ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 725 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 14481 - 14500 จากข้อมูลทั้งหมด 124240 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
14481 | ขออนุมัติลงนามเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะทำงานสาขาความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดนภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง ครั้งที่ 2 | พณ | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะทำงานสาขาความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดน ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (Mekong-Lancang Cooperation : MLC) ครั้งที่ ๒ ที่ประเทศสมาชิกทุกประเทศยกเว้นประเทศไทย ได้ลงนามแล้วในการประชุมดังกล่าว เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๑ ณ นครคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ เป็นเอกสารสรุปผลการประชุมที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการร่วมกันเพื่อให้บรรลุเป้าการค้าระหว่างประเทศสมาชิกให้ถึง ๒๕๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ๒๕๖๓ ตามที่ได้ประกาศไว้ในแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีเศรษฐกิจประเทศสมาชิกแม่โขง-ล้านช้าง เพื่อกระชับความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดน โดยประเทศสมาชิกเห็นพ้องกันในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ การเสนอให้มีความร่วมมือในการส่งเสริมการค้า การอำนวยความสะดวกทางการค้าและการเพิ่มมูลค่าการค้า โดยสาธารณรัฐประชาชนจีนจะเปิดตลาดให้กับสินค้านำเข้าจากประเทศสมาชิกมากขึ้น การกระชับความร่วมมือด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การส่งเสริมความร่วมมือด้านการลงทุน การจัดทำแผนพัฒนาระยะ ๕ ปี สำหรับความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดน การส่งเสริมการอำนวยความสะดวกทางการค้าในภูมิภาคโดยใช้เทคโนโลยีชั้นสูง ๑.๒ อนุมัติให้อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ โดยเอกสารผลลัพธ์การประชุม ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเอกสารผลลัพธ์ฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทรายภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญต่อการสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจและการดำเนินธุรกรรมทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ระหว่างกันที่เป็นธรรมและการคุ้มครองผู้บริโภค ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14482 | ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในการดำเนินงานตามแผนประชารัฐร่วมใจปลอดภัยยาเสพติด พ.ศ. 2561 | ดศ | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในการดำเนินงานตามแผนประชารัฐร่วมใจ ปลอดภัยยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๖๑ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐-๓๐ กันยายน ๒๕๖๑ ซึ่งสำนักงานสถิติแห่งชาติร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดสำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่มีอายุ ๑๘ ปี จำนวน ๔๖,๐๐๐ รายทั่วประเทศ โดยผลการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ปัญหายาเสพติดในชุมชน/หมู่บ้าน ประชาชนร้อยละ ๖.๒ พบเห็นปัญหายาเสพติดในชุมชน/หมู่บ้านด้วยตนเอง ร้อยละ ๔๓.๘ ไม่พบเห็นแต่ทราบว่ามีปัญหายาเสพติด ขณะที่ร้อยละ ๕๐.๐ ไม่พบเห็นและไม่ทราบว่ามีปัญหายาเสพติด ส่วนการซื้อขายยาเสพติด ประชาชนร้อยละ ๒.๗ พบเห็นการซื้อขายยาเสพติดได้ง่าย ร้อยละ ๓๒.๒ ไม่พบเห็นแต่ทราบว่ามีการซื้อขาย และร้อยละ ๖๔.๘ ไม่พบเห็นและไม่ทราบว่ามีการซื้อขายยาเสพติด รวมทั้งพฤติการณ์การใช้ยาเสพติด ประชาชนร้อยละ ๕.๖ พบเห็น ร้อยละ ๔๓.๓ ไม่พบเห็นแต่ทราบว่ามีผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดที่ยังมีพฤติการณ์การใช้ยาเสพติด และร้อยละ ๕๑.๑ ไม่พบเห็นและไม่ทราบว่ามีผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดที่ยังมีพฤติการณ์การใช้ยาเสพติด สำหรับความพึงพอใจและความเชื่อมั่นต่อผลการดำเนินงานของรัฐบาล พบว่า จากคะแนนเต็ม ๑๐ ประชาชนมีความพึงพอใจ ๗.๐๕ คะแนน และมีความเชื่อมั่น ๖.๙๘ คะแนน ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14483 | การขอความเห็นชอบต่อเอกสารผลลัพธ์การประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ 25 | กต | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบขอบเขตอำนาจหน้าที่ของกลุ่มศึกษาว่าด้วยการเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจเพื่อลดความเสี่ยงจากความขัดแย้งที่สืบเนื่องจากการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ซึ่งเป็นเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (ASEAN Regional Forum : ARF) ครั้งที่ ๒๕ ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยในการประชุมดังกล่าวได้เสนอให้มีการพิจารณารับรองร่างขอบเขตอำนาจหน้าที่ของกลุ่มศึกษาฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการกำหนดให้กลุ่มศึกษาฯ จัดทำข้อเสนอเกี่ยวกับมาตรการเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ และข้อเสนอในประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับความมั่นคงและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์ กฎระเบียบ และขั้นตอนต่าง ๆ ของการทำงานของกลุ่มศึกษาฯ เช่น ผู้เข้าร่วมประชุม การบริหารจัดการ และการเผยแพร่เอกสาร เป็นต้น ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองขอบเขตอำนาจหน้าที่ของกลุ่มศึกษาฯ โดยกระทรวงการต่างประเทศจะมีหนังสือแจ้งสาธารณรัฐสิงคโปร์ในฐานะประธานการประชุม ARF และประเทศอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องรับทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14484 | (ร่าง) ฐานข้อมูลและแผนที่นำทางด้านเทคโนโลยีการลดก๊าซเรือนกระจกในภาคพลังงานและขนส่ง ภาคการจัดการของเสีย และภาคกระบวนการอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ | วท | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบเอกสารผลลัพธ์การประชุมคณะทำงานสาขาความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดน ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (Mekong-Lancang Cooperation : MLC) ครั้งที่ ๒ ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๙-๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๑ ณ นครคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งประเทศสมาชิกทุกประเทศ ยกเว้นประเทศไทยได้ลงนามในเอกสารผลลัพธ์ฯ แล้วเมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๑ โดยเอกสารผลลัพธ์ฯ เป็นเอกสารสรุปผลการประชุมที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการร่วมกันเพื่อให้บรรลุเป้าการค้าระหว่างประเทศสมาชิกให้ถึง ๒๕๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ๒๕๖๓ ตามที่ได้ประกาศไว้ในแถลงการณ์ร่วมรัฐมนตรีเศรษฐกิจประเทศสมาชิกแม่โขง-ล้านช้าง เพื่อกระชับความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดน และอนุมัติให้อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเอกสารผลลัพธ์ฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญต่อการสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจและการดำเนินธุรกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ระหว่างกันที่เป็นธรรมและการคุ้มครองผู้บริโภค ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14485 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนกรกฎาคม 2561 | นร11 | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๑ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เศรษฐกิจไทย เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยในเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๑ ขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า ในด้านการใช้จ่าย ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวในเกณฑ์สูงและเร่งขึ้น มูลค่าการส่งออกสินค้ายังคงขยายตัวในเกณฑ์สูงอย่างต่อเนื่องแม้ว่าจะชะลอตัวลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนและการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนของรัฐบาลขยายตัว ในขณะที่การเบิกจ่ายรายจ่ายประจำของรัฐบาลปรับตัวลดลง ในด้านการผลิต ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรขยายตัวในเกณฑ์สูงและเร่งขึ้น และส่งผลให้ดัชนีรายได้ของเกษตรกรโดยรวมขยายตัวต่อเนื่องแม้ว่าดัชนีราคาสินค้าเกษตรยังปรับตัวลดลง ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวในเกณฑ์ดีต่อเนื่อง ในขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวและรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศชะลอตัวลง เสถียรภาพทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี อัตราเงินเฟ้อ และอัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำ การจ้างงานเพิ่มขึ้น ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลอย่างต่อเนื่อง ๒. เศรษฐกิจโลก ยังคงขยายตัวในเกณฑ์ดีต่อเนื่องและกระจายตัวมากขึ้นในทุกภูมิภาคตามการปรับตัวดีขึ้นของเครื่องชี้ทางเศรษฐกิจในประเทศสำคัญ ๆ นำโดยเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา กลุ่มประเทศยูโรโซน และญี่ปุ่น ซึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของภาคการผลิตและอุปสงค์ในประเทศ เช่นเดียวกับเศรษฐกิจจีนซึ่งยังขยายตัวต่อเนื่องตามการขยายตัวของการส่งออกและการผลิตภาคอุตสาหกรรม ในขณะที่ประเทศในภูมิภาคเอเชียอื่น ๆ ส่วนใหญ่ขยายตัวได้ดีตามการขยายตัวของการส่งออกซึ่งส่งผลให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมในหลายประเทศขยายตัวในเกณฑ์สูง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14486 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เห็นสมควรแก้ไขเหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว รวมทั้งได้มีข้อสังเกตเกี่ยวกับหลักความเป็นอิสระของตุลาการศาลปกครองในการพิจารณาพิพากษาคดี ตลอดจนกรณีที่อาจมีการร้องเรียน กล่าวหา หรือฟ้องร้องตุลาการศาลปกครองอันเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่ นั้น สมควรที่หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่รับผิดชอบเพื่อจะได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง และพิจารณาอย่างละเอียด รอบคอบ รวดเร็ว เหมาะสม เป็นธรรม และเป็นความลับ โดยคำนึงถึงความเป็นอิสระของตุลาการศาลปกครอง ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๓. ให้สำนักงานศาลปกครองเป็นหน่วยงานหลักรับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ไปพิจารณาร่วมกับสำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14487 | ขอความเห็นชอบปฏิญญาบาลาคลาวาว่าด้วยการเสริมสร้างบทบาททางเศรษฐกิจของสตรีและความเสมอภาคระหว่างเพศ ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน | พม | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบปฏิญญาบาลาคลาวาว่าด้วยการเสริมสร้างบทบาททางเศรษฐกิจของสตรีและความเสมอภาคระหว่างเพศ ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (Balaclava Declaration on Women’s Economic Empowerment and Gender Equality as a Pre-requisite for Sustainable Development) มีสาระสำคัญเกี่ยวกับแนวทางการเสริมสร้างบทบาททางเศรษฐกิจของสตรีด้านการค้าการลงทุนและบทบาทของสตรีกับสมดุลทางเศรษฐกิจภาคทะเล (Blue Economy) โดยประเทศไทยได้เห็นชอบในหลักการของปฏิญญาฯ แล้วในการประชุมระดับรัฐมนตรี เรื่อง การเสริมสร้างบทบาททางเศรษฐกิจของสตรี ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ระหว่างวันที่ ๒๖-๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐมอริเชียส ทั้งนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จะดำเนินการรายงานความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีไปยังเลขาธิการสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย เพื่อรับรองปฏิญญาฯ ต่อไป ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14488 | รายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินกองทุนเงินทดแทน สำนักงานประกันสังคม สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2559 | รง | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงแรงงานรายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินกองทุนเงินทดแทน สำนักงานประกันสังคม สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบรับรองแล้วเห็นว่า ถูกต้องตามมาตรฐานและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังประกาศใช้ด้วยแล้ว โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ฐานะการเงิน ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ กองทุนมีสินทรัพย์ จำนวน ๕๔,๑๗๐.๓๙ ล้านบาท หนี้สิน จำนวน ๒,๕๔๓.๒๘ ล้านบาท และสินทรัพย์สุทธิ/ส่วนทุน จำนวน ๕๑,๖๒๗.๑๑ ล้านบาท ๒. ผลการดำเนินงาน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ กองทุนมีรายได้ จำนวน ๖,๑๓๓.๕๗ ล้านบาท ค่าใช้จ่าย จำนวน ๑,๘๘๒.๕๗ ล้านบาท รายได้สูงกว่าค่าใช้จ่ายก่อนรายการเงินทดแทนที่เกิดขึ้นจากการตั้งสำรองเงินทดแทนสำหรับการประสบอันตรายที่เกิดขึ้นแล้ว จำนวน ๔,๒๕๑ ล้านบาท หักด้วยเพิ่มสำรองเงินทดแทนสำหรับการประสบอันตรายที่เกิดขึ้นแล้ว จำนวน ๘.๒๕ ล้านบาท รายได้สูงกว่าค่าใช้จ่ายสุทธิ จำนวน ๔,๒๔๒.๗๕ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14489 | รายงานการสอบบัญชีและงบการเงินของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ และบริษัทย่อยปี 2560 และข้อเสนอแนะจากการประชุมใหญ่ผู้แทนสมาชิก ปี 2561 | กค | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการสอบบัญชีและงบการเงินของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) และบริษัทย่อยสำหรับปีสิ้นสุด วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับงบแสดงฐานะทางการเงิน และผลการดำเนินงานของ กบข. พร้อมข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่ได้รับจากการประชุมใหญ่ผู้แทนสมาชิก เมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑ เช่น (๑) ควรแก้ไขพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญ เพื่อให้สมาชิกออมเพิ่มได้ร้อยละ ๕๐ และรัฐสมทบให้กับสมาชิกที่ออมเพิ่ม รวมทั้งขอให้ปรับสัดส่วนเงินสมทบของรัฐจากร้อยละ ๓ เป็นร้อยละ ๔ (๒) ควรให้มีเงินชดเชยสำหรับข้าราชการที่เสียชีวิต (๓) ควรเปิดโอกาสให้ผู้ที่ลาออกจาก กบข. และรับเงินไปแล้ว รวมถึงให้พนักงานมหาวิทยาลัยสมัครเป็นสมาชิก กบข. ใหม่ได้ (๔) ควรจัดสวัสดิการการกู้ยืมให้สมาชิก กบข. ที่ยังไม่เกษียณ โดยคิดอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าธนาคาร และ (๕) ควรจัดกิจกรรมเดินสายพบสมาชิกในทุกจังหวัด ทุกหน่วยงาน เพื่อให้สมาชิกเข้าใจบริการต่าง ๆ ของ กบข. เช่น บริการออมต่อ ออมเพิ่ม เปลี่ยนแปลงแผนการลงทุน ไม่ควรคาดหวังให้สมาชิกศึกษาข้อมูล กบข. ด้วยตนเอง เป็นต้น เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา ๘๒ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๓๙ และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14490 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการยกระดับและพัฒนากีฬามวยไทย ของคณะกรรมาธิการการศึกษาและการกีฬา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการศึกษาและการกีฬา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการยกระดับและพัฒนากีฬามวยไทย ซึ่งการกีฬาแห่งประเทศไทยได้รับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ในการปรับปรุงโครงสร้างหน่วยงานภายในสำนักงานคณะกรรมการกีฬามวยให้เอื้อต่อการบริหารจัดการต่อไป และรับจะไปปรับปรุงระบบฐานข้อมูลของบุคคลในวงการกีฬามวยให้มีข้อมูลรายละเอียดครบถ้วน รวมทั้งจะจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อให้ระบบทันสมัยมากขึ้น สำหรับการจัดสวัสดิการหรือสิทธิประโยชน์ให้กับบุคคลในวงการกีฬามวยและอดีตนักมวยที่ได้สร้างชื่อเสียงให้ประเทศชาตินั้น การกีฬาแห่งประเทศไทยมีงบประมาณอุดหนุนเป็นประจำทุกปีในโครงการ ๖ กุมภาพันธ์ วันมวยไทย ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14491 | ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ (กบส.) ครั้งที่ 1/2561 | นร11 | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ (กบส.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๖๑ ประกอบด้วย (๑) เรื่องเพื่อทราบ ๓ เรื่อง ได้แก่ รายงานดัชนีวัดประสิทธิภาพระบบโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ (International Logistics Performance Index : LPI) ปี ๒๕๖๑ รายงานความคืบหน้าการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย และรายงานโลจิสติกส์ของประเทศไทยประจำปี ๒๕๖๐ (๒) เรื่องสืบเนื่อง ๑ เรื่อง ได้แก่ การปรับลดขั้นตอนกระบวนการทำงานของหน่วยงานภาครัฐรายสินค้ายุทธศาสตร์ (น้ำตาล ข้าว ยางพารา สินค้าแช่แข็ง และวัตถุอันตราย) และ (๓) เรื่องเพื่อพิจารณา ๔ เรื่อง ได้แก่ การยกระดับการพัฒนาประสิทธิภาพระบบโครงข่ายการขนส่งสินค้าชายฝั่งของไทย หลักเกณฑ์และวิธีการจัดหาผู้บริหารท่าเรือของรัฐ แนวทางการบริหารจัดการและพัฒนาระบบ NSW และแผนปฏิบัติการภายใต้แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติ กบส. ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ และรายงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อนำเสนอ กบส. ตามขั้นตอนต่อไป ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ประธาน กบส. เสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น ข้อคิดเห็นเพิ่มเติมด้านการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ในเรื่องสืบเนื่อง ประเด็นการปรับลดขั้นตอนกระบวนการทำงานของหน่วยงานภาครัฐรายสินค้ายุทธศาสตร์ โดยให้มีการพัฒนาระบบ NSW ในการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์รูปแบบ Single Form ระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนแบบ B2G เพื่อให้สามารถลดเอกสารหลักฐานขั้นตอนและระยะเวลา ควรให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับระบบการยืนยันตัวตน (Authentication) เนื่องจากยังไม่มีหน่วยงานกลางที่จะทำหน้าที่ Authenticate สำหรับนิติบุคคล จึงควรพิจารณานำ National Digital ID มาใช้เป็นระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าว เป็นต้น รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยเป็นผู้บริหารท่าเรือคลองใหญ่ จังหวัดตราด และการก่อสร้างท่าเรือของรัฐโดยกรมเจ้าท่าในระยะต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14492 | การขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ 12 | กต | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมผู้นำเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ ๑๒ (12th ASEM Summit Meeting : ASEM 12) ที่จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ ๑๘-๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงบรัสเซลส์ ราชอาณาจักรเบลเยียม โดยร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ จัดทำขึ้นเพื่อเป็นการแสดงความมุ่งมั่นของประเทศสมาชิกการประชุมเอเชีย-ยุโรป (Asia-Europe Meeting : ASEM) ในการส่งเสริมความร่วมมือในสาขาที่สมาชิก ASEM ให้ความสำคัญ ได้แก่ เสาที่ ๑ การเมืองและความมั่นคง เช่น ความมั่นคงและเสรีภาพทางไซเบอร์และการต่อต้านการก่อการร้าย เสาที่ ๒ เศรษฐกิจและการเงิน เช่น การสนับสนุนองค์การการค้าโลกและระบบการค้าที่มีพื้นฐานบนระเบียบกฎเกณฑ์โดยผู้นำมุ่งมั่นที่จะขยายความร่วมมือในกรอบ ASEM ในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและความเชื่อมโยงทางดิจิทัล และยืนยันสนับสนุนการคงไว้และเพิ่มขึ้นของระบบการค้าที่เปิดกว้างแบบพหุภาคีโดยไม่เลือกปฏิบัติ และเสาที่ ๓ สังคมและวัฒนธรรม เช่น การศึกษา โดยผู้นำย้ำถึงความสำคัญของการศึกษาที่มีคุณภาพว่าเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานและเครื่องมือในการสร้างพลเมืองที่มีความรับผิดชอบและมีภูมิคุ้มกันทางสังคม ๑.๒ อนุมัติให้นายกรัฐมนตรี หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ เป็นผู้ร่วมให้การรับรองร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14493 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง แนวทางการบริหารการอุดมศึกษา : การจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา ของคณะกรรมาธิการการศึกษาและการกีฬา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการศึกษาและการกีฬา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการบริหารการอุดมศึกษา : การจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นชอบกับข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ โดยกระทรวงศึกษาธิการได้เสนอคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการพิจารณาให้แยกสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อจัดตั้งเป็นกระทรวงการอุดมศึกษา ซี่งคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๑ มีมติเห็นชอบในหลักการการจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิจัย และนวัตกรรม โดยควบรวมบางส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาและสถาบันอุดมศึกษา) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (๓ กรกฎาคม ๒๕๖๑) เห็นชอบในหลักการการจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิจัย และนวัตกรรม ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เห็นว่า การบริหารจัดการสถาบันการศึกษาควรมีระบบที่ชัดเจน มีความคล่องตัว ควรคำนึงถึงการวางรากฐานการพัฒนาศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ตั้งแต่วัยเด็กให้เติบโตขึ้นเป็นวัยแรงงานที่มีคุณภาพ มีทักษะสากล และองค์ความรู้ที่สามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้ รวมทั้งควรพิจารณากำหนดหลักสูตรที่มีคุณภาพมาตรฐานและหลักสูตรใหม่ ๆ ที่ตอบสนองต่อแนวโน้มการจ้างงานและอาชีพในยุค Thailand 4.0 ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14494 | การแต่งตั้งกงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ณ จังหวัดขอนแก่น (นายสมบัด เพ็งพะจัน) | กต | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายสมบัด เพ็งพะจัน (Mr. Sombath Phengphachanh) ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ณ จังหวัดขอนแก่น โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดขอนแก่น อำนาจเจริญ บึงกาฬ บุรีรัมย์ ชัยภูมิ กาฬสินธุ์ เลย มหาสารคาม มุกดาหาร นครพนม นครราชสีมา หนองบัวลำภู หนองคาย ร้อยเอ็ด สกลนคร ศรีสะเกษ สุรินทร์ อุบลราชธานี อุดรธานี และยโสธร สืบแทน นายบุนสี วงบัวสี (Mr. Bounsy Vongbouasy) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14495 | รัฐบาลสหพันธรัฐรัสเซียเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสหพันธรัฐรัสเซียประจำประเทศไทย (นายเยฟเกนี โตมีฮิน) | กต | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายเยฟเกนี โตมีฮิน (Mr. Evgeny Tomikhin) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสหพันธรัฐรัสเซียประจำประเทศไทย คนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นายคีริลล์ มีไฮโลวิช บาร์สกี (Mr. Kirill Mikhailovich Barsky) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14496 | รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศประจำประเทศไทย (นายมุฮัมมัด นัซมุล เคาไนน์) | กต | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายมุฮัมมัด นัซมุล เคาไนน์ (Mr. Md. Nazmul Quaunine) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศประจำประเทศไทย คนใหม่โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นางซะอีดะฮ์ มุนา ตัสนีม (Mrs. Saida Muna Tasneem) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14497 | ขออนุมัติให้ความช่วยเหลือสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในการซ่อมแซมบูรณะความเสียหายสะพานมิตรภาพ 3 (นครพนม-คำม่วน) และสะพานมิตรภาพ 4 (เชียงของ-ห้วยทราย) | คค | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่าแก่รัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ในการซ่อมแซมบูรณะความเสียหายสะพานมิตรภาพ ๓ (นครพนม-คำม่วน) และสะพานมิตรภาพ ๔ (เชียงของ-ห้วยทราย) เป็นกรณีเฉพาะ ในวงเงิน ๒๗,๐๐๐,๐๐๐ บาท สำหรับวงเงินงบประมาณในการซ่อมแซมบูรณะนั้น ขอให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) คำนึงถึงแหล่งเงินนอกงบประมาณและเร่งดำเนินการขอทำความตกลงในรายละเอียดค่าใช้จ่ายให้ทันต่อสถานการณ์อย่างเหมาะสมกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ขอให้กรมทางหลวงปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับการดำเนินการเรื่องดังกล่าวไม่มีความจำเป็นต้องแก้ไขความตกลงว่าด้วยกรรมสิทธิ์ การใช้ การบริหารและการบำรุงรักษาสะพานมิตรภาพ ๓ (นครพนม-คำม่วน) และสะพานมิตรภาพ ๔ (เชียงของ-ห้วยทราย) แต่เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าเป็นการให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่าเฉพาะคราว โดยไม่มีพันธกรณีหรือเปลี่ยนแปลงท่าทีที่ทั้งสองฝ่ายได้เคยเห็นชอบร่วมกันไว้แล้ว กระทรวงคมนาคมจึงอาจพิจารณามีหนังสือแจ้งฝ่าย สปป.ลาว ตามนัยดังกล่าวเพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน และควรใช้ประโยชน์จากการให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่าในครั้งนี้เพื่อหารือและเร่งรัดประเด็นการอำนวยความสะดวกการขนส่งข้ามพรมแดนตามข้อตกลงที่ได้ร่วมดำเนินการระหว่างกัน เช่น การเพิ่มเส้นทางหมายเลข ๑๒ (R12) ไว้ในเส้นทางขนส่งระหว่างประเทศภายใต้ความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS Cross-Border Transport Facilitation Agreement : CBTA) เป็นต้น ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14498 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee : RBC) ไทย-เมียนมา ครั้งที่ 32 | กห | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee : RBC) ไทย-เมียนมา ครั้งที่ ๓๒ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๗-๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๑ ณ จังหวัดมะละแหม่ง รัฐมอญ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยมี พลโท วิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาคที่ ๓ และ พลโท มินหน่อง ผู้บัญชาการสำนักปฏิบัติการพิเศษที่ ๔ เป็นประธานร่วม ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ทั้งสองฝ่ายยินดีต่อการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างผู้บังคับหน่วยที่ประจำการตามแนวชายแดน เพื่อเป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์ฉันมิตรและความเข้าใจซึ่งกันและกันระหว่างทั้งสองกองทัพ ๒. ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะส่งเสริมความร่วมมือในการช่วยเหลือซึ่งกันและกันกรณีเรือล่ม/เรือสูญหายใกล้กับเขตแดนทางทะเล การปราบปรามการค้ามนุษย์ โครงการหมู่บ้านเข้มแข็งคู่ขนานตามแนวชายแดน โครงการผืนป่าอาเซียน ความร่วมมือด้านสังคม สาธารณสุข การศึกษา และเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดน รวมทั้งการสร้างความตระหนักรู้และยกระดับความร่วมมือในการป้องกันไฟป่าและหมอกควัน โดยฝ่ายเมียนมายินดีที่จะจัดให้มีการลาดตระเวนทางน้ำร่วมกัน ๓. ทั้งสองฝ่ายยืนยันที่จะขยายความร่วมมือในการจับกุมผู้กระทำผิดคดียาเสพติดและยกระดับความร่วมมืออย่างใกล้ชิด และจะขยายความร่วมมือดังกล่าวไปยังหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น สำนักงานประสานงานปราบปรามยาเสพติดชายแดน (Border Liaison Office) ๔. ทั้งสองฝ่ายแสดงความยินดีต่อความร่วมมือในการใช้น้ำอย่างเป็นธรรมในแม่น้ำสาย-แม่น้ำรวก รวมทั้งความสำเร็จของคณะสำรวจของทั้งสองฝ่ายในการตรวจสอบหลักเขตแดน หลักอ้างอิงเขตแดน และการสร้างหลักเพิ่มเติม (จำนวน ๑๘ หลัก) บริเวณแม่น้ำสาย-แม่น้ำรวก และทั้งสองฝ่ายแสดงความยินดีในการบังคับใช้แนวทางด้านเทคนิคในการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งในแม่น้ำเมยและน้ำแม่กระบุรี โดยตกลงที่จะให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่และประชาชนในท้องถิ่นของตนปฏิบัติตามหลักการที่ได้ตกลงไว้ในแนวทางด้านเทคนิค นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะไม่ดำเนินการหรือกิจกรรมใด ๆ ที่มีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือทำลายสันปันน้ำ หรือคุณลักษณะทางภูมิศาสตร์อื่น ๆ ซึ่งเป็นเส้นเขตแดนของทั้งสองประเทศ ตลอดจนเห็นพ้องที่จะนำประเด็นการดูดทรายจากแม่น้ำเมย ปัญหาเกาะของแม่น้ำเมย ปัญหาบ้านแม่โกนเกน ปัญหาคอกช้างเผือก ปัญหาของ ๓ เกาะที่ปากแม่น้ำกระบุรี การก่อสร้างบริเวณช่องทางพระเจดีย์สามองค์ และการวางกำลังฐานปฏิบัติการในพื้นที่ชายแดนและพื้นที่ดอยลางซึ่งเกิดจากความไม่ชัดเจนของเส้นเขตแดนและการยึดถือแผนที่คนละฉบับเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Committee : JBC) ๕. ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะร่วมกันป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เรือประมงไทยเข้าไปทำประมงผิดกฎหมายในน่านน้ำเมียนมา ๖. ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะร่วมมือเกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาการก่ออาชญากรรมข้ามแดน และการเข้าเมืองผิดกฎหมายโดยพกพาอาวุธและกระสุนเข้าไปในเมียนมา รวมทั้งการนำเข้าและส่งออกสินค้าทุกประเภทผ่านสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา (แม่สอด-เมียวดี) โดยจะมีการประสานข้อมูลต่าง ๆ ผ่านคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14499 | การปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งอัตราข้าราชการพลเรือนประจำ กอ.รมน. | นร51 | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งอัตราข้าราชการพลเรือนประจำปีกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ซึ่งเดิมคณะรัฐมนตรีมีมติ (๙ มีนาคม ๒๕๕๓) เห็นชอบอัตรากำลังประจำ กอ.รมน. จำนวน ๒๐๐ อัตรา และมีมติ (๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖) แต่งตั้งให้มีคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนประจำ กอ.รมน. ที่มีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน/คณะอนุกรรมการสามัญประจำกรม และ/หรือคณะอนุกรรมการสามัญประจำกระทรวง ตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ และมีอำนาจหน้าที่พิจารณากำหนดระเบียบเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการพลเรือนประจำ กอ.รมน. ได้ และต่อมาคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนประจำ กอ.รมน. ได้มีการปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งอัตราข้าราชการพลเรือนประจำ กอ.รมน. จำนวน ๒ ครั้ง ซึ่งเป็นการปรับปรุงภายใต้กรอบอัตรา จำนวน ๒๐๐ อัตรา โดยไม่เพิ่มงบประมาณด้านบุคลากรตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้ ตามที่ กอ.รมน. เสนอ ๒. ให้ กอ.รมน. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. และฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐที่เห็นว่า การปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งอัตราข้าราชการพลเรือนประจำ กอ.รมน. ควรพิจารณาควบคู่ไปกับโครงสร้างการบริหารงานของ กอ.รมน. ในภาพรวม เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารและการปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายมากยิ่งขึ้น และเนื่องจากการปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งระดับสูงโดยไม่เพิ่มงบประมาณด้านบุคลากรมีผลให้ต้องยุบเลิกตำแหน่งระดับปฏิบัติงาน กอ.รมน. จึงควรพิจารณาด้วยความรอบคอบเพื่อให้มีอัตรากำลังที่เพียงพอและเหมาะสมสำหรับการปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ กอ.รมน. ควรพิจารณาบริหารจัดการอัตรากำลังในภาพรวมที่มีอยู่ให้สามารถตอบสนองต่อการปฏิบัติงานของ กอ.รมน. ตามยุทธศาสตร์และเป้าหมายที่กำหนดอย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14500 | การขอความเห็นชอบต่อร่างปฏิญญาร่วมของรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนและร่างแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา รวมทั้งร่างเอกสารความร่วมมือในกรอบการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน | กห | 16/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างปฏิญญาร่วมของรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือและเสริมสร้างความเข้มแข็งของอาเซียน จำนวน ๑ ฉบับ ร่างแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา จำนวน ๒ ฉบับ และร่างเอกสารความร่วมมือในกรอบการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน จำนวน ๗ ฉบับ รวมทั้งสิ้น ๑๐ ฉบับ ซึ่งเอกสารดังกล่าวมีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันที่จะขับเคลื่อนความร่วมมือด้านความมั่นคงและเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนกับประเทศคู่เจรจาเพื่อให้อาเซียนมีความเข้มแข็งอย่างเป็นรูปธรรมและเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถให้กับอาเซียนในการป้องกันและเตรียมความพร้อมในการรับมือกับความท้าทายด้านความมั่นคงของภูมิภาค ๑.๒ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างปฏิญญาร่วมฯ และรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ รวมทั้งร่างเอกสารความร่วมมือฯ ในการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ครั้งที่ ๑๒ (12th ASEAN Defence Ministers’ Meeting : 12th ADMM) และการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา ครั้งที่ ๕ (5th ADMM-Plus) ระหว่างวันที่ ๑๘-๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
.....