ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 96 จากทั้งหมด 138 หน้า แสดงรายการที่ 1901 - 1920 จากข้อมูลทั้งหมด 2746 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1901 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ยุทธศาสตร์เตรียมตัวประเทศไทยเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในระยะ 10 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2552 - 2562)" | สสป | 29/09/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "ยุทธศาสตร์เตรียมตัวประเทศไทยเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมใน ระยะ 10 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2552-2562)" และรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวร่วม กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. ยุทธศาสตร์ที่ 1 : การดำเนินการเพื่อความมั่นคงทางอาหารและพลังงาน ควรมีกลยุทธ์การพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ กลยุทธ์เกษตรเพื่อพลิกฟื้นระบบนิเวศน์ในภูมิภาคต่าง ๆ กลยุทธ์การเพิ่มผลผลิต ด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสม กลยุทธการให้เกษตรกรมีความรู้ความสามารถด้านเทคโนโลยีอย่างจริงจัง และกลยุทธ์ การตลาดเกษตรที่มีประสิทธิผลผ่านองค์การเข้มแข็ง เป็นต้น 2. ยุทธศาสตร์ที่ 2 : การเป็นศูนย์การท่องเที่ยวของภูมิภาคเพื่อคนทุกวัย ควรมีกลยุทธ์กรุงเทพมหา นครเมืองแห่งการท่องเที่ยว กลยุทธ์พัฒนากลุ่มจังหวัดให้เป็นศูนย์การท่องเที่ยวของภาคและภูมิภาค กลยุทธ์การ พัฒนาชานเมืองเป็นบ้านใหม่เพื่อความสงบสุขสบายของวัยเกษียณ กลยุทธ์ศูนย์กลางสุขภาพ กลยุทธ์ชายทะเล แห่งเอเชีย กลยุทธ์ฟื้นฟูอัตลักษณ์ท้องถิ่น และกลยุทธ์สร้างความมั่นใจต่อชีวิตและความปลอดภัยของนักท่อง เที่ยว เป็นต้น 3. ยุทธศาสตร์ที่ 3 : การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ควรมีกลยุทธ์การศึกษาครั้งเดียวได้ความรู้ความชำ นาญพร้อมกัน กลยุทธ์การปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรมในระบบการศึกษาให้สังคมและชุมชนเข้มแข็ง กลยุทธ์ การฝึกอบรมในหน่วยงานภาคราชการและเอกชน และกลยุทธ์กำจัดกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาและ ส่งเสริมนักวิชาการ เป็นต้น 4. ยุทธศาสตร์ที่ 4 : การพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ควรมีกลยุทธ์การจัดสรรงบ ประมาณเพื่อการวิจัยและพัฒนา กลยุทธ์มันสมองไหลเข้า กลยุทธ์การถ่ายทอดเทคโนโลยีผ่านการลงทุนจากต่าง ประเทศ กลยุทธ์การเชื่อมต่อระหว่างสถาบันการศึกษา หน่วยงานภาครัฐ และภาคอุตสาหกรรม และกลยุทธ์การ สร้างเส้นทางอาชีพที่มั่นคง 5. ยุทธศาสตร์ที่ 5 : การค้าและการลงทุน ควรมีกลยุทธ์ด้านการปรับปรุงกฎหมายที่เป็นอุปสรรค ต่อการค้า และการลงทุน กลยุทธ์เป็นศูนย์กลางการค้า การลงทุน และการเงินในหกเหลี่ยมเศรษฐกิจ กลยุทธ์ การลงทุนเชิงรุกในต่างประเทศ และกลยุทธ์การให้ทุนการศึกษาแก่ประเทศเพื่อนบ้าน 6. ยุทธศาสตร์ที่ 6 : การสร้างความมั่นคงของฐานทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ควรมีกลยุทธ์การดูแลและรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งกลยุทธ์การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน และบูรณาการเชิงรุก 7. ยุทธศาสตร์ที่ 7 : การสร้างสังคมที่มีธรรมาภิบาล และสมานฉันท์ ควรมีกลยุทธ์การแก้ไขและป้อง กันการทุจริตคอร์รัปชั่น กลยุทธ์การพัฒนาองค์ความรู้คู่คุณธรรม และกลยุทธ์การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งใน จังหวัดชายแดนภาคใต้ 8. ยุทธศาสตร์ที่ 8 : การบริหารประเทศและการบริหารการจัดการงบประมาณแบบใหม่ ควรมีกล ยุทธ์การใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการบริหารประเทศ กลยุทธ์การบริหารเชิงบูรณาการและเบ็ดเสร็จ กล ยุทธ์การบริหารจัดการด้านงบประมาณแบบใหม่ให้ตรงเป้าหมายและมีประสิทธิภาพ และกลยุทธ์การบังคับใช้กฎ หมาย
|
||||||||||||||||||||||||
1902 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ข้าวธัญญาหารแห่งชาติ" | สสป | 29/09/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "ข้าวธัญญาหารแห่งชาติ" และรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์เสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวร่วมกับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. จัดหาพื้นที่นาให้กับชาวนาที่ไม่มีนา รวมถึงมาตรการช่วยเหลือชาวนาที่ต้องขายแรงงานในที่นา ของตนเอง และส่งเสริมสนับสนุนผลักดันให้ชาวนาสามารถดูแลรักษาบำรุง ฟื้นฟูพื้นที่นาให้สมบูรณ์เหมาะสม ต่อการทำนา 2. จัดหาแหล่งน้ำ จัดเก็บ กระจายน้ำและการชลประทานอย่างเป็นธรรม และเพียงพอเหมาะสมต่อ การทำนา การป้องกันแก้ไขภัยน้ำท่วม ภัยแล้ง และน้ำเจือปนสารปนเปื้อน 3. ส่งเสริมและสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมในการผลิตข้าวเพื่อเพิ่มผลผลิตข้าว โดยคำนึง ถึงทรัพยากรในท้องถิ่น และความเหมาะสมของสภาพพื้นที่ รวมถึงมาตรการช่วยเหลือชาวนาที่อยู่นอกเขตชล ประทานให้สามารถดำรงชีพอยู่ได้โดยไม่ต้องเคลื่อนย้าย อพยพยามหมดฤดูทำนา 4. จัดหาและเปิดโอกาสให้ชาวนาได้เข้าถึงแหล่งทุนที่หลากหลาย ในอัตราปลอดดอกเบี้ยจนกว่าจะ ขายผลผลิตหรือดอกเบี้ยต่ำผ่อนส่งระยะยาว รวมถึงมาตรการผ่อนผัน ผ่อนปรนในภาวะภัยพิบัติต่าง ๆ ที่มีผล ต่อการผลิตของชาวนา 5. นำเงินกองทุนช่วยเหลือเกษตรกรมาเป็นกองทุนส่งเสริมสนับสนุนช่วยเหลือเยียวยาแก้ไขปัญหา ชาวนาในกรณีสูญเสียและกำลังจะสูญเสียที่นา เพื่อให้สามารถดำรงรักษาพื้นที่นา และอาชีพการทำนา 6. กำหนดมาตรการหลังการเก็บเกี่ยวเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อชาวนาในการขายข้าวเปลือก 7. กำหนดให้มีการประกันภัยพืชผลทางการเกษตรโดยเฉพาะการทำนาข้าว เพื่อลดความเสียงจาก การประกอบอาชีพ 8. สร้าง Brand name มาตรฐานข้าวไทย โดยการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเข้าใจในเอกลักษณ์ พิเศษของข้าวไทย และส่งเสริมการตลาดเชิงรุก 9. กำหนดมาตรการความร่วมมือระหว่างผู้ผลิต (ชาวนา) พ่อค้าคนกลาง และผู้ส่งออกข้าว เพื่อลด ปัญหาการแข่งขันตัดราคาขายกันเอง รวมถึงการสูญเสียโอกาสส่งออกข้าวของประเทศ 10. เปิดโอกาสให้บริษัทเอกชน องค์กรการเกษตร และสหกรณ์การเกษตรได้มีโอกาสส่งออกข้าวสาร มากขึ้น รวมถึงพัฒนาโครงสร้างตลาดและกลไกตลาดทุกระดับ 11. กำหนดเป้าหมายและทิศทางที่ชัดเจนในด้านการผลิต ทุน ราคา และการตลาด รวมถึงการสนับ สนุนการวิจัยและพัฒนาข้าวไทยทั้งในส่วนของพันธุ์ข้าว การแปรรูป การเพิ่มมูลค่าคุณค่าของข้าวแต่ละชนิด 12. ดำเนินนโยบายลดต้นทุนการผลิตโดยกำหนดให้การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพเป็นวาระแห่งชาติ และ บูรณาการความรับผิดชอบของกระทรวง ทบวง กรมที่เกี่ยวข้องให้สามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 13. กำหนดยุทธศาสตร์ข้าวให้ชัดเจนเป็นรูปธรรม รวมถึงดำเนินนโยบายผลักดันองค์กรข้าวระหว่าง ประเทศให้เกิดความร่วมมือต่อกันเพื่อสามารถกำหนดเป้าหมายด้านปริมาณการผลิต ราคา รวมถึงตลาดที่เป็น ผลประโยชน์ร่วมกันเพื่อความมั่นคงด้านอาหารของภูมิภาคอย่างแท้จริง 14. ไม่อนุญาตหรือดำเนินการอย่างรอบคอบในการยินยอมให้บริษัทเอกชน โดยเฉพาะบรรษัทข้าม ชาติจดสิทธิบัตรพันธุ์พืชพันธุ์ข้าวไทย 15. ไม่อนุญาตให้บรรษัทข้ามชาติ และหรือตัวแทนทุกรูปแบบ (Nominee) เข้ามาดำเนินการซื้อขาย แพร่ขยาย นำเข้าหรือส่งออกเมล็ดพันธุ์ข้าว รวมถึงเมล็ดพันธุ์พืชอาหารทุกชนิดในลักษณะผูกขาด
|
||||||||||||||||||||||||
1903 | รายงานผลการพิจารณาศึกษาเรื่อง การพัฒนาระบบราชการเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน : ศึกษาเฉพาะกรณีการให้บริการประชาชน ของคณะกรรมาธิการการปกครอง วุฒิสภา | สว | 29/09/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอผลการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามข้อ
เสนอแนะของคณะกรรมาธิการการปกครอง วุฒิสภา เกี่ยวกับการพัฒนาระบบราชการเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน : ศึกษาเฉพาะกรณีการให้บริการประชาชน ที่เห็นว่า ในการปรับปรุงการให้บริการประชาชนของหน่วยงานภาครัฐให้ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ควรยึดแนวคิดเรื่องการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี (Good Governance) เป็นหลักในการ บริการประชาชน การใช้เทคโนโลยีเป็นพลังขับเคลื่อนในการพัฒนาไปสู่รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government) การ วิเคราะห์หารูปแบบให้บริการที่เหมาะสมกับพื้นที่และลักษณะงาน และการบริหารจัดการเพื่อพัฒนาไปสู่รัฐบาลอิเล็ก ทรอนิกส์ (e-Government) และให้ส่งสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
1904 | การรายงานผลการพิจารณาอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัยของนางเกศมณี สนั่นเครื่อง | นร | 22/09/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการกลั่นกรอง เรื่อง การดำเนินการทางวินัยและการพิจารณา
อุทธรณ์เสนอผลการพิจารณาอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัยของนางเกศมณี สนั่นเครื่อง ดังนี้ 1. กรณีนางเกศมณี สนั่นเครื่อง เป็นการกระทำความผิดทางวินัยร้ายแรงให้ปลดออกจากราชการ 2. กรณีนายนิรัตน์ ทะมีพันธ์ ให้กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงาน ก.พ. ร่วมกันจัดประชุมพร้อมเชิญ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประชุมหารือเพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติในกระบวนการพิจารณาการลงโทษข้าราชการให้ เหมาะสมและเป็นธรรมต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
1905 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง โครงการ โขง - ชี - มูล และการบริหารจัดการน้ำภาคตะวันออกเฉียงเหนือ | สสป | 22/09/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและ
ข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "โครงการ โขง-ชี-มูล และการบริหารจัดการน้ำภาคตะวันออกเฉียงเหนือ" และรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความ เห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุป ได้ดังนี้ 1. ควรยกเลิกระบบผันน้ำตามแผนโครงการโขง-ชี-มูลเดิม และให้กรมชลประทานซึ่งอยู่ระหว่างการ ศึกษา "โครงการบริหารจัดการน้ำโขง-เลย-ชี-มูล" จัดทำกรอบการพัฒนาแหล่งน้ำให้สอดคล้องกับสภาพภูมินิ เวศน์และวัฒนธรรมของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเหมาะสมกับการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็กแบบกระจายตัว เช่น สระน้ำในไร่นา บ่อกักเก็บน้ำชุมชน ฝายหินทิ้งเป็นระยะ ๆ ลดหลั่นกันไปจากสูงไปหาต่ำตามลักษณะของ แม่น้ำ และการฟื้นฟูแหล่งกักเก็บน้ำธรรมชาติ เช่น ลำห้วยกุดหลง ซึ่งมีมากกว่า 36,000 แห่ง 2. ควรกำหนดหลักการ "การพัฒนาแหล่งน้ำ" ให้ชัดเจนถึงเป้าหมายสำคัญที่ต้องมุ่งพัฒนาคุณภาพ ชีวิตของประชาชนในพื้นที่ โดยให้ชุมชนเป็นผู้คิดและสร้างกระบวนการเรียนรู้เพื่อกำหนดชีวิตของเขาเอง และให้ กรมชลประทานซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษา "โครงการบริหารจัดการน้ำโขง-เลย-ชี-มูล" นำไปเป็นแนวทางในการ ปฏิบัติศึกษาความเหมาะสมของโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ 3. จัดให้มีการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและความเป็นไปได้ในการใช้ประโยชน์จากฝายและระบบชล ประทานที่ก่อสร้างแล้วเป็นรายฝายและให้ประชาชนมีส่วนร่วม 4. เร่งรัดการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังเนื่องจากการสร้างฝายและองค์ประกอบของฝาย โดยอาจนำแนว ทางการแก้ไขปัญหาที่ฝายระวะ อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น มาปรับใช้เป็นแนวทางที่เหมาะสมกับการแก้ไข ปัญหาของแต่ละพื้นที่ 5. จัดทำแผนฟื้นฟูระบบนิเวศน์ที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการโขง-ชี-มูล โดยการมีส่วน ร่วมของชุมชนโดยเร่งด่วน โดยเฉพาะในพื้นที่ป่าบุ่งทาม เพราะเป็นฐานเศรษฐกิจสำคัญของชุมชน และสนับสนุน ให้ชุมชนจัดตั้งกองทุนฟื้นฟูอาชีพ โดยรัฐร่วมสมทบเพื่อเป็นทุนเริ่มต้นในการฟื้นฟูการทำนา การปลูกพืช การ ประมง การเลี้ยงสัตว์ และอาชีพอื่นที่ผู้ได้รับผลกระทบร่วมกันกำหนด
|
||||||||||||||||||||||||
1906 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การสร้างความยุติธรรมให้กับเจ้าหนี้และลูกหนี้ กรณีสินเชื่อส่วนบุคคลและหนี้บัตรเครดิต" | สสป | 22/09/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและ
ข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "การสร้างความยุติธรรมให้กับเจ้าหนี้และลูกหนี้ กรณีสินเชื่อส่วนบุคคลและ หนี้บัตรเครดิต" และรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตาม ความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้สมดุลและยั่งยืน 2. กำหนดนโยบายระดับมหภาคให้มีความเหมาะสม โดยการเร่งรัดแก้ไขปัญหาพื้นฐานที่สำคัญ ได้แก่ ปัญหาความยากจน และหนี้สินภาคครัวเรือน 3. ให้สถาบันการเงินรัฐปล่อยสินเชื่อเพื่อการลงทุนให้กับประชาชนระดับฐานราก ที่ขาดโอกาสเข้าถึง แหล่งเงินทุน โดยมีมาตรการและอัตราดอกเบี้ยที่เอื้อต่อการประกอบการของประชาชน 4. กำหนดให้มีกฎหมายที่เหมาะสมในด้านต่าง ๆ ที่คุ้มครองสิทธิของเจ้าหนี้และลูกหนี้อย่างครบถ้วน โดยศึกษาตัวอย่างกฎหมายจากต่างประเทศ พร้อมทั้งเร่งผลักดันให้พระราชบัญญัติการติดตามทวงถามหนี้ที่เป็น ธรรมมีผลบังคับใช้โดยเร็ว 5. แก้ไขปรับปรุงกฎหมายและหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ให้มีความเหมาะสม 6. ปรับปรุงกระบวนวิธีคิด และรูปแบบการทำงานของหน่วยงานรัฐและบุคลากรที่เกี่ยวข้อง เนื่องจาก นโยบายที่กำหนดให้หน่วยงานกำกับดูแลสถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎ หมาย หรือไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวมอย่างแท้จริง 7. เร่งรัดให้มีการจัดตั้งองค์การอิสระเพื่อผู้บริโภคตามที่กำหนดในรัฐธรรมนูญ และให้ภาครัฐและภาค เอกชนประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนตระหนักและเข้าใจผลดีและผลเสียของการใช้สินเชื่อส่วนบุคคล และบัตรเครดิต ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อป้องกันการใช้จ่ายเกินกำลังและเกิดเป็นหนี้ NPL
|
||||||||||||||||||||||||
1907 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (เพิ่มเติม) | สสป | 22/09/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "แนวทางการแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (เพิ่มเติม)" และ รับทราบตามที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผล การดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะ ของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. ควรกำหนดนิยามพื้นที่ในการแก้ปัญหาในชัดเจนว่า 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอของ จังหวัดสงขลา เพื่อจำกัดเขตความไม่สงบหรือ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หากใช้คำว่า 5 จังหวัดภาคใต้จะส่งผลทาง ด้านจิตวิทยา การใช้กฎหมายพิเศษงบประมาณโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ตรงกับข้อเท็จจริงกรณีจังหวัดสตูล 2. ควรทบทวนปรับปรุงการแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้ให้มีเท่าที่จำเป็น โดยให้ มีคณะกรรมการระดับชาติเพียงชุดเดียว เพื่อลดความซ้ำซ้อน สูญเปล่า และล่าช้าในการประสานราชการอันจะก่อ ให้เกิดเอกภาพในการแก้ปัญหามากขึ้น 3. ต้องมีการบูรณาการแผนงานโครงการของหน่วยงานฝ่ายพลเรือนทุกกระทรวง ทบวง กรม ที่ลง ไปปฏิบัติงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่ระดับกระทรวง ทบวง กรม และราชการส่วนภูมิภาคให้สอด รับครบวงจร ไม่ซ้ำซ้อน และสร้างความสับสนให้กับประชาชนที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ 4. เร่งรัดให้มีการใช้ประโยชน์จากการเป็นเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ เพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุนในพื้น ที่ เช่น การเป็นเมืองปลอดภาษีอากรและการวางผังเมืองหลักสำคัญในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 5. เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบสาธารณูปโภคที่คั่งค้างอยู่ให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว 6. ส่งเสริมผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น โดยจัดหาหน่วยงานที่มีความชำนาญในกระบวนการผลิตและจำหน่าย ไปช่วยเหลือให้คำแนะนำผู้ประกอบการในครัวเรือน ผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลาง (SME) ในเรื่องการ ผลิตสินค้าให้มีคุณภาพ การบรรจุภัณฑ์ เครื่องหมายรับรองคุณภาพ การโฆษณา และการประชาสัมพันธ์ 7. ปรับปรุงการพัฒนาฝีมือแรงงานให้ตรงกับวิถีชีวิตของประชาชน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 8. จัดให้มีศูนย์หรือหน่วยงานกลางในการประสานงานกับเครือข่ายภาคประชาสังคมให้เป็นตัวกลาง เชื่อมโยงระหว่างรัฐกับประชาชนในมิติต่าง ๆ 9. เร่งพัฒนาหลักสูตรสายสามัญให้มีวิชาอิสลามศึกษาใกล้เคียงกับการเรียนการสอนในโรงเรียนเอก ชนสอนศาสนา 10. ปรับปรุงระบบการอุดหนุนการศึกษาในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม สถาบันการศึกษาปอ เนาะ และศูนย์การศึกษาประจำมัสยิด (ตาดีกา) และจัดระบบการติดตามการบริหารงบประมาณให้มีประสิทธิ ภาพ 11. กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และขั้นตอนในการใช้กฎหมาย 4 ฉบับ คือ พระราชบัญญัติกฎอัยการ ศึก พ.ศ. 2457 พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 พระราชบัญญัติการรักษา ความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ให้เป็นแนวทางฉบับ เดียว เพื่อให้ฝ่ายความมั่นคงสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันก็ไม่เป็นการละเมิดสิทธิเสรี ภาพของประชาชนอันได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญเกินสมควร 12. ดำเนินการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง ทั่วถึง เป็นธรรม และมีประสิทธิภาพ
|
||||||||||||||||||||||||
1908 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง ปัญหาเขาพระวิหารกรณีการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก | สสป | 15/09/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะ ของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง ปัญหาเขาพระวิหารกรณีการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ 3. เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอเพิ่มเติมขอปรับแก้ ไขถ้อยคำในรายงานผลการพิจารณาและผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีต่อสภาที่ปรึกษา ฯ เพื่อเปิดเผยให้ สาธารณชนทราบในส่วนของความเห็น/ผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องข้อ 6 (หน้า 3 และ 4) ให้เกิดความชัดเจนและรัดกุมมากยิ่งขึ้น เป็นดังนี้ 3.1 บรรทัดที่ 12 "..ประเทศแคนาดาไม่ได้ดำเนินการให้เป็นไปตามหลักการ เจตนารมณ์ และเงื่อน ไข ." 3.2 บรรทัดที่ 18 "..ซึ่งกำหนดเงื่อนไขไว้อย่างชัดเจน อาทิ การที่ต้องกำหนดขอบเขตของพื้นที่การ ขึ้นทะเบียนที่แน่นอน.." 3.3 บรรทัดที่ 20 "..และมีเงื่อนไขในเอกสารต่าง ๆ ที่จะต้องส่งตามเวลาและสมบูรณ์ จึงจะพิจารณา ดำเนินการต่อไปได้ ซึ่งหากไม่ปฏิบัติ.." 3.4 บรรทัดที่ 22 "..ไปก่อน นอกจากนี้ในการเข้าพบเพื่อยื่นหนังสือดังกล่าวแล้ว ยังได้ยื่นหนังสือ ให้ผู้อำนวยการใหญ่ยูเนสโก ส่งเอกสารการขอขึ้นทะเบียนที่ WHC ขอให้กัมพูชาส่งรายละเอียดเกี่ยวกับขอบเขต พื้นที่ที่ขึ้นทะเบียนและพื้นที่กันชนใหม่ รวมทั้งเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมดให้ไทยได้พิจารณาด้วย เพื่อไม่ให้เกิดผล กระทบในเรื่องเขตแดนและอำนาจอธิปไตยต่อประเทศไทย ทั้งนี้ ได้ทำหนังสือขอเอกสารอย่างเป็นทางการไป ด้วยแล้ว"
|
||||||||||||||||||||||||
1909 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหากลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย | สสป | 15/09/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหากลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ในประเทศ ไทย และรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความ เห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. สร้างความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบให้เกิดความชัดเจนทั้งในการสื่อสารและหลักฐานที่ต้อง ใช้ในการดำเนินการด้านสถานะบุคคล และเร่งรัดการออกหนังสือรับรองการเกิด 2. บูรณาการการทำงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหากลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ให้เกิด ความคล่องตัวและสามารถแก้ไขปัญหาในทางปฏิบัติ 3. ปรับปรุงระบบฐานข้อมูลของชนเผ่าเป็นกรณีพิเศษ รวมถึงการพิมพ์ลายนิ้วมือไว้เป็นหลักฐานเพื่อ ทราบจำนวน ทราบการเคลื่อนย้าย เพื่อพิสูจน์ทราบตัวบุคคล ฯลฯ เป็นต้น 4. สร้างหลักประกันการเข้าถึงระบบบริการด้านสาธารณสุขให้ประชาชนที่อยู่ระหว่างการรอพิสูจน์ สิทธิ์ 5. จัดตั้งกองทุนรักษาพยาบาลสำหรับกลุ่มคนที่มีปัญหาในการเข้าถึงสิทธิตามระบบหลักประกันสุข ภาพ และดำเนินการจัดทำรายละเอียดจำนวนประชากรกลุ่มดังกล่าว เพื่อเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเพื่ออนุมัติ งบประมาณเหมาจ่ายรายหัวตามจำนวนประชากรที่เป็นจริง 6. สนับสนุนการพัฒนาเด็กและเยาวชนให้ได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานทั้งในและนอกระบบ รวมตลอด ถึงการศึกษาตามอัธยาศัย 7. ส่งเสริม สนับสนุน และชักจูงให้ชนเผ่าสามารถรักษาและสืบทอดศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณีของชนเผ่าเพื่อการอนุรักษ์ และเผยแพร่ต่อสาธารณะอย่างกว้างขวางและเป็นประโยชน์ในด้านอื่น ๆ 8. ส่งเสริม สนับสนุน และยอมรับความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ประเพณีและวัฒนธรรม รวมทั้ง การยอมรับข้อกฎหมายระหว่างประเทศตามที่ประเทศไทยได้ลงนามไว้ให้เกิดเป็นรูปธรรมอย่างจริงจัง 9. ดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อยุติการค้าชนเผ่าทุกรูปแบบที่จะนำสู่การละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และสิทธิมนุษยชน
|
||||||||||||||||||||||||
1910 | แนวทางการดำเนินการในการเสนอเรื่องที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงรายการหรือการเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันเกินกว่าวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติของหน่วยงานต่างๆ | นร | 15/09/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ 1.1 ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเปลี่ยนแปลงรายการ หรือเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ เกินกว่าวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้แล้วทั้ง 25 รายการ ตามที่กระทรวงต่าง ๆ เสนอ โดยปรับลดวงเงินก่อหนี้ผูก พันข้ามปีตามผลการพิจารณาความเหมาะสมของสำนักงบประมาณ ในวงเงินงบประมาณรวม 10,277.83 ล้านบาท 1.2 ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเจ้าของโครงการเร่งรัดการลงนามในสัญญาและกำกับติดตามเร่งรัด การดำเนินโครงการให้เป็นไปตามกรอบเวลาและวงเงินงบประมาณที่กำหนดต่อไปด้วย 2. ให้สำนักงบประมาณรับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการเสนอขอตั้งงบประมาณสำหรับรายการ ที่ต้องก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ส่วนราชการเจ้าของเรื่องต้องสำรวจข้อมูล ข้อเท็จจริง และกำหนดแบบรูปราย การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีดังกล่าวให้ถูกต้อง เหมาะสม ครบถ้วนเพื่อมิให้เกิดปัญหาการขอเปลี่ยนแปลงรายการในภาย หลัง ซึ่งทำให้เกิดภาระผูกพันงบประมาณในรายการนั้น ๆ เพิ่มขึ้นจากเดิมเป็นจำนวนมาก ไปประสานกับส่วนราช การที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการในโอกาสต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
1911 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การจัดทำผังเมืองของประเทศไทยในเชิงธรรมาภิบาล | สสป | 15/09/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "การจัดทำผังเมืองของประเทศไทยในเชิงธรรมาภิบาล" และรับทราบ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะ ดังกล่าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. ควรออกเป็นมติคณะรัฐมนตรีอย่างเร่งด่วนเพื่อให้ใช้บังคับกฎกระทรวงผังเมืองรวมฉบับเดิมที่หมด อายุไปพลางก่อน จนกว่าจะมีประกาศใช้ผังเมืองรวมฉบับใหม่ เพื่อป้องกันความเสียหายในการเกิดช่องว่างก่อน การประกาศใช้ผังเมืองฉบับต่อไป 2. ควรมีการชะลอ และมีการทบทวนร่างพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. .... ฉบับกำลังแก้ไขใหม่ที่ อยู่ในขั้นตอนของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ยังขาดความสมบูรณ์ เช่น โครงสร้างของคณะกรรมการผังเมืองการ มีส่วนร่วมของภาคประชาชนในกระบวนการจัดทำผังเมือง การรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสีย เป็นต้น 3. ส่งเสริมบทบาทภาคประชาชนและภาคประชาสังคมให้มีส่วนร่วมในระดับนโยบาย และในปฏิบัติ การตั้งแต่กระบวนการวางผังเมืองในแต่ละขั้นตอน ขั้นแนวคิดในการวางผังเมือง การจัดทำ และดำเนินการให้ เป็นไปตามผังเมืองระดับต่าง ๆ และบริหารการปฏิบัติให้เป็นไปตามผังเมืองทุกขั้นตอน ตลอดจนการมีส่วนร่วม ในระดับที่สูงขึ้นจนถึงระดับการตัดสินใจ 4. จัดให้มีกฎหมายที่เหมาะสมกับการเพิ่มรายได้ของท้องถิ่น เช่น ภาษีทรัพย์สิน (Property Tax) การประเมินพิเศษ (Special Assessment) รวมทั้งแหล่งที่มาของรายได้อื่น ๆ สำหรับการดำเนินการให้เป็นไป ตามผังเมืองรวมและผังเมืองเฉพาะ และมีมาตรการด้านอื่น ๆ เช่น Development Right 5. แก้ไขปัญหาความคาบเกี่ยวและข้อขัดแย้งทางกฎหมาย และแนวทางปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับผังเมือง 6. ปรับเปลี่ยนแนวคิดในการพัฒนาและจัดทำผังเมือง โดยมองรากฐานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง แวดล้อมของแต่ละพื้นที่เป็นหลักมากกว่าการนำเอาอุตสาหกรรมเป็นตัวนำโดยไม่มีฐานรองรับ โดยการจัดทำ ผังเมืองควรมองเรื่องความสมดุลของการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 มาประกอบด้วย 7. เร่งรัดพัฒนาและจัดทำระบบฐานข้อมูลที่ดินและแผนที่แห่งชาติ ซึ่งหมายถึงข้อมูลแผนที่รูปแปลง ที่ดินและทะเบียนที่ดินประจำแปลงที่ดิน เพื่อใช้เป็นแผนที่ฐาน (Base Maps) ซึ่งจะเป็นข้อมูลสำคัญในการจัด ทำผังเมืองทุกระดับประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||
1912 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การผลิตปาล์มน้ำมันแบบครบวงจร | สสป | 15/09/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและ
ข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "การผลิตปาล์มน้ำมันแบบครบวงจร" และรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์เสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวร่วมกับหน่วย งานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. ด้านนโยบาย 1.1 กำหนดนโยบายชัดเจนในด้านการพัฒนาพันธุ์ การแปรรูป การตลาด แยกนโยบายการใช้เพื่อ พลังงานและอาหาร รวมทั้งสนับสนุนข้อมูลการผลิตเมล็ดพันธุ์ การตลาด การแปรรูป และการประชาสัมพันธ์ให้ ประชาชนทราบเกี่ยวกับนโยบาย 1.2 ให้มีคณะกรรมการปาล์มน้ำมันระดับชาติและระดับจังหวัด 1.3 ให้มีกฎหมายเกี่ยวกับปาล์มน้ำมัน เพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของเอกชน เกษตรกร และความมั่น คงของนโยบายพืชอาหาร และพลังงานของชาติ 1.4 ศึกษาเพื่อกำหนดเขตเหมาะสมปลูกปาล์มน้ำมันให้เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศ 2. ด้านการผลิต 2.1 จัดหาเมล็ดพันธุ์ ต้นกล้าพันธุ์ที่มีคุณภาพให้เพียงพอกับความต้องการ กำหนดมาตรฐานเมล็ด พันธุ์ ต้นกล้าพันธุ์ปาล์ม รวมทั้งการออกใบเอกสาร/หรือหนังสือรับรองคุณภาพ 2.2 เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มน้ำมันและขยายพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันจะต้องขึ้นทะเบียนและได้รับอนุมัติ จากคณะกรรมการปาล์มน้ำมันจังหวัด/อำเภอ 2.3 จัดหาแหล่งรับซื้อผลผลิตและโรงกลั่นน้ำมันปาล์มแบบครบวงจรสำหรับเกษตรกรที่มีพื้นที่ปลูก ปาล์มมากกว่า 10,000 ไร่ 2.4 กำหนดพื้นที่การบริหารจัดการโรงงานผลิตปาล์มน้ำมันแบบครบวงจร และการบริหารจัดการ ระบบขนส่งผลผลิตและบริการอย่างมีประสิทธิภาพและครบวงจร 3. ด้านการตลาด 3.1 กำหนดราคากลางผลปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มให้เกิดความเป็นธรรม 3.2 จัดสร้างหรือจัดให้มีแหล่งรับซื้อผลปาล์มน้ำมันให้เหมาะสมในพื้นที่ 3.3 ขยายตลาดผลิตภัณฑ์ปาล์มน้ำมันสำเร็จรูปทั้งในประเทศและต่างประเทศ 3.4 ประสานความร่วมมือกับประเทศผู้ผลิตปาล์มน้ำมันเพื่อให้เกิดอำนาจต่อรองและอำนาจในการ กำหนดราคาผลิตภัณฑ์ปาล์มน้ำมันในตลาดโลก
|
||||||||||||||||||||||||
1913 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการพัฒนาศูนย์กลางสุขภาพแห่งประเทศไทย (Thailand Medical Hub) | สสป | 15/09/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและ
ข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง แนวทางการพัฒนาศูนย์กลางสุขภาพแห่งประเทศไทย (Thailand Medical Hub) และรับทราบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความ เห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุป ได้ดังนี้ 1. จัดตั้งหน่วยงานเฉพาะเป็นเจ้าภาพหลักรับผิดชอบในการบูรณาการดำเนินงานการสาธารณสุข และ การท่องเที่ยวทั้งระบบเพื่อขับเคลื่อนนโยบายการเป็นศูนย์กลางสุขภาพของภูมิภาคอย่างจริงจัง 2. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนข้อมูลด้านต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มขีดความสามารถ ในการแข่งขันให้กับธุรกิจ Medical Hub อาทิ ด้านวัฒนธรรมและภาษาของผู้มารับบริการ และกฎหมายระหว่าง ประเทศที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น รวมทั้งการเจรจาผ่อนปรนข้อจำกัดทางกฎหมายต่าง ๆ ในระดับรัฐบาลและระดับผู้ ประกอบธุรกิจ 3. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันกำหนดเป้าหมายและสัดส่วนของแพทย์ต่อประชากรอย่างชัดเจนโดย เบื้องต้นควรกำหนดเป้าหมายในระดับกลางคือ ประมาณ 1 : 1000 (แพทย์ : ประชากร) รวมทั้งเร่งผลิตบุคลากร ทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องทั้งระบบ 4. ควรมีการประสานความร่วมมือกับโรงพยาบาลเอกชนในการเข้ามามีส่วนในการผลิตแพทย์ 5. ปรับสวัสดิการและสร้างระบบเสริมรายได้ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ 6. รูปแบบศูนย์กลางสุขภาพแห่งประเทศไทย (Medical Hub) ควรเป็นในรูปแบบศูนย์พักฟื้นสุข ภาพ ศูนย์เสริมความงาม ศูนย์ดูแลและเวชศาสตร์เชิงป้องกันสุขภาพ 7. ส่งเสริมและสนับสนุนทั้งในเรื่องบุคลากร การใช้ทรัพยากร อุปกรณ์การแพทย์ Software ระบบส่ง ต่อการตลาด เป็นต้น โดยมีการร่วมกันระหว่างโรงพยาบาลภาครัฐและเอกชน (Sharing resources) และระหว่าง ภาคเอกชนกับภาคเอกชน 8. สร้างกลไกในการจัดสรรรายได้จาก Medical Hub ไปสู่ระบบสาธารณสุขของประเทศ ซึ่งอาจอยู่ใน รูปแบบของการเก็บภาษี ค่าธรรมเนียม ฯลฯ ซึ่งต้องอยู่ในรูปแบบที่ไม่ขัดกับหลักการของ WTO/FTA และหลักการ ของรัฐบาลที่จะลด Tariff และ Non tariff พร้อมทั้งกำหนดนโยบายด้านราคา การบริการขั้นพื้นฐานที่จำเป็น มาตรฐานการบริการขั้นต่ำในการรักษาพยาบาลและแผนการลงทุนด้านสุขภาพของประชาชน
|
||||||||||||||||||||||||
1914 | การแก้ไขปัญหาในการดำเนินกิจการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ | นร | 08/09/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาจากการดำเนิน กิจการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2550 (เรื่อง การแก้ไขปัญหาในการ ดำเนินกิจการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ) โดยกรณีการร้องเรียนของนางประภา เอี่ยมอร่ามศรี สปน. ได้มีหนังสือแจ้ง กระทรวงคมนาคม และบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) เพื่อพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยว ข้อง และรายงานรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) ทราบเป็นระยะ ๆ สำหรับกรณี การร้องเรียนของนายวันชาติ มานะธรรมสมบัติ สปน. ได้มีหนังสือติดตามเพื่อขอทราบผลการพิจารณาจากกระทรวง คมนาคมแล้ว ส่วนกรณีประชาชนรายอื่นที่ได้รับผลกระทบจากปัญหามลภาวะด้านเสียงของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ร้องเรียนผ่าน สปน. นั้น ได้ส่งเรื่องให้ ทอท. พิจารณาแล้วเช่นเดียวกัน 2. ให้กระทรวงคมนาคม โดย ทอท. พิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาของผู้ร้องและประชาชนรายอื่นที่ได้ รับผลกระทบด้านเสียงของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยคำนึงถึงหลักการด้านมนุษยธรรมตามความเหมาะสมด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
1915 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการเพิ่มศักยภาพการผลิตและการตลาดของสัตว์น้ำสวยงามและพรรณไม้น้ำ | สสป | 08/09/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง แนวทางการเพิ่มศักยภาพการผลิตและการตลาดของสัตว์น้ำสวยงาม และพรรณไม้น้ำ และรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการ ดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะ ของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. ด้านการผลิต 1.1 จัดทำยุทธศาสตร์สัตว์น้ำสวยงามและพรรณไม้น้ำ และการให้คำแนะนำอย่างถูกต้องทั้งด้าน การผลิต ด้านการตลาด และด้านธุรกิจการส่งออก เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตสัตว์น้ำสวยงามและพรรณไม้น้ำ ของประเทศไทยให้สามารถเป็นหนึ่งในภูมิภาคเอเชียได้ 1.2 จดทะเบียนฟาร์ม รับรองมาตรฐานฟาร์มให้แก่เกษตรกรผู้ผลิตและผู้รวบรวมผลผลิตของสัตว์ น้ำสวยงามและพรรณไม้น้ำให้ทั่วถึงทุกภูมิภาค 1.3 ให้มีองค์ความรู้ที่เกี่ยวกับสัตว์น้ำสวยงามและพรรณไม้น้ำในทุกจังหวัด 1.4 จัดทำฟาร์มต้นแบบที่มีกระบวนการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ มีการนำงานวิจัยต่าง ๆ มา ประยุกต์ใช้ให้ได้ผลจริง มีการติดต่อประสานงานกันโดยตรงจากนักวิชาการและเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยง 1.5 ให้มีการนำเข้าสัตว์น้ำสวยงามและพรรณไม้น้ำเพื่อเป็นพ่อแม่พันธุ์ และเพื่อการอนุบาล เพื่อ การส่งออก โดยให้มีการทำประวัติ มีการขึ้นทะเบียน และงดการอนุญาตเป็นกรณีไป 1.6 ลดขั้นตอนและระเบียบเกี่ยวกับการส่งสินค้าของศุลกากรที่ท่าอากาศยานหรือด่านชายแดน ที่เกี่ยวข้องกับสัตว์น้ำสวยงามและพรรณไม้น้ำ 2. ด้านนโยบายภาครัฐ 2.1 จัดตั้งศูนย์กลางการบริการ ข้อมูล และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ของสัตว์น้ำสวยงามและ พรรณไม้น้ำเพื่อประโยชน์แก่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยให้ฐานข้อมูลควรมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้ เช่น ข้อมูล เกษตรกร ผู้ผลิต ผู้ส่งออก ประเทศคู่ค้า เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||
1916 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงจำนวนหน่วยการก่อสร้างขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรี โครงการก่อสร้างที่พักอาศัยข้าราชการสำนักงานอัยการสูงสุดพร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ | อส | 01/09/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานอัยการสูงสุดดำเนินการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยข้าราชการ
สำนักงานอัยการสูงสุด พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ จำนวน 153 หน่วย ในวงเงิน 298,421,868 บาท โดยให้ เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2549-พ.ศ. 2551 แผนงบประมาณ : บริหารจัด การภาครัฐ ผลผลิต : คดีที่ดำเนินการในชั้นศาล งบลงทุน ค่าก่อสร้างที่พักอาศัยข้าราชการสำนักงานอัยการ สูงสุด พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรองรับไว้ รวมจำนวน 226,800,000 บาท ส่วนที่ เหลืออีก จำนวน 71,621,868 บาท ให้สำนักงานอัยการสูงสุดเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตาม งวดการจ่ายชำระให้ครบวงเงินตามสัญญาต่อไป ตามผลการพิจารณาของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||
1917 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการกระจายรายได้บนฐานสิทธิและทรัพยากรธรรมชาติ" | สสป | 01/09/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอ แนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "แนวทางการกระจายรายได้บนฐานสิทธิและทรัพยากรธรรมชาติ" 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนา การเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงอุตสาหกรรม ดังนี้ 2.1 การสร้างความเข้มแข็งและการเสริมสร้างบทบาทของชุมชนด้านการบริหารจัดการทรัพยา กรธรรมชาติ จำเป็นที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องในหลายประการที่สำคัญ ได้แก่ การพัฒนากลไกด้านกฎ หมาย และกลไกด้านเศรษฐศาสตร์ เพื่อสร้างแรงจูงใจและสนับสนุนบทบาทชุมชน การศึกษามาตรการเข้าถึง และการจัดการทรัพยากรของชุมชนที่ยั่งยืน เป็นธรรม และสอดคล้องกับภูมิสังคมของแต่ละพื้นที่ และการจัด ให้มีระบบการติดตามประเมินผลในระยะยาว เป็นต้น 2.2 การจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม เชิงยุทธศาสตร์ (SEA) รายงานการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ (HIA) และการจัดทำประชาพิจารณ์ เป็น กลไกหลักที่จะช่วยในการสนับสนุนการตัดสินใจในระดับนโยบายอย่างรอบด้านที่คำนึงถึงผลได้ผลเสีย ทั้งมิติ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม และสิ่งแวดล้อม จึงควรปรับปรุงกลไกที่มีอยู่เดิมให้มีประสิทธิภาพ โดยอาจจะสนับ สนุนให้จัดตั้งกองทุนการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นเครื่องมือสนับสนุนให้เกิดความเป็นกลางทาง วิชาการอย่างแท้จริง 3. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงมหาดไทยรับความเห็น ผลการพิจารณา รวมทั้งผลการดำเนินการของ สศช. ร่วมกับหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องไปประกอบการพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
1918 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การบริหารจัดการปัญหาราคาผลไม้อย่างยั่งยืน | สสป | 25/08/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "การบริหารจัดการปัญหาราคาผลไม้อย่างยั่งยืน" และรับทราบตาม ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอ แนะดังกล่าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. ด้านปัจจัยการผลิตและต้นทุน 1.1 การจัดการที่ดิน โดยเร่งฟื้นฟู ปรับปรุงบำรุงดินให้มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะสมแก่การเพาะ ปลูก มีความรู้และระมัดระวังในการใช้ปุ๋ย การใช้สารเคมี และการปรับสภาพพื้นที่โดยใช้วิธีชีวอินทรีย์แบบ ผสมผสานเพื่อพัฒนาคุณภาพและปริมาณที่เหมาะสม 1.2 การจัดการแหล่งน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการเพาะปลูกของเกษตรกร รวมทั้งพัฒนาระบบ ชลประทานให้เหมาะสมกับพืชที่เพาะปลูก 1.3 นำเทคโนโลยีการผลิตสมัยใหม่มาผสมผสานกับภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อประสิทธิภาพในการ ผลิตและคุณภาพผลผลิต 1.4 พัฒนาแหล่งทุนในภาคเกษตรกรรมเพื่อให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งทุนสะดวกขึ้น รวมทั้งพัฒนา ปรับปรุงแก้ไขเงื่อนไขของสถาบันการเงิน และกองทุนอื่น ๆ เพื่อการเกษตรอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม 2. ด้านการตลาด 2.1 ส่งเสริม แนะนำ สาธิต การบริโภค และแปรรูปผลไม้ให้เป็นที่รู้จักทั้งในและต่างประเทศหรือ ต่างภูมิภาคให้กว้างขวางมากขึ้น 2.2 ขยายตลาดต่างประเทศสู่ประเทศผู้บริโภคใหม่ ๆ 2.3 พัฒนาการตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและโอกาสให้เกษตรกรในการ ซื้อขายสินค้าเกษตรผลไม้ล่วงหน้าได้ (รวมทั้งดูแลความเป็นธรรมการเกษตรแบบสัญญาจ้างปลูก จ้างผลิต และ ประกันราคาซื้อที่เหมาะสม 3. ด้านนโยบาย 3.1 กำหนดทิศทางยุทธศาสตร์และแผนงานเพื่อคุ้มครองและรักษาผลประโยชน์ของเกษตรกรใน การผลิตและการตลาด ส่งเสริมสินค้าเกษตรให้ได้รับผลตอบแทนสูงสุด รวมทั้งกำหนดพื้นที่ปลูก (Zoning) ที่ เหมาะสมสามารถควบคุมปริมาณและคุณภาพผลผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3.2 ส่งเสริมการรวมกลุ่มของเกษตรกรเพื่อจัดทำแผนงานการเกษตร และรักษาผลประโยชน์ร่วม กันของเกษตรกรในรูปแบบสภาเกษตรกรโดยองค์กรเกษตรกร สหกรณ์มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อน การป้องกัน และแก้ไขปัญหา กำหนดมาตรการดำเนินการในภาคเกษตรกรรม 3.3 ส่งเสริม สนับสนุน และกำหนดทิศทางการผลิตไม้ผลสายพันธุ์ดี มีเอกลักษณ์ผลไม้ไทยตาม ที่ตลาดและผู้บริโภคนิยมและมีความต้องการสูงให้กว้างขวางยิ่งขึ้น 3.4 มีมาตรการป้องกันคุ้มครองการทุ่มตลาดและการกีดกันผลไม้
|
||||||||||||||||||||||||
1919 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการพัฒนาและเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจสัตว์น้ำจืดของประเทศ" | สสป | 25/08/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและ
ข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "แนวทางการพัฒนาและเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจสัตว์น้ำจืดของประเทศ" และรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความ เห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุป ได้ดังนี้ 1. ด้านนโยบาย 1.1 รัฐควรมุ่งเน้นสร้างความเข้มแข็งให้องค์กร กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ การสร้างเครือข่ายองค์กร ความร่วมมือที่มีเอกภาพในการต่อยอดการพัฒนาผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดรายเดิม รายใหม่ และภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อลดต้นทุนการผลิตรวม ตลอดจนให้สินค้ามีคุณภาพและปริมาณเป็นไปตามความต้องการของตลาด 1.2 ปรับปรุงฐานข้อมูลผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ผู้ทำการประมง แหล่งน้ำสาธารณะ เพื่อปรับปรุงโครง สร้างระบบการผลิต การวางแผนและการบริหารจัดการที่ดี จัดทำฐานข้อมูลชนิดและปริมาณสัตว์น้ำที่มีการนำเข้า -ส่งออก รวมทั้งเพื่อใช้วิเคราะห์และจัดทำยุทธศาสตร์เฉพาะด้าน 1.3 จัดหาข้อมูลความต้องการของตลาดในแต่ละฤดูกาล ข้อกำหนดด้านคุณภาพสินค้า วิธีการและ เทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงที่ช่วยลดต้นทุนการผลิตเพื่อการวางแผนการเพาะเลี้ยงของเกษตรกร แก้ปัญหาสินค้าล้น ตลาด และราคาตกต่ำในบางฤดูกาล 1.4 ปรับปรุงราคากลางพันธุ์สัตว์น้ำจืดให้สอดคล้องกับต้นทุนรวมในสถานการณ์ปัจจุบัน 1.5 พัฒนาและสนับสนุนคุณภาพการผลิต จัดทำเครือข่ายธุรกิจ หรือองค์ความร่วมมือตั้งแต่ต้นน้ำ ถึงปลายน้ำ (Cluster) ระหว่างผู้ผลิต ผู้แปรรูป ผู้ส่งออก เพื่อให้การตรวจสอบและกำกับดูแลเป็นไปตามเกณฑ์ มาตรฐานและมาตรฐานของประเทศคู่ค้า พัฒนาระบบการออก Health Certificate ผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ 2. ด้านการผลิต 2.1 จัดทำยุทธศาสตร์ และเป้าหมายที่ชัดเจนในการกำหนดชนิดพันธุ์ รูปแบบการเลี้ยง เพื่อการ บริโภคภายในและการส่งออกเพื่อการพัฒนาและเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจ การผลิตสัตว์น้ำจืดของไทย 2.2 ส่งเสริม สนับสนุน และถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตอาหารสัตว์น้ำคุณภาพดี ราคาถูก และ รวมตัวเป็นกลุ่มสหกรณ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การพึ่งพาตนเองและลดต้นทุนการผลิตรวม 2.3 กำหนดพื้นที่ในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในแหล่งน้ำสาธารณะอย่างชัดเจน เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการเลี้ยงปลาในกระชัง และในอ่างเก็บน้ำที่ใช้น้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค 3. ด้านการตลาด 3.1 ให้มีตลาดกลางซื้อขายสินค้าสัตว์น้ำจืดนำร่องที่ถูกสุขลักษณะเป็นระบบ มีเครื่องมืออุปกรณ์ ได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับและเชื่อถือของทุกฝ่าย 3.2 ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างผู้ส่งออก ผู้ผลิตและผู้เกี่ยวข้องทั้งห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เพื่อแก้ปัญหาการผลิต ปริมาณ คุณภาพ และเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน 3.3 กำหนดมาตรการควบคุมการนำเข้าสัตว์น้ำจืดจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากประเทศเพื่อน บ้าน
|
||||||||||||||||||||||||
1920 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมลุ่มน้ำท่าจีน โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน | สสป | 25/08/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมลุ่มน้ำท่าจีน โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน" และรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอความ เห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยว ข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอและของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. จัดทำแผนการพัฒนาจังหวัดในแม่น้ำท่าจีน โดยการมีส่วนร่วมของประชาชนให้สอดคล้องกับศักย ภาพของพื้นที่ และกำหนดให้เป็นพื้นที่สำคัญที่จะเป็นครัว และปอดของภาคกลาง และเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวเชิงนิ เวศน์ 2. ศึกษาและทดลองการปรับปรุงกลุ่มจังหวัดบูรณาการใหม่ตามลุ่มน้ำหลักโดยจัดให้จังหวัดในลุ่มน้ำ ท่าจีนเป็นกลุ่มจังหวัดบูรณาการนำร่อง ประกอบด้วยจังหวัดชัยนาท สุพรรณบุรี นครปฐม และสมุทรสาครเพื่อ ให้กลุ่มจังหวัดสามารถประสานการพัฒนา และจัดระบบการบริหารจัดการลุ่มน้ำท่าจีนร่วมกันอย่างมีประสิทธิ ภาพ มีการพัฒนาที่สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่ วิถีวัฒนธรรมของท้องถิ่น และรักษาระบบนิเวศน์แม่น้ำท่า จีน 3. ให้กรมชลประทาน และจังหวัดนครปฐมสร้างกระบวนการวางแผน โดยการมีส่วนร่วมของประชา ชนในการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากประตูระบายน้ำอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะการป้องกันไม่ให้เกิดสภาพน้ำเน่าเสีย และการเกิดปัญหาน้ำท่วมที่เกิดจากการขวางกั้นของประตูระบายน้ำ 4. เร่งรัดจัดทำผังเมืองโดยการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างเร่งด่วนในจังหวัดลุ่มน้ำท่าจีน 5. จัดให้มีแผนงานและมาตรการคุ้มครองพื้นที่ชุ่มน้ำแม่น้ำท่าจีน ตามกรอบมติคณะรัฐมนตรีว่าด้วย พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับชาติ
|
.....