ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 722 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 14421 - 14440 จากข้อมูลทั้งหมด 124240 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
14421 | สรุปรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 44 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2560 - 31 กรกฎาคม 2561) | นร | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๔๔ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๐-๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เช่น โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์ การจัดกิจกรรมส่งเสริมวิถีชีวิตแบบประชาธิปไตยเพื่อสร้างความปรองดอง การจัดกิจกรรมให้ความรู้แก่ประชาชน เรื่อง โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริและหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียน ร้องทุกข์ ของศูนย์ดำรงธรรม ๒. การบริหารราชการแผ่นดิน ประกอบด้วย (๑) ด้านความมั่นคง เช่น การเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยความจงรักภักดีและปกป้องรักษาพระบรมเดชานุภาพ โดยการใช้มาตรการทางกฎหมายในการตรวจสอบเว็บไซต์ที่เข้าข่ายกระทำความผิดตามกฎหมาย (๒) ด้านสังคมจิตวิทยา เช่น การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม และการสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการของภาครัฐ การศึกษาและการเรียนรู้ การทำนุบำรุงศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม (๓) ด้านเศรษฐกิจ เช่น การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ การลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติมภายใต้โครงการไทยนิยม ยั่งยืน ในกลุ่มผู้พิการ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง และผู้ที่ไม่สามารถเดินทางมาลงทะเบียนได้ในปี ๒๕๖๐ (๔) การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เช่น การจัดงาน THAI TECH EXPO 2018 ภายใต้แนวคิด “เทคโนโลยีพร้อมใช้ พัฒนาไทยยั่งยืน” (๕) ด้านการต่างประเทศ เช่น การเสริมสร้างบทบาทที่สร้างสรรค์ของไทยในประชาคมโลก ผลักดันบทบาทที่สร้างสรรค์และรับผิดชอบ เป็นที่ยอมรับของประชาคมโลก (๖) การรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากร และการสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน เช่น กิจกรรม “ทำความดี ด้วยหัวใจ ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก” การจัดทำระบบเตือนภัยล่วงหน้า (Early Warning) เพื่อเฝ้าติดตามสถานการณ์น้ำและเตือนภัยที่เกิดจากน้ำท่วมฉับพลันในพื้นที่เสี่ยงภัย และ (๗) ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการภาครัฐและการอำนวยความสะดวกในการบริการประชาชน การจัดทำและเผยแพร่วีดิทัศน์เรื่อง การลดการใช้กระดาษด้วย QR Code และมาตรการยกเลิกการขอสำเนาเอกสารของทางราชการจากประชาชนทางช่องทางต่าง ๆ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14422 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมการระดับสูง (High Level Committee : HLC) ไทย-เมียนมา ครั้งที่ 6 | กห | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการระดับสูง (High Level Committee : HLC) ไทย-เมียนมา ครั้งที่ ๖ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๓-๑๙ สิงหาคม ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยมี พลเอก ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผู้บัญชาทหารสูงสุด และพลเอก อาวุโส มิน อ่อง ไหล่ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เป็นประธานร่วม ซึ่งที่ประชุมฯ ได้รับทราบเรื่องต่าง ๆ เช่น ผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee : RBC) ไทย-เมียนมา ครั้งที่ ๓๒ การดำเนินการเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างสองกองทัพ การแลกเปลี่ยนการเยือนของนายทหารระดับสูง และการดำเนินความสัมพันธ์อื่น ๆ รวมทั้งเห็นชอบในเรื่องการกำหนดแนวทางความร่วมมือทางทหาร และการเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงชายแดน นอกจากนี้ ประธานร่วมทั้งสองฝ่ายได้มีความคิดเห็นเพิ่มเติม เช่น เห็นควรให้มีการป้องกันก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์การกระทำผิดกฎหมายตามแนวชายแดน และเห็นด้วยกับการที่ทั้งสองฝ่ายได้มีการแลกเปลี่ยนรูปแบบและเทคนิคการสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งตามลำน้ำที่เป็นเขตแดนระหว่างประเทศร่วมกัน และควรเสริมสร้างความร่วมมือด้านการก่อการร้ายระหว่างกองทัพให้แน่นแฟ้น โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนข่าวกรองร่วมกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันเหตุการณ์ได้ทันเวลา เป็นต้น ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14423 | การพิจารณาความเหมาะสมของอัตราการเรียกเก็บเงินนำส่งจากสถาบันการเงิน | กค | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการพิจารณาความเหมาะสมของอัตราการเรียกเก็บเงินนำส่งจากสถาบันการเงิน โดยกระทรวงการคลังพิจารณาแล้วไม่ขัดข้องกับผลการพิจารณาของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่เห็นควรให้คงอัตราเรียกเก็บเงินนำส่งจากสถาบันการเงินที่ร้อยละ ๐.๔๖ ต่อปี เนื่องจากมีความเหมาะสมและสอดรับกับสมมติฐานอัตราการขยายตัวของฐานเงินฝากที่อาจได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจและการเงินทั้งในประเทศและตลาดการเงินโลก และเพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๕ ซึ่งกำหนดให้กระทรวงการคลัง และ ธปท. พิจารณาความเหมาะสมของอัตราเรียกเก็บเงินนำส่งของ ธปท. โดยให้แจ้งความคืบหน้าให้คณะรัฐมนตรีทราบอย่างน้อยเป็นรายปี ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14424 | รายงานประจำครึ่งปี (มกราคม-มิถุนายน 2561) ของธนาคารแห่งประเทศไทย | กค | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปี (มกราคม-มิถุนายน ๒๕๖๑) ของธนาคารแห่งประเทศไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปภาวะเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกปี ๒๕๖๑ ขยายตัวได้ร้อยละ ๔.๘ โดยมีแรงขับเคลื่อนมาจากอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศ การส่งออกขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าและจำนวนนักท่องเที่ยวขยายตัวเพิ่มขึ้น การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่องสอดคล้องกับกำลังซื้อของครัวเรือนที่มีทิศทางที่ดีขึ้น การลงทุนภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้นตามการขยายตัวของเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจที่ดีขึ้น และการใช้จ่ายภาครัฐขยายตัวและยังเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ประกอบกับภาวะการเงินยังอยู่ในระดับผ่อนคลายต่อเนื่อง รวมทั้งเสถียรภาพเศรษฐกิจในประเทศโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่น่ากังวล ๒. สรุปการดำเนินงานของธนาคารแห่งประเทศไทย ประกอบด้วย (๑) แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายการเงิน (๒) แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายสถาบันการเงิน และ (๓) แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายการชำระเงิน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14425 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Minister : AEM) ครั้งที่ 50 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง | พณ | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Minister : AEM) ครั้งที่ ๕๐ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม-๑ กันยายน ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นางสาวชุติมา บุณยประภัศร) เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ โดยสาระสำคัญของการประชุมฯ รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนได้ร่วมลงนามในเอกสาร ๒ ฉบับ คือ พิธีสารอนุวัติข้อผูกพันเปิดตลาดบริการชุดที่ ๑๐ ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการอาเซียน (ASEAN Framework Agreement on Services : AFAS) และพิธีสารฉบับที่ ๑ เพื่อแก้ไขความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ASEAN Trade in Goods Agreement : ATIGA) และได้มีการรับรอง/เห็นชอบเอกสารรวม ๗ ฉบับ อาทิ ความตกลงว่าด้วยพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน กรอบการบูรณาการด้านดิจิทัลของอาเซียน หลักการสำคัญเรื่องแนวปฏิบัติที่ดีด้านกฎระเบียบของอาเซียน บัญชีกฎเฉพาะรายสินค้าในพิกัดศุลกากรระบบฺฮาร์โมไนซ์ ๒๐๑๗ (HS2017) และบัญชีรายการสินค้าสิ่งทอและผลิตภัณฑ์สิ่งทอของพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ ๒๐๑๗ (HS2017) แนวปฏิบัติสำหรับการดำเนินการตามข้อตกลงอาเซียนว่าด้วยมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีของสินค้า นอกจากนี้ รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนรับทราบความคืบหน้าการดำเนินการที่สำคัญ อาทิ การเจรจาจัดทำความตกลงการค้าบริการอาเซียน (ASEAN Trade in Services Agreement : ATISA) การใช้งานระบบศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของอาเซียน (ASEAN Single Window) และการจัดทำร่างพิธีสารแก้ไขความตกลงการลงทุนอาเซียน ฉบับที่ ๔ [The 4th Protocol to Amend the ASEAN Comprehensive Investment Agreement (ACIA)] ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมที่เห็นควรสนับสนุนการดำเนินการและติดตามผลการประชุมฯ เพื่อส่งเสริมการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งของประเทศสมาชิกอาเซียน รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ในปี ๒๕๖๒ ซึ่งไทยจะดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนนั้น ควรตอกย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือในระดับอนุภูมิภาค (Subregional cooperation) ที่มีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องและเกิดประสิทธิผล ช่วยลดช่องว่างทางการพัฒนาในภูมิภาคอาเซียนซึ่งจะส่งผลต่อความสำเร็จในการรวมตัวกันเป็นประชาคมอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการพัฒนาความเชื่อมโยงระหว่างกัน (Connectivity) ทั้งทางด้านโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพและกฎระเบียบเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14426 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาทรรศนะอุจาด (Visual pollution) ของคณะกรรมาธิการการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาทรรศนะอุจาด (Visual pollution) โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแล้วเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ และจะรับไปดำเนินการต่อไป เช่น การกำหนดพื้นที่และจัดลำดับความสำคัญ เนื่องจากหากทำทุกพื้นที่พร้อมกันจะใช้งบประมาณสูงมาก อาจทำในพื้นที่ที่มุ่งเน้นการท่องเที่ยวหรือผลเชิงเศรษฐกิจก่อน เพื่อให้มีรายได้ในการมาพัฒนาพื้นที่อื่นต่อไป เป็นต้น และบางเรื่องได้ดำเนินการแล้ว เช่น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้ดำเนินการปรับภูมิทัศน์ตามแนวถนนสายหลักและถนนสายรอง กระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินโครงการนำสายไฟฟ้าลงดิน กรุงเทพมหานครได้บูรณาการร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ เช่น การจัดระเบียบทางเท้า ถนน ลำคลองสาธารณะ สายไฟฟ้า เป็นต้น ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14427 | รายงานประจำปี 2559 ของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) | พณ | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี ๒๕๕๙ ของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินงาน ได้แก่ การจัดการฝึกอบรม ประชุม สัมมนา ให้กับประชาชน บุคลากรภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศ การสนับสนุนการจัดทำผลงานทางวิชาการ และการขยายเครือข่ายการสร้างองค์ความรู้และการให้บริการวิชาการเพื่อการค้าและการพัฒนาทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ๒. ผลการปฏิบัติงานตามคำรับรองการปฏิบัติงาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ในภาพรวม ได้คะแนน ๔.๗๐๒๙ ๓. งบแสดงฐานะทางการเงิน ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบและรับรองแล้ว โดยเห็นว่า งบการเงินดังกล่าวถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังประกาศใช้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14428 | ร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. .... | ศธ | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. .... ที่คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาเสนอ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้เด็กปฐมวัยทุกคนได้รับการคุ้มครอง การดูแล การพัฒนาและการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ทั่วถึงและเท่าเทียมตามหลักวิชาการ เชื่อมโยงการดูแล พัฒนา และจัดการเรียนรู้ โดยเฉพาะในช่วงรอยต่อระหว่างช่วงก่อนวัยเรียนและวัยเรียน และเพื่อบูรณาการการทำงานร่วมกันในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับเด็กปฐมวัยให้เป็นเอกภาพและมีประสิทธิภาพ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับความเชื่อมโยงและความสอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... รวมทั้งข้อสั่งการที่ให้พิจารณาในขั้นตอนการปฏิบัติ ประสิทธิภาพและความเข้าใจที่ตรงกันขององค์กร เจ้าหน้าที่ และประชาชน มากกว่าคำนึงเพียงหลักการหรือการดำเนินการตามแบบอย่างจากต่างประเทศ และให้พิจารณาการดำเนินการในระยะแรกว่าจะฝากความหวังกับการบริหารจัดการของท้องถิ่นและหน่วยงานต่าง ๆ ได้อย่างไร ต้องพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้องให้พร้อม ก่อนนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ และมีการประเมินผลเฉพาะจุดหรือเฉพาะพื้นที่ก่อน และความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการคลัง สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ คณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา คณะกรรมการพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ คณะกรรมการพิจารณาโครงสร้างหน่วยงานและระบบค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐ คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เช่น ความจำเป็นในการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัย การกำหนดหน้าที่และอำนาจของส่วนราชการหน่วยงานของรัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรให้ชัดเจนและไม่เกิดความซ้ำซ้อน ความจำเป็นในการกำหนดให้มีคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัย การพิจารณาปรับเพิ่มอำนาจหน้าที่และกลไกการกำกับดูแลของคณะกรรมการพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติแทนการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัยขึ้นใหม่ และกรณีร่างมาตรา ๒๗ วรรคสอง ให้บรรดารายได้เมื่อหักค่าใช้จ่ายการดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัยแล้วให้นำส่งเป็นรายได้ของรัฐ ควรปฏิบัติตามมาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ นอกจากนี้ มาตรา ๔๓ แห่งพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ได้กำหนดให้ระวางโทษปรับห้าแสนบาท กรณีที่ผู้ใดฝ่าฝืนให้มีการรับเด็กปฐมวัยเข้าในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยและสถานศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ โดยวิธีสอบคัดเลือก อาจเป็นการตรากฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๗๗ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาเสนอ ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ) เกี่ยวกับการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัย และให้คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาเร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว แล้วแจ้งผลไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อประกอบการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไป ๔. ให้คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษารับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงบประมาณ คณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา คณะกรรมการพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ คณะกรรมการพิจารณาโครงสร้างหน่วยงานและระบบค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14429 | ร่างพระราชกฤษฎีกาการได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กห | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาการได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ข้าราชการทหารซึ่งปฏิบัติหน้าที่ที่มีลักษณะซึ่งต้องใช้วิชาชีพเฉพาะมีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งเพิ่มเติม จำนวน ๖ สาขาวิชาชีพ คือ (๑) สาขากายอุปกรณ์ (๒) สาขาจิตวิทยาคลินิก (๓) สาขาเทคโนโลยีหัวใจและทรวงอก (๔) สาขาสังคมสงเคราะห์ (๕) สาขาเวชศาสตร์การสื่อความหมาย และ (๖) สาขากิจกรรมบำบัด ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. เกี่ยวกับการกำหนดให้ตำแหน่งนักสังคมสงเคราะห์เป็นตำแหน่งที่มีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่ง ควรพิจารณาโดยคำนึงถึงลักษณะงานและคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งที่จะมีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว โดยต้องเทียบเคียงกับผู้ดำรงตำแหน่งในลักษณะงานวิชาชีพอื่นที่มีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งและข้าราชการประเภทอื่นที่ปฏิบัติงานคล้ายคลึงกัน ไปประกอบการพิจารณาด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14430 | การเชื่อมโยงข้อมูลภาพใบหน้าบุคคลจากฐานข้อมูลทะเบียนกลางของกรมการปกครองด้วยระบบคอมพิวเตอร์ | ลต | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ผู้อำนวยการทะเบียนกลางยินยอมให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (สำนักงาน กกต.) เชื่อมโยงข้อมูลในทะเบียนอื่น (ภาพใบหน้า) นอกจากทะเบียนตามมาตรา ๑๕ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งเป็นข้อมูลที่เป็นสาระสำคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ ตามบทบาทหน้าที่ของสำนักงาน กกต. และเป็นการดำเนินการเพื่อประโยชน์ในการรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงในราชอาณาจักร ทั้งนี้ จะไม่นำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในทางธุรกิจหรือนอกเหนือภารกิจ/วัตถุประสงค์ที่ร้องขอ ตามที่สำนักงาน กกต. เสนอ และให้ สำนักงาน กกต. รับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเกี่ยวกับการเชื่อมโยงข้อมูลภาพใบหน้าบุคคลดังกล่าวจะต้องคำนึงถึงความมั่นคงปลอดภัยของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการรักษาความลับของทะเบียนประวัติราษฎรอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้ สำนักงาน กกต. ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย โดยกรมการปกครอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการกำหนดมาตรการคุ้มครองและรักษาความปลอดภัยในการเข้าถึงข้อมูลภาพใบหน้าบุคคลจากฐานข้อมูลทะเบียนกลางของกรมการปกครอง รวมทั้งระบบการตรวจสอบและป้องกันการนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้นอกเหนือภารกิจหรือการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลให้ชัดเจนด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14431 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการกลับเป็นผู้ประกันตน พ.ศ. .... | สว | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการกลับเป็นผู้ประกันตน พ.ศ. .... โดยการได้สิทธิและหน้าที่ของผู้กลับมาเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๖ ได้มีการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ตามสื่อต่าง ๆ ให้ทราบแล้ว และได้มีการขยายระยะเวลาแสดงความจำนงเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๓๙ ให้ยาวกว่า ๑๘๐ วัน เพื่อให้ผู้ที่สิ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับประโยชน์ในกรณีต่าง ๆ ต่อไปอีก ๖ เดือน นับแต่วันที่สิ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตน สำหรับการปรับปรุงแก้ไขมาตรา ๔๑ (๔) (๕) ได้มีมาตรการผ่อนปรนเพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาการสิ้นสภาพความเป็นผู้ประกันตน ส่วนการจัดสรรเงินกองทุนใช้ประโยชน์ทดแทนตามมาตรา ๒๔ อยู่ระหว่างดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ของการจัดสรรเงินกองทุนดังกล่าว โดยเห็นควรที่จะลดลงและยึดหลักธรรมาภิบาลเพื่อมิให้เกิดปัญหาในการใช้จ่ายเงินกองทุนในอนาคต นอกจากนี้ การปรับเปลี่ยนเงื่อนไขเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ในกรณีชราภาพได้มีแนวทางและมาตรการรองรับเพื่อให้เกิดความเหมาะสมและเป็นธรรม รวมทั้งได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ และพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ ให้สามารถนำเงินจากกองทุนประกันสังคมมาใช้ในกรณีที่ลูกจ้างจะต้องได้รับการรักษาหรือฟื้นฟูสมรรภาพ เมื่อสิทธิตามกองทุนเงินทดแทนของลูกจ้างหมดไปแล้ว ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14432 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. .... | สว | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. .... ซึ่งเห็นควรแก้ไขปรับปรุงเหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว รวมทั้งมีข้อสังเกตว่า รัฐบาลควรพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้แก่สถาบันวัคซีนแห่งชาติให้เพียงพอต่อการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์การจัดทำแผนยุทธศาสตร์ด้านวัคซีน ควรพิจารณาให้มีการขยายกำลังการผลิตวัคซีนสำหรับสัตว์ให้มีปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศ สำหรับการตั้งคณะอนุกรรมการของคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติหรือของคณะกรรมการบริหารสถาบันวัคซีนแห่งชาติควรพิจารณาให้มีตัวแทนจากภาครัฐและภาคเอกชนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะต้องพิจารณาเข้าร่วมเป็นคณะอนุกรรมการด้วย ส่วนการดำเนินการเพื่อจัดหาวัคซีนมาใช้ภายในประเทศควรคำนึงถึงคุณภาพและความคุ้มค่าในเชิงเศรษฐกิจและการได้รับประโยชน์ด้านอื่น ๆ ประกอบกัน และควรกระจายวัคซีนให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ตลอดจนควรต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อนำข้อมูลมาประกอบการจัดทำนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติต่อไป ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. .... ตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักรับข้อสังเกตดังกล่าวไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14433 | ขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนในพื้นที่ป่าชายเลน ในท้องที่อำเภอขนอม และอำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช | ทส | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๓๔ วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๓ และวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๓ เพื่อนำที่ดินที่เป็นป่าชายเลน ท้องที่อำเภอเมือง และอำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช ไปดำเนินการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนของพื้นที่ที่เข้าข่ายเป็น “ที่จับสัตว์น้ำ” ตามนัยมาตรา ๕ แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และพื้นที่ที่ทับซ้อนตามข้อสังเกตของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ [พื้นที่ป่าไม้ถาวร “ป่าเลนปากพญา-ปากนคร แปลง ๔” และ “ป่าเลนคลองขนอม” พื้นที่ที่จำแนกออกจากป่าไม้ถาวร “ป่าเลนคลองขนอม” เพื่อเป็นที่ทำกินของราษฎร หรือเพื่อใช้ประโยชน์อย่างอื่นที่จัดสรรเพื่อการเกษตรกรรมหรือเพื่อใช้ประโยชน์อย่างอื่น “ที่ดินของรัฐ (ที่จัดสรร) ตำบลควนทอง (ร.๑)”] ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหารือร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจนก่อนดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไป ๒. ในส่วนของการปลูกป่าทดแทน ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามนัยระเบียบกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งว่าด้วยการปลูกและบำรุงป่าชายเลนทดแทนเพื่อการอนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อม กรณีการดำเนินการโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าชายเลน พ.ศ. ๒๕๕๖ ต่อไป ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่เห็นควรสร้างความตระหนักให้กับชุมชนในการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ โดยคำนึงถึงการอนุรักษ์และรักษาระบบนิเวศของพื้นที่ป่าชายเลนตามเจตนารมณ์เดิมด้วย และการนำพื้นที่เข้าสู่กระบวนการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนดังกล่าว ควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ และคัดกรองคุณสมบัติของราษฎรว่าเป็นผู้ยากไร้หรือไม่มีพื้นที่ดินทำกิน เพื่อจัดระบบการใช้ประโยชน์ที่ดินตามหลักเกณฑ์การจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนที่คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเห็นชอบอย่างเคร่งครัด รวมถึงการกำหนดให้มีมาตรการในการป้องกันและคุ้มครองการบุกรุกพื้นที่ป่าเพิ่มเติมภายหลังจากที่ได้ดำเนินการตามเป้าหมายการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14434 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางพันธุ์นภา กิตติรัตนไพบูลย์) | สธ | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางพันธุ์นภา กิตติรัตนไพบูลย์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาจิตเวช) กลุ่มงานการแพทย์ กลุ่มบริการทางการแพทย์ โรงพยาบาลสวนสราญรมย์ กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14435 | การกำหนดแนวทาง/มาตรการป้องกันหรือแก้ไขปัญหากรณีที่หน่วยงานของรัฐผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้ปรับอัตราค่าเช่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่หน่วยงานราชการอื่นได้เช่าใช้ประโยชน์ โดยปรับอัตราค่าเช่าเพิ่มสูงมากขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น | กค | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดแนวทางการดำเนินการกรณีหน่วยงานของรัฐผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้จัดให้ส่วนราชการเช่าใช้ประโยชน์ โดยปรับปรุงอัตราค่าเช่าเพิ่มขึ้นไม่เกินร้อยละ ๓ ต่อปี โดยอ้างอิงจากค่าเฉลี่ยดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index : CPI) ในกรอบระยะเวลา ๕ ปี และให้มีการทบทวนอัตราค่าเช่าทุก ๕ ปี เพื่อให้สอดคล้องกับดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่เปลี่ยนแปลง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมง นำแนวทางการดำเนินการปรับปรุงอัตราค่าเช่าตามข้อ ๑ ไปทำความตกลงกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเพื่อให้ได้อัตราค่าเช่าที่ดินที่เหมาะสมและเป็นธรรมอันจะเป็นการลดภาระงบประมาณของรัฐ และเป็นการดำเนินการที่ถูกต้องตามขั้นตอน ตามกฎหมาย ตามนัยของระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของส่วนราชการภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๕๓ และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังนำประเด็นการกำหนดให้มีคณะกรรมการพิจารณาอัตราค่าเช่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง กรณีหน่วยงานราชการขอใช้งบประมาณแผ่นดินในการเช่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของหน่วยงานของรัฐเพื่อเป็นที่ตั้งหน่วยงานราชการ เพื่อทำหน้าที่จัดทำหลักเกณฑ์กลางเกี่ยวกับความเหมาะสมของอัตราค่าเช่าที่หรือสิ่งปลูกสร้างของหน่วยงานของรัฐเพื่อเป็นที่ตั้งของหน่วยงานราชการ และพิจารณากลั่นกรอง ให้ความเห็น และข้อเสนอแนะประกอบการอนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเช่าอาคารและที่ดินเพื่อเป็นที่ตั้งหน่วยงานราชการ ไปพิจารณาร่วมกับสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจนก่อนดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ หากกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแล้วเห็นว่า สามารถกำหนดให้มีคณะกรรมการดังกล่าวได้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ก็ให้กระทรวงการคลังดำเนินการจัดตั้งคณะกรรมการฯ ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14436 | ร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... | นร04 | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... ตามที่คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาเสนอ ซึ่งเป็นร่างกฎหมายที่เสนอตามกรอบการปฏิรูปการศึกษาตามมาตรา ๕๔ และมาตรา ๒๕๘ จ. ด้านการศึกษา ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยนำหลักการและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษาที่สำคัญและมีความจำเป็นมากำหนดไว้ในร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ยกระดับคุณภาพการศึกษา สร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ตลอดจนสร้างเสริมให้ระบบการศึกษามีประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรเพื่อการศึกษา และสร้างเสริมธรรมาภิบาลของระบบการศึกษา และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน พร้อมกับร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา (แก้ไขให้สอดคล้องกับการจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม) โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ คณะกรรมการพิจารณาโครงสร้างหน่วยงานและระบบค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐ คณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ คณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา และคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาที่เห็นควรตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ให้สอดคล้องกับการจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และการรองรับรูปแบบการเรียนการสอนสมัยใหม่ โดยเฉพาะความสำคัญของดิจิทัลแพลตฟอร์ม ควรเพิ่มเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติเข้าร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการนโยบายการศึกษาแห่งชาติ ควรกำหนดความสัมพันธ์ด้านการร่วมมือระหว่างรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชนในการจัดการศึกษาให้ชัดเจน ควรพิจารณาปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้มีความสอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ ควรทบทวนความซ้ำซ้อนของหน่วยงานที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่ตามร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้กับหน่วยงานที่มีอยู่แล้ว และควรให้มีการจัดทำร่างกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาเสนอ ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ) เกี่ยวกับการจัดตั้งสถาบันหลักสูตรและการเรียนรู้แห่งชาติ และศูนย์ข้อมูลสารสนเทศเพื่อการศึกษาแห่งชาติ และให้คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาเร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว แล้วแจ้งผลการดำเนินการการจัดตั้งหน่วยงานไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไป ๔. ให้คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา และกระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ คณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา คณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา และคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14437 | ร่างพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. .... | ยธ | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. .... ของกระทรวงยุติธรรม ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีกฎหมายกลางว่าด้วยการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท โดยการนำกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางแพ่งซึ่งมีทุนทรัพย์ไม่มากนัก และข้อพิพาททางอาญาบางประเภทมากำหนดเป็นกฎหมายกลาง เพื่อให้หน่วยงานของรัฐหรือศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนใช้ในการยุติหรือระงับข้อพิพาท และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ๓. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับประเด็นการปรับปรุงทะเบียนประวัติอาชญากรไปพิจารณาดำเนินการ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญาและคู่กรณีได้ทำข้อตกลงระงับข้อพิพาททางอาญาแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14438 | การจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม | นร12 | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม แบบที่ ๑ มีการรวมสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยไว้ในกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม) รวมทั้งบัญชีท้ายร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายตามบัญชีท้ายร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตรวจสอบความครบถ้วนให้แล้วเสร็จภายใน ๗ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งมติคณะรัฐมนตรีนี้ แล้วแจ้งผลการดำเนินการไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ หากไม่มีการแก้ไขในสาระสำคัญ ให้ส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบร่างพระราชบัญญัติ รวม ๖ ฉบับ ได้แก่ (๑) ร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (๒) ร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (๓) ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (๔) ร่างพระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (๕) ร่างพระราชบัญญัติการบริหารส่วนงานภายในของสถาบันอุดมศึกษา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และ (๖) ร่างพระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการวิจัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ รวม ๖ ฉบับดังกล่าวให้สอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติในข้อ ๑ ด้วย และให้สำนักงาน ก.พ.ร. เร่งรัดการดำเนินการตามมาตรา ๗๗ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๐ แล้วส่งผลการดำเนินการไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาต่อไป แล้วให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกานำร่างพระราชบัญญัติ รวม ๖ ฉบับดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๓. ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ (๑) พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. ๒๕๔๖ (๒) พระราชบัญญัติว่าด้วยการมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ไปร่วมชันสูตรพลิกศพ ตามมาตรา ๑๔๘ (๓) (๔) และ (๕) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พ.ศ. ๒๕๕๐ (๓) พระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๑ (๔) พระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. ๒๕๕๘ และ (๕) พระราชบัญญัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. ๒๕๕๙ ไปร่วมพิจารณากับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า ควรจะให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นผู้รักษาการหรือผู้รักษาการร่วมตามพระราชบัญญัติดังกล่าวหรือไม่ ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับข้อสังเกตของนายกรัฐมนตรีว่า ในการจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมที่มีภารกิจด้านการวิจัยและนวัตกรรมเกี่ยวข้องกันหลายหน่วยงาน ควรกำหนดให้มีคณะกรรมการระดับชาติ (Superboard) ซึ่งขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อเป็นกลไกในการเชื่อมโยง บูรณาการ และการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการวิจัยและการสร้างนวัตกรรมของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมและหน่วยงานอื่น ๆ ที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการวิจัย เพื่อให้การวิจัยและการสร้างนวัตกรรมมีความเป็นเอกภาพ และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน รวมทั้งสามารถนำผลการวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้นำข้อสังเกตของนายกรัฐมนตรีว่า ในส่วนของการจัดตั้งองค์การมหาชนขึ้นมารองรับการดำเนินงานดังกล่าว ไปประกอบการพิจารณาด้วย และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งรัดการยกร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. .... ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๖๑ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๕. ให้คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) นำร่างพระราชบัญญัติการวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ พ.ศ. .... ของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ และร่างพระราชบัญญัติการวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม พ.ศ. .... ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มาทบทวนและปรับปรุงเป็นร่างเดียวเพื่อให้สอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติในข้อ ๑ และร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างการยกร่างของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อให้การจัดตั้งกระทรวงดังกล่าวเกิดผลสัมฤทธิ์ และมีความเป็นเอกภาพในการบริหารราชการของกระทรวงที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่ แล้วให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็ว โดยให้เชิญผู้แทนกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผู้แทนสำนักงาน ก.พ.ร. ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ และผู้แทนสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย มาร่วมให้ความเห็น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14439 | ร่างพระราชบัญญัติกระจายหน้าที่และอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... | นร01 | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติกระจายหน้าที่และอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการการกระจายหน้าที่และอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีหน้าที่และอำนาจดูแลและจัดทำบริการสาธารณะและกิจกรรมสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่น ตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. เช่น การกำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละแห่งหรือตั้งแต่ ๒ แห่งขึ้นไป อาจดำเนินกิจการที่มีลักษณะเป็นการพาณิชย์หรือการบริการสาธารณะขององค์ปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบรัฐวิสาหกิจท้องถิ่นหรือองค์การมหาชนท้องถิ่น ตามร่างมาตรา ๒๗ และการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการการกระจายหน้าที่และอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควรดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๒ เรื่อง การปรับปรุงหลักการจำแนกประเภทหน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหาร และควรจะมีการสร้างความรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับความเหมาะสมและรูปแบบเฉพาะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่และรูปแบบ และควรจะต้องคำนึงถึงภารกิจและอำนาจหน้าที่โดยไม่ซ้ำซ้อนกับหน่วยงานภาครัฐที่ให้บริการ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๒ เกี่ยวกับการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการการกระจายหน้าที่และอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว แล้วแจ้งผลการดำเนินการการจัดตั้งสำนักงานดังกล่าวไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อประกอบการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไป ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14440 | ร่างพระราชบัญญัติสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (เพื่อยกเลิกมาตรา 14 และมาตรา 41) | พณ | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกมาตรา ๑๔ และมาตรา ๔๑ แห่งพระราชบัญญัติสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๓๗ เพื่อให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งเป็นการคืนเสรีภาพแก่ผู้ส่งสินค้าทางเรือในการเข้าเป็นสมาชิกสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทยได้โดยความสมัครใจ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์กฎหมายดังกล่าวให้ผู้ประกอบการรับทราบอย่างทั่วถึงในวงกว้าง รวมทั้งการแก้ไขกฎหมายในโอกาสต่อไป ควรคำนึงถึงกรอบระยะเวลาในการแก้ไขกฎหมาย เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนอย่างแท้จริง และคำนึงถึงความคุ้มค่าของงบประมาณที่ต้องใช้ในการพิจารณาร่างกฎหมาย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
.....