ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 721 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 14401 - 14420 จากข้อมูลทั้งหมด 124240 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
14401 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 2/2561 และ ครั้งที่ 4/2561 | นร63 | 30/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๖๑ และครั้งที่ ๔/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๖๑ โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่างแผนรวม ๕ แผน ได้แก่ (ร่าง) แผนภาพรวมเพื่อการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (ร่าง) แผนการใช้ประโยชน์ที่ดินในภาพรวม (ร่าง) แผนการให้บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จครบวงจรที่สะดวกและรวดเร็วในพื้นที่ EEC (One Stop Service : EEC-OSS) (ร่าง) แผนการดำเนินงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และ (ร่าง) แผนปฏิบัติการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเพื่อรองรับ EEC ๑.๒ มอบหมายสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาตินำแผนภาพรวมเพื่อการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกบรรจุในยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี เพื่อให้มีการดำเนินการต่อเนื่อง สามารถบรรลุตามเป้าหมายการพัฒนาประเทศได้อย่างเป็นระบบ ตามมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ ๑.๓ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับแผนภาพรวมเพื่อการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก แผนการใช้ประโยชน์ที่ดินในภาพรวม แผนการดำเนินงาน และแผนการให้บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จครบวงจรภายในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ไปดำเนินการจัดทำแผนปฏิบัติการของหน่วยงานเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนดไว้ต่อไปและเป็นไปตามพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ ๒. ในส่วนของค่าใช้จ่ายของแผนภาพรวมเพื่อการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก แผนการให้บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จครบวงจร และแผนปฏิบัติการโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณอันสอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยการดำเนินโครงการจะต้องคำนึงถึงการนำรายได้ของหน่วยงานมาสมทบ ความประหยัด ความคุ้มค่า และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน โดยกำหนดเป้าหมายของแผนในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว รวมถึงกำหนดแหล่งเงินที่จะใช้ในการดำเนินโครงการ ทั้งเงินงบประมาณ เงินกู้ เอกชนร่วมลงทุน งบรัฐวิสาหกิจ ที่สามารถดำเนินการและวัดผลสำเร็จได้ชัดเจน เพื่อเป็นกรอบแนวทางในการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และเป็นข้อมูลในส่วนของภาระงบประมาณที่ภาครัฐต้องใช้จ่ายในการลงทุน ตลอดจนดำเนินการตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เรื่อง กำหนดสัดส่วนต่าง ๆ เพื่อเป็นกรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ อย่างถูกต้องครบถ้วน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14402 | ขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารที่จะมีการให้ความเห็นชอบ รับรอง และลงนามในการประชุมรัฐมนตรีศึกษาอาเซียน ครั้งที่ 10 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง | ศธ | 30/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างเอกสารที่จะมีการรับรองในการประชุมรัฐมนตรีศึกษาอาเซียน ครั้งที่ ๑๐ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง (10th ASEAN Ministers Meeting on Education and the related Meetings) ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๙ ตุลาคม-๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ กรุงเนปยีดอ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา จำนวน ๔ ฉบับ ได้แก่ (๑) กฎบัตรเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน (The Charter of ASEAN University Network) (๒) แผนปฏิบัติการอาเซียน-รัสเซียด้านการศึกษา (ASEAN-Russia Plan of Action on Education) (๓) แผนปฏิบัติการอาเซียน-จีนเพื่อความร่วมมือด้านการศึกษา พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๓ [Plan of Action for ASEAN-China Education Cooperation (2017-2020)] และ (๔) แผนปฏิบัติการอาเซียนบวกสามด้านการศึกษา พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๘ (ASEAN Plus Three Plan of Action on Education 2018-2025) มีสาระสำคัญเป็นการยืนยันเจตนารมณ์ของประเทศไทยที่จะร่วมมือกับประเทศสมาชิกอาเซียนในการพัฒนามิติของการศึกษาที่ครอบคลุมถึงการสร้างโอกาสในการเข้าถึงทางการศึกษา การลดความเหลื่อมล้ำ และการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. เห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการร่วมรับรองเอกสารดังกล่าว ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14403 | การรับรองเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย ครั้งที่ 18 | กต | 30/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบเอกสารที่จะมีการรับรองในการประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย ครั้งที่ ๑๘ (18th Meeting of the Council of Ministers of the Indian Ocean Rim Association : 18th IORA COM) ในวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ เมืองเดอร์บัน สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ได้แก่ (๑) ร่างแถลงการณ์เอเทควินี มีสาระสำคัญเป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองของประเทศสมาชิก IORA ที่จะให้ความสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือในระดับภูมิภาคและการรวมตัวทางเศรษฐกิจ (๒) ร่างปฏิญญาเพื่อเป็นแนวปฏิบัติในการเพิ่มพูนปฏิสัมพันธ์กับประเทศคู่เจรจาของสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย มีสาระสำคัญเป็นการระบุถึงความมุ่งมั่นของประเทศคู่เจรจา IORA ในการสนับสนุนการพัฒนาอย่างมีพลวัตและเสริมสร้างความเข้มแข็งของ IORA ผ่านการส่งเสริมความร่วมมือกับประเทศสมาชิก IORA ในสาขาที่มีความสำคัญในลำดับต้น และ (๓) ร่างปฏิญญาพิเศษ เฉลิมฉลองครบรอบ ๑๐๐ ปี วันคล้ายวันเกิดนายเนลสัน แมนเดลา มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการนำแนวคิด วิสัยทัศน์ และผลงานของนายเนลสัน แมนเดลา อดีตประธานาธิบดีสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ในโอกาสครบรอบวันคล้ายวันเกิด ๑๐๐ ปี มาเป็นแรงบันดาลใจแก่ประเทศสมาชิก IORA เพื่อนำไปปรับใช้ในการดำเนินการตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายของ IORA ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนประเทศไทยเข้าร่วมการประชุม 18th IORA COM เป็นผู้ร่วมให้การรับรองเอกสารทั้ง ๓ ฉบับดังกล่าว ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารทั้ง ๓ ฉบับดังกล่าว ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14404 | ขอความเห็นชอบต่อเอกสารยกระดับกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย - จีน ที่จะมีการลงนามในระหว่างการเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) | พณ | 30/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบต่อเอกสารยกระดับกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-จีน ที่จะมีการลงนามในระหว่างการเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ระหว่างวันที่ ๑-๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน และอนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายลงนามในเอกสารยกระดับกรอบความร่วมมือฯ โดยเอกสารยกระดับกรอบความร่วมมือฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับความร่วมมือทางเศรษฐกิจในสาขาสำคัญที่มีผลต่อการพัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันของไทยและจีนในสาขาที่ทั้งสองฝ่ายมีความสนใจร่วมกัน ได้แก่ ความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมและการลงทุน ความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร ความร่วมมือด้านการเงิน ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว และความร่วมมือด้านการค้าและเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเอกสารยกระดับความร่วมมือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดผลักดันการอำนวยความสะดวกคมนาคมขนส่งและการค้าตามแนวระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ (North-South Economic Corridor : NSEC) ภายใต้ความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS Cross Border Transport Facilitation Agreement : CBTA) โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนเส้นทางถนน R3A เชื่อมไทย-จีน ผ่าน สปป.ลาว ให้เกิดผลทางปฏิบัติโดยเร็ว สำหรับการระบุถึงกรอบและแผนงานความร่วมมือในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงในร่างเอกสารยกระดับกรอบความร่วมมือฯ ควรมีการปรับปรุง โดยขึ้นต้นด้วยแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (GMS) ที่เริ่มดำเนินงานในปี ๒๕๓๕ มีขอบเขตกว้างกว่ายุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS) ที่เริ่มดำเนินงานในปี ๒๕๔๖ และจึงตามด้วยกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (MLC) ในปี ๒๕๕๘ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14405 | ขออนุมัติโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 | นร63 | 30/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14406 | ขออนุมัติดำเนินโครงการอ่างเก็บน้ำลำสะพุง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดชัยภูมิ | กษ | 30/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานดำเนินโครงการอ่างเก็บน้ำลำสะพุง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดชัยภูมิ วัตถุประสงค์ของโครงการฯ เพื่อเป็นแหล่งน้ำต้นทุนสำหรับการอุปโภค-บริโภค ของราษฎรโดยเฉพาะเทศบาลหนองบัวแดง อำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ และพื้นที่ใกล้เคียง และเพื่อกักเก็บน้ำหลากส่วนเกินในช่วงฤดูฝนไว้ใช้เพื่อการเพาะปลูกในช่วงเวลาฝนทิ้งช่วงและฤดูแล้ง ใน ๓ ตำบลของอำเภอหนองบัวแดง ได้แก่ ตำบลหนองแวง ตำบลหนองบัวแดง และตำบลนางแดด ระยะเวลาดำเนินการ ๖ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๗) และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแผนอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อมที่กรมชลประทานเสนออย่างเคร่งครัด รวมทั้งมอบหมายให้สำนักงบประมาณพิจารณาสนับสนุนงบประมาณให้เป็นไปตามแผนงานของโครงการฯ ต่อไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ รายการทำนบดินหัวงานและอาคารประกอบ พร้อมส่วนประกอบอื่น โครงการอ่างเก็บน้ำลำสะพุง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดชัยภูมิ จำนวน ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ที่สำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณรองรับไว้แล้ว ส่วนที่เหลือให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามความสามารถในการใช้จ่ายและการก่อหนี้ผูกพันภายในปีงบประมาณ ที่สอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติอย่างเคร่งครัด เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และให้เร่งรัดการดำเนินโครงการฯ ให้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14407 | การกำหนดสินค้าควบคุมเพิ่มเติมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 | พณ | 30/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดสินค้าควบคุมปี ๒๕๖๑ เพิ่มเติม จำนวน ๑ รายการ คือ มะพร้าวผลแก่ และผลิตภัณฑ์ ตามมติคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งกำหนดหลักเกณฑ์ มาตรการ และเงื่อนไขที่ต้องปฏิบัติเกี่ยวกับการนำเข้ามาในราชอาณาจักรและการเคลื่อนย้ายสินค้าดังกล่าวตามบทบัญญัติมาตรา ๓๗ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. ๒๕๔๒ เพื่อเป็นการป้องกันการลักลอบนำเข้ามะพร้าวผลแก่และผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ รวมถึงรักษาเสถียรภาพและสร้างความเป็นธรรมด้านราคาสินค้าให้แก่เกษตรกร และควรมีการติดตาม กำกับดูแล และแก้ไขปัญหาการลักลอบนำสินค้าเกษตรเข้ามาในประเทศได้ทันทวงที ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14408 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (นายวราวุธ ภู่อภิญญา) | กต | 30/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติแต่งตั้ง นายวราวุธ ภู่อภิญญา ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14409 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (จำนวน 6 ราย 1. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ฯลฯ) | วธ | 30/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๖ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่างและทดแทนผู้เกษียณอายุราชการ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ดังนี้
๑. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายเกรียงศักดิ์ บุญประสิทธิ์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นายประทีป เพ็งตะโก ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๔. นายสมเกียรติ พันธรรม ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๕. นางสาวศิริพรรณ ทองเจิม ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๖. นายประดิษฐ์ โปซิว ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14410 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (จำนวน 7 คน 1. นางมิ่งขวัญ วิชยารังสฤษดิ์ ฯลฯ) | กษ | 30/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง รวม ๗ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๑) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
๑. นางมิ่งขวัญ วิชยารังสฤษดิ์ ประธานกรรมการ ๒. นายชวลิต ชูขจร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเกษตร ๓. นายดนุชา สินธวานนท์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการพัฒนาสังคม ๔. นางสาวลดาวัลย์ คำภา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ ๕. นางสาววิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐกิจและการตลาด ๖. คุณจันทนี ธนรักษ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านบริหารจัดการ ๗. นายนนทิกร กาญจนะจิตรา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14411 | ประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติที่คณะรัฐมนตรีควรทราบ | นร05 | 30/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ซึ่งออกตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต รวม ๕ ฉบับ โดยมีผลใช้บังคับต่อนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ข้าราชการการเมือง และเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. ประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของเจ้าพนักงานของรัฐต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. พ.ศ. ๒๕๖๑ ๒. ประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์ของผู้ซึ่งอยู่กินกันฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรสอันถือว่าเป็นคู่สมรส พ.ศ. ๒๕๖๑ ๓. ประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง กำหนดตำแหน่งของผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินตามมาตรา ๑๐๒ พ.ศ. ๒๕๖๑ ๔. ประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง กำหนดตำแหน่งของผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่น และสมาชิกสภาท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินตามมาตรา ๑๐๒ (๙) พ.ศ. ๒๕๖๑ ๕. ประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง กำหนดตำแหน่งของเจ้าพนักงานของรัฐซึ่งจะต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินตามมาตรา ๑๐๓ พ.ศ. ๒๕๖๑
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14412 | ร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในท้องที่ตำบลแสนตอ อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในท้องที่ตำบลท่าอิบุญ อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ (จังหวัดเพชรบูรณ์) | มท | 30/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในท้องที่ตำบลแสนตอ อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในท้องที่ตำบลแสนตอ อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ บางส่วน เนื้อที่ประมาณ ๒ ไร่ ๒ งาน เพื่อมอบหมายให้องค์การบริหารส่วนตำบลแสนตอใช้เป็นที่ตั้งที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลแสนตอและใช้ประโยชน์อย่างอื่นในราชการ ๑.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในท้องที่ตำบลท่าอิบุญ อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในท้องที่ตำบลท่าอิบุญ อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ บางส่วน เนื้อที่ประมาณ ๑๕๐ ไร่ เพื่อมอบหมายให้กรมการข้าวใช้เป็นสถานที่ก่อสร้างศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวเพื่อทำแปลงผลิตเมล็ดพันธุ์พร้อมทั้งแปลงเปรียบเทียบพันธุ์ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้องค์การบริหารส่วนตำบลแสนตอ และกรมการข้าว ปฏิบัติตามกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดอุตรดิตถ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ และกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดเพชรบูรณ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14413 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม 2561) | นร | 30/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๑ และรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยมอบหมายให้ประธานกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติรับข้อสังเกตดังกล่าวไปประสานงานกับคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14414 | ขออนุมัติโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก | นร63 | 30/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานว่า โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกเข้าข่ายประเภทและขนาดของโครงการที่ต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ออกตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งปัจจุบันกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมยังไม่ได้รับรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการฯ ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๘ บัญญัติให้การดำเนินโครงการหรือกิจการใดภายใต้เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกที่ต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม สุขภาพของประชาชนหรือชุมชนตามที่มีกฎหมายกำหนด ให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ชำนาญการเป็นการเฉพาะเพื่อพิจารณาให้ความเห็นหรือความเห็นชอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการหรือกิจการนั้น โดยต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่ได้รับรายงานที่ถูกต้องและมีข้อมูลครบถ้วน และพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๔๙ วรรคสี่ บัญญัติให้ในระหว่างที่รอผลการพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หน่วยงานผู้รับผิดชอบโครงการสามารถเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติให้ดำเนินกระบวนการหรือขั้นตอนเพื่อให้ได้มาซึ่งเอกชนที่จะเป็นผู้รับงานนั้นไปพลางก่อนได้ แต่จะลงนามผูกพันในสัญญาหรือให้สิทธิกับเอกชนผู้นั้นไม่ได้ ๒. อนุมัติในหลักการโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ตามมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ กองทัพเรือ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง โปร่งใส เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๓. อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณ จำนวน ๑๗,๗๖๘ ล้านบาท ให้กับกองทัพเรือเพื่อใช้ในการดำเนินโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก และให้กองทัพเรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ มาดำเนินการเป็นลำดับแรก หากไม่เพียงพอก็ให้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามความจำเป็นและเหมาะสม รวมทั้งพิจารณาอำนาจและหน้าที่ของหน่วยงาน เป้าหมาย ผลประโยชน์และผลสัมฤทธิ์ที่ได้รับฐานะเงินนอกงบประมาณ รายได้หรือเงินอื่นใดที่หน่วยงานของรัฐนั้นอยู่ หรือสามารถนำมาใช้จ่ายได้ โดยต้องคำนึงถึงความโปร่งใส คุ้มค่า ประหยัด และประโยชน์ของทางราชการเป็นสำคัญ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณต่อไป ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กองทัพเรือ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เช่น การพิจารณาประมาณการจำนวนผู้โดยสารจากปัจจัยต่าง ๆ อย่างรอบด้านและรอบคอบ การเร่งจัดทำแผนแม่บทสนามบินอู่ตะเภาให้แล้วเสร็จโดยเร็วก่อนที่จะเริ่มดำเนินโครงการฯ เพื่อสร้างความชัดเจนในภาพรวมของการพัฒนาสนามบิน รวมถึงตำแหน่งสิ่งปลูกสร้างในโครงการฯ การกำหนดขอบเขตกิจกรรมและสิทธิต่าง ๆ ของการดำเนินโครงการฯ ในการร่วมลงทุนกับภาคเอกชนอย่างรอบคอบ การกำหนดโครงสร้างการบริหารโครงการฯ ทั้งระหว่างการก่อสร้างและดำเนินโครงการฯ โดยอาจพิจารณาหน่วยงานหรือนำบุคลากรที่มีศักยภาพ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ทั้งทางด้านเทคนิคและการบริหารสนามบินพาณิชย์ขนาดใหญ่มาช่วยในการบริหารจัดการโครงการฯ การกำหนดเงื่อนไขการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่มีความสอดคล้องกับปริมาณการขนส่ง การใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด คุณภาพการให้บริการ และความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล ตลอดจนดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และการจัดเตรียมแผนงานและมาตรการรองรับในกรณีหากมีการร้องเรียนจากผู้ได้รับผลกระทบจากการดำนเนินงานสนามบินให้มีความชัดเจนตั้งแต่ก่อนเริ่มดำเนินการโครงการฯ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๕. ให้กองทัพเรือดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้ ๕.๑ ประสานงานกับการรถไฟแห่งประเทศไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดเพื่อบูรณาการการดำเนินโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกและโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม ๓ สนามบิน ให้สอดคล้อง เชื่อมโยง และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ๕.๒ เร่งรัดการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้สามารถลงนามในสัญญาร่วมลงทุนได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14415 | ขออนุมัติโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 | นร63 | 30/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14416 | การดำเนินการออกแบบและก่อสร้างอาคารสถานที่และสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ของส่วนราชการ และหน่วยงานของรัฐ | นร04 | 30/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ จึงขอให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐถือเป็นหลักปฏิบัติอย่างเคร่งครัดว่า ในการดำเนินการก่อสร้าง ปรับปรุง ซ่อมแซมอาคารสถานที่ และสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ของทางราชการ เช่น อาคารสำนักงาน สถานที่ทำการ บ้านพัก เป็นต้น ให้พิจารณาออกแบบและกำหนดรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้ได้มาตรฐาน เป็นไปตามแบบแผนของทางราชการ โดยยึดหลักการประหยัด เหมาะสมเท่าที่จำเป็น รวมทั้งให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14417 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | นร02 | 24/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ในฐานะประธานกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การสร้างการรับรู้และความเข้าใจในข้อมูลข่าวสารจากภาครัฐสู่ประชาชนตามนโยบายและแผนการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔) โดยกำหนดประเด็นการประชาสัมพันธ์ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี ผ่านการจัดทำแผนปฏิบัติการประชาสัมพันธ์แห่งชาติทั้งระดับกระทรวงและระดับจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ พบว่า หน่วยงานภาครัฐมีการสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้แก่ประชาชนตามนโยบายและแผนการประชาสัมพันธ์แห่งชาติฯ ในยุทธศาสตร์ที่ ๒ การประชาสัมพันธ์นโยบายแห่งรัฐมากที่สุด สำหรับยุทธศาสตร์ที่มีการสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้แก่ประชาชนน้อยที่สุดคือ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การประชาสัมพันธ์ในภาวะวิกฤต ๒. การดำเนินงานตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านที่ ๘ ด้านสื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศ คณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ได้มีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ จำนวน ๓ คณะ และมีผลการประชุมขับเคลื่อนการดำเนินงาน ดังนี้ ๒.๑ การประชุมคณะอนุกรรมการทบทวนนโยบายและแผนการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔) ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๖๑ ได้มีมติให้ทบทวนนโยบายและแผนการประชาสัมพันธ์แห่งชาติฯ ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี ในขั้นตอนของการกำหนดประเด็นการประชาสัมพันธ์หลักของประเทศร่วมกัน ๒.๒ การประชุมคณะอนุกรรมการบริหารจัดการข้อมูลข่าวสารภาครัฐเพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๖๑ ได้มีมติให้มีการบริหารจัดการข่าวสารลวง (Fake News) โดยให้มีการจัดทำโลโก้ จัด campaign รณรงค์ต่อต้านข่าวลวง และกำหนดให้มี “วันต่อต้านข่าวลวงแห่งชาติ” พร้อมทั้งสร้างเครือข่ายต่อต้านข่าวลวง ๒.๓ การประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาบุคลากรด้านการประชาสัมพันธ์และสื่อสารมวลชนของประเทศ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๑ ได้มีมติให้มีการพัฒนาบุคลากรด้านการประชาสัมพันธ์และสื่อสารมวลชนของประเทศ แบ่งเป็น ๓ ระดับ ได้แก่ ระดับต้น (ผู้ปฏิบัติ) ระดับกลาง (หัวหน้าฝ่าย/งาน) และระดับสูง (ผู้บริหาร) รวมทั้งให้มีการพัฒนาหลักสูตร กำหนดรายวิชาให้เหมาะสมกับการพัฒนาบุคลากรแต่ละระดับ และให้สำนักงาน ก.พ. นำหลักสูตรหรือรายวิชาด้านการประชาสัมพันธ์และสื่อสารมวลชนไปบรรจุไว้ในหลักสูตรการพัฒนาข้าราชการพลเรือนของประเทศด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14418 | รายงานผลการดำเนินโครงการป้องกันกำจัดศัตรูมะพร้าว (หนอนหัวดำ) ด้วยวิธีผสมผสานแบบครอบคลุมพื้นที่ โดยการมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืน | กษ | 24/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินโครงการป้องกันกำจัดศัตรูมะพร้าว (หนอนหัวดำ) ด้วยวิธีผสมผสานแบบครอบคลุมพื้นที่ โดยการมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินงาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร ได้ดำเนินโครงการป้องกันกำจัดศัตรูมะพร้าว (หนอนหัวดำ) ด้วยวิธีผสมผสานแบบครอบคลุมพื้นที่ เพื่อป้องกันกำจัดหนอนหัวดำมะพร้าวได้อย่างยั่งยืน ในพื้นที่ ๒๙ จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี อ่างทอง ราชบุรี นครปฐม สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สมุทรปราการ ชลบุรี ระนอง จันทบุรี ตราด ฉะเชิงเทรา อุดรธานี บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สงขลา สตูล นราธิวาส นครศรีธรรมราช กระบี่ พังงา ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี ระนอง ชุมพร และปัตตานี พื้นที่ ๑๐๙,๔๐๙ ไร่ (๓,๘๗๗,๑๓๔ ต้น) ระยะเวลาดำเนินโครงการ ตั้งแต่เดือนเมษายน ๒๕๖๐-เดือนมิถุนายน ๒๕๖๑ โดยใช้มาตรการสร้างการรับรู้และการมีส่วนร่วม มาตรการการจัดการศัตรูพืชโดยใช้วิธีผสมผสาน มาตรการทางกฎหมาย มาตรการการสำรวจเฝ้าระวัง และการติดตามประเมินผลโครงการ ๒. ผลการเบิกจ่ายงบประมาณ เป็นเงินทั้งสิ้น ๒๗๙,๔๒๕,๙๒๑.๘๕ บาท คิดเป็นร้อยละ ๙๗.๑๑ ของงบประมาณที่ได้รับ (ข้อมูล ณ วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๖๑) ๓. ผลสำเร็จของโครงการ ส่งผลให้พื้นที่การระบาดของหนอนหัวดำลดลงจาก ๑๐๙,๔๐๙ ไร่ เหลือ ๖,๐๙๙ ไร่ (ลดลง ๑๐๓,๓๑๐ ไร่) คิดเป็นร้อยละ ๙๔.๔ และไม่พบสารเคมีตกค้างในเนื้อและน้ำมะพร้าวหลังการใช้สารเคมีฉีดเข้าลำต้น ทั้งนี้ ช่วยลดโอกาสความเสียหายทางเศรษฐกิจเป็นมูลค่า ๕๙๙.๓๘ ล้านบาท ๔. ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับเกษตรกรและชุมชน รายได้ในครัวเรือนของเกษตรกรเพิ่มขึ้น และศูนย์จัดการศัตรูพืชชุมชนมีความเข้มแข็งมากขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14419 | สรุปผลการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 4/2561 | นร10 | 24/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ ๔/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๑ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการมอบหมายให้คณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่ารับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องรวม ๙ ประเด็น เช่น (๑) การเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์แนวทางการทำงาน การบริหารราชการแผ่นดิน การให้บริการประชาชน รวมถึงผลงานของหน่วยงานผ่านช่องทางการสื่อสารที่หลากหลายและเข้าถึงทุกพื้นที่ (๒) การกำกับ ดูแล ตรวจสอบการปฏิบัติงานของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานให้เป็นไปด้วยความโปร่งใส ถูกต้องตามกฎระเบียบของทางราชการ และ (๓) จัดทำผลการดำเนินงานในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑ โดยให้ระบุข้อมูลต่าง ๆ เช่น ปัญหา อุปสรรคที่ผ่านมาก่อนปี พ.ศ. ๒๕๕๗ แนวทางการแก้ไขปัญหาหลังจากปี พ.ศ. ๒๕๕๗ กฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้องที่ได้มีการปรับปรุงแก้ไข เพื่อแก้ไขปัญหา กลุ่มประชาชนผู้ได้รับประโยชน์และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นที่เป็นรูปธรรม โดยขอให้จัดส่งข้อมูล ณ เดือนกันยายน ๒๕๖๑ ไปยังสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นต้น ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14420 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งแรกของปี พ.ศ. 2561 | กค | 24/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประเมินภาวะเศรษฐกิจการเงินและแนวโน้ม เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๖๑ ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ ๔.๘ เพิ่มขึ้นจากช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๖๐ (ร้อยละ ๔.๒) เป็นผลมาจากการขยายตัวของการส่งออกสินค้า การส่งออกบริการ (การท่องเที่ยว) การบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนภาคเอกชนที่ได้รับแรงส่งจากความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจภายหลังการลงทุนในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และโครงการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๖๑ เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ ๑.๐ เร่งตัวขึ้นจากปีก่อน (ร้อยละ ๐.๓) ส่วนเสถียรภาพระบบการเงินไทยโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดี ๒. การดำเนินนโยบายการเงินในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๖๑ กนง. มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๑.๕ ต่อปี โดยพิจารณาผลบวกและผลลบของแต่ละทางเลือกนโยบาย (Policy Trade-Offs) ทั้งในด้าน (๑) ระยะเวลาที่อัตราเงินเฟ้อกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย (๒) การสนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน และ (๓) การดูแลความเปราะบางในระบบการเงินที่อาจสะสมในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นเวลานาน
|
.....