ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 2 จากทั้งหมด 335 หน้า แสดงรายการที่ 21 - 40 จากข้อมูลทั้งหมด 6683 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 21 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายพีรวัส สมวงศ์ และ จ่าเอก ยศสิงห์ เหลี่ยมเลิศ) | พณ. | 22/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน ๒ ราย
ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๒ กรกฎาคม ๒๕๖๘) เป็นต้นไป
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑. นายพีรวัส สมวงศ์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
(นายสุชาติ ชมกลิ่น) ๒. จ่าเอก ยศสิงห์ เหลี่ยมเลิศ ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
[ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายสุชาติ ชมกลิ่น)]
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 22 | ขออนุมัติท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะอนุกรรมาธิการด้านการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-สหพันธรัฐรัสเซีย ครั้งที่ 5 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง | พณ. | 15/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะอนุกรรมาธิการด้านการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-สหพันธรัฐรัสเซีย ครั้งที่ ๕ และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง และหากในการประชุมดังกล่าว
มีผลให้มีเรื่องความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าในประเด็นอื่น ๆ
อันจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าระหว่างไทยกับรัสเซีย
ให้ผู้แทนไทยสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง โดยกระทรวงพาณิชย์ได้จัดประชุมเตรียมการฝ่ายไทยร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง
เพื่อพิจารณาประเด็นที่ฝ่ายไทยประสงค์จะผลักดันในการประชุมฯ
ตลอดจนประเด็นที่คาดว่าฝ่ายรัสเซียจะหยิบยกขึ้นหารือในช่วงการประชุมคณะอนุกรรมาธิการฯ
และได้จัดเตรียมท่าทีไทยสำหรับการหารือในการประชุมคณะอนุกรรมาธิการฯ ครั้งที่ ๕
ดังกล่าวแล้ว เช่น การขยายความร่วมมือเศรษฐกิจระหว่างกัน
โดยร่วมพิจารณาหาแนวทางการอำนวยความสะดวกและการแก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าระหว่างสองประเทศ
ส่งเสริมความร่วมมือในสาขาที่ทั้งสองฝ่ายจะได้รับประโยชน์ร่วมกัน และผลักดันการดำเนินการต่าง
ๆ ภายใต้กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ ASEAN ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงพลังงาน
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (หนังสือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ด่วนที่สุด ที่ นร
๐๙๐๗/๑๕๙ ลงวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๘) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงพลังงาน เห็นว่าท่าทีไทยดังกล่าวเป็นแนวทางการหารือความร่วมมือในภาพกว้างที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับด้านพลังงานในประเด็นการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างกัน
โดยการส่งเสริมความร่วมมือในสาขาที่ทั้งสองฝ่ายจะได้รับประโยชน์ร่วมกัน
ซึ่งมีความสอดคล้องกับการดำเนินนโยบายพลังงานของไทยในด้านการแสวงหาความร่วมมือเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้แก่ประเทศ
จึงควรคำนึงถึงบริบทและสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องตามความเหมาะสม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่ากระทรวงพาณิชย์ โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
ควรผลักดันความร่วมมือทางการค้ากับรัสเซีย
โดยเฉพาะสินค้าที่ประเทศไทยมีศักยภาพและรัสเซียมีมูลค่าการนำเข้าจากต่างประเทศสูง
อาทิ ยานยนต์ และส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์จากพลาสติก
และอุปกรณ์การแพทย์ เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดคู่ค้าหลักของไทย
รวมถึงเพิ่มโอกาสให้ไทยขยายการค้าไปยังสหภาพเศรษฐกิจยูเรเซีย (Eurasian Economic Union : EAEU) ซึ่งเป็นตลาดศักยภาพใหม่ที่มีประชากรจำนวนมากและมีกำลังซื้อสูง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 23 | มาตรการให้ความช่วยเหลือดูแลผู้ประกอบการและประชาชนบริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา | นร.04 | 15/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย)
รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการควบคุมการเปิด-ปิดจุดผ่านแดนทุกประเภทตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา
ใน ๗ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสุรินทร์ อุบลราชธานี สระแก้ว บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ
จันทบุรี และตราด โดยจำกัดเวลาในการเปิด-ปิดจุดผ่านแดนดังกล่าว เพื่อรักษาความมั่นคงของชาติตามความเหมาะสมกับสถานการณ์
ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
รวมทั้งชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ด้วย จึงขอมอบหมายการดำเนินการ ดังนี้ ๑.
ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาที่จำเป็นต้องขนส่งสินค้าข้ามแดน
เนื่องจากกระบวนการขนส่งสินค้าข้ามแดนในปัจจุบันอาจมีความล่าช้าและต้องใช้ระยะเวลาในการขนส่งที่ยาวนานขึ้น
เพื่อลดภาระของผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบให้เหลือน้อยที่สุด เช่น
การเพิ่มช่องทางการตลาดและการจำหน่ายสินค้า
การขอความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนของไทยในการรับซื้อสินค้าทั้งที่เป็นสินค้าทางการเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมให้มากยิ่งขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 24 | การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยและข้าวที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการบริหารจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ภาคการเกษตร | สภช. | 01/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบข้อเสนอเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยและข้าวที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเผาในพื้นที่เกษตรกรรมของสภาเกษตรกรแห่งชาติ
ประกอบด้วย (๑) มาตรการระยะสั้น ได้แก่ ๑) ขอให้คณะรัฐมนตรีสั่งการให้มีคณะกรรมการกลไกกลางในระดับชาติออกกฎหมาย
หรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง ๒) ขอให้คณะรัฐมนตรีสั่งการให้คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายพิจารณาสัดส่วนอ้อยสดและอ้อยเผาที่จะเข้าโรงงาน
จากเดิมร้อยละ ๒๕ เป็นร้อยละ ๓๐ หรือยกเลิกสัดส่วนดังกล่าว และ ๓)
ขอให้คณะรัฐมนตรีสั่งการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ปรับลดระยะเวลาตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เรื่อง มาตรการบริหารจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ภาคการเกษตร
จากเดิม ที่กำหนดตั้งแต่วันที่ ๑๗ มกราคม ถึงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๘ เป็น
ตั้งแต่วันที่ ๑๗ มกราคม ถึงวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๖๘ และ (๒) มาตรการระยะยาว ได้แก่ ๑)
ให้คณะรัฐมนตรีสั่งการให้มีคณะกรรมการกลางที่บูรณาการหน่วยงานระดับกระทรวงที่เกี่ยวข้อง
และ ๒) ขอให้คณะรัฐมนตรีสั่งการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์บริหารจัดการน้ำในพื้นที่ในเขตชลประทานอย่างเพียงพอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะกรรมการอำนวยการเพื่อการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอฯ ของสภาเกษตรกรแห่งชาติเฉพาะในส่วนของมาตรการระยะยาว รวมทั้งความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการ ตามหน้าที่และอำนาจให้ถูกต้องและเหมาะสมต่อไป
เช่น กระทรวงพาณิชย์
เห็นควรให้คงสัดส่วนอ้อยเผาที่จะเข้าโรงงานตามเดิมที่ร้อยละ ๒๕ และเพื่อให้การบริหารจัดการการตัดอ้อยสดลดการเผาอ้อย
และการแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่น PM2.5 เป็นไปอย่างยั่งยืน
เกษตรกรชาวไร่อ้อยควรดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๗ มกราคม ๒๕๖๘ (ตามข้อ
๔.๗) ที่ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งกำหนดมาตรการเพิ่มเติม เพื่อให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายงดการรับซื้ออ้อยเผาอย่างเด็ดขาด
รวมทั้งกำกับดูแลโรงงานผลิตน้ำตาลในการงดรับซื้ออ้อยเผา
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 25 | มาตรการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรบริเวณชายแดน | นร. | 01/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า
จากการลงพื้นที่ตรวจราชการในหลายจังหวัด รวมทั้งได้รับรายงานจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วยว่า
ปัจจุบันมีปัญหาการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรหลายชนิดบริเวณชายแดนในหลายพื้นที่
ส่งผลให้ระดับราคาพืชผลทางการเกษตรในประเทศตกต่ำและจำเป็นต้องแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วนเพื่อรักษาเสถียรภาพของราคาสินค้าเกษตรภายในประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
จึงขอมอบหมายการดำเนินการ ดังนี้ ๑. ให้กระทรวงการคลัง
(กรมศุลกากร)
กำชับให้ด่านศุลกากรทุกแห่งยกระดับมาตรฐานการดำเนินการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรบริเวณชายแดนให้เข้มงวดมากยิ่งขึ้น
รวมทั้งให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานตามหน้าที่และอำนาจให้ถูกต้อง ละเอียดรอบคอบ
เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
ทั้งนี้ ให้เพิ่มมาตรการเชิงรุกโดยการลาดตระเวนและตรวจสอบพื้นที่ในความรับผิดชอบที่อาจถูกใช้เป็นสถานที่จัดเก็บสินค้าเกษตรที่ลักลอบนำเข้ามาดังกล่าว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณชายแดนที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้าน ให้มากขึ้นด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลัง
(กรมศุลกากร) เร่งจัดตั้งกลไกในการประสานงานและแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการนำเข้า
การส่งออก และการนำผ่าน
เพื่อแจ้งเบาะแสการกระทำความผิดระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงอุตสาหกรรม กลุ่มผู้ผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรต่าง ๆ เพื่อให้สามารถดำเนินมาตรการป้องกันและปราบปรามการนำเข้าและส่งออกสินค้าเกษตรที่ผิดกฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ๓.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานงานกับกระทรวงพาณิชย์ในการพิจารณากำหนดโควตา การนำเข้าสินค้าเกษตร
เพื่อควบคุมปริมาณสินค้าเกษตรที่นำเข้าจากต่างประเทศและปกป้องราคาพืชผลทางการเกษตรในประเทศ
ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
โดยไม่ให้ขัดต่อพันธกรณีของไทยภายใต้กรอบความตกลงขององค์การการค้าโลก (WTO) รวมถึงองค์การระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องด้วย ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดดำเนินการวิจัยและพัฒนาพันธุ์พืชที่ต้านทานโรคได้ดี
เช่น มันสำปะหลัง เพื่อปรับปรุงการเพาะปลูกพืชผลทางการเกษตรของไทยให้มีคุณภาพและมีผลผลิตต่อไร่สูงมากขึ้น
รวมทั้งให้จัดทำแผนการจัดหาต้นพันธุ์มันสำปะหลังให้เพียงพอต่อความต้องการของเกษตรกรในประเทศด้วย
แล้วให้รายงานผลการดำเนินการต่อนายกรัฐมนตรีภายใน ๑ เดือน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 26 | แจ้งผลการวินิจฉัยและข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน [กรณีปัญหาการถือครองหรือครอบครองที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์โดยตัวแทนอำพรางของคนต่างด้าว (นอมินี)] | สผผ. | 24/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบผลการวินิจฉัยและข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน
[กรณีปัญหาการถือครองหรือครอบครองที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์โดยตัวแทนอำพรางของคนต่างด้าว
(นอมินี)] ตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอ ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน
กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ธนาคารแห่งประเทศไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติ
โดยให้กระทรวงพาณิชย์สรุปผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการ/ความเห็นในภาพรวมแล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน
๓๐ วัน นับจากวันที่ได้รับแจ้งจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 27 | การกำหนดสินค้าและบริการควบคุมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 | พณ. | 24/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรายการสินค้าและบริการ จำนวน
๕๙ รายการ (๕๔ สินค้า ๕ บริการ) เป็นสินค้าและบริการควบคุม ซึ่งแบ่งเป็น ๑๑
หมวดสินค้า ๑ หมวดบริการ เพื่อให้คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ
กำหนดมาตรการกำกับดูแลสินค้าและบริการให้มีผลบังคับใช้อย่างต่อเนื่อง ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่ากระทรวงพาณิชย์ควรประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบและถือปฏิบัติได้อย่างถูกต้องต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 28 | สถานการณ์ระหว่างประเทศที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย | นร. | 24/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สถานการณ์ระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านและรัฐอิสราเอล
ซึ่งประเทศสหรัฐอเมริกาให้การสนับสนุนและเข้าร่วมการโจมตีสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านด้วยอาจนำไปสู่การขยายตัวของสถานการณ์ดังกล่าวในวงกว้างออกไปโดยไม่สามารถคาดเดาระยะเวลาสิ้นสุดได้อย่างแน่ชัด
และจะส่งผลกระทบต่อการเจรจาของประเทศต่าง ๆ เกี่ยวกับนโยบายกำหนดอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของประเทศสหรัฐอเมริกา
ซึ่งล่าสุดได้กำหนดกรอบระยะเวลาผ่อนปรนไว้ ๙๐ วัน และจะครบกำหนดในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม
๒๕๖๘ โดยในส่วนของประเทศไทยได้ดำเนินการเจรจาเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวกับประเทศสหรัฐอเมริกาไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ความขัดแย้งดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย
ทั้งในด้านปริมาณและราคาพลังงาน การเงิน การคมนาคมขนส่ง และการท่องเที่ยว ตลอดจนชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นอย่างมาก
รวมถึงได้รับผลกระทบจากสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชาด้วย
จึงขอให้รัฐมนตรีทุกท่านติดตามสถานการณ์ต่าง ๆ ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด
พร้อมทั้งเตรียมการและกำหนดมาตรการในการดำเนินการเรื่องต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องตามหน้าที่และอำนาจ เพื่อรองรับและลดผลกระทบในด้านต่าง ๆ
ที่อาจจะเกิดขึ้นกับประชาชนให้เหลือน้อยที่สุด และขอให้อยู่ใกล้ชิดประชาชน เพื่อสร้างความมั่นใจในการดำเนินการของรัฐบาล
และหากมีปัญหาใด ๆ ก็ให้เร่งรัดดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว
และขอย้ำว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เสถียรภาพของรัฐบาลและความสามัคคีภายในประเทศเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
ทั้งนี้
ในสถานการณ์ปัจจุบันมีประเด็นปัญหาที่รัฐบาลให้ความสำคัญและขอมอบหมายการดำเนินการ
ดังนี้ ๑. ปัญหาภัยคุกคามความมั่นคงของชาติ
โดยเฉพาะกรณีอาชญากรรมข้ามชาติ (Transnational Crimes) ซึ่งปรากฏตามรายงานของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ
(UNODC) ว่ามีความเชื่อมโยงกับสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย -
กัมพูชา จึงขอมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย)
รับไปบูรณาการการดำเนินงานกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวตามหน้าที่และอำนาจของหน่วยงาน
โดยขอเน้นย้ำให้ใช้แนวทางสันติวิธี
เพื่อให้สถานการณ์กลับคืนสู่ภาวะปกติและเกิดประโยชน์กับประชาชนทั้งสองฝ่ายโดยเร็ว ๒. ปัญหาความมั่นคงด้านพลังงาน
ขอมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค) รับไปพิจารณากำหนดมาตรการเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ด้านพลังงาน
ทั้งในส่วนของการจัดหาพลังงานสำรองและการบรรเทาผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับประชาชน
โดยเฉพาะในกรณีที่เกิดภาวะขาดแคลนพลังงานหรือราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้น ๓. ปัญหาเศรษฐกิจและการเงิน
โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชน ขอมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัย
ชุณหวชิร) รับไปหารือร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้เหมาะสม
พร้อมทั้งกำหนดเป้าหมายในการดำเนินงานให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรมด้วย ๔. ปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตร
ขอมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัย ชุณหวชิร) รับไปหารือในประเด็นปัญหาดังกล่าวร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เพื่อกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะในส่วนของปัญหาราคาข้าวที่จะต้องเร่งสรุปมาตรการเยียวยาและช่วยเหลือเกษตรกรให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
และปัญหาการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งส่งผลกระทบให้ราคาที่พืชผลทางการเกษตรในประเทศตกต่ำ
และให้กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) เร่งประสานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสรุปปัญหาอุปสรรคและกำหนดมาตรการในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรดังกล่าว
รวมทั้งมาตรการยกระดับราคาพืชผลทางการเกษตรในประเทศ
แล้วให้นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็วในสัปดาห์หน้า ๕. ปัญหายาเสพติด ขอมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี
(นายภูมิธรรม เวชยชัย) รับผิดชอบเกี่ยวกับการเตรียมการจัดประชุมผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดทั่วประเทศในสัปดาห์หน้า เพื่อให้นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายและกำชับการดำเนินมาตรการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
โดยให้กำหนดเป้าหมายในการดำเนินงานให้ชัดเจน เป็นรูปธรรม
และเป็นการขยายผลอย่างต่อเนื่องจากมาตรการ “Seal Stop
Safe” ที่ดำเนินการอยู่แล้ว ๖. ปัญหาการท่องเที่ยว ขอมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณาปรับปรุงมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวทั้งในประเทศและจากต่างประเทศให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
รวมถึงกำหนดมาตรการรักษาความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวให้ชัดเจน เป็นรูปธรรม และสามารถดำเนินการให้เกิดผลได้อย่างรวดเร็ว
แล้วให้นำมาตรการดังกล่าวข้างต้น เสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็วในสัปดาห์หน้า ๗. การกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ
ขอมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเร่งนำ เรื่อง
การกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ปี ๒๕๖๘ เสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็วในสัปดาห์หน้า
เพื่อให้สามารถประกาศให้มีผลใช้บังคับได้ทันในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๘ นี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29 | การมอบหมายผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรี | นร.05 | 24/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีรายงานว่า
โดยที่ได้มีรัฐมนตรีขอลาออกจากตำแหน่ง จำนวน ๘ ราย ได้แก่ ๑. รองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๘ ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (นางสาวศุภมาส อิศรภักดี) ตั้งแต่วันที่ ๑๙
มิถุนายน ๒๕๖๘ ๓. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
(นายนภินทร ศรีสรรพางค์) ตั้งแต่วันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๘ ๔. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายทรงศักดิ์
ทองศรี) ตั้งแต่วันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๘ ๕. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นางสาวซาบีดา
ไทยเศรษฐ์) ตั้งแต่วันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๘ ๖. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน (นายพิพัฒน์
รัชกิจประการ) ตั้งแต่วันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๘ ๗. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (พลตำรวจเอก
เพิ่มพูน ชิดชอบ) ตั้งแต่วันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๘ ๘. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
(นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล) ตั้งแต่วันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๘ โดยที่กระทรวงที่รัฐมนตรีขอลาออกดังกล่าวข้างต้น
มีรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนอยู่แล้ว จำนวน ๑ กระทรวง
และยังไม่มีรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทน จำนวน ๓ กระทรวง คือ ๑. กระทรวงมหาดไทย :
มีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์)
เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ๒. กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม : ไม่มีรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทน
เนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน (นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
(พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ) ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๖๗
มอบหมายให้เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม ตามลำดับ ได้ขอลาออกจากตำแหน่งแล้วในครั้งนี้ ๓. กระทรวงแรงงาน : ไม่มีรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทน ๔. กระทรวงศึกษาธิการ :
ไม่มีรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทน ดังนั้น
เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงแรงงาน และกระทรวงศึกษาธิการ
เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและต่อเนื่อง และเป็นไปตามนัยมาตรา ๔๒
แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔
จึงเห็นควรพิจารณามอบหมายให้รัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
ในกรณีที่ไม่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวง หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ต่อไป ซึ่งคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วลงมติมอบหมายให้รัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
ในกรณีที่ไม่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวง หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ดังนี้ ๑. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวจิราพร
สินธุไพร) เป็นผู้รักษาราชการแทน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ)
เป็นผู้รักษาราชการแทน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ๓. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายชูศักดิ์
ศิรินิล) เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 30 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลียและกลุ่มอัล ชาบับ (Al-Shabaab) | กต. | 24/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ
(United Nations Security Council :
UNSC) ที่ ๒๗๗๖ฯ (ค.ศ. ๒๐๒๕)
เพิ่มเติมจากข้อมติ UNSC เกี่ยวกับสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลียและกลุ่มอัล
ชาบับ (Al - Shabaab) ที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบแล้ว
ซึ่งมีเนื้อหาโดยรวม
ข้อมติดังกล่าวต่ออายุมาตรการลงโทษต่อกลุ่มอัล ชาบับ ตามข้อมติฯ ที่ ๒๗๑๓ (ค.ศ.
๒๐๒๓) จนถึงวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๘
โดยพันธกรณีต่อรัฐสมาชิกสหประชาชาติยังคงเดิมในเรื่อง (๑) มาตรการห้ามค้าอาวุธต่อกลุ่มอัล ชาบับ (๒)
การห้ามนำเข้าและส่งออกถ่านไม้จากสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลีย (๓) มาตรการห้ามนำเข้าและส่งออกส่วนประกอบของระเบิดแสวงเครื่อง
และ (๔)
การอนุญาตให้รัฐสมาชิกดำเนินมาตรการสกัดกั้นทางทะเลเพื่อบังคับใช้มาตรการลงโทษต่อกลุ่มอัล
ชาบับ ที่เกี่ยวข้อง ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๑๒
หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม
กระทรวงมหาดไทย สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินถือปฏิบัติ และปรับปรุงฐานข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการลงโทษต่อสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลียและกลุ่มอัล
ชาบับ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งแจ้งผลให้กระทรวงการต่างประเทศทราบ
เพื่อประโยชน์ในการรายงานสหประชาชาติต่อไป ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
เห็นควรให้หน่วยงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้องติดตามและเฝ้าระวังบุคคลและองค์กรที่ถูกมาตรการลงโทษ
รวมทั้งประเมินสถานการณ์และการดำเนินการของกลุ่มอัล ชาบับ ต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่ากระทรวงการต่างประเทศจำเป็นต้องสื่อสารผลลัพธ์การดำเนินงานตามข้อมติ UNSC ที่ ๒๗๗๖ฯ
ให้ทุกภาคส่วนได้รับทราบถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 31 | ข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท | กค. | 24/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบการดำเนินการและผลการพิจารณากลั่นกรองโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน
๑๕๗,๐๐๐ ล้านบาท
และการมอบหมายคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ
และคณะอนุกรรมการกำกับและติดตามผลการดำเนินงานตามแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามหน้าที่และอำนาจ
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัย ชุณหวชิร) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ
และเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาชี้แจงเพิ่มเติม ๒.
เห็นชอบข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน
๑๕๗,๐๐๐ ล้านบาท
ที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในคราวประชุมครั้งที่
๓/๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๘ จำนวน ๕๐ หน่วยรับงบประมาณ ๔๘๑ โครงการ ๘,๙๓๙ รายการ ภายในกรอบวงเงินรวม ๑๑๕,๓๗๕.๒๗๑๕ ล้านบาท
และอนุมัติให้หน่วยรับงบประมาณ ทั้ง ๕๐
หน่วยงานเป็นหน่วยงานดำเนินโครงการดังกล่าวต่อไป
โดยให้หน่วยรับงบประมาณดำเนินการขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๘ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ
ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ
พ.ศ. ๒๕๖๗ รวมทั้งกฎหมาย กฎ ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
ตั้งแต่กระบวนการจัดทำคำขอรับจัดสรรงบประมาณ การจัดซื้อจัดจ้าง การดำเนินโครงการ
ตลอดจนการติดตามและประเมินผล และให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัด/หน่วยงานต้นสังกัดกำกับดูแล
ติดตาม และตรวจสอบการดำเนินงานของหน่วยรับงบประมาณในทุกขั้นตอนให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
รอบคอบ เป็นธรรม และทันตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดเพื่อไม่ให้งบประมาณพับไป
โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า ประหยัด ผลสัมฤทธิ์
และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ
รวมทั้งให้คณะอนุกรรมการกำกับและติดตามผลการดำเนินงานตามแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ตั้งขึ้นตามคำสั่งคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจกำกับการปฏิบัติตามโครงการให้เป็นไปอย่างถูกต้อง
ตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพตามข้อเสนอแนะเกี่ยวกับ
Three Lines of Defense ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาด้วย ๓.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข
สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงสาธารณสุข เห็นควรให้เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณให้ทันภายในปีงบประมาณและให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินดังกล่าวให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรกำหนดเงื่อนไขสำหรับโครงการที่เกี่ยวกับการจ้างงานและฝึกอบรม
ให้ใช้วิธีการจ่ายค่าจ้างผ่านบัญชีธนาคารไปยังผู้ที่ได้รับการจ้างงานเพื่อให้การดำเนินการในทุกขั้นตอนมีความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้
สำหรับการดำเนินโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ภายใต้งบประมาณในส่วนที่เหลือ
ควรให้ความสำคัญกับการดำเนินการเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการและแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลกเป็นสำคัญ
เพื่อรองรับความไม่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 32 | ผลการประชุมและข้อเสนอการปฏิบัติตามมติการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท สมัยที่ 5 | ทส. | 24/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท
สมัยที่ ๕ ระหว่างวันที่ ๓๐ ตุลาคม - ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส
และเห็นชอบข้อเสนอการปฏิบัติตามพันธกรณีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอทของประเทศไทย ตามมติการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท
สมัยที่ ๕ ประกอบด้วย ๑) สิ่งสำคัญที่ประเทศไทยควรพิจารณาดำเนินการและแผนการดำเนินงาน
และ ๒) แนวทางการดำเนินงานก่อนมอบตราสารรับรองการแก้ไขเพิ่มเติมภาคผนวก เอ และ บี ของประเทศไทย จำนวน ๓ รายการ คือ เครื่องสำอาง
อะมัลกัม ที่ใช้ทางทันตกรรม
และการผลิตโพลียูรีเทนที่ใช้ปรอทเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา โดยมอบหมายให้หน่วยงาน คือ
กระทรวงอุตสาหกรรม (กรมโรงงานอุตสาหกรรมและสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม) กระทรวงสาธารณสุข
(สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาและกรมอนามัย) กระทรวงพาณิชย์ (กรมการค้าต่างประเทศ)
กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) และกระทรวงการต่างประเทศ (กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย) ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องและระยะเวลาที่ระบุในแผนการดำเนินงานต่อไป
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงอุตสาหกรรมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการต่างประเทศ เห็นว่าหากกรมควบคุมมลพิษยืนยันได้ว่าการดำเนินการไม่จำเป็นต้องมีการออกพระราชบัญญัติเพื่อให้เป็นไปตามหนังสือสัญญา
อีกทั้งไม่เข้าลักษณะเป็นหนังสือสัญญาประเภทอื่นตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
กรณีก็จะไม่ต้องเสนอขอความเห็นชอบจากรัฐสภา แต่เป็นกรณีที่ต้องเสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบการดำเนินการส่งมอบตราสาร กระทรวงอุตสาหกรรม เห็นว่ากรณีการเตรียมการเพื่อรองรับการแก้ไขภาคผนวก
เอ ส่วนที่ ๑ ผลิตภัณฑ์ที่เติมปรอท กรณีแบตเตอรี่กระดุม สะพานไฟ สวิตซ์และรีเลย์
รวมถึงหลอดฟลูออเรสเซนต์ชนิดต่าง ๆ กระทรวงอุตสาหกรรม เห็นควรพิจารณาปรับปรุงระยะเวลาดำเนินการและจัดทำแผนการดำเนินการในแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความพร้อมของหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง
โดยกระทรวงอุตสาหกรรมยินดีให้ความร่วมมือตามกรอบอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
พ.ศ. ๒๕๑๑ และที่แก้ไขเพิ่มเติม |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 33 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิทธิบัตร (1. นายมงคล รักษาพัชรวงศ์ ฯลฯ จำนวน 12 คน) | พณ. | 24/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิทธิบัตร
จำนวน ๑๒ คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๘) เป็นต้นไป
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑. นายมงคล รักษาพัชรวงศ์ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๒. นายธีรยศ เวียงทอง สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๓. นางสาวณัฐนันท์ สินชัยพานิช สาขาเภสัชศาสตร์ ๔. นายพีระ เจริญพร สาขาเศรษฐศาสตร์ ๕. นายเพชร เจียรนัยศิลาวงศ์ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ๖. นายวิชา ธิติประเสริฐ สาขาเกษตรศาสตร์ (ภาคเอกชน) ๗. นายนำชัย เอกพัฒนพานิชย์ สาขานิติศาสตร์ (ภาคเอกชน) ๘. นายบุญสนอง รัตนสุนทรากุล สาขาอุตสาหกรรม (ภาคเอกขน) ๙. นายชลธิศ เอี่ยมวรวุฒิกุล สาขาวิศวกรรมศาสตร์ (ภาคเอกชน) ๑๐. นายเกรียงศักดิ์ ขาวเนียม สาขาวิทยาศาสตร์ (ภาคเอกชน) ๑๑. นายพงศ์พันธ์ อนันต์วรณิชย์ สาขาการออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
(ภาคเอกชน)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 34 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการว่าด้วยการซื้อหุ้นคืน การจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืน และการตัดหุ้นที่ซื้อคืนของบริษัท (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | พณ. | 17/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการว่าด้วยการซื้อหุ้นคืน
การจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืน และการตัดหุ้นที่ซื้อคืนของบริษัท (ฉบับที่ ..) พ.ศ.
....
มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการว่าด้วยการซื้อหุ้นคืน
การจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืนและการตัดหุ้นที่ซื้อคืนของบริษัท พ.ศ. ๒๕๔๔
และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่าการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวอาจเปิดช่องว่างให้บริษัทจดทะเบียนสามารถเก็งกำไรโดยสร้างราคาหลักทรัพย์ที่บิดเบือนไปจากกลไกราคาตลาดที่แท้จริง
และเพิ่มความเสี่ยงให้กับนักลงทุนซึ่งจะกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อตลาดทุนโดยรวมในระยะยาว
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
โดยให้ส่งผลการรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติมไปประกอบการพิจารณาในชั้นการตรวจพิจารณาร่างกฎกระทรวงฯ
ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 35 | ร่างพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (หลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์) | กค. | 10/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.
๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยเพิ่มบทบัญญัติเพื่อรองรับการออกหลักทรัพย์
โดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ และกำหนดบทกำหนดโทษกรณีฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดเกี่ยวกับหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อรองรับและส่งเสริมให้มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการออกผลิตภัณฑ์และการทำธุรกรรมในตลาดทุน
รวมทั้งอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน
อันจะนำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในสังคมดิจิทัลแห่งอนาคต
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
โดยให้ส่งความเห็นของสมาคมธนาคารไทยไปเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร
ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
กรอบระยะเวลา
และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลัง
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์
สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสมาคมธนาคารไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น กระทรวงพาณิชย์ ที่เห็นว่าในประเด็นเกี่ยวกับหลักทรัพย์ประเภทหุ้นของบริษัทมหาชนจำกัดที่จัดตั้งขึ้นภายใต้พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด
พ.ศ. ๒๕๓๕ และมีหุ้นเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หากคณะกรรมการ ก.ล.ต.
จะประกาศกำหนดให้สามารถออกหุ้น โดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ได้
ควรพิจารณาหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการเกี่ยวกับการออกหุ้นอิเล็กทรอนิกส์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ก่อนดำเนินการออกกฎหมายลำดับรองในเรื่องดังกล่าว เพื่อให้หน่วยงานนั้น ๆ
พิจารณาดำเนินการและเตรียมความพร้อมภายใต้ภารกิจและกรอบกฎหมายได้อย่างถูกต้อง
และเป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย อาทิ กระทรวงพาณิชย์ (กรมพัฒนาธุรกิจการค้า)
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. ๒๕๓๕ สำนักงาน ก.พ.ร. เห็นว่าในมาตรา ๖๒/๒ ซึ่งบัญญัติเกี่ยวกับการออกหลักทรัพย์ตามประเภทที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์กำหนดให้ดำเนินการโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ว่า
การออกหลักทรัพย์โดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ควรมีการจัดทำแนวปฏิบัติ มาตรฐานการออกหลักทรัพย์ที่ชัดเจนในทุกกระบวนการที่เกี่ยวข้อง
เช่น การออก การโอน การส่งมอบ และการวางหลักประกัน เป็นต้น
เพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้อง มีมาตรฐานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ๔.
ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสมาคมธนาคารไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ประชาสัมพันธ์หลักเกณฑ์
เงื่อนไข กระบวนการ และข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการออกหลักทรัพย์ด้วยวิธีอิเล็กทรอนิกส์ให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดให้ชัดเจนและเข้าใจง่าย
และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติรวม ๔ ฉบับ
ที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการเมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ ที่ยังค้างการพิจารณาอยู่ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว สมาคมธนาคารไทย เห็นควรกำหนดนิยาม “หลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์”
ให้มีความแตกต่างจาก “สินทรัพย์ดิจิทัล” และการกำหนดให้การดำเนินการต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องกับหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ต้องเป็นไปตามประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต.
ส่งผลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงธนาคารยังไม่สามารถออกผลิตภัณฑ์หรือให้บริการการทำธุรกรรมตลาดทุนที่เกี่ยวกับหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 36 | มาตรการเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตในอุตสาหกรรมแร่ ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ | อก. | 10/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบมาตรการเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตในอุตสาหกรรมแร่
ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ โดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้พิจารณามาตรการฯ
ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ๑) ช่วงการสำรวจแร่ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หารือร่วมกันเพื่อจัดทำประกาศหรือกำหนดระเบียบเกี่ยวกับพื้นที่รัฐจัดสรร หรือออกให้ประชาชนเพื่อทำการเกษตรกรรม
เช่น ที่ดิน ส.ป.ก. หรือที่ดิน ส.ป.ก.๔ - ๐๑ ให้เป็นพื้นที่ต้องห้ามสำหรับการสำรวจแร่และการทำเหมืองทุกชนิด
๒) ช่วงการประทานบัตร เช่น ให้กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาแก้ไขประกาศ ระเบียบที่เกี่ยวกับการรับฟังความเห็น
โดยให้ประชาชน นักวิชาการ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง และสื่อมวลชนภายนอกพื้นที่สามารถเข้าร่วมรับฟังความคิดเห็นและคัดค้านได้
และ ๓) กระบวนการอนุญาโตตุลาการให้กระทรวงการต่างประเทศบรรจุคำนิยามของ “ประโยชน์สาธารณะ”
ให้ชัดเจนครอบคลุมถึงกรณีที่มีการยุติสัญญาเมื่อเกิดปัญหาการทุจริตหรือปัญหาสิ่งแวดล้อมสุขภาพอนามัยไว้ในข้อตกลงการลงทุนระหว่างประเทศ
ประเภทต่าง ๆ เช่น ข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบต่อไป ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามหน้าที่และอำนาจของแต่ละหน่วยงานให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 37 | โครงการให้บริการคลังสินค้า ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของผู้ประกอบการรายที่ 2 ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) | คค. | 10/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)
ดำเนินโครงการให้บริการคลังสินค้า ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของผู้ประกอบการรายที่
๒ ตามหลักการของโครงการฯ
ที่คณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนได้พิจารณาให้ความเห็นชอบตามที่บริษัท
ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เสนอแล้ว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ให้กระทรวงคมนาคม บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด
(มหาชน) คณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา ๓๖
แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. ๒๕๖๒
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม
สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และประธานกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงพาณิชย์ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอน
กฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไป
รวมทั้ง ให้กระทรวงคมนาคมกำกับให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการนโยบายฯ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วนด้วย กระทรวงอุตสาหกรรม เห็นควรคำนึงถึงประโยชน์ของรัฐ ตลอดจนประสิทธิภาพและความต่อเนื่องในการให้บริการสาธารณะเป็นสำคัญ
โดยจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 38 | ขอความเห็นชอบการปรับโอนพิกัดศุลกากรของกฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้า ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีไทย - ชิลี (TCFTA) | พณ. | 04/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบบัญชีกฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้า
[Product Specific Rules of Origin
(PSRs)] ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีไทย
- ชิลี (TCFTA) ฉบับ HS 2022 และการลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนของฝ่ายไทย
เพื่อดำเนินการแก้ไขภาคผนวก ๔.๒ (เรื่อง กฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้า) ของความตกลง TCFTA และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย
เป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนของฝ่ายไทยข้างต้น
โดยมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers)
ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนของฝ่ายไทย
และให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลังดำเนินกระบวนการภายในเพื่อให้บัญชีกฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้าภายใต้ความตกลง
TCFTA ฉบับ HS 2022
เริ่มมีผลบังคับใช้ภายในครึ่งปีแรกของปี ๒๕๖๘ ซึ่งการปรับโอนพิกัดศุลกากรของกฎ PSRs
ภายใต้ความตกลง TCFTA ประกอบด้วยพิกัดศุลกากรทั้งหมด
จำนวน ๕,๖๑๒ รายการ จากพิกัดศุลกากรเดิม (HS 2012) ที่มีอยู่จำนวน ๕,๒๐๕ รายการ โดยแบ่งออกเป็น ๓
กรณี ได้แก่ ๑) สินค้าที่พิกัดศุลกากรและกฎ PSRs ไม่เปลี่ยนแปลง
จำนวน ๔,๙๙๒ รายการ ๒) สินค้าที่พิกัดศุลกากรไม่เปลี่ยนแปลง
แต่กฎ PSRs เปลี่ยนแปลง จำนวน ๑ รายการ และ ๓)
สินค้าที่เปลี่ยนพิกัดศุลกากร และกฎ PSRs ใหม่ จำนวน ๖๑๙
รายการ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนบัญชีกฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้าภายใต้ความตกลงการค้าเสรีไทย
- ชิลี ฉบับพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ ปี ๒๐๒๒ และหนังสือแลกเปลี่ยนของฝ่ายไทย
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ทั้งนี้
ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรประชาสัมพันธ์ข้อมูลการปรับโอนพิกัดศุลกากรของกฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้าภายใต้ความตกลง
TCFTA ฉบับ HS 2022
ให้แพร่หลายในวงกว้าง
เพื่อให้ผู้ประกอบการและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องรับทราบและใช้ในการอ้างอิงได้อย่างถูกต้อง
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 39 | (ร่าง) ข้อเสนอแก้ไขปัญหาการส่งออกทุเรียนไทยไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน | สภช. | 04/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบ (ร่าง)
ข้อเสนอแก้ไขปัญหาการส่งออกทุเรียนไทยไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องดังกล่าวไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานอื่น
ๆ ที่เกี่ยวข้อง ตามที่สภาเกษตรกรแห่งชาติเสนอ โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการตามความจำเป็นเหมาะสมต่อไป เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นควรเร่งตรวจสอบแหล่งที่มาของสารแคดเมียมที่ปนเปื้อนในทุเรียน
ซึ่งอาจเกิดจากการใช้ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง หรือสารกำจัดศัตรูพืช และตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างผลิตภัณฑ์สารเคมีการเกษตรเหล่านี้ในพื้นที่ที่ตรวจพบสารแคดเมียมสูงเกินค่ามาตรฐานเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการวางแผนแก้ไขปัญหาด้วย สำนักงบประมาณ เห็นว่าค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินการภายใต้ข้อเสนอดังกล่าว
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับการจัดสรร
หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ หรือโอนเงินจัดสรร หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร
แล้วแต่กรณี ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ในโอกาสแรกก่อน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 40 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (ASEAN Economic Ministers Retreat) ครั้งที่ 31 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | พณ. | 27/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ
(ASEAN Economic Ministers
Retreat) ครั้งที่ ๓๑ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์
๒๕๖๘ ณ รัฐยะโฮร์ มาเลเซีย โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้มอบหมายให้อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเป็นผู้แทนเข้าร่วมการประชุม
ซึ่งผลการประชุมมีสาระสำคัญ เช่น
การรายงานให้ทราบถึงมุมมองเศรษฐกิจระดับภูมิภาคและระดับโลก
และประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจของปี ๒๕๖๘
การเจรจากรอบความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน รวมถึงการประชุมหารือกับสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน
และการหารือทวิภาคีระหว่างไทยกับมาเลเซีย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
