ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 91 จากทั้งหมด 138 หน้า แสดงรายการที่ 1801 - 1820 จากข้อมูลทั้งหมด 2746 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1801 | การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร | 28/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๒,๒๕๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยเป็นนโยบายงบประมาณขาดดุลจำนวน ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท รายได้สุทธิจำนวน ๑,๙๐๐,๐๐๐ ล้านบาท และรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของกระทรวง ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ๑.๒ แนวทางการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ดังนี้ ๑.๒.๑ ปรับปรุงรายละเอียดให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ภายในกรอบวงเงินของแต่ละกระทรวงหรือวงเงินของหน่วยงานที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ๑.๒.๒ งบประมาณที่ได้รับจัดสรรไว้สำหรับรายจ่ายผูกพันตามสัญญา ตามมติคณะรัฐมนตรี ตามกฎหมาย รายจ่ายชำระหนี้ เงินอุดหนุนที่จัดสรรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนรายจ่ายที่จำเป็นต้องจ่ายสำหรับค่าใช้จ่ายบุคลากรและค่าสาธารณูปโภค ไม่ควรเปลี่ยนแปลงรายการไปจัดสรรให้รายการอื่น ๆ ๑.๒.๓ เพื่อรักษาสัดส่วนรายจ่ายลงทุนของแต่ละกระทรวงให้อยู่ในระดับที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบไว้ในภาพรวม จึงไม่ควรเปลี่ยนแปลงรายจ่ายลงทุนไปเพิ่มในรายจ่ายประจำ ๑.๒.๔ การปรับปรุงงบประมาณไม่ควรเพิ่มรายการใหม่ที่มีภาระผูกพันงบประมาณในปีต่อ ๆ ไป ๑.๓ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น นำเสนอการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามแนวทางข้อ ๑.๒ เสนอนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัดเพื่อให้ความเห็นชอบและส่งผลการพิจารณาข้อเสนอการปรับปรุงให้สำนักงบประมาณภายในวันอังคารที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๔ และให้สำนักงบประมาณพิจารณาการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาในวันอังคารที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๔ ๒. เห็นชอบตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอขอแก้ไขข้อความในหนังสือสำนักงบประมาณ ลับ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๑๖/๑๑๐๗๖ ลงวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๔ ดังนี้ ๒.๑ หน้า ๑ จากเดิม “ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ และวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๕๔ ...” เป็น “ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ และวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๔ ...” ๒.๒ หน้า ๑๐ จากเดิม “(๑) ปรับปรุงรายละเอียดให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ...” เป็น “(๑) ปรับปรุงรายละเอียดให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ...”
|
||||||||||||||||||||||||
1802 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายประมงแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2554 | กษ | 14/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. แนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด เห็นชอบในหลักการให้มีผู้แทนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจาก ๕ หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กรมประมง กรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และผู้แทนจากสถาบันการศึกษาที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาความเหมาะสมของข้อกำหนดที่กรมพัฒนาที่ดินเคยใช้ในการกำหนดเขตพื้นที่ระงับการเพาะเลี้ยงกุ้งกุลาดำระบบความเค็มต่ำในพื้นที่น้ำจืดเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๑ กับสภาพของดินและสภาพพื้นที่ซึ่งเปลี่ยนไปจากเดิม ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมประมง) รับไปประสานงานและดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๓๐ วัน แล้วให้นำผลการพิจารณาเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมพิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒. การขอผ่อนผันการจดทะเบียนเรืออวนลาก ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปพิจารณาทบทวนเรื่องนี้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จภายใน ๓๐ วัน เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรติดตามการจดทะเบียนเรืออวนลากเพิ่มเติมให้เป็นไปตามกรอบเงื่อนไขที่กำหนดอย่างใกล้ชิด และควบคุมไม่ให้มีจำนวนเรือประมงอวนลากและอวนรุนทั้งระบบเพิ่มขึ้นอีก และในระยะต่อไปควรหามาตรการจูงใจเพื่อให้มีการลดจำนวนเรือประมงฯ ดังกล่าวเพื่อลดผลกระทบต่อถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ รวมทั้งส่งเสริมภาคเอกชนในการร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ ในการทำประมงนอกน่านน้ำไทยให้กว้างขวางมากขึ้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1803 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1/2554 | นร | 08/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ (กรอ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ และเห็นชอบผลการพิจารณาและมติของคณะกรรมการ กรอ. ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ กรอ. เสนอ โดยที่ประชุมฯ มีมติ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบตามมติคณะทำงานร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพิจารณาแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ และส่งเสริมอุตสาหกรรมแปรรูปไม้ยางพารา ที่เห็นว่าขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็นในการแก้ไขพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ แต่เห็นควรให้มีแนวทาง/มาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรมไม้ยางพารา เพื่อแก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรคของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมแปรรูปไม้ยางพารา และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมป่าไม้) ดำเนินการตามแนวทาง/มาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรมไม้ยางพารา ตามมติคณะทำงานร่วมฯ และแจ้งไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดและสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการต่ออายุใบอนุญาตอุตสาหกรรมไม้ทุกประเภท (รวมถึงไม้ยางพารา) ที่ได้ปรับปรุงแล้วเสร็จ ไปปฏิบัติเป็นแนวทางเดียวกันทั่วประเทศ และให้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมไม้รับทราบแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการต่ออายุใบอนุญาตดังกล่าว และนำไปปฏิบัติต่อไป นอกจากนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมป่าไม้) เร่งรัดการออกระเบียบ ข้อกำหนด และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดความชัดเจนในทางปฏิบัติเกี่ยวกับการขยายระยะเวลาการจัดทำบัญชีไม้ การกำหนดค่ามาตรฐานในการแปลงค่าน้ำหนักเป็นปริมาตรเพื่อประกอบการจัดทำบัญชีไม้ และปรับปรุงการออกและต่ออายุใบอนุญาตจัดตั้งโรงงานแปรรูปไม้ยางพารา ๑.๒ รับทราบผลการศึกษาการยกเลิกอัตราการนำเงินเข้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) โดยให้คงอัตราการนำเงินเข้ากองทุนฯ ๕ บาท ต่อกิโลกรัมจนกว่ากองทุนฯ จะชำระหนี้ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๓ (เรื่อง การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวไร่อ้อย) แล้วเสร็จ รวมทั้งให้กระทรวงอุตสาหกรรมศึกษาแนวทางการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบให้แล้วเสร็จและเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๓ เห็นชอบตามข้อเสนอบทบาทการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในแผนปฏิบัติการปฏิรูปประเทศไทย และให้ สศช. ประสานกับภาคเอกชนเพื่อพิจารณาในรายละเอียดการดำเนินงานต่อไป ๑.๔ ให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักในการหารือร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เพื่อรับความเห็นของคณะกรรมการ กรอ. ไปพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้เต็มตามศักยภาพ รวมทั้งการพัฒนาระบบข้อมูลการตรวจสอบและคัดกรองผู้โดยสารล่วงหน้าให้เป็นมาตรฐานสากล และให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักในการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาความเหมาะสมในการใช้ประโยชน์และข้อเสนอด้านงบประมาณในการจัดพิมพ์บัตร ตม.๖ ให้เพียงพอ รวมทั้งการปรับปรุงกฎกระทรวงเพื่ออำนวยความสะดวกในการตรวจสอบหนังสือเดินทางล่วงหน้าด้วย ๑.๕ รับทราบรายงานผลการศึกษาเบื้องต้นศักยภาพในการรองรับอุตสาหกรรมของพื้นที่มาบตาพุด และให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยทำหนังสือพร้อมหลักฐานการส่งข้อมูลแผนแม่บทการใช้ประโยชน์ที่ดินและการพัฒนาบนพื้นที่ถมทะเลให้กับคณะกรรมการ ๔ ฝ่าย (ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน และนักวิชาการ) ด้วย ๑.๖ รับทราบผลการดำเนินการของกรมศุลกากร ตามมติคณะกรรมการ กรอ. ครั้งที่ ๖/๒๕๕๓ วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ได้แก่ การแก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนากองเรือพาณิชย์ไทย นโยบายและมาตรการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ แนวทางแก้ไขปัญหาการนำเข้าสินค้าวัตถุอันตรายตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. ๒๕๓๕ ทั้งนี้ ในเรื่องแนวทางการแก้ไขปัญหาการนำเข้าสินค้าวัตถุอันตรายตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. ๒๕๓๕ ที่ประชุมได้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) เป็นประธานการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือแนวทางการแก้ไขปัญหานำเข้าสินค้าวัตถุอันตรายตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องและการกำหนดหน่วยงานที่เป็น Contact Point ให้ชัดเจน โดยให้ สศช. ทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการ แล้วนำเสนอคณะกรรมการ กรอ. พิจารณาต่อไป ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นเพิ่มเติมของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายอลงกรณ์ พลบุตร) ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ดังนี้ ๒.๑ กรณีการขอผ่อนปรนกฎหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว หากผู้ที่เกี่ยวข้องเห็นว่ามีประเด็นใดที่ต้องมีการทบทวนหรือปรับปรุงแก้ไข ก็ควรระบุให้ชัดเจน เพื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำไปปฏิบัติให้ถูกต้องตรงกันต่อไป ๒.๒ การใช้ประโยชน์จากข้อตกลงเขตการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (Economic Partnership Agreement : EPA) เนื่องจากปัจจุบันยังมีการใช้ประโยชน์จากความตกลงดังกล่าวค่อนข้างน้อย เช่น ความตกลงการค้าไทย - นิวซีแลนด์ ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน - อินเดีย เป็นต้น ดังนั้น กระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าต่างประเทศ) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรหาแนวทางเพื่อกระตุ้นให้นักลงทุนใช้ประโยชน์ของความตกลงการค้าและลงทุนเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งควรขยายกรอบของความตกลงการค้าเพื่อให้สามารถขยายขอบเขตการลงทุน ฐานการผลิตในประเทศ และการส่งออก ให้มากยิ่งขึ้นด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
1804 | รายงานผลการพิจารณากรอบวงเงินค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานระบบรถไฟฟ้า โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่ - บางซื่อ จำนวน 382 ล้านบาท | นร | 01/03/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบรายงานผลการพิจารณากรอบวงเงินค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานระบบรถไฟฟ้า โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่ - บางซื่อ และให้ดำเนินการตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ตามที่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้กำหนดกรอบวงเงินค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานระบบรถไฟฟ้าฯ ไว้จำนวน ๔๓๓.๔๓๔ ล้านบาท แต่กรอบวงเงินที่กระทรวงคมนาคมเสนอในครั้งนี้ จำนวน ๓๘๒ ล้านบาท โดยใช้หลักเกณฑ์สัดส่วนร้อยละ ๑.๕ ของค่าตัวรถไฟฟ้า และสัดส่วนร้อยละ ๔ ของค่างานระบบรถไฟฟ้า เพื่อให้เป็นไปตามหลักการเดียวกันกับการคำนวณค่าจ้างที่ปรึกษาของโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงบางซื่อ - ท่าพระ ซึ่งสำนักงบประมาณพิจารณาตามหลักเกณฑ์แนวทางและขอบเขตการพิจารณางบประมาณ รายการค่าจ้างที่ปรึกษาฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ แล้ว วงเงินที่พิจารณาได้เป็นเงิน ๓๙๕.๕๒๔ ล้านบาท ดังนั้น วงเงินค่าจ้างที่ปรึกษาฯ ที่กระทรวงคมนาคมเสนอจึงต่ำกว่าวงเงินค่าจ้างตามเกณฑ์ของสำนักงบประมาณที่พิจารณาได้เป็นจำนวน ๑๓.๕๒๔ ล้านบาท หรือร้อยละ ๓.๕ จึงเห็นว่ากรอบวงเงินค่าจ้างที่ปรึกษาฯ ที่กระทรวงคมนาคมเสนอเป็นกรอบวงเงินที่เหมาะสม ทั้งนี้ มีข้อสังเกตว่าในขั้นตอนการพิจารณาจัดจ้างที่ปรึกษาฯ รฟม. ควรกำหนดรายละเอียดประสบการณ์ของที่ปรึกษาตามความต้องการของโครงการเท่านั้น เนื่องจากจะมีผลกระทบต่ออัตราค่าจ้าง รวมทั้งพิจารณาเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศอย่างรอบคอบ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทางราชการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
1805 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "บทบาทของวัฒนธรรมในการสร้างความปรองดองแห่งชาติและ การปฏิรูปประเทศไทย" | สสป | 22/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง “บทบาทของวัฒนธรรมในการสร้างความปรองดองแห่งชาติและการปฏิรูปประเทศไทย” ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ รวมทั้งรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐบาลควรกำหนดวัตถุประสงค์ของการอนุรักษ์และพัฒนาวัฒนธรรมให้ชัดเจน ๒. รัฐบาลควรส่งเสริมวัฒนธรรมที่พึงประสงค์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ๓. รัฐบาลควรใช้มิติทางวัฒนธรรมในการสร้างความปรองดองแห่งชาติ วัฒนธรรมที่สำคัญ คือ วัฒนธรรมรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รณรงค์ให้นักการเมือง ข้าราชการ ประชาชน เยาวชนมีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อย่างแท้จริงและถูกต้อง ๔. รัฐบาลควรรณรงค์ให้นักการเมือง ข้าราชการ นักธุรกิจ ประชาชน และเยาวชน ปฏิบัติตามคุณธรรม ๔ ประการ ที่พระราชทานในวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๙ ได้แก่ เมตตาธรรม สามัคคีธรรม สุจริตธรรม และความเที่ยงธรรม เพื่อเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการสร้างความปรองดองแห่งชาติ ๕. รัฐบาลควรรณรงค์ให้นักการเมือง ข้าราชการ นักธุรกิจ ประชาชน และเยาวชน ปฏิบัติตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริอย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง ๖. รัฐบาลควรใช้มิติทางวัฒนธรรมในการปฏิรูปประเทศไทยทั้ง ๓ ด้าน คือ การปฏิรูปด้านเศรษฐกิจ การปฏิรูปด้านสังคม และการปฏิรูปด้านการเมืองการปกครอง ทั้งนี้ ในการปฏิรูปด้านเศรษฐกิจ ควรมีปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นรากฐาน ในการปฏิรูปด้านสังคม ควรมีศาสนาและการศึกษาเป็นรากฐาน และในการปฏิรูปด้านการเมือง ควรมีธรรมาธิปไตยและธรรมาภิบาลเป็นรากฐาน ๗. รัฐบาลควรแต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมศาสนาสัมพันธ์แห่งชาติ ทำหน้าที่ในการส่งเสริมความร่วมมือ ความเข้าใจอันดี และความสามัคคีระหว่างศาสนาต่าง ๆ และผู้นับถือศาสนาต่าง ๆ ในประเทศไทย เพื่อใช้พลังศาสนาในการป้องกันแก้ไขปัญหาสังคม การพัฒนาสังคม การส่งเสริมความมั่นคงของชาติ การสร้างความปรองดองแห่งชาติ และการปฏิรูปประเทศไทย ๘. ในมหามงคลสมัยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระเจริญพระชนมพรรษาครบ ๘๔ พรรษา ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ รัฐบาลควรกำหนดให้ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นปีแห่งการปฏิบัติธรรมและรักษาวัฒนธรรมไทย เพื่อถวายเป็นพระราชสักการะแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงคุณธรรมอันประเสริฐ ผู้ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติ เพื่อให้วัฒนธรรมซึ่งเป็นมรดกของชาติ เป็นทุนที่สำคัญของสังคม มีบทบาทในการป้องกัน แก้ไขปัญหาสังคม ในการพัฒนาสังคม ในการสร้างความปรองดองของชาติและในการปฏิรูปประเทศไทย
|
||||||||||||||||||||||||
1806 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การมีส่วนร่วมของภาคประชาชน กรณีศึกษาการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการสนับสนุนการสร้างความปรองดอง | สสป | 22/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การมีส่วนร่วมของภาคประชาชน กรณีศึกษาการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อใช้เป็นแนวทางในการสนับสนุนการสร้างความปรองดอง ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ รวมทั้งรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง องค์การสวนยาง กรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร กรมส่งเสริมสหกรณ์ และสภาที่ปรึกษาฯ เกี่ยวกับความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการปลูกยางพาราต้องถึงเกษตรกรที่ยากจนโดยตรง ตามพระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง พ.ศ. ๒๕๐๓ มาตรา ๒๑ ทวิ แก้ไขเพิ่มเติมตามมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๓๐ ๒. ตรวจสอบคุณภาพกล้ายางให้ตรงสายพันธุ์ ๓. สนับสนุนเงินและปัจจัยการผลิตไม่น้อยกว่าไร่ละ ๑๑,๐๐๐ บาท ในระยะเวลา ๗ ปี จนเปิดกรีดยาง ซึ่งจะให้ผลผลิตเฉลี่ย ๓๐๐ กิโลกรัม/ไร่/ปี จะทำรายได้เฉลี่ย ๑๕,๖๐๐ บาท/ไร่/ปี (ประมาณการรายได้ถึงปีที่ ๑๐ กรณีที่ราคายางกิโลกรัมละ ๘๐ บาท) ๔. สนับสนุนให้เกษตรกรรวมกลุ่มเพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ในการปลูกและแปรรูปยางพาราร่วมกัน และส่งเสริมให้เกษตรกรเรียนรู้วิธีการเพาะพันธุ์กล้ายางเพื่อให้เกษตรกรมีอาชีพเสริม โดยให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องสนับสนุนการดำเนินงานโดยบูรณาการทำงานร่วมกัน
|
||||||||||||||||||||||||
1807 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน (ช่วงระหว่างวันที่ 1 มีนาคม 2554 - 30 เมษายน 2554) | กค | 22/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการพิจารณาของกระทรวงการคลังที่ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ สรุปได้ว่า การดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนเป็นมาตรการระยะสั้นเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนผู้มีรายได้น้อยในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้ที่ผ่านมารัฐบาลได้มีการพิจารณาขยายระยะเวลาการดำเนินมาตรการดังกล่าวเป็นคราว ๆ ไป รวมทั้งได้มีการปรับปรุงและยกเลิกมาตรการให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้ หากสภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยฟื้นตัวและประชาชนมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ก็น่าจะสามารถยุติการดำเนินการตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพได้ ดังนั้น การพิจารณาให้มาตรการใดเป็นการบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชนในระยะยาวหรือเป็นมาตรการถาวร จึงไม่เป็นไปตามหลักการและเหตุผลของการดำเนินมาตรการการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน สำหรับการพิจารณาว่ามาตรการในเรื่องใดที่เป็นบริการเชิงสังคมควรปรับเข้าสู่ระบบการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ (Public Service Obligation : PSO) นั้น เนื่องจากการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนเป็นมาตรการระยะสั้น จึงไม่สามารถเข้าสู่ระบบ PSO ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๕๑ ได้ ๒. อนุมัติในหลักการ ดังนี้ ๒.๑ การขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพต่อไปจนถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๔ รวมถึงวงเงินและแหล่งเงินในการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพ ๒.๒ กรณีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงสูงกว่าวงเงินที่ได้รับอนุมัติ เพื่อไม่ให้เป็นภาระต่อรัฐวิสาหกิจที่รับผิดชอบในการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน และไม่ให้เป็นภาระของคณะรัฐมนตรี ให้สำนักงบประมาณเป็นผู้พิจารณาปรับเพิ่มวงเงินค่าใช้จ่ายการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนในช่วงระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๔ - ๓๐ เมษายน ๒๕๕๔ ตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง และแจ้งให้รัฐวิสาหกิจที่ดำเนินมาตรการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. เห็นชอบการขยายระยะเวลาการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน จากที่เสนอไว้ว่า ตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๔ เป็นตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอเพิ่มเติม
|
||||||||||||||||||||||||
1808 | มาตรการและการบริหารจัดการน้ำมันปาล์มนำเข้า | พณ | 22/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้เพิ่มรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นกรรมการในคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔) เป็นต้นไป ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ประธานกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ รับเรื่อง มาตรการและการบริหารจัดการน้ำมันปาล์มนำเข้า ไปพิจารณาในคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติโดยด่วน ในวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ โดยให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น รองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) เข้าร่วมประชุมด้วยเพื่อพิจารณาเกี่ยวกับนโยบายการแก้ไขปัญหาน้ำมันปาล์มอย่างเป็นระบบและครบวงจร รวมถึงแนวทางการดำเนินการรองรับผลกระทบในด้านต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากปัญหาสถานการณ์ขาดแคลนน้ำมันปาล์ม แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยให้นำผลการพิจารณาเสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
1809 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2554 | กษ | 15/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ซรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ ๒๕๕๔ สรุปได้ดังนี้ ๑.๑ รายการก่อสร้างและปรับปรุงอาคาร จำนวน ๔ รายการ ได้จัดซื้อจัดจ้างไปแล้ว วงเงิน ๙๘,๗๗๐,๐๐๐ บาท สำหรับรายการอื่น ๆ อยู่ระหว่างดำเนินการออกแบบและประกวดราคา ในส่วนของการรวบรวมพรรณไม้สำหรับการเรียนรู้และตกแต่งภูมิทัศน์ด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิดได้ดำเนินการไปแล้วบางส่วน ๑.๒ จัดส่งรายละเอียดให้สำนักงบประมาณ เมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ เพื่อให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณและการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๕ ขณะนี้อยู่ระหว่างรอการจัดสรรงบประมาณ รวมทั้งได้ประชาสัมพันธ์การจัดงานฯ และประสานกับกระทรวงการต่างประเทศเชิญชวนต่างประเทศเข้าร่วมงานในเบื้องต้นแล้ว สำหรับการเตรียมการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ได้ประสานกับหน่วยงานต่าง ๆ ในเบื้องต้นเพื่อจัดทำแผนการดำเนินงานแล้ว ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการพิจารณาดำเนินการตามความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามมติคณะรัฐมนตรี (๓ สิงหาคม ๒๕๕๓) เกี่ยวกับการจัดทำประมาณการรายรับ-รายจ่าย แผนบริหารรายได้และแผนความพร้อมด้านบุคลากร ตลอดจนการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกิจกรรม รวมทั้งการจัดทำแผนความเป็นไปได้ทางธุรกิจ (Financial Plan) ตลอดจนการศึกษาวิเคราะห์แนวทางการให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมในการบริหารจัดการ ให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วยในการรายงานครั้งต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
1810 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การดำเนินการแก้ไขปัญหาผลกระทบด้านเสียงจากการดำเนินงาน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กรณีการบินในช่วงฤดูหนาว | คค | 15/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ความคืบหน้าการดำเนินการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ คณะกรรมการ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) มีมติเมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๓ รับทราบมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๓ (การดำเนินการแก้ไขปัญหาผลกระทบด้านเสียงจากการดำเนินกิจการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิตามเส้นเสียงฤดูหนาว) และเห็นชอบให้เสนอเข้าที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาในเดือนมกราคม ๒๕๕๔ ทั้งนี้ เส้นเสียงฤดูหนาวมีอาคารจำนวน ๖,๔๒๔ อาคาร ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๒ เห็นชอบงบประมาณการชดเชยผลกระทบด้านเสียงครอบคลุมกรณีการบินในช่วงฤดูหนาวไว้แล้ว เป็นเงิน ๔,๐๘๘.๔๕๒ ล้านบาท ๑.๒. ทอท. ได้จัดจ้างกลุ่มบริษัท T.E.N. ในการดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์ตรวจวัดเสียงอากาศยาน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อใช้ตรวจสอบระดับเสียงมาตรฐานที่มีผลกระทบกับผู้อยู่อาศัยโดยรอบท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ขณะนี้ได้ติดตั้งสถานีตรวจวัดเสียง คอมพิวเตอร์แม่ข่ายและลูกข่ายแล้วเสร็จ คงเหลือเฉพาะการติดตั้งทดสอบระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) เครื่องบันทึกระบบสื่อสารการบิน และการทดสอบรวมทั้งระบบ ซึ่งคาดว่าจะสามารถตรวจรับงานได้ในกลางปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรายงานผลการพิจารณาดำเนินการตามความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามมติคณะรัฐมนตรี (๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๓) เกี่ยวกับความคืบหน้าการดำเนินการแก้ไขปัญหาผลกระทบด้านเสียงจากการดำเนินกิจการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ให้คณะรัฐมนตรีได้รับทราบด้วยในการรายงานครั้งต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
1811 | การกำหนดโควตาและวงเงินงบประมาณในการเลื่อนเงินเดือนให้แก่ข้าราชการตำรวจ | นร | 15/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ (เรื่อง การกำหนดโควตาและวงเงินงบประมาณในการเลื่อนเงินเดือนให้แก่ข้าราชการตำรวจ) โดยสำนักงาน ก.พ. ได้จัดการประชุมร่วมกันระหว่างผู้แทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง และกระทรวงกลาโหม และมีความเห็นเบื้องต้นว่า การดำเนินการตามข้อเสนอของสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีผลกระทบต่องบประมาณในระยะยาว ซึ่งรายละเอียดในเรื่องจำนวนเงินที่ต้องเพิ่มขึ้นยังมีข้อมูลที่แตกต่างกัน จึงเห็นควรจัดประชุมหารือร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณารายละเอียดในเชิงลึกให้ได้ข้อยุติที่ตรงกันเกี่ยวกับผลกระทบจากงบประมาณที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว และเพื่อพิจารณาแนวทางดำเนินการที่เหมาะสม ทั้งนี้ หากผลการพิจารณามีข้อสรุปเป็นประการใด สำนัก ก.พ. จะได้นำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาภายในวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๔
|
||||||||||||||||||||||||
1812 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง ความมั่นคงของกองทุนประกันสังคมหลังปี พ.ศ. 2557 | สสป | 01/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง ความมั่นคงของกองทุนประกันสังคมหลังปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ของกระทรวงแรงงานร่วมกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ให้สำนักงานประกันสังคมให้ความสำคัญในเรื่องความมั่นคงของกองทุนประกันสังคม (กรณีชราภาพ) รวมทั้งเปิดโอกาสในการรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้อง ๒. ควรมีการปรับฐานค่าจ้างขั้นต่ำให้เป็นไปตามอัตราค่าจ้างที่แท้จริงของผู้ประกันตน และควรมีการปรับอัตราสูงสุดจาก ๑๕,๐๐๐ บาท ให้เป็นไปตามความมั่นคงของกองทุนประกันสังคม รวมทั้งมีการทบทวนการจัดเก็บเงินสมทบขั้นต่ำและขั้นสูงทุก ๓ ปี ๓. ควรมีการเพิ่มอัตราเงินสมทบจากรัฐบาลเป็นร้อยละ ๕ เท่ากับลูกจ้างและนายจ้าง รวมทั้งแก้ไขพระราชบัญญัติประกันสังคมให้ผู้ประกันตนมีสิทธิรับบำเหน็จ หรือบำนาญ เมื่ออายุครบ ๖๐ ปี ๔. มาตรการจูงใจเพื่อป้องกันการออกจากกองทุนของผู้ประกันตนเมื่ออายุครบ ๕๕ ปี ควรเพิ่มอัตราการจ่ายบำนาญให้สูงขึ้น ดังนี้ ร้อยละ ๒๐ ไม่เกินร้อยละ ๓๐ ของค่าจ้างของผู้ประกันตนตอนอายุ ๖๐ ปี และร้อยละ ๓๐ ไม่เกินร้อยละ ๔๐ ของค่าจ้างของผู้ประกันตนตอนอายุ ๖๕ ปี ๕. ควรมีการแยกการบริหารจัดการกองทุนประกันสังคมออกจากระบบราชการ เพื่อให้การบริหารจัดการกองทุนมีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะด้านการลงทุน และในการบริหารจัดการด้านการลงทุน ควรมีการลงทุนกับประเภทกิจการที่มีความมั่นคงสูง
|
||||||||||||||||||||||||
1813 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. .... | สผ | 01/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ดังนี้ ๑.๑ การกำหนดให้นายจ้างจัดทำเอกสารหรือรายงาน โดยมีการตรวจสอบหรือรับรองบุคคลใดด้วยนั้น ควรกำหนดข้อห้ามในการที่บุคคลหรือนิติบุคคลใดที่ได้รับขึ้นทะเบียนหรือได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ให้บริการตรวจวัด ตรวจสอบ ทดสอบ รับรอง ประเมินความเสี่ยง รวมทั้งจัดฝึกอบรมหรือให้คำปรึกษาเพื่อส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ๑.๒.ควรกำหนดข้อห้ามในการที่บุคคลซึ่งเป็นผู้ชำนาญการที่จะทำหน้าที่ให้คำแนะนำหรือการรับรองผลให้แก่สถานประกอบกิจการใดต้องมิใช่ผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับเจ้าของสถานประกอบกิจการหรือเป็นผู้ถือหุ้นหรือหุ้นส่วนหรือมีความเกี่ยวข้องกับผู้บริหารสถานประกอบกิจการหรือเป็นลูกจ้าง ตลอดจนเป็นผู้ที่มีส่วนได้เสียทั้งทางตรงและทางอ้อมในผลประกอบกิจการของสถานประกอบกิจการที่จะมีการให้คำแนะนำหรือรับรองผล ๑.๓ ให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน จัดให้มีการตราพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปี โดยในการยกร่างพระราชกฤษฎีกาต้องมีผู้แทนฝ่ายนายจ้าง ผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง และผู้ทรงคุณวุฒิเข้าร่วมด้วย ๒. รับทราบผลการพิจารณาของกระทรวงแรงงานตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้แจ้งสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
1814 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การจัดทำแผนแม่บทการส่งเสริมศาสนาและคุณธรรมแห่งชาติ | สสป | 01/02/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การจัดทำแผนแม่บทการส่งเสริมศาสนาและคุณธรรมแห่งชาติ ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. จัดให้มีการทำแผนแม่บทการส่งเสริมศาสนาและคุณธรรมแห่งชาติ เพื่อส่งเสริมการปรองดองแห่งชาติ และการปฏิรูปประเทศไทย โดยอาจให้คณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการเป็นผู้รับผิดชอบ ๒. แผนแม่บทการส่งเสริมศาสนาและคุณธรรมชาติแห่งชาติ ควรประกอบด้วยวัตถุประสงค์ของการส่งเสริมศาสนาและคุณธรรมแห่งชาติ นโยบายการส่งเสริมศาสนาและคุณธรรมแห่งชาติ และยุทธศาสตร์ในการส่งเสริมศาสนาและวัฒนธรรมห่งชาติ ๓. กำหนดให้ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งเป็นปีมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษา ๘๔ พรรษา เป็นปีส่งเสริมศาสนาและคุณธรรมแห่งชาติเพื่อถวายพระราชสักการะและถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๔. ส่งเสริมสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนในสังคมทั้งหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ ภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคม ภาคประชาชน รวมทั้งสถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา สถาบันศาสนา ผนึกกำลังกันในการส่งเสริมศาสนาและคุณธรรมแห่งชาติเพื่อพัฒนาคนให้มีคุณภาพและคุณธรรม พัฒนาสังคมให้มีความสงบเรียบร้อย พัฒนาประเทศชาติให้มีความเจริญมั่นคงก้าวหน้าอย่างยั่งยืนและบูรณาการ ๕. ปฏิรูปการศึกษาใหม่โดยเพิ่มความสำคัญแก่ศาสนาให้เป็นรากฐานของการศึกษาโดยจัดให้มีทั้งสาระและเวลาเรียนอย่างเพียงพอในทุกระดับชั้น ๖. เร่งรัดการตราพระราชบัญญัติอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา เพื่อรองรับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๗๙ ๗. ปรับปรุงพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๓๕ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อปรับปรุงการบริหารคณะสงฆ์ให้มีประสิทธิภาพและได้ประสิทธิผลยิ่งขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||
1815 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง มาตรการลดผลกระทบจากวิกฤตค่าเงินบาท | กค | 24/01/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง มาตรการลดผลกระทบจากวิกฤตค่าเงินบาท ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ของกระทรวงการคลังร่วมกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ตรวจสอบเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐที่เข้ามาทำกำไรและบัญชีประเภทผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ พร้อมทั้งเข้มงวดการเข้ามาในลักษณะเก็งกำไรทั้งในตลาดทุนและตลาดตราสารหนี้ โดยศึกษาความเป็นไปได้จากการเรียกเก็บภาษีที่ได้จากการทำกำไรหรือภาษีในรูปแบบอื่นที่เหมาะสม ๒. ให้ความช่วยเหลือด้านสภาพคล่องแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ วงเงิน ๕,๐๐๐ ล้านบาท และให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมเป็นผู้ค้ำประกัน โดยคณะรัฐมนตรีมีมติให้เป็นการกู้ด้วยวิธีพิเศษบัญชีประเภทไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน และแยกบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ ๓. ศึกษาความเป็นไปได้ในการชดเชยการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนในทุก ๆ ใบสั่งซื้อสินค้าหรือใบขนสินค้าทางเรือ ในกรณีของรัฐวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยกำหนดระดับการชดเชยคงที่ไว้ในอัตราหนึ่ง (เช่น ร้อยละ ๕) เป็นเวลา ๖ เดือน หากสภาพการณ์ยังไม่ดีขึ้น ทั้งนี้ ต้องมีมาตรการกำกับควบคุมในการปฏิบัติอย่างรัดกุม ๔. ให้เอกชนสามารถชำระค่าระวางสินค้าและค่าสินค้าด้วยเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ๕. ให้กระทรวงการคลังช่วยเหลือด้านวงเงินค้ำประกันล่วงหน้า (Forward) และให้รัฐบาลช่วยเหลือด้านค้ำประกันให้ไม่เกินร้อยละ ๕ ๖. ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยคงระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อรักษาเสถียรภาพของค่าเงินให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในแต่ละช่วงและทำความเข้าใจแก่สาธารณะในความจำเป็นในการดำเนินมาตรการดังกล่าว เช่น การคงอัตราอดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ ๑.๗๕ ๗. ให้มีเงินกู้ซื้อเครื่องจักร ซอฟแวร์ และเทคโนโลยีการผลิตอื่น ๆ โดยกำหนดอัตราภาษีขาเข้าร้อยละ ๐.๑ และให้ประเมินมูลค่าเครื่องจักรเพื่อตัดค่าเสื่อมได้มากกว่าหนึ่งเท่า ๘. ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยบริหารจัดการเงินทุนสำรองที่มีมากกว่า ๑.๕๘ แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้มีประสิทธิภาพและก่อประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศในอนาคต และให้ศึกษาความเป็นไปได้ในการนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศส่วนหนึ่งมาตั้งเป็นกองทุนความมั่นคั่งแห่งชาติ ๙. ให้สำนักบริหารหนี้สาธารณะศึกษาความเป็นไปได้ในการทำแผนการชำระหนี้ก่อนระยะเวลาของรัฐวิสาหกิจซึ่งมีหนี้ต่างประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||
1816 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางสร้างความเข้มแข็งของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เพื่อความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจไทย" | สสป | 24/01/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางสร้างความเข้มแข็งของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เพื่อความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจไทย ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ของกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ปรับโครงสร้างองค์กรสนับสนุนธุรกิจ โดยกำหนดให้มีโครงสร้างอำนาจการบริหารแบบการบริหารจัดการเดียว เช่น คณะกรรมาธิการบริหาร (บอร์ด) เดียวกัน เพื่อเชื่อมโยงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีการดำเนินงานอย่างเป็นระบบและมีเอกภาพ มีการบริหารตลาดอย่างมืออาชีพ ภายใต้การนำและบุกตลาดระดับผู้นำต่อผู้นำประเทศ ๒. ให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เป็นยุทธศาสตร์ร่วมพัฒนาชาติในลักษณะต้นน้ำโดยจัดทำยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนสะท้อนความต้องการที่แท้จริง เพื่อให้การดำเนินธุรกิจยุคต่อไปในอนาคตมีลักษณะที่กะทัดรัด ทันสมัย มีการดำเนินงานที่รวดเร็ว เน้นกลยุทธ์เชิงรุกที่สร้างสรรค์ สร้างความภูมิใจในวิชาชีพ พัฒนาสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ สู่ตลาดตลอดเวลา โดยมีปัจจัยหลักของการพัฒนา ได้แก่ มาตรการสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการ มาตรการด้านความรู้และเทคโนโลยี มาตรการด้านการบริหารจัดการธุรกิจ มาตรการด้านการตลาด และมาตรการส่งเสริมด้านการเงิน ๓. การดำเนินนโยบายการให้เงินกู้ ควรมีการศึกษาเพื่อแบ่งกลุ่มประเภทและความต้องการของผู้ได้รับความเดือดร้อน และประเมินจำนวนในแต่ละกลุ่มให้ชัดเจน แล้วจึงกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการอนุมัติเงินกู้ให้เหมาะสมกับลักษณะพิเศษในการขอกู้ของแต่ละกลุ่ม และควรมีการกำหนดหลักเกณฑ์ที่ทำให้ผู้ประกอบการเหล่านี้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้โดยง่าย ทั้งนี้ อาจกำหนดเงื่อนไขให้มีการกำกับดูแลการดำเนินธุรกิจโดยมีระบบพี่เลี้ยงและมีการติดตามประเมินผลการดำเนินนโยบายอย่างต่อเนื่องโดยวิเคราะห์ข้อมูล ข้อเท็จจริง และผลลัพธ์ที่ได้ของแต่ละกลุ่ม พร้อมทั้งนำไปปรับแผนงานให้สอดคล้องเหมาะสมกับสภาพความเป็นจริงอย่างต่อเนื่องเป็นระยะ ๔. ควรมีการดำเนินการเพื่อรองรับการเปิดการค้าเสรี ดังนี้ ๔.๑ สร้างความรู้ความเข้าใจให้กับผู้ประกอบการแต่ละประเภทธุรกิจให้ได้รับทราบถึงสถานการณ์ ผลกระทบ และแนวทางดำเนินการทั้งเชิงรุกและเชิงรับที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการ SMEs ในการดำเนินธุรกิจภายใต้กรอบการค้าเสรี ๔.๒ เร่งสร้างจิตสำนึกของคนไทยในการเลือกบริโภคสินค้าและใช้บริการที่เป็นของคนไทย ๔.๓ ศึกษาและติดตามประเมินผลกระทบจากการเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนและการเปิดการค้าเสรีที่มีต่อผู้ประกอบการ SMEs ของไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ที่มีความได้เปรียบด้านการแข่งขัน และให้การช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่มีแนวโน้มเสียเปรียบด้านการแข่งขันเพื่อให้สามารถแข่งขันในเวทีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนและเวทีเศรษฐกิจโลกได้
|
||||||||||||||||||||||||
1817 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ ครั้งที่ 2/2553 | นร | 18/01/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ (กศส.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๓ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ กศส. เสนอ โดยที่ประชุม ฯ ได้มีมติ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ตามข้อเสนอของกรมทรัพย์สินทางปัญญา และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการดำเนินการจัดทำคำสั่งต่อไป ๑.๒ เห็นชอบให้มีการแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๓ เรื่อง การแต่งตั้งผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ ข้อ ๑๐ วรรคท้าย โดยให้แก้ไขคำว่า “ข้าราชการ” เป็น “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” และให้อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ (สศส.) อีกตำแหน่งหนึ่ง จนกว่าจะมีการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ ที่ได้แก้ไขแล้ว และให้ สศช. ในฐานะฝ่ายเลขานุการดำเนินการจัดทำคำสั่งต่อไป ๑.๓ รับทราบการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ (กบศส.) โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายอลงกรณ์ พลบุตร) เป็นประธานกรรมการเพื่อทำหน้าที่ควบคุมดูแลการดำเนินงานและการบริหารงานทั่วไป รวมทั้งออกระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ หรือข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินงานของ สศส. ๑.๔ รับทราบความคืบหน้าการจัดตั้งกองทุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และเห็นชอบรูปแบบองค์ประกอบของคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ โดยให้จัดตั้งกองทุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ใน สศช. และให้เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นประธาน ๑.๕ รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินโครงการสาขาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ในส่วนของกรมทรัพย์สินทางปัญญา ๑.๖ รับทราบแนวทางการบริหารจัดการ สศส. ๒. เห็นชอบในหลักการตามผลการพิจารณาและมติของ กศส. ในเรื่อง การขอแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๓ ข้อ ๑๐ วรรคท้าย โดยให้แก้คำว่า “ข้าราชการ” เป็น “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” เพื่อให้ครอบคลุมถึงข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ หรือผู้ปฏิบัติงานอื่นในกระทรวง กรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ ทั้งนี้ เพื่อเปิดกว้างสำหรับการสรรหาบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ และให้คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีรับไปพิจารณาปรับปรุงแก้ไขระเบียบฯ ให้เป็นไปตามหลักการดังกล่าว โดยให้รับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการแก้ไขระเบียบฯ ข้อ ๑๐ วรรคท้าย ดังกล่าว ควรต้องมีการพิจารณาเพิ่มเติมบทนิยามในข้อ ๓ คำว่า “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” เพิ่มเติมขึ้นด้วย เพื่อความชัดเจนในทางปฏิบัติ ประกอบกับตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้มีการกำหนดนิยามคำว่า “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” ไว้ถึง ๑๖ ประเภท จึงเห็นควรกำหนดบทนิยามดังกล่าวเพื่อให้เหมาะสมกับการปฏิบัติหน้าที่และการสรรหาบุคคลมาดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการบริหารสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
1818 | ผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ 14/2553 | นร | 18/01/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (รศก.) ครั้งที่ ๑๔/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๓ และเห็นชอบตามมติคณะกรรมการ รศก. ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ รศก. เสนอ โดยที่ประชุมฯ มีมติ ดังนี้
๑. รับทราบภาพรวมราคาสินค้าอุปโภคบริโภคของประเทศ และให้กระทรวงพาณิชย์ติดตามและกำกับดูแลการปรับราคาสินค้า โดยเฉพาะสินค้าที่มีแนวโน้มปรับราคาเพิ่มขึ้น ได้แก่ น้ำมันพืช ผลิตภัณฑ์นมพาสเจอร์ไรซ์ และเครื่องแบบนักเรียน และเร่งพิจารณาราคาที่เหมาะสมต่อไป ๒. รับทราบผลการดำเนินงานของคณะกรรมการจำหน่ายกิจการโครงการบัตรสมาชิกพิเศษ (Thailand Privilege Card : TPC) และเห็นชอบในหลักการการจำหน่ายกิจการโครงการบัตรสมาชิกพิเศษ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ โดยยกเลิกสิทธิการยกเว้นค่าธรรมเนียมต่าง ๆ สำหรับสมาชิกใหม่ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารอผลการพิจารณาข้อกฎหมายของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาก่อนดำเนินการต่อไป เพื่อให้การดำเนินการจำหน่ายกิจการโครงการบัตรสมาชิกพิเศษเป็นไปตามข้อกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ๓. รับทราบรายงานผลการจัดอันดับความยาก - ง่ายในการประกอบธุรกิจของธนาคารโลก (Doing Business 2011) โดยให้สำนักงาน ก.พ.ร. ศึกษาวิจัยแนวทางการดำเนินงานของประเทศต้นแบบที่ได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับต้น ๆ แล้วนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของไทย และจัดส่งข้อมูลดัชนีชี้วัดของการจัดอันดับความยาก - ง่ายในการประกอบธุรกิจของธนาคารโลกให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นข้อมูลในการจัดทำแนวทางการปรับปรุงการดำเนินการ และจัดส่งให้สำนักงาน ก.พ.ร. เพื่อรวบรวมและนำเสนอคณะกรรมการ รศก. เพื่อพิจารณาต่อไป รวมทั้งให้กระทรวงการคลังพิจารณาแนวทางการปรับปรุงอายุสัญญาการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เพื่อการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
1819 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... พิจารณาร่างพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. .... | สว | 18/01/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... พิจารณาร่างพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. ..... ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ ๒. รับทราบผลการพิจารณาของกระทรวงแรงงานตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ โดยเห็นว่าสามารถดำเนินการตามข้อสังเกตได้ ส่วนประเด็นตามข้อสังเกตเกี่ยวกับการพิจารณาจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานตามร่างพระราชบัญญัติฯ ที่ให้คำนึงถึงแนวทางในการสนับสนุน ส่งเสริม อำนวยความสะดวกในการปฏิบัติศาสนกิจอย่างเหมาะสมตามความจำเป็น นั้น เนื่องจากร่างพระราชบัญญัติฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยในการทำงานของลูกจ้าง โดยได้บัญญัติให้นายจ้างมีหน้าที่ดำเนินการบริหารและการจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน การปฏิบัติศาสนกิจจึงเป็นเรื่องที่ไม่อยู่ภายใต้บังคับบทบัญญัติของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้แต่อย่างใด และให้แจ้งสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
1820 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ครั้งที่ 7/2553 | นร | 18/01/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ (กรอ.) ครั้งที่ ๗/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๓ และเห็นชอบผลการพิจารณาและมติของคณะกรรมการ กรอ. ตามที่เลขาธิการคณะการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ กรอ. เสนอ โดยที่ประชุมฯ มีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการพิจารณาแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการก่อสร้างในเขตพื้นที่จังหวัดที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ซึ่งออกตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ ช่วงระหว่างเดือนเมษายน - พฤษภาคม ๒๕๕๓ ตามที่สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์เสนอ และให้กรมบัญชีกลางพิจารณารายละเอียดข้อเสนอของสมาคมฯ ให้ชัดเจนอีกครั้ง โดยเฉพาะเงื่อนไขระยะเวลาสัญญาจ้างก่อสร้างที่จะมีผลบังคับใช้ พร้อมทั้งเร่งรัดการจัดประชุมคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ เพื่อพิจารณาหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่สมาคมฯ เสนอ ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป ๒. เห็นชอบในหลักการตามข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ตามที่สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเสนอ โดยให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับข้อเสนอแนะดังกล่าวไปพิจารณาปรับปรุงใน (ร่าง) แผนการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา และเห็นชอบให้ผู้แทนสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเขาร่วมเป็นกรรมการโดยตำแหน่งในคณะกรรมการบริหารสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ ภายใต้ (ร่าง) พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) โดยให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับไปพิจารณาในขั้นของการตรวจ (ร่าง) พระราชกฤษฎีกาฯ นอกจากนี้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาหารือร่วมกับกระทรวงการคลังและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเพื่อพิจารณาทบทวนความเหมาะสมและจำเป็นของมาตรการจูงใจด้านภาษีที่ใช้เพื่อการกระตุ้นตลาดการท่องเที่ยวในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองว่า สมควรดำเนินการต่อไปหรือไม่ ๓. ให้กระทรวงแรงงานและกระทรวงศึกษาธิการร่วมกับองค์กรภาคเอกชน ๓ สถาบัน ได้แก่ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย และสมาคมวิชาชีพ/กลุ่มอาชีพที่เกี่ยวข้องพัฒนาระบบคุณวุฒิวิชาชีพเชิงบูรณาการ เพื่อหลีกเลี่ยงการเพิ่มภาระและลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินงาน และเป็นที่ยอมรับของแรงงานและผู้ประกอบการ และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งพิจารณา (ร่าง) พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพฯ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๔. ให้กระทรวงแรงงานและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกับองค์กรภาคเอกชน ๓ สถาบัน ได้แก่ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย สำรวจจำนวนคนพิการที่สามารถเข้าสู่ภาคแรงงานเพื่อกำหนดแนวทางดำเนินการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการร่วมกัน รวมทั้งให้สำนักงาน ก.พ. เร่งประสานหน่วยงานภาครัฐในการรับคนพิการเข้าทำงานตามสัดส่วนที่กำหนดสำหรับหน่วยงานภาครัฐด้วย ๕. รับทราบข้อเสนอภาคเอกชนเกี่ยวกับการขยายตัวของอุตสาหกรรมในพื้นที่มาบตาพุด กรณีให้มีการนำมาตรการปรับลดตามหลักการ ๘๐ : ๒๐ มาใช้กับสารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) การนำแนวคิด Emission Trading ระหว่างโครงหารหรือระหว่างบริษัทในพื้นที่มาบตาพุดมาใช้ และการกำหนดให้มีมาตรการจูงใจและลดขั้นตอนของระเบียบปฏิบัติสำหรับโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อลดมลพิษให้มีความรวดเร็วมากขึ้น โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งรัดดำเนินการศึกษาเรื่องศักยภาพของพื้นที่มาบตาพุดในการรองรับอุตสาหกรรมให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๖. รับทราบความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการนำเข้าสินค้า วัตถุอันตราย ตามที่ประธานผู้แทนการค้าไทยรายงาน และให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณารายละเอียดของปัญหาเพื่อหาแนวทางแก้ไขให้ได้ข้อยุติต่อไป ๗. รับทราบรายงานผลการจัดอันดับ Doing Business 2011 ของธนาคารโลก ซึ่งประเทศไทยได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับที่ ๑๙ จาก ๑๘๓ ประเทศ ลดลงจากปีที่แล้วที่อยู่ในอันดับที่ ๑๖ (เดิมประกาศให้ไทยอยู่อันดับที่ ๑๒ เมื่อมีการปรับฐานการคำนวณใหม่โดยยกเลิกตัวชี้วัดด้านการจ้างงานออกไป ทำให้เทียบเท่ากับอันดับที่ ๑๖) จาก ๑๘๓ ประเทศ คิดเป็นการปรับลดอันดับลง ๓ อันดับ โดยสาขาที่มีอันดับปรับตัวดีขึ้น ได้แก่ การขอใบอนุญาตก่อสร้าง และการปิดกิจการ และสาขาที่อันดับปรับลดลง ได้แก่ การเริ่มต้นธุรกิจ การจดทะเบียนทรัพย์สิน การได้รับสินเชื่อ และการชำระภาษี โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการจัดทำการวิเคราะห์ในระดับดัชนีของการจัดอันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business) ของธนาคารโลก รวมทั้งความสามารถในการแข่งขันที่จัดทำโดย International Institute of Management Development (IMD) และ World Economic Forum (WEF) พร้อมทั้งเสนอแนวทางในการปรับปรุงให้แล้วเสร็จภายใน ๒ เดือน โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการให้การสนับสนุนข้อมูลด้านการจัดอันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business) รวมทั้งให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับองค์กรภาคเอกชน ๓ สถาบัน ได้แก่ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ในการให้ความรู้ความเข้าใจกับภาคเอกชนเพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญในการให้ข้อมูลแก่หน่วยงานจัดอันดับต่าง ๆ ที่ถูกต้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
|
.....