 ปี ขยายเป็น 2 ปี (2) ภาษีมูลค่าเพิ่มจากการซื้อเรือเดินทะเลระหว่างประเทศ โดยให้ผู้ประกอบการได้รับสิทธิคืนภาษีมูลค่าเพิ่มภายใน 15 วัน และ (3) การให้ผู้ขนส่งทางทะเลภายในประเทศมี สิทธิเลือกขอเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มได้ ให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน และรายงานให้ที่ประชุมทราบ 4.2 มอบหมายให้ กกร. โดยสมาคมเจ้าของเรือไทย ประเมินผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ประเทศจะได้รับ จากการที่ภาครัฐให้การสนับสนุนด้านภาษี และรายงานให้ที่ประชุมทราบ 4.3 มอบหมายให้กรมเจ้าท่า ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมการพาณิชยนาวี นำข้อสังเกต รวมทั้งข้อเสนอแนะของที่ประชุมคณะกรรมการ กรอ. ไปประกอบการพิจารณาการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนา พาณิชยนาวีของประเทศต่อไป 4.4 มอบหมายให้กระทรวงการคลังเป็นเจ้าภาพหารือร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคาร ไทย และสมาคมเจ้าของเรือไทย เพื่อพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมในการสนับสนุนมาตรการด้านการเงินแก่ผู้ประกอบ การพาณิชยนาวี และรายงานให้ที่ประชุมพิจารณาต่อไป 5. การลดหย่อนภาษีเงินได้ให้แก่ผู้บริจาคเงินให้กับสถาบันการศึกษาเอกชน คณะกรรมการ กรอ. มีมติมอบ นายกรัฐมนตรีรับเรื่องดังกล่าว ไปหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในประเด็นนโยบายการออกประกาศ กระทรวงศึกษาธิการเกี่ยวกับรายชื่อสถานศึกษาเอกชน โดยเฉพาะสถาบันการศึกษาที่มีสถานะเป็นนิติบุคคลแล้วเพื่อ การยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ สำหรับเงินได้ที่จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อสนับ สนุนการศึกษา
|
|||||||||||||||||||||
1866 | ร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม พ.ศ. .... | ยธ | 09/02/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการปฏิรูปและพัฒนากระบวนการยุติธรรมแห่งชาติ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และส่งคณะกรรมการประสานงานด้านนิติบัญญัติพิจารณา แล้วเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติ ฯ มีสาระสำคัญคือ 1.1 ให้มีคณะกรรมการปฏิรูปและพัฒนากระบวนการยุติธรรมแห่งชาติ มีวาระในการดำรงตำแหน่ง คราวละสี่ปีนับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้ง และอาจได้รับแต่งตั้งใหม่อีกได้ 1.2 ให้คณะกรรมการปฏิรูปและพัฒนากระบวนการยุติธรรมแห่งชาติมีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการ เฉพาะเรื่องหรือคณะอนุกรรมการเพื่อศึกษาเรื่องหนึ่งเรื่องใดเป็นการเฉพาะก่อนที่จะเสนอผลการพิจารณาต่อคณะ กรรมการเพื่อพิจารณาต่อไป 1.3 ให้คณะกรรมการปฏิรูปและพัฒนากระบวนการยุติธรรม มีหน้าที่หลักในเชิงนโยบายที่จะปฏิรูป และพัฒนากระบวนการยุติธรรมในภาพรวม โดยการเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี หรือองค์กรที่เกี่ยวข้องกับกระบวน การยุติธรรมในการกำหนดนโยบาย กลยุทธ์ และแนวทางเกี่ยวกับการปฏิรูปและพัฒนากระบวนการยุติธรรมให้มี ประสิทธิภาพและสัมฤทธิ์ผล จัดทำแผนแม่บทการปฏิรูปและพัฒนากระบวนการยุติธรรมแห่งชาติ และแผนแม่บท เทคโนโลยีสารสนเทศ กระบวนการยุติธรรมแห่งชาติ และเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อกำหนดมาตรการแก้ไข ข้อขัดข้อง ตลอดจนส่งเสริมความร่วมมือกรณีที่เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ หรือเกิดข้อขัดข้องที่เป็นอุปสรรคต่อการ ปฏิรูปและพัฒนากระบวนการยุติธรรม 1.4 ให้มีสำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปและพัฒนากระบวนการยุติธรรมแห่งชาติเป็นหน่วยงานของ รัฐที่มิใช่ส่วนราชการ ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน และไม่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่า ด้วยวิธีการงบประมาณหรือกฎหมายอื่น มีฐานะเป็นนิติบุคคล และอยู่ภายใต้กำกับของประธานกรรมการ รับผิด ผิดชอบเกี่ยวกับงานธุรการและกิจการทั่วไปของคณะกรรมการ ฯ รวมทั้งเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับความรู้และ ผลงานวิจัยด้านการปฏิรูปและการพัฒนากระบวนการยุติธรรมแห่งชาติ 2. โดยที่ความในร่างมาตรา 27 บัญญัติให้รัฐบาลจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปให้กับสำนักงานคณะกรรม การปฏิรูป ฯ และบทเฉพาะกาลร่างมาตรา 35 บัญญัติให้โอนงบประมาณของกองงานคณะกรรมการยุติธรรมแห่ง ชาติ สำนักงานกิจการยุติธรรมไปเป็นของสำนักงานคณะกรรมการปฏิรูป ฯ ดังนั้น ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ขอให้สำนัก งบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้กระทรวงยุติธรรม และสำนักงานคณะกรรมการปฏิรูป ฯ อย่างเหมาะ สมเพียงพอ มิให้กระทบต่อภารกิจอื่นของกระทรวงยุติธรรมด้วย |
|||||||||||||||||||||
1867 | การจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ (ระหว่างวันที่ 1 - 13 ธันวาคม 2552) | นร | 26/01/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
1. ให้มีการแต่งตั้ง "คณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติแห่งการบรมราชาภิเษกปีที่ 60 และการเฉลิมพระชนมพรรษา" มีหน้าที่จัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนาง เจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ ในปี 2553 โดยมีองค์ประกอบชุดเดียวกันกับคณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิม พระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 82 พรรษา 5 ธันวาคม 2552 ซึ่งสิ้นสุดวาระการดำเนินงาน โดยเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของคณะกรรมการ ดังนี้ 1.1 เปลี่ยนแปลงรองประธานกรรมการ 1 ท่าน จาก "รองนายกรัฐมนตรี (นายกอร์ปศักดิ์ สภาว สุ) เป็น "รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี)" 1.2 เพิ่มเติมกรรมการ 2 ท่าน คือ รองราชเลขาธิการ (ท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ) และราชเลขา นุการในพระองค์สมเด็จพระบรมราชินีนาถ 1.3 เพิ่มเติมกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ 1 ท่าน คือ ผู้อำนวยการกองกลางสำนักงานปลัดสำนัก นายกรัฐมนตรี 2. สรุปผลการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 82 พรรษา 5 ธันวาคม 2552 ระหว่างวันที่ 1-13 ธันวาคม 2552 ที่ผ่านมา ณ บริเวณพระลานพระราชวังดุสิต บริเวณถนนราชดำเนิน รวมทั้ง บริเวณท้องสนามหลวง ผลการพิจารณาการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ ในปี 2553 และคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรม การอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ ฯ ดังกล่าว
|
|||||||||||||||||||||
1868 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การจัดระบบแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง" | สสป | 26/01/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อ
เสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การจัดระบบแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง" และรับ ทราบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการร่วมกับส่วนราชการและหน่วย งานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. ด้านนโยบาย 1.1 เปิดโอกาสให้มีการจดทะเบียนได้ตลอดทั้งปี เพื่อสอดรับกับการหมุนเวียนแรงงานตามความต้องการ ของตลาดแรงงาน 1.2 ควบคุมดูแลไม่ให้แรงงานต่างด้าวนำครอบครัวเข้ามาอาศัยอยู่ด้วย 1.3 ยกเลิกประกาศจังหวัด เรื่อง การจัดระบบในการควบคุมแรงงานต่างด้าว โดยเฉพาะบางข้อที่มีการละ เมิดสิทธิมนุษยชนของแรงงานต่างด้าว 1.4 ลดขั้นตอนการขอใบอนุญาตทำงาน (Work Permit) ให้สั้นลง เพื่อให้นายจ้างสามารถขอใบอนุญาต ทำงานให้แรงงานต่างด้าวได้รวดเร็วขึ้น 2. ด้านการบริหารจัดการ 2.1 ใช้บัตรสีที่ต่างกันในแต่ละพื้นที่ 2.2 ลงโทษผู้นำพา ผู้ให้ที่พักพิง หรือนายจ้างที่นำแรงงานต่างด้าวเข้ามาในประเทศไทยที่มิได้ดำเนินการ ขึ้นทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมายอย่างจริงจังโดยไม่เลือกปฏิบัติ 2.3 ควบคุมให้ผู้ประกอบการปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน เพื่อนำไปสู่การจ่ายค่าจ้างขั้นต่ำให้กับแรงงาน ต่างด้าวตามเกณฑ์เทียบเท่าลูกจ้างของไทย และรับประกันความปลอดภัยในสถานที่ทำงาน ตลอดจนกำกับดูแล และ ยุติพฤติกรรมการบังคับข่มขู่และทำร้ายร่างกายจากนายจ้างและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดและจริงจัง 3. ด้านกฎหมาย 3.1 บังคับใช้พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 เป็นหลักเสียก่อนโดยลงโทษบุคคลที่นำหรือพาแรง งานต่างด้าวเข้ามาประเทศไทยโดยผิดกฎหมาย ตลอดจนให้ที่พักพิง แล้วจึงใช้พระราชบัญญัติการทำงานของคนต่าง ด้าว พ.ศ. 2551 เป็นรอง 3.2 ลดค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการดำเนินการ ได้แก่ ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าว 3.3 พระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2551 เห็นควรปรับแก้การกำหนดเงินกองทุน ฯ ใน มาตรา 14 และ 15 ให้มีจำนวนหรือสัดส่วนที่เหมาะสมมีความคล่องตัวในการเบิกจ่าย ปรับแก้มาตรการการเรียก เก็บค่าธรรมเนียมการจ้างแรงงานต่างด้าว (Levy) มาตรา 8 ให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับสถานการณ์การใช้ แรงงาน และปรับแก้บทกำหนดโทษกรณีการกระทำผิดของแรงงานต่างด้าวและนายจ้างโดยให้รับโทษทั้งทางแพ่งและ อาญา 4. ด้านยุทธศาสตร์ 4.1 ยุทธศาสตร์การจัดระบบการจ้างแรงงานต่างด้าว ควรเชื่อมโยงข้อมูลทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแลก เปลี่ยนและใช้ประโยชน์ร่วมกัน รวมทั้งจัดสรรงบประมาณและกำลังคนให้เพียงพอต่อการดำเนินยุทธศาสตร์ 4.2 ยุทธศาสตร์การกำหนดมาตรฐานการจ้างแรงงานต่างด้าว ควรจำกัดจำนวนคนต่างด้าวที่มิใช่ช่างฝีมือ หรือผู้ชำนาญการที่จะเข้ามาทำงานในบางลักษณะ รวมทั้งกำหนดมาตรฐานของช่างฝีมือหรือแรงงานที่มีความชำนาญ เฉพาะที่เป็นแรงงานต่างด้าวที่จะเข้ามาทำงานในราชอาณาจักร 4.3 ยุทธศาสตร์การสกัดกั้นแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้ามาทำงาน ควรใช้นโยบายมาตรการเฉพาะพื้นที่ โดยผสมผสานกับนโยบายระดับประเทศ โดยพิจารณาตามความจำเป็น เหมาะสม และสอดคล้องกับสถานการณ์แต่ละ พื้นที่ 4.4 ยุทธศาสตร์การปราบปรามจับกุมดำเนินคดีแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมือง ควรเร่งรัดตรวจสอบและ ดำเนินคดีอย่างจริงจัง โดยปราบปรามทั้งนายจ้าง ผู้นำเข้าแรงงานต่างด้าว ให้ที่พักพิงและให้ทำงานในกรณีที่ไม่ได้รับ อนุญาตตามกฎหมาย 4.5 ยุทธศาสตร์การผลักดันและการส่งกลับแรงงานต่างด้าว ควรจัดสรรงบประมาณ บุคลากร สถานที่กัก ขัง ตลอดจนยานพาหนะในการขนย้ายแรงงานต่างด้าว ของหน่วยงานที่รับผิดชอบ ต้องมีเพียงพอ รวมทั้งการจัดทำ ฐานข้อมูลแรงงานต้างด้าวที่ถูกจับกุม และถูกผลักดันส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักร ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเชื่อม โยงข้อมูลเพื่อการควบคุมและตรวจสอบได้อย่างถูกต้อง 4.6 ยุทธศาสตร์การประชาสัมพันธ์การจัดระบบแรงงานต่างด้าว ให้หน่วยงานทุกระดับเชื่อมโยงประสาน กันทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะฐานข้อมูลต้องมีระบบข้อมูลกลางที่สามารถติดต่อกันได้ มีลักษณะเป็นสากลสามารถตรวจ สอบได้รวดเร็ว ทันเวลาทั้งภาครัฐและนายจ้าง มีการประชาสัมพันธ์ถึงการเคลื่อนไหวด้านข้อมูลตลอดเวลา และมีการ ประสานงานระหว่างกระทรวงแรงงานและนายจ้างอย่างทันเหตุการณ์ 4.7 ยุทธศาสตร์การติดตามและประเมินผล เมื่อมีการประเมินปัญหาจากสถานการณ์แรงงานต่างด้าวด้าน ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้แล้ว ควรมีผู้มีอำนาจ หรือผู้รับผิดชอบโดยตรงเกี่ยวกับปัญหาด้านแรงงานต่างด้าวเพื่อติดตาม สั่ง การในการแก้ปัญหา
|
|||||||||||||||||||||
1869 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การใช้สิทธิตามสิทธิบัตรด้านยา" | สสป | 19/01/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและ
ข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การใช้สิทธิตามสิทธิบัตรด้านยา และรับทราบ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการร่วมกับส่วนราชการและหน่วย งานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. การใช้สิทธิตามสิทธิบัตรด้านยา 1.1 สร้างความเข้าใจกับทุกฝ่ายว่าการใช้สิทธิตามสิทธิบัตรเป็นการดำเนินการตามกฎหมายและสอด คล้องกับความตกลงระหว่างประเทศ ไม่ใช่การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา และเป็นมาตรการที่ประเทศต่าง ๆ ใช้ เพื่อจัดการปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศ และเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องว่า ไทยกำหนดค่าตอบแทนการใช้ สิทธิในระดับเดียวกับค่าตอบแทนการใช้สิทธิของประเทศที่พัฒนาแล้ว 1.2 สร้างความมั่นใจในการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีดำเนินการใช้สิทธิตามสิทธิบัตรอย่างโปร่งใสและ เป็นที่ยอมรับของสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นขอบเขตและเงื่อนไขในการคัดเลือกรายการยา และเจรจากับผู้ ทรงสิทธิควบคู่กันไปในระหว่างการดำเนินการ แม้มิได้เป็นข้อกำหนดในกฎหมาย และกรณีที่เป็นไปได้ควรพัฒนา ความร่วมมือระหว่างประเทศในการตีความข้อตกลงทริปส์แบบยืดหยุ่น อันจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาการเข้าถึงยา ร่วมกัน 2. มาตรการด้านทรัพย์สินทางปัญญา 2.1 เร่งปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา โดยเฉพาะการละเมิดลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ หรือราย การแสดง ซีดี ดีวีดี และเร่งขยายผลจับกุมผู้ผลิตรายใหญ่อย่างต่อเนื่องและจริงจัง 2.2 ปรับปรุงประสิทธิภาพในการจดสิทธิบัตร และการคัดค้านสิทธิบัตร เพื่อจัดการปัญหาสิทธิบัตรที่ ไม่ถูกต้อง หรือการขยายอายุสิทธิบัตรโดยไม่สมเหตุผล (Evergreening Patent) 3. มาตรการสนับสนุนเพื่อการเข้าถึงยา 3.1 เสริมสร้างการพัฒนาอุตสาหกรรมยา เพิ่มขีดความสามารถในการวิจัยและพัฒนายาและศักยภาพ ในการผลิตยาเพื่อลดการพึ่งพายาจากต่างประเทศ และลดความจำเป็นในการใช้สิทธิตามสิทธิบัตร 3.2 มีมาตรการในการควบคุมราคายาที่แพงเกินควร เนื่องจากอำนาจการผูกขาด เพื่อให้ราคายาสอด คล้องกับโครงสร้างต้นทุนที่แท้จริง 3.3 สนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพเพื่อลดความจำเป็นในการใช้ยา รวมไปถึงจัดสรรงบประมาณด้าน สุขภาพให้เพียงพอ
|
|||||||||||||||||||||
1870 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งอย่างยั่งยืน | สสป | 19/01/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและ
ข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่ง อย่างยั่งยืน และรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และ ผลการดำเนินการร่วมกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. การอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลน 1.1 ทบทวนและยกเลิกโครงการตัดสางป่าชายเลน ส่งเสริมให้มีการอนุรักษ์ฟื้นฟูป่าชายเลน และให้ มีหน่วยงานหลักติดตามและกำกับการดำเนินโครงการที่เกี่ยวข้องกับป่าชายเลน 1.2 ปรับเปลี่ยนนโยบายโครงการจัดจ้างราษฎรเป็นรายบุคคลในการรักษาป่ามาเป็นการสนับสนุน โครงการดูแลรักษาป่าร่วมกันของชุมชนในลักษณะการจัดการป่าชุมชน 1.3 ให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งใช้อำนาจตามกฎหมายป่าไม้รวมทั้งมติคณะรัฐมนตรีที่มีอยู่ ดำเนินการระงับการไถทำลายป่าชายเลน 2. การแก้ไขผลกระทบจากการพัฒนาพื้นที่ 2.1 มีนโยบายและมาตรการเร่งด่วนในการดำเนินการจำแนกการใช้ประโยชน์ที่ดิน การจัดทำเขตคุ้ม ครองพื้นที่ธรรมชาติ การประกาศเขตควบคุมการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่จนอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ตลอดจนทบทวนตรวจสอบเอกสารสิทธิ์ที่ดินเพื่อให้การใช้ประโยชน์พื้นที่เป็นไปตามกฎหมาย 2.2 จัดทำแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่ท่องเที่ยวเป็นรายพื้นที่โดยประชาชนมีส่วนร่วมเพื่อควบคุมการ พัฒนาพื้นที่ให้เป็นไปตามทิศทางการพัฒนาที่ยั่งยืน 2.3 จัดให้อ่าวพังงาเป็นพื้นที่ซึ่งมีความสำคัญเร่งด่วน โดยจัดทำแผนแม่บทการท่องเที่ยวการบริหาร ท่าเรือสำราญ กำหนดเขตการใช้ประโยชน์ที่ดิน กำหนดพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม เพื่อควบคุมพื้นที่ที่มีความสำคัญ ต่อระบบนิเวศทางทะเล 2.4 กรณีทางสาธารณะบ้านยามู จังหวัดภูเก็ต มอบหมายให้กรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการสอบ สวนกรณีการดำเนินธุรกิจของชาวต่างชาติในลักษณะจัดสรรที่ดินและซื้อขายบ้านให้กับชาวต่างชาติ 2.5 กรณีควนย่าหมี ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเกาะยาวใหญ่ และป่าสงวนแห่งชาติป่าช่องหลาด จังหวัด พังงา กรมป่าไม้ ต้องใช้อำนาจตามกฎหมายป่าไม้ดำเนินการให้มีการระงับการทำลายป่าและเปลี่ยนสภาพพื้นที่ไว้ ก่อนจนกว่ากระบวนการพิสูจน์ความชอบด้วยกฎหมายของหนังสือรับรองการทำประโยชน์จะแล้วเสร็จ 3. การแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง 3.1 จัดให้ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งเป็นวาระแห่งชาติ มีความสำคัญที่ต้องดำเนินการแก้ไขอย่างจริง จังและเร่งด่วน โดยเร่งรัดให้อนุกรรมการกำกับการดำเนินกิจกรรมและจัดทำแผนหลักป้องกันและแก้ปัญหาการกัด เซาะชายฝั่ง ภายใต้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ โดยมีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นองค์ กรหลักดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์การจัดการป้องกันแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งและโครงการป้องกันการ กัดเซาะชายฝั่งทะเล โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน และให้จังหวัดเป็นหน่วยงานหลักประสานการปฏิบัติงานใน พื้นที่ 3.2 ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระดมความร่วมมือจากสถาบันวิชาการ รวมทั้ง ภาคประชาชน เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ มาตรการที่ควรดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งเป็นรายพื้นที่ ทั้งนี้ โดยการกระจายอำนาจการดำเนินงานสู่จังหวัด และจัดให้มีกระบวนการที่ประชาชนในท้องถิ่นสามารถเข้ามา มีส่วนร่วมในการวางแผนการดำเนินงานและการปฏิบัติการแก้ไข 3.3 การดำเนินการแก้ไขปัญหาควรจำแนกพื้นที่ที่มีปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งตามความรุนแรง ตาม ความเร่งด่วนของปัญหา เช่น พื้นที่ซึ่งการกัดเซาะชายฝั่งทะเลอยู่ในระดับวิกฤต จำนวน 30 พื้นที่ใน 17 จังหวัดควร ต้องเร่งรัดการศึกษาและจัดทำแผนแม่บทการแก้ไขปัญหารายพื้นที่ให้แล้วเสร็จในระยะเวลา 1 ถึง 2 ปี จากนั้นจึง ดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน และพื้นที่เฝ้าระวังเป็นพิเศษ ซึ่งเริ่มมีการกัดเซาะชายฝั่งทะเลจากกิจกรรมการ พัฒนาพื้นที่ชายฝั่ง และกำลังจะมีการแก้ไขปัญหาโดยโครงสร้างแบบแข็งหรือโครงสร้างทางวิศวกรรมไปปะทะคลื่น ทะเลโดยตรง ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อพื้นที่ที่ชายฝั่งทะเลต่อเนื่องไปยังบริเวณข้างเคียงที่ไม่มีปัญหาการกัด เซาะ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||
1871 | แผนแม่บทอุตสาหกรรมอาหาร พ.ศ. 2553 - 2557 | อก | 12/01/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ 1.1 แผนแม่บทอุตสาหกรรมอาหาร พ.ศ. 2553-2557 มีวัตถุประสงค์เพื่อให้การพัฒนาอุตสาหกรรม อาหารของไทยมีทิศทาง เป้าหมายที่ชัดเจน และมีแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารอย่างเป็นระบบ และเป็น องค์รวมที่สามารถปรับเปลี่ยนให้สอดรับกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก และการพัฒนาประเทศที่เปลี่ยนแปลง ตามสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ซึ่งจะช่วยให้ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถกำหนด แนวนโยบายด้านอุตสาหกรรมอาหารเชิงบูรณาการร่วมกัน เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในการผลิต และเพิ่มขีดความ สามารถในการส่งออกสินค้าอาหารของไทย รวมถึงผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศจะมีความเชื่อมั่นในคุณภาพและ ความปลอดภัยของสินค้าอาหารไทย ซึ่งจะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มและขยายส่วนแบ่งการตลาดของไทยในทุกสินค้า อาหารได้อย่างเป็นรูปธรรม 1.2 มอบหมายกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นผู้ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ในการจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action Plans) โดยผ่านกลไกคณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติ ในการจัด ลำดับความสำคัญของโครงการที่จะดำเนินในระยะเวลา 5 ปี พร้อมงบประมาณที่ใช้ รวมทั้งเป็นผู้ติดตามประเมินผล 1.3 ให้สำนักงบประมาณใช้กรอบของแผนแม่บท ฯ ในการพิจารณาจัดสรรงบประมาณในส่วนที่เกี่ยว ข้องกับอุตสาหกรรมอาหารของแต่ละกระทรวงต่อไป 2. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอต่อคณะกรรมการอาหารแห่งชาติพิจารณาภายในเดือนมีนาคม 2553 3. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวัฒน ธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ สำนัก งานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย เกี่ยวกับการ การพิจารณาสร้าง niche สำหรับสินค้าอาหารบางรายการเพื่อกำหนดแนวทางที่ชัดเจนในการพัฒนาอุตสาหกรรม อาหารประเภทนั้น ๆ อย่างเป็นระบบ และกำหนดระยะเวลาในการดำเนินงาน เป้าหมาย และตัวชี้วัดของแต่ละยุทธ ศาสตร์ เพื่อให้เกิดความชัดเจนสามารถติดตามประเมินผลสำเร็จของแผน รวมทั้งควรปรับปรุงแผนให้มีความบูรณา การและสอดคล้องกันระหว่างหน่วยปฏิบัติเพื่อลดความซ้ำซ้อนในการจัดตั้งงบประมาณ นอกจากนี้ ควรกำหนดแนว ทางการผลักดันการสร้างคุณค่าสินค้าอาหาร โดยสร้างความเชื่อมโยงระหว่างสาขาการผลิต ทั้งสาขาอุตสาหกรรม เกษตรและบริการ อย่างชัดเจนเพื่อให้เกิดการพัฒนาตลอดห่วงโซ่อาหาร ไปพิจารณาดำเนินการด้วย แล้วเสนอคณะ รัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง สำหรับการเสนอของบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ให้กระทรวงอุตสาหกรรม ประสานสำนักงบประมาณเพื่อดำเนินการไปพลางก่อนได้ โดยไม่ต้องรอผลการพิจารณาของคณะกรรมการอาหาร แห่งชาติ |
|||||||||||||||||||||
1872 | หารือปัญหาเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังฟื้นฟูเศรษฐกิจ พ.ศ. .... | นร | 12/01/2553 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับข้อหารือปัญหาร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟู
เศรษฐกิจ พ.ศ. .... โดยให้หารือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาเฉพาะประเด็นอำนาจการพิจารณาของ รัฐสภา ดังนี้ 1. กรณีที่วุฒิสภาแก้ไขเพิ่มเติมร่างมาตรา 3 จาก "...ให้คณะรัฐมนตรีเสนอกรอบการใช้จ่ายเงินกู้ตามพระ ราชบัญญัตินี้ต่อรัฐสภา "เพื่อทราบ" ก่อนเริ่มดำเนินการ" เป็น "...ให้คณะรัฐมนตรีเสนอกรอบการใช้จ่ายเงินกู้ตาม พระราชบัญญัตินี้ต่อรัฐสภา "เพื่อพิจารณา" ก่อนเริ่มดำเนินการ "โดยแสดงรายละเอียดของโครงการที่จะนำเงินกู้ไป ใช้จ่าย" นั้น จะขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่น และจะเป็นการก้าวก่ายอำนาจฝ่ายบริหารหรือไม่ อย่าง ไร 2. กรณีที่จะแก้ไขเพิ่มเติมร่างมาตรา 3 ให้แต่ละสภาตั้งบุคคลที่เป็นสมาชิกแห่งสภานั้น ๆ เป็นคณะกรรมา ธิการร่วมกันเพื่อพิจารณากรอบและรายละเอียดโครงการที่จะนำเงินกู้ไปใช้จ่ายแต่ละครั้ง และเสนอผลการพิจารณา และกรอบการใช้จ่ายเงินกู้นั้นต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเพื่อทราบก็ดี หรือเพื่อให้ความเห็นชอบก็ดีจะขัดกับรัฐ ธรรมนูญหรือกฎหมายอื่นหรือไม่ อย่างไร หรือกรณีที่จะแก้ไขเพิ่มเติมร่างมาตรา 3 ให้ประธานรัฐสภาตั้งคณะกรรม การขึ้นพิจารณาศึกษารายละเอียดของโครงการที่จะนำเงินกู้ไปใช้จ่ายแต่ละครั้ง แล้วเสนอผลการพิจารณากรอบการ ใช้จ่ายเงินกู้นั้นต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเพื่อทราบจะขัดกับรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่นหรือไม่ อย่างไร
|
|||||||||||||||||||||
1873 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดการศึกษาให้แก่บุคคลที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎร หรือไม่มีสัญชาติไทย โดยองค์กรเอกชน ในศูนย์การศึกษาคนต่างด้าว พ.ศ. .... | นร | 22/12/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอผลการพิจารณาเกี่ยวกับประเด็น
ข้อกฎหมายและแนวทางการดำเนินนโยบายเกี่ยวกับร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดการศึกษาให้แก่ บุคคลที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎร หรือไม่มีสัญชาติไทย โดยองค์กรเอกชน ในศูนย์การศึกษาคนต่างด้าว พ.ศ. .... และให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ดังนี้ 1. ออกกฎกระทรวงว่าด้วยสิทธิของบุคคลหรือองค์กรเอกชนในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 2. ในการจัดตั้งคณะกรรมการซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจากหลายส่วนราชการ อาจแต่งตั้งโดยคำสั่งสำนัก นายกรัฐมนตรี หรือระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีก็ได้ 3. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับไปประสานกับสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับยุทธศาสตร์แก้ ไขปัญหาผู้หลบหนีเข้าเมืองทั้งระบบ ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดทำของสำนักงานสภาความมั่นแห่งชาติ เพื่อให้กรอบ ทิศทาง นโยบาย และระบบการบริหารจัดการด้านการศึกษาและการสาธารณสุขของผู้หลบหนีเข้าเมืองมีความ ชัดเจนมากขึ้น
|
|||||||||||||||||||||
1874 | รายงานผลการพิจารณา เรื่อง "การพัฒนาพันธุ์ข้าวของประเทศสหรัฐอเมริกา" | กษ | 22/12/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการพิจารณา เรื่อง "การพัฒนาพันธุ์
ข้าวของประเทศสหรัฐอเมริกา" สรุปได้ดังนี้ 1. ผลการตรวจสอบคุณสมบัติเปรียบเทียบระหว่างข้าวขาวดอกมะลิ 105 ของไทยกับพันธุ์ข้าว Jazzman ของสำนักงาน ดี.ซี. พบว่าเป็นพันธุ์ข้าวที่ไม่ได้จัดเป็นกลุ่มเดียวกัน การทำตลาดที่จะจัดเป็นกลุ่มเดียวกับข้าวหอมมะลิ ของไทยยังไม่สามารถเทียบได้ในเชิงคุณภาพและการทำตลาดจะเน้นเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งจะต้องใช้เวลา ค่อนข้างมาก ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อปริมาณการนำเข้าข้าวหอมมะลิจากไทยในตลาดประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่บ้าง เพราะโดยคุณสมบัติของข้าวหอมมะลิไทยจัดเป็นข้าวที่มีคุณภาพของแป้งข้าวที่ดีที่สุด ซึ่งเป็นที่ยอมรับทั้งทางวิชาการ และโภชนาการจึงมีหลายประเทศที่พยายามพัฒนาพันธุ์ข้าวเพื่อให้ได้เทียบเท่ากับข้าวหอมมะลิของไทย 2. แนวทางป้องกันและแก้ไขผลกระทบ 2.1 ใช้กลยุทธ์การโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลผู้บริโภคทราบถึงข้อดีของข้าวหอมมะลิไทย 2.2 พัฒนาระบบมาตรฐานการผลิตข้าวหอมมะลิไทยให้ครบวงจรครอบคลุมทุกขั้นตอนการผลิตจนถึง มือผู้บริโภค และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ 2.3 เร่งใช้มาตรการ SPS (Sanitary and phytosanitary measures) ในการนำเข้าข้าว และการระบุ แหล่งกำเนิด (source of origin) เพื่อเป็นการเสริมสร้างมาตรฐานสินค้าข้าวของไทย 2.4 มีการจัดกลุ่มข้าวหอมเพิ่มเติมนอกเหนือจากพันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ 105 และ กข 15 2.5 หามาตรการเพื่อให้มีการยอมรับข้าวหอมที่ปลูกนอกเขตข้าวหอมมะลิ (ข้าวหอมจังหวัด) หรือการ พัฒนาสินค้าข้าวหอมจังหวัดให้มีคุณภาพเป็นสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indication good) ระดับ จังหวัดหรือระดับเขตได้ 2.6 ให้การสนับสนุนด้านการวิจัยและพัฒนาข้าวหอมมะลิอย่างจริงจังและต่อเนื่องทั้งด้านงบประมาณ เครื่องมืออุปกรณ์ และบุคลากร
|
|||||||||||||||||||||
1875 | รายงานผลการตรวจราชการแบบบูรณาการเพื่อมุ่งผลสัมฤทธิ์ตามนโยบายของรัฐบาล ของผู้ตรวจราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 (Annual Inspection Report : Fiscal Year 2009) | นร | 08/12/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบและเห็นชอบให้ดำเนินการตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ 1.1 รับทราบรายงานผลการตรวจราชการแบบบูรณาการเพื่อมุ่งผลสัมฤทธิ์ตามนโยบายของรัฐบาล ของผู้ตรวจราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 (Annual Inspection Report : Fiscal Year 2009) ซึ่งเป็นการ ดำเนินการร่วมกันของผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี และผู้ตรวจราชการกระทรวง 17 กระทรวง ภายใต้ 4 นโยบายของรัฐบาล คือ นโยบายด้านสังคมและคุณภาพชีวิต นโยบายด้านเศรษฐกิจ นโยบายด้านที่ดิน ทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนโยบายด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัย และนวัตกรรม 1.2 เห็นชอบ 1.2.1 มอบให้กระทรวงและส่วนราชการต่าง ๆ รับข้อเสนอแนะของผู้ตรวจราชการสำนักนายก รัฐมนตรีและผู้ตรวจราชการกระทรวงตามรายงานผลการตรวจราชการแบบบูรณาการ ฯ ไปพิจารณาในส่วนที่เกี่ยว ข้อง และมอบให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีติดตามผลการพิจารณาดังกล่าว แล้วรวบรวมเพื่อรายงานคณะ รัฐมนตรีทราบในโอกาสแรก 1.2.2 ในการตรวจราชการของกระทรวงต่าง ๆ ในปีต่อ ๆ ไป หน่วยงานในสังกัดกระทรวงจะต้อง มีระบบการรายงานความก้าวหน้าของผลการดำเนินงาน และผลสัมฤทธิ์ของแผนงานโครงการสำคัญที่มีผลต่อยุทธ ศาสตร์กระทรวงและยุทธศาสตร์ชาติให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงได้ทราบเพื่อให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงสามารถติด ตามผลการดำเนินงานตามแผนงานของหน่วยงานต่าง ๆ ในระดับกรมได้ในขอบเขตที่ครอบคลุมยุทธศาสตร์สำคัญ ของกระทรวงได้มากยิ่งขึ้น 1.2.3 ให้หน่วยงานในระดับกรม ภายในกระทรวงต่าง ๆ และระหว่างกระทรวงให้ความสำคัญกับ การประสานแผนงาน/โครงการที่มีความเกี่ยวเนื่องกันทั้งในขั้นตอนการจัดทำแผนปฏิบัติราชการ และประสานการ ดำเนินงาน สำหรับแผนงานโครงการที่มีลำดับความสำคัญสูง 2. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจัดส่งข้อมูลต่าง ๆ ที่ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีได้ รับรายงานจากหน่วยงานต่าง ๆ ในระดับกรม ให้แก่รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้ประโยชน์ต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||
1876 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนด้านตะวันตกของประเทศ" | สสป | 08/12/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนด้านตะวันตกของประเทศ ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และผลการพิจารณาตามความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ของกระทรวงคมนาคมร่วมกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งสินค้าและเพิ่มปริมาณสินค้าไปยังสหภาพพม่า และประเทศที่สาม เช่น จีน เกาหลีใต้ อินเดีย บังคลาเทศ ฯลฯ โครงสร้างพื้นฐานที่ต้องเร่งพัฒนาเพื่อรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจประกอบไปด้วยโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการคมนาคม ได้แก่ ถนน ระบบราง และท่าเรือน้ำลึก ๒. การยกระดับและเพิ่มจำนวนจุดผ่านแดนที่มีศักยภาพเพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าและการลงทุน ปัจจุบันมีจุดค้าขายบริเวณชายแดนไทย - สหภาพพม่า เพียง ๔ จุดเท่านั้นที่ถือเป็นจุดผ่านถาวร ได้แก่ ท่าขี้เหล็ก - แม่สาย เมียวดี - แม่สอด พญาตองซู - ด่านพระเจดีย์สามองค์ และเกาะสอง - อำเภอเมืองระนอง ที่สะพานปลา และบริเวณอำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง ๓. เร่งรัดการดำเนินงานตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่อำเภอแม่สอดให้เป็นจริงโดยด่วน รัฐบาลควรจัดประชุมกับประชาคมแม่สอดว่าต้องการโมเดลแบบไหนที่จะสอดคล้องและรองรับการเจริญเติบโตของจังหวัดเมียวดีของสหภาพพม่า ตลอดจนเขตอุตสาหกรรมพิเศษที่ย่างกุ้ง มิงกะลา ดอนผาอัน และเมาะลำไย ซึ่งได้ดำเนินการไปบ้างแล้ว ๔. รัฐบาลควรพิจารณาปรับปรุง แก้ไขกฎระเบียบของหน่วยงานต่าง ๆ ที่ปฏิบัติงานในบริเวณชายแดนไปในทิศทางเดียวกัน คือ เอื้ออำนวยต่อการค้าการลงทุนในบริเวณชายแดน โดยหว่านล้อมให้เกิดความเชื่อมั่นว่าความมั่นคงของประเทศทั้งในปัจจุบันและในอนาคตขึ้นอยู่กับความเจริญทางเศรษฐกิจที่กระจายและเกื้อหนุนกันระหว่างประเทศเพื่อนบ้านไม่ใช่ความแข็งกร้าวของนโยบายการเมืองหรือการทหาร ๕. รัฐบาลควรสานสัมพันธ์กับรัฐบาลสหภาพพม่าอย่างต่อเนื่อง มองข้ามอคติเดิม ๆ ที่มองสหภาพพม่าเป็นศัตรู เพราะในความเป็นจริงของปัจจุบันแล้ว สหภาพพม่าเป็นศูนย์กลางพลังงานของภูมิภาคนี้ที่ไทยจำต้องพึ่งพา นอกจากพลังงานที่มีอย่างเหลือเฟือแล้ว สหภาพพม่ายังมองอนาคตตนเองในฐานะเป็น Hub ทางพลังงาน ซึ่งสหภาพพม่ามีศักยภาพที่จะพัฒนาไปได้ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องจำเป็นต่ออนาคตประเทศไทยที่จะต้องพาตัวเองไปเป็นภาคีที่สำคัญของสหภาพพม่านับตั้งแต่วันนี้
|
|||||||||||||||||||||
1877 | ร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง พ.ศ. .... | พณ | 01/12/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ถอนร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง พ.ศ. .... เพื่อรอ
ผลการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ของคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจก่อน ตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ |
|||||||||||||||||||||
1878 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การพัฒนาพืชอาหารและพืชพลังงานอย่างยั่งยืนและสมดุล | สสป | 24/11/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การพัฒนาพืชอาหารและพืชพลังงานอย่างยั่งยืนและสมดุล ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ รวมทั้งความเห็น ผลการพิจารณาและผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับและส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ความมั่นคงด้านอาหาร ๑.๑ ส่งเสริมสนับสนุนและผลักดันอย่างจริงจังต่อเนื่องให้เกษตรกรเพาะปลูกพืชที่มีอยู่ในท้องถิ่นที่เหมาะสมกับภูมิสังคมให้สามารถพึ่งพา สร้างความเข้มแข็งได้กับตนเองและชุมชนอย่างยั่งยืนทั้งพืชอาหารและพืชพลังงาน ๑.๒ ตรากฎหมายและกำหนดนโยบายที่ชัดเจนเพื่อคุ้มครองพื้นที่การเกษตรทั้งในส่วนที่ปลูกพืชอาหารและพืชพลังงาน รวมถึงมาตรการป้องกันพื้นที่และอาชีพของเกษตรกรโดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อย และเร่งรัดการเปิดโอกาสให้ครอบครองสิทธิตลอดจนการถือสิทธิในการใช้ประโยชน์ในที่ดิน ๑.๓ สนับสนุนและให้ความเป็นธรรมพร้อมอำนวยสะดวกและรวดเร็วในการจดสิทธิบัตรสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ให้กับผู้คิดค้นและค้นพบตามถิ่นกำเนิด พร้อมมีมาตรการป้องกันมิให้ต่างชาติมาจดสิทธิบัตรและฉวยโอกาสเอาประโยชน์จากทรัพยากรของประเทศไทย ๑.๔ กำหนดมาตรการที่สร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรปลูกพืชอาหารและรักษาพื้นที่ปลูก รวมถึงสามารถช่วยรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ วัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อความมั่นคงทางด้านอาหาร ๑.๕ เร่งรัดในการดำเนินนโยบาย “ครัวไทยสู่ครัวโลก” เพื่อสนับสนุนให้ผลิตผลและผลิตภัณฑ์จากภาคการเกษตรของไทยกระจายไปสู่ตลาดทุกระดับทั่วโลก ๑.๖ ส่งเสริมและสนับสนุนให้ภาคเอกชนสามารถลงทุนในภาคการเกษตรกับประเทศที่มีนโยบายเปิดรับการลงทุนด้านการเกษตร ๒. ความมั่นคงด้านพลังงาน ๒.๑ ดำเนินนโยบายอย่างจริงจังในการส่งเสริมและสนับสนุนพลังงานทดแทนในระดับชุมชนตามความเหมาะสมและศักยภาพของพื้นที่ ๒.๒ คงไว้ซึ่งนโยบายการพัฒนาพลังงานเพื่อการพึ่งตนเอง และนำแผนแม่บทการพึ่งตนเองด้านพลังงานมาใช้อย่างจริงจังเป็นรูปธรรมที่ปฏิบัติได้ กำหนดอัตราส่วนของพลังงานแต่ละชนิดเพื่อทดแทนการใช้น้ำมัน กำหนดกรอบระยะเวลาที่ชัดเจนแน่นอนในการลดการนำเข้าเชื้อเพลิงฟอสซิลและการเพิ่มการใช้พลังงานทดแทน จัดสรรงบประมาณในการสนับสนุนและผลักดันโครงการพลังงานทดแทนแต่ละชนิด และมีวิธีการคิดผลตอบแทนและมาตรการสนับสนุน ๒.๓ เพิ่มพื้นที่ปลูกพืชพลังงานและเร่งรัดการพัฒนาการเพิ่มปริมาณผลผลิตต่อไร่ของพืชพลังงานที่อยู่ในเป้าหมายพลังงานทดแทน ๒ ระดับ โดยคำนึงถึงความเหมาะสมด้านศักยภาพของพื้นที่ต่อการให้ผลผลิตของพืชนั้น ๆ โดยไม่ทับซ้อนหรือแย่งพื้นที่ที่มีศักยภาพในการผลิตพืชอาหาร และกำหนดพื้นที่ที่มีศักยภาพเป็นพื้นที่โรงงานในการรวบรวมผลผลิต ๒.๔ ผลักดันนโยบายพลังงานชุมชนให้เดินหน้าควบคู่กันไปกับนโยบายพลังงานแห่งชาติ โดยเน้นการรณรงค์ส่งเสริมให้เกษตรกรทุกครัวเรือนต้องมีพืชพลังงานชนิดใดชนิดหนึ่งที่มีความเหมาะสมกับพื้นที่ทุกครัวเรือนเกษตรกร การสร้างระบบรวบรวมผลผลิต สร้างโรงงานผลิตพลังงานชุมชน และการบริหารจัดการด้านตลาดที่เหมาะสมกับผลผลิตในพื้นที่ ๒.๕ กำหนดมาตรการลดใช้พลังงานเพื่อลดความต้องการพลังงานและพลังงานที่ผลิตได้ รวมถึงดำเนินมาตรการแรงจูงใจให้ประชาชนใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การใช้วัตถุดิบที่ใช้เพื่อการผลิตที่ประหยัดพลังงาน การเปลี่ยนมาใช้อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ประหยัดพลังงาน สร้างกลไกที่เปิดช่องทางให้มีการพัฒนาเครื่องจักร เครื่องยนต์ เตรียมพร้อมในการเข้าสู่การใช้พลังงานกลุ่มต่าง ๆ ที่อยู่ในเป้าหมายได้โดยเต็มประสิทธิภาพ ๒.๖ แก้ไขเพิ่มเติมข้อกฎหมายและระเบียบข้อบังคับที่เอื้อต่อการผูกขาด และอุปสรรคในการดำเนินการต่าง ๆ เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐและองค์กรภาคเอกชน รวมถึงองค์กรธุรกิจต่าง ๆ สามารถดำเนินการตามแผนงานโครงการที่เป็นประโยชน์ได้อย่างต่อเนื่อง ๓. นโยบายความมั่นคงด้านอาหารและพลังงานอย่างยั่งยืนและสมดุล ๓.๑ สนับสนุนการวิจัยเพื่อเพิ่มผลผลิตต่อไร่ ลดต้นทุนการผลิตและลดความเสี่ยงทั้งพืชอาหารและพืชพลังงาน พัฒนาเทคโนโลยีพลังงาน รวมถึงการใช้พลังงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ๓.๒ สนับสนุนการศึกษาการเรียนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้มากขึ้น เพื่อรองรับการประดิษฐ์คิดค้นพัฒนาด้านอาหารและพลังงานในการพัฒนาประเทศ การสร้างวัฒนธรรมท้องถิ่น การมีนวัตกรรมเป็นของเราเอง ลดการพึ่งพิงต่างชาติ ๓.๓ มีนโยบาย แผนปฏิบัติการ และคณะกรรมการเพื่อความสมดุลและความมั่นคงทางอาหารและพลังงาน กำหนดมาตรการจัดการผลผลิตอย่างสมดุลระหว่างพืชอาหารและพืชพลังงาน รวมทั้งกระจายผลประโยชน์ไปยังกลุ่มต่าง ๆ อย่างทั่วถึง ๓.๔ ส่งเสริมและสนับสนุนผลักดันให้ระบบพลังงานแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Energy System) ให้สามารถดำเนินการได้อย่างจริงจังเหมาะสมกับสภาพภูมิสังคมเพื่อลดการกระจายความเสี่ยง สร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน ๓.๕ เร่งรัดการฟื้นฟูและพัฒนาแหล่งน้ำ การสร้างระบบการชลประทานให้กระจายครอบคลุมพื้นที่ผลิตพืชอาหารและพืชพลังงาน โดยยึดหลักการมีส่วนร่วมของชุมชนในการบริหารจัดการน้ำเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเห็นคุณค่าของน้ำ รวมทั้งเพื่อป้องกันภัยจากน้ำ ๓.๖ พัฒนาระบบขนส่งโดยลงทุนครอบคลุมทุกภาคของประเทศทั้งระบบขนส่งมวลชน ขนส่งและกระจายสินค้าด้วยระบบรางและทางน้ำ ๓.๗ ปรับเปลี่ยนทิศทางการพัฒนาประเทศ จากความพยายามจะเป็นประเทศอุตสาหกรรมมาเป็นประเทศเกษตรกรรมสมบูรณ์แบบต่อเนื่องสู่เกษตรอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม และบริการ เพื่อทำให้นโยบายพัฒนาและดำเนินความมั่นคงทางอาหารและพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๓.๘ เปิดเผยข้อมูลและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความคืบหน้าด้านพลังงานของประเทศต่อสาธารณะ ๓.๙ จัดให้มีพื้นที่เป็นโครงการนำร่องในการจัดการพืชอาหารและพืชพลังงานอย่างยั่งยืน |
|||||||||||||||||||||
1879 | การขออนุมัติเปลี่ยนแปลงการดำเนินการและหลักเกณฑ์ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | กค | 24/11/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติและรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ 1.1 อนุมัติการเปลี่ยนแปลงหน่วยงานดำเนินโครงการและแนวทางการปรับปรุงเพิ่มเติมโครงการใหม่ ในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามความเห็นของคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติ การไทยเข้มแข็ง 2555 (คณะกรรมการ ฯ) 1.2 อนุมัติการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการ ฯ โครงการศูนย์ 3 วัยสาน สายใยรักแห่งครอบครัว ของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ 1.3 รับทราบแนวทางการดำเนินงานกรณีหน่วยงานเจ้าของโครงการที่ได้รับจัดสรรเงินกู้ภายใต้แผน ปฏิบัติการ ฯ ไม่สามารถดำเนินการเองได้ต้องมอบหมายให้หน่วยงานอื่นดำเนินการและเบิกเงินกู้แทน 1.4 รับทราบหลักเกณฑ์ข้อกำหนดการใช้จ่ายเงินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการ ฯ และหลักเกณฑ์ และวิธีปฏิบัติขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสำหรับโครงการที่ได้รับอนุมัติภายใต้แผนปฏิบัติการ ฯ 2. กรณีของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (สำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยว) และกระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ (กรมชลประทาน) ซึ่งเป็นหน่วยงานเจ้าของโครงการที่ได้รับจัดสรรเงินกู้ภายใต้แผนปฏิบัติการ ฯ แต่ไม่ สามารถดำเนินการเองได้ และมีความประสงค์จะมอบหมายให้หน่วยงานอื่นเข้ามาดำเนินการและเบิกเงินกู้แทน นั้น โดยที่คณะรัฐมนตรีมีนโยบายให้โครงการภายใต้แผนปฏิบัติการ ฯ สามารถดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์โดยรวด เร็ว ประกอบกับโครงการดังกล่าวมีการเปลี่ยนแปลงเฉพาะหน่วยงานที่จะเข้ามาดำเนินโครงการเท่านั้น จึงให้ดำเนิน การต่อไปได้ 3. ให้คณะกรรมการ ฯ ถือเป็นหลักการว่าหากมีโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการ ฯ ในลักษณะดังกล่าว ตามข้อ 2. ก็ให้ดำเนินการต่อไปได้เช่นเดียวกัน แล้วให้นำผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ เสนอคณะ รัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
1880 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการขอจัดการอาชีวศึกษา และการฝึกอบรมวิชาชีพของสถานประกอบการ พ.ศ. .... | ศธ | 17/11/2552 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการขอจัดการอาชีวศึกษาและ
การฝึกอบรมวิชาชีพของสถานประกอบการ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรม การกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวง ฯ มีสาระสำคัญคือ 1. กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการยื่นคำขอดำเนินการการจัดการอาชีวศึกษาและการฝึกอบรมวิชาชีพ 2. กำหนดให้เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษาพิจารณาคำขอและแจ้งผลการพิจารณาให้สถาน ประกอบการทราบภายในระยะเวลาที่กำหนด 3. กำหนดให้มีการติดตามและประเมินผลการจัดการอาชีวศึกษาและการฝึกอบรมวิชาชีพ และการเพิก ถอนหนังสือรับรองการจัดการอาชีวศึกษา
|
.....