ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 2 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 21 - 40 จากข้อมูลทั้งหมด 6663 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
21 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (ASEAN Economic Ministers Retreat) ครั้งที่ 31 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | พณ. | 27/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ
(ASEAN Economic Ministers
Retreat) ครั้งที่ ๓๑ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์
๒๕๖๘ ณ รัฐยะโฮร์ มาเลเซีย โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้มอบหมายให้อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเป็นผู้แทนเข้าร่วมการประชุม
ซึ่งผลการประชุมมีสาระสำคัญ เช่น
การรายงานให้ทราบถึงมุมมองเศรษฐกิจระดับภูมิภาคและระดับโลก
และประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจของปี ๒๕๖๘
การเจรจากรอบความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน รวมถึงการประชุมหารือกับสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน
และการหารือทวิภาคีระหว่างไทยกับมาเลเซีย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
22 | ร่างแผนงานด้านทรัพย์สินทางปัญญา (Thailand intellectual Property Work Plan: IP Work Plan) ระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญากับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (United States Trade Representative: USTR) | พณ. | 27/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างแผนงานด้านทรัพย์สินทางปัญญา [Thailand intellectual Property Work Plan (IP Work Plan)] ระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญากับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา
[United States Trade Representative (USTR)] และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบและดำเนินการตามแนวทางภายใต้ร่างแผนงานฯ
ต่อไป โดยร่างแผนงานฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดแนวทางการดำเนินงานด้านทรัพย์สินทางปัญญา
ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการคุ้มครองและการบังคับใช้สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาของไทยให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมทรัพย์สินทางปัญญา)
รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรประสานการทำงานให้เป็นไปตามแนวทางภายใต้ร่างแผนงานฯ
ร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งมีการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานเป็นระยะอย่างต่อเนื่องต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
23 | (ร่าง) แถลงการณ์การประชุมรัฐมนตรีกลุ่มเคร์นส์ ครั้งที่ 44 | พณ. | 27/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อ (ร่าง) แถลงการณ์การประชุมรัฐมนตรีกลุ่มเคร์นส์
ครั้งที่ ๔๔ และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ร่วมรับรอง
(ร่าง) แถลงการณ์ฯ โดยร่างแถลงการณ์ฯ มีสาระสำคัญ เช่น เน้นย้ำถึงความสำคัญของระบบการค้าพหุภาคีที่ยึดถือกฎเกณฑ์ทางการค้าเป็นพื้นฐานสำคัญ
และให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ทางการค้าภายใต้ WTO เพื่อรักษาระบบการค้าที่มีเสถียรภาพและคาดการณ์ได้
การเสริมสร้างความเป็นธรรมและยกระดับความสามารถในการแข่งขันด้านการค้าสินค้าเกษตร
ผ่านการปฏิรูปการค้าสินค้าเกษตรที่ครอบคลุมทุกประเด็น
และการลดการอุดหนุนการค้าที่บิดเบือน ปรับปรุง การเข้าสู่ตลาดสำหรับสินค้าเกษตรอย่างมีนัยสำคัญ
และยกระดับความสามารถทางการแข่งขันด้านการค้าสินค้าเกษตรให้มากขึ้น เป็นต้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยน (ร่าง) แถลงการณ์ฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
24 | ร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และการสมัครเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาว่าด้วยการแสดงและสิ่งบันทึกเสียงขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO Performances and Phonograms Treaty: WPPT) | พณ. | 27/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์
พ.ศ. ๒๕๓๗
ให้สอดคล้องกับสนธิสัญญาว่าด้วยการแสดงและสิ่งบันทึกเสียงขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก
(WIPO Performances and Phonograms Treaty : WPPT) เพื่อยกระดับการคุ้มครองสิทธิของนักแสดงและผู้ผลิตสิ่งบันทึกเสียง
รวมทั้งรองรับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและสภาพการประกอบธุรกิจในปัจจุบัน
โดยแก้ไขเพิ่มเติมบทนิยามคำว่า “โสตทัศนวัสดุ” “ภาพยนตร์” “สิ่งบันทึกเสียง” “นักแสดง”
“เผยแพร่ต่อสาธารณชน” และ “การโฆษณา” แก้ไขเพิ่มเติมการคุ้มครองลิขสิทธิ์ระหว่างประเทศ
สิทธิทางศีลธรรมเพื่อส่งเสริมการคุ้มครองชื่อเสียงและเกียรติคุณของผู้สร้างสรรค์และนักแสดง
สิทธิแต่ผู้เดียวของนักแสดง สิทธิได้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรมของนักแสดง การได้มาซึ่งสิทธิของนักแสดง
การโอนสิทธิของนักแสดง อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการลิขสิทธิ์
การคุ้มครองลิขสิทธิ์และสิทธิของนักแสดงระหว่างประเทศ รวมทั้งเพิ่มบทบัญญัติเกี่ยวกับการทำลายของกลางในคดีแพ่ง
และปรับปรุงบทกำหนดโทษ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
โดยให้รับความเห็นสำนักงานศาลยุติธรรม ที่เห็นว่า ๑) ร่างมาตรา ๕ การแก้ไขบทนิยามคำว่า
“สิ่งบันทึกเสียง” ควรใช้ถ้อยคำอื่นที่มีความหมายกว้างกว่าถ้อยคำว่า “เครื่องมือ”
ตามร่างเพื่อให้สอดคล้องกับสื่อเทคโนโลยีที่มีในปัจจุบันและอาจจะมีขึ้นในอนาคต ๒) ร่างมาตรา
๘ การแก้ไขบทนิยามคำว่า “การโฆษณา” ตามร่างอาจเกิดความลักลั่นในงานบางประเภทได้
และปัจจุบันการจำหน่ายสำเนางานไม่แน่ใจว่ายังมีความจำเป็นหรือไม่
นอกจากนี้ถ้อยคำว่า “ผ่านทางอินเทอร์เน็ต” ควรใช้ถ้อยคำว่า “ผ่านทางสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศ”
ซึ่งมีความหมายเปิดกว้างกว่าเพื่อให้รองรับเทคโนโลยีที่อาจมีขึ้นในอนาคต และ ๓) ร่างมาตรา
๑๐ กรณีที่ศาลมีคำพิพากษาว่าจำเลยละเมิดสิทธิของผู้สร้างสรรค์งานอันมีลิขสิทธิ์
โดยถ้อยคำว่า “ศาลอาจมีคำสั่งเพิ่มเติมให้จำเลยโฆษณาคำพิพากษาทั้งหมดหรือบางส่วนในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งหรือหลายฉบับ”
นั้น ควรเพิ่มช่องทางการโฆษณาผ่านทางสื่อเทคโนโลยี โดยเพิ่มถ้อยคำว่า “และทางสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศ”
เพื่อให้สอดคล้องกับการสื่อสารในปัจจุบัน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๓. เห็นชอบการสมัครเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาว่าด้วยการแสดงและสิ่งบันทึกเสียงขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก
(WIPO Performances and Phonograms Treaty : WPPT) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และเสนอการเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาดังกล่าวให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา
๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป ๔. เห็นชอบและมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำภาคยานุวัตรสารเพื่อการสมัครเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาว่าด้วยการแสดงและสิ่งบันทึกเสียงขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก
(WPPT) เมื่อรัฐสภาได้ให้ความเห็นชอบการเข้าเป็นภาคี
และกระทรวงพาณิชย์ได้มีหนังสือแจ้งกระทรวงการต่างประเทศทราบถึงการดำเนินการภายในต่าง
ๆ ซึ่งรวมถึงการออกกฎและระเบียบที่เกี่ยวข้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ๕. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรสร้างความรู้ความเข้าใจแก่เจ้าของลิขสิทธิ์
นักแสดง และองค์การจัดเก็บค่าลิขสิทธิ์ที่จะได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นราคาที่จัดเก็บ
โดยต้องคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียจากอุตสาหกรรมนี้ในการกำหนดอัตราค่าตอบแทนที่เป็นธรรมและค่าธรรมเนียมจากการใช้งานบันทึกเสียง
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
25 | (ร่าง) ข้อเสนอเชิงนโยบาย เรื่อง รักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือกด้วยศูนย์ข้าวเปลือกชุมชน | สภช. | 20/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบ (ร่าง) ข้อเสนอเชิงนโยบาย เรื่อง
รักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือกด้วยศูนย์ข้าวเปลือกชุมชน โดยให้รัฐบาลส่งเสริมสนับสนุนสร้าง
“ศูนย์ข้าวเปลือกชุมชน” และให้รัฐบาลมีการบริหารจัดการให้กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชนที่มีศักยภาพเพียงพอสามารถเป็นผู้รับการสนับสนุนประเภทสินทรัพย์การเกษตร
ครุภัณฑ์ เครื่องจักรกล เทคโนโลยีและนวัตกรรม อาคาร และสิ่งปลูกสร้างโดยตรงภายใต้การควบคุม
กำกับ ดูแลของหน่วยงานที่รับผิดชอบ หรือเป็นการอุดหนุน เพื่อความคล่องตัวในการดำเนินงานของศูนย์ข้าวเปลือกชุมชน
และมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมการข้าว)
เป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องดังกล่าวไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้รับข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาเพื่อดำเนินการตามความจำเป็นเหมาะสมต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เห็นว่าการจัดตั้งศูนย์ข้าวเปลือกชุมชนเป็นแนวทางที่มีประโยชน์
แต่ต้องมีการวางแผนและกำกับดูแลอย่างรอบคอบเพื่อลดความเสี่ยงและความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นรวมทั้งสร้างความมั่นใจได้ว่าโครงการจะสามารถดำเนินไปได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
26 | ปัญหาการลักลอบนำเข้าปูนและเหล็กไม่ได้มาตรฐาน (มอก.) | นร. | 20/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ได้รับข้อร้องเรียนจากภาคเอกชนว่า
ปัจจุบันมีความพยายามลักลอบนำเข้าสินค้าวัสดุก่อสร้างประเภทปูนและเหล็กที่ไม่ได้มาตรฐานตามบริเวณแนวชายแดนเป็นจำนวนมาก
โดยสินค้าดังกล่าวเป็นสินค้าที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบหรือรับรองจากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
กระทรวงอุตสาหกรรม และอาจมีการปลอมแปลงเครื่องหมายรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
(มอก.) ด้วย ดังนั้น จึงขอมอบหมายให้กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งดำเนินการตรวจสอบ
โดยให้ประสานงานกับกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด แล้วดำเนินการปราบปรามและจับกุมผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
รวมทั้งให้เฝ้าระวังการกระทำผิดกฎหมายในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
27 | ขอมอบหมายการดำเนินการสืบเนื่องจากการลงพื้นที่ตรวจราชการและสำรวจตลาดผลไม้ของไทยในจังหวัดจันทบุรีของนายกรัฐมนตรี | นร. | 20/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า
จากการลงพื้นที่ตรวจราชการในจังหวัดจันทบุรี
ซึ่งเป็นจังหวัดที่ปลูกผลไม้ที่สำคัญของประเทศไทย (เช่น ทุเรียน เงาะ มังคุด)
เมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๘ และได้รับฟังปัญหาของสินค้าผลไม้ในเรื่องคุณภาพและภาวะผลไม้ล้นตลาด
รวมทั้งอุปสรรคในกระบวนการและขั้นตอนของการส่งออกสินค้าผลไม้ไปยังตลาดต่างประเทศ
จึงขอมอบหมายการดำเนินการ ดังนี้ ๑.
ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดติดตามให้ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรีจัดการประชุม (workshop) ร่วมกับทุกภาคส่วนภายในจังหวัดทั้งภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตและส่งออกสินค้าผลไม้ให้ครบทั้งกระบวนการตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ
เพื่อรับฟังปัญหา ความเห็น ข้อเสนอแนะ และแนวทางการดำเนินการ
แล้วนำมาใช้เป็นต้นแบบให้กับจังหวัดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งในด้านของการตรวจสอบคุณภาพของสินค้าผลไม้ให้ได้มาตรฐานตามที่กำหนด
รวมทั้งการดำเนินการตามกระบวนการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างมีประสิทธิภาพด้วย
ซึ่งจะนำไปปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย กฎ และระเบียบที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนกำหนดบทลงโทษ
ให้มีความเหมาะสมและชัดเจนมากยิ่งขึ้นต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลการดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจของเจ้าหน้าที่ในสังกัดที่บังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสม
ถูกต้อง อย่างเคร่งครัด เช่น
การควบคุมสินค้าเกษตรตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (Good Agriculture Practice :
GAP) รวมทั้งให้เร่งพิจารณาทบทวนและปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ต่าง
ๆ ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันให้เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
และให้กำหนดบทลงโทษให้เหมาะสมและชัดเจนด้วย ๓.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการจัดให้มีห้องปฏิบัติการประจำจังหวัด
(Lab) เพื่อใช้ตรวจสอบคุณภาพของสินค้าผลไม้
โดยเฉพาะในพื้นที่ที่จะมีการส่งออกสินค้าผลไม้ไปยังต่างประเทศมาก ๔.
ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงแรงงานและหน่วยงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้องศึกษาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการออกใบอนุญาตเพื่อให้แรงงานต่างด้าวสามารถทำงานข้ามจังหวัดได้ในช่วงระยะเวลาที่กำหนดตามความจำเป็นในแต่ละกรณี
เช่น ช่วงระยะเวลาที่จังหวัดมีผลิตผลทางการเกษตรออกสู่ตลาดมากและขาดแคลนแรงงานเก็บเกี่ยว
โดยให้กำหนดมาตรการควบคุมและบทลงโทษตามกฎหมายที่เหมาะสมและชัดเจนด้วย ๕.
ให้กระทรวงการต่างประเทศประสานงานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ ในการประสานขอความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของสาธารณรัฐประชาชนจีนในการกำหนดให้มีด่านตรวจสอบคุณภาพสินค้าผลไม้เพียงด่านเดียวจากฝั่งประเทศไทย
รวมทั้งเร่งกำหนดมาตรการร่วมกันเพื่อลดระยะเวลาการตรวจกักสินค้าผลไม้ให้เหลือเพียงไม่เกิน
๗ วัน เพื่อให้สินค้าผลไม้ของไทยออกสู่ตลาดของสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ภายในเวลาอันควรและสามารถรักษาคุณภาพมาตรฐานของสินค้าผลไม้ไว้ได้ตลอดจนลดความเสียหายอันอาจเกิดขึ้น
รวมทั้งขอให้พิจารณาจัดหาพื้นที่หรือโกดังสินค้าที่เหมาะสมและมีคุณภาพในการรองรับการเก็บสินค้าผลไม้ของไทยเพื่อให้สามารถรักษาคุณภาพของสินค้าผลไม้ดังกล่าวให้คงอยู่ได้อย่างยาวนานด้วย ๖.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเร่งศึกษานวัตกรรมและเทคโนโลยีต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อจะได้นำมาประยุกต์ใช้เพื่อลดต้นทุนการผลิตสินค้าผลไม้ต่าง ๆ
ของไทย
รวมทั้งพัฒนาสายพันธุ์ของผลไม้ที่เหมาะสมกับประเทศไทยและตรงตามความต้องการของตลาดมากยิ่งขึ้น ๗.
ให้กระทรวงแรงงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งศึกษาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการออกใบรับรองวิชาชีพสำหรับเกษตรกรที่ได้รับการฝึกอบรมและมีประสบการณ์และความชำนาญเพื่อเป็นนักคัดนักตัดทุเรียน
เพื่อให้สามารถควบคุมคุณภาพของการเก็บเกี่ยวผลผลิตทุเรียนให้เป็นไปอย่างถูกต้องตามมาตรฐานและความต้องการของตลาด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2559 (เรื่อง ขออนุมัติจัดสรรเงินจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร) | กษ. | 20/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙
กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ เรื่อง ขออนุมัติจัดสรรเงินกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร
ในประเด็นเงินจ่ายขาด จากจำนวน ๑๐ ล้านบาท เป็นจำนวน ๒๕.๓๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นว่าให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการวิเคราะห์ลูกหนี้เพื่อจัดชั้นลูกหนี้
บริหารจัดการหนี้ที่ผิดนัดชำระหนี้ เพื่อลดปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ พร้อมกำหนดมาตรการสร้างแรงสูงใจให้กลุ่มเกษตรกรชำระหนี้ควบคู่กับการขยายระยะเวลา ๕ ปี
โดยกำหนดเป้าหมายการรับชำระหนี้และส่งเงินต้นคืนกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรไม่น้อยกว่าร้อยละ ๒๐ ต่อปี รวมถึงกำหนดแผนการดำเนินงานและแนวทางการช่วยเหลือ
กลุ่มเกษตรกร เพื่อให้สามารถเร่งรัดและติดตามผลการดำเนินงานได้อย่างเป็นรูปธรรม กระทรวงพาณิชย์ เห็นว่าการพิจารณาดำเนินโครงการฯ
รวมถึงการเบิกค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ จะต้องคำนึงถึงเหตุผล ความจำเป็น
ความคุ้มค่า รวมถึงเป็นไปด้วยความโปร่งใส
ตามข้อกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องสามารถตรวจสอบได้ และให้มีการติดตามประเมินผลโครงการและการชำระหนี้ของเกษตรกรอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง
เพื่อให้สามารถส่งคืนเงินกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมส่งเสริมสหกรณ์)
เร่งรัด ติดตามการชำระหนี้เงินกู้ของกลุ่มเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการสร้างความเข้มแข็งให้กับกลุ่มเกษตรกรเพื่อเข้าถึงแหล่งเงินทุนในการผลิตและการตลาดและบริหารจัดการหนี้ที่ผิดนัดชำระอย่างเหมาะสม
โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ภายในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๗๓ และไม่ให้มีการขยายระยะเวลาดำเนินโครงการดังกล่าวออกไปอีก
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายกิตติวัฒน์ ปัจฉิมนันท์) | พณ. | 20/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายกิตติวัฒน์ ปัจฉิมนันท์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ
ตำแหน่งรองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง
สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพาณิชย์ เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
30 | ขอความเห็นชอบและอนุมัติให้ลงนามร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามกับกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้า ที่ปรับปรุงใหม่ | พณ. | 13/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามกับกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้า
ที่ปรับปรุงใหม่ และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามกับกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้า
ที่ปรับปรุงใหม่ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงถ้อยคำในบันทึกความเข้าใจฯ
ฉบับปัจจุบันเพื่อให้มีความทันสมัยและเหมาะสมกับบริบทในปัจจุบัน
เนื่องจากมีการปรับชื่อหน่วยงานของเวียดนามที่รับผิดชอบภารกิจด้านความร่วมมือทางการค้าทวิภาคีกับไทย
การปรับปีเป้าหมายของวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียนจากปี ค.ศ. ๒๐๒๕ เป็นปี ค.ศ. ๒๐๔๕
รวมถึงการปรับถ้อยคำเพื่อให้สะท้อนถึงการประกาศยกระดับความสัมพันธ์ทวิภาคี
เป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์รอบด้านในปี ๒๕๖๘ ณ ประเทศเวียดนาม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
(หนังสือกระทรวงการต่างประเทศ ด่วนที่สุด ที่ กต ๐๘๐๔/๓๕๒ ลงวันที่ ๒ พฤษภาคม
๒๕๖๘) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
ดังนี้ กระทรวงการต่างประเทศ เห็นว่าร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ไม่เป็นสนธิสัญญาภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศและไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา
๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันรัฐบาลไทย
ควรเสนอเรื่องดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีตามมาตรา ๔ (๗) ของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี
พ.ศ. ๒๕๔๘ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่าการขับเคลื่อนความร่วมมือภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ ควรให้ครอบคลุมความร่วมมือในการป้องกันการสวมสิทธิการส่งออกสินค้าของประเทศที่สาม
(Transshipment หรือ Origin
Fraud) โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับผู้ต้องสงสัยและรูปแบบการกระทำความผิด
รวมถึงการเฝ้าระวังแนวโน้มการกระทำความผิดในรูปแบบใหม่
อันจะช่วยลดผลกระทบจากนโยบายการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกาในปัจจุบันและส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและเป็นประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศต่อไป ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามกับกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้า
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31 | การบูรณาการการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐเพื่อแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ | นร. | 13/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีการหารือเกี่ยวกับปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ร่วมกับผู้บัญชาการทหารบก
ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงมหาดไทย
เพื่อกำหนดแนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาทั้งในระยะเร่งด่วนและระยะยาว
ซึ่งนอกจากจะมุ่งเน้นการดำเนินงานด้านความมั่นคงการดูแลความสงบเรียบร้อย
และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
รวมถึงการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและใกล้ชิดระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนในพื้นที่แล้ว
ยังต้องให้ความสำคัญกับการดูแลและสร้างประโยชน์ให้แก่ประชาชนในด้านเศรษฐกิจและสังคมด้วย
โดยให้ถือเป็นหน้าที่ของทุกหน่วยงานที่ต้องดำเนินการควบคู่ไปกับงานด้านความมั่นคงอย่างบูรณาการ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานที่มีบุคลากรประจำอยู่ในพื้นที่ เช่น กระทรวงมหาดไทย
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงศึกษาธิการ ดังนั้น จึงขอมอบหมายการดำเนินการ ดังนี้ ๑.
ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกำชับให้หน่วยงาน
และเจ้าหน้าที่ในสังกัดในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ [จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส สตูล และสงขลา
(อำเภอจะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย)] ปฏิบัติงานตามหน้าที่และอำนาจอย่างเต็มที่ภายใต้การกำกับและบูรณาการการดำเนินงานในภาพรวมของผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ละจังหวัด
ทั้งนี้ ให้น้อมนำหลักการทรงงานในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร
มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในเรื่อง “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” มาเป็นหลักในการปฏิบัติงานร่วมกันด้วย ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับการจัดการศึกษา
และการเรียนการสอนให้แก่เด็กและเยาวชนในโรงเรียนและสถานศึกษาต่าง ๆ
รวมถึงการสื่อสารและสร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ แก่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
ให้ถูกต้อง ชัดเจน น่าเชื่อถือ เพื่อปลูกฝังทัศนคติที่ดีและถูกต้อง ในการเป็นพลเมืองของชาติ
โดยไม่ถูกหลอกลวงหรือครอบงำด้วยข้อมูลข่าวสารในเรื่องต่าง ๆ อันเป็นเท็จ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
32 | การเตรียมการจัดประชุมทูตไทยประจำปี | นร. | 13/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่กระทรวงการต่างประเทศมีกำหนดจัดการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ทั่วโลกและกระทรวงพาณิชย์มีกำหนดจัดการประชุมผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ
(การประชุมทูตพาณิชย์ทั่วโลก) ขึ้นเป็นประจำทุกปี นั้น
เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายด้านการต่างประเทศและการพาณิชย์ของไทยมีความสอดคล้องและเชื่อมโยงกันอย่างเป็นเอกภาพ
จึงขอให้กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงพาณิชย์จัดการประชุมประจำปีดังกล่าวในปีต่อ
ๆ ไปร่วมกัน
โดยให้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือที่มีสำนักงาน/ผู้แทนประจำอยู่ในต่างประเทศเข้าร่วมการประชุมด้วยให้ครบถ้วน
เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
เพื่อจะได้ร่วมกันพิจารณากำหนดแนวทางและกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนนโยบายต่างประเทศของทีมประเทศไทย
(Team Thailand) ให้ชัดเจน เหมาะสม ครบถ้วน
และเป็นไปในทิศทางเดียวกันโดยยึดผลประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือกับนานาประเทศในมิติต่าง
ๆ การดึงดูดการลงทุน การส่งออก และการแสวงหาตลาดใหม่ ๆ ให้แก่สินค้าไทย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
33 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการประกอบการค้าข้าว (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | พณ. | 13/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการประกอบการค้าข้าว
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมอัตราค่าธรรมเนียมการประกอบการค้าข้าว
โดยปรับลดอัตราค่าธรรมเนียมหนังสืออนุญาตให้ประกอบการค้าข้าว
ประเภทค้าข้าวส่งไปจำหน่ายต่างประเทศที่เป็นผู้ส่งออกทั่วไปและผู้ส่งออกข้าวสารบรรจุกล่องหรือหีบห่อ
และยกเว้นค่าธรรมเนียมหนังสืออนุญาตและการต่ออายุหนังสืออนุญาตดังกล่าวแก่เกษตรกร
กลุ่มเกษตรกร และสหกรณ์ ซึ่งได้จดทะเบียนรับรองไว้กับหน่วยงานราชการ
เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และสำนักงาน ก.พ.ร.
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรมีการกำหนดมาตรการเพื่อส่งเสริมโอกาสทางการตลาดและความสามารถในการส่งออกข้าวไปจำหน่ายต่างประเทศสำหรับเกษตรกร
กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ และผู้ประกอบการ SMEs ที่มีศักยภาพควบคู่กับการบังคับใช้กฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมฯ ดังกล่าว |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
34 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ (กปช.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 | นร.02 | 13/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบสรุปรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ ซึ่งมีผลการดำเนินงานที่สำคัญ เช่น ๑) การสร้างความตระหนักรู้
ความเข้าใจเรื่องสื่อสารที่สำคัญของประเทศและเกิดพฤติกรรมที่เหมาะสม
เสริมสร้างค่านิยมที่ดีในสังคม ๒) การสร้างการรับรู้ภาพลักษณ์เชิงบวกของประเทศไทยต่อประชาคมโลก ๓) การส่งเสริมให้ประชาชนมีทักษะการรู้เท่าทันสื่อและข่าวปลอม
(Fake News) สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องผ่านช่องทางที่น่าเชื่อถือ
เช่น จัดตั้งกลุ่มไลน์ “๒๐ กระทรวง ชี้แจงประเด็น” ๔)
การเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านการประชาสัมพันธ์และสื่อสารมวลชนของประเทศที่เหมาะสมกับยุคดิจิทัล
และ ๕) ผลการดำเนินงานตามแนวทางการพัฒนาภายใต้นโยบายและแผนการประชาสัมพันธ์แห่งชาติในระดับจังหวัด ๒.
มอบหมายหน่วยงานภาครัฐรับข้อเสนอของประชาชนไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ได้แก่
กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงยุติธรรม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ๓. มอบหมายกระทรวงมหาดไทยแจ้งผู้ว่าราชการจังหวัด
๗๖ จังหวัด ให้ความสำคัญกับงานประชาสัมพันธ์และสื่อสารมวลชนในพื้นที่และสั่งการให้หน่วยงานในระดับจังหวัดสนับสนุนและประสานการดำเนินงานร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนและพัฒนางานประชาสัมพันธ์ในภาพรวมของประเทศให้เกิดประสิทธิภาพ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
35 | การบริหารจัดการปริมาณผลไม้ฤดูการผลิตปี 2568 | นร. | 13/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่ได้รับรายงานจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่า
ปริมาณผลไม้ของไทยหลายชนิด เช่น ทุเรียน มังคุด มะม่วง ลำไย ในฤดูกาลผลิตปี ๒๕๖๘
นี้ จะมีผลผลิตออกสู่ตลาดมากกว่าหลายปีที่ผ่านมาในอัตราร้อยละ ๑๐ - ๓๐
ซึ่งอาจจะทำให้เกิดปัญหาราคาผลไม้ตกต่ำได้
จึงขอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งบูรณาการการดำเนินการในเรื่องต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อบริหารจัดการปริมาณผลผลิตให้เหมาะสม
โดยกระจายผลผลิตให้สมดุลกับความต้องการของตลาดทั้งเพื่อการบริโภคภายในประเทศและเพื่อการส่งออกไปยังต่างประเทศเพื่อไม่ให้เกิดภาวะสินค้าล้นตลาดและสามารถรักษาเสถียรภาพด้านราคาของผลผลิตไว้ได้
โดยให้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง
เพื่อผลักดันการส่งออกผลไม้ไทยไปยังประเทศที่มีความต้องการผลไม้ไทยให้รวดเร็วและแพร่หลาย
โดยจะต้องตรวจสอบคุณภาพของผลไม้ให้ได้มาตรฐานและมีความปลอดภัยตามข้อกำหนดของประเทศปลายทางอย่างเคร่งครัดด้วย
นอกจากนี้ ให้พิจารณาดำเนินการส่งเสริมให้มีการเพิ่มมูลค่าทางการตลาดของผลไม้ดังกล่าวข้างต้น
เช่น การแปรรูปผลผลิต รวมทั้งการขยายและเพิ่มช่องทางการตลาดในรูปแบบใหม่ ๆ เช่น
การใช้ระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
36 | ขอความเห็นชอบร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีการค้าเอเปคประจำปี 2568 และเอกสารที่เกี่ยวข้อง | พณ. | 06/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีการค้าเอเปค
ประจำปี ๒๕๖๘ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๒ ฉบับ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองแถลงการณ์ฯ
และเอกสารที่เกี่ยวข้อง โดย ๑) ร่างแถลงการณ์ฯ มีสาระสำคัญ เช่น การปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ปุตราจายา
ค.ศ. ๒๐๔๐ และเอกสารผลลัพธ์การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคในปีต่าง ๆ
ความสำคัญของระบบการค้าพหุภาคีภายใต้กฎเกณฑ์ขององค์การการค้าโลก (WTO) และการเตรียมการสำหรับการประชุมรัฐมนตรี
WTO สมัยสามัญ ครั้งที่ ๑๔ การส่งเสริมขีดความสามารถภาคบริการของเอเปค
และการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับสตรี และวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อย
เป็นต้น และ ๒) ร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีการค้าเอเปคที่สนับสนุนแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยการอำนวยความสะดวกทางการลงทุนเพื่อการพัฒนา
(ภาคผนวกของร่างแถลงการณ์ ) มีสาระสำคัญเป็นการเน้นย้ำบทบาทของการปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางการลงทุนและการดำเนินธุรกิจ
การสนับสนุนให้สมาชิก WTO หาข้อยุติในการผนวกแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวเข้าไว้ในกรอบกฎหมายของ
WTO และการส่งเสริมความร่วมมือเพื่อให้ประเทศกำลังพัฒนาและประเทศพัฒนาน้อยที่สุดสามารถปฏิบัติตามแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว
รวมถึงให้สมาชิก WTO อื่น พิจารณาเข้าร่วมแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวมากขึ้น
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ไห้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ ที่เห็นว่าร่างแถลงการณ์ฯ
และเอกสารที่เกี่ยวข้องดังกล่าว ไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
และโดยที่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันรัฐบาลไทย
จึงเข้าลักษณะ ตามมาตรา ๔ (๗) แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องฯ พ.ศ ๒๕๔๘ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
37 | แนวทางความร่วมมือการจัดทำแคมเปญ Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025 | กก. | 06/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบแนวทางความร่วมมือการจัดทำแคมเปญ Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025 และมอบหมายหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการตามแนวทางขับเคลื่อนบูรณาการการท่องเที่ยวภายใต้หัวข้อ
“Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025”
และแจ้งผลการดำเนินงานให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาทราบ ตามที่คณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติเสนอ
และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กรมการท่องเที่ยวและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย)
กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย
กระทรวงวัฒนธรรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ
(องค์การมหาชน)
เร่งดำเนินการตามแนวทางขับเคลื่อนบูรณาการการท่องเที่ยวในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เกิดผลเป็นรูปธรรมและเป็นผลดีต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศโดยเร็วต่อไป ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นว่าค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ ควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับจัดสรร
หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๘ หรือโอนเงินจัดสรร หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร แล้วแต่กรณี มารองรับเป็นอันดับแรกก่อน
และสำหรับค่าใช้จ่ายที่จะดำเนินการในปีต่อไป
เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
โดยคำนึงถึงหลักความคุ้มค่าและประหยัดในการใช้จ่ายงบประมาณ
ความครอบคลุมของทุกแหล่งเงิน ตลอดจนประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญด้วย
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรประชาสัมพันธ์และสร้างความตระหนักแก่ผู้ประกอบการถึงความสำคัญในการให้บริการภายใต้แนวคิด
Sustainable Tourism Acceleration Rating (STAR) เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาบริการด้านการท่องเที่ยวให้ได้มาตรฐาน
และสามารถสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวที่มีคุณภาพและยั่งยืนในระยะยาว ควรติดตามและประเมินผลการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด
และจัดทำข้อมูลพื้นฐาน (Baseline Data) ของแผนงานโครงการ
เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการประเมินความคุ้มค่าและกำกับการดำเนินงานให้ตอบสนองต่อการบรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์การดำเนินงานที่กำหนดไว้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
38 | การพิจารณาให้ความเห็นชอบบทแก้ไขข้อตกลง “The Agreement Establishing the ASEAN Promotion Centre on Trade, Investment and Tourism” ของศูนย์อาเซียน - ญี่ปุ่น | พณ. | 29/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบบทแก้ไขข้อตกลง “The Agreement Establishing the ASEAN Promotion Centre on
Trade, Investment and Tourism”
ของศูนย์อาเซียน - ญี่ปุ่น
ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับการเพิ่มอัตราเงินอุดหนุนบังคับ (Obligatory
Contributions) และให้กระทรวงการต่างประเทศ
ดำเนินการยื่นและออกตราสารการยอมรับต่อรัฐบาลญี่ปุ่น และสำนักงานเลขาธิการอาเซียน
ตามบทบัญญัติของข้อตกลงฯ ต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นว่าค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นควรให้กระทรวงพาณิชย์
โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
39 | การเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นทางการ เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 75 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรกัมพูชา | นร. | 29/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากการเดินทางเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่
๒๓ - ๒๔ เมษายน ๒๕๖๘ เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ ๗๕ ปี
แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรกัมพูชา
ขอเสนอคณะรัฐมนตรีทราบและมอบหมายการดำเนินการต่าง ๆ
ที่ได้จากการหารือร่วมกับฝ่ายกัมพูชา ดังนี้ ๑.
ประเด็นความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหลอกลวงผ่านคอลเซ็นเตอร์
ทั้ง ๒ ประเทศยืนยันที่จะร่วมมือกันใน ๔ ด้าน ได้แก่ (๑)
ร่วมกันแบ่งปันข้อมูลหลักฐานหรือข้อมูลต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์ในการดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติดังกล่าว (๒)
ร่วมมือกันปิดกั้น (Block) สัญญาณโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตที่มาจากเครือข่ายของผู้ก่ออาชญากรรมออนไลน์
(๓) ยกระดับมาตรการตรวจสอบและควบคุมชายแดนของทั้ง ๒ ฝ่ายให้เข้มงวดมากยิ่งขึ้น
เพื่อป้องกันการลักลอบนำเข้า/ส่งออกสิ่งของผิดกฎหมายข้ามแดน และ (๔)
ร่วมมือกันในการตรวจสอบคนต่างชาติที่เดินทางเข้าไปทำงานในประเทศของอีกฝ่ายหนึ่งให้มีใบอนุญาตทำงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย
ดังนั้น จึงมอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงกลาโหม กระทรวงแรงงาน กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และหน่วยงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้อง
เพื่อบูรณาการการดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจของแต่ละหน่วยงาน
รวมทั้งประสานความร่วมมือกับบริษัทเอกชนที่ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคมในการดำเนินการป้องกัน
แก้ไขและปราบปรามปัญหาอาชญากรรมดังกล่าวให้บรรลุผลอย่างต่อเนื่องและจริงจัง
ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนของทั้ง ๒ ประเทศมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
รวมทั้งสามารถยกระดับความเป็นอยู่ให้ดียิ่งขึ้น ๒. ประเด็นความร่วมมือในกรอบอาเซียน (ASEAN) ทั้ง ๒
ประเทศเห็นพ้องกันว่าความร่วมมือกันอย่างแน่นแฟ้นและเป็นเอกภาพของประเทศสมาชิกอาเซียนจะเป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้
รวมทั้งช่วยเพิ่มศักยภาพในการเจรจาต่อรองทางการค้ากับประเทศคู่ค้าที่สำคัญของอาเซียนได้เป็นอย่างดี
ดังนั้น จึงขอมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง
และคณะทำงานนโยบายการค้าที่เกี่ยวข้องรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายและรวบรวมข้อมูล/มาตรการร่วมกันของอาเซียน
เพื่อพิจารณาใช้ประโยชน์ในการเจรจาต่อรองทางการค้าต่อไป ๓. ประเด็นการจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วม (Mini Joint Cabinet Meeting) ไทย - กัมพูชา ทั้ง
๒ ประเทศเห็นชอบให้มีการจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมฯ ขึ้น
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีหารือและร่วมกันกำหนดแนวทางในการดำเนินการแก้ไขปัญหาต่าง
ๆ ที่เกิดขึ้น ในพื้นที่ชายแดนของทั้ง ๒ ประเทศ เช่น ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ (Call
Center) ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด การป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ ซึ่งคาดว่าจะมีการจัดการประชุมดังกล่าวภายในเดือนกรกฎาคม
๒๕๖๘ ณ จังหวัดสระแก้ว ดังนั้น จึงขอมอบหมายให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น
กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงแรงงาน กระทรวงยุติธรรม
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งประสานความร่วมมือในการดำเนินการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้น
รวมทั้งจัดเตรียมข้อมูลและประเด็นปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อใช้ประโยชน์ในการจัดการประชุมดังกล่าวข้างต้นต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
40 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการติดตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 1/2568 และครั้งที่ 2/2568 | นร.04 | 29/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากการเดินทางเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่
๒๓ - ๒๔ เมษายน ๒๕๖๘ เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ ๗๕ ปี
แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรกัมพูชา
ขอเสนอคณะรัฐมนตรีทราบและมอบหมายการดำเนินการต่าง ๆ
ที่ได้จากการหารือร่วมกับฝ่ายกัมพูชา ดังนี้ ๑.
ประเด็นความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหลอกลวงผ่านคอลเซ็นเตอร์
ทั้ง ๒ ประเทศยืนยันที่จะร่วมมือกันใน ๔ ด้าน ได้แก่ (๑)
ร่วมกันแบ่งปันข้อมูลหลักฐานหรือข้อมูลต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์ในการดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติดังกล่าว (๒)
ร่วมมือกันปิดกั้น (Block) สัญญาณโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตที่มาจากเครือข่ายของผู้ก่ออาชญากรรมออนไลน์
(๓) ยกระดับมาตรการตรวจสอบและควบคุมชายแดนของทั้ง ๒ ฝ่ายให้เข้มงวดมากยิ่งขึ้น
เพื่อป้องกันการลักลอบนำเข้า/ส่งออกสิ่งของผิดกฎหมายข้ามแดน และ (๔)
ร่วมมือกันในการตรวจสอบคนต่างชาติที่เดินทางเข้าไปทำงานในประเทศของอีกฝ่ายหนึ่งให้มีใบอนุญาตทำงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย
ดังนั้น จึงมอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงกลาโหม กระทรวงแรงงาน กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และหน่วยงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้อง
เพื่อบูรณาการการดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจของแต่ละหน่วยงาน
รวมทั้งประสานความร่วมมือกับบริษัทเอกชนที่ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคมในการดำเนินการป้องกัน
แก้ไขและปราบปรามปัญหาอาชญากรรมดังกล่าวให้บรรลุผลอย่างต่อเนื่องและจริงจัง
ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนของทั้ง ๒ ประเทศมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
รวมทั้งสามารถยกระดับความเป็นอยู่ให้ดียิ่งขึ้น ๒. ประเด็นความร่วมมือในกรอบอาเซียน (ASEAN) ทั้ง ๒
ประเทศเห็นพ้องกันว่าความร่วมมือกันอย่างแน่นแฟ้นและเป็นเอกภาพของประเทศสมาชิกอาเซียนจะเป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้
รวมทั้งช่วยเพิ่มศักยภาพในการเจรจาต่อรองทางการค้ากับประเทศคู่ค้าที่สำคัญของอาเซียนได้เป็นอย่างดี
ดังนั้น จึงขอมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง
และคณะทำงานนโยบายการค้าที่เกี่ยวข้องรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายและรวบรวมข้อมูล/มาตรการร่วมกันของอาเซียน
เพื่อพิจารณาใช้ประโยชน์ในการเจรจาต่อรองทางการค้าต่อไป ๓. ประเด็นการจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วม (Mini Joint Cabinet Meeting) ไทย - กัมพูชา ทั้ง
๒ ประเทศเห็นชอบให้มีการจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมฯ ขึ้น
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีหารือและร่วมกันกำหนดแนวทางในการดำเนินการแก้ไขปัญหาต่าง
ๆ ที่เกิดขึ้น ในพื้นที่ชายแดนของทั้ง ๒ ประเทศ เช่น ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ (Call
Center) ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด การป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ ซึ่งคาดว่าจะมีการจัดการประชุมดังกล่าวภายในเดือนกรกฎาคม
๒๕๖๘ ณ จังหวัดสระแก้ว ดังนั้น จึงขอมอบหมายให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น
กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงแรงงาน กระทรวงยุติธรรม
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งประสานความร่วมมือในการดำเนินการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้น
รวมทั้งจัดเตรียมข้อมูลและประเด็นปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อใช้ประโยชน์ในการจัดการประชุมดังกล่าวข้างต้นต่อไป
|