ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 3 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 41 - 60 จากข้อมูลทั้งหมด 6663 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
41 | การกำหนดสินค้าควบคุม (เพิ่มเติม) ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 | พณ. | 22/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรายการสินค้า จำนวน ๒ รายการ ได้แก่ ๑) สินค้าเครื่องฟอกอากาศ
และ ๒) สินค้าตัวดูดฝุ่นไฟฟ้า (เครื่องดูดฝุ่น) เป็นสินค้าควบคุม (เพิ่มเติม)
ตามมติคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบและถือปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
42 | (ร่าง) ข้อเสนอเชิงนโยบาย เรื่อง แก้ไขปัญหาราคาโคตกต่ำ | สภช. | 22/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบ (ร่าง) ข้อเสนอเชิงนโยบาย เรื่อง
แก้ไขปัญหาราคาโคตกต่ำของสภาเกษตรกรแห่งชาติ ประกอบด้วย ๑) ขอให้ภาครัฐห้ามนำเข้าโคเนื้อจากประเทศเมียนมา
๒) ขอให้ภาครัฐดำเนินการป้องกันและปราบปรามการนำเข้าเนื้อโคที่ผิดกฎหมาย และควบคุมการนำเข้าเนื้อโคจากต่างประเทศ
๓) ขอให้ภาครัฐเร่งรัดตรวจสอบควบคุมการนำเข้าสารเร่งเนื้อแดง
และการใช้สารเร่งเนื้อแดงในโคเนื้อ ๔) ขอให้ภาครัฐเร่งรัดผลักดัน
และสนับสนุนให้มีโรงฆ่าชุมชน และโรงแปรรูปโคเนื้อที่ได้มาตรฐานในการบริโภคภายในชุมชน
รวมถึงการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้แนวคิด “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” และ
๕) ขอให้รัฐเร่งรัดการเจรจาการส่งออกโคมีชีวิต เนื้อโคแช่เย็น แช่แข็ง และผลิตภัณฑ์อื่น
ๆ จากโคกับประเทศคู่ค้าที่สำคัญกับไทย โดยการจัดทำบันทึกข้อตกลงภายใต้พิธีสารกับประเทศคู่ค้าที่สำคัญกับไทยอย่างเร่งด่วน
และมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องดังกล่าวไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ไปประกอบการพิจารณาเพื่อดำเนินการตามความจำเป็นเหมาะสมต่อไป
เช่น กระทรวงการต่างประเทศ เห็นว่า การห้ามนำเข้าโคเนื้อจากเมียนมาและการควบคุมการนำเข้าเนื้อโคจากต่างประเทศมีลักษณะเป็นการจำกัดปริมาณการนำเข้าซึ่งควรดำเนินการด้วยความระมัดระวังบนพื้นฐานของความจำเป็นเพื่อมิให้ขัดต่อพันธกรณีของไทยภายใต้กรอบ
WTO |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
43 | การตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีอาคารของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างพังถล่ม | นร. | 22/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า การดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีอาคารของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างพังถล่มเพื่อหาสาเหตุและผู้กระทำผิดมาดำเนินการตามกฎหมายในช่วงที่ผ่านมา
พบว่า
มีปัญหาและอุปสรรคค่อนข้างมากเนื่องจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเท่าที่ควร
จึงขอมอบหมายการดำเนินการ ดังต่อไปนี้ ๑.
ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดส่งเอกสารและข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างอาคารของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินให้แก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เพื่อสนับสนุนการสืบสวนหาสาเหตุและข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด ๒.
ขอความร่วมมือให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินจัดส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างอาคารดังกล่าวทั้งหมด
รวมถึงเอกสารของคณะกรรมการตรวจรับพัสดุในงานจ้างก่อสร้างที่ได้รายงานว่าผู้รับจ้างดำเนินงานผิดสัญญาการก่อสร้าง
แต่ยังมิได้ยกเลิกสัญญาการก่อสร้างภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ให้แก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยเร็ว ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
(กรมทรัพยากรธรณี) และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กรมอุตุนิยมวิทยา)
ร่วมกันจัดทำและส่งรายงานผลกระทบจากสถานการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในเขตกรุงเทพมหานครให้แก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยด่วน ๔. ให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง)
ในฐานะหน่วยงานกลางที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการกำหนดนโยบายและมาตรฐานการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
ให้ความร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการตรวจสอบมาตรฐานในการจัดซื้อจัดจ้างและคุณภาพของวัสดุก่อสร้างอาคารดังกล่าว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นเกี่ยวกับการดำเนินการตามกฎหมายจัดซื้อจัดจ้าง
การบริหารพัสดุภาครัฐ
และการบอกเลิกสัญญาหรือข้อตกลงกับคู่สัญญาที่ไม่ปฏิบัติตามสัญญาหรือข้อตกลงดังกล่าว ๕. ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมโยธาธิการและผังเมือง)
ในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่ร่วมตรวจสอบงานก่อสร้างอาคารดังกล่าวให้ความร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างเต็มที่ตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่ร้องขอ
ทั้งนี้ ต้องไม่ให้เจ้าหน้าที่ของกรมโยธาธิการและผังเมืองที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตรวจสอบงานก่อสร้างอยู่เดิมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอย่างเด็ดขาด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
44 | ข้อเสนอแนะของคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย เรื่อง การปรับปรุงพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 | นร.09 | 22/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบข้อเสนอแนะของคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย
เรื่อง การปรับปรุงพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๔๒ เพื่อลดอุปสรรคในการประกอบอาชีพของประชาชน
ส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจ การค้าการลงทุน
และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ยุทธศาสตร์ชาติ และนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการคลัง เห็นควรคำนึงถึงประเภทธุรกิจและสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสม
รวมถึงระดับการพัฒนาของแต่ละประเภทธุรกิจภายในประเทศ และพิจารณาถึงกฎหมายที่เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจของธุรกิจแต่ละประเภท
เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายและหลักเกณฑ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
โดยเฉพาะหลักเกณฑ์ที่ได้มีการกำหนดไว้เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวประกอบการพิจารณาในเรื่องดังกล่าวด้วย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรพิจารณาปรับปรุงพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว
พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยเฉพาะในประเด็นที่มีความสำคัญ อาทิ การทบทวนองค์ประกอบของคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวให้มีความสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสถานการณ์ปัจจุบัน
และควรให้ความสำคัญกับการอำนวยความสะดวกและลดข้อจำกัดในการเข้าสู่ธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการชาวต่างชาติอย่างครบวงจร
ตามแนวทางการประเมิน Business Ready (B-Ready) ของธนาคารโลก
ครอบคลุมการให้บริการในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ตั้งแต่กระบวนการขออนุมัติ/อนุญาต
และชำระค่าธรรมเนียม
โดยเชื่อมโยงกับระบบให้บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จทางอิเล็กทรอนิกส์ (Biz
Portal) ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ
และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) และเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการสามารถติดตามความก้าวหน้าได้ด้วยตนเอง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
45 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2567 เรื่อง มาตรการส่งเสริมงานศิลปะและรถยนต์โบราณ (Classic Cars) | กค. | 22/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒
มีนาคม ๒๕๖๗ [เรื่อง มาตรการส่งเสริมงานศิลปะและรถยนต์โบราณ (Classic Cars)] ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขบัญชีท้ายกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ. ๒๕๖๐
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ๒๓) พ.ศ.
๒๕๖๕ โดยกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับสินค้ารถยนต์โบราณ ในอัตราภาษีตามมูลค่าร้อยละ
๔๕ ข้องราคาขายปลีกแนะนำ และเห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง
การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา ๑๒ แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร
พ.ศ. ๒๕๓๐ (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับรถยนต์โบราณ ที่นำเข้ามาแบบสำเร็จรูปทั้งคัน
(Completely Built Up : CBU) ตามที่กรมสรรพสามิตประกาศกำหนด รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้พิจารณาในประเด็นความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และให้รับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรมไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. รับทราบการดำเนินมาตรการส่งเสริมงานศิลปะและรถยนต์โบราณ
(Classic Cars) ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๔. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงวัฒนธรรม เห็นว่าการเรียกชื่อ รถโบราณ VINTAGE CARS กับ รถคลาสสิค CLASSIC CARS จะสื่อความหมายที่ต่างกัน
และอาจจะต้องมีการพิจารณาการกำหนดชื่อภาษาไทยและภาษาอังกฤษให้ชัดเจน ในกรณีแยกประเภทรถยนต์ใช้แล้วในช่วงอายุที่แตกต่างกันให้เป็นไปตามนิยาม
หลักเกณฑ์และเงื่อนไขของพิกัดอัตราศุลกากรแต่ละประเภท
เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคหรือประเด็นปัญหาเกี่ยวกับกฎหมายการนำเข้าส่งออกของแต่ละประเทศ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลและทำประมาณการการสูญเสียรายได้จากอากรศุลกากรที่คาดว่าจะเก็บได้จากการนำเข้ารถยนต์โบราณ
(Classic Cars) เทียบกับกรณีไม่มีการดำเนินมาตรการให้ครบถ้วนตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
46 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียม ค่าภาคหลวง และค่าบำรุงป่า พ.ศ. .... | ทส. | 22/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียม
ค่าภาคหลวง และค่าบำรุงป่า พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกกฎกระทรวง
ฉบับที่ ๑๒๒๑ (พ.ศ. ๒๕๓๑) ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗
เพื่อปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียม ค่าภาคหลวงและค่าบำรุงป่า
ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ และเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาในประเด็นข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้รับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เห็นว่าการคิดคำนวณค่าธรรมเนียมควรเพิ่มความชัดเจนการเก็บค่าธรรมเนียมสำหรับภาคประชาชนโดยเฉพาะ
และควรประชาสัมพันธ์หรือรวบรวมความคิดเห็นจากภาคประชาชนโดยแท้จริงให้ได้มากที่สุด กระทรวงพาณิชย์
เห็นว่าชุมชนท้องถิ่นควรมีส่วนร่วมในการกำหนดค่าธรรมเนียมเพื่อให้ศักยภาพทางเศรษฐกิจของชุมชนท้องถิ่นไม่ได้รับผลกระทบ
และให้ความสำคัญต่อการสื่อสารเกี่ยวกับการใช้ค่าธรรมเนียมเหล่านี้
เพื่อให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเข้าใจถึงวัตถุประสงค์และผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงมหาดไทย เห็นควรดำเนินการตามระเบียบ กฎหมาย
มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้กรมป่าไม้ประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนได้รับทราบถึงข้อมูลข่าวสาร
รายละเอียด ข้อกำหนดในการจัดเก็บ ค่าธรรมเนียม ตลอดจนการลดและการยกเว้นค่าธรรมเนียมแก่กลุ่มบุคคลประเภทต่าง
ๆ เพื่อการเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
47 | ขอยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2533 (เรื่อง ห้ามส่งงูมีชีวิตและหนังงูที่ยังไม่แปรรูปออกนอกราชอาณาจักร) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2534 (เรื่อง ห้ามส่งงูมีชีวิตและหนังงูที่ยังไม่แปรรูปออกนอกราชอาณาจักร) | ทส. | 22/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๙
ตุลาคม ๒๕๓๓ เรื่อง ห้ามส่งงูมีชีวิตและหนังงูที่ยังไม่แปรรูปออกนอกราชอาณาจักร
และมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๓๔ เรื่อง ห้ามส่งงูมีชีวิตและหนังงูที่ยังไม่แปรรูปออกนอกราชอาณาจักร
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงพาณิชย์ เห็นว่าการส่งออกงูดังกล่าวต้องปฏิบัติตามอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่กำลังจะสูญพันธุ์
(Convention on International Trade
in Endangered Species of Wild Fauna and Flora : CITES) ตลอดจนกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่าง
ๆ และการเพาะพันธุ์และการส่งออกงูมีชีวิตต้องไม่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมของไทย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ดำเนินการควบคุมให้เป็นไปตามกฎกระทรวงกำหนดชนิดของสัตว์ป่าคุ้มครองให้เป็นสัตว์ป่าชนิดที่เพาะพันธุ์ได้
พ.ศ. ๒๕๔๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตลอดจนกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
เพื่อป้องกันการลักลอบค้าสัตว์อย่างผิดกฎหมาย
และส่งผลกระทบต่อการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและความสมดุลของระบบนิเวศของประเทศไทย ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดกลไกและหน่วยงานรับผิดชอบในการกำกับ
ดูแล และควบคุมการส่งออกงูมีชีวิต และหนังงูที่ยังไม่แปรรูปออกนอกราชอาณาจักรในส่วนที่กฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันยังมิได้กำหนดไว้ให้ครบถ้วนและเหมาะสม
โดยคำนึงถึงความสมดุลระหว่างการส่งออกเพื่อการค้าและการอนุรักษ์ รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการและประชาชนทราบเกี่ยวกับข้อกฎหมายและแนวทางปฏิบัติที่เกี่ยวข้องดังกล่าวให้ถูกต้องและทั่วถึงต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
48 | ผลการสรรหากรรมการในคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (1. รองศาสตราจารย์สุธรรม อยู่ในธรรม ฯลฯ จำนวน 3 คน) | สขค | 08/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรายชื่อผู้ที่ใด้รับคัดเลือกเป็นกรรมการในคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า
จำนวน ๓ คน ตามที่คณะกรรมการสรรหาได้คัดเลือกแล้ว เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปี
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑. รองศาสตราจารย์สุธรรม อยู่ในธรรม ๒. นางปัทมา เธียรวิศิษฎ์สกุล ๓. พลตำรวจโทพิทยา ศิริรักษ์
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
49 | การเร่งรัดการเสนอร่างพระราชบัญญัติที่เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลและมีความสำคัญ | นร. | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
(นายชูศักดิ์ ศิรินิล) ในฐานะประธานกรรมการเร่งรัดการเสนอร่างพระราชบัญญัติเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลรายงานว่า
ในคราวประชุมคณะกรรมการเร่งรัดการเสนอร่างพระราชบัญญัติเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล
เมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๘ ที่ประชุมได้มีมติ ๑. เห็นชอบบัญชีร่างพระราชบัญญัติที่เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลและมีความสำคัญเพื่อเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาโดยเร็ว
(Fast-track) ชุดที่ ๒ ได้แก่ ๑.๑
ร่างพระราชบัญญัติศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. .... (กระทรวงการคลัง) ๑.๒ ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและคุ้มครองแรงงานอิสระ
พ.ศ. .... (กระทรวงแรงงาน) ๑.๓
ร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (กระทรวงพาณิชย์) ๑.๔
ร่างพระราชบัญญัติขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล พ.ศ. .... (กระทรวงยุติธรรม) ๑.๕
ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. ....
(กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) ๑.๖
ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) ๑.๗
ร่างพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (กระทรวงการคลัง) ๑.๘
ร่างพระราชบัญญัติสถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ พ.ศ. .... (กระทรวงการคลัง) ๑.๙
ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พ.ศ. .... (กระทรวงพลังงาน) ๑.๑๐
ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมอุตสาหกรรมเกม พ.ศ. .... (กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม) ๑.๑๑
ร่างพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า (ฉบับที่
..) พ.ศ. .... (กระทรวงพาณิชย์) ๑.๑๒
ร่างพระราชบัญญัติโรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (กระทรวงอุตสาหกรรม) ๑.๑๓ ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. ....
(กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ๑.๑๔
ร่างพระราชบัญญัติปาล์มน้ำมันและผลิตภัณฑ์จากปาล์มน้ำมัน พ.ศ. .... (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์) รวม ๑๔ ฉบับ
และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเสนอร่างพระราชบัญญัติในความรับผิดชอบโดยเร็วตามกรอบเวลา ๒.
เนื่องจากร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอุทธรณ์คดียาเสพติด พ.ศ. ....
ซึ่งเป็นร่างพระราชบัญญัติที่เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลและมีความสำคัญเพื่อเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาโดยเร็ว
(Fast-track) ชุดแรก
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วเห็นว่า
ยังไม่มีความจำเป็นต้องตรากฎหมายดังกล่าว
คณะกรรมการเร่งรัดการเสนอร่างพระราชบัญญัติเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลจึงเห็นควรให้ถอดร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวออกจากบัญชีร่างพระราชบัญญัติที่เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลและมีความสำคัญเพื่อเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาโดยเร็ว
(Fast track) ชุดแรกก่อน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
50 | ร่างบันทึกว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมว่าด้วยการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-เบลารุส | พณ. | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมว่าด้วยการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-เบลารุส
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกฯ
ดังกล่าว โดยร่างบันทึกฯ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของทั้งสองฝ่ายในการพัฒนาและส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการค้าและเศรษฐกิจในสาขาความร่วมมือด้านต่าง
ๆ โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการร่วมฯ ทำหน้าที่ส่งเสริมและประสานความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจ
ประกอบกับการลงนามในร่างบันทึกฯ จะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การค้า
และการลงทุนระหว่างไทยกับเบลารุส
โดยเฉพาะในสาขาที่สองฝ่ายมีศักยภาพและเป็นประโยชน์ร่วมกัน รวมถึงการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคทางการค้า
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการติดตามและประเมินความก้าวหน้าการดำเนินงานภายใต้บันทึกความเข้าใจฉบับนี้อย่างต่อเนื่อง
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
51 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (นางอุษา กลิ่นหอม) | พณ. | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นางอุษา กลิ่นหอม
เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน สาขาวิทยาศาสตร์
(ผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภค)
ในคณะกรรมการสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระเนื่องจากขอลาออก
โดยขอให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑ เมษายน ๒๕๖๘) เป็นต้นไป ทั้งนี้
ผู้ได้รับแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งแต่งตั้งไว้แล้ว
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
52 | ขอความเห็นชอบการปรับโอนพิกัดศุลกากรของกฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้า ภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี (AKTIGA) | พณ. | 27/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบบัญชีกฎถิ่นกำเนิดสินค้าเฉพาะรายสินค้า (Product - Specific Rules of Origin) ภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน
- สาธารณรัฐเกาหลี (AKTIGA) ฉบับ HS 2022
และอนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
ในฐานะคณะกรรมการการดำเนินงานความตกลงการค้าเสรีอาเซียน - สาธารณรัฐเกาหลี (AKFTA
IC) ของไทยแจ้งการให้ความเห็นชอบดังกล่าวต่อสมาชิก AKFTA ภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๘ โดยมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลังดำเนินกระบวนการภายใน
เพื่อให้บัญชีกฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้าภายใต้ความตกลง AKTIGA ฉบับ HS 2022 เริ่มมีผลบังคับใช้ภายในวันที่ ๑
เมษายน ๒๕๖๙ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนบัญชีถิ่นกำเนิดสินค้าเฉพาะรายสินค้า (Product - Specific Rules of Origin) ภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน - สาธารณรัฐเกาหลี (AKTIGA) ฉบับ
HS 2022 ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
53 | มติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2567 | 27/03/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี
คณะที่ ๕ (ด้านเศรษฐกิจและการเกษตร) ในคราวประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๑๔
มีนาคม ๒๕๖๘ ดังนี้ ๑.
เห็นควรรับทราบมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๗ เมื่อวันที่
๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ ๒.
เห็นควรให้ความเห็นชอบการปรับปรุงรายละเอียดของประเภทยานยนต์และคุณสมบัติของรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่เข้าร่วมมาตรการ
EV3.5 โดยให้เพิ่มเติมประเภทรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับสิทธิตามมาตรการ
EV3.5 เป็น “รถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่ง ไม่เกิน
๑๐ คน” โดยใช้หลักการเกี่ยวกับคุณลักษณะและคุณสมบัติ จำนวนเงินอุดหนุน
และการผลิตชดเชยเช่นเดียวกับรถยนต์นั่ง
และให้เพิ่มเติมคุณลักษณะและคุณสมบัติสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ประเภทรถจักรยานยนต์ ๓. สำหรับมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV3) และเป็นรุ่นที่มีแต่ AC Charge (การชาร์จแบบกระแสสลับหรือการชาร์จกับไฟบ้าน)
ที่ผลิตในประเทศหรือนำเข้ามาในประเทศภายในปี ๒๕๖๗ สามารถเข้าร่วมมาตรการ FV3.5 ได้ ตลอดจนสามารถโอนสิทธิมายังมาตรการ EV3.5
ได้นั้น เห็นควรมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำเรื่องดังกล่าวกลับไปทบทวนความเหมาะสมอีกครั้งหนึ่ง ๔.
เห็นควรมอบหมายให้กรมสรรพสามิตดำเนินการแก้ไขหรือเพิ่มเติมประกาศที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ กระทรวงการคลัง
กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น สำนักงบประมาณ เห็นว่ามาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่
(รถโดยสารและรถบรรทุก) ซึ่งจะใช้มาตรการทางภาษี
โดยให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถหักเป็นค่าใช้จ่ายในการซื้อรถโดยสารไฟฟ้าและรถบรรทุกไฟฟ้ามาใช้งาน
จะกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของภาครัฐ
ควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการโดยคำนึงถึงความยั่งยืนทางการคลังของประเทศ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรเร่งสร้างความร่วมมือทางด้านการค้าและการลงทุนกับประเทศผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าชั้นนำในตลาดปัจจุบัน
อาทิ จีน ยุโรป และสหรัฐอเมริกา เพื่อสร้างพันธมิตรทางการค้าที่แข็งแกร่ง และเพื่อประโยชน์ในการเข้าถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่จะสามารถนำมาต่อยอดองค์ความรู้และพัฒนาการผลิตของไทยในอนาคตให้เท่าทันกับประเทศผู้นำต่าง
ๆ เช่น การแลกเปลี่ยนแรงงานที่มีทักษะ โดยอาจพิจารณาเจรจาขอให้มีการฝึกทักษะแรงงานไทยที่โรงงานบริษัทหลักในต่างประเทศ
เป็นต้น |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
54 | ร่างพระราชบัญญัติภาพยนตร์ พ.ศ. .... | วธ. | 27/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติภาพยนตร์ พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยภาพยนตร์และวีดิทัศน์
เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมภาพยนตร์
และให้มีมาตรการการกำกับดูแลที่เหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทสังคมและเทคโนโลยีของภาพยนตร์ในปัจจุบัน
รวมทั้งส่งเสริมให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์เป็น Soft Power ของประเทศที่สามารถเติบโตและแข่งขันกับนานาประเทศได้ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน สำนักงาน ก.พ.ร.
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ
และสำนักงานอัยการสูงสุดไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป เช่น กระทรวงแรงงาน เห็นว่ามาตรา ๑๑ (๕)
กำหนดให้มีคณะกรรมการส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์แห่งชาติประกอบด้วย
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนไม่เกิน ๗ คน ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิด้านภาพยนตร์ด้านสื่อสารมวลชน
ด้านสื่อมัลติมีเดีย และด้านการตลาดแต่ไม่มีผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในสื่อที่เกี่ยวกับเด็กและเยาวชนโดยเฉพาะที่จะเข้ามาแสดงมุมมองของเด็กและเยาวชนเพื่อให้ได้รับข้อมูลอย่างเหมาะสม
ซึ่งไม่สอดคล้องตามมาตรา ๗ ที่ให้ความสำคัญในการคุ้มครองผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและเยาวชน สำนักงาน ก.พ.ร. เห็นควรจัดให้มีหลักเกณฑ์การพิจารณาที่ชัดเจนเพื่อลดการใช้ดุลยพินิจในการตรวจพิจารณาบทภาพยนตร์
เค้าโครง และเรื่องย่อของภาพยนตร์และลดอุปสรรคต่อการถ่ายทำภาพยนตร์ตามบทต้นฉบับ
นอกจากนี้ อาจกำหนดให้มีระเบียบเกี่ยวกับการจัดเก็บค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายทำภาพยนตร์
(Rate Card) เช่น ค่าใช้สถานที่
ค่าทีมงานในการอำนวยความสะดวก เพื่อให้เป็นมาตรฐานเกิดความโปร่งใส
และให้ผู้ประกอบการสามารถคำนวณต้นทุนได้อย่างชัดเจน รวมถึงพิจารณาส่งเสริมการจัดตั้งศูนย์ประสานงานการถ่ายทำภาพยนตร์ในภูมิภาคเพื่ออำนวยความสะดวกในการขออนุญาตใช้พื้นที่เพื่อถ่ายทำภาพยนตร์
ณ จุดเดียว ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
กรอบระยะเวลา
และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ๓. ให้กระทรวงวัฒนธรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงาน ก.พ.ร. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เห็นควรพิจารณาให้มีกลไกการถ่วงดุลอำนาจของรัฐมนตรีในการสั่งยุบคณะกรรมการบริหารสภาอุตสาหกรรมภาพยนตร์แห่งประเทศไทย
หรือไล่สมาชิกคนใดคนหนึ่งออก (มาตรา ๓๘) ควรส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยในเชิงรุก
เช่น การจัดตั้งกองทุนภาพยนตร์แห่งชาติ สนับสนุนภาพยนตร์ไทยที่มีคุณภาพ
สนับสนุนสถาบันภาพยนตร์แห่งชาติให้คล้ายกับสถาบันภาพยนตร์อังกฤษ (The British Film Institute : BFI) หรือสถาบันภาพยนตร์อเมริกัน
(American Film Institute : AFI) และให้สิทธิพิเศษทางภาษีสำหรับผู้สร้างภาพยนตร์ไทยที่สามารถนำผลงานออกสู่ตลาดโลก
เป็นต้น |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
55 | รายงานประจำปี 2566 ของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) | พณ. | 18/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี ๒๕๖๖
ของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) โดยมีสาระสำคัญสรุปได้
ดังนี้ (๑) สคพ. ได้ดำเนินโครงการและกิจกรรมด้านการค้าและการพัฒนา โดยจำแนกเป็น ๓
ประเด็น ได้แก่ ๑)
พัฒนาขีดความสามารถบุคลากรทางการค้าและการพัฒนาผ่านกลไกความร่วมมือระดับภูมิภาคให้ก้าวทันกระแสความเปลี่ยนแปลง
๒) สร้างสรรค์ผลงานวิชาการที่ทันสถานการณ์และตอบโจทย์การแข่งขันด้านการค้าและการพัฒนาในภูมิภาค
และ ๓) ยกระดับองค์กรผ่านความร่วมมือในระดับภูมิภาคและใช้นวัตกรรมที่ทันสมัย (๒)
สคพ.
ดำเนินการสนับสนุนการจัดทำผลงานทางวิชาการที่เป็นบทความและเผยแพร่ข้อมูลวิชาการของ
สคพ. ในรูปแบบข่าวและสกู๊ปข่าว ผ่านสื่อต่าง ๆ และ (๓) สคพ.
ได้พยายามขยายเครือข่ายการสร้างองค์ความรู้และการให้บริการวิชาการเพื่อการค้าและการพัฒนาทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
56 | รายงานปัญหาการนำเข้ากุ้งจากต่างประเทศ ตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี | กษ. | 11/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี
คณะที่ ๕ (ด้านเศรษฐกิจและการเกษตร) ในคราวประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๑๐
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ ดังนี้ ๑.
เห็นควรเสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์กุ้งทะเลของไทยประเด็นการนำเข้ากุ้งจากต่างประเทศ
และมาตรการในการแก้ไขปัญหากุ้งทะเลของประเทศไทย ๒.
สำหรับการจัดทำโครงการเพื่อแก้ปัญหากุ้งทะเลของประเทศไทย เห็นควรมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โดยกรมประมง รับความเห็นของสำนักงบประมาณ กระทรวงพาณิชย์
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาจัดทำโครงการเพื่อแก้ไขปัญหากุ้งทะเลของประเทศไทยให้เป็นรูปธรรมในระยะยาว
โดยต้องไม่ขัดกับพันธกรณีของไทยภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศและความตกลงว่าด้วยการอุดหนุนและมาตรการตอบโต้การอุดหนุน
(Subsidy and Countervailing Measure :
SCM) รวมถึงไม่ซ้ำซ้อนกับโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการภายใต้มาตรการสำคัญเพื่อแก้ไขปัญหากุ้งทะเล
ตลอดห่วงโซ่อุตสาหกรรมกุ้งทะเลของประเทศไทย ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ จำนวน ๑๑ มาตรการ
และโครงการที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ทั้งนี้
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงมหาดไทย เห็นควรให้กรมประมงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องในการขอใช้งบประมาณสำหรับดำเนินโครงการฯ ต่อไป สำนักงบประมาณ เห็นควรให้กรมประมงทบทวนและจัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายให้เป็นไปอย่างเหมาะสมและประหยัด
และพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ หรือโอนเงินจัดสรร
หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร แล้วแต่กรณี ทั้งนี้
หากพิจารณาแล้วยังคงมีความจำเป็นต้องขอใช้งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
ให้กรมประมงจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
และดำเนินการตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามขั้นตอนต่อไป โดยคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า ผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
57 | มาตรการบริหารจัดการผลไม้ที่จะออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก | นร.04 | 11/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานว่า
ปี ๒๕๖๘ ผลไม้หลายชนิดจะมีปริมาณผลผลิตเพิ่มขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะทุเรียน
ซึ่งเป็นผลไม้เศรษฐกิจที่สร้างรายได้จากการส่งออกให้แก่ประเทศมากว่า ๑๕๐,๐๐๐๐ ล้านบาทต่อปี นั้น เพื่อป้องกันปัญหาราคาทุเรียนตกต่ำและสินค้าตกค้างในช่วงที่มีผลผลิตออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมากในอีก
๒ - ๓ เดือนข้างหน้า จึงขอมอบหมายการดำเนินการต่าง ๆ
เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อเกษตรกรไทย ดังนี้ ๑.
ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งเตรียมมาตรการรองรับการกระจายผลผลิตทุเรียนออกจากแหล่งผลิตต่าง
ๆ ให้เหมาะสม รวมทั้งให้รณรงค์ส่งเสริมการบริโภคทุเรียนภายในประเทศ และเร่งขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มเติมเพื่อส่งเสริมการส่งออกผลไม้ดังกล่าวไปยังประเทศอื่น
ๆ ให้มากขึ้นด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร)
ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความจำเป็นและเหมาะสมในการขยายระยะเวลาเปิด -
ปิดด่านทางบก ที่เชื่อมต่อประเทศเพื่อนบ้านไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีนให้เหมาะสม
สอดคล้องกับปริมาณและช่วงเวลาของการขนส่งทุเรียนผ่านด่านต่าง ๆ ด้วย ๓.
ให้กระทรวงคมนาคมเร่งหารือภาคเอกชนในการเตรียมความพร้อมและอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าและตู้ขนส่งสินค้าให้เหมาะสมเพียงพอ ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำกับดูแลการตรวจสอบคุณภาพของทุเรียนอย่างเคร่งครัด
เข้มงวด โดยเฉพาะการตรวจสอบสารแคดเมียมและสารย้อมสี (Basic Yellow 2) จะต้องตรวจสอบให้ครบถ้วน (๑๐๐%) และหากพบผู้กระทำความผิด
ให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งประชาสัมพันธ์ข่าวสารในเรื่องนี้ให้เกษตรกรทราบอย่างถูกต้อง
ทั่วถึง โดยเร็วด้วย ๕.
ให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ ในการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของสาธารณรัฐประชาชนจีนเพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินการในการนำเข้าทุเรียนจากไทยให้รับความสะดวก
คล่องตัว และรวดเร็วยิ่งขึ้น เช่น
การให้การยอมรับผลการตรวจสอบทางห้องปฏิบัติการของไทยตั้งแต่ต้นทางโดยไม่ต้องตรวจสอบซ้ำเมื่อถึงปลายทาง ทั้งนี้ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแนวทางการดำเนินการทั้ง
๕ ข้อดังกล่าวข้างต้นไปปรับใช้กับสินค้าเกษตรชนิดอื่น ๆ เช่น มังคุด เงาะ ลำไย
ที่จะมีผลผลิตทยอยออกสู่ตลาดในระยะต่อ ๆ ไป ตามความจำเป็นเหมาะสมด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
58 | รายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย | พณ. | 11/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย
และความคืบหน้าการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย และมอบหมายหน่วยงานภายใต้คณะกรรมการฯ
ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป มีสาระสำคัญสรุปได้
ดังนี้ (๑) นายกรัฐมนตรีได้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย
เมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๗ ซึ่งคณะกรรมการฯ มีหน้าที่และอำนาจ เช่น ๑)
กำหนดนโยบายและมาตรการที่จำเป็นเร่งด่วน เพื่อบูรณาการหน่วยงานในการป้องกันและปราบปรามสินค้าจากต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย
และ ๒) สั่งการให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ ปฏิบัติงานภายในขอบเขตหน้าที่และอำนาจตามกฎหมาย
รวมทั้งขอความร่วมมือภาคเอกชนเพื่อให้ดำเนินการตามนโยบายและมาตรการเร่งด่วนที่กำหนด
เป็นต้น และ (๒) คณะกรรมการฯ ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๗ เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม
๒๕๖๗ และครั้งที่ ๒/๒๕๖๗ เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๖๗ ได้มีมติ ๑) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการส่งเสริมและยกระดับ
SMEs ไทยและแก้ไขปัญหาสินค้าที่ไม่มีคุณภาพจากต่างประเทศ และคณะอนุกรรมการป้องกันและป้องปรามธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว
และ ๒) เห็นชอบการกำหนดแผนการแก้ปัญหาสินค้าที่ไม่มีคุณภาพจากต่างประเทศ และแผนการส่งเสริมและยกระดับ
SMEs ไทย และการกำหนดแผนการป้องกันและป้องปรามธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
59 | รายงานผลการเดินทางเยือนประเทศญี่ปุ่นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายพิชัย นริพทะพันธุ์) | พณ. | 11/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางเยือนประเทศญี่ปุ่นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
(นายพิชัย นริพทะพันธุ์) เมื่อวันที่ ๑๙ - ๒๔ ธันวาคม ๒๕๖๗ เพื่อเข้าร่วมส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ไทยในประเทศญี่ปุ่นพร้อมสร้างหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ต่อยอดธุรกิจด้วยพันธมิตร
ซึ่งมีกิจกรรมที่สำคัญ เช่น การส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ไทยในประเทศญี่ปุ่น
จัดแสดงสินค้ามังงะ (การ์ตูน) ที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับผ้าไทย
ของตกแต่งบ้านที่ใช้ผ้าไทยจากโครงการผ้าไทย ใส่ให้สนุกแฟชั่นไทย กิโมโนที่ทำด้วยผ้าไทย และซอฟต์พาวเวอร์
สาขาดนตรี เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้เข้าร่วมกิจกรรมลงนามบันทึกความเข้าใจและจดหมายแสดงความเข้าใจ รวม ๓ ฉบับ และการสร้างหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ต่อยอดธุรกิจด้วยพันธมิตรเข้าร่วมการประชุมนานาชาติ
ASEAN - Japan Economic Co - Creation Forum
2024 รวมถึงการพบหารือบริษัทชั้นนำของญี่ปุ่น เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ
สังคม และความสัมพันธ์ที่มีมาอย่างต่อเนื่อง การบรรยาย เรื่องสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจในประเทศไทย
และประชุมมอบนโยบายทูตพาณิชย์ในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้
เพื่อเตรียมความพร้อมในการส่งเสริมการส่งออกสินค้าไทยในปี ๒๕๖๘
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
60 | ขอความเห็นชอบท่าทีไทยสำหรับการประชุมกรอบความร่วมมือเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและสิงคโปร์ (STEER) ครั้งที่ 7 | พณ. | 11/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบท่าทีไทยสำหรับการประชุมกรอบความร่วมมือเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและสิงคโปร์
(STEER) ครั้งที่ ๗ โดยการประชุม STEER
เป็นการดำเนินการปฏิสัมพันธ์ในระดับสูง
ในการสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจในสาขาที่มีศักยภาพและเป็นประโยชน์ร่วมกัน อาทิ
เศรษฐกิจดิจิทัล พลังงาน คาร์บอนเครดิต อุตสาหกรรม ฮาลาล สินค้าเกษตรและอาหาร
การท่องเที่ยวเรือสำราญ การค้าและการลงทุน การอำนวยความสะดวกทางการค้า การบิน
และทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งจะช่วยส่งเสริมโอกาสทางการค้าใหม่ ๆ
การลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย และสร้างเครือข่ายธุรกิจที่แข็งแกร่ง
ตลอดจนเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของไทย
และเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
(หนังสือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ด่วนที่สุด ที่ นร ๑๙๐๗/๓๗ ลงวันที่ ๑๐
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่าในการประชุมดังกล่าวจะมีการจัดทำความตกลงระหว่างสองประเทศ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศจะต้องเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนการทำความตกลงนั้น
ตามมาตรา ๔ (๗) แห่งพระราชกฤษฎีกว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ.
๒๕๔๘
และหากความตกลงดังกล่าวมีเนื้อหาที่ก่อให้เกิดผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างกันตามกฎหมายระหว่างประเทศ
ก็จะเข้าลักษณะเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
โดยหากการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามหนังสือสัญญานั้นต้องมีการออกพระราชบัญญัติ
หรือหนังสือสัญญานั้นอาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการค้าหรือการลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวางตามมาตรา
๑๗๘ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ก็จะต้องเสนอขอความเห็นชอบจากรัฐสภาด้วย |