ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 7 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 121 - 140 จากข้อมูลทั้งหมด 6663 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
121 | การเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ฝุ่นละออง PM2.5) | นร. | 29/10/2567 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ในขณะนี้ประเทศไทยเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว
ซึ่งสภาพภูมิอากาศจะเย็นลงและปัญหามลพิษทางอากาศ (ฝุ่นละออง PM2.5) จะมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
ดังนั้น เพื่อเป็นการเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว
จึงขอมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
เป็นเจ้าภาพหลักร่วมหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อกำหนดมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ฝุ่นละออง
PM2.5) ในพื้นที่ต่าง ๆ
ของประเทศให้เหมาะสมและครบถ้วนทั้งที่เป็นปัญหามลพิษจากการเผาในภาคการเกษตร
ควันและไอเสียของรถยนต์ และฝุ่นควันจากภาคอุตสาหกรรม เช่น มาตรการไม่รับซื้อผลิตผลทางการเกษตร
(เช่น ข้าวโพด อ้อย)
ในกรณีพิสูจน์ได้ว่ามีกระบวนการผลิตที่ใช้วิธีการเผาทั้งในและต่างประเทศ มาตรการตรวจจับและระงับการใช้ยานพาหนะที่ปล่อยควันดำเกินค่ามาตรฐาน
มาตรการตรวจสอบและควบคุมการปล่อยมลพิษทางอากาศของโรงงานอุตสาหกรรม แล้วให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง
เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งรัดดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ ดังกล่าว
ตามหน้าที่และอำนาจให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
122 | การหารือร่วมกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน | นร. | 29/10/2567 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากการที่ได้หารือร่วมกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน
๓ สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
และสมาคมธนาคารไทย ณ ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๖๗
รวมทั้งได้รับฟังข้อเสนอของ กกร. รวม ๔ ด้าน ได้แก่ (๑) การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ (๒)
การช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) (๓) การบริหารจัดการน้ำ และ (๔)
การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ จึงขอมอบหมายการดำเนินการ ดังนี้ ๑. การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี
(นายพิชัย ชุณหวชิร) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรับไปหารือร่วมกับ กกร.
และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงอุตสาหกรรม
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ
เพื่อกำหนดแนวทาง/มาตรการในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เจริญเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพมากยิ่งขึ้น
รวมทั้งให้พิจารณาแนวทาง/มาตรการในการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน
(โดยเฉพาะหนี้สินเช่าซื้อรถยนต์และหนี้ที่อยู่อาศัย)
ซึ่งต้องอาศัยการเพิ่มรายได้และแก้ไขผ่อนปรนภาระของประชาชนเป็นสำคัญและปัญหาหนี้ของผู้ประกอบการ
SMEs ตามที่กระทรวงการคลังได้เตรียมการไว้
ให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจนโดยเร็ว ๒. การช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในฐานะประธานกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจจากต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมายร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการแก้ไขปัญหาการประกอบธุรกิจและปกป้องผลประโยชน์ของผู้ผลิต
และผู้ประกอบการชาวไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม SMEs
เกี่ยวกับธุรกิจขายสินค้าจากต่างประเทศ ทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ที่ได้เข้ามาค้าขายอย่างผิดปกติในประเทศไทย
ซึ่งส่งผลกระทบต่อโอกาสและความอยู่รอดในการผลิตและการทำธุรกิจของคนไทยให้บรรลุผลโดยเร็วภายใน
๑ เดือน ทั้งนี้ ให้เร่งดำเนินการตามมาตรการดังต่อไปนี้ด้วย (๑)
ผู้ประกอบการจากต่างประเทศที่ขายสินค้าออนไลน์จะต้องจดทะเบียนการค้าและใบอนุญาตต่าง
ๆ ในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยให้ถูกต้องเพื่อควบคุมคุณภาพสินค้าสำหรับผู้บริโภคและเข้าสู่ระบบภาษีของไทยด้วย
(๒) สินค้าจากต่างประเทศต้องเป็นไปตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.)
ของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (๓)
สินค้าอาหารและยาจากต่างประเทศต้องเป็นไปตามมาตรฐานอาหารและยา (อย.) ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ๓. การบริหารจัดการน้ำ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี
(นายประเสริฐ จันทรรวงทอง)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัด ติดตาม
และสานต่อการดำเนินการตามเป้าหมายและแผนงานต่าง ๆ
เกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เพื่อให้เกิดการบูรณาการการทำงานเพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งในอนาคต รวมถึงการจัดหาน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการทั้งในภาคการเกษตรและภาคอุตสาหกรรมด้วย ๔. การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ มอบหมายให้สำนักงาน ก.พ.ร. ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการปรับปรุงกฎหมาย
เพื่อความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ
เป็นประธานกรรมการ) เร่งหารือร่วมกับ กกร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น
กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพลังงาน
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อปรับปรุง แก้ไข หรือยกเลิกกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ
ที่เป็นอุปสรรคในการประกอบอาชีพและธุรกิจของประชาชน
เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมทางกฎหมายของประเทศให้เหมาะสมและเอื้อต่อการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business) ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนในการประกอบธุรกิจของภาคเอกชนได้เป็นอย่างมาก
|
||||||||||||||||||||||||||||||
123 | รายงานผลการจัดสถานะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาไทยตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา 301 พิเศษ ประจำปี พ.ศ. 2567 | พณ. | 22/10/2567 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการจัดสถานะของไทยตามรายงานผลการจัดสถานะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาไทยตามกฎหมายการค้าสหรัฐอเมริกา
มาตรา ๓๐๑ พิเศษ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๗ โดยในปี ๒๕๖๗ สหรัฐฯ
ได้จัดให้ไทยอยู่ในบัญชีประเทศที่ต้องจับตามอง
และยังได้จัดทำรายงานรายชื่อตลาดที่มีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาสูง ประจำปี ๒๕๖๗
โดยได้ระบุ MBK Center
เป็นตลาดที่มีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาสูงเพียงแห่งเดียว นอกจากนี้ยังคงมีข้อกังวลเช่นเดียวกับรายงานฯ
ของปี ๒๕๖๖ โดยเฉพาะในการบังคับใช้สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา เช่น การละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ในภาคเอกชน
การจำหน่ายสินค้าละเมิดเครื่องหมายการค้า
และลิขสิทธิ์ในช่องทางออนไลน์ที่มุ่งเน้นบังคับใช้สิทธิกับผู้ประกอบการรายย่อยแทนการมุ่งเป้าไปที่ผู้จำหน่ายรายใหญ่และการผลิต
และการละเมิดลิขสิทธิ์ออนไลน์ผ่านอุปกรณ์หรือแอปพลิเคชันสำหรับการสตรีมและดาวน์โหลด
เป็นต้น ทั้งนี้
ไทยได้เร่งหารือร่างแผนงานด้านทรัพย์สินทางปัญญากับผู้แทนการค้าสหรัฐฯ
อย่างต่อเนื่อง
เนื่องจากเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ไทยหลุดลดจากบัญชีประเทศที่ต้องจับตามองต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
124 | เรื่องสืบเนื่องจากการเข้าร่วมการประชุม ACD ของนายกรัฐมนตรี | นร. | 08/10/2567 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า
สืบเนื่องจากการเดินทางไปร่วมการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue : ACD) ครั้งที่ ๓ เมื่อวันที่ ๒ - ๓ ตุลาคม ๒๕๖๗ ณ กรุงโดฮา รัฐกาตาร์
ซึ่งกรอบความร่วมมือ ACD เป็นเวทีหารือระดับนโยบายระหว่างประเทศในเอเชีย
เพื่อส่งเสริมความเข้าใจ ความไว้เนื้อเชื่อใจ และผลประโยชน์ร่วมกันในเอเชีย รวมถึงเพื่อหาทางออกสำหรับปัญหาและความท้าทายระดับโลกร่วมกัน
ซึ่งในห้วงการประชุมดังกล่าวยังได้มีโอกาสหารือระดับทวิภาคีกับผู้นำหลายประเทศ
ได้แก่ รัฐกาตาร์ สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน รัฐคูเวต และสาธารณรัฐทาจิกิสถาน โดยผู้นำทุกประเทศดังกล่าวแสดงความพร้อมที่จะขยายความสัมพันธ์กับประเทศไทยในด้านต่าง
ๆ ทั้งด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และบริการทางการแพทย์
ซึ่งจะเป็นโอกาสสำคัญที่จะช่วยสร้างรายได้ให้แก่ประเทศมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้
ประเทศไทยกำหนดจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ACD อีกครั้งหนึ่งในปี
๒๕๖๘ จึงขอมอบหมายให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ๑.
ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งเตรียมความพร้อมในการเป็นประธานกรอบความร่วมมือเอเชีย
(Asia Cooperation Dialogue : ACD) รวมทั้งการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ACD ในปี ๒๕๖๘ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์สูงสุด
รวมทั้งสร้างความประทับใจให้ผู้เข้าร่วมประชุมด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
125 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็นจากประชาชนในไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 | นร.01 | 08/10/2567 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็นจากประชาชนในไตรมาสที่
๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ พร้อมผลการวิเคราะห์เรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็น
และมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาปรับปรุงการให้บริการ/การปฏิบัติงาน
ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.
สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็นจากประชาชนฯ
ที่ยื่นเรื่องผ่านช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ รวมทั้งสิ้น ๓๐,๘๓๓ ครั้ง (๑๔,๘๗๑ เรื่อง)
สามารถดำเนินการจนได้ข้อยุติ ๑๑,๒๓๙ เรื่อง คิดเป็นร้อยละ
๗๕.๕๘ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับการประสานเรื่องร้องทุกข์ฯ มากที่สุด (๑,๔๘๗ เรื่อง) ๒. การประมวลผลและวิเคราะห์เรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็นฯ
มีสถิติเรื่องร้องทุกข์ ๑๔,๘๗๑ เรื่อง มากกว่าไตรมาสที่ ๒
ของปีงบประมาณ ๒๕๖๖ จำนวน ๔๒๒ เรื่อง (มีเรื่องร้องทุกข์ ๑๔,๔๔๙
เรื่อง) โดยประเด็นที่ประชาชนยื่นเรื่องร้องทุกข์มากที่สุดคือ
เสียงรบกวน/สั่นสะเทือน (๑,๖๕๓ เรื่อง
ซึ่งดำเนินการจนได้ข้อยุติแล้ว ๑,๕๐๖ เรื่อง) ๓.
ปัญหาและความต้องการของประชาชนที่ร้องทุกข์/หน่วยรับการประสานเรื่องร้องทุกข์ เช่น
ปัญหาด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานเป็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์เป็นจำนวนมาก
ซึ่งหากหน่วยงานมีการสำรวจและประเมินความต้องการของประชาชนในแต่ละพื้นที่อย่างละเอียดและครอบคลุม
จะสามารถนำข้อมูลไปวางแผนแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด ๔.
ข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาปรับปรุงการให้บริการ/การปฏิบัติงาน เช่น
หน่วยงานที่รับผิดชอบงานด้านสาธารณูปโภค โดยเฉพาะ อปท.
ควรสำรวจความต้องการและสภาพปัญหาของประชาชนในพื้นที่ และดำเนินการแก้ไขปัญหาให้ตรงตามความต้องการ ทั้งนี้ ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงวัฒนธรรม
รวมทั้งความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เห็นควรสร้างความรู้ให้ประชาชนได้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
สภาพดิน และการลดลงของความหลากหลายทางชีวภาพ ควรสร้างทางเลือกให้กับประชาชน
ในการกำจัด/แปรสภาพวัสดุที่เหลือจากการเกษตร การทำไร่/นา รวมทั้งปัญหากลิ่นจากการประกอบกิจการฟาร์มเลี้ยงสัตว์
โดยการสรรหาเครื่องมือหรือวิธีการตรวจสอบ หรือกำกับแหล่งกำเนิดกลิ่นมลพิษต่าง ๆ จากฟาร์มสุกร
และฟาร์มไก่ ให้เพียงพออย่างเหมาะสม และจัดทำทางเลือกให้กับประชาชนในการกำจัด/แปรสภาพวัสดุที่เหลือใช้ทางการเกษตร
การทำไร่/นา ภายใต้โครงการสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร |
||||||||||||||||||||||||||||||
126 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายคุณากร ปรีชาชนะชัย และนายจิรวัฒน์ อรัณยกานนท์) | พณ. | 08/10/2567 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งข้าราชการการเมือง
จำนวน ๒ ราย โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ(๘ ตุลาคม ๒๕๖๗) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ
ดังนี้ ๑. นายคุณากร ปรีชาชนะชัย ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ๒. นายจิรวัฒน์ อรัณยกานนท์ ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
|
||||||||||||||||||||||||||||||
127 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง | พณ. | 24/09/2567 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ
สังกัดกระทรวงพาณิชย์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๗ ราย
เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ สับเปลี่ยนหมุนเวียน
และทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๗ เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ
ดังนี้ ๑. ร้อยตรี จักรา ยอดมณี ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ๓. นายวิทยากร มณีเนตร ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการค้าภายใน ๔. นางสาวนุสรา กาญจนกูล ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ๕. นางอารดา เฟื่องทอง ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ๖. นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
||||||||||||||||||||||||||||||
128 | มาตรการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร | ปช. | 24/09/2567 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบมาตรการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
129 | ขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ด้านเศรษฐกิจเพื่อให้ไทยได้ให้การรับรอง และ/หรือให้ความเห็นชอบในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ 56 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง การประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ 24 และการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 44 และ 45 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง | พณ. | 17/09/2567 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ด้านเศรษฐกิจเพื่อให้ไทยได้ให้การรับรอง
และ/หรือให้ความเห็นชอบในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ ๕๖
และการประชุมที่เกี่ยวข้อง การประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
ครั้งที่ ๒๔ และการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๔๔ และ ๔๕ โดยร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ
ที่จะมีการรับรอง และ/หรือให้ความเห็นชอบในช่วงการประชุมฯ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันรัฐบาลไทยในเชิงนโยบายและอาจเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของหลายหน่วยงาน
จึงเข้าข่ายที่จะต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาตามนัยมาตรา ๔ (๗)
ของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ ทั้งนี้
เอกสารดังกล่าวไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ
และไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารผลลัพธ์ด้านเศรษฐกิจในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน
ครั้งที่ ๕๖ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง การประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่
๒๔ และการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๔๔ และ ๔๕ และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง
จำนวน ๔ ฉบับ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
|
||||||||||||||||||||||||||||||
130 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือว่าด้่วยการเป็นหุ้นส่วนทางการค้าที่แน่นแฟ้น และร่างแผนการดำเนินงานสหราชอาณาจักร - ไทย ฉบับที่ 2 | พณ. | 17/09/2567 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนทางการค้าที่แน่นแฟ้น
(Memorandum of Understanding between the
Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the United Kingdom
of Great Britain and Northern Ireland for an Enhanced Trade Partnership) และร่างแผนการดำเนินงานสหราชอาณาจักร-ไทย ฉบับที่ ๒ (UK-TH Workplan
2.0) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรองร่างเอกสารทั้ง
๒ ฉบับ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเพื่อเป็นกลไกในการส่งเสริมการยกระดับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ
การค้า และการลงทุนของสองฝ่ายให้เป็นไปอย่างแน่นแฟ้นและใกล้ชิดยิ่งขึ้น ส่วนร่างแผนการดำเนินงานฯ
มีสาระสำคัญเพื่อกำหนดกิจกรรมและรูปแบบความร่วมมือที่ต่อยอดจากแผนการดำเนินงานฯ
ฉบับแรก ในสาขายุทธศาสตร์สำคัญที่สองฝ่ายมีความสนใจร่วมกัน
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒.
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ และร่างแผนการดำเนินงานฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
131 | การให้ความเห็นชอบเอกสารผลลัพธ์ด้านเศรษฐกิจสำหรับการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (AEM) ครั้งที่ 56 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง จำนวน 2 ฉบับ | นร.53 | 03/09/2567 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ด้านเศรษฐกิจสำหรับการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน
(AEM) ครั้งที่ ๕๖ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง
จำนวน ๒ ฉบับ ได้แก่ ๑) ร่างผลลัพธ์การจัดทำตัวชี้วัดเชิงนโยบายในการพัฒนา SME
อาเซียน และ ๒)
ร่างกรอบแบบจำลองสำหรับระบบการรับรองธุรกิจเพื่อเศรษฐกิจฐานรากในอาเซียน และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายให้ความเห็นชอบร่างเอกสาร
๒ ฉบับ ในฐานะรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน [ASEAN Economic Ministers (AEM)] ในการประชุมหรือในห้วงการประชุม AEM ครั้งที่ ๕๖
และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๕ - ๒๒ กันยายน พ.ศ.
๒๕๖๗ ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยร่างผลลัพธ์ฯ
มีสาระสำคัญเป็นการนำเสนอผลลัพธ์จากการศึกษารวบรวมและประเมินข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบศักยภาพของนโยบายในการพัฒนา
SME ทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาค และร่างกรอบแบบจำลองฯ
เป็นคู่มือเกี่ยวกับวิธีการพัฒนาระบบการรับรองธุรกิจเพื่อเศรษฐกิจฐานรากแห่งชาติ
โดยมีเป้าหมายในการส่งเสริมและสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจเพื่อเศรษฐกิจฐานรากสำหรับผู้กำหนดนโยบาย
เจ้าหน้าที่ของรัฐ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น ๆ
ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการรับรองเศรษฐกิจฐานราก
เพื่อเตรียมเสนอต่อคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และผู้นำอาเซียนพิจารณาให้การรับรองและเห็นชอบต่อไป
ตามที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารผลลัพธ์การจัดทำตัวชี้วัดเชิงนโยบายในการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอาเซียน
และร่างกรอบแบบจำลองสำหรับระบบการรับรองธุรกิจเพื่อเศรษฐกิจฐานรากในอาเซียน
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
และให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม วิเคราะห์ ประเมินผล
และติดตามการดำเนินงาน ตลอดจนสื่อสารผลลัพธ์และความคืบหน้าของร่างเอกสารทั้ง ๒ ฉบับดังกล่าว
ให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนรับรู้ถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
132 | การป้องกันและปราบปรามธุรกิจขายสินค้าจากต่างประเทศที่ผิดกฎหมาย | พณ. | 03/09/2567 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการแก้ไขปัญหาสินค้านำเข้าไม่มีคุณภาพมาตรฐานและธุรกิจจากต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย
จำนวน ๕ มาตรการหลัก (๖๓ แผนปฏิบัติการ) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงอุตสาหกรรม เร่งรัดดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวตามหน้าที่และอำนาจ
รวมทั้งให้บังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไป
สำหรับการจัดตั้งศูนย์เฉพาะกิจป้องกันและปราบปรามสินค้าและธุรกิจจากต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมายและการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างชาติที่ฝ่าฝืนกฎหมาย
ให้กระทรวงพาณิชย์เสนอคณะรัฐมนตรีชุดใหม่พิจารณาต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ทั้งนี้
ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรกำกับดูแลและตรวจสอบให้หน่วยงานมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ
รวมทั้งมีการประสานการทำงานอย่างใกล้ชิดกับเครือข่ายที่สามารถให้ข้อมูลและเบาะแสการขายสินค้าจากต่างประเทศที่ผิดกฎหมาย
อาทิ สถาบันการเงิน และผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ ตลอดจนเร่งรัดการตราพระราชบัญญัติว่าด้วยเศรษฐกิจแพลตฟอร์มให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว
และควรมีมาตรการช่วยเหลือและพัฒนาที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการ SMEs แต่ละประเภท ขนาด และศักยภาพของธุรกิจ อาทิ
เร่งแก้ปัญหาหนี้สินและสนับสนุนสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่อง ส่งเสริมให้เข้าถึงการทดสอบและรับรองมาตรฐานเพื่อยกระดับสินค้าและบริการ
ตลอดจนพัฒนาระบบสิทธิประโยชน์ จูงใจให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ซึ่งจะสร้างความเชื่อมั่นและลดผลกระทบจากการซื้อขายสินค้าและบริการผ่านช่องทางออนไลน์
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
133 | การจัดตั้งศูนย์บัญชาการระดับชาติเพื่อการป้องกัน แก้ไขปัญหาอุทกภัยและให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัย | นร. | 27/08/2567 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการให้จัดตั้งศูนย์บัญชาการระดับชาติเพื่อการป้องกัน
แก้ไขปัญหาอุทกภัยและให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยขึ้น โดยมีรองนายกรัฐมนตรี
(นายภูมิธรรรม เวชยชัย) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีเป็นผู้อำนวยการศูนย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นรองผู้อำนวยการศูนย์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
ร่วมเป็นองค์ประกอบของศูนย์บัญชาการดังกล่าวด้วย ๒.
ในส่วนของแหล่งเงินค่าใช้จ่ายเพื่อการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหา
การช่วยเหลือเยียวยาต่าง ๆ รวมทั้งหน้าที่และอำนาจในการพิจารณา สั่งการ ประสานงาน
และบูรณาการการดำเนินงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องของศูนย์บัญชาการตามข้อ ๑
ให้ศูนย์บัญชาการดังกล่าวและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||
134 | การป้องกันและปราบปรามธุรกิจขายสินค้าจากต่างประเทศที่ผิดกฎหมาย | นร. | 13/08/2567 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เนื่องจากมีข้อร้องเรียนจากภาคธุรกิจเอกชน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เกี่ยวกับธุรกิจขายสินค้าจากต่างประเทศทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์
ที่ได้เข้ามาค้าขายอย่างผิดปกติในประเทศไทย ส่งผลกระทบต่อโอกาสและความอยู่รอดในการผลิตและการทำธุรกิจของคนไทย
จึงขอมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นเจ้าภาพรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อกำหนดมาตรการ/แนวทางในการดำเนินการแก้ไขปัญหาและปกป้องผลประโยชน์ของผู้ผลิตและผู้ประกอบการชาวไทยให้ชัดเจน
เป็นรูปธรรม ครบถ้วนในทุกมิติ เช่น ๑.
การตรวจสอบความถูกต้องของการจดทะเบียนการค้าและใบอนุญาตต่าง ๆ ในการดำเนินธุรกิจของต่างประเทศและดำเนินคดีกับผู้ประกอบการต่างประเทศที่กระทำการผิดกฎหมายอย่างเคร่งครัด ๒.
การตรวจสอบคุณภาพสินค้าจากต่างประเทศว่าเป็นไปตามมาตรฐานหรือได้รับการตรวจสอบรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยแล้วหรือไม่
เช่น มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
และมาตรฐานอาหารและยา (อย.) ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เพื่อปกป้องคุ้มครองสิทธิและสร้างความปลอดภัยให้แก่ผู้บริโภค
โดยให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเป็นเจ้าภาพ
ประสานการดำเนินการกับกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาตามแต่กรณีต่อไป ๓. การตรวจสอบใบอนุญาตนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศและการชำระอากรขาเข้าของผู้ประกอบการจากต่างประเทศ ๔.
การตรวจสอบความถูกต้องของการได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (รง. 4) โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ ในการพิจารณากำหนดมาตรการ/แนวทางในการดำเนินการดังกล่าวข้างต้น
ให้คำนึงถึงความสอดคล้องกับความตกลงการค้าระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง
ควบคู่ไปกับการรักษาผลประโยชน์ของผู้บริโภคและผู้ประกอบการของไทยอย่างสมดุล
รวมทั้งให้พิจารณากำหนดแนวทางการสนับสนุนและพัฒนาผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม
(SMEs) ของไทย
ให้สามารถปรับตัวและแข่งขันได้กับต่างชาติในสภาวะการค้าขายของโลกในปัจจุบันด้วย
แล้วให้จัดทำสรุปผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการในภาพรวม เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็วภายในเดือนสิงหาคม
๒๕๖๗
|
||||||||||||||||||||||||||||||
135 | การแก้ไขปัญหาโรคใบด่างมันสำปะหลัง | นร. | 13/08/2567 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ปัจจุบันโรคใบด่างมันสำปะหลังได้แพร่ระบาดในพื้นที่เพาะปลูกมันสำปะหลังของหลายจังหวัดทั่วประเทศ
ซึ่งสร้างความเสียหายต่อคุณภาพและปริมาณผลผลิตมันสำปะหลังของประเทศเป็นอย่างมาก
ดังนั้น จึงขอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมส่งเสริมการเกษตรและกรมวิชาการเกษตร)
ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาโรคใบด่างมันสำปะหลังให้หมดสิ้นไปโดยเร็วที่สุด
โดยให้เร่งตัดวงจรการระบาดของโรคดังกล่าวให้ได้ก่อน รวมทั้งให้เร่งพัฒนา วิจัย
และผลิตท่อนพันธุ์มันสำปะหลังต้านทานโรคใบด่างให้สัมฤทธิ์ผลและมีปริมาณเพียงพอที่ใช้สนับสนุนให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังได้อย่างทั่วถึงโดยเร็วต่อไป
ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการดำเนินงานในเรื่องดังกล่าวต่อนายกรัฐมนตรีภายใน
๒ สัปดาห์
|
||||||||||||||||||||||||||||||
136 | ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐคาซัคสถานว่าด้วยความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจ | พณ. | 13/08/2567 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจไทย
- คาซัคสถาน และอนุมัติการลงนามในร่างความตกลงฯ
โดยมอบอำนาจให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนาม
โดยมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย สำหรับการลงนามดังกล่าว โดยร่างความตกลงฯ มีสาระสำคัญเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคธุรกิจ
อำนวยความสะดวก และยกระดับความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างกัน
และหารือร่วมกันเพื่อจัดทำโครงการความร่วมมือในสาขาที่มีศักยภาพ เช่น
อาหารและการเกษตร เครื่องจักรกล อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า
และเศรษฐกิจสีเขียว เป็นต้น รวมถึงจัดตั้งคณะกรรมการร่วมทางการค้าเพื่อกำกับดูแลและติดตามการดำเนินการตามความตกลงฯ
โดยจะมีผลบังคับใช้เป็นเวลา ๕ ปี และจะขยายเวลาโดยอัตโนมัติต่อไปอีกทุก ๕ ปี
เว้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะแสดงเจตจำนงเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านช่องทางการทูตอย่างน้อย ๖ เดือน
ก่อนการยกเลิกความตกลงฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงการต่างประเทศ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรมีการติดตามปัญหาความไม่สงบภายในประเทศและนโยบายด้านต่างประเทศของสาธารณรัฐคาซัคสถานอย่างใกล้ชิด
พร้อมทั้งประเมินสถานการณ์ความอ่อนไหวที่สุ่มเสี่ยงจะกระทบต่อการค้าระหว่างกัน
การลงทุนของผู้ประกอบการไทยในสาธารณรัฐคาซัคสถาน
ตลอดจนการดำเนินการให้เป็นตามความตกลงฯ
เพื่อให้สามารถเตรียมความพร้อมและจัดทำมาตรการรองรับได้อย่างเหมาะสมทันต่อสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
137 | ร่างแผนดำเนินการร่วมระยะ 3 ปี เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านศักยภาพในการผลิตระหว่างประเทศสมาชิกกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (ค.ศ. 2024-2026) | กต. | 13/08/2567 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบต่อร่างแผนดำเนินการร่วมระยะ ๓ ปี
เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านศักยภาพในการผลิตระหว่างประเทศสมาชิกกรอบความร่วมมือแม่โขง
- ล้านช้าง (ค.ศ. ๒๐๒๔ - ๒๐๒๖) และให้เจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสของประเทศไทยในกรอบความร่วมมือแม่โขง
- ล้านช้าง หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายมีหนังสือแจ้งให้การรับรองร่างแผนดำเนินการร่วมฯ
ตามที่ประเทศสมาชิกมีฉันทามติ โดยร่างแผนดำเนินการร่วมระยะ ๓ ปีฯ มีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมความร่วมมือด้านศักยภาพในการผลิตเพื่อส่งเสริม
การพัฒนาด้านอุตสาหกรรม และการเสริมสร้างผลิตภาพการผลิต ที่นำมาซึ่งผลประโยชน์ร่วมและความร่วมมือที่ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแผนดำเนินการร่วมระยะ
๓ ปีฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงพาณิชย์และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงพาณิชย์ เห็นว่ากระทรวงการต่างประเทศ ควรประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานของไทยรับทราบอย่างทั่วถึง
เพื่อให้การดำเนินงานตามร่างแผนดำเนินการร่วมระยะ ๓ ปีฯ
เกิดประโยชน์และมีผลเป็นรูปธรรมมากที่สุด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรวิเคราะห์และประเมินผลจากการร่วมรับรองร่างแผนดำเนินการร่วมระยะ ๓ ปีฯ รวมถึงสื่อสารผลลัพธ์การดำเนินงานที่เกี่ยวข้องให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงผลประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับด้วย ๒.
การจัดทำความร่วมมือหรือการขอรับความช่วยเหลือจากต่างประเทศภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง
- ล้านช้างในเรื่องใด ๆ
ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณารายละเอียดความจำเป็นเหมาะสม
และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวอย่างรอบคอบและรอบด้านตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ (เรือง การขอรับความช่วยเหลือจากต่างประเทศ) อย่างเคร่งครัด |
||||||||||||||||||||||||||||||
138 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้ไม้พะยูงเป็นสินค้าที่ต้องห้าม ให้ไม้ท่อน ไม้แปรรูป และไม้ล้อมบางชนิด เป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาต และให้สิ่งประดิษฐ์ของไม้และถ่านไม้เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรอง ในการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | พณ. | 06/08/2567 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์
เรื่อง กำหนดให้ไม้พะยูงเป็นสินค้าที่ต้องห้าม ให้ไม้ท่อน ไม้แปรรูป และไม้ล้อมบางชนิด
เป็นสินสินค้าที่ต้องขออนุญาต
และให้สิ่งประดิษฐ์ของไม้และถ่านไม้เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรอง
ในการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง
กำหนดให้ไม้พะยูงเป็นสินค้าที่ต้องห้าม ให้ไม้ท่อน ไม้แปรรูป และไม้ล้อมบางชนิด
เป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาต
และให้สิ่งประดิษฐ์ของไม้และถ่านไม้เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรอง
ในการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๖๖ เพื่อยกเลิกมาตรการควบคุมการส่งออกสิ่งประดิษฐ์ของไม้
(ที่ไม่ใช่ไม้พะยูง) ไปนอกราชอาณาจักร
เพื่อลดภาระและอำนวยความสะดวกในการประกอบอาชีพของประชาชน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เห็นว่าการแก้ไขเพิ่มเติมข้อ ๖
ซึ่งเป็นการยกเลิกมาตรการควบคุมการส่งออกสิ่งประดิษฐ์ของไม้
ทำให้เนื้อหาของร่างประกาศฯ ไม่สอดคล้องกับชื่อร่างประกาศฯ
ที่ยังคงกำหนดให้สิ่งประดิษฐ์ของไม้เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองในการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร
ซึ่งจะทำให้เกิดความสับสนแก่ประชาชนและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง
และควรมีการพิจารณาความจำเป็นในการกำหนดบทนิยามคำว่า “สิ่งประดิษฐ์ของไม้”
รวมทั้งกำหนดมาตรการควบคุมการส่งออกสำหรับสินค้าไม้แปรรูปบางกรณีที่อยู่ในความหมายของบทนิยามดังกล่าวด้วย
และการแก้ไขเพิ่มเติมข้อ ๗ โดยเพิ่มเติมคำว่า “ตามบัญชีท้ายประกาศนี้”
ควรพิจารณาให้มาตรการควบคุมการส่งออกไม้พะยูงและสินค้าที่ทำจากไม้พะยูงเป็นไปโดยสอดคล้องกับมติดณะรัฐมนตรีที่ห้ามการส่งออกไม้พะยูงทุกกรณีออกไปนอกราชอาณาจักร
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
ที่เห็นควรพิจารณาเรื่องการจัดทำระบบตรวจสอบย้อนกลับที่มาของสินค้าจากไม้ที่ขออนุญาตส่งออกไปนอกราชอาณาจักร
เพื่อสนับสนุนสินค้าที่ปลดจากการตัดไม้ทำลายป่า
โดยสอดดคล้องกับมาตรการของประเทศคู่ค้า เช่น สหภาพยุโรป ภายใต้นโยบาย European Union Deforestation Regulation เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
139 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ เพื่อเช่ารถยนต์ประจำตำแหน่ง จำนวน 2 คัน และรถส่วนกลาง (รถโดยสาร) จำนวน 1 คัน | พณ. | 06/08/2567 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์ทำสัญญาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ - พ.ศ. ๒๕๗๒
เพื่อเป็นค่าเช่ารถยนต์ประจำตำแหน่ง และรถส่วนกลาง (รถโดยสาร) รวมจำนวน ๓ รายการ
วงเงินรวมทั้งสิ้น ๘,๑๙๑,๘๐๐ บาท ตามนัยมาตรา ๔๒ ของพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
สำหรับค่าใช้จ่ายในการเช่ารถยนต์ประจำตำแหน่งและค่าเช่ารถส่วนกลางที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ จำนวน ๔๐๙,๕๙๐ บาท ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ ของสำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ ส่วนค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป
ให้สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
140 | ขอความเห็นชอบรายละเอียดความร่วมมือ: เพื่อนำไปสู่ความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจและวาระการดำเนินงานภายใต้ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย - ออสเตรเลีย (เซก้า) | พณ. | 30/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรายละเอียดความร่วมมือ
: เพื่อนำไปสู่ความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจและวาระการดำเนินงานภายใต้ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย
- ออสเตรเลีย (เซก้า) และมอบหมายกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
เพื่อนำวาระการดำเนินงานภายใต้ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย - ออสเตรเลีย
(เซก้า) ดังกล่าว ไปปฏิบัติและติดตามความคืบหน้าต่อไป โดยรายละเอียดความร่วมมือฯ เป็นเอกสารที่ระบุสาขาความร่วมมือที่ทั้งสองฝ่ายเห็นร่วมกันที่จะมีการหารือ/พัฒนา/แลกเปลี่ยนข้อมูล
ความรู้และแนวปฏิบัติที่ดีระหว่างกันในสาขาต่าง ๆ ๘ สาขา ได้แก่ ๑) เกษตรเทคโนโลยี
และระบบอาหารที่ยั่งยืน ๒) การท่องเที่ยว ๓) บริการสุขภาพ ๔) การศึกษา ๕)
การค้าดิจิทัลและเศรษฐกิจดิจิทัล ๖) เศรษฐกิจสร้างสรรค์ ๗) การลงทุนระหว่างกัน และ
๘) พลังงาน เศรษฐกิจสีเขียว และการลดการปล่อยคาร์บอน และวาระการดำเนินงานฯ
เป็นเอกสารที่ระบุกิจกรรมความร่วมมือตามสาขาที่ได้มีการระบุไว้ในรายละเอียดความร่วมมือฯ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของแต่ละฝ่าย เช่น สาขาเกษตร
มีการกำหนดกิจกรรมในการแลกเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับระบบอาหารการเกษตรยั่งยืน ส่งเสริมเกษตรอัจฉริยะและแลกเปลี่ยนเงื่อนไขด้านการนำเข้า
โดยมีหน่วยงานที่รับผิดชอบของฝ่ายไทย เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
เป็นต้น
สาขาการลงทุนระหว่างกันมีการกำหนดกิจกรรมในการสร้างเครือข่ายภาคธุรกิจด้านการลงทุน
แลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการยอมรับทักษะแรงงานระหว่างกัน โดยมีหน่วยงานที่รับผิดชอบของฝ่ายไทย
เช่น สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า
เป็นต้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเอกสารรายละเอียดความร่วมมือ
: เพื่อนำไปสู่ความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจและวาระการดำเนินงานภายใต้ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย - ออสเตรเลีย (เซก้า)
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย |