ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 9 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 161 - 180 จากข้อมูลทั้งหมด 6663 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
161 | การเร่งรัดดำเนินการปรับผังเมืองและการกำหนดเขตท้องที่ (Zoning) | นร. | 11/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ
(๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗) มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณาทบทวนการวางผังเมืองในจังหวัดต่าง
ๆ (รวมทั้งกรุงเทพมหานครให้เหมาะสมและสอดคล้องกับการขยายตัวของเมือง
รวมถึงให้พิจารณาดำเนินการเพื่อยกระดับเมืองรองต่าง ๆ ให้มีความพร้อมรองรับการขยายตัวของเมืองและการลงทุนในพื้นที่ด้วย
นั้น เพื่อให้การวางผังเมืองและการกำหนดเขตท้องที่ (Zoning) ในจังหวัดต่าง ๆ
มีความสอดคล้องกับการเจริญเติบโตของเมืองที่เปลี่ยนแปลงไปและรองรับมาตรการของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
โดยส่งเสริมและดึงดูดให้เกิดการลงทุนทั้งภายในประเทศและจากต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น
จึงขอให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงอุตสาหกรรม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวข้างต้นให้แล้วเสร็จโดยด่วน
โดยให้พิจารณาจัดลำดับความสำคัญและความเป็นไปได้ในการปรับผังเมืองในจังหวัดหลักต่าง
ๆ ก่อนเป็นลำดับแรก แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง
เหมาะสม เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ประกาศ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
162 | รายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาและเสนอแนะการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกิจการประมงให้เกิดความเหมาะสมและเป็นธรรมกับผู้ประกอบการประมงและกิจการประมงทั้งระบบ สภาผู้แทนราษฎร | สผ. | 04/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาและเสนอแนะการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกิจการประมงให้เกิดความเหมาะสมและเป็นธรรมกับผู้ประกอบการประมงและกิจการประมงทั้งระบบ
สภาผู้แทนราษฎร ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ ๒.
มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักรับรายงานและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการวิสามัญไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงคมนาคม
กระทรวงแรงงาน กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว
และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม
แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
163 | หลักการแนวทางการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากสินค้านำเข้าราคาไม่เกิน 1,500 บาท (De minimis threshold) เป็นการชั่วคราว | กค. | 04/06/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบหลักการแนวทางการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากสินค้านำเข้าราคาไม่เกิน
๑,๕๐๐ บาท (De minimis
threshold) เป็นการชั่วคราว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงการคลัง
เรื่อง การยกเว้นอากรศุลกากรสำหรับของที่มีมูลค่าไม่เกิน ๑,๕๐๐ บาท มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นอากรสำหรับของที่นำเข้าซึ่งแต่ละรายผู้รับในประเทศมีราคารวมค่าขนส่งและค่าประกันภัย
(Cost Insurance and Freight : CIF) ที่มีมูลค่ามากกว่า ๑
บาทแต่ไม่เกิน ๑,๕๐๐ บาท โดยให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด
๑๕ วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา จนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. รับทราบร่างประกาศกรมศุลกากร ที่ ../๒๕๖๗ เรื่อง
กำหนดราคาของที่นำเข้า ซึ่งได้รับยกเว้นอากรตามประเภท ๑๒ ภาค ๔
แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นอากรศุลกากรให้ของที่นำเข้าซึ่งมีราคาไม่เกิน
๑ บาท โดยให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด ๑๕ วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
จนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๔.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์
และสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น กระทรวงพาณิชย์ เห็นว่าในการยกร่างกฎหมายแก้ไขประมวลรัษฎากรจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องคำนึงถึงพันธกรณีตามอนุสัญญาระหว่างประเทศ
ตามแนวปฏิบัติสากล (International Practices) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการนำเข้า
ส่งออก และการค้าระหว่างประเทศ สำนักงบประมาณ เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน
และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินการตามมาตรการภาษีดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ
ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป ๕. ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม
(สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม : สมอ.) กระทรวงสาธารณสุข (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา :
อย.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาความเหมาะสมและพิจารณาความเป็นไปได้ในการกำหนดให้สินค้านำเข้าจากต่างประเทศที่สั่งซื้อผ่าน
e-Commerce Platform ต่าง ๆ ต้องมีมาตรฐานตามที่
สมอ. หรือ อย. กำหนด ตามแต่กรณี ทั้งนี้
เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคและสร้างความเป็นธรรมให้แก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(SMEs) ในประเทศให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดสินค้าประเภทเดียวกัน |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
164 | รายงานประจำปี 2565 ของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) | พณ. | 28/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี ๒๕๖๕
ของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) (สคพ.)
โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑) สคพ.
ได้ดำเนินโครงการและกิจกรรมเพื่อสร้างความร่วมมือและเชื่อมโยงองค์ความรู้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถ
SMEs ไทย ๒)
สคพ.
ดำเนินการสนับสนุนการจัดทำผลงานทางวิชาการที่เป็นบทความและได้เผยแพร่ข้อมูลวิชาการของสถาบันในรูปแบบข่าวและสกู๊ปผ่านสื่อต่าง
ๆ และ ๓) สคพ.
ได้พยายามขยายเครือข่ายการสร้างองค์ความรู้และการให้บริการวิชาการเพื่อการค้าและการพัฒนาทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
165 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (1. นางญาใจ พัฒนสุขวสันต์ ฯลฯ จำนวน 3 คน) | พณ. | 28/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย
จำนวน ๓ คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากขอลาออก
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๗) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ
โดยผู้ได้รับแต่งตั้งแทนนี้อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของผู้ซึ่งตนแทน
ดังนี้ ๑. นางญาใจ พัฒนสุขวสันต์ ๒. นายนพ ธรรมวานิช ๓. นางพรรณวิลาส แพพ่วง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
166 | รายงานผลการเดินทางเยือนเมืองเซินเจิ้น-เขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ของรองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ | พณ. | 21/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางเยือนเมืองเซินเจิ้น-เขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
ของรองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระหว่างวันที่
๘-๑๒ มีนาคม ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑. รองนายกรัฐมนตรี
(นายภูมิธรรมฯ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงพาณิชย์ได้เดินทางเยือนเมืองเซินเจิ้น-ฮ่องกง
ระหว่างวันที่ ๘-๑๒ มีนาคม ๒๕๖๗ เพื่อสร้างสัมพันธ์ทางการค้ากับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนจีนในเมืองเซินเจิ้น-ฮ่องกง
และรับเสด็จทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี
ซึ่งทรงเป็นองค์ประธานพิธีเปิดงาน Thai
Night ในงาน FILMART 2024 พร้อมทั้งส่งเสริมการส่งออกสินค้า
และ Soft Power ของรัฐบาลไทย รวมทั้งได้เข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ
เช่น (๑) พบหารือกับผู้บริหารระดับสูงภาครัฐและเอกชน เพื่อแสวงหาลู่ทางและขยายความร่วมมือการค้าการลงทุน
(๒) เป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือทางการค้า (MOU) ระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกับองค์การสภาพัฒนาการค้าฮ่องกง และ
(๓) การเข้าร่วมพิธีเปิดเทศกาลอาหารไทย (Thai Food Festival) พร้อมเยี่ยมชมการเรียนการสอนอาหารไทยและร่วมสาธิตการทำอาหารไทย เป็นต้น ๒.
กระทรวงพาณิชย์ได้เสนอแนวทางการดำเนินงานต่อไป
โดยสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองฮ่องกง
กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ จะดำเนินการจัดโครงการส่งเสริมภาพลักษณ์ข้าวไทย
สินค้าอาหารไทย และธุรกิจบริการอาหารไทย
กิจกรรมส่งเสริมการขายสินค้าไทยร่วมกับห้างสรรพสินค้าที่มีชื่อเสียง
กิจกรรมส่งเสริมภาพลักษณ์สินค้าอาหารและธุรกิจ Thai
SELECT และสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าที่สำคัญในฮ่องกงอย่างต่อเนื่อง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
167 | การยกระดับไทยเป็น Agriculture and Food Hub ตามวิสัยทัศน์ Ignite Thailand | นร. | 14/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่ได้แถลงวิสัยทัศน์ประเทศไทย
โดยกำหนดให้ไทยเป็น Agriculture and Food Hub เพื่อยกระดับการผลิตอุตสาหกรรมการเกษตรของไทยและสร้างความมั่นคงทางอาหารของโลก
ซึ่งจะส่งผลให้เกษตรกรไทยมีรายได้มากขึ้น ๓ เท่า
โดยรัฐบาลจำเป็นต้องปรับโครงสร้างพื้นฐานและปัจจัยการผลิตในภาคการเกษตรภาพรวมทั้งหมด
จึงขอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย
กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
ดังนี้
๑. พัฒนาไทยให้เป็นศูนย์กลางพันธุ์พืชของโลก ๒. เพิ่มประสิทธิภาพการกักเก็บและระบายน้ำ
ขยายพื้นที่ชลประทาน และเร่งพัฒนาแหล่งน้ำ ๓. ตรวจสอบคุณภาพดิน ส่งเสริมและสนับสนุนการใช้ปุ๋ยที่เหมาะสมในทุกพื้นที่ ๔. เร่งแก้ไขปัญหาการเผาในพื้นที่การเกษตรให้ลดลงโดยเร่งด่วน
โดยให้นำเทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียมมาใช้ในการดำเนินงานดังกล่าวด้วย ๕. เสนอแผนงานและเร่งดำเนินการขยายพื้นที่ผลิตมันสำปะหลังต้านทานโรคใบด่าง
รวมทั้งเร่งเสนอแผนการจัดการการระบาดของโรคใบด่าง ตามขั้นตอนโดยเร็ว ๖. ส่งเสริมการปลูกกาแฟและโกโก้
ซึ่งเป็นพืชที่ให้ผลตอบแทนสูงและเป็นที่ต้องการของตลาดและช่วยลดการเผาพื้นที่การเกษตรบนพื้นที่สูง
รวมทั้งพิจารณาให้มีโรงงานคัดแยก/แปรรูปรองรับด้วย ทั้งนี้
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนงาน/โครงการที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม
๒๕๖๗ นี้ และเร่งรัดการดำเนินการตาม แผนงาน/โครงการภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๖๗ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
168 | เรื่องสืบเนื่องจากการลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดสุพรรณบุรี กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ | นร. | 14/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากการลงพื้นที่ตรวจราชการในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี
กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ ในระหว่างวันที่ ๑๐ - ๑๔ พฤษภาคม
๒๕๖๗ เพื่อติดตามความคืบหน้าของโครงการพัฒนาด้านต่าง ๆ ในพื้นที่ พบว่า
จังหวัดดังกล่าวมีศักยภาพที่สามารถยกระดับให้เป็นเมืองขนาดใหญ่
ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น และสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวและการลงทุนได้อีกเป็นจำนวนมาก
จึงขอมอบหมายการดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้ จังหวัดสุพรรณบุรี ๑. โดยที่ในระยะที่ผ่านมา จังหวัดสุพรรณบุรีเป็นจังหวัดที่สามารถบริหารจัดการน้ำทั้งระบบได้เป็นอย่างดี
ทำให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับผลกระทบน้อยจากปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้ง อย่างไรก็ตาม
ในอนาคตคาดว่า สถานการณ์ภัยธรรมชาติต่าง ๆ จะมีความถี่และมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
จึงขอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน)
พิจารณาจัดทำแผนการบริหารจัดการน้ำของจังหวัดในระยะยาวให้เหมาะสม ทั้งนี้ ให้พิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกับแผนการบริหารจัดการน้ำของประเทศในภาพรวมด้วย จังหวัดกาญจนบุรี ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งจัดทำมาตรการควบคุมโรคในฟาร์มโคนมทั่วประเทศให้ชัดเจน
เพื่อรักษามาตรฐานและคุณภาพการเลี้ยงโคนม ตลอดจนส่งเสริมการเลี้ยงโคนมให้ครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
เช่น การปรับปรุงดินให้เหมาะสมกับการเพาะปลูก การปลูกข้าวโพดและถั่วเหลือง เพื่อใช้เป็นอาหารสัตว์
การนำซังข้าวโพดมาใช้เป็นอาหารสัตว์ เพื่อช่วยลดการเผาในพื้นที่เกษตร
ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ๓. ให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร)
กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งหน่วยงานความมั่นคงและหน่วยงานปกครอง หน่วยทหารและตำรวจในพื้นที่เร่งรัดการดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจเพื่อป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดตามแนวชายแดนในเรื่องต่าง
ๆ อย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง เช่น การลักลอบเข้าเมือง
การลักลอบขนยางพาราและสินค้าเกษตรอื่น ๆ เข้ามาในพื้นที่ การลักลอบขนยาเสพติด จังหวัดราชบุรี ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการลดต้นทุนการผลิตสินค้าเกษตร
การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีการเกษตร
และการควบคุมและปรับราคาสินค้าเกษตรในตลาดให้มีความสมดุลและเป็นธรรมทั้งแก่เกษตรกรและผู้ค้า
เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ที่มากขึ้น ๕. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
(กรมป่าไม้)
ร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการพัฒนาอุทยานหินเขางูให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจ
ทั้งในด้านสันทนาการ นันทนาการ และกิจกรรมกีฬาประเภทต่าง ๆ ทั้งนี้
ให้พิจารณาดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๖.
ท่าอากาศยานหัวหินเป็นท่าอากาศยานที่มีศักยภาพในการยกระดับให้เป็นท่าอากาศยานนานาชาติเพื่อรองรับผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและจากต่างประเทศ
จึงขอให้กระทรวงคมนาคมรับเรื่องนี้ไปศึกษาความเหมาะสมและเป็นไปได้ร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน
ครบถ้วนในทุกประเด็น เช่น การขยายทางวิ่ง การสร้างอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ การเชื่อมโยงระหว่างอาคารภายในท่าอากาศยาน
ประมาณการผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาใช้บริการ รวมทั้งให้พิจารณาความเหมาะสมในการกำหนดชื่อท่าอากาศยานที่จะปรับปรุงใหม่
เช่น ท่าอากาศยานเพชรหัวหิน โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการกำหนดชื่อด้วย
๗. ให้กระทรวงมหาดไทยส่งเสริมการจัดกิจกรรมตามประเพณีท้องถิ่น
และกีฬาสัตว์พื้นเมืองและสัตว์แข่งขัน ทั้งนี้ ในระยะสั้น
ให้พิจารณาศึกษาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการขยายเวลาการแข่งขันกีฬาวัวลาน
แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน ๑ เดือน และในระยะยาว ให้พิจารณขยายผลการดำเนินการ ให้ครอบคลุมถึงกีฬาสัตว์พื้นเมืองและสัตว์แข่งขันชนิดอื่น
ๆ ตามความเหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ ให้พิจารณาดำเนินการให้ถูกต้อง
เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
169 | มาตรการชะลอการเก็บเกี่ยวมันสำปะหลัง ปี 2566/67 | พณ. | 14/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสถานการณ์การผลิตและการตลาดมันสำปะหลัง
ปี ๒๕๖๖/๖๗ และแนวทางการรักษาเสถียรภาพราคาหัวมันสด ปี ๒๕๖๖/๖๗ และเห็นชอบมาตรการชะลอการเก็บเกี่ยวมันสำปะหลัง
ปี ๒๕๖๖/๖๗ วงเงินงบประมาณ ๕๖.๙๖๓ ล้านบาท เพื่อให้การกำกับดูแลมันสำปะหลังเป็นประโยชน์แก่เกษตรกรและเกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย
ดูแลเกษตรกรให้ได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่าต่อการเพาะปลูกและช่วยเหลือให้เกษตรกรมีเงินหมุนเวียนเป็นค่าใช้จ่ายในครัวเรือน
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้
ค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นและจะเบิกจ่ายจากงบประมาณ ให้กระทรวงการคลัง (ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร)
ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และธนาคารแห่งประเทศไทย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น สำนักงบประมาณ เห็นควรจัดทำระบบหรือกลไกในการตรวจสอบที่มีมาตรฐาน
เพื่อให้สามารถรวบรวมข้อมูลได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน ไม่ซ้ำซ้อน และทันต่อสถานการณ์
โดยคำนึงถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ ทั้งในส่วนของข้อมูลด้านการลงทะเบียนเกษตรกร
จำนวนเกษตรกร ปริมาณผลผลิตต่อไร่ จำนวนพื้นที่เพาะปลูก ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรติดตามกำกับการดำเนินการให้ถูกต้องตามเงื่อนไขของมาตรการฯ
เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
170 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกำกับคลังสินค้า ไซโล และห้องเย็น (1. นายณัฐภูมิ เปาวรัตน์ ฯลฯ จำนวน 4 คน) | พณ. | 07/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งกรรมการและผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกำกับคลังสินค้า
ไซโล และห้องเย็น จำนวน ๔ คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๗ พฤษภาคม ๒๕๖๗) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
ดังนี้ ๑. นายณัฐภูมิ เปาวรัตน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกิจการคลังสินค้า ๒. นายฉัตรชัย ศักดิ์ศิลปชัย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกิจการไซโล ๓. นายวรพันธ์ ประเสริฐยิ่ง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกิจการห้องเย็น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
171 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์) | พณ. | 07/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ
ตำแหน่งอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวง
สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพาณิชย์ เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
172 | รายงานผลการเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกาของรองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ | พณ. | 07/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางเยือนสหรัฐอเมริกาของรองนายกรัฐมนตรี
(นายภูมิธรรม เวชยชัย)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระหว่างวันที่ ๑๗ - ๒๒ มกราคม ๒๕๖๗ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเร่งรัดและผลักดันให้เกิดการนำเข้าสินค้าไทยในสหรัฐอเมริกา
โดยเฉพาะสินค้าข้าวและอาหารไทย รวมถึงเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์
สร้างเครือข่ายพันธมิตรและความร่วมมือด้านการค้าการลงทุน
ส่งเสริมภาพลักษณ์ซอฟท์พาวเวอร์ผ่านอาหารไทย และผลักดันและส่งเสริมการขายสินค้าไทย
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
173 | ขอความเห็นชอบและอนุมัติให้ลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยกับสำนักงานการค้าต่างประเทศแห่่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียว่าด้วยการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างกัน | พณ. | 07/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยกับสำนักงานการค้าต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียว่าด้วยการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างกัน
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยกับสำนักงานการค้าต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียว่าด้วยการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างกัน
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับความร่วมมือด้านการค้าระหว่างทั้งสองประเทศ
อันจะนำไปสู่การเพิ่มโอกาสทางการค้าระหว่างกัน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรผลักดันให้มีความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้
โดยเฉพาะค่านิยม ธรรมเนียมประเพณี ข้อปฏิบัติทางศาสนา มาตรฐานที่จำเป็น
และพฤติกรรมผู้บริโภค รวมทั้งการพัฒนาสินค้าเพื่อการส่งออก โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ฮาลาล
เครื่องสำอาง เกษตรและอาหาร ตลอดจนส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในประเทศไทย
พร้อมทั้งควรมีการประสานการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาผู้ประกอบการเพื่อยกระดับสินค้าและบริการให้สามารถตอบโจทย์ตลาดดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
174 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การส่งออกข้าวภายใต้โควตาภาษีไปสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. .... | พณ. | 07/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์
เรื่อง การส่งออกข้าวภายใต้โควตาภาษีไปสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง
การส่งออกข้าวภายใต้โควตาภาษีไปสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๖๔ โดย ๑)
กำหนดให้ข้าวขาวและข้าวหักที่ส่งออกไปยังสหภาพยุโรปและจะใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีตามความตกลงระหว่างสหภาพยุโรปกับประเทศไทย
เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองการส่งออก (Export Certificate) ที่ออกโดยกรมการค้าต่างประเทศไปประกอบการขอใบอนุญาตนำเข้า
(Import License) จากสหภาพยุโรป และ ๒) กำหนดให้ข้าวขาวที่ส่งออกไปยังสหราชอาณาจักรและจะใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีตามความตกลงระหว่างสหราชอาณาจักรกับประเทศไทยและกฎระเบียบของสหราชอาณาจักรที่เกี่ยวข้อง
เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองการส่งออก (Export Certificate) ที่ออกโดยกรมการค้าต่างประเทศไปประกอบการขอใบอนุญาตนำเข้า (Import License) จากสหราชอาณาจักร (เดิม
กำหนดให้ทั้งข้าวขาวและข้าวหักที่ส่งออกไปยังสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักรและจะใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี
เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองการส่งอก (Export Certificate) ที่ออกโดยกรมการค้าต่างประเทศไปประกอบการขอใบอนุญาตนำเข้า (Import
License) จากสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักรตามลำดับ) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับการอ้างบทอาศัยอำนาจในร่างประกาศฯ
โดยเห็นควรให้ตัดการอ้างวรรคหนึ่งของมาตรา ๕ ออก และระบุเป็นมาตรา ๕ (๕)
และวรรคสองแห่งพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า
พ.ศ. ๒๕๒๒ เนื่องจากตามมาตรา ๕ ไม่มีอนุมาตราในวรรคอื่น และควรตัดข้อความ “เมื่อวันที่
๓๐ เมษายน ๒๕๒๒”
เนื่องจากวันเดือนปีดังกล่าวเป็นรายละเอียดซึ่งมิต้องระบุไว้ในบทอาศัยอำนาจของร่างประกาศฯ
นี้ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
175 | ขอความเห็นชอบร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีการค้าเอเปคประจำปี 2567 และเอกสารที่เกี่ยวข้อง | พณ. | 07/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการต่อร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีการค้าเอเปคประจำปี
๒๕๖๗ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๒ ฉบับ ได้แก่ ๑. ร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีการค้าเอเปคประจำปี
๒๕๖๗ มีสาระสำคัญ เช่น (๑) การปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ปุตราจายา ค.ศ. ๒๐๔๐
และเอกสารผลลัพธ์การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคในปีต่าง ๆ (๒) การแสดงความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามผลลัพธ์การประชุมรัฐมนตรีองค์การการค้าโลก
สมัยสามัญ ครั้งที่ ๑๓ (๓)
การเน้นย้ำเพื่อขับเคลื่อนวาระงานเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก (๔)
การยึดมั่นในการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการโครงสร้างความเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานระยะที่
๓ และแผนแม่บทความเชื่อมโยงในเอเปค (๕) การส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและการหารือเรื่องปัญญาประดิษฐ์
(๖)
การให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนแผนการดำเนินการเพื่อส่งเสริมขีดความสามารถภาคบริการเอเปค
(๗) การสนับสนุนเพื่อการเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจนอกระบบมาสู่เศรษฐกิจที่เป็นทางการ และ
(๘) การสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับสตรีวิสาหกิจขนาดกลาง
ขนาดย่อมและรายย่อย และกลุ่มผู้ที่ยังไม่ใด้รับการปลดปล่อยทางเศรษฐกิจ เป็นต้น ๒. ร่างปฏิญญาอาเรกีปาของรัฐมนตรีด้านสตรีและรัฐมนตรีการค้าเอเปค
มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการส่งเสริมความร่วมมือที่สนับสนุนการมีส่วนร่วมของสตรีในการค้าผ่าน
(๑) การเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยการมีส่วนร่วมของสตรีในการค้า (๒)
การแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศเกี่ยวกับข้อมูลและนโยบายการค้าบนพื้นฐานของเพศสภาพ
(๓) การส่งเสริมการพัฒนาโปรแกรมเสริมสร้างศักยภาพ และ (๔)
การระบุแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศด้านการเงิน การเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัล
และนโยบายที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองแถลงการณ์รัฐมนตรีการค้าเอเปคประจำปี ๒๕๖๗
และเอกสารที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
ที่เห็นว่าร่างถ้อยแถลงฯ และร่างปฏิญญาฯ
จึงไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ และไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักไทย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีการค้าเอเปคประจำปี
๒๕๖๗ และเอกสารที่เกี่ยวข้องในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
176 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 | นร.07 | 07/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑. อนุมัติให้หน่วยรับงบประมาณก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ จำนวน ๑,๔๖๕ รายการ เป็นวงเงินภาระผูกพัน รวมทั้งสิ้น ๓๔๓,๙๐๗.๔
ล้านบาท สำหรับรายการที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ ๑,๐๐๐
ล้านบาทขึ้นไป จำนวน ๒๒ รายการ วงเงิน ๑๖๒,๕๗๕.๒ ล้านบาท
และเมื่อทราบผลประกวดราคาแล้ว
ให้หน่วยรับงบประมาณนำเสนอนายกรัฐมนตรีทราบอีกครั้งหนึ่งก่อนดำเนินการต่อไป ๒.
อนุมัติให้หน่วยรับงบประมาณที่ไม่สามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง
การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง)
สามารถดำเนินการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณตามที่เสนอได้ ๓. อนุมัติให้หน่วยรับงบประมาณ จำนวน ๑๑ หน่วย
ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวง การท่องเที่ยวและกีฬา กรมการท่องเที่ยว กรมท่าอากาศยาน
สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กรมราชทัณฑ์
กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ สถาบันพระบรมราชชนก สถาบันวิทยาลัยชุมชุน สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
และสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ผูกพันงบประมาณตั้งแต่ปีงบประมาณพ.ศ. ๒๕๖๗ - ๒๕๗๒
เพื่อให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ (เรื่อง
ขอปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการ)
เพื่อให้สามารถลงนามในสัญญาเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการ ระยะเวลา ๕ ปี (๖๐ เดือน)
ได้ภายในวงเงินที่ได้รับอนุมัติ
และยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาการดำเนินงานจริง ๔.
รายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่จะต้องจ่ายในรูปของเงินตราต่างประเทศ เช่น
รายการค่าเช่าบ้าน ค่าเช่าอาคารสำนักงาน ค่าเช่าทรัพย์สินในต่างประเทศ
ให้สำนักงบประมาณพิจารณาอนุมัติวงเงินผูกพันที่เปลี่ยนแปลงไปจากที่ได้รับอนุมัติเนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยน
ในกรณีที่หน่วยรับงบประมาณสามารถปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบอีกครั้ง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
177 | กรอบเจรจาการประชุมคณะกรรมการร่วมระหว่างรัฐว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญา ทรัพยากรพันธุกรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และการแสดงออกทางวัฒนธรรมดั้งเดิม (WIPO IGC) ด้านทรัพยากรพันธุกรรม ภายใต้กรอบองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก | พณ. | 07/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกรอบเจรจาการประชุมคณะกรรมการร่วมระหว่างรัฐว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญา
ทรัพยากรพันธุกรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และการแสดงออกทางวัฒนธรรมดั้งเดิม [WIPO (World Intellectual Property Organization) Intergovernmental Committee on Intellectual Property and Genetic Resources,
Traditional knowledge and Folklore (WIPO IGC)] ด้านทรัพยากรพันธุกรรม (Genetic Resources) ที่ปรับปรุงใหม่เพื่อให้คณะผู้แทนไทยใช้เป็นพื้นฐานในการประชุมเจรจา
WIPO IGC ด้านทรัพยากรพันธุกรรม จนกว่าจะสรุปผลการเจรจา WIPO
IGC ด้านทรัพยากรพันธุกรรมได้
หรือจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของการเจรจาอย่างมีนัยสำคัญ และหากในการประชุมเจรจา
WIPO IGC ด้านทรัพยากรพันธุกรรมมีการเจรจาในประเด็นอื่น ๆ
ที่นอกเหนือจากที่ได้ระบุไว้ในร่างกรอบเจรจาฯ ที่ปรับปรุงใหม่
และหากประเด็นดังกล่าวมีความสอดคล้องกับกฎหมายภายในประเทศหรือไม่ขัดกับผลประโยชน์ของไทย
รวมถึงหากมีการลดประเด็นในกรอบเจรจาข้างต้น
ในกรณีที่คณะเจรจาเห็นสมควรเพื่อให้สามารถสรุปผลการเจรจาได้และได้รับประโยชน์จากการดำเนินการตามความตกลงหรือตราสารโดยเร็ว
รวมทั้งไม่ขัดกับผลประโชน์ของไทย ให้กระทรวงพาณิชย์สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก
โดยกรอบเจรจาฯ มีประเด็นที่แตกต่างจากกรอบเจรจาฯ เดิม หลายประเด็น เช่น
การตัดประเด็นการได้รับความยินยอมจากบุคคล ชุมชน ชาติ
หรือผู้เป็นเจ้าของทรัพยากรพันธุกรรม
และการจัดทำเงื่อนไขให้มีการแบ่งปันผลประโยชน์จากการใช้ทรัพยากรพันธุกรรม
รวมถึงมีการเพิ่มเติมประเด็นที่อยู่นอกเหนือกรอบเจรจาฯ ได้แก่
ประเด็นการส่งเสริมให้มีการจัดทำระบบฐานข้อมูลและข้อบททางบริหารและข้อบทสุดท้าย (Administrative Provisions and Final Clauses) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ในการประชุมเจรจาฯ
หากมีประเด็นเพิ่มเติมที่ไม่ได้ระบุไว้ในร่างกรอบเจรจาฯ ที่ปรับปรุงใหม่
และเป็นประเด็นที่จะเกิดประโยชน์ต่อประเทศไทย โดยเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม ที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย กฎระเบียบ และผลประโยชน์ของประเทศ
มีความเห็นให้คณะเจรจาสนับสนุนประเด็นดังกล่าว หากไม่มีประเด็นที่ต้องพิจารณาเกี่ยวกับการเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา
๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และเป็นเรื่องในทางนโยบายซึ่งเป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรีที่จะพิจารณาได้ตามความเหมาะสม
เห็นควรนำเรื่องนี้เสนอคณะรัฐมนตรี ควรมีหน่วยงานเจ้าภาพที่จะประสานการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้ประเทศไทยมีความพร้อมในการดำเนินการได้ตามประเด็นใหม่ที่มีการเพิ่มเติมภายใต้กรอบเจรจาดังกล่าว
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
178 | การจัดตั้งศูนย์บริการค้าชายแดนเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) | นร. | 07/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่
๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ มอบหมายให้กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการปรับปรุงพัฒนาระบบ National Single Window เพื่อให้สามารถให้บริการผ่านระบบดังกล่าวได้อย่างเต็มศักยภาพและเบ็ดเสร็จ
ณ จุดเดียว (One Stop Service) และให้นำกรณีการส่งออกสินค้าผ่านแดน
ณ ด่านศุลกากรหนองคาย
เป็นโครงการนำร่องเพื่อดำเนินการให้บรรลุผลตามแนวทางข้างต้นโดยเร็วก่อนเป็นลำดับแรก
แล้วจึงให้ขยายผลการดำเนินการไปยังด่านศุลกากรแห่งอื่น ๆ ต่อไป และต่อมาได้มีมติเมื่อวันที่
๒ มกราคม ๒๕๖๗ ให้กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) เร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ ให้แล้วเสร็จและครบวงจร
โดยให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องโดยเร็วด้วย
นั้น
เพื่อให้การขับเคลื่อนการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวบรรลุผลเป็นรูปธรรมตามกรอบเวลาที่กำหนด
จึงขอให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม
กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งวางแผนและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
โดยให้คณะอนุกรรมการยกระดับศักยภาพและการอำนวยความสะดวกของชายแดน และระบบขนส่ง/โลจิสติกส์
ที่มีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์)
เป็นประธานอนุกรรมการ เป็นกลไกเร่งรัด กำกับ ติดตามการดำเนินการต่าง ๆ
ในภาพรวมเพื่อให้การจัดตั้งศูนย์บริการค้าชายแดนเบ็ดเสร็จ (One Stop
Service) ที่ให้บริการประชาชนและผู้ประกอบการส่งออกและนำเข้าสินค้าในรูปแบบ
Single Submission ณ ด่านศุลกากรหนองคาย
แล้วเสร็จโดยเร็วเป็นแห่งแรก โดยให้สามารถเริ่มทดลองใช้ระบบได้ภายในวันที่ ๑
กันยายน ๒๕๖๗ และสามารถใช้ระบบอย่างเต็มรูปแบบได้ภายในวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๗
ตามลำดับ หลังจากนั้นจึงให้พิจารณาขยายการดำเนินการไปสู่ด่านศุลกากรแห่งอื่น ๆ ที่มีความพร้อมต่อไป
ทั้งนี้ การดำเนินการในส่วนของด่านศุลกากรแห่งอื่น ๆ ดังกล่าว ให้คณะอนุกรรมการฯ สามารถพิจารณาให้มีการดำเนินการต่าง
ๆ คู่ขนานไปกับการดำเนินการ ณ ด่านศุลกากรหนองคายได้ตามความจำเป็นเหมาะสมตามแต่กรณี
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
179 | แต่งตั้งคณะกรรมการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติการค้าข้าว พุทธศักราช 2489 | พณ. | 07/05/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๗ พฤษภาคม ๒๕๖๗) เป็นต้นไป ดังนี้ ๑.เห็นชอบให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๓
กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ (เรื่อง การแต่งตั้งคณะกรรมการสำรวจและห้ามกักกันข้าว และคณะกรรมการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติการค้าข้าว
พุทธศักราช ๒๔๘๙) เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งคณะกรรมการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติการค้าข้าวพุทธศักราช
๒๔๘๙ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๑๘ (เรื่อง
แต่งตั้งกรรมการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติการค้าข้าวพุทธศักราช ๒๔๘๙) ๒.
แต่งตั้งคณะกรรมการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติการค้าข้าว พุทธศักราช ๒๔๘๙ ชุดใหม่
จำนวน ๑๐ ตำแหน่ง ประกอบด้วย ๒.๑
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประธานกรรมการ ๒.๒
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ รองประธานกรรมการ ๒.๓
ปลัดกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทน กรรมการ ๒.๔
ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือผู้แทน กรรมการ ๒.๕
อธิบดีกรมการค้าภายใน หรือผู้แทน กรรมการ ๒.๖
อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ หรือผู้แทน กรรมการ ๒.๗
ผู้แทนกรมการปกครอง กรรมการ ๒.๘
ผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรรมการ ๒.๙
ผู้แทนกรมการข้าว กรรมการ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
180 | ร่างหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent: LOI) ที่จะเริ่มการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี ไทย - บังกลาเทศ | พณ. | 23/04/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในร่างหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent
: LOI) ที่จะเริ่มการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี
ไทย-บังกลาเทศ และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือแสดงเจตจำนงฯ
โดยร่างหนังสือแสดงเจตจำนงฯ จะมีการลงนามในวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๗
ในช่วงการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีบังกลาเทศ (นางเชค ฮาซีนา)
ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๗ เมษายน ๒๕๖๗ เป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในการเริ่มเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี
(Free Trade Area : FTA) ไทย-บังกลาเทศ
ภายในปี ๒๕๖๗ มีสาระสำคัญระบุว่าทั้งสองฝ่ายจะแลกเปลี่ยนผลการศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility
Study) ที่แต่ละฝ่ายได้จัดทำไว้
และจะสานต่อการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อเร่งรัดกระบวนการที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งรวมถึงผ่านกลไกการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade
Committee) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือแสดงเจตจำนงที่จะเริ่มการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี
ไทย-บังกลาเทศ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|