ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 93 จากทั้งหมด 138 หน้า แสดงรายการที่ 1841 - 1860 จากข้อมูลทั้งหมด 2746 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1841 | ร่างพระราชบัญญัติเงินเดือน เงินวิทยฐานะ และเงินประจำตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และการปรับระบบบริหารงานบุคคลข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา | ศธ | 21/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติเงินเดือน เงินวิทยฐานะ และเงินประจำตำแหน่งข้าราชการครูและ บุคลากรทางการศึกษา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติเงินเดือน เงินวิทยฐานะ และเงินประจำตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการ กฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับผลการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาเงินเดือนแห่งชาติ (กงช.) และความ เห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องที่ไม่เห็นด้วยกับการปรับเงินวิทยฐานะของตำแหน่งศึกษานิเทศน์ ตำแหน่งผู้บริหาร สถานศึกษา ตำแหน่งผู้บริหารการศึกษา ที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ และตำแหน่งครูที่เรียกชื่ออย่างอื่นตามที่ ก.ค.ศ. กำหนดให้มีวิทยฐานะที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ จากอัตราสูงสุด 13,000 บาท เป็น 15,600 บาท ซี่ง จะทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำกับข้าราชการประเภทอื่น ไปประกอบการพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสาน งานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป 2. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับร่างพระราชกฤษฎีกาการได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการและผู้ ดำรงตำแหน่งผู้บริหารซึ่งไม่เป็นข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ไปปรับปรุงแก้ไขให้ชัดเจน สอดคล้องกับข้าราช การพลเรือนสามัญ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง 3. อนุมัติหลักการร่างกฎ ก.พ.อ. ว่าด้วยการกำหนดบัญชีเงินเดือนขั้นต่ำขั้นสูงของข้าราชการพลเรือน ในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้มีบัญชีเงินเดือนของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดม ศึกษา และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับตำแหน่ง ผศ. รศ. และ ศ. ควรกำหนดเงินเดือนขั้นต่ำไว้ด้วย ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนิน การต่อไปได้ 4. อนุมัติหลักการร่างกฎ ก.พ.อ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาได้รับเงินเดือน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดการให้ได้รับเงินเดือนของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา และให้ส่ง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องที่เห็นควรกำหนด ให้ตำแหน่งในสายงานใดที่อยู่ในประเภทและระดับเดียวกันมีลักษณะงานคล้ายกันการได้รับเงินเดือนจะต้องไม่แตก ต่างกัน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ 5. เห็นชอบให้นำหลักการระบบการเลื่อนเงินเดือนของข้าราชการพลเรือนสามัญมาปรับใช้กับข้าราช การพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา 6. เห็นชอบการคงสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายให้แก่ข้าราชการที่ดำรงตำแหน่งแตกต่างจากโครงสร้าง ตำแหน่งที่ ก.พ.อ. กำหนดจนกว่าจะได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งตามโครงสร้างตำแหน่งที่ ก.พ.อ. กำหนด ซึ่งได้ รับสิทธิประโยชน์ไม่น้อยกว่าเดิม 7. สำหรับงบประมาณเพื่อรองรับระบบบริหารงานบุคคลของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ให้กระทรวงศึกษาธิการทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสม 8. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับผลการพิจารณาของ กงช. เกี่ยวกับการกำหนดค่าตอบแทนของข้าราช การครูและบุคลากรทางการศึกษา และข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาในภาพรวม โดยเฉพาะในระยะ ปานกลางและระยะยาวไปดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
1842 | การจำหน่ายกิจการโครงการบัตรสมาชิกพิเศษ (Thailand Privilege Card) | กก | 21/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
(ททท.) รายงานผลความคืบหน้าการดำเนินการจำหน่ายกิจการโครงการบัตรสมาชิกพิเศษ (Thailand Privilege Card) สรุปได้ดังนี้ 1. เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2553 ททท. ได้ลงนามสัญญาจ้างบริษัท เคทีบี แอดไวซ์เซอรี่ จำกัด (KTBA) เป็นที่ปรึกษาโครงการวิเคราะห์ประเมินราคาทรัพย์สินและมูลค่ากิจการของบริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด เป็นเงิน 3,999,660 บาท ระยะเวลาดำเนินการ 90 วัน ทั้งนี้ บริษัทที่ปรึกษาได้ส่งมอบงานงวดที่ 1 ราย งานการศึกษาขั้นต้น (Inception report) ตามกำหนดเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2553 และคณะกรรมการกำกับ การศึกษาโครงการฯ ได้ตรวจรับรายงานเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2553 ส่วนการส่งมอบงานงวด ที่ 2 รายงานการศึกษาขั้นกลาง บริษัทที่ปรึกษาได้ส่งมอบงานเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2553 ตามกำหนด แต่คณะกรรมการกำกับการศึกษาโครงการฯ ยังไม่ได้ตรวจรับรายงานเนื่องจากยังขาดความชัดเจนในเรื่องสิทธิ ประโยชน์การถือครองวีซ่าและการอำนวยความสะดวกในการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราวพิเศษ 2. เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2553 ททท. ได้มีหนังสือถึงปลัดกระทรวงมหาดไทยเพื่อหารือเกี่ยวกับ สิทธิประโยชน์การถือครองวีซ่าและการอำนวยความสะดวกในการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราวพิเศษ หาก ททท. จำหน่ายกิจการให้บริษัทเอกชนไปดำเนินการ บริษัทเอกชนจะได้รับสิทธิประโยชน์การถือครองวีซ่า และ การอำนวยความสะดวกในการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราวพิเศษเหมือนกับบริษัทฯ หรือไม่ ขณะนี้อยู่ ระหว่างรอผลการพิจารณาจากกระทรวงมหาดไทย
|
||||||||||||||||||||||||
1843 | สรุปผลการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบในภารกิจของกระทรวงมหาดไทย | มท | 14/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานสรุปผลการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบใน
ภารกิจของกระทรวงมหาดไทย ดังนี้ 1. ผลการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อของธนาคารในภาพรวม ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2553 ธนาคารได้นำ ข้อมูลของลูกหนี้นอกระบบเข้าสู่กระบวนการพิจารณา จำนวน 393,813 ราย คิดเป็นร้อยละ 76.60 ของจำนวน ลูกหนี้ประสงค์ขอสินเชื่อกับธนาคาร แยกเป็นอนุมัติสินเชื่อและโอนเงินหนี้เข้าสู่ระบบธนาคารจำนวน 223,990 ราย ธนาคารอนุมัติสินเชื่อแต่ลูกหนี้หาหลักประกันไม่ได้ จำนวน 49,348 ราย ธนาคารไม่อนุมัติสินเชื่อ จำนวน 83,244 ราย และลูกหนี้ขอถอนเรื่องกับธนาคาร จำนวน 37,231 ราย ทั้งนี้ ยังคงเหลือลูกหนี้ที่ธนาคารยังไม่ ได้นำเข้าสู่กระบวนการพิจารณาอีกจำนวน 120,322 ราย คิดเป็นร้อยละ 23.40 ของจำนวนลูกหนี้ประสงค์ ขอสินเชื่อกับธนาคาร 2. ผลการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบในภารกิจของกระทรวงมหาดไทยในขั้นตอนของการเจรจาประนี ประนอมหนี้นอกระบบดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ ยังมีนโยบายให้จังหวัด และอำเภอให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน เร่งรัด และอำนวยความสะดวกเพื่อให้ธนาคารดำเนินการพิจารณาการขอสินเชื่อของลูกหนี้อย่างต่อ เนื่อง
|
||||||||||||||||||||||||
1844 | ร่างพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | รง | 14/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้
1. รับทราบผลการพิจารณาทบทวนร่างพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และการแก้ ไขปัญหาพนักงานหยุดงานของแรงงานในภาคอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุปผลการหารือดังนี้ ร่าง พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาด้านแรงงานสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น และเป็นไปตามข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ใช้แรงงานซึ่งร่างพระราชบัญญัติฯ ได้ผ่านขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรม การกฤษฎีกาแล้ว โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความเห็นว่า ผู้ประกอบกิจการสามารถใช้สิทธิตามกฎหมายทั้งทาง แพ่งและทางอาญาเพื่อคุ้มครองหรือเยียวยาจากการกระทำใด ๆ อันก่อให้เกิดความเสียหายหรือเป็นการฝ่าฝืนกฎ หมาย ประกอบกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาอาจดำเนินการโดยอาศัยกลไกเชิงส่งเสริม สำหรับคณะกรรมการ ปฏิรูปกฎหมายมีความเห็นและข้อเสนอแนะว่าขณะนี้กระทรวงแรงงานอยู่ระหว่างการดำเนินการแก้ไขปรับปรุงร่าง พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ทั้งฉบับให้สอดคล้องกับเรื่องดังกล่าว ซึ่งสามารถนำความเห็นและข้อ เสนอแนะของคณะกรรมการฯ มารวมพิจารณาได้ในคราวเดียวกัน การจะปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติดังกล่าว ให้สอดคล้องกับพันธกรณีตามอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศไปในคราวเดียวกันจะต้องทบทวนร่างพระ ราชบัญญัติฯ ทั้งฉบับ ซึ่งจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในกระบวนการจัดทำกฎหมาย อันทำให้การพิจารณาร่างพระราช บัญญัติฯ ล่าช้าออกไป และไม่สามารถแก้ไขปัญหาด้านแรงงานสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นตามข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ใช้แรง งานได้ 2. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมบท บัญญัติเกี่ยวกับขั้นตอนการเจรจาต่อรอง การไกล่เกลี่ย และการจัดทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง รวมทั้งแก้ไข เพิ่มเติมในส่วนของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ การคุ้มครองผู้จัดตั้งสหภาพแรงงาน การใช้สิทธิลาของกรรม การสหภาพแรงงาน การกระทำอันไม่เป็นธรรม และบทกำหนดโทษ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจ พิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา แล้ว เสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
1845 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. .... | สว | 07/09/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. .... เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ตามมาตรา ๒๗ ควรรวมไปถึงการส่งเสริมสนับสนุนการวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ เทคโนโลยีด้านโทรคมนาคม เทคโนโลยีสารสนเทศ อุตสาหกรรมโทรคมนาคม และอุตสาหกรรมที่ต่อเนื่อง รวมถึงส่งเสริมให้มีการฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากรด้านกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และบุคลากรด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศด้วย ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ ๒. รับทราบผลการพิจารณาของกระทรวงเทคโนโลยีและการสื่อสาร สำนักนายกรัฐมนตรี (กรมประชาสัมพันธ์) ที่เห็นด้วยกับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ และผลการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติที่เห็นว่า กสทช. ควรมีอำนาจหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวเนื่องเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมในกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมให้ครบถ้วนและเกิดความต่อเนื่องจากสิ่งที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ดังนั้น อำนาจหน้าที่ของ กสทช. ตามร่างมาตรา ๒๗ ควรรวมไปถึงการส่งเสริมสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาด้านกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เทคโนโลยีด้านโทรคมนาคม เทคโนโลยีสารสนเทศ อุตสาหกรรมโทรคมนาคมและอุตสาหกรรมที่ต่อเนื่อง รวมถึงส่งเสริมให้มีการฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากรด้านกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และบุคลากรด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ ตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ และให้แจ้งสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
1846 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน" | สสป | 24/08/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง
“แนวทางการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน” ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และ รับทราบความเห็น ผลการพิจารณาและผลการดำเนินการของสำนักงานคณะกรรมการปราบปรามการทุจริตในภาค รัฐร่วมกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ดังนี้ 1. มาตรการทางสังคม 1.1 ส่งเสริมให้มีการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมให้แก่ประชาชนในทุกระดับเพื่อสร้างจิตสำนึกที่ดี เพื่อ สร้างการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันโดยกำหนดให้เป็นนโยบายระดับชาติต้องดำเนินการอย่าง ต่อเนื่อง 1.2 ส่งเสริมให้ผู้นำประเทศหรือผู้บริหารดำรงตนเป็นตัวอย่างที่ดีในด้านความซื่อสัตย์ สุจริต คุณธรรม และจริยธรรม 1.3 ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน 1.4 สร้างเครือข่ายความร่วมมือในการเฝ้าระวังการทุจริตคอร์รัปชัน 1.5 ส่งเสริมบทบาทภาคประชาชน เปิดโอกาสและเพิ่มช่องทางการร้องเรียนเรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน ให้มากยิ่งขึ้น 2. มาตรการทางกฎหมาย 2.1 ให้มีการบังคับใช้กฎหมายในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ 2.2 ให้มีบทบัญญัติกฎหมายที่คุ้มครองหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการปราบปรามการทุจริตจากการถูก ฟ้องกลับ รวมถึงประชาชนที่เป็นผู้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่สาธารณะและหน่วยงานของรัฐ 2.3 ยกเลิกอายุความในการดำเนินคดีการทุจริตคอร์รัปชันเนื่องจากความผิดเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัป ชันเป็นการกระทำที่กระทบต่อผลประโยชน์สาธารณะผู้ที่กระทำความผิดจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายโดยไม่มีเงื่อนไข เรื่องขาดอายุความฟ้องร้อง 2.4 แก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันให้เป็นระบบสากล โดยยึดแนวทางของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ค.ศ. 2003 และควรให้สัตยาบันอนุสัญญา ฉบับนี้ด้วย 2.5 ใช้มาตรการทางกฎหมายในการเพิ่มโทษที่รุนแรงในการกระทำความผิดฐานทุจริตคอร์รัปชัน 3. การมีระบบตรวจสอบที่ดี 3.1 ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องแสดงสถานะทางการเงินของตนโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับการ กำหนดนโยบายด้านการคลังและการเงินของประเทศหรือทำหน้าที่เกี่ยวข้องในการดูแลเรื่องตลาดการเงินของประเทศ 3.2 ให้มีการสร้างระบบตรวจสอบจากภาคประชาชนและสื่อมวลชนเพื่อช่วยดำเนินการตรวจสอบควบคู่ กับการดำเนินงานของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 3.3 ให้องค์การทำหน้าที่ในการตรวจสอบมีความอิสระและปราศจากการแทรกแซงใดๆ เพื่อให้สามารถ นำกฎหมายมาบังคับใช้ได้อย่างเต็มที่ ปราศจากการแทรกแซงใด ๆ จากทุกฝ่าย 4. ด้านการสนับสนุนการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 4.1 ดำเนินการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันในประเทศอย่างจริงจังเป็นวาระแห่งชาติและมีนโยบาย ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันที่ชัดเจน และต้องรายงานความก้าวหน้าผลการดำเนินงานประจำ ปีที่ผ่านมาต่อประชาชน 4.2 จัดสรรงบประมาณสนับสนุนองค์กรพัฒนาเอกชนและองค์กรภาคประชาชนให้ทำงานคู่ขนานร่วม กับองค์กรอิสระ 4.3 ยกย่องหน่วยงานที่ซื่อสัตย์สุจริต เช่น การมอบรางวัลเกียรติคุณหรือประกาศชมเชยในการสร้าง ความดีและซื่อสัตย์สุจริต 4.4 ผลักดันให้มีการดำเนินการเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันให้เป็นไปตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วย การต่อต้านการทุจริต ค.ศ. 2003 ซึ่งประเทศไทยได้ลงนามในสัญญาเมื่อเดือนธันวาคม 2546
|
||||||||||||||||||||||||
1847 | การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2552 เรื่อง แผนปรับปรุงการบริหารจัดการและบริการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค | 10/08/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2552 เรื่อง แผน
ปรับปรุงการบริหารจัดการและบริการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ดังนี้ 1. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) เป็นประธานคณะทำงาน โดยมีรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ รวมทั้งผู้อำนวยการสำนักงบประมาณร่วมเป็นคณะทำงาน เพื่อพิจารณาเรื่องนี้ในรายละเอียดของประเด็น ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง 2. ให้คณะทำงานฯ พิจารณาให้ครอบคลุมถึงประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ 2.1 การดำเนินโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดของพนักงาน ขสมก. 2.2 แนวทางการดำเนินการจัดหารถโดยสารที่จะต้องสอดคล้องกับการดำเนินการตามมาตรการลด ค่าใช้จ่ายเดินทางรถโดยสารประจำทางธรรมดา (รถเมล์ฟรี) จำนวน 800 คัน ซึ่งกำหนดสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2553 และอยู่ระหว่างการพิจารณาของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับความจำเป็นเหมาะสมให้คงมีมาตรการฯ อยู่ต่อไป รวมทั้งการปรับเข้าระบบการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ (PSO) ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวัน ที่ 29 มิถุนายน 2553 (เรื่อง ขอขยายระยะเวลาดำเนินการมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน) 2.3 การเชื่อมโยงการดำเนินการที่จะให้เอกชนเข้าร่วมบริการเดินรถตามสัญญาการให้บริการเชิงคุณ ภาพ (PBC) จำนวน 1,000-1,200 คัน ซึ่งจะกระทบต่อรายได้/รายจ่าย รวมทั้งจะทำให้มีภาระผูกพันค่าใช้จ่ายของ ขสมก. ในระยะยาว 3. ให้กระทรวงคมนาคม ขสมก. รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดและข้อมูลที่เกี่ยวข้องเชื่อม โยงกับประเด็นตามข้อ 2 ตลอดจนข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องตามที่คณะทำงานฯ ร้องขอ เช่น แผนการดำเนินการใน เรื่องต่าง ๆ ประมาณการรายได้/รายจ่าย เป็นต้น ให้แก่คณะทำงานฯ ให้ถูกต้องครบถ้วนเพื่อประกอบการพิจารณา ของคณะทำงานฯ โดยเร็ว 4. เมื่อคณะทำงานฯ ได้รับรายละเอียดและข้อมูลต่าง ๆ ครบถ้วนแล้ว ให้คณะทำงานฯ เร่งพิจารณาเรื่อง นี้ให้แล้วเสร็จ และให้นำผลการพิจารณาเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
1848 | รายงานผลการพิจารณากรอบวงเงินค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานระบบรถไฟฟ้า โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่ - บางซื่อ จำนวน 382 ล้านบาท | คค | 03/08/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอเพิ่มเติมให้สำนักงบประมาณรับ
รายงานผลการพิจารณากรอบวงเงินค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานระบบรถไฟฟ้าโครงการรถไฟฟ้าสาย สีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ จำนวน 382 ล้านบาท ไปพิจารณารายละเอียดและความเหมาะสมของกรอบวงเงิน ค่าจ้างที่ปรึกษาฯ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
1849 | การเสนอขอเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายในการพิจารณา ของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | นร | 20/07/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอผลการพิจารณาการเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 หรือตามที่คณะรัฐมนตรีเห็นสมควรให้มีการแก้ไขปรับปรุงเพิ่มเติม และมอบหมาย ให้สำนักงบประมาณนำเรื่องการเพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายฯ ตามที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบแล้ว เสนอ ต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 สภา ผู้แทนราษฎร เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป โดยให้ปรับปรุงรายละเอียด ดังนี้ 1.1 ปรับลดรายการเงินอุดหนุนช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาและเงินอุดหนุนเงินสงเคราะห์ของกระทรวง การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เพื่อให้เป็นไปตามหลักการบริหารงบประมาณ ซึ่งการช่วยเหลือกลุ่มเป้า หมายดังกล่าว มีเงื่อนไขจะต้องมีการตรวจสอบคุณสมบัติ และได้มีการตั้งงบประมาณรองรับการดำเนินงานในปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2554 ไว้แล้ว 1.2 เพิ่มรายการตามนโยบายรัฐบาลของกระทรวงสาธารณสุข กรมประชาสัมพันธ์ กองทุนพัฒนา เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา สำนักงานประกันสังคม โดยให้พิจารณาตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อ วันที่ 15 มิถุนายน 2553 2. ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2553 ที่กำหนดให้ส่วนราชการ รัฐ วิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นเสนอรายการขอเพิ่มงบประมาณภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2553 และให้ดำเนินการตาม ขั้นตอนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
1850 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การบริหารจัดการปัญหาเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา | สสป | 13/07/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและ
ข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ เรื่อง การบริหารจัดการปัญหาเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา และรับทราบตามที่ กระทรวงการต่างประเทศเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะของ สภาที่ปรึกษาฯ ของกระทรวงการต่างประเทศร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ ปรึกษาฯ สรุปได้ดังนี้ 1. เขตแดนและการเจรจา 1.1 ควรทบทวนบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชาเกี่ยวกับพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน ทางทะเลของไหล่ทวีป ลงนามเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2544 ได้มีการดำเนินการตามมาตรา 224 ของรัฐธรรม นูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 หรือไม่ หากทบทวนแล้วพบว่าไม่ได้มีการดำเนินการตามมาตรา 224 ควรพิจารณาให้มีการดำเนินการตามมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 1.2 กรณีที่จะใช้บันทึกความเข้าใจตามข้อ 1.1 เป็นกรอบในการเจรจาพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเล ของไหล่ทวีประหว่างไทยกับกัมพูชา สำหรับพื้นที่พัฒนาร่วมทางทะเล (Joint Development Area) ระหว่างไทยกับ กัมพูชา ควรจัดทำกรอบในการเจรจาเกี่ยวกับการแบ่งปันผลประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าวและเสนอขอความเห็นชอบต่อ รัฐสภาก่อน 1.3 ในการเจรจาเขตแดนทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชา ควรยึดถือหลักการสากลตามอนุสัญญาสห ประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 1.4 ในการเจรจาเขตแดนทางบกระหว่างไทยกับกัมพูชา ควรนำเรื่องชุมชนชาวกัมพูชาที่รุกล้ำเข้ามาตั้ง ถิ่นฐานในหลายพื้นที่มาเป็นประเด็นในการเจรจาด้วย 1.5 ในการเจรจาหลักเขตแดนทางบกทั้ง 73 หลัก ระหว่างไทยกับกัมพูชา ต้องกำหนดแนวทางในการ เจรจาในภาพรวม ไม่ควรเจรจาตกลงในลักษณะทีละหลักเขต 2. การบริหารจัดการพื้นที่ชายแดน 2.1 การเปิดจุดผ่านแดนใหม่ระหว่างไทยกับกัมพูชา ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ และมีการวิเคราะห์ ถึงประโยชน์ที่จะได้รับก่อนอนุญาตที่จะเปิดดำเนินการ ตัวอย่างเช่น กรณีจุดผ่านแดน ช่องตาเฒ่าบริเวณใกล้เขาพระ วิหาร ซึ่งอาจทำให้ไทยสูญเสียในด้านธุรกิจทางท่องเที่ยวและยุทธศาสตร์ความมั่นคงทางทหาร 2.2 ควรกำชับการใช้ระเบียบการผ่านแดนในจุดต่าง ๆ บริเวณชายแดนไทยกับกัมพูชาให้มีการปฏิบัติ ตามระเบียบอย่างเคร่งครัดและมีประสิทธิผล 2.3 ควรมีมาตรการปราบปรามและป้องกันกลุ่มอิทธิพลท้องถิ่นในบริเวณชายแดนไทยกับกัมพูชาโดย การส่งเสริมให้ชุมชนและภาคส่วนอื่นในท้องถิ่นให้มีการตรวจสอบ 2.4 ควรส่งเสริมและสนับสนุนการค้าบริเวณชายแดนไทยกับกัมพูชาทั้งในส่วนของมาตรการทางด้าน ภาษีและคลังสินค้า และส่วนที่เกี่ยวข้องกับระเบียบทางการค้าให้มีความคล่องตัว 2.5 ควรใช้ประเด็นทางการค้าชายแดนเพื่อประโยชน์ในการต่อรองในกรณีที่มีปัญหาชายแดนหรือใน การแก้ปัญหาชายแดน
|
||||||||||||||||||||||||
1851 | ผลการพิจารณาข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... พิจารณาร่างพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของวุฒิสภา | สว | 22/06/2553 | |||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||
1852 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ครั้งที่ 4/2553 | นร | 15/06/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทาง
เศรษฐกิจ (กรอ.) เรื่อง ข้อเสนอแนวทางและมาตรการการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย จากความขัดแย้งทางการเมือง ในการประชุมครั้งที่ 4/2553 เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2553 ตามที่เลขาธิการคณะ กรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ กรอ. เสนอ ดังนี้ 1. เห็นชอบกรณีให้ประชาชนสามารถนำค่าใช้จ่ายในส่วนค่าที่พักในโรงแรมที่มีใบอนุญาตถูกต้องตามพระ ราชบัญญัติโรงแรม พ.ศ. 2547 มาหักภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไม่เกิน 15,000 บาท โดยขยายขอบเขตตามที่คณะ รัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2553 และให้สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) มี ส่วนร่วมในการตรวจสอบความถูกต้อง และให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายต่อไป 2. มอบหมายกระทรวงแรงงาน ดำเนินโครงการฝึกอบรมเพื่อเพิ่มทักษะด้านภาษาให้กับพนักงาน และลูก จ้างในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระตามแนวทางของโครงการต้นกล้าอาชีพ โดยให้ ประสาน สทท. ในการใช้ฐานข้อมูลจากทะเบียนของศูนย์ประสานการช่วยเหลือผู้ประกอบอุตสาหกรรมท่องเที่ยว จากวิกฤต เป็นฐานกลุ่มเป้าหมาย 3. มอบหมายกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมกับ สทท. ดำเนินโครงการศึกษาโครงสร้างอาชีพอิสระ ด้านการท่องเที่ยวที่อยู่นอกระบบประกันสังคม ตามที่ สทท. เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
1853 | รายงานผลการพิจารณาทบทวนคุณสมบัติโรงเรียนขนาดเล็กที่สมควรจะได้รับการสนับสนุนงบประมาณอุดหนุนรายหัวเพิ่มเติม ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2552 | ศธ | 02/06/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้ 1.1 รายงานผลการพิจารณาทบทวนคุณสมบัติโรงเรียนขนาดเล็กที่สมควรจะได้รับการสนับสนุนงบประมาณอุดหนุนรายหัวเพิ่มเติมตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2552 โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้จัดทำเกณฑ์ที่กำหนดแตกต่างจากที่เสนอคณะรัฐมนตรีในครั้งแรก เนื่องจากได้กำหนดให้โรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็ก (นักเรียนตั้งแต่ 300 คนลงมา) นั้น ให้รวมโรงเรียนขยายโอกาสด้วยเนื่องจากเป็นโรงเรียนที่อยู่ในชนบทห่างไกล โดยขอรับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมเฉพาะนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น หัวละ 1,000 บาท/คน/ปี เพื่อจะได้จัดสรรให้โรงเรียนได้ตั้งแต่ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2553 เป็นต้นไป 1.2 เห็นชอบการกำหนดให้โรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็กให้รวมโรงเรียนขยายโอกาส (นักเรียนตั้งแต่ 300 คนลงมา) โดยจัดงบประมาณสนับสนุนเฉพาะนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น 2. สำหรับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มให้โรงเรียนตั้งแต่ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2553 นั้น เนื่องจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 มิได้ตั้งงบประมาณเพื่อการนี้ไว้ สพฐ. จึงต้องปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 จากโครงการสนับสนุนการจัดการศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย 15 ปี ที่ได้รับจัดสรร จำนวน 40,604.6911 ล้านบาท มาดำเนินการไปก่อน ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 กระทรวงศึกษาธิการได้เสนอตั้งไว้ในงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ของ สพฐ. จำนวน 888.70 ล้านบาท แล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||
1854 | ขอความเห็นชอบวาระแห่งชาติการส่งเสริมคุณธรรมความซื่อสัตย์สุจริตและต่อต้านการทุจริตของคนไทย | วธ | 02/06/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมายให้สำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการโครงการความร่วมมือส่งเสริมคุณ
ธรรม จริยธรรม เพื่อประเทศไทยใสสะอาด ดำเนินการจัดประชุมผู้เกี่ยวข้องโดยด่วน ภายในเดือนมิถุนายน 2553 นี้ โดยนำเรื่องขอความเห็นชอบวาระแห่งชาติการส่งเสริมคุณธรรมความซื่อสัตย์สุจริตและต่อต้านการทุจริตของคนไทย ของกระทรวงวัฒนธรรมเข้าพิจารณาด้วย และให้เชิญผู้แทนกระทรวงยุติธรรม กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุมด้วย แล้วให้นำผลการพิจารณาเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
1855 | รายงานผลการติดตามและเร่งรัดการดำเนินงานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2552/53 รอบที่ 2 | นร | 18/05/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบรายงานผลการติดตามและเร่งรัดการดำเนินงานโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2552/53 ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อค้นพบปัญหาอุปสรรค พร้อมทั้งข้อเสนอแนะของคณะกรรมการติดตามและเร่งรัดการ ดำเนินงานโครงการประกันรายได้เกษตรกร และคณะอนุกรรมการติดตามผลการดำเนินงานโครงการประกันรายได้ เกษตรกรในระดับพื้นที่ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ดังนี้ 1.1 ควรเร่งพิจารณาปรับราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงให้สะท้อนความเป็นจริงและใกล้เคียงกับราคาตลาด โดยเร็ว และควรมีตลาดกลางข้าวเปลือกหรือท่าข้าวเอกชน เพื่อมาช่วยพัฒนาระบบกลไกตลาดข้าวเปลือกและดำเนิน การควบคู่ไปกับการเปิดจุดตั้งโต๊ะรับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรให้มากขึ้น ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ในคราวประชุมเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2553 ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับหลักเกณฑ์และวิธีการในการคำนวณเกณฑ์กลาง อ้างอิงเพื่อให้สอดคล้องใกล้เคียงกับราคาที่เกษตรกรขายได้ในปัจจุบัน 1.2 ควรมีการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ คู่มือ และการรายงานผลการตรวจสอบ โดยจังหวัดเป็นผู้ กำกับดูแลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการตรวจสอบระดับตำบลอย่างเคร่งครัด โดยให้คณะกรรมการฯ รายงานผล การตรวจสอบพื้นที่ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะประธานอนุกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติระดับจังหวัดทราบหลัง จากสุ่มตรวจสอบพื้นที่เสร็จ 1.3 การใช้ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม ของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์ การมหาชน) ในการเปรียบเทียบกับข้อมูลการขึ้นทะเบียนเกษตรกรและการทำประชาคมของเกษตรกรในพื้นที่ปลูก ข้าว ปี 2552/53 รอบที่ 2 จากการตรวจติดตามของคณะอนุกรรมการฯ พบว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในจังหวัดยังไม่ ได้รับทราบข้อมูลดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันโครงการฯ ได้ดำเนินการจัดทำประชาคมและออกใบรับรองให้เกษตรกรแล้วเกิน กว่าร้อยละ 90 ทำให้การใช้ประโยชน์ในข้อมูลอาจไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ดังนั้น ในระยะต่อไปหากมีการใช้ข้อ มูลภาพถ่ายดาวเทียม ควรเร่งดำเนินการจัดทำข้อมูลการแปลผลจากภาพถ่ายดาวเทียมส่งให้จังหวัดต่าง ๆ เพื่อคณะ กรรมการตรวจสอบระดับตำบลใช้ประโยชน์ในช่วงการจัดทำประชาคม และสุ่มตรวจสอบพื้นที่จริง 1.4 จากผลการติดตามผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ พบว่าเกษตรกร จำนวน 3,600 ราย ปลูกข้าวพันธุ์ปทุมธานี 1 ซึ่งคณะอนุกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ด้านการผลิตมิได้ระบุผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ไว้ และ เกษตรกรเกรงว่าจะไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ ทางจังหวัดได้ทำหนังสือหารือไปยังคณะอนุกรรมการนโยบายข้าว แห่งชาติด้านการผลิตแล้ว แต่ยังไม่ได้รับแจ้งผลการพิจารณาแต่อย่างใด และควรมีการทบทวนการกำหนดพื้นที่ผล ผลิตเฉลี่ยต่อไร่ในการปลูกข้าวในพื้นที่จังหวัดที่ต่ำกว่าความเป็นจริงให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงอย่างน้อยควรกำหนด เกณฑ์ผลผลิตต่อไร่ของจังหวัดไม่น้อยกว่าผลผลิตต่อไร่ระดับภาค 1.5 ควรมีการจัดระบบการจัดสรรน้ำให้เหมาะสมกับฤดูกาลทำนาของเกษตรกร 1.6 ควรมุ่งเน้นการส่งเสริมการผลิตข้าวให้มีคุณภาพที่ได้มาตรฐาน รวมทั้งส่งเสริมการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ การลดต้นทุนการผลิตข้าว เพื่อให้สามารถแข่งขันกับตลาดต่างประเทศ 1.7 กรมส่งเสริมการเกษตร และกรมการข้าวควรประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ ความเข้าใจ และส่งเสริมให้ เกษตรกรปลูกข้าวพันธุ์ที่มีความต้านทานต่อโรคเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลสูงและให้ผลผลิตต่อไร่สูง นอกจากนี้ กรมส่ง เสริมการเกษตรควรเร่งรัดติดตามการช่วยเหลือเกษตรกรในจังหวัดกำแพงเพชรและนครสวรรค์ที่ประสบปัญหาเพลี้ย กระโดดสีน้ำตาลระบาดในนาข้าว ปี 2552-53 ในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2552 ให้ได้รับเงินช่วยเหลือโดยเร็ว 2. ให้คณะกรรมการติดตามและเร่งรัดการดำเนินงานโครงการประกันรายได้เกษตรกร ดำเนินการตรวจ สอบข้อมูลร้อยละ 100 ในพื้นที่เพาะปลูกของเกษตรกรที่ผลการเปรียบเทียบข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมของสำนักงาน พัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศกับข้อมูลการขึ้นทะเบียนเกษตรกรมีความแตกต่างกันเกินกว่าร้อยละ 20 ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้ได้ข้อมูลประกอบการดำเนินโครงการฯ ที่ถูกต้อง ชัดเจน สอดคล้องกับข้อเท็จจริงต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
1856 | รายงานการประชุมระดับรัฐมนตรีประเทศเอเชียด้านการอนุรักษ์เสือโคร่ง ครั้งที่ 1 (The 1st Asia Ministerial Conference on Tiger Conservation : The 1st AMC) | ทส | 11/05/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
1. รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรี เรื่อง การอนุรักษ์เสือโคร่ง ครั้งที่ 1 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัด การประชุมในระหว่างวันที่ 27-30 มกราคม 2553 ณ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยการประชุมแบ่งเป็น การประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส ซึ่งที่ประชุมได้มีการพิจารณาทบทวนสถานภาพและยุทธศาสตร์ของแต่ละประเทศใน การอนุรักษ์เสือโคร่ง รวมทั้งการพิจารณาสาระสำคัญต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์เสือโคร่ง และการประชุมระดับ รัฐมนตรีประเทศเอเชียด้านการอนุรักษ์เสือโคร่ง ครั้งที่ 1 ซึ่งมีหัวข้อการประชุม ได้แก่ ผลการพิจารณารางวัล J. Paul Getty Award for conservation การนำเสนอทิศทางการดำเนินงานเพื่ออนุรักษ์เสือโคร่งของประเทศไทยที่เป็นแหล่ง อาศัยของเสือโคร่ง การพิจารณาให้ความเห็นชอบปฏิญญาหัวหิน เรื่อง การอนุรักษ์เสือโคร่ง รวมทั้งการจัดงานรณรงค์ การอนุรักษ์เสือโคร่งของประเทศที่เป็นแหล่งอาศัยของเสือโคร่ง 13 ประเทศ 2. เห็นชอบปฏิญญาหัวหิน เรื่อง การอนุรักษ์เสือโคร่ง และมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงานตามปฏิญญาดังกล่าว 3. เห็นชอบให้มีการจัดงานรณรงค์เพื่ออนุรักษ์เสือโคร่ง โดยมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินกิจกรรม ในวันที่ 29 กรกฎาคม 2553 |
||||||||||||||||||||||||
1857 | ชี้แจงเพิ่มเติมการขออนุมัติดำเนินการโครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการ ครั้งที่ 2 | ทส | 04/05/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) รับเรื่อง ชี้แจงเพิ่มเติมการ
ขออนุมัติดำเนินการโครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการ ครั้งที่ 2 ของกระทรวงทรัพยากรธรรม ชาติและสิ่งแวดล้อม ไปพิจารณาทบทวนในคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติอีกครั้งหนึ่ง โดยให้เชิญหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพลังงาน เข้าร่วมประชุมด้วย แล้วให้นำผลการพิจารณาเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนภาย ใน 1 เดือน |
||||||||||||||||||||||||
1858 | สรุปรายงานการประชุมหารือเพื่อช่วยเหลือและเยียวยาผู้ประกอบการย่านราชประสงค์และพื้นที่เกี่ยวเนื่องเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง | นร | 04/05/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการมาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือและเยียวยาผู้ประกอบการและลูก
จ้างที่ได้รับผลกระทบจากการหยุดกิจการชั่วคราว อันเนื่องมาจากการชุมนุมทางการเมืองในพื้นที่บริเวณแยกราช ประสงค์ บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ บริเวณสีลมบางส่วน และบริเวณซอยสุขุมวิท 31 ตามข้อสรุปผลการประชุม หารือระหว่างผู้ประกอบการกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน 2553 ตามที่เลขาธิการ นายกรัฐมนตรีเสนอ โดยยกเว้นเรื่องการช่วยเหลือลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการหยุดกิจการชั่วคราว ให้สำนัก เลขาธิการนายกรัฐมนตรีนำเสนอคณะกรรมการที่จัดตั้งขึ้นเพื่อพิจารณาเกี่ยวกับการช่วยเหลือผู้ประกอบการและ ลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมเพื่อพิจารณาในรายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง โดยให้คณะกรรมการเร่งพิจารณา มาตรการช่วยเหลือเยียวยาแก่กลุ่มผู้ตกงาน ผู้ที่ต้องหยุดกิจการชั่วคราว หรือไม่สามารถดำเนินการกิจการได้ตาม ปกติ และผู้ที่ต้องรับภาระค่าเช่าพื้นที่โดยไม่สามารถประกอบกิจการได้ก่อนเป็นลำดับแรกให้ชัดเจน แล้วให้ดำเนิน การตามผลการพิจารณาต่อไป ยกเว้นเรื่องที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรี ก็ให้นำเสนอคณะ รัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป สำหรับผลการประชุมหารือได้ข้อสรุปดังนี้ 1. ให้กรมสรรพากรเร่งจัดทำแบบฟอร์มขอขยายระยะเวลาในการยื่นแบบและชำระภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด.50) ภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30) และภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (ภ.ง.ด.1 ภ.ง.ด.3 และ ภ.ง.ด.53) ขึ้นเว็ปไซต์ ของกรมสรรพากร เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการ 2. ให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) เสนอรายละเอียดเพื่อ เสริมสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในเขตพื้น ที่ราชประสงค์ ผ่านฟ้า และโรมแรมยูโร แกรนด์ โฮเต็ล วงเงินสินเชื่อรวม 5,000 ล้านบาท รวมทั้งใช้กลไกการค้ำ ประกันของบรรษัทสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เข้ามาดำเนินการ เพื่อลดเงื่อนไขในการปล่อยสินเชื่อ ให้กับผู้ประกอบการ SMEs โดยเร็ว 3. กระทรวงแรงงานจะขยายระยะเวลาการนำส่งเงินสมทบกองทุนประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทน ออกไปภายในเดือนสิงหาคม 2553 4. พิจารณามาตรการพิเศษช่วยเหลือลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการหยุดกิจการชั่วคราว ทั้งนี้ ยังไม่ รวมถึงลูกจ้างและพนักงานโรงแรมยูโร แกรนด์ โฮเต็ล ลูกจ้างร้านค้าบริเวณผ่านฟ้าลีลาศและสยามสแควร์ โดย เห็นควรใช้หลักเกณฑ์เพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบ (เงินสงเคราะห์ลูกจ้าง แบบให้เปล่า) โดยหลักการต้องเป็นผู้ที่มีเงินเดือนต่ำกว่า 15,000 บาท จะได้รับเงินช่วยเหลือรายละประมาณ 3,000 บาท โดยให้กระทรวงแรงงานจัดทำรายละเอียดการคำนวณเงินเบื้องต้นเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป และให้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม 2553 5. เห็นควรกำหนดเป็นนโยบายให้กรุงเทพมหานครพิจารณาผ่อนปรนในเรื่อง ภาษีโรงเรือนและที่ดิน และภาษีป้าย โดยขอยกเว้นเบี้ยปรับในระหว่างผ่อนปรนด้วย และให้ผู้ประกอบการทำหนังสือเพื่อให้รองเลขาธิ การนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (นางอัญชลี เทพบุตร) ประสานงานไปยังผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครต่อไป 6. เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อมีมติมอบหมายให้การไฟฟ้านครหลวง การประปานครหลวง รวมทั้งบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) พิจารณาผ่อนผันค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ทั้งกรณีการชำระค่าบริการและชะลอการงดให้บริการ น้ำประปา ไฟฟ้า และโทรศัพท์ กรณีมีการค้างชำระค่าบริการ โดยงดเว้นดอกเบี้ยระหว่างการผ่อนผัน และให้ผู้ ประกอบการทำหนังสือเพื่อให้รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (นางอัญชลี เทพบุตร) ประสานงาน ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป 7. ให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ( คปภ.) รับไปดูแลใน เรื่องกรมธรรม์ที่ผู้ประกอบการได้ทำไว้ และเจรจากับบริษัทที่รับประกัน ทั้งนี้ ในการช่วยเหลือดังกล่าวข้างต้น ให้ครอบคลุมพื้นที่ราชประสงค์ ผ่านฟ้า บริเวณสีลมบางส่วนที่ไม่สามารถประกอบกิจการได้ และโรงแรมยูโร แกรนด์ โฮเต็ล
|
||||||||||||||||||||||||
1859 | ขออนุมัติจัดงานแสดงสินค้าและบริการเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง | พณ | 04/05/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงพาณิชย์นำเรื่อง ขออนุมัติจัดงานแสดงสินค้าและบริการเพื่อช่วยเหลือผู้
ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองเสนอคณะกรรมการที่จัดตั้งขึ้นเพื่อพิจารณาเกี่ยวกับ การช่วยเหลือผู้ประกอบการและลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม เพื่อพิจารณาในรายละเอียดให้ชัดเจน แล้วให้ดำเนินการตามผลการพิจารณาต่อไปได้ ยกเว้นเรื่องที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรี ก็ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
1860 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ครั้งที่ 3/2553 | นร | 27/04/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหา
ทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ครั้งที่ 3/2553 เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2553 ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐ กิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ กรอ. เสนอ โดยในการประชุมได้มีการพิจารณาเรื่อง ต่าง ๆ ดังนี้ 1. ผลกระทบทางการเมืองต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทย คณะกรรมการ กรอ. มีมติ 1.1 รับทราบรายงานผลกระทบทางการเมืองต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทย และมอบหมายให้สำนัก งานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการจัดทำการประเมินและเสนอ คณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (รศก.) ต่อไป 1.2 ให้เลขาธิการนายกรัฐมนตรีร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำหนดมาตรการเยียวยาเพื่อ ช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ แล้วรายงานคณะรัฐมนตรีต่อไป 2. แนวทางการยกเลิกการนำเงินเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย คณะกรรมการ กรอ. มีมติ 2.1 ให้สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายจัดส่งข้อมูลสถานะเงินกองทุนฯ และการชำระหนี้ ให้ สศช. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ เพื่อพิจารณาภาระหนี้และแผนการชำระเงิน รวมทั้งปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ แล้วให้นำ เสนอคณะกรรมการ กรอ. ต่อไป 2.2 เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะทำงานร่วมประกอบด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน โดยมีรอง นายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) เป็นประธาน เพื่อเร่งรัดแนวทางการยกเลิกอัตราการนำเงินเข้ากองทุนฯ ภายหลังครบกำหนดการชำระหนี้ของกองทุนฯ และพิจารณาภาพรวมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบ 3. ข้อเสนอเพื่อเร่งรัดการพัฒนาระบบ National Single Window (NSW) ของประเทศไทย คณะกรรมการ กรอ. มีมติมอบหมายให้กระทรวงการคลังพิจารณาเร่งรัดดำเนินการพัฒนาระบบดังกล่าวโดยกำหนดกรอบระยะเวลา และแผนการดำเนินงานให้ชัดเจน แล้วรายงานคณะกรรมการพัฒนาระบบบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของ ประเทศ (กบส.) ต่อไป 4. แนวทางการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพของประเทศ คณะกรรมการ กรอ. มีมติเห็นชอบแนวทาง การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพของประเทศ ตามที่ สศช. เสนอ และให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬานำข้อ เสนอแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพและแนวทางการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวรวมทั้งความเห็นของคณะกรรมการ กรอ. ไป ประกอบการจัดทำแผนปฏิบัติการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวของประเทศต่อไป 5. การกำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 คณะ กรรมการ กรอ. มีมติรับทราบความคืบหน้าการกำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางตามพระราชบัญญัติดังกล่าว และเห็น ชอบการขยายระยะเวลาการทำงานของคณะทำงานพิจารณาหลักเกณฑ์การกำหนดสินค้าควบคุมและกำกับดูแลราคา สินค้าออกไปจนกว่าพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 ฉบับแก้ไขปรับปรุงจะมีผลบังคับใช้ 6. ความคืบหน้าแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนากองเรือพาณิชย์ของไทย คณะกรรม การ กรอ. มีมติ 6.1 รับทราบความคืบหน้าแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนากองเรือพาณิชยนาวี 6.2 เห็นชอบผลการพิจารณามาตรการด้านภาษีของกระทรวงการคลัง โดยเห็นควรให้ปรับปรุงแก้ไข 3 มาตรการ และให้คงยึดหลักการตามกฎหมายเดิม 3 มาตรการ และให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามขั้นตอนและ กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งให้กระทรวงการคลังเร่งรัดพิจารณามาตรการสนับสนุนด้านการเงินแก่ผู้ประกอบ การพาณิชยนาวี และมาตรการลดอัตราภาษีนำเข้าเรือสินค้าทั่วไปขนาด 1,000 ตันกรอส หรือต่ำกว่า แล้วนำเสนอ คณะกรรมการส่งเสริมการพาณิชยนาวีพิจารณาต่อไป 7. ความคืบหน้าการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ยางและไม้ยางพารา คณะกรรมการ กรอ. มีมติ 7.1 รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ยางและไม้ยางพารา และมอบหมายให้หน่วย งานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการ กรอ. ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป 7.2 มอบหมายให้คณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติ (กอช.) รับเรื่องยุทธศาสตร์ยางและไม้ยาง พารา และการจัดตั้งสถาบันพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางพาราไปพิจารณาต่อไป 8. ความคืบหน้าการดำเนินการตามยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมก่อสร้าง คณะกรรมการ กรอ. มีมติรับทราบ และให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของคณะกรรมการ กรอ. ไปประกอบการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ฯ และ มอบหมายให้กระทรวงการคลังหารือร่วมกับสำนักงานผู้แทนการค้าไทย และคณะกรรมการ กรอ. เพื่อพิจารณารูป แบบที่เหมาะสมในการให้ความช่วยเหลือด้านสินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมก่อสร้างในต่างประเทศ และราย งานคณะกรรมการ กรอ. ต่อไป
|
.....