ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 723 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 14441 - 14460 จากข้อมูลทั้งหมด 124240 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
14441 | การประชุมใหญ่ผู้แทนผู้มีอำนาจเต็ม ปี ค.ศ. 2018 ของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ | ดศ | 24/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบเอกสารท่าทีของประเทศไทยในการเข้าร่วมการประชุมใหญ่ผู้แทนผู้มีอำนาจเต็ม ปี ค.ศ. ๒๐๑๘ ของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union : ITU) รวมถึงร่างข้อสงวนต่อกรรมสารสุดท้ายซึ่งได้แก้ไขตามที่กระทรวงการต่างประเทศได้ให้ความเห็นชอบ และมอบหมายให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทยหรือผู้แทนไทยที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าคณะพิจารณาใช้ดุลยพินิจตามสถานการณ์ตามความเหมาะสมในเรื่องที่จะเป็นประโยชน์ต่อไป ทั้งนี้ จะมีการประชุม ณ นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ระหว่างวันที่ ๒๙ ตุลาคม-๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ๑.๒ มอบอำนาจให้แก่หัวหน้าคณะและรองหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการอภิปราย ลงมติ และลงนามในกรรมสารสุดท้ายของการประชุมใหญ่ผู้แทนผู้มีอำนาจเต็ม ปี ค.ศ. ๒๐๑๘ ของ ITU ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือแต่งตั้งผู้แทน (Credentials) โดยมอบอำนาจตามข้อ ๑.๒ ให้แก่หัวหน้าคณะและรองหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมทำหน้าที่เป็นหน่วยงานอำนวยการในนามของรัฐบาลไทยกับ ITU สำหรับการประชุมใหญ่ผู้แทนผู้มีอำนาจเต็ม ปี ค.ศ. ๒๐๑๘ ของ ITU ส่วนการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับ ITU ในอนาคต ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ (เรื่อง การประสานงานกับองค์การระหว่างประเทศตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ และที่แก้ไขเพิ่มเติม) อย่างเคร่งครัดต่อไป ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศเร่งดำเนินการเจรจาต่อรองกับประเทศสมาชิกอื่น ๆ เพื่อสนับสนุนให้ไทยได้รับการเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาบริหารของ ITU ต่อเนื่องเป็นสมัยที่ ๑๐ ซึ่งจะทำให้ไทยได้มีส่วนร่วมในการบริหารงานของ ITU รวมทั้งการกำหนดนโยบายทิศทางการพัฒนา และวางแผนด้านโทรคมนาคม เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร อันจะเป็นประโยชน์กับไทยต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14442 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและเทคโนโลยีดิจิทัลระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งสาธารณรัฐรวันดา | ดศ | 24/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและเทคโนโลยีดิจิทัลระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งสาธารณรัฐรวันดา รวมทั้งอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมมอบหมายให้เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในการประชุมใหญ่ผู้แทนผู้มีอำนาจเต็มปี ค.ศ. ๒๐๑๘ (Plenipotentiary Conference 2018 : PP-18) ของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ ณ นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ระหว่างวันที่ ๓๑ ตุลาคม-๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการพัฒนาด้านโทรคมนาคมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) และเทคโนโลยีดิจิทัลของสองประเทศ เช่น พัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรม ICT และเทคโนโลยีดิจิทัล ส่งเสริมความร่วมมือด้านโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบรนด์และพัฒนาการบริการ ส่งเสริมนวัตกรรมดิจิทัลและระบบนิเวศดิจิทัล เป็นต้น ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขถ้อยคำของร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมสามารถดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับข้อเสนอแนะเพิ่มเติมของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับ Paragraph 2 AREAS OF COOPERATION หัวข้อย่อย (D) ข้อความเดิม Digital Innovation such as Big Data, Internet of Things (IoT) and Artificial Intelligence (AI) เสนอเพิ่มข้อความ Financial Technology and Service เข้าไว้ในส่วนของตัวอย่างของ Digital Innovation ด้วย เนื่องจากสาธารณรัฐรวันดาได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่เข้าใกล้ความเป็น Cashless Society ดังนั้น หากมีความร่วมมือในด้านดังกล่าวด้วย ประเทศไทยจะได้ประโยชน์จากประสบการณ์ของสาธารณรัฐรวันดาในการดำเนินการด้านการเงินแบบไร้เงินสดในประเทศไทยอย่างสูง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14443 | โครงการพัฒนาที่ราชพัสดุบริเวณสถานีขนส่งหมอชิต | กค | 24/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14444 | ขออนุมัติการจัดทำโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ (โครงการบ้านเคหะกตัญญู คลองหลวง 1) | พม | 24/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ (โครงการบ้านเคหะกตัญญู คลองหลวง ๑) จำนวน ๑ โครงการ รวม ๑๙๒ หน่วย วงเงินลงทุนรวม ๔๑๗.๑๓๙ ล้านบาท ประกอบด้วย เงินกู้ภายในประเทศ ๓๓๕.๕๕๓ ล้านบาท และเงินรายได้ของการเคหะแห่งชาติ ๘๑.๕๘๖ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ทั้งนี้ การจัดหาและการค้ำประกันเงินกู้เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง โดยให้การเคหะแห่งชาติจัดทำแผนการใช้เงินและเสนอความต้องการกู้เงินสำหรับบรรจุในแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ โดยกระทรวงการคลังจะเป็นผู้พิจารณาจัดลำดับความสำคัญในการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไขและรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินตามความเหมาะสมและความจำเป็นต่อไป ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยการเคหะแห่งชาติ รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การให้ความสำคัญกับการจัดสภาพแวดล้อมและสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ (การกำหนดพื้นที่ลานกิจกรรม สวนสาธารณะ หน่วยรักษาพยาบาล การจัดเตรียมยานพาหนะ) การบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นสำหรับผู้สูงอายุ การกำหนดคุณสมบัติ เงื่อนไข และวิธีการให้ผู้สูงอายุเข้าร่วมโครงการฯ การตรวจติดตามคุณภาพชีวิตและข้อคิดเห็นของผู้อยู่อาศัย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14445 | ผลการประชุมแผนความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ครั้งที่ 7 | พณ | 24/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมแผนความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ครั้งที่ ๗ และกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๕-๖ กันยายน ๒๕๖๑ ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของ สปป.ลาว (H.E. Mrs. Khemmani Pholsena) เป็นประธานร่วม และมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามผลการประชุมฯ เพื่อให้ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-สปป.ลาว เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยสาระสำคัญของการประชุมฯ ทั้งสองฝ่ายได้ปรึกษาหารือในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ การร่วมกันบรรลุเป้าหมายการค้า ๑๑,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ๒๕๖๔ การอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุน ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ ความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน ความร่วมมือด้านสินค้าเกษตร ความร่วมมือระหว่างสำนักงานพาณิชย์จังหวัดกับแผนกอุตสาหกรรมและการค้าแขวงตามแนวชายแดนไทย-สปป.ลาว ความร่วมมือด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ความร่วมมือภาคเอกชน รวมทั้งความร่วมมืออื่น ๆ ได้แก่ การส่งเสริมความร่วมมือกันในการจัดเก็บข้อมูลด้านการค้า ทรัพย์สินทางปัญญา การระงับข้อพิพาททางเศรษฐกิจ และการคุ้มครองผู้บริโภค และกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ และการลงพื้นที่ Container Yard ณ ท่านาแล้ง เพื่อสำรวจความคืบหน้าการพัฒนาโครงข่ายเส้นทางรถไฟของลาว และโครงการเชื่อมต่อระบบรางรถไฟไทย-ลาว-จีน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เช่น ในขั้นตอนการปฏิบัติ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานควรดำเนินการในประเด็นความร่วมมือต่าง ๆ ด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ มิให้การปฏิบัติงานกระทบต่อความมั่นคงของทั้งสองประเทศ ประกอบกับรัฐบาลไทยและ สปป.ลาว ควรหารือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อให้การดำเนินงานมีความสอดคล้อง ต่อเนื่องและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนทั้งสองประเทศ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงพลังงานร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางในการให้ความช่วยเหลือ สปป.ลาว ในประเด็นการก่อสร้างเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำให้เหมาะสมเพื่อใช้เป็นท่าทีในการประชุมการเจรจาความร่วมมือด้านพลังงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14446 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee: JTC) ไทย-เวียดนาม ครั้งที่ 3 และกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | พณ | 24/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) ไทย-เวียดนาม ครั้งที่ ๓ และกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒-๓ สิงหาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยผลการประชุมฯ มีประเด็นสำคัญ ได้แก่ การร่วมกันบรรลุเป้าหมายการค้า ๒๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี ๒๕๖๓ และทั้งสองฝ่ายได้ตกลงร่วมกันในด้านความร่วมมือเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้า ความร่วมมือด้านการส่งเสริมการค้า ด้านมาตรการเยียวยาทางการค้า ด้านเกษตร ป่าไม้ และประมง ด้านการเชื่อมโยงการขนส่ง ด้านศุลกากร ด้านการธนาคาร ด้านการลงทุน ด้านพลังงาน ด้านแรงงาน และความร่วมมือในกรอบอนุภูมิภาคและภูมิภาค รวมทั้งกิจกรรมจับคู่ธุรกิจคู่ขนานไปกับการประชุม JTC นอกจากนี้ นักธุรกิจไทยยังได้แสดงความสนใจที่จะหาคู่ค้าด้านโลจิสติกส์ในเวียดนาม ในขณะที่ฝ่ายเวียดนามได้เชิญชวนภาคเอกชนไทยมาลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมของเวียดนาม ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรงพลังงาน กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และธนาคารแห่งประเทศไทย เร่งรัดการดำเนินการตามผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) ไทย-เวียดนาม ครั้งที่ ๓ เพื่อให้ความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-เวียดนาม เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดติดตามการดำเนินการของฝ่ายเวียดนามในการแก้ไขปัญหาการส่งออกรถยนต์ของไทยไปยังเวียดนามโดยหาข้อตกลงที่เป็นที่ยอมรับร่วมกันของทั้งสองฝ่าย โดยยึดหลักการของผลประโยชน์ต่างตอบแทนที่เท่าเทียมกันให้ได้ผลโดยเร็ว ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นควรติดตามและผลักดันให้เวียดนามผ่อนคลายมาตรการกีดกันรถยนต์ส่งออกจากไทยไปเวียดนามเพื่อต่อยอดผลการประชุม JTC เรื่องการแก้ไขปัญหามาตรการกีดกันทางการค้าของเวียดนาม ซึ่งส่งผลกระทบต่อไทยอย่างมาก หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเสนอแนวทางการผลักดันประเด็นนี้กับฝ่ายเวียดนามด้วยมาตรการอื่นเพิ่มเติมนอกเหนือจากการจัดทำความตกลงยอมรับร่วม MRA ด้วย และควรพิจารณาความสอดคล้องระหว่างระเบียบ Decree 54 ของเวียดนามที่จำกัดสิทธิของธุรกิจดังกล่าวกับกฎระเบียบขององค์การการค้าโลก ทั้งนี้ ควรเร่งรัดหารือแนวทาง และกรอบการดำเนินงานร่วมกันให้ชัดเจนเกี่ยวกับการจัดทำความตกลงยอมรับร่วมระหว่างไทย-เวียดนาม (Bilateral MRA) สำหรับความร่วมมือด้านการตรวจสอบรถยนต์ระหว่างไทย-เวียดนาม อาจผลักดันให้เวียดนามยอมรับเกณฑ์การทดสอบตามมาตรฐานทดสอบมลพิษของสหประชาชาติ (UN Regulations)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14447 | ผลการประชุมผู้นำยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี - เจ้าพระยา - แม่โขง (Ayeyawady - Chao Phraya - Mekong Economic Cooperation Strategy : ACMECS) ครั้งที่ 8 | กต | 24/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมผู้นำยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy : ACMECS) ครั้งที่ ๘ เมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๑ ณ กรุงเทพมหานคร ภายใต้หัวข้อ “การก้าวสู่ประชาคมแม่โขงที่เชื่อมโยงกัน” โดยสาระสำคัญของการประชุมฯ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเปิดการประชุมฯ มีประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการปรับตัวของกรอบความร่วมมือ ACMECS ให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงของโลก โดยจะมีการรับรองแผนแม่บท ACMECS ฉบับแรกของอนุภูมิภาคที่จะใช้เป็นแนวทางการส่งเสริมความเชื่อมโยงและการพัฒนาอย่างยั่งยืนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง สำหรับภาพรวมของผลการประชุมฯ ผู้นำของประเทศสมาชิก รวมทั้งเลขาธิการอาเซียนสนับสนุนข้อริเริ่มของไทยในการจัดทำแผนแม่บท ACMECS การส่งเสริมความเชื่อมโยงทุกมิติ การสร้างความเป็นหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐและเอกชนตามนโยบายประชารัฐ (PPP) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การพัฒนาองค์ความรู้ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี รวมถึงสนับสนุนการท่องเที่ยวภายใต้นโยบาย 5 countries 1 destination การมีส่วนร่วมของประเทศหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา และการดำเนินการที่สอดประสานกับอาเซียน นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้เห็นชอบต่อข้อเสนอของไทยในการจัดตั้งกองทุน ACMECS เพื่อระดมทุนสำหรับพัฒนาโครงการภายใต้แผนแม่บท ACMECS ซึ่งไทยจะพิจารณามอบทุนเริ่มต้นในการก่อตั้งจำนวนหนึ่ง โดยจะจัดการประชุมเจ้าหน้าที่การเงินอาวุโสภายในปี ๒๕๖๑ เพื่อหารือในรายละเอียดเกี่ยวกับรูปแบบการจัดตั้งและขอบเขตการทำงานของกองทุนฯ และที่ประชุมฯ ได้มีการรับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ จำนวน ๒ ฉบับ ได้แก่ (๑) แผนแม่บท ACMECS ระยะ ๕ ปี (ค.ศ. ๒๐๑๙-๒๐๒๓) โดยที่ประชุมฯ ได้เห็นชอบและสนับสนุนการจัดลำดับความสำคัญในแผนแม่บทฯ โดยให้ดำเนินโครงการตามระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (EWEC) และระเบียงเศรษฐกิจตอนใต้ (SEC) ในระยะแรก ประกอบด้วยโครงการโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง ดิจิทัล พลังงาน และโครงการเชื่อมโยงด้านกฎระเบียบ การค้า และการลงทุน และ (๒) ปฏิญญากรุงเทพฯ (Bangkok Declaration) เป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ของประเทศสมาชิกที่จะร่วมมือกันในลักษณะหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์เพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมฯ เพื่อให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรมต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับประเด็นเรื่องการจัดตั้งกองทุน ACMECS หากมีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการตั้งกองทุนดังกล่าว เห็นควรให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ รวมถึงดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องก่อนเป็นลำดับแรก สำหรับค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ส่วนแผนงานหรือโครงการภายใต้แผนแม่บท ACMECS ควรจะมีการสอดประสานกับกรอบความร่วมมือในอนุภูมิภาคอื่น ๆ ด้วย เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14448 | การโอนบรรดาหน้าที่และอำนาจ กิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ งบประมาณ และเงินรายได้ของสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) เฉพาะในส่วนของศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบไปเป็นของสำนักงานส่งเสริม เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) | นร | 24/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้โอนบรรดาหน้าที่และอำนาจ กิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ งบประมาณ และเงินรายได้ของสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) เฉพาะในส่วนของศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ ไปเป็นของสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) เสนอ ทั้งนี้ ในส่วนของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ของศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ ภายใต้สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) ที่ได้รับจัดสรรตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ จำนวน ๒๔๙,๔๗๖,๐๐๐ บาท ให้สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14449 | ท่าทีไทยสำหรับการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ สมัยที่ 13 | ทส | 24/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบท่าทีไทยสำหรับการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ สมัยที่ ๑๓ ระหว่างวันที่ ๒๑-๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๑ ณ นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และรับทราบองค์ประกอบคณะผู้แทนไทย โดยมีเลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการเดินทางเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว โดยร่างท่าทีไทยฯ มีสาระสำคัญ เช่น (๑) ฝ่ายไทยจะสนับสนุนและให้ความร่วมมือในการดำเนินการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และใช้ประโยชน์พื้นที่ชุ่มน้ำอย่างชาญฉลาดร่วมกับประชาคมโลก (๒) ฝ่ายไทยขอให้ภาคีอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำขับเคลื่อนการดำเนินงานการให้ความรู้และการมีส่วนร่วมของประชาชนในการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากพื้นที่ชุ่มน้ำไปสู่การปฏิบัติโดยอาศัยกลไกความริเริ่มระดับภูมิภาคที่มีอยู่ และ (๓) ฝ่ายไทยเห็นควรสนับสนุนให้มีการใช้เครื่องมือ Rapid assessment of wetland ecosystem service (RAWES) ซึ่งเป็นเครื่องมือสำหรับการประเมินการให้บริการทางนิเวศของระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำโดยความสมัครใจ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างท่าทีไทยฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่ณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินการตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๗๘ วรรคสอง และควรมีการประชาสัมพันธ์ให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้ทราบถึงท่าทีและข้อตกลงของที่ประชุมดังกล่าวที่อาจมีภาระผูกพันให้ไทยต้องมีมาตรการดำเนินการรองรับซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อประชาชนและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจากการดำเนินการดังกล่าว รวมทั้งควรพิจารณาความเหมาะสมในการขอรับการสนับสนุนทางด้านวิชาการ เทคโนโลยี และด้านการเงินจากสำนักเลขาธิการอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพและความสามารถของประเทศในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และใช้ประโยชน์พื้นที่ชุ่มน้ำอย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14450 | ร่างพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ทส | 24/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามข้อสังเกตของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๗) เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๖๑ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้เฉพาะไม้ที่ขึ้นหรือปลูกในที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดินไม่เป็นไม้หวงห้าม และต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๖๑ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาร่างพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ ให้ครอบคลุมถึงการใช้ประโยชน์จากไม้ที่ขึ้นหรือที่ปลูกขึ้นในพื้นที่อื่นนอกจากที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดินด้วย ซึ่งการเพิ่มพื้นที่ดังกล่าวนอกจากจะไม่สอดคล้องกับหลักทรัพยสิทธิตามมาตรา ๑๔๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่กำหนดให้ไม้ยืนต้นเป็นส่วนควบกับที่ดินที่ไม้นั้นขึ้นอยู่แล้ว ยังขัดต่อหลักการของกฎหมายที่เกี่ยวกับป่าไม้ซึ่งเป็นการควบคุมและดูแลไม้ในพื้นที่ป่าทั้งหมด และแม้จะแก้ไขพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ เพื่อกำหนดให้ไม้ในพื้นที่อื่นนอกจากที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดิน ไม่เป็นไม้หวงห้ามแล้วก็ตาม ก็ไม่สามารถดำเนินการให้บรรลุผลได้ เพราะหากที่ดินนั้นเป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ประชาชนก็ไม่อาจทำไม้ในพื้นที่ดังกล่าวได้จนกว่าจะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๑๔ และมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ ประกอบกับการแก้ไขพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ เพื่อให้ประชาชนสามารถทำไม้ที่ขึ้นหรือที่ปลูกขึ้นในพื้นที่อื่นนอกจากที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายดิน เป็นหลักการเดียวกับที่พระราชบัญญัติสวนป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ กำหนดไว้แล้ว ดังนั้น จึงควรดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติสวนป่าฯ จะเป็นการสมประโยชน์และเป็นผลดียิ่งกว่าการแก้ไขพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ และหากการดำเนินการตามพระราชบัญญัติสวนป่าฯ มีข้อติดขัดและส่งผลให้เกิดความล่าช้าในเรื่องใด ก็ควรแก้ไขปรับปรุงกระบวนการในพระราชบัญญัติสวนป่าฯ แทน เพื่อมิให้เกิดความสับสนแก่ประชาชนในการปฏิบัติตามกฎหมายต่อไป ๒. ให้ส่งร่างพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง แล้วให้เสนอคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14451 | ร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง กำหนดวัตถุดิบและคุณภาพผลิตภัณฑ์ของโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม พ.ศ. .... | อก | 24/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง กำหนดวัตถุดิบและคุณภาพผลิตภัณฑ์ของโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพการสกัดน้ำมันปาล์ม ทั้งการสกัดแบบหีบน้ำมันแยกและหีบน้ำมันรวม เพื่อให้ได้น้ำมันปาล์มในอัตราปริมาณที่สูงเมื่อเทียบกับปริมาณวัตถุดิบ ซึ่งเป็นการยกระดับราคาและรักษาเสถียรภาพราคาของผลปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม รวมทั้งเป็นการพัฒนาคุณภาพน้ำมันปาล์มให้ได้มาตรฐานสากล ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีซึ่งให้เตรียมแผนการแก้ปัญหาระยะยาวของพืชปาล์ม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14452 | ร่างข้อบังคับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการกำหนดอัตราค่าโดยสาร วิธีการจัดเก็บค่าโดยสาร และการกำหนดประเภทบุคคลที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้า โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน พ.ศ. .... | คค | 24/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างข้อบังคับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการกำหนดอัตราค่าโดยสาร วิธีการจัดเก็บค่าโดยสาร และการกำหนดประเภทบุคคลที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้า โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขปรับปรุงอัตราค่าโดยสารระบบรถไฟฟ้าตามภาะผูกพันที่กำหนดไว้ในสัญญาสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ระหว่างการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยกับบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) โดยกำหนดให้อัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ราคาเริ่มต้น ๑๖ บาท ราคาสูงสุด ๔๒ บาท และให้ดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้ใช้อัตราค่าโดยสารใหม่ตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้คงอัตราค่าโดยสารเดิมในโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินไว้เป็นระยะเวลา ๕ เดือน จนถึงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ และใช้อัตราค่าโดยสารใหม่ตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ เป็นต้นไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14453 | ขอความเห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านสตรี ครั้งที่ 3 | พม | 24/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านสตรี ครั้งที่ ๓ ที่จะมีการรับรองในการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านสตรี ครั้งที่ ๓ (The 3rd ASEAN Ministerial Meeting on Women) ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ระหว่างวันที่ ๒๔-๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๑ โดยร่างถ้อยแถลงร่วมฯ มีสาระสำคัญเป็นการมุ่งส่งเสริมความร่วมมือด้านความเสมอภาคระหว่างเพศ และการเสริมสร้างศักยภาพของสตรีและเด็กหญิงในภูมิภาคอาเซียน ส่งเสริมการนำประเด็นหญิงชายเข้าไปในทุกภาคส่วนของการพัฒนาอย่างยั่งยืน และกระตุ้นรัฐสมาชิกและสามเสาหลักให้ผนึกกำลังและสร้างหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างรัฐสมาชิกและหุ้นส่วนภายนอกเพื่อยุติการเลือกปฏิบัติต่อสตรีและเด็กหญิงในทุกรูปแบบ เป็นต้น ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14454 | ขอความเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาแห่งอัสตานาในการประชุมระดับโลกด้านการสาธารณสุขมูลฐานสำหรับการประชุม Second International Conference on Primary Health Care Towards Universal Health Coverage and the Sustainable Development Goals | สธ | 24/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างปฏิญญาแห่งอัสตานาในการประชุมระดับโลกด้านการสาธารณสุขมูลฐานสำหรับการประชุม Second International Conference on Primary Health Care Towards Universal Health Coverage and the Sustainable Development Goals มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นในการเคารพ ปกป้อง และส่งเสริมสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน การเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านสาธารณสุขมูลฐาน การจัดบริการสุขภาพที่มีคุณภาพ ปลอดภัย ราคาเหมาะสม และให้ทุกคนสามารถเข้าถึงบริการ การมีส่วนร่วมจากทุกฝ่ายในสังคมเพื่อสร้างเสริมสุขภาพของคน การสร้างความยั่งยืนด้านสาธารณสุขมูลฐานแก่ประชาชน การเสริมสร้างพลังอำนาจของชาวบ้านและชุมชนผ่านการมีส่วนร่วมของนโยบายด้านสุขภาพของภาครัฐ ตลอดจนการผลักดันให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสนับสนุนนโยบายของชาติในการสร้างความเข้มแข็งและความยั่งยืนทางด้านสาธารณสุขมูลฐาน โดยจะมีการรับรองร่างปฏิญญาฯ ในการประชุม Second International Conference on Primary Health Care Towards Universal Health Coverage and the Sustainable Development Goals ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงอัสตานา สาธารณรัฐคาซัคสถาน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14455 | ร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน ครั้งที่ 36 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง | พน | 24/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ ๓๖ ร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน+๓ (จีน ญี่ปุ่น และเกาหลี) ครั้งที่ ๑๕ และร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมสุดยอดรัฐมนตรีพลังงานเอเชียตะวันออก ครั้งที่ ๑๒ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในคราวร่วมมือด้านพลังงานของประเทศสมาชิกอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาในกรอบอาเซียน+๓ (จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้) และประเทศคู่เจรจาในกรอบสุดยอดรัฐมนตรีพลังงานแห่งเอเชียตะวันออก (จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สหพันธรัฐรัสเซีย สหรัฐอเมริกา) และทบวงการพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศ เพื่อส่งเสริมความมั่นคงทางพลังงาน โดยที่จะมีการรับรองร่างถ้อยแถลงฯ ทั้ง ๓ ฉบับ ในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ ๓๖ การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน+๓ (จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้) ครั้งที่ ๑๕ และการประชุมสุดยอดรัฐมนตรีพลังงานแห่งเอเชียตะวันออก ครั้งที่ ๑๒ ระหว่างวันที่ ๒๙-๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานหรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นผู้ให้การรับรองในร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ทั้ง ๓ ฉบับ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงฯ ทั้ง ๓ ฉบับ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพลังงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงพลังงานได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14456 | ขออนุมัติการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และทบทวนการชดเชยดอกเบี้ยให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ตามโครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทำนา | กษ | 24/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14457 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (กระทรวงการต่างประเทศ) (นางอรุณรุ่ง โพธิ์ทอง ฮัมฟรีย์ส) | กต | 24/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางอรุณรุ่ง โพธิ์ทอง ฮัมฟรีย์ส ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงธากา สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนผู้เกษียณอายุราชการ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14458 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงยุติธรรม) (จำนวน 3 ราย 1. นางกิ่งกาญจน์ บุญประสิทธิ์ ฯลฯ) | ยธ | 24/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงยุติธรรม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๓ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง และทดแทนผู้เกษียณอายุราชการ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้
๑. นางกิ่งกาญจน์ บุญประสิทธิ์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. พันตำรวจเอก ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. พันตำรวจโท วรรณพงษ์ คชรักษ์ ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14459 | การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (นายสนิท อักษรแก้ว) | นร11 | 24/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ นายสนิท อักษรแก้ว พ้นจากการเป็นกรรมการในคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และแต่งตั้งเป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการดังกล่าว แทน นายอำพน กิตติอำพน ประธานกรรมการเดิมที่ลาออกจากตำแหน่ง ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๑) เป็นต้นไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14460 | แต่งตั้งผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (นายสมพงษ์ ปรีเปรม) | มท | 24/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นายสมพงษ์ ปรีเปรม ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โดยให้ได้รับค่าตอบแทนคงที่ในอัตราเดือนละ ๔๗๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ (ตามมติคณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ครั้งที่ ๙/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๑) ส่วนค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์อื่น รวมทั้งเงื่อนไขการจ้าง และการประเมินผลการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้าง แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ และให้นายสมพงษ์ ปรีเปรม ลาออกจากการเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจก่อนลงนามในสัญญาจ้างด้วย
|
.....