ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 95 จากทั้งหมด 138 หน้า แสดงรายการที่ 1881 - 1900 จากข้อมูลทั้งหมด 2746 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1881 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การพัฒนาการเกษตรตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในยุคการค้าเสรี | สสป | 03/11/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและ
ข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "การพัฒนาการเกษตรตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในยุคการค้าเสรี" และรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความ เห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะสรุปได้ดังนี้ 1. การผลิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 1.1 สร้างระบบเชื่อมโยงตลาดและพัฒนาตลาดกลางขององค์กรเกษตรกรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถใน การแข่งขัน และลดช่องว่างการตลาด รวมทั้งสร้างตลาดให้เกิดในชุมชน 1.2 ส่งเสริมให้มีการผลิตแบบเกษตรผสมผสานมากขึ้น ลดการผลิตเชิงเดี่ยว และใช้สารอินทรีย์ที่ผลิต เองในชุมชน 1.3 ส่งเสริมให้มีการศึกษา วิจัย และค้นคว้า รวมทั้งพัฒนาองค์ความรู้ด้านการพัฒนาการเกษตรด้วย ภูมิปัญญาท้องถิ่น 1.4 พัฒนาองค์ความรู้และขีดความสามารถของบุคลากรในภาคการเกษตรให้สามารถปรับตัวรองรับ ผลกระทบที่จะเกิดจากปัจจัยภายนอก 2. การเพิ่มมูลค่าผลผลิตการเกษตร 2.1 จัดให้มีมาตรการอำนวยความสะดวกให้เกิดการเพิ่มมูลค่าผลผลิตการเกษตร สร้างแรงจูงใจให้ผู้ บริโภค เน้นให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีภารกิจสำคัญในการสนับสนุนงบประมาณและโครงสร้างพื้นฐาน 2.2 สนับสนุนให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตรอย่างจริงจัง เพื่อลดปัญหาสินค้าล้น ตลาดและขาดตลาดบางช่วง 2.3 ส่งเสริมให้เกษตรกรพัฒนาขีดความสามารถในการเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร สามารถปรับตัวและ กำหนดทิศทางเพื่อรองรับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกประเทศ 3. การจัดการตลาด 3.1 จัดตั้งตลาดกลางเพื่อรวบรวม ประมูล และกระจายผลผลิตทางการเกษตรในแต่ละจังหวัด 3.2 จัดการระบบโลจิสติกส์เพื่อลดต้นทุนการผลิตรวมและสนับสนุนระบบการขนส่งสินค้าให้ถึงมือผู้ ซื้อทั้งในประเทศและต่างประเทศ 3.3 ให้ตัวแทนสถาบันเกษตรกรมีบทบาทและส่วนร่วมในการเจรจาการค้าในทุกระดับ 4. มาตรการสนับสนุนของภาครัฐ 4.1 พัฒนาฐานข้อมูลและมีการวิเคราะห์ที่เป็นระบบให้ทันสถานการณ์ เพื่อกำหนดนโยบายและการ ตัดสินใจของเกษตรกร รวมทั้งส่งเสริมให้ใช้ประโยชน์จากงานวิจัยได้อย่างต่อเนื่อง 4.2 กำหนดมาตรการในการสร้างเสถียรภาพทางด้านรายได้ของเกษตรกร เพื่อทดแทนมาตรการใน การแทรกแซงราคาสินค้าเกษตรโดยตรง 4.3 สร้างมาตรฐานสินค้าเกษตรภายในประเทศทัดเทียมมาตรฐานส่งออก 4.4 ดำเนินการจดทะเบียนเกษตรกรให้ทั่วถึง ถูกต้อง และเป็นธรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการวาง นโยบายและวางแผนด้านการเกษตร 4.5 ปรับปรุงเงื่อนไขกองทุนที่ตั้งขึ้นเพื่อรองรับการแก้ไขผลกระทบจากการทำข้อตกลงการค้าเสรี 4.6 กำหนดมาตรการตรวจสอบคุณภาพสินค้าและมาตรการจัดเก็บภาษีสินค้าเกษตรนำเข้าจากผู้นำ เข้าและผู้กระจายสินค้าในประเทศในรูปแบบภาษีท้องถิ่นและมาตรฐานความปลอดภัยของผู้บริโภค
|
||||||||||||||||||||||||
1882 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ยุทธศาสตร์การผลิตและพัฒนาทรัพยากรบุคคลของสถานศึกษาให้ตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขันของประเทศ" | สสป | 03/11/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "ยุทธศาสตร์การผลิตและพัฒนาทรัพยากรบุคคลของสถานศึกษาให้ตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขันของประเทศ" และรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะของ
สภาที่ปรึกษา ฯ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะสรุปได้ดังนี้ 1. รูปแบบการผลิตและพัฒนาทรัพยากรบุคคล ควรมุ่งเน้นการพัฒนาทรัพยากรบุคคล 2 ประเภท ดังนี้ 1.1 จัดฝึกอบรมหลักสูตรระยะสั้นโดยใช้ระยะเวลาศึกษาระหว่าง 3 เดือน ถึง 1 ปี เป้าหมายของหลักสูตรเน้นฝึกทักษะพื้นฐานที่จำเป็น เพื่อให้สามารถประกอบอาชีพการให้บริการนักท่องเที่ยวทันทีที่จบการศึกษา 1.2 จัดการศึกษาหลักสูตรตามระดับการศึกษา โดยเป้าหมายหลักสูตรเน้นฝึกทักษะการปฏิบัติงานในลักษณะฐานสมรรถนะมากกว่าลักษณะรายวิชาควบคู่ไปกับหลักสูตรการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว และการเป็นผู้บริหารระดับกลางทำหน้าที่ให้คำแนะนำพนักงานที่ให้บริการนักท่องเที่ยวโดยตรง 2. ทิศทางการพัฒนาทรัพยากรบุคคล 2.1 พัฒนาทรัพยากรบุคคลไปพร้อมกับการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยเน้นบทบาทด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ดิน น้ำ ป่า และกิจกรรม การส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมวิถีชีวิตและเอกลักษณ์ท้องถิ่น ความรับผิดชอบของมัคคุเทศก์ และจรรยาบรรณ รวมทั้งการดำเนินการด้านการตลาดและสื่อโฆษณา และมาตรการด้านความปลอดภัยที่จะทำให้นักท่องเที่ยวมั่นใจและไว้วางใจ 2.2 พัฒนามาตรฐานอาชีพด้านการท่องเที่ยวและการโรงแรมโดยฝึกทักษะและพัฒนาความสามารถของทรัพยากรบุคคลตามฐานสมรรถนะ 2.3 วางแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวและพัฒนาทรัพยากรบุคคลเพื่อรองรับการท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่มที่เป็นแนวโน้มของตลาดท่องเที่ยวมากขึ้น ได้แก่ กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มคนพิการ กลุ่มท่องเที่ยวเป็นครอบครัว เป็นต้น 3. กลยุทธ์การพัฒนาทรัพยากรบุคคล 3.1 กลยุทธ์การพัฒนาทรัพยากรบุคคลควบคู่ไปกับการพัฒนาการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนเน้นการบูรณาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวให้เข้ามามีบทบาทร่วมกัน โดยเป็นเครือข่ายร่วมที่มีความคล่องตัวทั้งด้านการกำหนดนโยบาย/ทิศทางการพัฒนาการท่องเที่ยว การพัฒนาทรัพยากรบุคคล และการจัดการงบประมาณที่สอดคล้องกับสภาพการท่องเที่ยว 3.2 กลยุทธ์การจัดทำมาตรฐานอาชีพทรัพยากรบุคคลด้านการท่องเที่ยวและการโรงแรม โดยมีกฎหมายหรือมติคณะรัฐมนตรีเรื่องดังกล่าวโดยเฉพาะที่เน้นให้สถาบันการศึกษา สถานประกอบการ สมาคมวิชาชีพ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทำมาตรฐานอาชีพ และจัดตั้งศูนย์เฉพาะทางด้านการท่องเที่ยวตามภูมิภาคต่าง ๆ 3.3 กลยุทธ์การสร้างความร่วมมือการพัฒนาทรัพยากรบุคคลระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยให้ความสำคัญกับบทบาทและการมีส่วนร่วมของสถานประกอบการ ส่งเสริมบทบาทของกลุ่มจังหวัดให้มีส่วนสนับสนุนสถานประกอบการด้านการท่องเที่ยวและการโรงแรม สนับสนุนให้สถานประกอบการเข้ามามีบทบาทในการกำหนดนโยบาย การพัฒนาหลักสูตร การจัดการเรียนการสอน ร่วมมือทำวิจัยและรับนักศึกษาเข้าไปฝึกปฏิบัติงาน รวมถึงให้ทุนการศึกษา การพัฒนาผู้สอนให้สามารถถ่ายทอดความรู้ สร้างค่านิยมในอาชีพ และจริยธรรม
|
||||||||||||||||||||||||
1883 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตยาแผนปัจจุบันและสมุนไพรเพื่อการพึ่งตนเอง | สสป | 03/11/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและ
ข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตยาแผนปัจจุบันและสมุนไพรเพื่อการพึ่งตนเอง และรับทราบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและ ข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะสรุปได้ดังนี้ 1. ด้านการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตยาแผนปัจจุบัน 1.1 ส่งเสริมและสนับสนุนให้โรงงานผลิตยามีการปรับตัวและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ข้อมูลและเทค โนโลยีระหว่างกันเพื่อพัฒนาด้านการผลิตและการวิจัย 1.2 พัฒนาโรงงานผลิตยาไทย ยาแผนปัจจุบันให้ได้มาตรฐาน GMP (Good Manufacturing Practice) 1.3 ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีงานวิจัยเพื่อศึกษาถึงผลกระทบจากการยกระดับ GMP ต่อระบบยาและ อุตสาหกรรมยาของประเทศ พร้อมทั้งศึกษาหาแนวทางในการปฏิบัติที่เหมาะสมที่สุด เพื่อกำหนดแผนงานที่ชัดเจน และเป็นรูปธรรม 1.4 ให้มีมาตรการป้องกันการนำเข้ายาจากต่างประเทศที่มีมาตรฐานต่ำกว่า โดยการตรวจสอบและ ประเมินโรงงานผู้ผลิตต่างประเทศก่อนอนุมัติจดทะเบียน 1.5 สนับสนุนให้เกิดความร่วมมือระหว่างคณะเภสัชศาสตร์กับสถาบันวิจัยต่าง ๆ ในการพัฒนายาชื่อ สามัญ (Generic) พร้อมทั้งผลักดันให้คณะเภสัชศาสตร์ส่งเสริมให้นักศึกษาเภสัชศาสตร์สนใจสายงานวิชาชีพเภสัช อุตสาหกรรม และส่งเสริมให้เภสัชกรในสายงานเภสัชอุตสาหกรรมมีการพัฒนาองค์ความรู้ และสามารถเพิ่มทักษะ ในการทำงานอย่างต่อเนื่อง 1.6 ควรมีนโยบายที่ชัดเจนในการสนับสนุนการส่งออกยาแผนปัจจุบันและดำเนินการเปิดตลาดโดย เฉพาะในกลุ่มประเทศอาเซียนและพันธมิตรทางการค้าอื่น ๆ ควรมีนโยบายที่ชัดเจนในการสนับสนุนการส่งออก ยาแผนปัจจุบันและดำเนินการเปิดตลาดโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอาเซียนและพันธมิตรทางการค้าอื่น ๆ 1.7 เพิ่มขีดความสามารถของกรมทรัพย์สินทางปัญญาให้สามารถดำเนินการเรื่อง การให้สิทธิบัตร การตรวจสอบเพื่อป้องกันการจดสิทธิบัตรแบบมีชีวิตตลอด (Ever-greening Patent) รวมถึงการช่วยให้ภาคเอกชน หรือหน่วยงานวิชาการในการสอบค้นสิทธิบัตรต่าง ๆ เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจศึกษาวิจัยยาสามัญ (Generic) หรือยาต้นแบบ (Original) โดยไม่ต้องเผชิญปัญหาการดำเนินการซ้ำซ้อนกับสิทธิบัตรที่มีอยู่แล้ว 2. ด้านการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตยาสมุนไพร 2.1 ส่งเสริมและสนับสนุนการจัดระบบองค์ความรู้ ข้อมูลและงานวิจัยด้านยาสมุนไพร การแพทย์พื้น บ้าน การแพทย์แผนไทย ตลอดจนพัฒนาต่อยอดในลักษณะบูรณาการครบวงจรตั้งแต่การวิจัยพื้นฐานนักพิษวิทยา คลินิกวิทยา มาตรฐานผลิตภัณฑ์ และสิทธิบัตรยา 2.2 สร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องยาสมุนไพร การดูแลสุขภาพ วิถีไทยภูมิปัญญาไทย ที่เป็นทางเลือก เหมาะสม มีคุณภาพมาตรฐานในการดูแลและรักษาสุขภาพ 2.3 สนับสนุนการใช้การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน การแพทย์ทางเลือกอื่น ๆ และการใช้ ยาสมุนไพรไทยในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ระบบประกันสังคม และระบบประกันสุขภาพอื่น ๆ 2.4 กำหนดเป้าหมายการเพิ่มชนิดของยาสมุนไพร ยาไทย ในบัญชียาหลักแห่งชาติ 2.5 ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตยาสมุนไพรแบบครบวงจร 2.6 ให้มีการศึกษาผลกระทบจากกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและใช้ยาสมุนไพร การแพทย์แผน ไทย การแพทย์พื้นบ้าน การแพทย์ทางเลือก ด้านการประกอบโรคศิลปะ การผลิตและการพัฒนายา การเชื่อมโยง ระหว่างอาหารและยา การจัดการสุขภาพแบบองค์รวม เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||
1884 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ. ...." | สสป | 27/10/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ เรื่อง "ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ. ...." และรับทราบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตาม ความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ดังนี้ 1. สำนักงานกองทุนควรมีความเป็นกลาง เข้าถึงง่าย และได้รับการยอมรับจากผู้เสียหาย ซึ่งในเบื้อง ต้นควรกำหนดให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเป็นสำนักงานเลขานุการไปก่อน 2. องค์ประกอบของคณะกรรมการ ควรประกอบด้วยผู้ที่มีผลงานด้านการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคและ ผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาชีพที่เกี่ยวข้องซึ่งต้องไม่มีความขัดกันแห่งผลประโยชน์ และไม่ควรมีผู้แทนจากสภาวิชาชีพ ซึ่งเป็นองค์กรที่มีอำนาจสอบสวนและลงโทษผู้ให้บริการร่วมอยู่ด้วย 3. ไม่เบี่ยงเบนเจตนารมณ์ของกฎหมายไปเพื่อการคุ้มครองผู้ให้บริการให้พ้นจากความรับผิดตามกฎ หมายอื่น 4. กำหนดบทเฉพาะกาลในพระราชบัญญัติฉบับนี้ ให้ผู้เสียหาย หรือทายาทของผู้เสียหายที่ฟ้องคดี ของศาลก่อนวันที่พระราชบัญญัติฉบับนี้ใช้บังคับ มีสิทธิยื่นคำร้องขอรับเงินชดเชยได้ภายในเก้าสิบวัน นับแต่วันที่ กฎหมายมีผลใช้บังคับ โดยให้ชะลอการพิจารณาคดีไว้ก่อน
|
||||||||||||||||||||||||
1885 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในเศรษฐกิจโลก" | สสป | 27/10/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและ
ข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในเศรษฐกิจโลก" และรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอผลการพิจารณาตามความ เห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุป ได้ดังนี้ 1. การคอร์รัปชันในระบบราชการ โดยลดปัญหาคอร์รัปชันด้วยการปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบที่ เกี่ยวข้องทั้งหมด และสร้างกลไกทดสอบด้านคุณธรรมและจริยธรรมผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจจัดซื้อจัดจ้าง 2. การสร้างความโปร่งใส จริยธรรม และบรรษัทภิบาลในธุรกิจเอกชน โดยเพิ่มโอกาสการบังคับใช้กฎ หมายในตลาดทุน โดยลดระยะเวลาในการนำคดีขึ้นศาล และให้คดีความที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนไปขึ้นศาลชำนาญ พิเศษแทนศาลธรรมดา และกระตุ้นให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยรักษาสิทธิ์ของตน โดยให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รวมทั้งสนับสนุนโครงการอบรม "อาสาพิทักษ์สิทธิผู้ถือหุ้น" เพื่อลดโอกาสการเอาเปรียบของบริษัทจดทะเบียนต่อ ผู้ถือหุ้น และขยายขอบเขตการดำเนินการให้ครอบคลุมผู้ถือหุ้นรายย่อยให้ทั่วถึง 3. โครงสร้างพื้นฐานที่พอเพียง และกลไกการลงทุนที่เหมาะสม โดยหาช่องทางใช้การขนส่งทางน้ำและ ระบบรางที่มีอยู่ให้มากขึ้น เร่งรัดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานระบบรางและทางน้ำ เพิ่มบทบาทให้เอกชนมีส่วน ร่วมลงทุนและเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัย รวมทั้งแยกงานด้านบริการเดินรถ ขนส่ง ด้านพัฒนา และด้านบำรุงรักษาโครงสร้างขนส่งออกจากกัน และศึกษารูปแบบการปรับโครงสร้างเพิ่มเติม 4. ระบบการเงินและตลาดทุนที่สนับสนุนการออมและการลงทุน ได้แก่ การเพิ่มเงินออมภาคบังคับโดย อนุมัติให้โครงการจัดตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (กบช.) มีผลบังคับใช้อย่างเร่งด่วน และการเพิ่มเงินออม โดยสมัครใจ โดยสร้างระบบการออมระยะยาวให้แรงงานนอกระบบที่อยู่ในภาคการเกษตร สนับสนุนให้ประชาชน ซื้อสลากออกทรัพย์แทนหวยและสลากกินแบ่ง รวมทั้งให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลัก ทรัพย์กำกับดูแลความโปร่งใสของบริษัทจัดการกองทุนต่าง ๆ โดยเฉพาะการใช้ข้อมูลที่เป็นจริง 5. เสถียรภาพทางด้านการคลัง และมีภาระภาษีอากรที่จูงใจ ได้แก่ การแก้ปัญหาความเสี่ยงที่เกิดจาก โครงสร้างรายจ่ายของรัฐ โดยเร่งรัดกระบวนการออกกฎหมายว่าด้วยความรับผิดชอบทางการคลัง และสร้างความ โปร่งใสของกระบวนการทางการคลัง และการแก้ปัญหาการมีโครงสร้างภาษีที่มีความเสี่ยง โดยเพิ่มเป้าหมายการ จัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลจากบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมากขึ้น พร้อมทั้งเร่งศึกษาหาแนวทาง ในการจัดเก็บภาษีรูปแบบใหม่ ๆ เพื่อเป็นรายได้แก่รัฐ 6. ความรวดเร็วและความเชื่อถือได้ทางกระบวนการยุติธรรมและกฎหมายที่ทันสมัย โดยให้สังคายากฎ หมายและระเบียบที่มีอยู่ทั้งหมดของประเทศเป็นการเร่งด่วน และเร่งรัดการพิจารณาแก้ไขพระราชบัญญัติการแข่ง ขันทางการค้า พ.ศ. 2542 ให้มีผลครอบคลุมถึงรัฐวิสาหกิจ ตลอดจส่งเสริมการใช้ระบบยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ให้ กว้างขวางยิ่งขึ้นเพื่อลดปริมาณคดีขึ้นสู่ศาล 7. คุณภาพแรงงานและการพัฒนาคุณภาพแรงงานอย่างต่อเนื่องเพื่อประสิทธิภาพการผลิต โดยสร้าง ระบบประเมินมาตรฐานแรงงานฝีมือ และสร้างระบบมาตรฐานแรงงานฝีมือและระบบคุณวุฒิอาชีพที่สอดคล้องกัน และเพิ่มงบประมาณในการพัฒนาฝีมือแรงงาน 8. การเพิ่มขีดความสามารถทางด้านการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ของไทย โดยแต่งตั้งคณะกรรม การสร้างระบบการวิจัยและพัฒนาของไทยที่มีองค์ประกอบจากองค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง มีการแบ่งภารกิจที่ชัด เจน และให้มีองค์กรนโยบายการวิจัย ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิและหัวหน้าทุกองค์กรในระบบเป็นกรรมการ และ ให้แยกหน่วยงานที่ทำวิจัยและพัฒนาเป็นองค์กรอิสระมีกลไกแลกเปลี่ยนแผนงานและผลการวิจัยและพัฒนา รวม ทั้งจัดตั้งองค์กรบริหารเงินทุนวิจัยที่เชี่ยวชาญเฉพาะเรื่อง 9. การวางแผนและกลไกการจัดระบบของการกระจายข้อมูลของ ทั้งภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวกับความ สามารถในการแข่งขั้น โดยการจัดทำแผนพัฒนาข้อมูลสารสนเทศระดับชาติ และให้มีองค์กรหลักในการทำหน้าที่ ดูแลการบริหารจัดการข้อมูลระดับชาติ รวมทั้งกำหนดเป็นนโยบายสำคัญในการเผยแพร่ข้อมูลของหน่วยงานราช การให้แก่สาธารณะทราบอย่างทั่วถึง ผ่านช่องทางที่เข้าถึงได้สะดวก 10. บรรยากาศทางการเมืองการปกครองที่มีเสถียรภาพและเอื้ออำนวยการ ได้แก่ การสนับสนุนการ สร้างเยาวชนให้มีวินัยภายใต้วัฒนธรรมที่เป็นประชาธิปไตย จัดตั้งองค์กรอิสระทำหน้าที่ตรวจสอบความสำนึกรับ ผิดชอบของนักการเมือง รวมทั้งสนับสนุนให้องค์กรอิสระทั้งภาครัฐและเอกชนช่วยกันตรวจสอบนักการเมืองเร่ง ให้สัตยาบัน อนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทุจริตของ United Nations Office on Drugs and Crime (UNODC)
|
||||||||||||||||||||||||
1886 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง การพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศไทย | สสป | 27/10/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและ
ข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา เรื่อง การพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศไทย และรับทราบตามที่กระทรวง ศึกษาธิการเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวร่วมกับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. ยุทธศาสตร์เชิงนโยบายเพื่อการพัฒนาครูผู้สอน 1.1 กำหนดนโยบายดึงดูดผู้มีความสามารถเพื่อเป็นครูผู้สอน ซึ่งควรเป็นวาระแห่งชาติที่เน้นความ สำคัญของการศึกษาของชาติและความจำเป็นที่จะต้องมีครูผู้สอนที่มีความสามารถในระบบการศึกษา 1.2 ตั้งเป้าหมายผลิตครูที่มีความรู้เฉพาะด้านอย่างเร่งด่วนโดยรับผู้จบการศึกษาในแขนงต่าง ๆ ที่ ระบบโรงรียนไม่สามารถรองรับได้ เช่น วิชาการทางด้านวิทยาศาสตร์ ภาษา ศิลปะ ดนตรี วัฒนธรรม 1.3 ศึกษาวิเคราะห์และออกแบบกระบวนการเรียน การสอน และกระบวนการเรียนรู้ใหม่ ๆ ที่มี ประสิทธิผลสูงกว่าที่เป็นไปในปัจจุบัน รวมถึงการออกแบบเชิงจิตวิทยาการเรียนรู้ การสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อ การเรียนรู้ การใช้ภูมิปัญญาในชีวิตจริง การเปิดโอกาสให้นักเรียนใช้และแสดงความคิดเห็น การลดกระบวนการ เดิมที่ไม่มีประสิทธิภาพ 1.4 ส่งเสริมให้ภาคเอกชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษานอกเหนือจากสถาบันการศึกษา เอกชน โดยใช้หลักการของการมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบต่อสังคมของภาคเอกชน (Corporate Social Respon sibility : CSR) เป็นหลักการขับเคลื่อน 2. ยุทธศาสตร์เชิงนโยบายในการพัฒนาความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์บนพื้นฐานเนื้อหาเชิงคุณภาพ คุณ ธรรม จริยธรรม ความรู้ และทักษะ 2.1 กำหนดให้มีนโยบายส่งเสริมเยาวชนให้มีความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ (Humanization) เพื่อเป็น หลักการสำคัญในการเสริมเข้ากับความสามารถทางวิชาการ เพื่อนำไปสู่การเป็นบุคคลที่มีคุณธรรม มีปัญญา และมีความสุข ตามหลักการทางการศึกษาที่ว่า "คุณธรรมนำความรู้" 2.2 ปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาให้เยาวชนมีคุณธรรม จริยธรรม และความสร้างสรรค์ ปรับปรุง หรือมีมาตรการทดแทนในระบบการสอบซ่อมให้มีประสิทธิภาพ และเสริมระบบด้วยกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และการเรียนรู้สะสมระหว่างภาคเรียน 2.3 ลงทุนและสนับสนุนให้มีการจัดตั้งโรงเรียนและห้องเรียน ที่เน้นความสามารถเฉพาะด้านของ นักเรียนที่มีความสามารถพิเศษ 3. มาตรการด้านความเชื่อมโยงและการขับเคลื่อนเชิงระบบ 3.1 ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยศึกษาภาพรวมความจำเป็นและกระบวนการในการส่งเสริม ให้เกิดระบบการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Life Long Learning) ของประเทศ 3.2 สร้างกลไกให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสนับสนุนการศึกษา และการสร้างบุคลากรท้องถิ่น อย่างมีคุณภาพ โดยวางกรอบแนวทางการพัฒนาการศึกษาและการเรียนรู้ในระดับชุมชน ขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นทั้งในระดับกว้างและในระดับลึก
|
||||||||||||||||||||||||
1887 | คณะกรรมการที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง (กระทรวงมหาดไทย) | มท | 13/10/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้
1. รับทราบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 1) (เรื่อง การแต่งตั้งคณะกรรมการ พิจารณาเรื่องการขอเปลี่ยนแปลงชื่อจังหวัด อำเภอ และตำบล หมู่บ้าน หรือสถานที่ราชการอื่น ๆ ย้อนหลัง ให้ มีผลตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2551) โดยเห็นว่าสถานะของคณะกรรมการ ฯ ดังกล่าว ได้สิ้นสุดลงเมื่อพ้นวันที่ 30 พฤศจิกายน 2551 โดยผลของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2551 การเปลี่ยนแปลงชื่อจังหวัด อำเภอ และตำบล หมู่บ้าน หรือสถานที่ราชการอื่น ๆ ในระหว่างที่ไม่มีคณะกรรมการ ฯ ดังกล่าว ต้องเป็นไปตามบท บัญญัติแห่งกฎหมายซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น ดังนั้น หากการดำเนินการเปลี่ยนแปลงชื่อได้กระทำโดยถูกต้อง ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว ย่อมมีผลตามกฎหมาย 2. อนุมัติการแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาเรื่องการขอเปลี่ยนแปลงชื่อจังหวัด อำเภอ และตำบล หมู่ บ้าน หรือสถานที่ราชการอื่น ๆ ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานกรรมการ ผู้แทนกระทรวง ศึกษาธิการ ผู้แทนกระทรวงคมนาคม ผู้แทนราชบัณฑิตยสถาน ผู้แทนกรมการปกครอง ผู้แทนกรมศิลปากร ผู้แทนกรมแผนที่ทหาร ผู้แทนส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องในฐานะเจ้าของเรื่อง เป็นกรรมการ โดยมี ผู้อำนวยการกองตรวจราชการและเรื่องราวร้องทุกข์ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นกรรมการและเลขา นุการ และนักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการ กองตรวจราชการและเรื่องราวร้องทุกข์ สำนักงานปลัด กระทรวงมหาดไทย เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (13 ตุลาคม 2552) เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||||||||
1888 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานนิวเคลียร์" | สสป | 13/10/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและ
ข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "การผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานนิวเคลียร์" และรับทราบตามที่กระทรวงพลังงาน เสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวร่วมกับหน่วยงานที่ เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. ควรจัดตั้งศูนย์ข้อมูลและนิทรรศการถาวรกระจายตามภูมิภาคเพื่อประชาสัมพันธ์ให้ความรู้กับประชา ชนอย่างต่อเนื่องและถูกวิธีโดยเร่งด่วน เพื่อให้มีความเข้าใจในเทคโนโลยีนิวเคลียร์ในการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในการ ผลิตไฟฟ้าจนเกิดผลดีและผลเสียในการมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ให้ครบถ้วนดีขึ้น เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้และลดแรงต้านใน การสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในอนาคต 2. ควรเร่งให้หน่วยงานที่รับผิดชอบในการศึกษาแนวทางการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ด้วยความทุ่มเท ในการให้ความรู้ ข้อดีข้อเสีย ทำความเข้าใจ และจัดเวทีสาธารณะรับฟังความคิดเห็นจากคนในพื้นที่ที่ถูกเลือกให้เป็น สถานที่ตั้งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ โดยมีส่วนร่วมล่วงหน้าเป็นเวลานาน และควรมีประกาศให้ชัดเจนในเรื่องสถานที่ตั้งและ พื้นที่ที่ต้องใช้สร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ รวมทั้งศึกษาผลกระทบต่อชุมชน สิ่งแวดล้อม การประกอบอาชีพของประชา ชนในพื้นที่ 3. ควรกำหนดมาตรการที่ชัดเจนในการให้ความช่วยเหลือพิเศษ และจัดการพื้นที่ในบริเวณที่จะก่อสร้าง โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ และชุมชนรอบ ๆ โรงไฟฟ้าเพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวได้รับประโยชน์สูงสุดจากโครงการ รวมทั้งควรเปิดโอกาสให้ประชาชนทั้งประเทศมีส่วนในการถือหุ้น และให้สิทธิพิเศษแก่ชุมชนโดยรอบโรงไฟฟ้าอย่าง ต่อเนื่อง อาทิ ภาษีบำรุงท้องที่ หรือหุ้นให้เปล่า เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน 4. ควรออกกฎหมายว่าด้วยความปลอดภัยของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 5. ควรออกกฎหมายการบริหารจัดการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์อย่างโปร่งใสโดยเปิดเผยให้ประชาชนได้มีส่วน ร่วมในการตัดสินใจและสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่สำคัญของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ได้ตลอดเวลา 6. ควรคัดเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมในการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าในการ ลงทุนและความปลอดภัยสูงสุดสำหรับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทย 7. เร่งกำหนดนโยบายและกฎหมายในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เช่น สิ่งแวดล้อม การออกใบอนุญาตต่าง ๆ การจัดการกากกัมมันตรังสี การจัดการเชื้อเพลิงใช้แล้ว Safeguards รวม ทั้งการปลดโรงไฟฟ้า ฯ
|
||||||||||||||||||||||||
1889 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการพัฒนาการเรียนรู้ธรรมะเพื่อพัฒนาคนทางจิตควบคู่กับการศึกษาทางโลก | สสป | 13/10/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและ
ข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง แนวทางการพัฒนาการเรียนรู้ธรรมะเพื่อพัฒนาคนทางจิตควบคู่กับการศึกษา ทางโลก และรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความ เห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ ดังนี้ 1. หน่วยงานของรัฐต้องมียุทธศาสตร์และแนวทางให้ความสำคัญต่อระบบสนับสนุนให้เกิดผู้นำที่เสียสละ หรือจิตอาสาและความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งเป็นแนวทางสำคัญในการเรียนรู้และเผยแพร่ธรรมะ เพื่อพัฒนาคนทาง จิตขั้นสำคัญที่สุดในธรรมะเรื่องไม่เบียดเบียนความเสียสละและเมตตาธรรม 2. ต้องดำเนินการให้การเรียนรู้ธรรมะทั้งในโรงเรียน และการเรียนรู้ธรรมะนอกโรงเรียนในและนอกวัด ในและนอกบ้านของเด็ก และผู้ใหญ่ทุกวัย ให้เห็นว่า สิ่งที่เรียนในโรงเรียนสามารถเห็นจากนอกโรงเรียนและในสังคม ได้ 3. ส่งเสริมและสนับสนุนบทบาทการเผยแพร่จากภาคฆราวาสที่มีจิตอาสาและความรับผิดชอบต่อสังคม 4. ต้องมีวิธีสนับสนุนบทบาทของประชาชนในการปฏิบัติเพื่อสนับสนุนพระ หรือนักบวชในการเผยแพร่ ธรรมะทั้งรูปแบบในเมืองและชนบทที่อาจต่างกัน 5. ต้องมีวิธีสนับสนุนบทบาทของพระสงฆ์ในการเป็นผู้นำทางปัญญาระดับต่าง ๆ และการเป็นตัวอย่าง ที่ดีแก่ประชาชนในการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทั้งวิถีชีวิตในเมืองและชนบท 6. ต้องปรับปรุงให้มีผู้รับผิดชอบหลักที่ชัดเจนในการพัฒนาคนทางจิต โดยมีรองนายกรัฐมนตรีด้านการ สร้างคนเช่นเดียวกับด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง โดยมีองค์ประกอบจากผู้แทนหน่วยราชการ และภาคประชาชนที่ เกี่ยวข้องกับการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม รวมทั้งผู้มีประสบการณ์ด้านบริหารการเปลี่ยนแปลงทั้งคนและระบบ ขนาดใหญ่ร่วมเป็นคณะกรรมการ 7. ควรส่งเสริมบทบาทของสื่อมวลชนทุกรูปแบบในการพัฒนาการศึกษาและเผยแพร่ธรรมะ เพื่อพัฒนา คนทางจิต
|
||||||||||||||||||||||||
1890 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการจัดการน้ำในพื้นที่อุตสาหกรรมเพื่อความยั่งยืนของระบบเศรษฐกิจ | สสป | 13/10/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "แนวทางการจัดการน้ำในพื้นที่อุตสาหกรรมเพื่อความยั่งยืนของระบบ เศรษฐกิจ" และรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และ ผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอ แนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. ด้านนโยบาย 1.1 จัดตั้งคณะกรรมการนโยบายน้ำเพื่ออุตสาหกรรม เพื่อทำหน้าที่ในการกำหนดนโยบายน้ำ เพื่ออุตสาหกรรม เป็นทิศทางในการวางแผนการพัฒนาแหล่งน้ำให้ครอบคลุมพื้นที่เศรษฐกิจอุตสาหกรรมที่มี ศักยภาพสูง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรน้ำทุกประเภท ดึงดูดการลงทุนเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ส่งเสริม การเจริญเติบโตและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ตลอดจนความมั่นคงของชุมชนและสังคมให้บรรลุวัตถุประสงค์การ กระจายรายได้และความเจริญ 1.2 บูรณาการนโยบายและแผนการใช้น้ำเพื่ออุตสาหกรรมเข้ากับนโยบายและแผนการจัดการ น้ำของคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) และคณะกรรมการลุ่มน้ำต่าง ๆ ที่พื้นที่อุตสาหกรรมตั้งอยู่ 1.3 สร้างความสมดุลการใช้น้ำผ่านกลไกราคาของน้ำแต่ละประเภท จากแหล่งน้ำที่แตกต่างกัน เพื่อจูงใจให้ภาคอุตสาหกรรมตลอดจนภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ เลือกใช้ตามความเหมาะสม 1.4 สร้างกลไกการตรวจสอบคุณภาพน้ำในรูปคณะกรรมการน้ำชุมชน ประกอบด้วย ชุมชนเอก ชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพื่อยกระดับความร่วมมือและเพิ่มขีดความสามารถในการเฝ้าระวัง และตรวจวัดคุณภาพน้ำจากแหล่งน้ำตลอดจนการปนเปื้อนของน้ำทิ้ง 2. ด้านกฎหมาย 2.1 ผลักดันพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว เพื่อเป็นกฎหมายหลักในการ บริหารและการพัฒนาทรัพยากรน้ำ การจัดตั้ง กนช. คณะกรรมการประจำลุ่มน้ำต่าง ๆ จะส่งผลดีต่อการระดม ความรู้ ความสามารถและความร่วมมือจากภาคส่วนต่าง ๆ ที่มีส่วนได้เสียเข้ามาร่วมกำหนดนโยบายและทิศทาง การบริหารจัดการน้ำให้มีเอกภาพ เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย 2.2 พัฒนากฎหมายเกี่ยวกับการจัดการน้ำเพื่ออุตสาหกรรมและน้ำเพื่อการเกษตร เพื่อให้เกิด องค์กรในรูปคณะกรรมการทรัพยากรน้ำเพื่ออุตสาหกรรมและทรัพยากรน้ำเพื่อเกษตรกรรมที่ประกอบด้วยส่วน ราชการ เอกชน ชุมชน เกษตรกร และผู้มีส่วนได้เสีย ทำหน้าที่ศึกษาวิเคราะห์ความต้องการน้ำ ประสิทธิภาพ การใช้น้ำของภาคการผลิตทั้งสอง 2.3 แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายด้านการจัดเก็บค่าบำบัดน้ำทิ้งจากภาคอุตสาหกรรม 3. ด้านการใช้เครื่องมือในการจูงใจ 3.1 ส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมประยุกต์และพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการประหยัดน้ำรวมทั้งการ อนุรักษ์น้ำ เช่น การปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิต การใช้ซ้ำ การนำกลับมาใช้ใหม่ ฯลฯ เพื่อให้การใช้ทรัพยากร น้ำอย่างเต็มประสิทธิภาพ ประหยัด คุ้มค่า 3.2 ให้รางวัลในรูปส่วนลดการจัดเก็บค่าการปล่อยมลพิษ หากโรงงานใดได้ดำเนินโครงการลด การใช้น้ำหรือโครงการลดปริมาณน้ำทิ้งให้นำค่าน้ำและค่าการปล่อยมลพิษที่ลดได้มาบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายในงบ การเงิน 4. ด้านการดำเนินงานหรือการนำนโยบายไปปฏิบัติ 4.1 แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายน้ำเพื่ออุตสาหกรรมระดับประเทศ เพื่อกำหนดนโยบายการ บริหารจัดการน้ำเพื่ออุตสาหกรรมให้สอดคล้องกับ กนช. รวมทั้งแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายน้ำเพื่ออุตสาห กรรมในระดับพื้นที่ เพื่อกำหนดสัดส่วนการจัดสรรน้ำให้แก่ภาคการผลิตและเพื่ออุปโภคบริโภคให้สอดคล้องกับ นโยบายของคณะกรรมการประจำลุ่มน้ำ ตลอดจนการกำหนดมาตรการส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ เพื่อความยั่งยืนของเศรษฐกิจ 4.2 ส่งเสริมและสนับสนุนการค้นคว้าและวิจัยด้านการบริหารอุปสงค์และอุปทานน้ำ กระตุ้นให้ เกิดการตื่นตัวในทางวิชาการเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ด้านการบริหารจัดการน้ำ 5. มาตรการด้านระบบติดตามประเมินผล 5.1 ติดตามค่าปริมาณน้ำสำรองในแหล่งน้ำธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง 5.2 ประเมินผลประสิทธิภาพการใช้น้ำ โดยให้สถานประกอบการจัดทำค่าสัดส่วนของผลผลิต ต่อปริมาณน้ำเปรียบเทียบกับค่ามาตรฐาน
|
||||||||||||||||||||||||
1891 | รายงานผลการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง (ระหว่างวันที่ 8 - 15 เมษายน 2552) | สผ | 13/10/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่ประธานรัฐสภาเสนอรายงานสรุปผลการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมการตรวจสอบ ข้อเท็จจริงกรณีเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง ระหว่างวันที่ 8-15 เมษายน 2552 ประกอบด้วย รายงานผลการ พิจารณาการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง และสรุปผลการพิจารณาของคณะอนุกรรม การ จำนวน 5 คณะ 2. มอบให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) รับไปพิจารณากำหนด แนวทางการดำเนินการของรัฐบาลตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ฯ แล้วนำเสนอคณะ รัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
1892 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพโลจิสติกส์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยในเวทีโลก" | สสป | 13/10/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและ
ข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง ยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพโลจิสติกส์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการ แข่งขันของไทยในเวทีโลก และรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยว ข้อง และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณารายละเอียดในส่วนที่เกี่ยวข้องแล้วแต่กรณี และนำเสนอ คณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. ด้านการปรับปรุงประสิทธิภาพระบบโลจิสติกส์ในภาคการผลิต 1.1 ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมหรือเขตประกอบการอุตสาหกรรมตาม แนวบริเวณชายแดน 1.2 ส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการ เพื่อรองรับการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ให้สามารถแข่งขันได้ ในอนาคต 1.3 ส่งเสริมและสนับสนุนระบบการขนส่งที่ประหยัดพลังงาน (Mode Shift) 1.4 ส่งเสริมและสนับสนุนอย่างจริงจังต่อการย้าย หรือขยายฐานการผลิตเข้าสู่แหล่งวัตถุดิบ หรือ ตลาดผู้บริโภค 2. ด้านการปรับปรุงประสิทธิภาพการขนส่งและโลจิสติกส์ 2.1 ปรับปรุงระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าให้ตรงต่อเวลา และมีระบบเชื่อมโยงที่มีประสิทธิ ภาพ 2.2 ปรับปรุงประสิทธิภาพระบบการขนส่งทางรางตามเส้นทางหลักเชื่อมโยงทุกภูมิภาค 2.3 พัฒนาการใช้ระบบรางคู่ที่สามารถเชื่อมต่อศูนย์กระจายสินค้าจุดเชื่อมโยงการขนส่งทั้งในและ ต่างประเทศ 2.4 พัฒนาระบบการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ ให้เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งทางบกและ ทางน้ำ 3. ด้านการจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้า คลังสินค้า สินค้าคงคลัง หรือศูนย์แสดงสินค้า โดยเร่งรัดการจัด ศูนย์กระจายสินค้าทั้งของรัฐและเอกชนที่มีอยู่ให้เกิดการบริหารจัดการในการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ 4. ด้านการปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกทางการค้า 4.1 นำเทคโนโลยีระบบสารสนเทศมาใช้กับพิธีการศุลกากรในการนำเข้า-ส่งออกให้มีความคล่อง ตัวและมีประสิทธิภาพสูง 4.2 เร่งรัดการจัดทำข้อตกลง เงื่อนไข การผ่านแดน และกฎหมายการให้ข้าราชการจากด่านศุลกา กรออกไปทำงานนอกด่านร่วมกับด่านเพื่อนบ้านได้ 4.3 เร่งรัดเจรจาข้อตกลง การสร้างมาตรฐานด้านศุลกากร การขนส่งการประกันภัย รวมทั้งความ ปลอดภัยสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมตามมาตรฐานสากล 4.4 ปรับปรุงระบบภาษีและพิธีทางศุลกากรที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้า-ส่งออก ให้สอดคล้องกับกฎ ระเบียบองค์การการค้าโลก (WTO) และข้อตกลงความร่วมมือในอนุภูมิภาค รวมทั้งข้อตกลงทวิภาคีกับประเทศที่ ไม่ได้เป็นสมาชิก WTO 5. ด้านการพัฒนาธุรกิจโลจิสติกส์ 5.1 ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีศูนย์กระจายสินค้า (DS) และ/หรือศูนย์โลจิสติกส์ ตามแนวระเบียง เศรษฐกิจหลัก (EWEC) 5.2 ส่งเสริมและสนับสนุนกลุ่มผู้ให้บริการโลจิสติกส์ไทย (Thai Logistice Service Provider) ให้มี ปริมาณและคุณภาพมากยิ่งขึ้น 5.3 พัฒนาศูนย์กลางการบินในแต่ละภูมิภาคของประเทศควบคู่ไปกับการพัฒนาอุตสาหกรรมการ บิน 6. ด้านการพัฒนากำลังคนและยุทธศาสตร์การพัฒนา โดยให้มีการพัฒนาองค์ความรู้ด้านระบบโลจิส ติกส์ในสถานศึกษาโดยเฉพาะระดับปฏิบัติ ระดับจัดการ และระดับบริหาร
|
||||||||||||||||||||||||
1893 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การส่งเสริมองค์ความรู้ของประชาชนเพื่อการมีส่วนร่วมในการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น | สสป | 13/10/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อ
เสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "การส่งเสริมองค์ความรู้ของประชาชนเพื่อการมีส่วนร่วมในการกระจายอำนาจสู่ ท้องถิ่น" และรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความ เห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ ดังนี้ 1. กระทรวงศึกษาธิการควรบรรจุวิชาการปกครองส่วนท้องถิ่นหรือวิชาการมีส่วนร่วมของประชาชนในการ กระจายอำนาจสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ไว้ในหลักสูตรทั้งในระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดม ศึกษา 2. องค์กร และหน่วยงานของรัฐ และเอกชนควรสอดแทรกวิชาความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการปกครองส่วน ท้องถิ่นและการมีส่วนร่วมของประชาชนด้านการกระจายอำนาจสู่ อปท. ไว้ในหลักสูตรการฝึกอบรมหรือการสัมมนา ทุกครั้งที่มีการฝึกอบรมหรือการสัมมนาในเวลาที่เหมาะสม 3. สถาบันอุดมศึกษาควรจัดทำหลักสูตร "การมีส่วนร่วมของประชาชนกลุ่มองค์กรชุมชนในองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น" เพื่อทำการฝึกอบรมกลุ่มองค์กรชุมชนเครือข่ายองค์กรภาคประชาชนและองค์กรภาคธุรกิจ และทำการ ศึกษาวิจัยรองรับประเด็นปัญหาของท้องถิ่น 4. จัดให้มีศูนย์ฝึกอบรมระดับจังหวัดในทุกจังหวัด โดยให้ อปท. ในจังหวัดนั้น ๆ ร่วมมือกับกระทรวงศึกษา ธิการและมหาวิทยาลัยในส่วนภูมิภาคทำหน้าที่โดยตรงในการส่งเสริมสนับสนุนในเรื่องการปกครองส่วนท้องถิ่นและ การกระจายอำนาจสู่ อปท. ทั้งในแง่ของการให้ข้อมูลข่าวสารเป็นศูนย์ฝึกอบรมและประสานงานระหว่างกลุ่มองค์กร เครือข่าย ภาคประชาชนกับ อปท. 5. ส่งเสริมให้ อปท. ปรับวิธีการบริหารให้มีลักษณะแนวระนาบ เปิดโอกาส และส่งเสริมสนับสนุนให้กลุ่ม องค์กรชุมชน เครือข่ายภาคประชาชนมีส่วนร่วมในกิจการของ อปท. ให้มากขึ้น 6. ส่งเสริมให้ อปท. ใช้แผนแม่บทชุมชนเป็นฐานในการจัดทำแผนพัฒนาของ อปท. โดยให้ภาคประชาชนมี ส่วนร่วมอย่างจริงจัง
|
||||||||||||||||||||||||
1894 | การปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติการเงินการคลังของรัฐ | กค | 13/10/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วย การเงินการคลังของรัฐ เพื่อกำหนดกรอบวินัยทางการเงินการคลัง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงาน คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยรับข้อสังเกตของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการกำหนด ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) นำเงินรายได้ของ อปท. ทั้งหมดฝากคลัง ยกเว้นเงินรายได้ที่ อปท. เก็บเอง และเมื่อจำเป็นต้องใช้เงินดังกล่าวให้เบิกจากคลังโดยให้คำนึงถึงสถานะทางการคลังของประเทศ นั้น เห็นควรให้ อปท. นำส่งเงินรายได้เข้าบัญชีเงินฝากของ อปท. เพื่อที่จะได้บริหารจัดการตามข้อบัญญัติงบประมาณที่ได้รับความเห็นชอบ จากสภาท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามแผนพัฒนาที่กำหนดไว้ และความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยว กับเนื้อหาสาระของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ บางเรื่องไม่ได้เป็นไปในลักษณะของการกำหนดกรอบในการรักษาวินัย การเงินการคลังแต่มีลักษณะเป็นการกำหนดรายละเอียดและวิธีการปฏิบัติ ส่วนการกำหนดทิศทางและแนวนโยบาย การคลังเพื่อประสิทธิภาพทางการคลัง การสร้างมาตรฐานทางบัญชี การตรวจสอบภายในและหลักเกณฑ์การดำเนิน กิจกรรมทางการคลังอื่น ๆ เพื่อเสริมสร้างความโปร่งใสทางการคลัง รวมทั้งการจัดทำข้อมูลทางการคลังเพื่อนำไปสู่ ความรับผิดชอบทางการคลัง ควรกำหนดในลักษณะเป็นกรอบให้ปฏิบัติ นอกจากนี้ การกำหนดให้หน่วยงานของรัฐ จัดทำแผนการใช้จ่ายเงินเสนอต่อกระทรวงการคลัง และหากมีความจำเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสามารถ ปรับแผนการใช้จ่ายเงินได้นั้น ไม่ได้มีการกำหนดกรอบหรือหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน อาจมีผลต่อการดำเนินภารกิจของรัฐ บาล และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งคณะกรรมการประสานงานด้านนิติบัญญัติ พิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป 2. ให้สำนักงบประมาณ และกระทรวงการคลัง ไปพิจารณาร่วมกันในประเด็นตามคำชี้แจงของผู้อำนวยการ สำนักงบประมาณ ที่ว่าร่างพระราชบัญญัติ ฯ ได้กำหนดรายละเอียดของขั้นตอนปฏิบัติในด้านรายจ่ายบางประการที่ อาจทำให้เกิดปัญหาในการปฏิบัติและการจัดทำงบประมาณของส่วนราชการ เช่น ร่างมาตรา 25 บัญญัติให้รายจ่าย ที่เป็นภาระตามกฎหมายของรัฐบาลต้องตั้งงบประมาณให้ครบถ้วน ซึ่งการเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี นั้น เป็นเพียงตัวเลขประมาณการ ส่วนการใช้จ่ายหรือเบิกจ่ายงบประมาณมีกระบวนการ ขั้นตอน วิธีการที่ยืดหยุ่น และ สอดคล้องกับสภาวการณ์ที่เป็นจริง และให้ส่งผลการพิจารณาดังกล่าวไปประกอบการพิจารณาของสำนักงานคณะ กรรมการกฤษฎีกาต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1895 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การมีส่วนร่วมของประชาชน" | สสป | 06/10/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "การมีส่วนร่วมของประชาชน" และรับทราบตามที่สำนักงานปลัด สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะดัง กล่าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. เร่งรัดและผลักดันให้มีพระราชบัญญัติการมีส่วนร่วมของประชาชน พ.ศ. .... 2. สนับสนุนให้องค์กรที่เกี่ยวข้องร่วมมือกันเป็นศูนย์รวมในการเผยแพร่ให้ความรู้ และกระตุ้นให้เกิด กระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชนในสังคมไทย 3. กำหนดระยะเวลาในการออกกฎหมายให้แน่ชัด โดยกฎหมายกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นต้องเป็นไป ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญโดยเคร่งครัด 4. ให้ประชาชนมีบทบาทในกระบวนการบัญญัติกฎหมาย และการบังคับใช้กฎหมายที่ครอบคลุมใน เรื่องที่เกี่ยวกับทรัพยากร การจัดสรรคลื่นความถี่วิทยุ โทรคมนาคม การจัดการชลประทาน และเก็บข้อมูลจาก ประชาชนที่ถูกผลกระทบก่อนที่จะเสนอร่างกฎหมายในเรื่องดังกล่าว 5. ส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนของสังคมยอมรับกฏกติกาของสังคม หากมีปัญหาในการบังคับใช้รัฐธรรม นูญ ให้ใช้วิธีการออกเสียงประชามติ ไม่ยอมรับการล้มล้างรัฐธรรมนูญ 6. ปรับท่าทีเพื่อส่งเสริมให้การใช้สิทธิ หน้าที่ และการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาประเทศ เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่ต้งไว้ 7. เสริมสร้างให้เกิดความสมานฉันท์ ความเป็นปึกแผ่น และความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน โดยการ ให้วัดและโรงเรียนเป็นศูนย์กลางในการสร้างความสามัคคี ให้ผู้นำทางศาสนา ปราชญ์ชาวบ้าน ครู และหมอพื้น บ้าน เป็นต้น เป็นกลไกในการเชื่อมประสานความสามัคคี และจัดให้มีเวทีแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและประสบ การณ์กันอย่างเท่าเทียม 8 ยกระดับความรู้ความเข้าใจต่อประเด็นสิทธิ หน้าที่ และการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนา ประเทศ โดยรัฐรับเป็นเจ้าภาพในการดำเนินงานรวมทั้งสนับสนุนให้มีบรรยากาศเอื้อต่อการเป็นสังคมแห่งการ เรียนรู้ 9. ส่งเสริมให้เกิดการปฏิรูปกฎหมายที่มีเนื้อหาสาระที่เอื้อให้ประชาชนได้เข้ามามีสิทธิ หน้าที่ และมี ส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศได้อย่างแท้จริง 10. กำหนดแนวนโยบายการพัฒนาแบบล่างขึ้นบน (Bottom up) 11. ยกระดับให้ประชาชนกินดี อยู่ดี เพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนให้ประชาชนได้ตระหนักถึงหน้าที่ที่พึงมีต่อ สังคม
|
||||||||||||||||||||||||
1896 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง นโยบายการแก้ไขวิกฤตช้างไทย | สสป | 29/09/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง นโยบายการแก้ไขวิกฤตช้างไทย และรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยา กรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอ แนะดังกล่าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. ให้มีการขึ้นทะเบียนช้างบ้าน ระบุที่อยู่ของช้างให้ชัดเจน และปรับปรุงตั๋วรูปพรรณให้ทันสมัยและ ชัดเจน ฝังชิพคอมพิวเตอร์ มีรายละเอียดลักษณะของข้าง ประวัติของช้าง พร้อมทั้งจัดทำคู่มือประจำตัวช้าง โดย ให้เสร็จสิ้นภายใน 2 ปี 2. ให้มีมาตรการป้องกันการนำช้างจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาขึ้นทะเบียนเพื่อสวมทะเบียนใหม่ 3. ให้มีการทำสูติบัตร (ใบเกิด) ช้างตั้งแต่เกิด มีการตรวจรหัสพันธุกรรม (ดีเอ็นเอ) ไว้เป็นหลักฐาน ยืนยันถึงพ่อแม่ของลูกช้าง 4. ให้ชะลอการส่งช้างไทยไปต่างประเทศไว้ก่อน เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 5 ปี จนกว่าจะได้จัดทำ ทะเบียน ตั๋วรูปพรรณ และคู่มือประวัติช้างที่ได้ปรับปรุงขึ้นใหม่เสร็จสิ้นแล้ว 5. มีการติดตามตรวจสอบช้างไทยที่อยู่ต่างประเทศ โดยขอความร่วมมือจากประเทศที่มีช้างอยู่ หาก ไม่มีการดูแลช้างอย่างเหมาะสม ควรดำเนินการนำช้างกลับประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งช้างที่มีอายุมาก 6. การส่งช้างไทยไปต่างประเทศควรเป็นไปเพื่อความสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศ และต้องกระทำ โดยรัฐบาลต่อรัฐบาลโดยตรง 7. ให้มีการจัดระเบียบปางช้างให้เหมาะสม ได้มาตรฐาน และให้มีองค์กรเพื่อกำกับดูแลปางช้าง 8. ให้จัดหาพื้นที่ปล่อยช้างประจำหมู่บ้านให้ช้างได้พักผ่อนยามว่างจากการทำงาน 9. ยุติโครงการต่าง ๆ ที่มีผลต่อการทำลายถิ่นที่อยู่อาศัยของช้างป่ า รวมทั้งเร่งดำเนินการให้มีแนว ป่าเชื่อมต่อ (Corridor) ในพื้นที่ป่าซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของช้างที่มีการดำเนินโครงการ จนทำให้ผืนป่าขนาดใหญ่ ถูกแบ่งแยกออกจากกัน ทั้งนี้ เพื่อให้ช้างป่าและสัตว์ป่าอื่น ๆ เดินทางไปมาได้ 10. ทบทวนโครงการปล่อยช้างบ้านคืนสู่ป่า และให้ทำการศึกษาวิจัยถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นใน อนาคตระหว่างช้างบ้านกับช้างป่าให้ชัดเจนก่อนดำเนินโครงการ 11. ให้มีพระราชบัญญัติช้าง เพื่อกำหนดให้ช้างเป็นเอกลักษณ์ของชาติ และมีคณะกรรมการช้างแห่ง ชาติ รวมทั้งให้มีการรับรองสิทธิการสืบทอดองค์ความรู้ และให้มีกองทุนเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาเรื่องช้างด้าน ต่าง ๆ และให้มีมาตรการลงโทษผู้กระทำทารุณกรรมช้าง เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||
1897 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การพัฒนานโยบายป่าไม้ให้เป็นนโยบายสาธารณะและการแก้ไขปัญหาการรุกป่า" | สสป | 29/09/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและ
ข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "การพัฒนานโยบายป่าไม้ให้เป็นนโยบายสาธารณะและการแก้ไขปัญหา การบุกรุกป่า" และรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอความเห็น ผลการพิจารณา รวมทั้งผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อ เสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. มาตรการเร่งด่วน 1.1 กำหนดให้ปัญหาทรัพยากรป่าไม้เป็นวาระแห่งชาติ และเป็นประเด็นสาธารณะที่จะต้องนำไปสู่ การมีมติคณะรัฐมนตรีให้ดำเนินการปรับปรุงวิธีการและกระบวนการในการจัดทำนโยบายป่าไม้แห่งชาติ โดยนำ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 นโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม นโยบายที่ดิน นโยบายปฏิรูป ระบบราชการมาพิจารณาในการจัดทำนโยบายป่าไม้แห่งชาติใหม่ 1.2 นำยุทธศาสตร์การเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนและสังคมเป็นรากฐานที่มั่นคงของประเทศ ตามแนวทาง "การเสริมสร้างศักยภาพของชุมชน ในการอยู่ร่วมกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสันติ และเกื้อกูล ด้วยการส่งเสริมสิทธิชุมชนและกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน ในการสงวน อนุรักษ์ฟื้นฟู พัฒนา ใช้ ประโยชน์และเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น" ซึ่งกำหนดไว้ใน แผนพัฒนา ฯ ฉบับที่ 10 มาใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการบริหารจัดการทรัพยากรที่ดินป่าไม้ และดำเนินการ ทันทีในพื้นที่ที่มีการขัดแย้งกันระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐกับชุมชน 1.3 บูรณาการการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรป่าไม้ทั้งหมด ร่วมกับชุมชนในการ แก้ไขปัญหาและป้องกันการบุกรุกป่า และการรักษาพื้นที่ป่าไม้ที่เหลืออยู่ทั้งประเทศ โดยการทบทวนมาตรการ และแนวทางการป้องกันรักษาที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน 1.4 ดำเนินการตรวจสอบเอกสารสิทธิที่ดินในเขตป่าทั่วประเทศโดยเฉพาะในพื้นที่ป่าชายเลน ซึ่งใน ระหว่างการตรวจสอบจะต้องมีมาตรการยับยั้งไม่ให้ผู้อ้างสิทธิกระทำการใด ๆ อันเป็นการทำลายป่า และให้เพิก ถอนสิทธิทันทีหากพบว่าที่ดินนั้นได้มาโดยมิชอบ รวมทั้งดำเนินการลงโทษตามกฎหมาย 1.5 แก้ไขพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 พระราช บัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 และพระราชบัญญัติ สวนป่า พ.ศ. 2535 ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 เพื่อทำให้เกิดการ บูรณาการระหว่างพระราชบัญญัติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรป่าไม้ 2 มาตรการระยะกลางและระยะยาว 2.1 จัดตั้งหน่วยงานกลาง ทำหน้าที่ในการจัดระบบฐานข้อมูลที่เกี่ยวกับพื้นที่ป่าไม้แผนที่ ภาพถ่าย ดาวเทียมที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ป่าไม้ และทำหน้าที่ประสานกับคณะกรรมการด้านทรัพยากรทุกชุด และเข้าร่วมกับ ชุมชนในการทำวิจัย เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการจัดทำนโยบายและแผนการบริหารจัด การป่าไม้ของประเทศ 2.2 สำรวจและจัดทำข้อมูลพื้นที่ป่าไม้ที่มีอยู่จริงให้ถูกต้องตามความเป็นจริง รวมทั้งวางแผนการใช้ ที่ดินทั้งประเทศ และแบ่งเขตการใช้ (Zoning) ที่ชัดเจน 2.3 กำหนดแนวทางและวางมาตรการในการดำเนินงาน เพื่อให้องค์กรและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยว ข้องกับการนำนโยบายป่าไม้แห่งชาติไปปฏิบัติโดยยึดหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดีตามพระราช กฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546
|
||||||||||||||||||||||||
1898 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การใช้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจบนฐานชีวภาพ" | สสป | 29/09/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและ
ข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "การใช้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาเศรษฐ กิจบนฐานชีวภาพ" และรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอ แนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นหน่วยงานหลักประสานงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน ดำเนินการสนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดกระบวนการแปลงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ ฉบับที่ 10 ด้านยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจบนฐานความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อให้เกิดการปฏิบัติ 4 ด้าน ได้แก่ 1.1 ด้านการสนับสนุน ส่งเสริมให้ความรู้แก่ชุมชนท้องถิ่นในการอนุรักษ์ พัฒนา และใช้ประโยชน์จาก ทรัพยากรชีวภาพ และภูมิปัญญาท้องถิ่นให้ครอบคลุมทุกภูมินิเวศของประเทศ 1.2 ด้านการสนับสนุนให้มีกองทุนการวิจัยและสนับสนุนให้มีนักวิจัยวิทยาศาสตร์พื้นฐานและนักวิจัย เทคโนโลยีชีวภาพ นักวิทยาศาสตร์ระดับท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อศึกษาและวิจัยสำหรับการพัฒนาผลิต ภัณฑ์ด้านเกษตรกรรมอาหาร ยา และพลังงาน 1.3 ด้านการสนับสนุนให้วิสาหกิจชุมชนและวิสาหกิจขนาดย่อม รวมทั้งบริษัทในต่างประเทศสามารถ พัฒนาผลิตภัณฑ์ได้ด้วยตนเอง 1.4 ด้านการติดตามสถานการณ์การอนุรักษ์พัฒนา รวมทั้งใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีว ภาพของโลก 2. จัดทำโครงการนำร่องสนับสนุนยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจบนฐานชีวภาพ โดยมีกิจกรรมหลัก ได้แก่ 2.1 การฟื้นฟูความหลากหลายของพันธุกรรมข้าวพื้นบ้าน รวมถึงพันธุกรรมท้องถิ่นอื่น ๆ โดยเครือ ข่ายองค์กรชุมชนท้องถิ่นในภูมิภาคต่าง ๆ 2.2 การส่งเสริมระบบการเกษตรที่อนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่ง ยืน เช่น เกษตรอินทรีย์ เกษตรผสมผสาน วนเกษตร เกษตรธรรมชาติ ฯลฯ 2.3 การสร้างกระบวนการเรียนรู้แก่เกษตรกรในรูปแบบ "โรงเรียนชาวนา" "โรงเรียนการแพทย์พื้น บ้าน" และ "โรงเรียนป่าชุมชน" ฯลฯ เพื่อสนับสนุนโครงการและกิจกรรมเหล่านั้นให้สามารถดำเนินการได้อย่างเข้ม แข็งยิ่งขึ้นในฐานะศูนย์การเรียนรู้หรือเพื่อขยายผลกิจกรรมเหล่านั้นไปสู่พื้นที่อื่น ๆ 2.4 พัฒนาอุตสาหกรรมสมุนไพรไทย รวมทั้งการรักษาสุขภาพแบบแผนไทย โดยเรียนรู้จากประสบ การณ์ของโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ จังหวัดปราจีนบุรี เป็นต้น เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่เริ่มต้นจากท้องถิ่น 2.5 การพัฒนาจัดทำระบบเครือข่ายฐานข้อมูลแห่งชาติในด้านความหลากหลายทางชีวภาพ และภูมิ ปัญญาท้องถิ่น โดยรับนักศึกษาที่จบการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ หรือจากสาขาที่เกี่ยวข้อง ซึ่งยังไม่สามารถหางาน ได้เข้าร่วมโครงการจัดทำระบบข้อมูล โดยให้ทำงานร่วมกับสถาบันการศึกษา อปท. และองค์กรสาธารณประโยชน์ ในระดับท้องถิ่น
|
||||||||||||||||||||||||
1899 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การพัฒนาระบบสหกรณ์ไทย | สสป | 29/09/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง การพัฒนาระบบสหกรณ์ไทย และรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์เสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอดังกล่าวร่วมกับหน่วย งานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดังนี้ 1. ภาพรวมของระบบขบวนการความร่วมมือของประชาชนตามหลักสหกรณ์ 1.1 กำหนดความหมายของสหกรณ์ให้กว้างขวางขึ้น จากเดิมที่กำหนดในพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2542 เพื่อให้เกิดความชัดเจนและสะท้อนถึงหลักการที่สำคัญของสหกรณ์ และควรส่งเสริมให้สหกรณ์ที่เกิด ขึ้นในรูปแบบต่าง ๆ ได้ดำเนินการตามหลักการสหกรณ์ 7 ประการ ที่กำหนดโดยสัมพันธภาพสหกรณ์ระหว่าง ประเทศ (ICA) 1.2 ดำเนินการส่งเสริม สนับสนุน และคุ้มครองระบบสหกรณ์ให้เป็นอิสระตามที่บัญญัติไว้มาตรา ที่ 84 (9) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 โดยความเป็นอิสระดังกล่าว ให้หมายถึง ความสามารถที่จะคิดที่จะจัดการด้วยตนเองโดยไม่ถูกครอบงำ กำกับ กดดันหรือชักจูงจนขัดต่อหลักการสหกรณ์ 1.3 ปลูกฝังอุดมการณ์สหกรณ์ให้กับประชาชนทั่วไป โดยจัดให้มีหลักสูตรสหกรณ์ในสถานศึกษา ทุกระดับ ส่งเสริมการจัดตั้งสหกรณ์และกลุ่มในสถานศึกษาเพื่อการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง รวมทั้งส่งเสริม การจัดตั้งสหกรณ์และกลุ่มในภาคส่วนต่าง ๆ เช่น ภาคราชการ และภาคเอกชน เป็นต้น 2. การส่งเสริม สนับสนุน คุ้มครองระบบสหกรณ์ให้เป็นอิสระและมีประสิทธิภาพและนโยบายของรัฐ 2.1 ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการพัฒนาการสหกรณ์แห่งชาติ (คพช.) เป็นดังนี้ ราช การ : สหกรณ์ และกลุ่ม : ผู้ทรงคุณวุฒิ เป็น 2 : 2 : 1 และในระยะต่อไปควรปรับเพิ่มสัดส่วนของกรรมการจาก สหกรณ์และกลุ่ม และลดสัดส่วนของกรรมการจากราชการลง และให้ คพช. ดำเนินการในเรื่องนโยบาย และการ ขับเคลื่อนแผนพัฒนาสหกรณ์สู่การปฏิบัติเป็นหลัก รวมทั้งปรับปรุงวัตถุประสงค์ของกองทุนพัฒนาการสหกรณ์ (กพส.) ให้กว้างขวางขึ้น เพื่อเป็นทุนในการส่งเสริมและพัฒนากิจการทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการสหกรณ์ทั้ง ระบบ 2.2 ปรับปรุงอำนาจหน้าที่ของนายทะเบียนสหกรณ์และกลุ่มให้มีความเชื่อมโยงกับ คพช. มากยิ่ง ขึ้น โดยอำนาจหน้าที่ของนายทะเบียนสหกรณ์และกลุ่ม ควรกำหนดให้มีเฉพาะในเรื่องการจดทะเบียน และการ กำกับดูแลสหกรณ์และกลุ่ม 2.3 กำหนดนโยบายด้านสหกรณ์ที่ชัดเจนและสอดคล้องกับมาตรา 84 (9) ของรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 และกำหนดนโยบายสนับสนุนและผลักดันการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ทั้ง 5 ของแผนพัฒนาสหกรณ์ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2550-2554) ไปสู่การปฏิบัติ และสร้างความเข้าใจในแผนดังกล่าว ให้ตรงกันในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนให้สหกรณ์เป็นองค์กรพื้นฐานที่ใช้เป็นกลไกใน การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของชาติ 3. โครงสร้างและการดำเนินงานของสหกรณ์และกลุ่ม 3.1 ประเภทของสหกรณ์และกลุ่ม ควรปรับปรุงใหม่ให้มี 4 ประเภทใหญ่ ๆ คือ ภาคการผลิต ภาคการตลาดและบริการ ภาคการเงิน และภาคชุมชน 3.2 การจัดสรรกำไรสุทธิประจำปีของสหกรณ์และกลุ่ม เข้า กพส. เพื่อเป็นทุนในการส่งเสริมและ พัฒนากิจการทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการสหกรณ์ทั้งระบบให้เป็นไปตามอัตราที่ คพช. กำหนด แต่ไม่เกินร้อย ละ 5 ของกำไรสุทธิ และยกเลิกค่าบำรุงสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย โดยให้สันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศ ไทยได้รับเงินสนับสนุนจาก กพส. ตามงบประมาณประจำปีที่จัดทำเสนอแทน
|
||||||||||||||||||||||||
1900 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับปัญหาอันเกิดจากภาวะโลกร้อน | สสป | 29/09/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็น
และข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง การเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับปัญหาอันเกิดจากภาวะโลกร้อน และรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอความเห็น ผลการพิจารณา รวมทั้งผลการ ดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะดังกล่าว โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ดัง นี้ 1. แนวทางและกลไกการบริหารจัดการ 1.1 จัดตั้งองค์กรด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อทำหน้าที่ในการติดตาม ศึกษา วิจัย การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ ศึกษาผลกระทบ หามาตรการเฝ้าระวังการป้องกันและแก้ไขปัญหา 1.2 ปรับแนวนโยบายการพัฒนาประเทศให้สอดคล้องและเท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพ ภูมิอากาศและผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น ตลอดจนส่งเสริมให้ประชาชนเรียนรู้และปรับทัศนคติในการดำรงชีวิต ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ 1.3 เพิ่มช่องทางและวิธีการในการแลกเปลี่ยน และสร้างองค์ความรู้เรื่องภาวะโลกร้อนของประชา ชนให้กว้างขวางยิ่งขึ้น 1.4 ส่งเสริมและสนับสนุนให้สถาบันการศึกษากำหนดหลักสูตรการศึกษาวิชาที่เกี่ยวข้องกับการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก รวมถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ในระดับลึกถึงการนำมา ประยุกต์ใช้ในการปรับตัวได้อย่างสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งผลักดันให้สถาบันการศึกษามีส่วนร่วม ในการคิดและช่วยคลี่คลายปัญหา 2. ด้านโรคระบาด 2.1 ส่งเสริมและสนับสนุนให้การแพทย์และสาธารณสุขของประเทศปรับมาตรฐานการให้บริการ โดยเพิ่มการศึกษาและวิจัยด้านภาวะโลกร้อนในประเด็นสาเหตุการทำให้เกิดโรคระบาดชนิดใหม่ ๆ และแนวโน้ม ความรุนแรงของโรค เป็นต้น 2.2 ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการศึกษาและวิจัยเรื่องโรคระบาดที่อาจเกิดจากสภาวะการเปลี่ยน แปลงภูมิอากาศของโลก 2.3 ส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือระหว่างการแพทย์ของภาครัฐกับภาคเอกชนในการ เตรียมความพร้อม การติดตาม เฝ้าระวังและรักษาผู้ป่วยจากโรคระบาดที่เกิดจากภาวะโลกร้อน 3. ด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง 3.1 ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการศึกษา วิจัย และประเมินผลเกี่ยวกับอิทธิพลของภาวะโลกร้อน ที่มีผลต่อทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง วัฏจักรของสิ่งมีชีวิตในทะเล 3.2 ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการศึกษาเพื่อฟื้นฟูชายทะเล หรือชายหาดให้สอดคล้องและเหมาะ สมกับสภาพธรรมชาติของแต่ละพื้นที่ 4. ด้านภัยธรรมชาติ น้ำท่วม แผ่นดินถล่ม ภัยแล้ง และพายุโซนร้อน 4.1 ให้มีการเตรียมการป้องกันภัยจากพายุโซนร้อนโดยมีการฝึกอบรมประชาชนในพื้นที่เสี่ยงให้ มีความรู้ด้านพายุโซนร้อน การเฝ้าติดตามและสังเกตปรากฏการณ์ธรรมชาติ การหลบภัย การเตรียมพื้นที่รอง รับผู้อพยพ เป็นต้น 5. ด้านความหลากหลายทางชีวภาพและความมั่นคงทางด้านอาหาร 5.1 ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการศึกษาเพื่อวางแผนการทำการเกษตรที่เหมาะสมกับฤดูกาลและ สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป 5.2 ส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรเก็บรักษา อนุรักษ์พันธุ์พืชพื้นเมือง ซึ่งมีความหลากหลาย และเลือกปลูกชนิดพันธุ์ที่ทนกับสภาพการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ 5.3 ให้มีมาตรการการรักษาพื้นที่เกษตรกรรมเอาไว้โดยเฉพาะพื้นที่ปลูกข้าวที่สำคัญของประเทศ
|
.....