ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 92 จากทั้งหมด 138 หน้า แสดงรายการที่ 1821 - 1840 จากข้อมูลทั้งหมด 2746 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1821 | โครงการเพิ่มประสิทธิภาพทางหลวงหมายเลข 2090 และเรื่อง รายงานผลกระทบและความเสียหายกรณีการตัดไม้จากการดำเนินการก่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2090 (ถนนธนะรัชต์) | นร | 11/01/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายวิเชียร กีรตินิจกาล ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ประธานกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการก่อสร้างขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๐๙๐ ตอนแยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒ ต่อเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ระหว่าง กม. ที่ ๒+๐๐๐ - กม. ๑๐+๑๐๐ (ถนนธนะรัชต์) อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา และผลกระทบจากการตัดไม้บนไหล่ทาง เสนอรายงานผลการพิจารณาความเห็นของคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นักวิชาการ และผู้แทนภาคประชาชนเกี่ยวกับเรื่อง โครงการเพิ่มประสิทธิภาพทางหลวงหมายเลข ๒๐๙๐ และเรื่อง รายงานผลกระทบความเสียหายกรณีการตัดไม้จากการดำเนินการก่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๐๙๐ (ถนนธนะรัชต์) สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงจนได้ข้อมูลเพียงพอที่จะสรุปถึงผลกระทบจากการตัดไม้บนไหล่ทางของทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๐๙๐ ตอนแยกทางหลวงหมายเลข ๒ ต่อเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ระหว่าง กม. ที่ ๒ ถึง กม. ที่ ๑๐ (ถนนธนะรัชต์) พร้อมจัดทำข้อเสนอแนะในการฟื้นฟูพื้นที่ดังกล่าว โดยในการพิจารณาตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ได้ดำเนินการด้วยความรอบคอบโดยเฉพาะในประเด็นปัญหาตามมติคณะรัฐมนตรี (๘ มิถุนายน ๒๕๕๓) ว่า กระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวง ต้องยุติการดำเนินโครงการฯ ทั้งหมดทันทีหรือไม่ ซึ่งคณะกรรมตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ได้พิจารณาตรวจสอบแล้วปรากฏข้อเท็จจริงว่า กระทรวงคมนาคมได้มีหนังสือขอหารือมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวมายังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ซึ่งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้มีหนังสือตอบข้อหารือเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไปยังกระทรวงคมนาคมแล้ว ๒. ผู้แทนกรมทางหลวงแจ้งเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันกรมทางหลวงได้ดำเนินการก่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๐๙๐ ตอนแยกทางหลวงหมายเลข ๒ ต่อเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ในช่วง กม. ๒+๐๐๐ - กม. ๑๐+๑๐๐ (ถนนธนะรัชต์) เป็นถนน ๔ ช่องจราจร พร้อมช่องทางรถจักรยานและไหล่ทางตามแผนฟื้นฟูสภาพภูมิทัศน์และระบบนิเวศน์ที่ได้พิจารณาร่วมกับกรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และจังหวัดนครราชสีมา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๓ ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๓ เสร็จเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างดำเนินการปลูกต้นไม้ตามแผนฟื้นฟูต่อไป โดยการดำเนินโครงการฯ ของกรมทางหลวงดังกล่าวประชาชนที่อยู่อาศัยในพื้นที่ได้ให้การสนับสนุนการดำเนินการของกรมทางหลวงโดยไม่มีการต่อต้านแต่อย่างใด
|
||||||||||||||||||||||||
1822 | รายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครงการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงบางซื่อ - ท่าพระ ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย | นร | 28/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบรายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครงการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงบางซื่อ - ท่าพระ ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) โดยให้กระทรวงคมนาคม และ รฟม. รับไปดำเนินการเกี่ยวกับขั้นตอนการดำเนินการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ การปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม การพิจารณาแนวทางดำเนินการยกเว้นค่าเปลี่ยนถ่ายระบบในการเดินทางระหว่างโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล และโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงเตาปูน - ท่าพระ และการเร่งพิจารณาเสนอโครงสร้างบริหารจัดการตั๋วร่วมและการจัดตั้งศูนย์การบริหารจัดการรายได้ (Central Clearing House System) เพื่อให้สามารถกำหนดมาตรฐานเทคโนโลยีของระบบจัดเก็บค่าโดยสาร (AFC) และระบบบัตรโดยสารร่วม โครงสร้างอัตราค่าโดยสาร รวมทั้งการบริหารจัดการส่วนแบ่งรายได้ค่าโดยสารรถไฟฟ้าในแต่ละสายทางให้สอดคล้องกับแผนการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย ๕ สายทางตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการตรวจสอบความเหมาะสมของวงเงินลงทุนในรายละเอียดในส่วนของโครงการลงทุนที่ใช้เงินกู้ในการดำเนินการ พร้อมทั้งให้กระทรวงการคลังพิจารณาแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถของบุคลากรเพื่อรองรับการดำเนินการดังกล่าวต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. เห็นชอบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอเพิ่มเติมขอแก้ไขข้อความในหนังสือสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ นร ๑๑๑๕/๔๓๙๕ ลงวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ หน้า ๗ ข้อ ๓.๑ เป็น ดังนี้ “เห็นชอบในหลักการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงเตาปูน - ท่าพระ ในรูปแบบ PPP Gross Cost ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยภาครัฐลงทุนค่างานโยธาทั้งหมด และเอกชนลงทุนค่างานระบบไฟฟ้าและขบวนรถไฟฟ้า รวมทั้งบริหารการเดินรถและซ่อมบำรุงตามมาตรฐานการให้บริการที่กำหนดไว้ในเงื่อนไขของสัญญา โดยรัฐจะมอบให้เอกชนเป็นผู้จัดเก็บรายได้ค่าโดยสารและส่งมอบให้รัฐและรัฐเป็นผู้จัดเก็บรายได้เชิงพาณิชย์จากการใช้ประโยชน์โครงสร้างงานโยธาและรถไฟฟ้าทั้งหมด และรัฐจะจ่ายคืนเอกชนในลักษณะค่าจ้างบริหารการเดินรถและซ่อมบำรุง โดยให้กระทรวงคมนาคม และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยเคร่งครัดต่อไป” ๓. ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงเตาปูน - ท่าพระ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางซื่อ - เตาปูน ให้สอดคล้องกันตามวัตถุประสงค์เดิมของโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ส่วนต่อขยายช่วงบางซื่อ - ท่าพระ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณด้วย สำหรับการขอปรับเพิ่มกรอบวงเงินค่าจ้างที่ปรึกษาพิเศษ (ค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานระบบรถไฟฟ้า จำนวน ๔๔๘ ล้านบาท) ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาความเหมาะสมร่วมกับสำนักงบประมาณ และหากกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณมีความจำเป็นจะต้องจ้างผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ความเห็นทางด้านเทคนิคเฉพาะประกอบการพิจารณาดังกล่าว ก็ให้สามารถดำเนินการได้ และให้นำผลการพิจารณาเสนอคณะรัฐมนตรีก่อนที่ รฟม. จะดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
1823 | การบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | กค | 28/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบวงเงินเหลือจ่ายภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๕,๐๗๘.๒๑ ล้านบาท ๒. อนุมัติให้ดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ที่หน่วยงานพิจารณาทบทวนตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ภายใต้แผนปฏิบัติการฯ และอนุมัติการจัดสรรเงินเหลือจ่ายตามพระราชกำหนดฯ วงเงิน ๑,๕๕๔.๖๗ ล้านบาท สำหรับโครงการกลุ่มที่ ๑ (โครงการที่ปรับกิจกรรมเพื่อใช้แก้ไขปัญหาน้ำท่วม) และโครงการกลุ่มที่ ๒ (โครงการที่ยืนยันโครงการเดิม และเสนอปรับแผนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เพื่อใช้ในการฟื้นฟูปัญหาน้ำท่วมทดแทนแล้ว) ส่วนโครงการกลุ่มที่ ๓ (โครงการที่ยืนยันโครงการเดิม แต่ไม่เสนอการปรับแผนงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๔) อนุมัติโครงการและจัดสรรเงินเหลือจ่ายตามผลการพิจารณาทบทวนของหน่วยงาน และให้หน่วยงานดำเนินการได้ ทั้งนี้ ให้สำนักงบประมาณตรวจสอบความพร้อมและความจำเป็นเร่งด่วนของโครงการต่าง ๆ ของหน่วยงานดังกล่าวที่ได้รับการจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไว้ และพิจารณาปรับแผนการดำเนินการโครงการให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงเพื่อนำไปฟื้นฟูแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเป็นการทดแทนตามความเหมาะสมต่อไป สำหรับโครงการกลุ่มที่ ๔ (โครงการภายใต้แผนพัฒนา ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้) ให้คณะกรรมการรัฐมนตรีพัฒนาพื้นที่พิเศษ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นผู้พิจารณาอนุมัติการปรับแผนการดำเนินโครงการเพื่อนำไปฟื้นฟูแก้ไขปัญหาน้ำท่วม โดยให้หน่วยงานที่ได้รับจัดสรรวงเงินเหลือจ่าย ส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงิน ซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๔ ๓. อนุมัติให้ดำเนินโครงการใหม่เพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานในสาขาต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ภายใต้แผนปฏิบัติการฯ และอนุมัติการจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายตามพระราชกำหนดฯ วงเงิน ๒,๖๑๙.๖๘ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานที่ได้รับจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายดังกล่าวส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงิน ซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๔ สำหรับโครงการของสำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา วงเงิน ๑๓๘.๐๐ ล้านบาท สำนักงานคณะกรรมาการการอาชีวศึกษา วงเงิน ๕๖๒.๐๐ ล้านบาท และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน วงเงิน ๓๗๘.๐๐ ล้านบาท ให้หน่วยงานจัดส่งรายละเอียดโครงการให้สำนักงบประมาณพิจารณานำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ เห็นชอบก่อน ๔. อนุมัติให้ดำเนินโครงการก่อสร้างหอประชุมเอนกประสงค์ อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ภายใต้แผนปฏิบัติการฯ และอนุมัติการจัดสรรวงเงินเหลือจ่ายตามพระราชกำหนดฯ ให้แก่โครงการก่อสร้างหอประชุมเอนกประสงค์ อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา วงเงิน ๑๖๑.๖๖ ล้านบาท โดยให้กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงิน ซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๔ ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาหอประชุมเอนกประสงค์ในอนาคต ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลหอประชุมเอนกประสงค์เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในการบำรุงรักษาดังกล่าว ๕. อนุมัติการขยายระยะเวลาการขอรับจัดสรรเงินและการพิจารณาของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ หากหน่วยงานเจ้าของโครงการที่ได้รับอนุมัติโครงการแล้วไม่สามารถดำเนินการโครงการได้ทันภายในวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๔ ให้ยกเลิกวงเงินที่จัดสรรให้โครงการและนำมารวมเป็นวงเงินเหลือจ่ายต่อไป ๖. อนุมัติการขยายระยะเวลาการลงนามในสัญญาตามที่หน่วยงานเสนอ โดยในส่วนของโครงการ/รายการที่หน่วยงานขอขยายระยะเวลาการลงนามถึงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๓ นั้น เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการลงนามเป็นภายในวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๔ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ หากหน่วยงานเจ้าของโครงการไม่สามารถดำเนินโครงการได้ทัน ให้ยกเลิกวงเงินที่จัดสรรให้โครงการและนำมารวมเป็นวงเงินเหลือจ่ายต่อไป ๗. รับทราบการยกเลิกโครงการชุมชนเข้มแข็งด้วยพลังงานทดแทน วงเงิน ๕๖.๕๐ ล้านบาท และโครงการพัฒนาชุมชนในพื้นที่ห่างไกลด้วยเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ วงเงิน ๑๐๕.๖๘ ล้านบาท ของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน ๘. อนุมัติเป็นหลักการให้กระทรวงการคลังสามารถดำเนินการลงนามในสัญญาเงินกู้ล่วงหน้าก่อนสำนักงบประมาณจัดสรรเงิน สำหรับโครงการที่ได้รับการอนุมัติการจัดสรรวงเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ ภายในวงเงิน ๑๒,๑๐๑.๓๓ ล้านบาท โดยกระทรวงการคลังต้องลงนามในสัญญาเงินกู้สำหรับโครงการดังกล่าวได้ภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ ทั้งนี้ สำหรับรายการที่สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรก่อนวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ ให้กระทรวงการคลังกู้เงินภายในวงเงินที่สำนักงบประมาณอนุมัติจัดสรรแล้ว และอนุมัติให้ยกเลิกวงเงินเหลือจ่ายคงเหลือ จำนวน ๑,๐๒๐.๓๕ ล้านบาท ๙. อนุมัติและรับทราบการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการฯ โดยให้หน่วยงานส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงิน ซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันทำการ หลังจากคณะรัฐมนตรีอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการ และสำนักงบประมาณจะดำเนินการอนุมัติภายใน ๑๕ วันทำการ โดยหลังจากได้รับอนุมัติแล้วหน่วยงานจะต้องลงนามในสัญญาให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันทำการ |
||||||||||||||||||||||||
1824 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ความปลอดภัยของอาคารสถานบริการประเภทสถานบันเทิง บทเรียนจากกรณีซานติก้าผับ" | สสป | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง “ความปลอดภัยของอาคารสถานบริการประเภทสถานบันเทิง บทเรียนจากกรณีซานติก้าผับ” ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ รวมทั้งรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงมหาดไทย ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแรงงาน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมโยธาธิการและผังเมือง กรุงเทพมหานคร และสำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. การปรับปรุงกฎหมาย ๑.๑ ปรับปรุงกฎหมายเพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของสถานบริการที่มีผู้ใช้บริการแออัด หรือมีการจำหน่ายสุรา เช่น การกำหนดจำนวนผู้ใช้บริการ การห้ามใช้วัสดุที่ลามไฟง่ายในการตกแต่งอาคาร การมีระบบป้องกันและบรรเทาภัย เป็นต้น โดยออกเป็นกฎหมายเฉพาะสำหรับควบคุมอาคาร สถานบริการ และอาคารชุมนุมคน และปรับใช้มาตรฐานการออกแบบและก่อสร้างอาคารสถานบริการตามที่วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์ (วสท.) กำหนดไว้ ๑.๒ กำหนดให้อาคารสถานบริการทุกประเภทต้องทำประกันภัย ความรับผิดชอบตามกฎหมายต่อชีวิต ร่างกายและทรัพย์สินของบุคคลภายนอก โดยมีบทลงโทษกรณีไม่ทำประกันภัยดังกล่าว ๑.๓ ปรับปรุงพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๒๒ เพื่อให้คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคมีอำนาจห้ามบริการที่อาจเป็นอันตรายต่อประชาชน ๑.๔ ออกกฎกระทรวงตามมาตรา ๘ ของพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ให้ครบถ้วนทั้ง ๑๖ หลักเกณฑ์ และปรับปรุงพระราชบัญญัติควบคุมอาคารให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ๒. การบังคับใช้กฎหมาย ๒.๑ มีระบบตรวจการใช้อาคารและการบังคับใช้กฎหมายควบคุมอาคาร กฎหมายสถานบริการ และกฎหมายการสาธารณสุข เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าอาคารสถานบริการต่าง ๆ ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างครบถ้วน ๒.๒ บูรณาการการบังคับใช้กฎหมายของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกฎหมายต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการประสานข้อมูลและพัฒนารูปแบบการตรวจสอบร่วมกัน ๒.๓ มีนโยบายชัดเจนในการปิดสถานบริการที่ฝ่าฝืนกฎหมายอย่างต่อเนื่อง และลงโทษพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งไม่ดำเนินการบังคับใช้กฎหมาย ๒.๔ คุ้มครองแรงงานภาคบริการให้ได้รับสวัสดิการและความคุ้มครองตามกฎหมายแรงงาน ๓. การมีส่วนร่วม ๓.๑ รณรงค์ให้ประชาชนมีสำนึกเรื่องความปลอดภัย และพัฒนาการเรียนการสอนในหลักสูตรการศึกษาระดับต่าง ๆ ในเรื่องดังกล่าว ตลอดจนให้ความรู้แก่เจ้าของอาคาร ผู้ใช้บริการ เพื่อให้รู้จักหน้าที่และมีส่วนร่วมรับผิดชอบในการใช้บริการสาธารณะ ๓.๒ กำหนดให้องค์กรวิชาชีพที่เป็นกลางและไม่แสวงหากำไรมีส่วนร่วมในการตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยของอาคาร ๓.๓ กำหนดให้มีการปิดประกาศหรือเผยแพร่ข้อมูลผลการตรวจสอบหรือมาตรฐานความปลอดภัยของอาคารสาธารณะต่าง ๆ ๓.๔ เผยแพร่ข้อมูลสถานบริการต่าง ๆ ที่ได้รับอนุญาตและดำเนินการโดยถูกต้อง
|
||||||||||||||||||||||||
1825 | การเพิ่มค่าตอบแทนให้แก่ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่น | กค | 21/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการพิจารณาตรวจสอบรายละเอียดการเพิ่มค่าตอบแทนให้แก่ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่น และผลกระทบต่องบประมาณขององค์การบริหารส่วนตำบล ในการประชุมร่วมกันระหว่างสำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และกรมบัญชีกลาง เมื่อวันที่ ๑๕-๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๓ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งการปรับค่าตอบแทนให้แก่ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นของกระทรวงมหาดไทยในครั้งนี้ เป็นการปรับเพื่อลดช่องว่างให้สอดคล้องและเป็นมาตรฐานเดียวกันกับค่าตอบแทนของผู้บริหารและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและเทศบาล ดังนั้น ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จะไม่มีการปรับค่าตอบแทนให้แก่ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่น รวมทั้งผู้บริหารและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและเทศบาลอีก สำหรับข้อเสนอการปรับเงินเดือน ค่าจ้าง สำหรับข้าราชการ หรือพนักงานส่วนท้องถิ่น และลูกจ้างองค์การบริหารส่วนตำบล และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประเภทอื่นเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ ๕ นั้น หากมีการดำเนินการในโอกาสต่อไป ให้ปรับค่าตอบแทนเฉพาะในส่วนของข้าราชการประจำและพนักงานส่วนท้องถิ่นและลูกจ้างเท่านั้น ๒. ส่วนระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยเงินค่าตอบแทน นายกองค์การบริหารส่วนตำบล รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบล รองประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบล สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนตำบล และเลขานุการสภาองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่กระทรวงมหาดไทยส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
1826 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ร่างพระราชบัญญัติวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. ...." | สสป | 14/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง “ร่างพระราชบัญญัติวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. ....” ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ รวมทั้งรับทราบผลการพิจารณาของกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้แจ้งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทราบเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฯ ต่อไป โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. การปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. .... ๑.๑ บัญญัติรายละเอียดด้านวิสัยทัศน์ของระบบการศึกษาปกติ การศึกษาทางเลือกทั้งหมด และทางออกของชุมชนชนบทที่ขาดโอกาสและแนวทางปฏิบัติ ๑.๒ เพิ่มเป้าหมายให้การศึกษาวิทยาลัยชุมชนเพื่อการศึกษาพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนในท้องถิ่นทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม ๑.๓ เพิ่มเติมเจตนารมณ์และหลักการสำคัญ อาทิ การให้ความสำคัญกับการเป็นสถาบันการศึกษาของรัฐที่จัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษาต่ำกว่าปริญญาควบคู่ไปกับการจัดการศึกษาตลอดชีวิต การกำหนดให้สถาบันให้ความสำคัญในประด็นการมีส่วนร่วมของชุมชน การบริการการศึกษาตลอดชีวิต การต่อยอดการพัฒนาของชุมชน และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับองค์กรต่าง ๆ การกำหนดแนวทางและวิธีการปฏิบัติในการรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษาให้สอดคล้องกับบทบาทและหน้าที่ของสถาบันเป็นสำคัญ เป็นต้น ๒. ยุทธศาสตร์การพัฒนาวิทยาลัยชุมชน ๒.๑ เร่งรัดการประกาศใช้กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับวิทยาลัยชุมชนให้สอดคล้องตามปรัชญาและความมุ่งหมายของการจัดตั้งวิทยาลัยชุมชน ๒.๒ ปรับปรุงรูปแบบการดำเนินการวิทยาลัยชุมชนให้มีความคล่องตัวในการบริหารจัดการและพัฒนาทางวิชาการ ๒.๓ ให้ชุมชน สถาบันการศึกษา และองค์กรภาคเอกชน มีการศึกษาและกำหนดแนวทางการจัดทำมาตรฐานและการประเมินคุณภาพการศึกษาของวิทยาลัยชุมชนเป็นการเฉพาะ ๒.๔ สนับสนุนในการส่งเสริมการเชื่อมโยงและประสานการส่งเสริมและให้การสนับสนุนในการดำเนินงานของวิทยาลัยชุมชน ระหว่างหน่วยงานส่วนกลางและหน่วยงานส่วนท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพ ๓. ยุทธศาสตร์การจัดการศึกษาของวิทยาลัยชุมชน ๓.๑ ให้ความสำคัญกับโครงสร้าง เนื้อหาและหลักสูตรของวิทยาลัยชุมชนที่ไม่เน้นแนวคิด เพื่อนำไปสู่การศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี ๓.๒ ส่งเสริมและกำหนดแนวทางการพัฒนาเนื้อหาและหลักสูตรระยะสั้นและหลักสูตรวิชาชีพให้สามารถเทียบเคียงกับการศึกษาในระบบโดยเฉพาะองค์ความรู้ของชุมชนแต่ละท้องถิ่นให้เป็นเนื้อหาวิชาหลัก ๓.๓ ส่งเสริมให้ชุมชน องค์กรที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาและส่งเสริมการศึกษาทั้งภาครัฐและภาคเอกชนมีส่วนร่วมสำคัญในการปรับปรุงหลักสูตรและเนื้อหาวิชาการ ๓.๔ พัฒนาและส่งเสริมบุคลากรทางการศึกษาของวิทยาลัยชุมชนให้มีศักยภาพและประสิทธิภาพในการจัดการศึกษา และส่งเสริมค้นหาศักยภาพของชุมชนด้วยการสนับสนุนสวัสดิการค่าตอบแทนเพิ่มเติม ๔. ยุทธศาสตร์ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการพัฒนาและการจัดการศึกษาของชุมชนและท้องถิ่น ๔.๑ ส่งเสริมการค้นหาศักยภาพของชุมชนและท้องถิ่นโดยมีวิทยาลัยชุมชนเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ๔.๒ ส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาตามความต้องการของชุมชนและท้องถิ่นโดยเฉพาะการพัฒนาวิชาชีพและการพัฒนาและอนุรักษ์องค์ความรู้ ๔.๓ ส่งเสริมขีดความสามารถของชุมชนและท้องถิ่นให้มีความโดดเด่นและเป็นแหล่งเรียนรู้ของสังคม
|
||||||||||||||||||||||||
1827 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานและรองประธานวุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และกรรมาธิการ พ.ศ. .... | นร | 14/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงสาธารณ
สุข สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ดังนี้ ๑. ผลการพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกาเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของประธาน และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานและรองประธานวุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร สมาชิก สภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และกรรมาธิการ พ.ศ. .... เกี่ยวกับการกำหนดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและ สมาชิกวุฒิสภา กรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรมีสิทธิได้รับเงินชดเชยเป็นค่าพาหนะเดินทางโดยให้สำนักงานเลขา ธิการสภาผู้แทนราษฎรและสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาวางหลักเกณฑ์ควบคุมการเบิกจ่ายเงินชดเชยค่าน้ำมันเชื้อ เพลิงให้เหมาะสมคล่องตัวยังมีความชัดเจนไม่เพียงพอในการสร้างความเป็นธรรมที่เท่าเทียมกันระหว่างสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาด้วยกัน เนื่องจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกวุฒิสภาที่อยู่ในพื้นที่ต่าง จังหวัดมีระยะทาง และระยะเวลาการเดินทางที่แตกต่างกัน รวมทั้งความหลากหลายของวิธีการเดินทาง จึงควร พิจารณากำหนดหลักเกณฑ์วิธีการเบิกจ่ายให้ชัดเจน เช่น ควรให้เบิกค่าพาหนะเดินทางได้เฉพาะการเดินทางมา ประชุมสภาผู้แทนราษฎร การประชุมวุฒิสภา และรัฐสภา เท่านั้น หรือให้เบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการเดินทางใน ลักษณะเหมาะจ่าย เป็นต้น ๒. การกำหนดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาได้รับสวัสดิการรักษาพยาบาลในระหว่าง ดำรงตำแหน่ง ควรมีความชัดเจนและเหมาะสมในเรื่องการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล ๓. การกำหนดให้ได้รับเบี้ยประชุม ควรกำหนดให้อนุกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎร อนุกรรมาธิการวุฒิ สภา อนุกรรมาธิการรัฐสภา และอนุกรรมาธิการร่วมกันของทั้ง ๒ สภาได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายครั้งเฉพาะที่มา ประชุมในอัตราครั้งละ ๘๐๐ บาท แต่ให้เบิกจ่ายได้ไม่เกินสัปดาห์ละ ๑ ครั้ง |
||||||||||||||||||||||||
1828 | การเพิ่มค่าตอบแทนให้แก่นายกองค์การบริหารส่วนตำบล | มท | 14/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับเรื่อง การเพิ่มค่าคอบแทนให้แก่นายกองค์การบริหารส่วนตำบล ดังนี้
๑. มอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และสำนักงบประมาณร่วมกันพิจารณาตรวจสอบรายละเอียดการเพิ่มค่าตอบแทนให้แก่ผู้บริหารและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ รวมถึงผลกระทบทางอ้อมที่จะต้องมีการปรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น ๆ และบุคลากรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ ด้วย ว่าจะมีผลกระทบต่องบประมาณขององค์การบริหารส่วนตำบลที่จะใช้ในการดำเนินการโครงการพัฒนาต่าง ๆ ในท้องถิ่นหรือไม่ เพียงใด แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้า ๒. ส่วนระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยเงินค่าตอบแทน นายกองค์การบริหารส่วนตำบล รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบล รองประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบล สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนตำบล และเลขานุการสภาองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่กระทรวงมหาดไทยส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีรอผลการพิจารณาตามข้อ ๑ ก่อนดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
1829 | ผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สผ | 07/12/2553 | |||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||
1830 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2553 | นร | 07/12/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการ
และเลขานุการคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ (กศส,) ครั้งที่ ๑ /๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๓ ๒. เห็นชอบผลการพิจารณาและมติของ กศส. รวม ๕ เรื่อง ดังนี้ ๒.๑ เห็นชอบแนวทางการดำเนินงานของ กศส. เกี่ยวกับการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจสร้าง สรรค์ของประเทศ การจัดทำกรอบแนวทางและหลักเกณฑ์ในการพิจารณากลั่นกรองโครงการ รวมทั้งการ กำหนดแนวทางและกระบวนการติดตามประเมินผลการดำเนินโครงการของหน่วยงาน ตามที่สำนักงานคณะ กรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ และให้มีการหารือในรายละเอียดด้านการ จัดสรรเงินตามข้อสังเกตของกระทรวงการคลั งไปประกอบการจัดทำนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ของประเทศ ๒.๒ ให้นายสัญญา สถิรบุตร เป็นที่ปรึกษาในคณะกรรมการบริหารสำนักงานเศรษฐกิจสร้าง สรรค์แห่งชาติ (กบศส.) แทนการเป็นรองประธานฯ รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ ซึ่งเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมอบหมาย ทำหน้าที่เป็น รองประธานฯ และให้ สศช. ในฐานะเลขานุการ กศส. หารือกับภาคเอกชนเพื่อสรรหาผู้ทรงคุณวุฒิอีกหนึ่ง ท่าน ๒.๓ ให้ฝ่ายเลขานุการหารือกับประธาน กศส. พิจารณาปรับปรุงร่างระเบียบสำนักนายก รัฐมนตรี ว่าด้วยกองทุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ พ.ศ. .... ให้รอบคอบอีกครั้งก่อนนำส่งคณะกรรมการตรวจสอบ ร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา และดำเนินการต่อไป ๒.๔ เห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเตรียมการจัดมหกรรมระดับระหว่างประเทศ เรื่อง เศรษฐกิจสร้างสรรค์ และคณะอนุกรรมการโครงการสร้างองค์ความรู้เพื่อต่อยอดอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Academy) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒.๕ ให้กระทรวงพาณิชย์ประสานกับภาคเอกชน เพื่อหาแหล่งเงินทุนในการสร้างภาพยนตร์ สั้น “สวัสดีประเทศไทย” เพื่อดำเนินการด้วยตนเอง และส่งเสริมให้ภาคเอกชนประสานกับรัฐวิสาหกิจที่ อาจมีความประสงค์จะให้ความสนับสนุนเงินทุนสร้างภาพยนตร์ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
1831 | รายงานผลการทบทวนรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณฯ ที่กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย กระทรวงสาธารณสุข | สธ | 25/11/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงสาธารณสุขรายงานผลการทบทวนรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ ที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ อนุมัติให้ใช้เงินงบประมาณฯ ที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีโดยไม่มีข้อผูกพันจำนวนประมาณ ๖๓.๓ ล้านบาทและเงินจากโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ สาขาสาธารณสุข (โครงสร้างพื้นฐาน) ที่คงเหลืออยู่ประมาณ ๕๘๒ ล้านบาท ไปช่วยเหลือและฟื้นฟูเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัย ซึ่งผลการพิจารณาทบทวน พบว่า ไม่สามารถใช้เงินที่กันไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปีโดยไม่มีข้อผูกพันดังกล่าวได้ อย่างไรก็ตามยังคงมีความจำเป็นจะต้องขอรับการสนับสนุนงบประมาณ จำนวน ๒๓๘,๗๙๔,๑๘๐ บาท จากโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ สาขาสาธารณสุข (โครงสร้างพื้นฐาน) ที่คงเหลืออยู่ประมาณ ๕๘๒ ล้านบาท ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้เสนอเรื่องไปยังผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเพื่อดำเนินการต่อไปแล้ว
|
||||||||||||||||||||||||
1832 | ขออนุมัติลงนามความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหพันธรัฐรัสเซียว่าด้วยความร่วมมือในการสำรวจและการใช้อวกาศส่วนนอกเพื่อวัตถุประสงค์ในทางสันติ | วท | 16/11/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหพันธรัฐรัสเซียว่าด้วย ความร่วมมือในการสำรวจและการใช้อวกาศส่วนนอกเพื่อวัตถุประสงค์ในทางสันติ ทั้งนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลง ถ้อยคำที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่มีผลกระทบต่อเนื้อหาสาระของร่างความตกลงฯ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีหารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดำเนินการโดย ไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ๑.๒ มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามใน ความตกลงฯ ๑.๓ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่า การกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในความตกลงฯ ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและกระทรวงการต่างประเทศไปพิจารณาหารือร่วมกันว่า ในการดำเนินการตามร่างความตกลงฯ จะก่อให้เกิดผลกระทบทางด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของ ประเทศอย่างกว้างขวางซึ่งจะต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาก่อนดำเนินการให้มีผลผูกพันตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยหรือไม่ และเสนอผลการพิจารณาให้คณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ แล้วดำเนิน การต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทบทวนและตรวจสอบคำแปลภาษาไทยของร่างความ ตกลงฯ ให้ละเอียดถูกต้องอีกครั้งหนึ่ง ตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศก่อนดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
1833 | มาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือคนพิการ | กค | 16/11/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือคนพิการ เพื่อช่วยบรรเทาภาระภาษีให้แก่คนพิการ ทำ ให้คุณภาพชีวิตของคนพิการดีขึ้น และช่วยจูงใจให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือคนพิการ ตลอดจน ช่วยบรรเทาภาระภาษีให้แก่นายจ้างหรือสถานประกอบการที่ได้มีการจ้างคนพิการ และช่วยลดรายจ่าย ของภาครัฐสำหรับการจ่ายเงินสงเคราะห์เพื่อช่วยเหลือคนพิการ และอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา และร่างกฎกระทรวง จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการ กฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๑.๑ ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับเงินได้ขององค์กร เอกชนที่จัดให้คนพิการได้รับสิทธิประโยชน์ตามมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพ ชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ เป็นจำนวนร้อยละร้อยของรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดให้คนพิการ ได้รับสิทธิประโยชน์ดังกล่าว แต่เมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายที่จ่ายไปเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนการศึกษาสำหรับ โครงการที่กระทรวงศึกษาธิการให้ความเห็นชอบแล้วต้องไม่เกินร้อยละสิบของเงินได้พึงประเมินหลังจากหัก ค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนดังกล่าว และหรือรายจ่ายในการจัดสร้างและการบำรุงรักษาสนามเด็กเล่น สวน สาธารณะ หรือสนามกีฬาของเอกชนที่เปิดให้ประชาชนใช้เป็นการทั่วไป โดยไม่เก็บค่าบริการใด ๆ หรือ สนามเด็กเล่นสวนสาธารณะ หรือสถานกีฬาของทางราชการแล้ว ต้องไม่เกินร้อยละสิบของกำไรสุทธิก่อน หักรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะหรือเพื่อการสาธารณประโยชน์และเพื่อการศึกษาหรือเพื่อการกีฬา ๑.๑.๒ ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับเงินได้ของนาย จ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการซึ่งรับคนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยการส่ง เสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการเข้าทำงาน ที่จ้างคนพิการเข้าทำงานมากกว่าร้อยละหกสิบของลูกจ้าง ในสถานประกอบการนั้น ๑.๒ ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยก เว้นรัษฎากร มีสาระสำคัญคือ ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้พึงประเมินที่ผู้มีเงินได้เป็นคน พิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการซึ่งเป็นผู้ อยู่ในประเทศไทยและมีอายุไม่เกินหกสิบห้าปีบริบูรณ์ในปีภาษีที่ได้รับเฉพาะส่วนที่ไม่เกินหนึ่งแสนเก้าหมื่น บาทในปีภาษีนั้น ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอเรื่องนี้ต่อคณะกรรม การส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติเพื่อพิจารณาเสนอความเห็น แล้วส่งผลการพิจารณาให้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวง ดังกล่าวต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
1834 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | นร | 16/11/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อหนี้ผูกพันที่มีวงเงินรวมไม่เกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท จำนวน ๙๑๘ รายการ เป็นงบประมาณรายจ่ายของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๑๕,๕๐๙ ล้านบาท จากวงเงินภาระผูกพันรวมทั้งสิ้นจำนวน ๙๒,๑๕๐.๒ ล้านบาท สำหรับรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไปจำนวน ๒๒ รายการ ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเจ้าของเรื่องดำเนินการตามระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติเป็นกรณี ๆ ไปอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ไม่สามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ สามารถก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณได้ ๓. รายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ กรณีเป็นรายการที่จะต้องจ่ายในรูปของเงินตราต่างประเทศ เช่น รายการค่าเช่าบ้าน ค่าเช่าอาคารสำนักงาน และค่าเช่าทรัพย์สินในต่างประเทศ ฯลฯ ให้สำนักงบประมาณพิจารณาอนุมัติวงเงินผูกพันที่เปลี่ยนแปลงไปจากที่ได้รับอนุมัติเนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยน ในกรณีที่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ สามารถปรับแผนการใช้จ่ายจากงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบอีก ๔. ให้สำนักพระราชวังและมหาวิทยาลัยศิลปากรเปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ รายการอาคารเรียนสถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนา โดยมีวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีตามผลการพิจารณาความเหมาะสมของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||
1835 | การบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | กค | 09/11/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบ อนุมัติ และเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการพิจารณาทบทวนความจำเป็นเร่งด่วนและความเหมาะสมของโครงการเพื่อนำงบ ประมาณที่ได้รับจัดสรรไปใช้เพื่อการแก้ไขปัญหาอุทกภัย วงเงิน ๔,๒๓๕.๕๙ ล้านบาท ของคณะกรรมการกลั่น กรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ (คณะกรรมการฯ) ๑.๒ อนุมัติให้ดำเนินโครงการใหม่ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ สาขาทรัพยากรน้ำและ การเกษตร สาขาสวัสดิภาพประชาชน จำนวน ๘ โครงการ วงเงินรวม ๒,๖๔๘.๙๒ ล้านบาท และอนุมัติการจัดสรร วงเงินเหลือจ่ายตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐ กิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ให้แก่โครงการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ และอยู่ภายใต้วัตถุประสงค์ สาขาเศรษฐกิจ และกรอบวงเงินตามกรอบการใช้จ่ายเงินกู้เสนอต่อรัฐสภาตามพระ ราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ วงเงิน ๒,๖๔๘.๙๒ ล้านบาท ทั้งนี้ ในกรณีโครงการใดเข้าข่ายต้องดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายใด ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัดต่อไปด้วย ๑.๓ เห็นชอบให้หน่วยงานทบทวนรายละเอียดโครงการตามข้อเสนอของคณะกรรมการฯ ๑.๔ เห็นชอบหลักเกณฑ์การใช้เงินเหลือจ่ายวงเงิน ๒,๓๘๓.๘๒ ล้านบาท ที่คณะรัฐมนตรีรับทราบ แล้ว มาใช้สนับสนุนการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานในสาขาต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยโดยให้แจ้งยืนยัน ผลการทบทวนพร้อมส่งรายละเอียดที่เกี่ยวข้องให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์นับจากวันที่คณะรัฐมนตรีมี มติ ๑.๕ อนุมัติเป็นหลักการให้กระทรวงการคลังสามารถดำเนินการลงนามในสัญญาเงินกู้ล่วงหน้าก่อน มีการผูกพันสัญญาโครงการสำหรับโครงการมาตรการช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัย โดย กระทรวงการคลังต้องลงนามในสัญญาเงินกู้สำหรับโครงการดังกล่าวได้ภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ ๑.๖ อนุมัติการขยายระยะเวลาลงนามในสัญญา การจัดสรรเงิน และการดำเนินโครงการให้แก่หน่วย งานเจ้าของโครงการที่ได้รับการอนุมัติจัดสรรเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้น ฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ที่ไม่สามารถดำเนินโครงการได้ตามมาตรการเร่งรัดการ ดำเนินงานสำหรับหน่วยงานที่ได้รับอนุมัติโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ตามมติคณะ รัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๓ ทั้งนี้ หากหน่วยงานเจ้าของโครงการไม่สามารถดำเนินโครงการได้ทัน เห็น ควรให้ยกเลิกวงเงินที่จัดสรรให้โครงการและนำมารวมเป็นวงเงินเหลือจ่ายต่อไป และอนุมัติเป็นหลักการสำหรับ โครงการยกระดับคุณภาพการศึกษาท้องถิ่น (ก่อสร้างศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และอาคารเรียน) ให้ขยายเวลาลงนาม ในสัญญาเป็นภายในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามกฎหมายและ ระเบียบที่เกี่ยวข้องในการจัดซื้อจัดจ้างอย่างเคร่งครัด โดยหากหน่วยงานเจ้าของโครงการไม่สามารถดำเนินโครง การได้ทัน เห็นควรยกเลิกวงเงินที่จัดสรรให้โครงการและนำมารวมเป็นเงินเหลือจ่ายต่อไป ๑.๗ รับทราบและอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้ม แข็ง ๒๕๕๕ โดยหน่วยงานจะต้องส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงินซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติ งานและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันทำการหลังจากคณะรัฐมนตรีอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงราย ละเอียดของโครงการ และสำนักงบประมาณจะดำเนินการอนุมัติภายใน ๑๕ วันทำการ โดยหลังจากได้รับอนุมัติ แล้ว หน่วยงานจะต้องลงนามในสัญญาให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันทำการ ๑.๘ รับทราบการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินของกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ๒. ในกรณีที่หน่วยงานเจ้าของโครงการพิจารณาแล้วยังคงยืนยันความจำเป็นในการดำเนินโครงการภาย ใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ให้หน่วยงานนั้นพิจารณาทบทวนและปรับแผนการดำเนินงานของโครงการใด ๆ ที่หน่วยงานได้รับการจัดสรรงบประมาณจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มาเพื่อใช้ในการ แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ เป็นการทดแทน โดยให้แจ้ง ข้อมูลการพิจารณาทบทวนฯ พร้อมรายละเอียดที่เกี่ยวข้องไปยังสำนักงบประมาณโดยด่วนภายใน ๑๕ วัน นับแต่วัน ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ
|
||||||||||||||||||||||||
1836 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมจากภาวะวิกฤตของประเทศไทย | สสป | 02/11/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. รับทราบความเห็นและข้อเสนอและของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมจากภาวะวิกฤตของประเทศไทย ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ กลุ่มเป้าหมายในการเยียวยาต้องครอบคลุมประชาชนผู้ได้รับผลกระทบทั้งในกรุงเทพมหานคร และส่วนภูมิภาค อย่างทั่วถึง และไม่เลือกฝ่าย ได้แก่ ประชาชน ธุรกิจ และผู้ประกอบการ ๑.๒ มาตรการเยียวยาในระยะสั้น แบ่งเป็น ๒ ด้าน ได้แก่ ๑.๒.๑ ด้านเศรษฐกิจ ควรประเมินผลการให้ความช่วยเหลือและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบต่าง ๆ ที่ได้ดำเนินการไปแล้วว่าเพียงพอที่ผู้ได้รับผลกระทบจะสามารถกลับมาประกอบธุรกิจได้ตามปกติหรือไม่ โดยเสนอมาตรการเยียวยาเพิ่มเติมจากที่รัฐบาลได้ดำเนินการไปแล้ว ได้แก่ ด้านผู้ประกอบการรายย่อย ผู้ประกอบการรายใหญ่ ผู้ประกอบการชาวต่างชาติ การท่องเที่ยว การเงินการคลัง ประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการขาย และการให้ความช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษกับเจ้าหน้าที่ อาสาสมัครช่วยชีวิต พยาบาล และผู้สื่อข่าว ๑.๒.๒ ด้านสังคม ได้แก่ ด้านจิตใจ การบังคับใช้กฎหมาย แรงงาน การศึกษา การมีส่วนร่วม การต่างประเทศ และกฎหมายการสื่อสาร ๑.๓ ด้านกลไกการเยียวยาเพิ่มเติม ควรจัดตั้งคณะกรรมการช่วยเหลือประชาชนที่มาจากต่างจังหวัดซึ่งเข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองในครั้งนี้โดยความบริสุทธิ์ใจด้วย เพื่อบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนและความไม่เป็นธรรมต่าง ๆ ๑.๔ ด้านการปฏิรูปประเทศไทยตามกรอบแนวคิดของแผนปรองดองแห่งชาติ ได้แก่ ๑.๔.๑ ระยะปานกลาง ควรเร่งปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมควบคู่ไปกับการปฏิรูปการเมือง ๑.๔.๒ ระยะปานกลางและระยะยาว โดยปรับปรุงกฎหมายในภาพรวมจำเป็นต้องดำเนินการต่อไป รวมตลอดถึงการออกหรือแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับสวัสดิการสังคมต่าง ๆ ๒. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของคณะกรรมการช่วยเหลือผู้ประกอบการและลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม ตามความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการช่วยเหลือผู้ประกอบการและลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมเสนอ ๓. ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ในเรื่องนี้ ชี้แจงการดำเนินงานของรัฐบาลพร้อมทั้งจัดทำรายงานผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีและรายงานให้สภาที่ปรึกษาฯ ทราบ
|
||||||||||||||||||||||||
1837 | การบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | กค | 02/11/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งพิจารณาทบทวนความจำเป็นเหมาะสมและลำดับความเร่งด่วนทั้งในส่วนของงบประมาณภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ และงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับการจัดสรรไว้แล้วที่ยังไม่มีการก่อหนี้ผูกพัน เพื่อนำงบประมาณที่ได้รับจัดสรรไปใช้เพื่อการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนผู้ประสบภัยในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ รวมทั้งเพื่อการก่อสร้างซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย ๒. รับทราบ อนุมัติ และเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยสรุปดังนี้ ๒.๑ รับทราบวงเงินเหลือจ่ายภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ รวมทั้งรับทราบความก้าวหน้าและแนวทางการดำเนินการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ภายใต้ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง พ.ศ. ๒๕๕๕ พ.ศ. ๒๕๕๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๕๓ ๒.๒ อนุมัติการขยายระยะเวลาลงนามในสัญญา การจัดสรรเงิน และการดำเนินโครงการ ทั้งนี้ หากหน่วยงานเจ้าของโครงการไม่สามารถดำเนินโครงการได้ทัน ให้ยกเลิกวงเงินที่จัดสรรให้โครงการและนำมารวมเป็นวงเงินเหลือจ่ายต่อไป และอนุมัติเป็นหลักการสำหรับโครงการเงินอุดหนุนสำหรับการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (วงเงิน ๒๓,๐๐๐ ล้านบาท) ให้ขยายเวลาลงนามในสัญญาเป็นภายในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ๒.๓ อนุมัติเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ในส่วนของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด (จังหวัดน่าน แพร่ เชียงราย เชียงใหม่ ราชบุรี นครปฐม กาญจนบุรี สกลนคร มุกดาหาร พังงา ตาก ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ) กระทรวงศึกษาธิการ (มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) กระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น) และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมปศุสัตว์) โดยหน่วยงานจะต้องส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงิน ซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติการและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันทำการ ๒.๔ ในส่วนของการดำเนินโครงการใหม่ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ จำนวน ๑๙ โครงการ วงเงินรวม ๔,๒๓๕.๕๙ ล้านบาท และโครงการเดิมที่กระทรวงการคลังกำหนดให้หน่วยงานเจ้าของโครงการต้องจัดส่งคำขอการจัดสรรเงินพร้อมเอกสารรายละเอียดประกอบที่ครบถ้วนให้สำนักงบประมาณภายในวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ นั้น ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งพิจารณาทบทวนความจำเป็นเร่งด่วนและความเหมาะสมของโครงการเพื่อนำงบประมาณที่ได้รับจัดสรรไปใช้เพื่อการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนผู้ประสบภัยในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ รวมทั้งเพื่อการก่อสร้างซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานและสถานที่ราชการต่าง ๆ ตามนัยหลักการที่นายกรัฐมนตรีเสนอ และให้แจ้งยืนยันผลการพิจารณาทบทวนพร้อมส่งรายละเอียดที่เกี่ยวข้องให้สำนักงบประมาณภายใน ๓ วันนับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ และให้สำนักงบประมาณเร่งพิจารณาก่อนนำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยเร็วต่อไป ทั้งนี้ โครงการใดที่หน่วยงานเจ้าของโครงการยังคงยืนยันขอจัดสรรเงินตามโครงการเดิมให้ดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบเวลาที่กระทรวงการคลังกำหนด |
||||||||||||||||||||||||
1838 | ขอเพิ่มเติมรายการที่เกี่ยวกับการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณการเปลี่ยนแปลงรายการหรือการเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันเกินกว่าวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ | นร | 02/11/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. อนุมัติการเปลี่ยนแปลงรายการ รวม ๒ รายการ [โครงการติดตั้งระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย และก่อสร้างศูนย์บริการจอดรถและเรือเพื่อพัฒนา ระบบขนส่งมวลชนทางบกและทางทะเล เมืองพัทยา จำนวน ๑ แห่ง ของเมืองพัทยา] โดยมีวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปี งบประมาณแต่ละรายการตามผลการพิจารณาความเหมาะสมของสำนักงบประมาณ และมอบหมายให้ส่วนราชการ เร่งรัดการลงนามในสัญญาและกำกับการดำเนินงานให้เป็นไปตามกรอบวงเงินงบประมาณและระยะเวลาด้วย ตามที่ สำนักงบประมาณเสนอ ๒. ในส่วนของโครงการติดตั้งระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้กระทรวง มหาดไทยเร่งรัดการดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
|
||||||||||||||||||||||||
1839 | ร่างพระราชบัญญัติมาตรการการคลังเพื่อสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... | กค | 12/10/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติมาตรการการคลังเพื่อสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มี กฎหมายว่าด้วยมาตรการการคลังเพื่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบด้านการจัด การสิ่งแวดล้อมสามารถนำมาตรการการคลัง เช่น มาตรการทางภาษี ค่าธรรมเนียมฯ มาใช้ในการจัดการสิ่งแวด ล้อมให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งนำรายได้ที่จัดเก็บได้จากการใช้มาตรการการคลังดังกล่าวกลับคืนมาจัด การสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้ รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่า ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้มีความเกี่ยวข้องกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีหน้า ที่ความรับผิดชอบด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม ซึ่งสามารถนำมาตรการการคลังมาใช้ในการจัดการสิ่งแวดล้อมให้ เกิดประสิทธิภาพ แต่มาตรการดังกล่าวยังมีความไม่ชัดเจนในหลาย ๆ ประเด็น เช่น มาตรการภาษี การจัดตั้ง กองทุนภาษี และการบริหารจัดการกองทุน ตลอดจนการเตรียมความพร้อมของพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงสมควร ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาในประเด็นดังกล่าว เพื่อให้เกิดความชัดเจน แล้วส่งผลการพิจารณาให้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไปไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวง สาธารณสุข และกระทรวงอุตสาหกรรม รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีตามข้อ ๑ ไปพิจารณาหารือร่วมกัน แล้ว ส่งผลการพิจารณาให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อประกอบการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดัง กล่าวต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
1840 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ครั้งที่ 5/2553 | นร | 05/10/2553 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไข
ปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ครั้งที่ ๕/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๓ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการ พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ กรอ. เสนอ ดังนี้ ๑. เห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรมการ กรอ. เรื่อง มาตรการเร่งด่วนและมาตรการเสริมเพื่อ ส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพในประเทศไทยตามที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) เสนอ และมอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการ พิจารณาความเหมาะสมของข้อเสนอ มาตรการเร่งด่วน และมาตรการเสริมเพื่อส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรม พลาสติกชีวภาพในประเทศไทยของ กกร. และนำผลการพิจารณากลับมาเสนอคณะกรรมการ กรอ. ภายใน ๒ เดือน ๒. เห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรมการ กรอ. เรื่อง การส่งเสริมธุรกิจวิชาชีพทางวิศวกรรมและ สถาปัตยกรรมออกสู่ตลาดต่างประเทศ ตามที่ กกร. โดยสภาวิศวกรและสมาคมวิชาชีพทางวิศวกรรมและสถาปัตย กรรม ๔ สมาคม (สมาคมวิศวกรที่ปรึกษาแห่งประเทศไทย สมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรม ราชูปถัมภ์ สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชู ปถัมภ์) เสนอ และมอบหมายให้คณะกรรมการด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบ การอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยไปขยายงานในตลาดต่างประเทศ ที่มีประธานผู้แทนการค้าไทยเป็นประธานกรรม การรับไปพิจารณามาตรการส่งเสริมธุรกิจวิชาชีพทางวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมออกสู่ตลาดต่างประเทศทั้งระยะ สั้นและระยะยาว และรายงานที่ประชุมคณะกรรมการ กรอ. ต่อไป ๓. เห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรม กรอ. เรื่อง มาตรการทางการเงินเพื่อสนับสนุนการประกอบ ธุรกิจอุตสาหกรรมก่อสร้างในต่างประเทศ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และมอบหมายให้คณะกรรมการด้านการ ค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยไปขยายงานในตลาดต่าง ประเทศ ที่มีประธานผู้แทนการค้าไทยเป็นประธานกรรมการ รับไปพิจารณามาตรการทางการเงินเพื่อสนับสนุน การประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมก่อสร้างในต่างประเทศอีกครั้งหนึ่ง โดยคำนึงถึงกฎระเบียบขององค์การการค้า โลกที่อาจจะเป็นข้อจำกัดของการให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้ประกอบการไทย ทั้งนี้ ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรี พิจารณาให้ความเห็นชอบภายใน ๓๐ วัน และรายงานให้ที่ประชุมคณะกรรมการ กรอ. ทราบต่อไป ๔. เห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรมการ กรอ. เรื่อง การเร่งรัดออกกฎหมายประกอบรัฐธรรม นูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๙๐ วรรคห้า ตามที่ กกร. เสนอ ๕. เห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรมการ กรอ. เรื่อง การระงับข้อพิพาทโดยวิธีอนุญาโตตุลาการ ตามที่สำนักงานผู้แทนการค้าไทยเสนอ และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติเป็นเจ้าภาพจัดให้มีการหารือร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อหาข้อสรุปทาง นโยบาย และนำเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน ๑ เดือน ๖. รับทราบผลการเดินทางเยือนนครลอสแองเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา ของผู้แทนการค้าไทย (นาย วัชระ พรรณเชษฐ์) และมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุข (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) และกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ เร่งรัดการดำเนินมาตรการ Pre-clearance ตามข้อเสนอของประธานผู้แทนการค้าไทย ๗. รับทราบความคืบหน้าการความช่วยเหลือทางการเงินสำหรับอุตสาหกรรมแปรรูปผลิตภัณฑ์ยาง พาราของสมาคมผู้ผลิตถุงมือยางไทย ตามที่บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เสนอ ๘. รับทราบความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Auction) ตาม ที่กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) เสนอ ๙. รับทราบผลการสัมมนาเรื่อง “Thailand’s Investment Environment : Looking Forward” ตามที่ กกร. ร่วมกับหอการค้าต่างประเทศ เสนอ
|
.....