ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 100 จากทั้งหมด 138 หน้า แสดงรายการที่ 1981 - 2000 จากข้อมูลทั้งหมด 2746 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1981 | ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบขนส่งทางรางและระบบขนส่งมวลชน ครั้งที่ 4/2551 เรื่อง แผนปรับปรุงการบริหารจัดการและบริการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ | นร | 22/07/2551 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) เป็นประธานการประชุมระดับ
รัฐมนตรีเพื่อพิจารณาแผนปรับปรุงการบริหารจัดการและบริการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ และโครงการจัดหารถ โดยสารปรับอากาศใหม่ใช้ก๊าซธรรมชาติด้วยวิธีการเช่าจำนวน 6,000 คัน อีกครั้งหนึ่งในวันที่ 30 กรกฎาคม 2551 โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นฝ่ายเลขานุการจัดการประชุม และเรียน เชิญรัฐมนตรีและหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุม แล้วนำผลการพิจารณาเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป และให้กระทรวงคมนาคม และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จัดเตรียมข้อมูลข้อเท็จจริงในประเด็นต่าง ๆ ที่ เกี่ยวข้อง เช่น แนวทางการบริหารจัดการองค์กร บุคลากร ต้นทุนค่าใช้จ่ายในการเดินรถ รายได้-รายจ่าย และ ภาระหนี้สิน เป็นต้น เพื่อชี้แจงต่อที่ประชุมให้ครบถ้วน ชัดเจน ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคม และ ขสมก. รับความเห็น ของกระทรวงการคลังที่เห็นควรให้ ขสมก. พิจารณาจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงและรายงานผลการดำเนินงานด้าน การเงิน เพื่อวิเคราะห์ความสามารถในการทำกำไรเป็นรายเดือน (EBITDA) เสนอต่อคณะกรรมการบริหารกิจการ ขสมก. และให้กระทรวงคมนาคมบริหารติดตามประเมินผลโครงการและรายงานผลการดำเนินงานต่อคณะรัฐมนตรี เป็นรายปี เพื่อให้สามารถปรับแผนโครงการให้สอดคล้องกับสถานะทางการเงินของ ขสมก. และเพื่อมิให้เป็นภาระ ต่องบประมาณของประเทศ นอกจากนี้ ขสมก. ควรพิจารณาหาแนวทางการกำหนดเงื่อนไขในสัญญาเช่าเพื่อให้การ บริหารจัดการสัญญาเกิดความคล่องตัวและลดความเสี่ยงทางด้านต้นทุนของ ขสมก. ในระยะยาว โดยการจัดหารถ ในลักษณะ Phasing ตามความต้องการใช้รถโดยสารของประชาชน เพื่อให้สะท้อนกับผลการดำเนินงานและปริมาณ ผู้โดยสาร รวมทั้งให้ผู้ให้เช่ารถเป็นผู้รับภาระในการจัดหาพนักงานขับรถ 4,600 คน ในส่วนของพนักงานขับรถที่ เพิ่มขึ้นจากการเพิ่มจำนวนรถโดยสาร จาก 3,535 คัน เป็น 6,000 คัน หรือใช้สัญญาการให้บริการเชิงคุณภาพ (Performance Based Contract : PBC) ให้เอกชนวิ่งในส่วนรถที่เพิ่ม เพื่อไม่ให้ ขสมก. มีภาระด้านค่าใช้จ่ายพนัก งานเหมือนปัจจุบัน และความเห็นของกระทรวงพลังงานที่ให้ ขสมก. พิจารณาบริหารความเสี่ยงด้านราคาเชื้อเพลิง ก๊าซธรรมชาติเพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายให้เป็นไปตามที่ประมาณการไว้ เพื่อความคุ้มทุนของโครงการตามแผนงาน ไป พิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
1982 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง "การเสริมสร้างความเข้มแข็งและยกระดับมาตรฐานของวิชาชีพด้านบริการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก" | สสป | 22/07/2551 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับเรื่อง การเสริมสร้างความเข้มแข็งและยกระดับมาตรฐานของวิชาชีพด้านบริการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่ง ขันในตลาดโลก 2. รับทราบผลการพิจารณาของกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ กระทรวงการ คลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สมาคมของขวัญ ชำร่วยและตกแต่งบ้าน และสำนักงานส่งเสิรมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (SIPA) เกี่ยวกับความเห็นและ ข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
|
|||||||||||||||||||||
1983 | ข้อสังเกตของสภานิติบัญญัติแห่งชาติเกี่ยวกับการถ่ายโอนภารกิจด้านการรับจดทะเบียนรถของกรมการขนส่งทางบก | นร | 15/07/2551 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอผลการพิจารณาของคณะกรรม
การกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) ตามข้อสังเกตของสภานิติบัญญัติแห่งชาติเกี่ยวกับการ ถ่ายโอนภารกิจด้านการรับจดทะเบียนรถของกรมการขนส่งทางบก โดย กกถ. เห็นว่า การถ่ายโอนภารกิจด้านการ รับจดทะเบียนรถของกรมการขนส่งทางบกให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จะถ่ายโอนได้ก็ต่อเมื่อ อปท. มีความพร้อม ซึ่งจะต้องมีขั้นตอนการกำหนดเกณฑ์ความพร้อมและประเมินความพร้อมของ อปท. ก่อนการถ่ายโอน ประกอบกับ กกถ. เห็นว่า เป็นภารกิจที่ต้องใช้เทคนิค ทักษะวิชาการ และมีระบบเครือข่ายเชื่อมโยงทั่วประเทศที่ถือ ว่าเป็นเครือข่ายระดับชาติ หากถ่ายโอนให้ อปท. ในช่วงเวลาที่อาจจะไม่คุ้มค่าต่อการลงทุนหรือทำให้ประสิทธิภาพ น้อย จึงเห็นควรให้กรมการขนส่งทางบกดำเนินการต่อไป และในระยะต่อไป (3-5 ปี) สมควรนำภารกิจดังกล่าวนี้ มาพิจารณาทบทวนอีกครั้งหนึ่ง หากพิจารณาเห็นว่า อปท. ยังขาดความพร้อม และกรมการขนส่งทางบกสามารถ พัฒนาระบบบริการประชาชนให้มีมาตรฐาน ประชาชนได้รับบริการที่ดีมีคุณภาพ มีความโปร่งใส เป็นธรรม ก็เห็น ควรให้กรมการขนส่งทางบกปฏิบัติภารกิจด้านการจดทะเบียนรถต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
1984 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง "ยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ฝังตัว" | สสป | 15/07/2551 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
1. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง ยุทธศาสตร์ การพัฒนาอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ฝังตัว เกี่ยวกับทิศทางการพัฒนา 3 ประเด็น ได้แก่ 1.1 เสริมสร้างความเข้มแข็งของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ให้สามารถแข่งขันได้ เป็นแหล่งผลิตซอฟต์ แวร์ฝังตัว (Embedded Software) ที่มีมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับของต่างประเทศ 1.2 ส่งเสริมการค้นคว้า วิจัย และถ่ายทอดเทคโนโลยีซอฟต์แวร์ โดยสนับสนุนให้มีการนำซอฟต์ แวร์ฝังตัวไปใช้กับผลิตภัณฑ์หรือสินค้าใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้นเพื่อเพิ่มมูลค่าเพิ่มให้สูงขึ้น 1.3 พัฒนากำลังคนด้านซอฟต์แวร์ฝังตัวทั้งในด้านของกำลังคนก่อนเข้าสู่อุตสาหกรรมและที่อยู่ใน อุตสาหกรรมแล้วให้มีทักษะความรู้ความสามารถเฉพาะทางในการปฏิบัติงานและส่งเสริมโอกาสในการประกอบ อาชีพอิสระ 2. รับทราบผลการพิจารณาของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ร่วมกับกระทรวง พาณิชย์ กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ศูนย์เทคโนโล ยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ จุฬาลงกรณ์มหา วิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏดุสิต มหาวิทยาลัยเทคโน โลยีราชมงคลธัญบุรีปทุมธานี มหาวิทยาลัยขอนแก่น และมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ที่เห็นด้วยกับความเห็น และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ และรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมเพิ่มเติมดังนี้ 2.1 ให้มีทิศทางและมียุทธศาสตร์การพัฒนาครอบคลุม และเหมาะสมทั้งในส่วนของการเตรียม ความพร้อมของบุคลากร การวิจัยและพัฒนา และการส่งเสริมให้เกิดผู้ประกอบการรายใหม่ ๆ ขึ้นในประเทศ 2.2 ควรมีการระดมสมองจัดทำ Technology Roadmap ของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ฝังตัวขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มของตลาด และความต้องการในการนำเทคโนโลยีไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ของ ผู้ประกอบการ รวมทั้งกำหนดลำดับของการพัฒนาของแต่ละเทคโนโลยี จะทำให้ทราบแนวทางการพัฒนา และงบประมาณที่ต้องใช้ได้ชัดเจนขึ้น 2.3 ขั้นตอนการกำหนดมาตรการและโครงการต้องพิจารณาอย่างครบวงจรตลอดทั้ง Supply Chain ของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ฝังตัว ตั้งแต่การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีของกระทรวงวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี การนำเทคโนโลยีที่วิจัยแล้วมาสร้าง Value Creation โดยพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปต่าง ๆ และการปรับปรุงกระบวนการผลิต ของ อก. การส่งเสริมทางการตลาดของกระทรวงพาณิชย์ ตลอดจนการ พัฒนาบุคลากรให้เพียงพอทั้งปริมาณและคุณภาพของกระทรวงศึกษาธิการ นอกจากนี้ควรดึงสถาบัน/สมาคม ต่าง ๆ รวมถึงภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง เช่น NECTEC, TESA, SIPA สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์และสภา อุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ฯลฯ เข้าร่วมเป็นครือข่ายทำงาน เนื่องจากต้องยอมรับว่าปัจจุบันประเทศไทย มีผู้เชี่ยวชาญในสาขานี้น้อยมาก และยังกระจัดกระจายอยู่ในหน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งหากสนับสนุนให้เกิดการรวม กลุ่มและมีการแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญร่วมกันอย่างต่อเนื่อง จะทำให้เกิดเป็นเครือข่าย ผู้เชี่ยวชาญด้านซอฟต์แวร์ฝังตัวของประเทศไทยต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
1985 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง "การจัดการสวนป่าของรัฐอย่างยั่งยืนโดยชุมชนมีส่วนร่วม" | สสป | 15/07/2551 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
1. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการ จัดการสวนป่าที่ปลูกตามเงื่อนไขสัมปทานป่าไม้ โดยยุติการทำไม้ในสวนป่าที่ปลูกตามเงื่อนไขสัมปทานทำไม้ (โครงการ 2, 3, 4,) ทั้งหมด เพื่อให้ต้นไม้และพันธุ์พืชได้ปรับตัวเข้าสู่การเป็นป่าธรรมชาติ ซึ่งจะช่วยในการ รักษาระบบนิเวศ แหล่งต้นน้ำลำธาร พัฒนาการสู่ความสมบูรณ์ของป่ากลับคืนมา อันเป็นไปตามเจตนารมณ์ ของพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2548 มาตรา 58 ทวิ 2. รับทราบความเห็นผลการพิจารณาและผลการดำเนินการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม สรุปได้ดังนี้ 2.1 การจัดการพื้นที่สวนป่าในพื้นที่เสียงภัยดินถล่มและน้ำป่าไหลหลาก จำนวน 46 สวนป่า 2.2 การจัดการสวนป่าที่ปลูกโดยงบประมาณของกรมป่าไม้ 2.3 ดำเนินการตรวจสอบพื้นที่สวนป่าทุกโครงการ (โครงการ 1,2,3,4 และ 5) ที่ทับที่ทำกิน ของราษฎร โดยให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบ เพื่อกันเขตพื้นที่ทำกินออกจากสวนป่า 2.4 ให้มีการทบทวนและปรับปรุงบทบาทของ อ.อ.ป. จากการประกอบธุรกิจทำไม้มาเป็นองค์ กรที่มีบทบาทอนุรักษ์ป่าไม้
|
|||||||||||||||||||||
1986 | การเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 | นร | 08/07/2551 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอดังนี้
1. แนวทางและหลักเกณฑ์การเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 โดยให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นเสนอคำขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปี เฉพาะราย การที่มีความจำเป็นเร่งด่วนอย่างแท้จริง และสอดคล้องกับนโยบายที่สำคัญของรัฐบาล โดยมีหลักเกณฑ์ว่า ควรเป็นรายการที่มีการใช้จ่ายในลักษณะดังต่อไปนี้ 1.1 เป็นไปตามยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี ซึ่งประกอบด้วย 8 ยุทธ ศาสตร์ 1 รายการ 1.2 เป็นไปตามแผนปฏิบัติราชการประจำปีของกระทรวง/หน่วยงานที่ได้รับความเห็นชอบจาก รัฐมนตรี 1.3 เป็นรายจ่ายลงทุนที่สำคัญก่อให้เกิดผลในการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ 1.4 เป็นรายจ่ายลงทุนหรือรายจ่ายประจำที่ต้องเร่งดำเนินการตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล 2. ขั้นตอนในการเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 ของส่วนราช การ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ให้ดำเนินการดังนี้ 2.1 ให้จัดทำคำขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้มีการตรวจสอบ และรับรองข้อมูลแล้ว ว่าการดำเนินการนั้นไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 กฎหมายหรือระเบียบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเจ้าสังกัดเพื่อขอรับความเห็นชอบ และรวบ รวมจัดส่งให้สำนักงบประมาณดำเนินการภายในวันที่ 16 กรกฎาคม 2551 2.2 สำหรับกรณีหน่วยงานของรัฐสภา หน่วยงานของศาล และหน่วยงานขององค์กรตามรัฐ ธรรมนูญให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาตามขั้นตอนในการเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปี ภายในวันที่ 16 กรกฎาคม 2551 2.3 ให้สำนักงบประมาณนำผลการพิจารณาคำขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีเสนอคณะ รัฐมนตรีพิจารณาในวันที่ 5 สิงหาคม 2551 เพื่อนำเสนอคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราช บัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
1987 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ | สสป | 08/07/2551 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและส้งคมแห่งชาติเรื่อง แนวทาง การแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในด้านต่าง ๆ 10 ด้าน ได้แก่ ด้านการเมือง/การปกครอง ด้าน เศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านการศึกษา ด้านยุติธรรม ด้านความมั่นคง ด้านการข่าว ด้านจิตวิทยา ด้านการต่าง ประเทศ และด้านสาธารณสุข 2. รับทราบผลการพิจารณาของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ร่วมกับกระทรวงกลา โหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณ สุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และ สำนักข่าวกรองแห่งชาติที่เห็นด้วยกับความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ และมีข้อเสนอแนะเพิ่ม เติม อาทิ ในด้านการเมือง/การปกครอง ควรรับฟังข้อมูลและความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ ฝึกอบรม ให้เจ้าหน้าที่หรือข้าราชการที่ไปปฏิบัติหน้าที่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องฝึกอบรมเข้าใจ และถือปฏิบัติ อย่างเคร่งครัด ฯลฯ ด้านเศรษฐกิจ อาทิ รัฐบาลต้องสร้างความชัดเจนในการดำเนินงานระหว่างเขตเศรษฐ กิจพิเศษกับเขตเศรษฐกิจเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ฯลฯ ด้านการศึกษา ควรจัดให้มีสวัสดิการให้ครู โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามที่ได้รับการบรรจุแล้วและครอบคลุมถึงบิดา มารดา คู่สมรสและบุตร ควร ขยายการศึกษาของครูผู้สอนให้ถึงระดับปริญญาตรีในสาขาวิชาที่ขาดแคลน หรือในสาขาบริหารการศึกษา ฯลฯ ด้านการต่างประเทศ อาทิ ดำเนินการให้สถานเอกอัครราชทูตหรือสถานกงสุลเข้าถึงและดูแลนักศึกษา ไทยในต่างแดน ฯลฯ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||
1988 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา | สสป | 24/06/2551 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อ
เสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง การอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา และผลการพิจารณาของสำนักงานพระ พุทธศาสนาแห่งชาติต่อความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ ที่เห็นว่า รัฐบาลควรมีนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยว กับการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา เนื่องจากนโยบายของรัฐบาลปัจจุบันที่แถลงต่อรัฐสภายังไม่มีนโยบายที่ ชัดเจนเกี่ยวกับการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น และยังไม่ครอบคลุมถึงภารกิจที่รัฐบาลจะต้อง ดำเนินการตามมาตรา 73 ในเรื่องการส่งเสริมความเข้าใจอันดีและความสมานฉันท์ระหว่างกันของศาสนาต่าง ๆ และ ควรจัดทำแผนทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เนื่องจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจ ฯ ยังไม่มีแผนทำนุบำรุงส่ง เสริมพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ทำให้การทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนาขาดเอกภาพขาดยุทธศาสตร์ และแผน ปฏิบัติการที่เป็นแผนและแนวทางให้การทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนาเป็นไปในทิศทางเดียวกัน รวมทั้งควรจัด ให้มีพระราชบัญญัติอุปถัมภ์คุ้มครองพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นกฎหมายลูกรองรับมาตรา 73 ตามรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย (ตรงกับรัฐธรรมนูญปัจจุบัน มาตรา 79) นอกจากนี้ ควรปรับปรุงพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ให้ เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ รองรับพระธรรมวินัย ส่งเสริมพระภิกษุสามเณร ให้เจริญในไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ทำให้เป็นแหล่งเผยแผ่ธรรมขยายปัญญาสู่ชุมชมให้การบริหารคณะสงฆ์ เป็นไปตามหลักพระธรรมและหลักการบริหารที่ดี รวมทั้งสามารถควบคุมความไม่เหมาะสมต่อการประพฤติวิปริตผิด พลาดจากพระธรรมวินัยเพื่อให้พระสงฆ์อยู่ในสมณสารูป
|
|||||||||||||||||||||
1989 | การแก้ไขปัญหาของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรและการแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกร | นร | 17/06/2551 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) เสนอผลการประชุม
คณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (กฟก.) เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาของ กฟก. และการแก้ไขปัญหา หนี้สินของเกษตรกร เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2551 โดยที่ประชุมได้มีมติแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เรื่องการดำรงตำแหน่งเลขาธิการ และผู้รักษาการในตำแหน่งเลขาธิการ กฟก. ปัญหาการบริหารงานของ กฟก. และปัญหาการใช้อำนาจหน้าที่ของกรรมการบริหาร กฟก. สำหรับกรณีที่เกษตรกรร้องเรียนว่าสถาบันการเงินทั้ง หน่วยงานของรัฐและเอกชนที่เป็นเจ้าหนี้ไม่ได้ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 16 มกราคม 2550 นั้น จะแต่งตั้ง คณะอนุกรรมการยกร่างแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกร ซึ่งมีรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองเป็น ประธานพิจารณาแนวทางร่วมกับตัวแทนเกษตรกรที่เป็นกรรมการ กฟก. เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ 24 มิถุนายน 2551 ต่อไป ส่วนกรณีการแต่งตั้งรักษาการเลขาธิการ กฟก. ให้รอฟังผลการพิจารณาปัญหาเกี่ยว กับสถานภาพของผู้รักษาการในตำแหน่งดังกล่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
|
|||||||||||||||||||||
1990 | ขอหารือเกี่ยวกับระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี พ.ศ. 2546 [ผลการพิจารณาข้อหารือเกี่ยวกับระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี พ.ศ. 2546] | ตผ | 22/04/2551 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอผลการพิจารณาข้อหารือเกี่ยวกับ
ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี พ.ศ. 2546 ในปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับการแต่ง ตั้งประธานคณะกรรมการ e-Auction ในโครงการจัดทำบัตรประจำตัวประชาชนอิเล็กทรอนิกส์แบบอเนกประสงค์ สรุปได้ว่า กรณีที่ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมีคำสั่งแต่งตั้งผู้ช่วยรัฐมนตรีซึ่งมิใช่ข้าราชการ แต่มีฐานะเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นประธานคณะกรรมการ e-Auction เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ ส่วนกรณีที่มี การแต่งตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ โดยมีข้าราชการเป็นประธาน และได้มีการรับรองผลการคัดเลือกผู้เสนอราคาของ คณะกรรมการชุดที่มีผู้ช่วยรัฐมนตรีเป็นประธานแล้ว นั้น ในการดำเนินการคัดเลือกผู้เสนอราคาของคณะกรรมการ ชุดที่มีผู้ช่วยรัฐมนตรีเป็นประธานจึงไม่เสียไป รวมทั้งไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินการจ้างเหมาจัดทำบัตรประจำตัว ประชาชนอิเล็กทรอนิกส์แบบอเนกประสงค์ นอกจากนี้ ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง หลักเกณฑ์การจัดหาพัสดุ โดยการประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Auction) ลงวันที่ 21 มกราคม 2547 ได้กำหนดให้การแต่งตั้งประธาน คณะกรรมการ e-Auction เป็นอำนาจของหัวหน้าส่วนราชการ ดังนั้น จึงไม่ใช่กรณีที่นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีจะ มอบหมายให้ผู้ช่วยรัฐมนตรีทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการ e-Auction ได้
|
|||||||||||||||||||||
1991 | รายงานผลการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาปัญหาการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในการทำงานวิจัยทางวิชาการ | สว | 22/04/2551 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการดำเนินการตามรายงานการพิจารณา
ศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาปัญหาการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในการทำงานวิจัยทางราชการ ของ สภานิติบัญญัติแห่งชาติดังนี้ กรณีที่ให้มีการพิจารณายกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มในการให้บริการวิจัยทุกกรณี เพื่อเป็น การสนับสนุนการลงทุนการทำวิจัยภายในประเทศ กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพากร ได้ออกประกาศอธิบดี กรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 171) เรื่อง กำหนดสาขาและลักษณะการประกอบกิจการการให้ บริการวิจัยหรือการให้บริการทางวิชาการ ตามมาตรา 81 (1) (ฎ) แห่งประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2550 เพื่อยก เว้นการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการให้บริการทางวิชาการของสถาบันอุดมศึกษา โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วัน ที่ 1 พฤศจิกายน 2550 เป็นต้นไป ส่วนกรณีให้มีการพิจารณาเพิ่มสัดส่วนงบประมาณในการสนับสนุนการวิจัย และการให้บริการทางวิชาการแก่สถาบันอุดมศึกษาของรัฐ เพื่อสนับสนุนกระบวนการผลิตองค์ความรู้ และนวัต กรรมใหม่ให้แก่สังคม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาประเทศ กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรม การการอุดมศึกษา รับทราบแล้วและจะดำเนินการจัดสรรงบประมาณกรณีดังกล่าวเพิ่มขึ้น โดยเป็นไปตามการ จัดสรรงบประมาณของสำนักงบประมาณ และให้แจ้งสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
1992 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ยุทธศาสตร์การส่งเสริมด้านการพลศึกษา การกีฬาและนันทนาการ" | นร | 08/04/2551 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เกี่ยวกับยุทธศาสตร์การส่งเสริมด้านการพลศึกษา การกีฬาและนันทนาการ ดังนี้ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย อาทิ รัฐบาลต้องกำหนดเป็นวาระแห่งชาติให้ทุกคนในชาติมีสุขภาพร่างกายและจิตใจ ที่ดี โดยใช้การพลศึกษา กีฬาและนันทนาการเป็นกิจกรรมหลักในวิถีชีวิตประการหนึ่ง และรัฐบาลต้องกำหนดเป็น ยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศโดยใช้ศาสตร์ด้านการพลศึกษา การกีฬาและนันทนาการขับเคลื่อน รวมทั้งส่งเสริม การดำเนินกิจกรรมผ่านสื่อสารมวลชนสาขาต่าง ๆ อย่างแพร่หลาย เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงการพัฒนาในทุกภาค ส่วนของสังคม เป็นต้น และข้อเสนอด้านการบริหารจัดการ ได้แก่ ระดับผลักดันยุทธศาสตร์ อาทิ รัฐบาลต้องผลัก ดันให้แผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2550-พ.ศ. 2554) สามารถขับเคลื่อนไปสู่การปฏิบัติให้จงได้ และรัฐบาลควรกำหนดให้การกีฬาเป็นหนึ่งในนโยบายหลักของแต่ละจังหวัด ส่วนระดับปฏิบัติการ อาทิ รัฐบาลควร ผลักดันให้การพลศึกษา การเล่นกีฬา การออกกำลังกายและนันทนาการ กลายเป็นวิถีชีวิตของประชาชนทุกระดับ และรัฐบาลควรจัดให้มีนโยบายการกีฬาแห่งชาติ เพื่อกำหนดนโยบายมาตรการกำกับ ดูแลและสนับสนุนการปฏิบัติ งานตามแผนอย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มขีดความสามารถขององค์กรที่ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานหลักด้านการกีฬา ทั้งภาครัฐ เอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคีเครือข่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งพัฒนาโครงสร้าง พื้นบ้านและอุปกรณ์กีฬาเพื่อสนับสนุนการเล่นกีฬา การออกกำลังกายและนันทนาการ เป็นต้น และรับทราบตาม ที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงร่วมกับส่วน ราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
|
|||||||||||||||||||||
1993 | รายงานผลการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการปกครอง (เรื่อง เอกภาพการปฎิบัติงานของผู้ว่าราชการจังหวัด) | มท | 01/04/2551 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานผลการดำเนินงานของกระทรวงมหาดไทย
เกี่ยวกับการดำเนินการตามรายงานผลการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการปกครอง สภานิติบัญญัติแห่ง ชาติ เรื่อง เอกภาพการปฏิบัติงานของผู้ว่าราชการจังหวัด ดังนี้ เห็นควรสนับสนุนการบริหารงานของผู้ว่าราชการ จังหวัดให้มีเอกภาพ โดยให้มีการบูรณาการงบประมาณ แผนงาน และโครงการพัฒนาในพื้นที่ และปรับโครงสร้าง ขององค์กรในภูมิภาคให้เอื้ออำนวยต่อการบริหารงานของผู้ว่าราชการจังหวัดให้มีประสิทธิภาพ รวมทั้งปรับปรุง กฎหมาย ระเบียบเพื่อสนับสนุนงานของผู้ว่าราชการจังหวัดให้มีเอกภาพและเกิดประสิทธิภาพในการบริหาร นอก จากนี้เห็นควรสั่งการให้จังหวัดเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติงานของอำเภอในการปฏิบัติหน้าที่ในการไกล่เกลี่ย หรือจัดให้มีการไกล่เกลี่ยประนอมข้อพิพาท เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยในสังคม
|
|||||||||||||||||||||
1994 | การจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงาน ป.ป.ท.) | ยธ | 26/02/2551 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนัก
งานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ กระทรวงยุติธรรม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนด อำนาจหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ และจัดแบ่งส่วนราชการของ สำนักงาน ฯ ออกเป็น 18 สำนัก/กอง/ศูนย์ และกำหนดอำนาจหน้าที่ รวมทั้งกำหนดให้มีกลุ่มตรวจสอบภายใน กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร และกำหนดอำนาจหน้าที่ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา กับ ให้ ก.พ.ร. เร่งพิจารณาโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการ และการกำหนดอำนาจหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงาน ป.ป.ง.) ให้แล้วเสร็จ แล้วส่งผลการพิจารณาไปเพื่อสำนัก งานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณา แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้ และให้ ก.พ. คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและ นโยบายกำลังคนภาครัฐ ตลอดจนหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องพิจารณาให้การสนับสนุนในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อ ให้สำนักงาน ป.ป.ท. สามารถปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดได้โดยเร็วต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนของงบ ประมาณค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง ให้ประสานขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||
1995 | ขอความเห็นชอบผลการคัดเลือกเอกชนเข้าดำเนินการศูนย์บริหารจัดการวัสดุเหลือใช้อุตสาหกรรม (เตาเผาขยะอุตสาหกรรม) นิคมอุตสาหกรรมบางปู จังหวัดสมุทรปราการ | อก | 22/01/2551 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอผลการพิจารณาคัดเลือกเอกชนผู้ยื่นข้อเสนอ
ที่ได้คะแนนลำดับที่ 1 คือ กลุ่มผู้ร่วมค้า บี วาย เอส ซี ตามที่คณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมงานหรือ ดำเนินการโครงการศูนย์บริหารจัดการวัสดุเหลือใช้อุตสาหกรรม (เตาเผาขยะอุตสาหกรรม) นิคมอุตสาหกรรมบาง ปู จังหวัดสมุทรปราการ เสนอ และผลการเจรจาต่อรองเรื่องผลประโยชน์ตอบแทนแก่รัฐกับเอกชนผู้ได้คะแนนลำดับ ที่ 1 ซึ่งสามารถเจรจาต่อรองได้สำเร็จ โดยมีประเด็นเจรจาต่อรอง 11 ประเด็น ประกอบด้วย (1) ประเด็นการจ่าย ผลประโยชน์ตอบแทน (2) ประเด็นกำหนดเวลาการชำระเงินผลประโยชน์ตอบแทน (3) ประเด็นการยอมรับสภาพ ของศูนย์ ฯ ขณะเข้าดำเนินการ (4) ประเด็นการรับบริการกำจัดของเสียจากภาคอุตสาหกรรมภายในประเทศ (5) ประเด็นการเปลี่ยนสมาชิกของกลุ่มผู้ร่วมค้า (6) ประเด็นการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่เจ้าหน้าที่ภาครัฐที่เกี่ยวข้อง (7) ประเด็นการประกันภัย (8) ประเด็นการจัดตั้งกองทุน (9) ประเด็นการก่อสร้างโรงผลิตกระแสไฟฟ้า (10) ประเด็นการจัดทำ Waste Blending และ (11) ประเด็นการให้การสนับสนุนจากภาครัฐ รวมทั้งร่างสัญญาให้ ใช้สิทธิดำเนินการบริหารและประกอบการศูนย์บริหารจัดการวัสดุเหลือใช้อุตสาหกรรม (เตาเผาขยะอุตสาหกรรม) บางปู จังหวัดสมุทรปราการ ที่สำนักงานอัยการสูงสุดได้ตรวจพิจารณาแล้ว
|
|||||||||||||||||||||
1996 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี โครงการจัดตั้งสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ | วท | 22/01/2551 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรายงานผลการดำเนินโครงการ
จัดตั้งสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ สรุปได้ดังนี้ การจัดซื้อกล้องโทรทรรศน์ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.4 เมตร ขณะนี้ได้ตรวจรับงานงวดที่ 4 (ตรวจรับงาน 6 งวด) พร้อมเบิกจ่ายเงินให้กับบริษัทผู้รับจ้างเรียบร้อยแล้ว เป็นเงิน 35,188,825 บาท เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2550 โดยบริษัทผู้รับจ้างได้แจ้งว่าได้ดำเนินการสร้างระบบโดมใกล้ เสร็จแล้ว ส่วนโครงสร้างที่เป็นโลหะและไฟเบอร์กล๊าสกำลังถูกทดสอบประกอบเข้าด้วยกัน (Preassembly) คาดว่า พร้อมจะจัดส่งให้ตามกำหนดในเดือนกุมภาพันธ์ 2551 สำหรับการจัดสร้างหอดูดาวแห่งชาติ อยู่ในขั้นตอนการ พิจารณารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมในการก่อสร้างอาคาร หากผลการพิจารณาให้ก่อสร้างอาคารหอดูดาวได้ จะดำเนินการจัดจ้างก่อสร้างโดยทันที นอกจากนี้ ได้ดำเนินการก่อสร้างอาคารศูนย์บริการข้อมูลสารสนเทศและ ฝึกอบรมทางดาราศาสตร์บริเวณที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ เรียบ ร้อยแล้ว และได้ดำเนินการออกแบบอาคารสำนักงานใหญ่ซึ่งจะใช้งบประมาณในการก่อสร้างประมาณ 76 ล้าน บาท รวมทั้งร่างข้อบังคับภายในเพื่อเตรียมเป็นองค์การมหาชน
|
|||||||||||||||||||||
1997 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ (เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติโคนมและผลิตภัณฑ์นม พ.ศ. ....) | สว | 15/01/2551 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอผลการดำเนินการตามรายงานการ
พิจารณาศึกษาร่างพระราชบัญญัติโคนมและผลิตภัณฑ์นม พ.ศ. .... ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งผลการพิจารณา ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เห็นชอบตามรายงานการพิจารณาศึกษาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยให้มีการ บริหารจัดการอย่างเป็นระบบในรูปแบบของคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจากองค์ กรเกษตรกรโคนม ผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นม และภาคราชการที่เกี่ยวข้อง โดยให้อธิบดีกรมปศุสัตว์ร่วมเป็นหนึ่ง ในคณะกรรมการ ฯ ด้วย สำหรับผลการพิจารณาของกระทรวงอุตสาหกรรมเห็นควรให้มีการพิจารณาทบทวนปรับ ปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการ ฯ โดยการกำหนดถึงผู้มีสิทธิเสนอรายชื่อกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ โดยการเปิด โอกาสให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องสามารถที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการเสนอรายชื่อได้ ตลอดจนมีหลักเกณฑ์การพิจารณา คัดสรรผู้ทรงคุณวุฒิที่ชัดเจน รวมทั้งเพิ่มเติมอำนาจและหน้าที่ของคณะกรรมการ ฯ โดยการกำหนดปริมาณการนำ เข้าจะต้องไม่ขัดกับข้อตกลงทางการค้าระหว่างประเทศที่ไทยผูกพันไว้
|
|||||||||||||||||||||
1998 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง "การพัฒนามาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมของประเทศ" | สสป | 15/01/2551 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การพัฒนา
มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมของประเทศ และรับทราบความเห็นและผลการพิจารณาของกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ ที่เห็นว่าการพัฒนา มาตรฐานผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยี โดยใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2548 ฉบับที่ 6 มาตรา 5 ให้มีผลในทางปฏิบัติยิ่งขึ้น นั้น ควรให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เร่ง อนุมัติให้สถาบันทดสอบที่ได้รับการรับรองมาตรฐานห้องปฏิบัติการทดลอง เป็นหน่วยงานทดสอบ (IB-Inspection Body) สามารถปฏิบัติการแทน สมอ. ตามมาตรา 5 โดยมีบุคลากรและอุปกรณ์เพียงพอที่จะสามารถตรวจสอบผลิต ภัณฑ์ให้เป็นไปตามมาตรฐานบังคับ และพิจารณาทบทวนและแก้ไขพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2548 เพื่อให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และควรสนับสนุนให้ สมอ. เร่งออกมาตรฐานบังคับผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ให้ครอบคลุมในทุกผลิตภัณฑ์ ส่วนการออกใบอนุญาตให้ผู้ผลิตและนำเข้า ควรมีอายุไม่เกิน 2 ปี และให้มีการต่อใบ อนุญาตทุกปี รวมทั้งกำหนดค่าธรรมเนียมการการต่อใบอนุญาตรายปีในการตรวจติดตาม (Surveillance) นอกจาก นี้ ควรสนับสนุนให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการมาตรฐานแห่งชาติเป็นหน่วยงานอิสระมีอำนาจในการกำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ และโครงสร้างพื้นฐานของระบบมาตรฐานของประเทศ ออกมาตรการบังคับ กำกับ ติดตามและบังคับใช้ พระราชบัญญัติ ฯ อย่างเป็นเอกภาพ และให้ สมอ. และกรมควบคุมมลพิษกำหนดมาตรฐานบังคับที่เกี่ยวกับระเบียบ ว่าด้วยสิ่งแวดล้อมที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน เช่น การห้ามใช้สารอันตรายในผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอ นิกส์ เช่นเดียวกับ The Restriction for the Use of Certain Hazardous substance in Electrical and Electronic Equip ment : RoHS ของสหภาพยุโรป โดยมีระยะเวลาเริ่มบังคับใช้ภายใน 1-2 ปี และมีมาตรการรองรับระเบียบ RoHS ของไทย รวมไปถึงระเบียบว่าด้วยสิ่งแวดล้อมที่จะมีการบังคับใช้ในอนาคต และสนับสนุนงบประมาณ "โครง การพัฒนาบุคลากรด้านอุตสาหกรรมที่มีประสิทธิภาพและที่ยังขาดแคลนแรงงานฝีมือที่มีทักษะ" และ "โครงการฝึก อบรมเพื่อการพัฒนาการเพิ่มผลิตภาพของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม" เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||
1999 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่องยุทธศาสตร์การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในธุรกิจโลจิสติกส์ | สสป | 15/01/2551 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและ
ข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ เรื่อง ยุทธศาสตร์การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย ในธุรกิจโลจิสติกส์ และผลการพิจารณาความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ในเรื่องดังกล่าวซึ่งเป็นผลจาก การดำเนินการ ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการคณะ กรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ) ที่ได้มีการประชุมหารือกับหน่วยงาน ภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามความเห็นและ ข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการ ในส่วนที่เกี่ยวข้อง และให้รายงานคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ และแจ้งสภาที่ปรึกษาฯ ทราบ
|
|||||||||||||||||||||
2000 | ข้อเสนอผลการสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 25 ของหอการค้าไทย | นร | 08/01/2551 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. ข้อเสนอแนะของหอการค้าไทย จากการสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ ๒๕ เมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ และผลการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อข้อเสนอแนะของหอการค้าไทยในเรื่องที่ดำเนินการแล้ว สำหรับข้อเสนอแนะของหอการค้าไทย มีดังนี้ ๑.๑ แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจภูมิภาค ประกอบด้วย ๔ ด้าน ได้แก่ ด้านการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง ด้านการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในระดับภูมิภาค ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจของภูมิภาคที่ยั่งยืน และด้านการเสริมสร้างความเข้มแข็งขององค์กรภาคเอกชน ๑.๒ การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของภาคธุรกิจและเศรษฐกิจไทย ภายใต้รัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ ประกอบด้วย ๓ ด้าน ได้แก่ ด้านอัตราแลกเปลี่ยน ด้านผลกระทบจากรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และด้านผลกระทบจากพลวัตของโลก การค้า และสิ่งแวดล้อม ๑.๓ มาตรการภาครัฐและเอกชนเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ ประกอบด้วย ๓ ด้าน ได้แก่ ด้านมาตรการเพิ่มรายได้ให้กับประเทศ ด้านมาตรการลดต้นทุนในการผลิต และด้านมาตรการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ๑.๔ ยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศในมุมมองของหอการค้าไทย ได้กำหนดวิสัยทัศน์ “ประเทศไทยเป็นประเทศชั้นนำของภูมิภาคเอชีย ที่มีความแข็งแกร่ง มีภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจ มีระบบการเมือง และการปกครองที่มั่นคง และมุ่งขจัดคอร์รัปชั่น” ประกอบด้วย ๖ กลยุทธ์ คือ การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนาทักษะและองค์ความรู้ การส่งเสริมจริยธรรมและธรรมาภิบาล การรักษาสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิต และการป้องกันและเฝ้าระวังรักษา โดยมาแนวทางการฟื้นเศรษฐกิจไทยในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ ดังนี้ ๑.๔.๑ การดำเนินการโดยภาครัฐ ได้แก่ การเพิ่มความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและผู้ประกอบการ การส่งเสริมบุคคลที่มีความสามารถและมีคุณธรรม การเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ การเร่งรัดการลงทุนโดยเฉพาะโครงการสาธารณูปโภค การขยายการค้าระหว่างประเทศและการค้าชายแดน และการเข้าถึงแหล่งเงินทุนโดยสะดวก ๑.๔.๒ การดำเนินการของหอการค้าไทย ได้แก่ การร่วมสร้างความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและผู้ประกอบการ การสนับสนุนการปรับโครงสร้างการผลิตและเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน การผลักดันให้มีการรวมกลุ่มวิสาหกิจ (Cluster) และการสนับสนุนการประยุกต์ใช้ทฤษฎีใหม่ขั้นที่ ๒ และ ๓ ๒. ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาข้อเสนอแนะการดำเนินงานในระยะต่อไป และเสนอบรรจุไว้ในรายงานสรุปสภาวะของประเทศที่จะเสนอต่อรัฐบาลใหม่ และแจ้งให้หอการค้าไทยทราบต่อไป |
.....