ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 729 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 14561 - 14580 จากข้อมูลทั้งหมด 124240 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
14561 | ร่าง Large Grant Agreement (LGA) สำหรับโครงการ Measurable Action for Haze-Free Sustainable Land Management in Southeast Asia (MAHFSA) | ทส | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่าง Large Grant Agreement (LGA) สำหรับโครงการ Measurable Action for Haze-Free Sustainable Land Management in Southeast Asia (MAHFSA) และให้เลขาธิการอาเซียนเป็นผู้ลงนามร่าง LGA สำหรับโครงการ MAHFSA ดังกล่าว ในนามของอาเซียนร่วมกับกองทุนระหว่างประเทศเพื่อพัฒนาเกษตรกรรม (International Fund for Agricultural Development : IFAD) โดยร่าง LGA สำหรับโครงการ MAHFSA ดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อลดปัญหาหมอกควันในภูมิภาคอาเซียนผ่านการส่งเสริมขีดความสามารถในการเฝ้าระวัง คาดการณ์และดำเนินการเกี่ยวกับไฟและหมอกควัน ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการรับมือหมอกควันระหว่างประเทศสมาชิกและหุ้นส่วนภายนอก และสร้างเวทีการประสานงานด้านนโยบายและโครงการต่าง ๆ ด้านการแก้ไขปัญหาหมอกควัน โดยโครงการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก IFAD จำนวน ๓.๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อแก้ปัญหามลพิษหมอกควันอันเนื่องมาจากป่าพรุ โดยมีพื้นที่ดำเนินการในสาธารณรัฐอินโดนีเซียและประเทศมาเลเซีย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการจัดการปัญหามลพิษหมอกควันข้ามแดน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการดังกล่าว เห็นควรให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14562 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณการเช่าที่ดินจากการรถไฟแห่งประเทศไทย | พณ | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณค่าเช่าที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) บริเวณริมถนนรัชดาภิเษก ลาดพร้าว เพื่อเป็นสถานที่ก่อสร้างอาคารกรมพาณิขย์สัมพันธ์และศูนย์แสดงสินค้าถาวร ภายในกรอบวงเงิน ๑๒๐,๖๕๕,๑๐๗ บาท และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้คงอัตราค่าเช่าในอัตราเดิมก่อนที่ รฟท. จะมีหนังสือแจ้งยืนยันค่าเช่าที่ดินบริเวณดังกล่าวไปยังกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศไปเจรจากับ รฟท. ให้ได้ข้อยุติก่อนดำเนินการทำสัญญาตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาดำเนินการตามข้อกำหนดและเงื่อนไขของ รฟท. ในรายละเอียดโดยเคร่งครัด และเห็นควรที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศจะได้พิจารณาประเมินความคุ้มค่าในการเช่าที่ดินสำหรับเป็นที่ตั้งอาคารสำนักงานและส่วนจัดแสดงสินค้าในพื้นที่บริเวณดังกล่าว และควรพิจารณาจัดกิจกรรมส่งเสริมการค้ารูปแบบใหม่ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการผลิตและผู้ส่งออก นอกจากนี้ ควรมุ่งเน้นการจัดกิจกรรมการแสดงสินค้าที่มีความหลากหลายและกระจายโอกาสให้ผู้ผลิตและผู้ส่งออกสินค้ากลุ่มต่าง ๆ สามารถเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในพื้นที่อาคารแสดงสินค้าได้อย่างทั่วถึง รวมทั้งควรมีการประเมินความคุ้มค่าของการจัดกิจกรรมต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐและการใช้ประโยชน์ที่ดินดังกล่าวมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ในการดำเนินการต่อสัญญาเช่าที่ดิน รฟท. ในครั้งต่อไป ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรขอความร่วมมือ รฟท. ในการปรับปรุงอัตราค่าเช่าสำหรับหน่วยงานราชการในลักษณะผ่อนปรนต่ำสุด โดยการปรับปรุงค่าเช่าเพิ่มขึ้นร้อยละ ๕ ของอัตราที่เคยเรียกเก็บอยู่ก่อนหมดอายุสัญญาหรือการพิจารณาให้ต่ออายุสัญญาเช่าระยะยาว (มากกว่า ๓ ปี) เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงในกรณีที่ราคาประเมินมูลค่าที่ดิน ณ ปีที่ต่ออายุสัญญาเพิ่มสูงขึ้นมาก ไปเจรจากับ รฟท. ให้ได้ข้อยุติก่อนดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14563 | รายงานผลการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการ ประเด็นนโยบายสำคัญเร่งด่วน เรื่อง การป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 และ พ.ศ. 2561 | นร01 | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการตรวจราชการแบบบูรณาการของผู้ตรวจราชการ ประเด็นนโยบายสำคัญเร่งด่วน เรื่อง การป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการตรวจติดตามการดำเนินงานขับเคลื่อนเพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน มีประเด็นติดตาม (๑) การจัดการเพื่อความปลอดภัย (๒) การลดพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางถนน (๓) การตรวจสอบและควบคุมการใช้ยานพาหนะอย่างปลอดภัย (๔) การตรวจสอบสภาพถนนและสภาพแวดล้อมข้างทาง และ (๕) การตอบสนองหลังเกิดเหตุและการช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุทางถนน ๒. ผลการดำเนินงานของหน่วยงานตามข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของคณะผู้ตรวจราชการ ได้แก่ (๑) การบูรณาการการจัดการเพื่อความปลอดภัย ในด้านการบูรณาการข้อมูลการตาย ๓ ฐาน (กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด) และการบูรณาการการประสานเพื่อขับเคลื่อนการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน และ (๒) การลดพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางถนน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14564 | ผลการดำเนินงานของคณะกรรมการกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ | ศธ | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินงานของคณะกรรมการกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การวางแผนการผลิตกำลังคนให้สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ ระยะที่ ๑ การวางแผนการผลิตกำลังคนในสาขาช่างอากาศยาน ได้ดำเนินการปรับปรุงแผนแม่บทขับเคลื่อนการพัฒนากำลังคนด้านช่างอากาศยาน และนำสู่การปฏิบัติในสถานศึกษา ๗ แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยนครพนม วิทยาลัยเทคนิคถลาง วิทยาลัยเทคนิคอุบลราชธานี วิทยาลัยเทคนิคดอนเมือง วิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ วิทยาลัยเทคนิคสมุทรปราการ และวิทยาลัยการอาชีพขอนแก่นดำเนินการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนให้มีมาตรฐานตามข้อกำหนดของ ICAO Doc. 7192 และสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย โดยจะแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการเพื่อกำกับดูแลให้เป็นไปตามแผนแม่บทฯ ต่อไป สำหรับระยะที่ ๒ การวางแผนผลิตกำลังคนใน ๗ กลุ่มสาขาอาชีพ ได้แก่ กลุ่มสาขาอาชีพด้านโลจิสติกส์โครงสร้างพื้นฐาน กลุ่มสาขาอาชีพโลจิสติกส์และซัพพลายเชน กลุ่มสาขาอาชีพหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ กลุ่มสาขาอาชีพเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และดิจิทัลคอนเทนต์ กลุ่มสาขาอาชีพอาหารและเกษตร กลุ่มสาขาอาชีพปิโตรเคมี เคมีภัณฑ์ พลังงานและพลังงานทดแทน และกลุ่มสาขาอาชีพแม่พิมพ์ อยู่ระหว่างคณะอนุกรรมการผลิตกำลังคนทั้ง ๗ กลุ่มสาขาอาชีพจัดทำแผนปฏิบัติการ พัฒนาหลักสูตร ทำประชาพิจารณ์ และจัดหาครุภัณฑ์ที่จำเป็นสำหรับจัดการเรียนการสอน ก่อนนำเสนอสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๑ และระยะที่ ๓ การวางแผนผลิตกำลังคนเพิ่มเติม ได้ผลิตกำลังคนเพิ่มเติม ๒ สาขาอาชีพ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยางพารา และการท่องเที่ยวเชิงส่งเสริมสุขภาพ (Wellness Tourism) และมอบหมายฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกรอบคุณวุฒิแห่งชาติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคัดเลือกสาขาเพิ่มเติมอีก ๒ กลุ่มสาขาอาชีพ โดยมุ่งเน้นไปที่สาขาอาชีพด้านศิลปวัฒนธรรม และให้เสนอคณะกรรมการกรอบคุณวุฒิแห่งชาติพิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป ๒. การเทียบเคียงกรอบคุณวุฒิแห่งชาติกับกรอบคุณวุฒิอ้างอิงอาเซียน ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพร่วมกับสำนักเลขาธิการอาเซียนจัดประชุมคณะกรรมการกรอบคุณวุฒิอ้างอิงอาเซียน ครั้งที่ ๔ เมื่อวันที่ ๑๔-๑๖ พฤษภาคม ๒๕๖๑ และได้นำเสนอ (ร่าง) รายงานการเทียบเคียงกรอบคุณวุฒิแห่งชาติกับกรอบคุณวุฒิอ้างอิงอาเซียนของประเทศไทย ตามเกณฑ์การเทียบเคียงที่ประเทศสมาชิกร่วมกันกำหนดขึ้น โดยที่ประชุมฯ ได้ให้ข้อคิดเห็นต่อ (ร่าง) รายงานฯ ของประเทศไทยว่า มีการนำเสนอข้อมูลในส่วนของการศึกษาและฝึกอบรมที่ชัดเจน และเป็นตัวอย่างที่ดีของประเทศสมาชิกอาเซียน และได้เสนอแนะให้ประเทศไทยเพิ่มเติมข้อมูลให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ซึ่งสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาอยู่ระหว่างดำเนินการทบทวนและปรับแก้ไขข้อมูลตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการกรอบคุณวุฒิอ้างอิงอาเซียน โดยเมื่อปรับแก้แล้วเสร็จจะเชิญผู้เชี่ยวชาญชาวต่างประเทศเข้าร่วมกระบวนการพิจารณา และจัดทำเป็นรายงานการเทียบเคียงฯ ฉบับสมบูรณ์ เพื่อนำเสนอในที่ประชุมคณะกรรมการกรอบคุณวุฒิอ้างอิงอาเซียนครั้งต่อไป ในช่วงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ บรูไนดารุสซาลาม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14565 | ร่างพิธีสารเพื่อแก้ไขเอกสารแนบ 2 ของความตกลงการสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม | กษ | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างพิธีสารเพื่อแก้ไขเอกสารแนบ ๒ ของความตกลงการสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม (ความตกลงแอปเทอร์) มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเอกสารแนบท้าย ๒ ของความตกลงแอปเทอร์ เรื่อง การสนับสนุนกองทุนแอปเทอร์ เพื่อให้ประเทศสมาชิกแอปเทอร์ ประกอบด้วยประเทศสมาชิกอาเซียน สาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ จ่ายเงินสนับสนุนการดำเนินงานของสำนักเลขาธิการแอปเทอร์ต่อไปอีก ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๕) โดยประเทศไทยจะต้องจ่ายเงินสนับสนุนสำหรับเงินทุนดำเนินงานปีละ ๘,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ รวมเป็นเงิน ๔๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ ๑.๓๑ ล้านบาท) ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามร่างพิธีสารฯ และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามร่างพิธีสารฯ ๑.๓ อนุมัติการให้สัตยาบัน และหลังจากที่ได้ลงนามร่างพิธีสารฯ แล้ว ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำสัตยาบันสาร และยื่นสัตยาบันสารต่อสำนักเลขาธิการอาเซียนเพื่อเก็บรักษา ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างพิธีสารฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๓. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นเพื่อการดังกล่าว เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ รายการค่าใช้จ่ายในการจัดตั้งกองทุนสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสามที่ได้ตั้งงบประมาณรายจ่ายรองรับไว้แล้ว จำนวน ๕๐๔,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับเงินอุดหนุนให้กับเงินทุนดำเนินงานของกองทุนแอปเทอร์ในปี พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๒ ปีละ ๘,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ รวมเป็นเงิน ๑๖,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ (คิดอัตราแลกเปลี่ยน ๑ ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ ๓๑.๕๐ บาท) ส่วนค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่าประเทศไทยและประเทศสมาชิกจำเป็นต้องร่วมหารือเพื่อกำหนดแนวทางการบริหารจัดการเงินกองทุนที่ใช้เฉพาะดอกผล (Endowment Fund : EF) เพื่อให้สามารถสร้างรายได้สนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของสำนักเลขานุการแอปเทอร์ได้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14566 | ผลการประชุมว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเพื่อการพัฒนาปาเลสไตน์ ระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 3 | กต | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศในอนุภูมิภาคเอเชียตะวันออกเพื่อการพัฒนาปาเลสไตน์ (Conference on Cooperation among East Asian Countries for Palestinian Development : CEAPAD) ระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๓ เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๑ ที่กรุงเทพมหานคร โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ในฐานะผู้แทนนายกรัฐมนตรีเป็นผู้กล่าวเปิดการประชุม ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมได้กล่าวถึงบทบาทที่สร้างสรรค์ของกรอบ CEAPAD ในการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับรัฐปาเลสไตน์ อันจะมีส่วนช่วยในการสร้างสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคตะวันออกกลางซึ่งส่งผลต่อสันติภาพของโลก และแสดงการสนับสนุนหลักการ two-State solution สำหรับการมีรัฐปาเลสไตน์ตั้งอยู่เคียงคู่กับรัฐอิสราเอลอย่างเท่าเทียม ๒. ที่ประชุมได้พิจารณาการดำเนินงานของประเทศและองค์การระหว่างประเทศที่เข้าร่วมการประชุม CEAPAD ในการให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนา และการเสริมสร้างขีดความสามารถและความร่วมมือทั้งในระดับทวิภาคี ไตรภาคี และพหุภาคี เพื่อสนับสนุนความพยายามของปาเลสไตน์ในการพัฒนาประเทศในสาขาต่าง ๆ และได้ยืนยันการสนับสนุนที่มีต่อสำนักงานบรรเทาทุกข์และจัดหางานของสหประชาชาติสำหรับผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์ในตะวันออกใกล้ (United Nations Relief and Works Agency for Palestine Refugees in the Near East : UNRWA) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์ อีกทั้งสนับสนุนให้ภาคส่วนอื่น ๆ เช่น ภาคเอกชนและองค์กรที่ไม่ใช่รัฐแสดงบทบาทสนับสนุนการพัฒนาของปาเลสไตน์มากขึ้น รวมถึงส่งเสริมให้มีการประสานงานในการให้ความช่วยเหลือแก่ปาเลสไตน์ระหว่างกรอบ CEAPAD กับกรอบความร่วมมือหรือองค์กรอื่นทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก ๓. ที่ประชุมได้รับรองแถลงการณ์ร่วมการประชุมฯ ซึ่งกล่าวถึงความมุ่งมั่นของ CEAPAD ในการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของปาเลสไตน์ในสาขาที่ตนมีทรัพยากรและความเชี่ยวชาญ และสอดคล้องกับความต้องการของปาเลสไตน์ รวมถึงการดำเนินงานให้ความช่วยเหลือในสาขาต่าง ๆ ตามแผนงาน ๓ ปีของ CEAPAD เช่น สาขาการพัฒนาแหล่งน้ำ การท่องเที่ยว การเกษตร การบริหารจัดการท้องถิ่น การพัฒนาเศรษฐกิจรวมถึงวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม การฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากร และโครงสร้างพื้นฐาน ตลอดจนการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14567 | รายงานผลการประเมินสมรรถนะหลักในการปฏิบัติตามกฎอนามัยระหว่างประเทศของประเทศไทย | สธ | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอผลการประเมินสมรรถนะหลักในการปฏิบัติตามกฎอนามัยระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๔๘ (International Health Regulations 2005 : IHR 2005) ของประเทศไทย โดยผู้ประเมินจากภายนอกขององค์การอนามัยโลก ระหว่างวันที่ ๒๖-๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๐ ซึ่งประเทศไทยได้รับผลการประเมินโดยเฉลี่ยอยู่ในระดับสูง และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามข้อเสนอแนะที่ได้จากการประเมินดังกล่าว โดยเฉพาะด้านการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินและการจัดการปัญหาการดื้อยาต้านจุลชีพซึ่งเป็นสมรรถนะที่ประเทศไทยยังมีความจำเป็นต้องปรับปรุง และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยให้กระทรวงสาธารณสุขประสานงานกับทุกหน่วยงานเพื่อติดตามความก้าวหน้าของการดำเนินงานเป็นระยะ ๆ ตามความเหมาะสม เพื่อให้การเสริมสร้างความเข้มแข็งและรักษาระดับสมรรถนะหลักของประเทศไทยในการป้องกัน ตรวจจับ และตอบโต้ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ให้กระทรวงสาธารณสุขประสานงานกับทุกหน่วยงานเพื่อติดตามความก้าวหน้าของการดำเนินงานเป็นระยะ ๆ ตามความเหมาะสม ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ข้อเสนอแนะบางส่วนในตัวชี้วัดที่ได้รับผลการประเมินอยู่ในระดับที่ต่ำ ยังไม่ครอบคลุมถึงปัญหาสำคัญด้านสาธารณสุขในปัจจุบัน โดยเฉพาะด้านการดื้อยาต้านจุลชีพและด้านปฏิบัติการตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน จึงควรให้ความสำคัญกับการยกระดับสมรรถนะดังกล่าว โดยการกำหนดมาตรการป้องกันการดื้อยาต้านจุลชีพที่ครอบคลุมถึงการจำหน่ายยาผ่านทางร้านขายยาปลีก และการพัฒนาความร่วมมือการป้องกันและควบคุมโรคกับต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่มีชายแดนติดต่อกับประเทศไทยซึ่งมีชายแดนผ่านช่องทางธรรมชาติที่ยากต่อการตรวจสอบควบคุมโรค เพื่อให้การปฏิบัติการตอบโต้ในภาวะฉุกเฉินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14568 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดหนองคาย พ.ศ. .... | มท | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดหนองคาย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดหนองคาย เพื่อประโยชน์ในด้านการป้องกันอัคคีภัย การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การผังเมือง การสถาปัตยกรรม และการอำนวยความสะดวกแก่การจราจร ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองกำกับดูแลให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นควบคุมการขออนุญาตก่อสร้าง หรือดัดแปลงอาคารพาณิชยกรรมประเภทค้าปลีกค้าส่งให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎกระทรวงดังกล่าวอย่างเข้มงวด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14569 | รายงานสรุปผลการดำเนินงานและการนำเสนอวีดิทัศน์สรุปผลการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในรอบ 4 ปี ของรัฐบาล (ปีงบประมาณ 2558- 2561) | ยธ | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในรอบ ๔ ปี ของรัฐบาล (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๑) ประกอบด้วย (๑) ด้านความร่วมมือระหว่างประเทศเชิงรุก ได้ดำเนินการผ่านกลไกความร่วมมือภายใต้โครงการแม่น้ำโขงปลอดภัย (Safe Mekong) ใน ๖ ประเทศ (จีน ลาว เมียนมา ไทย กัมพูชา และเวียดนาม) มีการจับกุมผู้กระทำผิดรายสำคัญ ๓,๓๘๒ ราย ยึดยาบ้า ๔๖๓ ล้านเม็ด ไอซ์ ๑๘ ตัน เฮโรอีน ๗ ตัน และสารตั้งต้นเคมีภัณฑ์ที่ใช้ผลิตยาเสพติด ๑,๑๗๘ ตัน (๒) ด้านปราบปรามยาเสพติด มีการจับกุมผู้ต้องหาใน ๕ ข้อหาสำคัญสูงกว่าปี ๒๕๕๔-๒๕๕๗ ร้อยละ ๑๙ สามารถยึดของกลางยาบ้า ๖๔๕ ล้านเม็ด (๒,๘๗๙ คดี) ยึดของกลางยาไอซ์ ๑๗.๗ ตัน (๒๑๙ คดี) มีนายทุนผู้อยู่เบื้องหลังและผู้สนับสนุนช่วยเหลือถูกจับกุม ๖,๐๒๙ คดี ผู้ต้องหา ๑๒,๙๘๘ คน (๓) ด้านบำบัดรักษายาเสพติด ภายใต้แนวคิด “ผู้เสพ คือ ผู้ป่วย” มีสัดส่วนผู้เข้ารับการบำบัดในระบบสมัครใจเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าในช่วงปี ๒๕๕๔-๒๕๕๗ ร้อยละ ๑๖.๔ และได้ช่วยเหลือผู้ผ่านการบำบัดทั้งการศึกษา สุขภาพ การฝึกทักษะอาชีพ การจัดหางาน และทุนประกอบอาชีพ ๒๖,๑๐๔ ราย และ (๔) ด้านการป้องกันยาเสพติด เน้นการสร้างภูมิคุ้มกันยาเสพติดทุกกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ กลุ่มเด็กและเยาวชนทั้งในและนอกสถานศึกษา กลุ่มแรงงานในสถานประกอบการ และกลุ่มประชาชนทั่วไป ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นต้น บูรณาการร่วมกันในการจัดทำข้อมูลเชิงสถิติเกี่ยวกับยาเสพติดให้ครอบคลุมทุกมิติ และนำไปใช้ประโยชน์ในการสร้างการรับรู้แก่ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายให้ตระหนักถึงพิษภัยและโทษของยาเสพติดอย่างทั่วถึงและต่อเนื่อง รวมทั้งให้ร่วมกันพิจารณากำหนดแนวทางในการดำเนินการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติดให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น โดยในส่วนของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังโดยเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14570 | รัฐบาลสหสาธารณรัฐแทนซาเนียเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสหสาธารณรัฐแทนซาเนียประจำประเทศไทย (กระทรวงการต่างประเทศ) [นายรามาดานี คีทวานา เดา (Mr. Ramadhani Kitwana Dau)] | กต | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายรามาดานี คีทวานา เดา (Mr. Ramadhani Kitwana Dau) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสหสาธารณรัฐแทนซาเนียประจำประเทศไทย คนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย สืบแทน นายอับดุล ซิสโก อึมทีโร (Mr. Abdul Cisco Mtiro) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14571 | แผนการใช้จ่ายเงินกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (แผนพัฒนาและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ) ปีงบประมาณ 2562 | พณ | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กะทรวงพาณิชย์เสนอแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ปีงบประมาณ ๒๕๖๒ (แผนพัฒนาและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ) จำนวน ๒๑๕ โครงการ วงเงินทั้งสิ้น ๑,๗๓๑.๓๑ ล้านบาท จากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวม ๑๐ หน่วยงาน ซึ่งคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ในคราวประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๑ มีมติอนุมัติแล้ว ดังนี้
๑. ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศ จำนวน ๖๗ โครงการ วงเงินรวม ๑,๔๙๐.๘๘ ล้านบาท ได้แก่ การผลักดันคลัสเตอร์เป้าหมายสำคัญ การพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการการค้าระหว่างประเทศของไทย การพัฒนาส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่มและการสร้างภาพลักษณ์และส่งเสริมการสร้างแบรนด์สินค้าและบริการ และการพัฒนาองค์การสู่อนาคต ๒. ยุทธศาสตร์การเจรจาเชิงรุกเพื่อเปิดตลาด จำนวน ๑๓๕ โครงการ วงเงินรวม ๒๒.๗๘ ล้านบาท ได้แก่ การประชุมเจรจาเชิงรุก และการปกป้องผลประโยชน์ และการแก้ไขอุปสรรคทางการค้า ๓. ยุทธศาสตร์การเร่งรัดทำการตลาดเชิงกลยุทธ์ จำนวน ๑๒ โครงการ วงเงินรวม ๑๖๗.๖๔ ล้านบาท ได้แก่ การขยายส่วนแบ่งตลาดในตลาดหลักและตลาดศักยภาพสูงให้เติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน การพัฒนาตลาดใหม่ การผลักดันการค้าผ่านช่องทางตลาดและช่องทางกระจายสินค้ารูปแบบใหม่ ๔. แผนงานตามนโนยบายและมาตรการเร่งด่วน (โครงการเร่งด่วนที่สำคัญที่เกิดขึ้นระหว่างปี) จำนวน ๑ โครงการ วงเงินรวม ๕๐ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14572 | รายงานผลการเข้าร่วมประชุมระดับสูงทางการเมืองว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านพลังงาน (High-Level Political Forum on Sustainable Development: Energy) | พน | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพลังงานรายงานผลการเข้าร่วมประชุมระดับสูงทางการเมืองว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านพลังงาน (High-Level Political Forum on Sustainable Development : Energy) เมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โดยการประชุมดังกล่าวจัดขึ้นภายใต้หัวข้อหลักคือ “Transformation towards Sustainable and Resilient Societies” เป็นการประชุมประจำปีที่จัดโดยสหประชาชาติ (UN) มีเป้าหมายเพื่อเป็นเวทีให้ประเทศต่าง ๆ ได้ร่วมทบทวนความคืบหน้าการดำเนินการตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน (2030 Agenda for Sustainable Development : 2030 Agenda) และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) รวมทั้งเข้าร่วมการประชุมด้านพลังงานในเวทีนานาชาติรวม ๔ การประชุม ประกอบด้วย
๑. การประชุมเตรียมการระดับโลกว่าด้วยเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เป้าหมายที่ ๗ (พลังงาน) (The Global SDG7 Conference) จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๑-๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ณ กรุงเทพมหานคร เป็นเวทีการประชุมระดับโลกเพื่อหารือนโยบายและแนวปฏิบัติด้านพลังงานที่ยั่งยืน ๒. การประชุม Asian and Pacific Energy Forum (APEF) ครั้งที่ ๒ จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๓-๕ เมษายน ๒๕๖๑ ณ กรุงเทพมหานคร เป็นเวทีการประชุมเพื่อทบทวนและอภิปรายถึงความคืบหน้าในการดำเนินการด้านความมั่นคงทางพลังงานตามนโยบายการพัฒนาที่ยั่งยืน เป้าหมายที่ ๗ (พลังงานสะอาดที่ทุกคนเข้าถึงได้) ๓. การประชุม International Energy Forum Ministerial Meeting ครั้งที่ ๑๖ (IEF16) จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๑-๑๒ เมษายน ๒๕๖๑ ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย เป็นเวทีการประชุมเพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นความมั่นคงทางด้านพลังงาน การพัฒนาอย่างยั่งยืน การรักษาเสถียรภาพน้ำมัน การลงทุนด้านพลังงานในยุคการเปลี่ยนแปลง และการพัฒนาเทคโนโลยีทางด้านพลังงาน ๔. การประชุม Berlin Energy Transition Dialogue ครั้งที่ ๔ จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๗-๑๘ เมษายน ๒๕๖๑ ณ กรุงเบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เป็นเวทีการหารือในระดับผู้กำหนดนโยบาย นักวิชาการ และภาคธุรกิจ เกี่ยวกับนโยบายพลังงงานและแนวทางการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบพลังงานรูปแบบใหม่ ที่มุ่งเน้นการอนุรักษ์พลังงานและเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14573 | ขอความเห็นชอบการเพิ่มเติมหลักเกณฑ์แนวทางการจ้างแรงงานสำหรับโครงการจ้างแรงงานชลประทานสร้างรายได้แก่เกษตรกร ภายใต้มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิต | กษ | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการเพิ่มเติมหลักเกณฑ์สำหรับโครงการจ้างแรงงานชลประทานสร้างรายได้แก่เกษตรกร ซี่งเป็นโครงการที่อยู่ภายใต้มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยให้สามารถจ้างแรงงานนอกเหนือจากผู้ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้ ตามลำดับ ดังนี้ (๑) เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยเพื่อรับสวัสดิการของรัฐ (๒) เกษตรกรในพื้นที่ (๓) สมาชิกกลุ่มผู้ใช้น้ำของกรมชลประทานในพื้นที่ดำเนินโครงการ (๔) เกษตรกรที่มีชื่ออยู่ในบัญชีครัวเรือนเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมส่งเสริมการเกษตร (๕) ประชาชน และผู้ใช้แรงงานทั่วไปในพื้นที่ และ (๖) หากแรงงานที่ต้องการในพื้นที่เป้าหมายมีไม่เพียงพอ ให้พิจารณาจ้างแรงงานในพื้นที่ใกล้เคียงจากหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด และลุ่มน้ำ ตามลำดับ รวมทั้งขอให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำกับดูแลการดำเนินโครงการดังกล่าวให้ถูกต้อง โปร่งใส และตรวจสอบได้อย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14574 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงมหาดไทย) (นายเสถียร เจริญเหรียญ) | มท | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายเสถียร เจริญเหรียญ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งวิศวกรใหญ่ (วิศวกรโยธาทรงคุณวุฒิ) กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่ ๕ เมษายน ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14575 | ร่างพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | อก | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับบทนิยาม คณะกรรมการ องค์ประกอบของคณะกรรมการ การกำหนดราคาอ้อยขั้นต้นและราคาอ้อยขั้นสุดท้าย บทกำหนดโทษ และคณะกรรมการเปรียบเทียบปรับ เพื่อให้เป็นไปตามแผนการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ และสอดคล้องกับพันธกรณีและกรอบข้อตกลงทางการค้าระหว่างประเทศ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานศาลยุติธรรม และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น ความครอบคลุมของบทนิยาม บทกำหนดโทษกรณีความรับผิดในทางอาญาของผู้แทนนิติบุคคล และบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย ในเรื่องวัตถุประสงค์ องค์ประกอบของคณะกรรมการ ที่มาของเงินกองทุนซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลังก่อนจึงจะเสนอร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ต่อคณะรัฐมนตรีได้ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรอง ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดเสนอผลการพิจารณาเรื่อง การขยายวัตถุประสงค์ของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายของคณะกรรมการนโยบายการบริหารกองทุนหมุนเวียน แล้วแจ้งผลการพิจารณาดังกล่าวไปเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป และให้รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14576 | ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยรัฐบาลดิจิทัล พ.ศ. .... | สพร. | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยรัฐบาลดิจิทัล พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยรัฐบาลดิจิทัล โดยให้หน่วยงานของรัฐจัดทำข้อมูลและบริการในรูปแบบดิจิทัล (Digitization) แลกเปลี่ยนและเชื่อมโยงข้อมูลของหน่วยงานของรัฐ (Integration) และเปิดเผยข้อมูลภาครัฐในรูปแบบดิจิทัล (Open Government Data) เพื่อให้มีกฎหมายในการขับเคลื่อนให้เกิดการปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินและการบริการประชาชนตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตามที่สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และสำนักงานศาลยุติธรรม เช่น ให้มีการเปิดเผยข้อมูลระดับปฐมภูมิที่อยู่ภายใต้การครอบครองของรัฐที่ได้ผ่านการปกปิดตัวตน (Anonymized Data) การกำหนดให้หน่วยงานของรัฐที่รับข้อมูลส่วนบุคคลจากหน่วยงานอื่นใช้และเก็บข้อมูลดังกล่าวตามอำนาจและหน้าที่เท่าที่จำเป็นและทำลายเมื่อหมดความจำเป็น การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ควบคู่ไปกับร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยรัฐบาลดิจิทัล พ.ศ. .... การกำหนดคำนิยาม “รัฐวิสาหกิจ” ให้สอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. .... การจำกัดขอบเขตความชัดเจนในการเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวกับศาลยุติธรรมให้ชัดเจนเหมาะสม และระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัลตามร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ควรจะสอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล พ.ศ. .... เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) เสนอ ๓. ให้สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) รับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงาน ก.พ. ที่เห็นควรมีการพัฒนาขีดความสามารถเชิงดิจิทัลให้กับบุคลากรของรัฐรวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาของประเทศ รวมทั้งควรมีการวางแผนและจัดเตรียมกำลังคน และในกรณีที่จะมีการขอกำหนดอัตรากำลังเพิ่มเติมให้แก่สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ควรใช้เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยสนับสนุนการทำงานแทน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14577 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (หลักเกณฑ์เกี่ยวกับการปล่อยชั่วคราว) | ศย | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (หลักเกณฑ์เกี่ยวกับการปล่อยชั่วคราว) ของสำนักงานศาลยุติธรรม ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเกี่ยวกับการปล่อยชั่วคราวให้สามารถคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14578 | ขอความเห็นชอบร่างความตกลงว่าด้วยพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน | พณ | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ส่งร่างความตกลงว่าด้วยพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน (ASEAN Agreement on Electronic Commerce) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยร่างความตกลงฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีการพัฒนาและส่งเสริมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งประเทศสมาชิกต้องพัฒนาสภาพแวดล้อมด้านกฎหมายหรือกฎระเบียบ สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างความสามารถในการแข่งขันทางการค้า และการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ โดยอาเซียนได้กำหนดให้มีการลงนามร่างความตกลงฯ ในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน (ASEAN Summit) ครั้งที่ ๓๓ ซึ่งจะมีขึ้นในระหว่างวันที่ ๑๑-๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามในร่างความตกลงฯ เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบร่างความตกลงฯ แล้ว ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามในร่างความตกลงฯ เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบร่างความตกลงฯ แล้ว ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อปฏิบัติตามพันธกรณีที่กำหนดในร่างความตกลงฯ ๕. ให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งต่อสำนักเลขาธิการอาเซียนว่าไทยพร้อมที่จะให้ร่างความตกลงฯ มีผลผูกพันต่อไป เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติเห็นชอบร่างความตกลงฯ ๖. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การเร่งยกระดับขีดความสามารถของผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในไทยทั้งกลุ่มที่มีอยู่ และกลุ่มที่มีศักยภาพจะเข้ามาใช้เป็นผู้ประกอบการใหม่เพื่อให้ทันต่อการพัฒนาของอาเซียน การส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาและการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมในมิติต่าง ๆ ที่จะเสริมให้เกิดความเข้มแข็งและความเชื่อมั่นต่อระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ อาทิ เทคโนโลยีด้านการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) เทคโนโลยีด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security) และเทคโนโลยีการระบุตัวตนและการรักษาข้อมูลส่วนบุคคล (Identification and Privacy) รวมทั้งการพิจารณาศึกษาการนำมาตรฐานในการคุ้มครองผู้บริโภคในระดับสากลมาประยุกต์ใช้ในการปรับปรุงกฎหมายให้มีประสิทธิภาพ ทันสมัย และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14579 | การจัดหารถประจำตำแหน่งให้แก่ศึกษาธิการภาค และรองศึกษาธิการภาค | ศธ | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า ตำแหน่งศึกษาธิการภาค และรองศึกษาธิการภาคไม่ใช่ตำแหน่งบังคับบัญชาของส่วนราชการและไม่ใช่ตำแหน่งที่จะจัดรถประจำตำแหน่งให้ได้ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยรถราชการ พ.ศ. ๒๕๒๓ ประกอบกับกระทรวงศึกษาธิการอยู่ระหว่างดำเนินการปรับโครงสร้างกระทรวง ซึ่งเกี่ยวข้องกับตำแหน่งดังกล่าว รวมทั้งจะต้องพิจารณาถึงภาระงบประมาณที่อาจเพิ่มมากขึ้นด้วย จึงมีมติให้กระทรวงศึกษาธิการรับเรื่องนี้กลับไปพิจารณาทบทวนความจำเป็นเหมาะสมของการดำเนินการให้สอดคล้องกับการปรับโครงสร้างกระทรวงศึกษาธิการอีกครั้งหนึ่งก่อนดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14580 | ร่าง มาตรฐานการศึกษาของชาติ พ.ศ. .... | ศธ | 02/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่าง มาตรฐานการศึกษาของชาติ พ.ศ. .... เป็นการปรับปรุงมาตรฐานการศึกษาของชาติ ฉบับ พ.ศ. ๒๕๔๗ ซึ่งใช้มาเป็นระยะเวลานานแล้ว โดยร่าง มาตรฐานการศึกษาของชาติ พ.ศ. .... เป็นการกำหนดผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ ๓ ด้าน ได้แก่ ผู้เรียนรู้ ผู้ร่วมสร้างสรรค์นวัตกรรม และพลเมืองที่เข้มแข็ง และมีการกำหนดรายละเอียดของผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ดังกล่าวตามระดับการศึกษา ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาถึงระดับอุดมศึกษา เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องเชื่อมโยงกันในแต่ละระดับการศึกษา โดยให้อิสระสถานศึกษาในการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับบริบทของสถานศึกษาและตามความถนัดของผู้เรียน ซึ่งจะก่อให้เกิดความยืดหยุ่นในการจัดการการศึกษาที่เหมาะสมกับช่วงวัย สภาพแวดล้อม ความพร้อม และศักยภาพของผู้เรียนและสถานศึกษาแต่ละพื้นที่ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณากำหนดรายละเอียดตามร่าง มาตรฐานการศึกษาของชาติ พ.ศ. .... ให้ครอบคลุมมาตรฐานด้านต่าง ๆ เพิ่มเติม เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูปการศึกษาด้วย เช่น มาตรฐานครูและบุคลากรทางการศึกษา โรงเรียน หนังสือและแบบเรียน การจัดทำแบบทดสอบ การประเมินผลการจัดการเรียนการสอน การใช้จ่ายงบประมาณ การผลิตบุคลากรให้ตรงกับความต้องการด้านแรงงานของประเทศ การศึกษาทวิภาคี เป็นต้น และดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา) เร่งดำเนินการชี้แจงแนวทางการดำเนินงานตามมาตรฐานการศึกษาของชาติให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความเข้าใจอย่างชัดเจน ถูกต้องตรงกัน และสามารถแปลงกรอบผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ไปสู่การปฏิบัติได้อย่างสอดคล้อง เชื่อมโยงและเป็นไปในแนวทางเดียวกัน ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษาที่เห็นควรระบุช่วงอายุของการศึกษาหรือกรอบนิยามที่ชัดเจนของทั้ง ๕ ระดับ ได้แก่ ปฐมวัย ประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลาย/อาชีวศึกษา อุดมศึกษา ประกอบกับการอธิบายกรอบและนิยามของผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ของการศึกษา เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันมากยิ่งขึ้น ควรพิจารณาเพิ่มความรู้พื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ (Science Technology Engineering and Mathematics : STEM) ในส่วนของผู้เรียนรู้ด้วย เพื่อให้สามารถติดตามความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของศาสตร์ทั้ง ๔ ด้านได้ทันหรือเพียงพอสำหรับการดำรงชีวิตประจำวัน ควรพิจารณากำหนดทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ของระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย/ระดับอาชีวศึกษาด้วย ควรมีการสร้างความรู้ความเข้าใจร่วมกันระหว่างผู้กำหนดนโยบายและผู้ปฏิบัติ เพื่อให้การกำหนดมาตรฐานการศึกษา การกำหนดตัวชี้วัดในแต่ละระดับการศึกษา การประกันคุณภาพการศึกษา นำไปสู่ผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ของการศึกษาในทางปฏิบัติได้ นอกจากนี้ การกำหนดแนวทางในการจัดการศึกษาและจัดทำมาตรฐานการศึกษาในระดับปฐมวัย ควรมีการบูรณาการให้เป็นมาตรฐานเดียวกันและสอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. .... ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษานำมาตรฐานการศึกษาของชาติไปเป็นกรอบในการกำหนดมาตรฐานการศึกษาและหลักสูตรการศึกษาในแต่ละระดับและประเภทการศึกษา รวมทั้งการส่งเสริม กำกับดูแล การตรวจสอบ การประเมินผล และการประกันคุณภาพการศึกษาด้วย ๔. ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามมาตรฐานการศึกษาของชาติให้เกิดผลเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน รวมทั้งให้ประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องและชัดเจนแก่ประชาชนเกี่ยวกับผลลัพธ์ของการดำเนินการและประโยชน์ที่จะได้รับด้วย ๕. ให้กระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา) กำกับ ติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษาตามมาตรฐานการศึกษาของชาติเป็นระยะ ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถนำผลการประเมินมาปรับปรุงการดำเนินการให้เหมาะสมและสามารถยกระดับการศึกษาของไทยได้อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
|
.....