ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 5 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 81 - 100 จากข้อมูลทั้งหมด 6663 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
81 | เรื่องสืบเนื่องจากการเข้าร่วมการประชุม World Economic Forum (WEF) ประจำปี 2568 ของนายกรัฐมนตรี | นร. | 28/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากการเดินทางไปร่วมการประชุม
World Economic Forum (WEF) ประจำปี
๒๕๖๘ ระหว่างวันที่ ๒๐ - ๒๕ มกราคม ๒๕๖๘ ณ เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส
ทำให้มีโอกาสหารือในระดับทวิภาคีกับผู้นำประเทศหลายประเทศ
ตลอดจนได้พบปะกับผู้นำภาคเอกชนหลายท่าน
รวมทั้งได้ร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามความตกลงการค้าเสรี (FTA) ระหว่างไทยกับสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (European Free Trade Association : EFTA) ซึ่งถือเป็นผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรมในการเพิ่มศักยภาพในด้านการค้าการลงทุนของประเทศไทยกับประเทศคู่ภาคีอื่น
ๆ ให้มากขึ้นด้วย ในการนี้ จึงขอมอบหมายการดำเนินการ ดังนี้ ๑. ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการในเรื่องต่าง
ๆ ที่ประเทศไทยมีศักยภาพใน ๓ ด้าน ดังนี้ ๑.๑ Logistics Hub of Asia โดยที่ประเทศไทยมีที่ตั้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เหมาะสม
มีความมั่นคง และเป็นกลางทางการเมือง รัฐบาลจะสานต่อโครงการแลนด์บริดจ์ (Landbridge)
รถไฟความเร็วสูง รถไฟรางคู่
รวมถึงการสร้างสนามบินขนาดใหญ่เพื่อรองรับการเป็น Aviation Hub จึงขอให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการจัดทำแผนและกระบวนการศึกษาความเหมาะสมและเป็นไปได้ของโครงการแลนด์บริดจ์
(Landbridge) และโครงการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจนและเหมาะสม
ทั้งในเรื่องแผนการดำเนินงานและกรอบระยะเวลาของโครงการให้แล้วเสร็จ
แล้วดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปโดยด่วน ๑.๒ Kitchen of the World โดยที่รัฐบาลมุ่งเน้นที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นแหล่งความมั่นคงทางอาหาร
(Food Security) และเป็นคลังอาหารของโลก (World Food
Storage) เพราะประเทศไทยมีผลผลิตทางการเกษตรที่เพียงพอและมั่นคง
ซึ่งถือเป็น Soft Power ที่สำคัญประการหนึ่งของประเทศ จึงขอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์
กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการจัดทำแผนบูรณาการในการดำเนินการเพื่อเพิ่มปริมาณและมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและวัตถุดิบอาหารไทยไปยังตลาดโลกให้มากยิ่งขึ้น
ให้แล้วเสร็จ แล้วดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปโดยด่วน ๑.๓ Green Energy Resources โดยที่ประเทศไทยมีความพร้อมในการผลักดันการใช้พลังงานสะอาดเพื่อรองรับการตัดสินใจเข้ามาลงทุนทางด้านเทคโนโลยีของบริษัทชั้นนำต่าง
ๆ ในระดับโลก จึงขอให้กระทรวงพลังงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการจัดทำแผนการผลิตและการใช้พลังงานสะอาดให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภครวมทั้งนักลงทุนจากต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
ให้เสร็จแล้วดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปโดยด่วน ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี
(FTA) กับเขตการค้าอื่น ๆ เพิ่มเติม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรีไทยกับสหภาพยุโรป (European
Union : EU) ให้บรรลุผลโดยเร็ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
82 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำสินค้าที่ประเทศไทยมีพันธกรณีตามความตกลงการเกษตรภายใต้องค์การการค้าโลกเข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงการค้าเสรีระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา พ.ศ. .... | พณ. | 21/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง
การนำสินค้าที่ประเทศไทยมีพันธกรณีตามความตกลงการเกษตรภายใต้องค์การการค้าโลกเข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงการค้าเสรีระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้สินค้าตามบัญชีท้ายฯ จำนวน ๒ รายการ ได้แก่
(๑) มะพร้าวฝอย และ (๒) ชา
ที่ประเทศไทยมีพันธกรณีตามความตกลงการเกษตรภายใต้องค์การการค้าโลกซึ่งมีถิ่นกำเนิดและส่งตรงมาจากสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงการค้าเสรีระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา
ได้รับสิทธิพิเศษทางด้านภาษีศุลกากร (ได้รับยกเว้นอากรนำเข้า)
และได้รับยกเว้นในการปฏิบัติตามมาตรการอื่นที่มิใช่มาตรการทางภาษีที่ออกตามกฎหมายว่าด้วยการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า
(ได้รับยกเว้นการขออนุญาตนำเข้า) ซึ่งสอดคล้องกับพันธกรณีตกลงการค้าเสรีระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการติดตามข้อมูลและสถานะของสินค้าตามความตกลง
SLTFTA อย่างต่อเนื่อง
เพื่อใช้ประกอบการประเมินผลกระทบต่อเกษตรกรหรือผู้ประกอบการในประเทศ และกำหนดมาตรการที่เกี่ยวข้องได้ทันสถานการณ์ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
83 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านราชอาณาจักรไปยังสาธารณรัฐเฮติ พ.ศ. .... | พณ. | 21/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์
เรื่อง
ให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านราชอาณาจักรไปยังสาธารณรัฐเฮติ
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกและห้ามนำผ่านราชอาณาจักรไปยังสาธารณรัฐเฮติ
ยกเว้นการส่งออกหรือนำผ่านอาวุธและยุทโธปกรณ์ให้แก่สาธารณรัฐเฮติเพื่อสนับสนุนภารกิจที่อนุมัติโดยสหประชาชาติหรือหน่วยงานความมั่นคงที่ปฏิบัติงานภายใต้การบังคับบัญชาของรัฐบาลสาธารณรัฐเฮติให้ความเห็นชอบหรือการส่งออกหรือนำผ่านที่ได้รับความเห็นชอบล่วงหน้าโดยคณะกรรมการ
เพื่อส่งเสริมวัตถุประสงค์ด้านสันติภาพและเสถียรภาพในสาธารณรัฐเฮติ เพื่อให้เป็นไปตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ
(United Nations Security Council : UNSC)(ข้อมติ UNSC) ที่ ๒๖๙๙ (ค.ศ. ๒o๒๓) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เห็นว่าการอ้างบทอาศัยอำนาจในร่างประกาศฯ
กรณีมาตรา ๕ เห็นควรตัดการอ้างวรรคหนึ่งออก ระบุเป็นมาตรา ๕ (๑) และ (๓)
และวรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า
พ.ศ. ๒๕๒๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางการร่างกฎหมายต่อไป ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
84 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นางสาวณภัสนันท์ อรินทคุณวงษ์) | พณ. | 21/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นางสาวณภัสนันท์
อรินทคุณวงษ์ เป็นข้าราชการการเมือง
ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายสุชาติ ชมกลิ่น) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๒๑ มกราคม ๒๕๖๘) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
85 | ร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง อัตราค่าขึ้นบัญชีสูงสุดที่จะจัดเก็บจากผู้เชี่ยวชาญ องค์กรผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่ทำหน้าที่ในการประเมินเอกสารทางวิชาการ การตรวจวิเคราะห์ การตรวจสถานประกอบการ หรือการตรวจสอบเครื่องสำอาง พ.ศ. .... และร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง อัตราค่าใช้จ่ายสูงสุดที่จะจัดเก็บจากผู้ยื่นคำขอในกระบวนการพิจารณาเครื่องสำอาง พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | สธ. | 21/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบในหลักการประกาศ รวม ๒ ฉบับ
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑.๑ ร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง
อัตราค่าขึ้นบัญชีสูงสุดที่จะจัดเก็บจากผู้เชี่ยวชาญ องค์กรผู้เชี่ยวชาญ
หน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ที่ทำหน้าที่ในการประเมินเอกสารทางวิชาการ การตรวจวิเคราะห์ การตรวจสถานประกอบการ
หรือการตรวจสอบเครื่องสำอาง พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดอัตราค่าขึ้นบัญชีสูงสุดที่จะจัดเก็บจากผู้เชี่ยวชาญ
องค์กรผู้เชี่ยวชาญหน่วยงานของรัฐ
หรือองค์กรเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ทำหน้าที่ในการประเมินเอกสารทางวิชาการ
การตรวจวิเคราะห์ การตรวจสอบสถานประกอบการหรือการตรวจสอบเครื่องสำอาง
๑.๒ ร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง
อัตราค่าใช้จ่ายสูงสุดที่จะจัดเก็บจากผู้ยื่นคำขอในกระบวนการพิจารณาเครื่องสำอาง
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดอัตราค่าใช้จ่ายสูงสุดที่จะจัดเก็บจากผู้ยื่นคำขอในกระบวนการพิจารณาเครื่องสำอาง
เช่น การประเมินเอกสารทางวิชาการ การตรวจสถานประกอบการ ๒.
ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงบประมาณ เช่น กระทรวงสาธารณสุขควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจตามร่างประกาศดังกล่าวให้มีผู้ที่เกี่ยวข้องทราบอย่างทั่วถึง
และในการกำหนดอัตราค่าขึ้นบัญชีสูงสุดและอัตราค่าใช้จ่ายสูงสุด
กระทรวงสาธารณสุขควรถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๔
(เรื่อง หลักเกณฑ์ว่าด้วยการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมและค่าบริการ)
โดยต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนในการดำเนินการของรัฐ
ภาระที่จะเกิดขึ้นแก่ประชาชน และปัจจัยอื่น ๆ ตามที่กำหนดในหลักเกณฑ์ดังกล่าว
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
86 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อกำหนดกลไกราคาคาร์บอน (Carbon Pricing) ในพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต | กค. | 21/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดราคาคาร์บอนในพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตที่จัดเก็บจากสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน
โดยรวมไว้ในอัตราภาษีสรรพสามิตในปัจจุบัน (เฉพาะน้ำมันเบนซิน และน้ำมันที่คล้ายกัน
น้ำมันก๊าด และน้ำมันที่จุดให้แสงสว่างที่คล้ายกัน
น้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบินไอพ่น น้ำมันดีเซลและน้ำมันอื่น ๆ ที่คล้ายกัน
ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอล.พี.จี.) ก๊าซโพรเพรน และก๊าซที่คล้ายกัน
น้ำมันเตาและน้ำมันที่คล้ายกัน) ซึ่งยังคงอัตราภาษีสรรพสามิตตามที่กำหนดไว้ตามเดิม
ทั้งนี้
เพื่อสร้างความตระหนักให้ประชาชนในสังคมมีการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อรองรับการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นควรกำหนดกลไกราคาคาร์บอนของสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันโดยพิจารณาจากค่าสัมประสิทธิ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจก
(Emission Factor) ให้สอดคล้องกับค่าสัมประสิทธิ์ที่ประกาศโดยกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
(UNFCCC) พ.ศ. ๒๕๖๕ และควรเพิ่มความตระหนักด้านมลพิษฝุ่น2.5
ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพด้วยเช่นกัน
โดยอาจพิจารณาความเหมาะสมของราคาคาร์บอนที่ ๒๐๐ บาท ต่อตันคาร์บอนเทียบเท่า
สามารถครอบคลุมการปล่อยฝุ่น PM2.5 ได้หรือไม่ ไปประกอบการตรวจพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
และความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงพลังงาน
เห็นว่าการกำหนดกลไกราคาคาร์บอน (Carbon Pricing) ในพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน
อาจส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในอนาคต
(ในกรณีที่มีการกำหนดเพิ่มอัตราราคาคาร์บอนหรือมีการแยกราคาคาร์บอนออกจากภาษีสรรพสามิตในอนาคต)
ทำให้ต้นทุนภาคขนส่งได้รับผลกระทบจนนำไปสู่ปัญหาราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่เพิ่มขึ้น
ซึ่งกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อ ภาพรวมเศรษฐกิจ ค่าครองชีพของประชาชน
และอุตสาหกรรมการผลิตของประเทศในระยะยาว |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
87 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงพาณิชย์) | พณ. | 13/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ
ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี จำนวน ๔ คณะ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๑๓ มกราคม ๒๕๖๘) เป็นต้นไป ดังนี้ ๑.
คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.) ๒. คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลัง
(นบมส.) ๓.
คณะกรรมการว่าด้วยการให้สิทธิพิเศษแก่ประเทศพัฒนาน้อยที่สุด โดยการยกเลิกภาษีนำเข้าและโควตา
(Duty free Quota Free Scheme :
DFQF) ๔. คณะกรรมการนโยบายอาหาร
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
88 | โครงการสินเชื่อปลุกพลัง SME และโครงการสินเชื่อ Beyond ติดปีก SME ของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย | กค. | 07/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบให้กระทรวงการคลังดำเนินโครงการสินเชื่อปลุกพลัง SME และโครงการสินเชื่อ Beyond.ติดปีก SME ของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย
(ธพว.) โดยในปีที่ ๑ - ๓ ให้ ธพว. คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่จากผู้ประกอบการ SME
ร้อยละ ๓ ต่อปี สำหรับปีที่ ๔ - ๑๐ ให้คิดอัตราดอกเบี้ย ตามที่ ธพว.
กำหนด และรัฐบาลจ่ายชดเชยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยให้กับ ธพว. ในอัตราร้อยละ ๓ ต่อปี
ในปีที่ ๑ - ๓ ภายในกรอบวงเงินงบประมาณไม่เกิน ๑,๘๐๐ ล้านบาท
และเมื่อใกล้ครบกำหนดระยะเวลา ๓ ปี ให้กระทรวงการคลัง (ธพว.)
ดำเนินการประเมินศักยภาพของผู้ประกอบการ SME ที่เข้าร่วมโครงการว่ายังคงมีความสามารถในการชำระหนี้หรือไม่
ประการใด
เพื่อพิจารณาความจำเป็นและเหมาะสมในการขอรับการชดเชยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยฯ ต่อไป
ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง (ธพว.) จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและตามผลการดำเนินงานจริงต่อไป
รวมทั้งให้จัดทำแผนบริหารจัดการความเสี่ยงของโครงการและติดตามการดำเนินโครงการดังกล่าวอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non - Performing Loans : NPLs) ด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลังกำกับดูแล ธพว.
ในการให้สินเชื่อของทั้ง ๒ โครงการ ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
สามารถช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายได้ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
และไม่ซ้ำช้อนกับการดำเนินโครงการอื่น ๆ ของภาครัฐ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง
(ธพว.) และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม เห็นควรกำหนดอัตราดอกเบี้ยโครงการสินเชื่อปลุกพลัง SME ในปีที่ ๖ - ๑๐
ให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้ประกอบการได้รับข้อมูลครบถ้วนสำหรับประกอบการตัดสินใจ และควรทบทวนอัตราดอกเบี้ยชดเชยให้สอดคล้องกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง
โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าของงบประมาณภาครัฐที่ต้องชดเชยภายใต้การดำเนินงานโครงการดังกล่าว ธนาคารแห่งประเทศไทย เห็นควรกำหนดกระบวนการคัดกรองลูกหนี้กลุ่มเป้าหมายที่จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือ
เพื่อให้การสนับสนุนสินเชื่อเป็นไปตามเจตนารมณ์และสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการ
และควรมีกระบวนการติดตามตรวจสอบการใช้สินเชื่อว่าสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การกู้ยืม
รวมถึงมีกลไกในการบริหารความเสี่ยงของโครงการให้อยู่ในระดับที่ธนาคารยอมรับได้
เป็นต้น ๓. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับ
ธพว.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำสรุปผลการดำเนินมาตรการ/โครงการช่วยเหลือผู้ประกอบการ
SME ของภาครัฐในภาพรวมให้ถูกต้อง
ครบถ้วน และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบทุกไตรมาส
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
89 | มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ฝุ่นละออง PM2.5) | นร. | 07/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติ
(๒๙ ตุลาคม ๖๕๖๗) มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หารือร่วมกันเพื่อกำหนดมาตรการต่าง ๆ
ในการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ฝุ่นละออง PM2.5) ในพื้นที่ต่าง
ๆ ของประเทศให้เหมาะสมและครบถ้วนทั้งที่เป็นปัญหามลพิษจากการเผาตอซังและพืชไร่ในภาคการเกษตร
ควันและไอเสียของยานพาหนะที่ปล่อยควันดำเกินค่ามาตรฐาน และฝุ่นควันจากภาคอุตสาหกรรม
และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ
ตามหน้าที่และอำนาจให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว นั้น ในขณะนี้
ประเทศไทยได้เข้าสู่ฤดูหนาวและปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 เริ่มรุนแรงขึ้นและภาพถ่ายดาวเทียมยังแสดงให้เห็นว่าในบางจังหวัดมีจุดความร้อน
(Hotspot) เพิ่มมากขึ้นด้วย จึงขอมอบหมายให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องดำเนินการในเรื่องต่าง
ๆ เพิ่มเติม ดังนี้ ๑. มาตรการเกี่ยวกับพืชผลทางการเกษตร ๑.๑
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งกำหนดมาตรการเพิ่มเติม
เพื่อให้ผู้ประกอบการอ้อยและน้ำตาลทรายงดการรับซื้ออ้อยไฟไหม้อย่างเด็ดขาด ๑.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติอย่างเคร่งครัด
และเข้มงวดกับผู้เผาป่า ตอซังข้าว ข้าวโพด อ้อย และพืชอื่น ๆ
รวมทั้งให้มีการประกาศกำหนดเขตควบคุมมลพิษให้ชัดเจนและเหมาะสม
โดยขอให้ภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วด้วย ๑.๓
ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งกำหนดมาตรการห้ามนำเข้าสินค้าเกษตรที่มีกระบวนการผลิตที่เกี่ยวข้องกับการเผาอย่างเด็ดขาด ๑.๔ ให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย
หน่วยงานความมั่นคง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร)
รวมกันดำเนินการตรวจสอบและจับกุมการลักลอบน้ำเข้าพืชผลทางการเกษตรที่เกี่ยวข้องกับการเผา
ตามแนวชายแดนทุกด้านของประเทศอย่างเข้มงวด ๒. มาตรการลดมลพิษทางอากาศ (ฝุ่นละออง PM2.5) ๒.๑
ให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการตรวจสอบ ตรวจจับ และระงับการใช้ยานพาหนะที่ปล่อยควันดำจากท่อไอเสียเกินมาตรฐานอย่างจริงจัง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถกระบะ รถโดยสารสาธารณะ รถบรรทุกขนาดใหญ่
รวมทั้งรถโดยสารประจำทางทั้งที่เป็นของหน่วยงานของรัฐและรถร่วมบริการ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
90 | ร่างเอกสาร Guidelines and Minimum Standards ด้านโภชนาการระดับอาเซียน 5 ฉบับ | สธ. | 07/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างเอกสาร Guidelines and
Minimum Standards ด้านโภชนาการระดับอาเซียน จำนวน ๕ ฉบับ
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขร่วมรับรองร่างเอกสารดังกล่าว
ประกอบด้วย (๑) เอกสารหลักเกณฑ์และมาตรฐานขั้นต่ำด้านโภชนาการมารดาในอาเซียน (ASEAN
Guidelines and Minimum Standards for Maternal Nutrition) (๒)
เอกสารหลักเกณฑ์และมาตรฐานขั้นต่ำด้านการเสริมสารอาหารปริมาณมากที่จำเป็น (ASEAN
Guidelines and Minimum Standards for Implementation of Mandatory Large-scale
Food Fortification) (๓) เอกสารหลักเกณฑ์และมาตรฐานขั้นต่ำการจัดการปัญหาเด็กที่มีภาวะผอมในระบบสุขภาพแห่งชาติ
(ASEAN Regional Guidelines on Minimum Standards for Management of Child
Wasting in National Health Systems) (๔)
เอกสารหลักเกณฑ์และมาตรฐานขั้นต่ำด้านโภชนาการในโรงเรียนแบบองค์รวม
(Minimum Standards and Guidelines for the ASEAN School Nutrition Package) และ (๕)
เอกสารหลักเกณฑ์และมาตรฐานขั้นต่ำการปกป้องเด็กจากผลกระทบอันตรายของการตลาดเกี่ยวกับอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ในอาเซียน
(Minimum standards and guidelines on actions to protect children from the
harmful impact of marketing of food and non-alcoholic beverages in the ASEAN
region) ซึ่งเป็นเอกสารที่รวบรวมผลการศึกษาและการวิจัยด้านโภชนาการเพื่อให้ประเทศสมาชิกอาเซียนนำไปใช้เป็นองค์ความรู้และแนวทางในการดำเนินการด้านโภชนาการภายในประเทศ
เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการดำเนินงานโภชนาการระดับโลก (Global
Nutrition Target) และเป้าหมายการพัฒนาที่ยังยืน (Sustainable
Development Goals : SDGs) โดยจะเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ของสำนักเลขาธิการอาเซียน
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ๒.
ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และกระทรวงพาณิชย์ที่เห็นว่า
ร่างเอกสารหลักเกณฑ์และมาตรฐานขั้นต่ำการปกป้องเด็กจากผลกระทบอันตรายของการตลาดเกี่ยวกับอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ในอาเซียน
ในส่วนของการบังคับใช้หรือการปรับใช้ภายในประเทศ
อาจให้มีการพิจารณาในรายละเอียดที่เกี่ยวข้องในเชิงนโยบายด้านอื่น ๆ ร่วมด้วย อาทิ
มาตรการทางการค้า มาตรการการคุ้มครองผู้บริโภค
และในการดำเนินการจัดทำร่างเอกสารดังกล่าวควรคำนึงถึงผลกระทบต่อการใช้สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาในทางการค้าของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม
รวมถึงสิทธิทางการค้าที่อาจถูกจำกัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
91 | ขออนุมัติเป็นหลักการให้จ่ายเงินอุดหนุนสำนักเลขาธิการอาเซียนสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายของหน่วยงานสนับสนุนความตกลง RCEP | พณ. | 24/12/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติเป็นหลักการให้จ่ายเงินอุดหนุนแก่สำนักเลขาธิการอาเซียนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินการของหน่วยงานสนับสนุนความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค
(Regional
Comprehensive Economic Partnership : RCEP) (RCEP Support Unit : RSU) ตั้งแต่ปี ๒๕๖๗ เป็นต้นไป วงเงินปีละ ๓๖,๕๑๑ ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ ๑,๓๘๗,๔๑๘
บาท) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้
ค่าใช้จ่ายในการจ่ายเงินอุดหนุนสำนักเลขาธิการอาเซียนประจำปี ๒๕๖๗ และประจำปี ๒๕๖๘
รวมจำนวน ๗๓,๐๒๒ ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ ๒,๗๗๔,๘๓๖ บาท เห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์
(กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ)
พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
หรือโอนเงินจัดสรร หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร แล้วแต่กรณี
ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
สำหรับค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป เห็นควรให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์
(กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ) รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนแก่สำนักเลขาธิการอาเซียนให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งควรพิจารณาติดตามความก้าวหน้าและประเมินผลการดำเนินงานของ
RSU
เพื่อประเมินความคุ้มค่าของการสนับสนุนงบประมาณดังกล่าว
และรายงานต่อคณะรัฐมนตรีให้ทราบเป็นระยะ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
92 | การประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดสงขลา | นร. | 24/12/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีกำหนดจะจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่
ณ จังหวัดสงขลา ในวันอังคารที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘
และตรวจราชการในพื้นที่เขตตรวจราชการที่ ๕ (จังหวัดชุมพร พัทลุง นครศรีธรรมราช
และสุราษฎร์ธานี) ด้วย นั้น
ขอมอบหมายให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับไปประสานกับหน่วยงานต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม จัดทำโครงการต่าง ๆ ตามหน้าที่และอำนาจ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและให้ความช่วยเหลือประชาชนและภาคธุรกิจการค้าในพื้นที่ดังกล่าวที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยที่ผ่านมา
รวมถึงการฟื้นฟูระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการต่าง ๆ เช่น น้ำประปา ไฟฟ้า
เส้นทางคมนาคมต่าง ๆ ให้เหมาะสมและครบถ้วน เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
93 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน สำหรับปี พ.ศ. 2568 พ.ศ. .... | พณ. | 17/12/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง
การนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน
สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๖๘ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลาการนำเข้าข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเชียน
(ASEAN Free Trade Area: AFTA) สำหรับปี
๒๕๖๘ พิกัดอัตราศุลกากรประเภทย่อย ๑๐๐๕.๔๐.๙๙ รหัสสถิติ ๐๐๑ ออกไปอีก ๑ ปี
โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๘ จนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๘
เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการนโยบายอาหาร ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้กระทรวงพาณิชย์ระบุวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติไว้ในร่างประกาศด้วย และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
94 | มาตรการรักษาเสถียรภาพราคามันสำปะหลัง ปี 2567/68 | พณ. | 17/12/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบผลการดำเนินมาตรการรักษาเสถียรภาพราคามันสำปะหลัง
ปี ๒๕๖๖/๖๗ การดำเนินโครงการเพิ่มช่องทางการตลาดสินค้าพืชโร่ ปีการผลิต ๒๕๖๗/๖๘
และแนวทางมาตรการในการขยายตลาดส่งออกสินค้ามันสำปะหลัง
ปี ๒๕๖๗/๖๘ และอนุมัติในหลักการมาตรการรักษาเสถียรภาพราคามันสำปะหลัง ปี
๒๕๖๗/๖๘ จำนวน ๔ โครงการ ภายในกรอบวงเงิน ๓๖๘,๙๐๐,๐๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนการดำเนินงานโครงการต่าง ๆ ภายใต้มาตรการฯ ดังกล่าว
เพื่อให้การดำเนินมาตรการรักษาเสถียรภาพราคามันสำปะหลัง ปี ๒๕๖๗/๖๘
บรรลุผลตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ธนาคารแห่งประเทศไทย เห็นว่า ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
(ธ.ก.ส.)
ควรกำหนดเพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกันเพื่อลดความเสี่ยงกรณีที่หลักประกันมีคุณภาพเสื่อมลง
และมีการควบคุมและตรวจสอบสต็อกของหลักประกัน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรกำหนดแนวทางชดเชยความเสียหายให้
ธ.ก.ส. เพิ่มเติม หากโครงการเกิดความเสียหายมากกว่าที่ประมาณการไว้
รวมทั้งควรประเมินผลการดำเนินของมาตรการ
เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และนำมาใช้ประโยชน์สำหรับการออกแบบมาตรการในระยะต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสนับสนุนและส่งเสริมการนำมันสำปะหลังมาแปรรูปเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ให้มากยิ่งขึ้นเพื่อเพิ่มมูลค่าของมันสำปะหลัง
และเพื่อช่วยระบายสต๊อกในช่วงที่ผลผลิตมันสำปะหลังภายในประเทศมีแนวโน้มกระจุกตัวอันเนื่องมาจากการส่งออกมันสำปะหลังไปยังต่างประเทศมีแนวโน้มชะลอตัวลง |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
95 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้หินเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 พ.ศ. .... | พณ. | 17/12/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์
ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้หินเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร
พ.ศ. ๒๕๕๑ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ กำหนดให้หินเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร
พ.ศ. ๒๕๕๑ เนื่องจากเป็นการลดอุปสรรคในการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบการ รวมทั้งเป็นไปตามมติที่ประชุมคณะทำงานดำเนินงานโครงการเสริมสร้างความพร้อมด้านการจัดระเบียบบริหารการค้ารองรับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
(AEC) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
ที่เห็นควรมีการประชาสัมพันธ์แนวปฏิบัติของการดำเนินการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ดังกล่าวให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ
เพื่อให้สามารถปฏิบัติได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
96 | รายงานผลการเดินทางเยือนเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง สาธารณรัฐประชาชนจีน ของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ | พณ. | 17/12/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางเยือนเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง
สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ ๒๒ - ๒๖
กันยายน ๒๕๖๗ ของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายนภินทร ศรีสรรพางค์) เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระดับทวิภาคีไทย - จีน ซึ่งมีกิจกรรมที่สำคัญ
เช่น (๑) พบหารือกับรองประธานสภาผู้แทนประชาชนเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง
(๒) เข้าร่วมพิธีเปิดงานแสดงสินค้าจีน-อาเซียน (CAEXPO) ครั้งที่ ๒๑
และเยี่ยมชมส่วนจัดแสดงสินค้า/บริการที่เกี่ยวข้อง และ (๓)
การเยี่ยมชมสวนโลจิสติกส์ พร้อมพบหารือกับประธานศูนย์แสดงสินค้าดีเด่นจีน-อาเซียน (China-ASEAN
Mercantile Exchange : CAMEX) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
97 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียม ลด และยกเว้นค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต ใบแทนใบอนุญาต และการต่ออายุใบอนุญาต พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตนำเข้าหรือส่งออกใบกระท่อม พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | ยธ. | 17/12/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียม
ลด และยกเว้นค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต ใบแทนใบอนุญาต และการต่ออายุใบอนุญาต พ.ศ.
.... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาตนำเข้า
ใบอนุญาตส่งออก การออกใบแทนใบอนุญาต และค่าธรรมเนียมการต่ออายุใบอนุญาต รวมทั้งลดและยกเว้นค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าหรือส่งออกใบกระท่อม
และร่างกฎกระทรวงการขออนุญาต และการอนุญาตนำเข้าหรือส่งออกใบกระท่อม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาต และการอนุญาตนำเข้า หรือส่งออกใบกระท่อม ซึ่งจะเป็นมาตรการในการกำกับดูแลการนำเข้าหรือส่งออกใบกระท่อม
รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไป
เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เห็นว่าร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียม
ลด และยกเว้นค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต ใบแทนใบอนุญาต และการต่ออายุใบอนุญาต พ.ศ.
.... ควรแก้ไขเพิ่มเติมข้อความในข้อ ๔ โดยตัดคำว่า “ผู้ส่งออกใบกระท่อมซึ่งเป็นบุคคลตามมาตรา
๑๑ (๓)” ซึ่ง การลดค่าธรรมเนียม และการยกเว้นค่าธรรมเนียม
อาจส่งผลให้เกิดการปลูกพืชกระท่อมเพิ่มมากขึ้น
หากไม่สามารถควบคุมคุณภาพตามมาตรฐานได้อาจส่งผลเสียต่อตลาดส่งออกพืชกระท่อมในอนาคต สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรพิจารณาทบทวนความตามข้อ
๓ ในร่างกฎกระทรวงฯ ที่ระบุให้มีการลดค่าธรรมเนียมกึ่งหนึ่งแก่ผู้ส่งออกที่เป็นวิสาหกิจชุมชน
ให้เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างประเทศ และความตกลงทั่วไปว่าด้วยภาษีศุลกากรและการค้าในเรื่องค่าธรรมเนียมและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าและส่งออก ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์
เห็นควรดำเนินการให้สอดคล้องกับความตกลงทั่วไปว่าด้วยภาษีศุลกากรและการค้า (General Agreement on Tariffs and Trade : GATT) ที่กำหนดให้การกำหนดค่าธรรมเนียมและค่าภาระต่าง
ๆ จะต้องจำกัดอยู่เพียงต้นทุนโดยประมาณในการให้บริการ
และไม่เป็นการคุ้มครองทางอ้อมแก่ผลิตภัณฑ์ภายในประเทศ และควรดำเนินการให้สอดคล้องกับความตกลงทั่วไปว่าด้วยภาษีศุลกากรและการค้าที่ระบุให้การปฏิบัติต่อสินค้านำเข้าของคู่ค้าต้องมีความเท่าเทียมกับการปฏิบัติต่อสินค้าภายในประเทศทั้งในเรื่องที่เกี่ยวกับ
กฎหมาย ข้อบังคับ และข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องกับการขาย ภายในประเทศ การเสนอขาย
การซื้อ การขนส่ง การจำหน่าย หรือการใช้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
98 | นโยบายและมาตรการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ (ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กากถั่วเหลือง และปลาป่น) | พณ. | 17/12/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบการกำหนดนโยบายและมาตรการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และปลาป่น
ปี ๒๕๖๘ ตามมติคณะกรรมการนโยบายอาหารในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๗ (ครั้งที่
๘๒) เมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ ๒.
เห็นชอบการกำหนดนโยบายและมาตรการนำเข้ากากถั่วเหลือง
ตามมติคณะกรรมการนโยบายอาหารในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๗ (ครั้งที่ ๘๒)
เมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ เฉพาะปี ๒๕๖๘ เท่านั้น สำหรับการดำเนินการในปี ๒๕๖๙
ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปติดตามและจัดทำรายงานประเมินผลการดำเนินการเพิ่มผลผลิตกากถั่วเหลืองที่ผลิตได้ในประเทศไทยว่าสามารถช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าสินค้าดังกล่าวจากต่างประเทศได้มากน้อยเพียงใด
แล้วให้รายงานผลต่อคณะกรรมการนโยบายอาหารเพื่อพิจารณานโยบายและมาตรการนำเข้ากากถั่วเหลือง
ในปี ๒๕๖๙ ให้เหมาะสม ถูกต้องต่อไปด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
รวมทั้งให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนงานบูรณาการร่วมกันเพื่อเพิ่มความเข้มงวดในการเฝ้าระวังและแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้านอย่างเคร่งครัด
พร้อมทั้งติดตาม วิเคราะห์
และรายงานผลกระทบต่อเกษตรกรให้คณะกรรมการนโยบายที่กำกับดูแลสินค้าเกษตรที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ
เพื่อกำหนดมาตรการรองรับการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาและคุณภาพสินค้าเกษตรภายในประเทศได้ทันกับสถานการณ์
รวมทั้งเห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และถั่วเหลืองให้สามารถทนต่อโรคระบาดแมลงศัตรูพืช กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่เห็นว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรกำกับดูแลและตรวจสอบการนำเข้าอย่างเข้มงวด
เพื่อให้การนำเข้าสินค้าตรงกับการสำแดงพิกัดอัตราภาษีศุลกากร และป้องกันการลักลอบการนำเข้าที่ผิดกฎหมาย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
99 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์) | นร.01 | 17/12/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรับโอน นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ
ตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพาณิชย์
และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
100 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (1. นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา ฯลฯ จำนวน 14 คน) | พณ. | 17/12/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์
จำนวน ๑๔ คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปี
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๗) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
ดังนี้ ๑. นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน
สาขาศิลปศาสตร์ ๒. นายคณิต วัฒนวิเชียร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน
สาขาวิทยาศาสตร์ ๓. นายระพีพัชญ์ ธนถาวรกิตติ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน สาขารัฐศาสตร์ ๔. นายวินัย สมประสงค์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน
สาขาเกษตรศาสตร์ ๕. นายสมชาย รัตนชื่อสกุล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน สาขานิติศาสตร์
(ผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภค) ๖. นายสมหมาย เตชวาล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน
สาขาภูมิศาสตร์ ๗. นางสาวกริชผกา บุญเฟื่อง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สาขานิติศาสตร์ ๘. พันตำรวจเอก ประเวศน์
มูลประมุข กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สาขารัฐศาสตร์ ๙. นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สาขาเกษตรศาสตร์ ๑๐. นายสถิระ อุดมศรี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สาขาเกษตรศาสตร์ ๑๑. นางพรพิณี บุญบันดาล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สาขาเกษตรศาสตร์ ๑๒. นายณัฐพงค์ ปิยมาภรณ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สาขาประวัติศาสตร์ ๑๓. นางธิติมา มิ่งโมฬี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สาขาวิทยาศาสตร์
|