ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1482 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 29621 - 29640 จากข้อมูลทั้งหมด 124459 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 29621 | สรุปสถานการณ์รวมของภูมิอากาศและน้ำของประเทศไทยประจำสัปดาห์ (ครั้งที่ 11/2555 ณ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2555) | นร04 | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.)สรุปสถานการณ์รวมของภูมิอากาศและน้ำของประเทศไทย ครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๕ ณ วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. สถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง มีจังหวัดที่ได้รับผลกระทบตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕-ปัจจุบัน จำนวน ๑๒ จังหวัด ๙๔ อำเภอ ๖๗๕ ตำบล ๗,๐๖๙ หมู่บ้าน ได้แก่ จังหวัดกาฬสินธุ์ สกลนคร อุดรธานี บึงกาฬ มุกดาหาร หนองคาย หนองบัวลำภู มหาสารคาม ยโสธร อำนาจเจริญ นครพนม และร้อยเอ็ด จังหวัดที่ประกาศให้พื้นที่บางแห่งเป็นพื้นที่ภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ฝนทิ้งช่วง) ๑๒ จังหวัด ๙๓ อำเภอ ๖๗๔ ตำบล ๗,๐๖๕ หมู่บ้าน ได้แก่ จังหวัดกาฬสินธุ์ สกลนคร อุดรธานี บึงกาฬ หนองคาย หนองบัวลำภู มุกดาหาร ยโสธร มหาสารคาม อำนาจเจริญ นครพนม และร้อยเอ็ด ๒. รายงานสรุปผลการลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ขาดแคลนน้ำในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง ในเขตพื้นที่จังหวัดขอนแก่น มหาสารคาม กาฬสินธุ์ และร้อยเอ็ด ในระหว่างวันที่ ๗-๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ซึ่งประธาน กอบ.ได้ลงตรวจติดตามสถานการณ์ฯ และมีข้อสั่งการ ดังนี้ ๒.๑ ให้จัดเก็บน้ำผิวดินจากลำน้ำโดยทำฝายดินในลักษณะทำนบชั่วคราว (Check dam) หรือขุดคูชักน้ำจากลำน้ำหรืออ่างเก็บน้ำเข้าระบบประปา เช่น ที่หนองใหญ่ เทศบาลตำบลท่าคันโท อำเภอหนองกุงศรี อ่างเก็บน้ำวังลิ้นฟ้า อำเภอห้วยเม็ก จังหวัดกาฬสินธุ์ และห้วยสายบาตร อำเภอเมืองขอนแก่น เป็นต้น ๒.๒ ให้เจาะบ่อน้ำบาดาลในพื้นที่สาธารณะ เช่น โรงเรียน วัด โดยให้จังหวัดและหน่วยบัญชาการทหารพัฒนาและกรมทรัพยากรน้ำบาดาลเป็นผู้ดำเนินการ โดยใช้ข้อมูลของกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ๒.๓ ให้ความสำคัญกับน้ำกินน้ำใช้ จากนั้นจึงให้ใช้เพื่อประคับประคองพืชที่ปลูกแล้วหรือสำหรับการปลูกพืชระยะสั้น ๒.๔ โครงการเร่งด่วนต้องทำทันทีและให้แล้วเสร็จภายใน ๖๐ วัน การใช้งบประมาณควรใช้ก่อนภัยแล้งจะเกิดขึ้นเพื่อเป็นการป้องกันโดยไม่จำเป็นต้องประกาศพื้นที่ภัยแล้ง ๒.๕ ให้จัดตั้งศูนย์เครื่องจักรเครื่องมือเพื่อแก้ปัญหาภัยแล้ง (depot) โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นคนสั่งการในการกระจายและกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นเจ้าภาพรวบรวมเครื่องมือต่าง ๆ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29622 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การคลังสินค้า พ.ศ. .... | พณ | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การคลังสินค้า พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ ยกเลิกพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การคลังสินค้า พ.ศ. ๒๔๙๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๑.๒ กำหนดบทนิยามคำว่า “กรรมการ” และ “ลูกจ้าง” ๑.๓ เปลี่ยนสถานที่ตั้งสำนักงานใหญ่จากจังหวัดพระนคร เป็นจังหวัดนนทบุรี ๑.๔ ปรับปรุงวัตถุประสงค์ให้องค์การคลังสินค้าสามารถดำเนินธุรกิจอื่นที่เป็นประโยชน์แก่กิจการขององค์การคลังสินค้า ๑.๕ เพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ให้สามารถดำเนินธุรกิจเช่าซื้อ จัดตั้งบริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชนจำกัด ถือหุ้นหรือเข้าเป็นหุ้นส่วน ร่วมลงทุนหรือเข้าร่วมกิจการกับนิติบุคคลอื่น ตลอดจนกระทำการอื่นใดที่จำเป็นหรือต่อเนื่อง เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การคลังสินค้า ๑.๖ เพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า เพื่อแก้ปัญหาองค์ประกอบของคณะกรรมการไม่ครบ เป็นเหตุให้องค์การคลังสินค้าไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ ๑.๗ ให้ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้ามาจากการจ้าง โดยคณะกรรมการเป็นผู้มีอำนาจจ้างและเลิกจ้าง รวมทั้งกำหนดอัตราเงินเดือนด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี และต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายว่าด้วยคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ ๑.๘ ปรับปรุงหลักเกณฑ์การรักษาการแทนในกรณีตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้าว่างลง หรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดตั้งบริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชนจำกัด เพื่อประกอบธุรกิจในกิจการที่เกี่ยวกับการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ขององค์การคลังสินค้า ตามมาตรา ๙ (๕) ควรกำหนดสัดส่วนการถือหุ้นของคนต่างด้าวไม่เกินกึ่งหนึ่งของนิติบุคคล เพื่อให้บริษัทที่จะจัดตั้งขึ้นมีสถานะเป็นนิติบุคคลไทย รวมทั้งควรพิจารณาเหตุผลและความเหมาะสมของการกำหนดวงเงินในการถือหุ้น หรือเข้าเป็นหุ้นส่วน ร่วมลงทุนหรือเข้าร่วมกิจการกับนิติบุคคลอื่น ในกิจการที่เกี่ยวกับวัตถุประสงค์ขององค์การคลังสินค้า ตามมาตรา ๓๑ (๕) ที่กำหนดวงเงินเกินกว่าหนึ่งพันล้านบาทจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อน เป็นต้น และความเห็นของรองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เกี่ยวกับการดำเนินการขององค์การคลังสินค้าซึ่งต้องไม่ประกอบกิจการที่มีลักษณะเป็นการแข่งขันกับเอกชนตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29623 | การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป. ลาว สำหรับโครงการปรับปรุงและก่อสร้างถนนช่วงบ้านฮวก (จ.พะเยา) - เมืองคอบ - เมืองเชียงฮ่อน และเมืองคอบ - เมืองปากคอบ - บ้านก้อนตื้น สปป. ลาว | กค | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินโครงการปรับปรุงและก่อสร้างถนนช่วงบ้านฮวก (จ.พะเยา)-เมืองคอบ-เมืองเชียงฮ่อน และเมืองคอบ-เมืองปากคอบ-บ้านก้อนตื้น สปป.ลาว ตามประมาณการราคาเบื้องต้น จำนวน ๑,๔๗๓.๘๘ ล้านบาท และสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) จะได้ศึกษา สำรวจออกแบบรายละเอียดการก่อสร้างให้เสร็จเรียบร้อย และจะได้นำผลศึกษาประมาณราคาค่าใช้จ่ายเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติรูปแบบ วิธีการ และเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือทางการเงินที่เหมาะสมแก่โครงการฯ ต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดย สพพ. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการสำรวจและออกแบบรายละเอียดการก่อสร้างพร้อมทั้งประมาณการวงเงินค่าใช้จ่ายและแหล่งเงินของโครงการฯ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งก่อนดำเนินการ และพิจารณากำหนดลำดับความสำคัญของประเทศเพื่อนบ้านที่จะให้ความช่วยเหลือ รวมถึงสัดส่วนของการให้ความช่วยเหลือของ สพพ. ทั้งทางด้านการเงินและวิชาการ โดยแยกออกเป็นเงินกู้ เงินให้เปล่า และอื่น ๆ เพื่อใช้เป็นกรอบการดำเนินงานด้านการให้ความช่วยเหลือกับประเทศเพื่อนบ้านให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29624 | การแก้ไขปัญหาของราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยปล้อง อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย | นร01 | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้จ่ายเงินเยียวยาค่าชดเชยที่ดินและค่าเสียโอกาสในการทำกินเป็นกรณีพิเศษให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยปล้อง อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย จำนวน ๔๘ ราย รวมเนื้อที่ ๖๘๒-๒-๖๒ ไร่ ในอัตราไร่ละ ๔๐,๐๐๐ บาท เป็นเงินทั้งสิ้น ๒๗,๓๐๖,๒๐๐ บาท โดยให้ใช้จ่ายจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ๑.๒ ให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบและกำกับดูแลการจ่ายเงินเยียวยาค่าชดเชยที่ดินและค่าเสียโอกาสในการทำกินเป็นกรณีพิเศษให้แก่ราษฎรดังกล่าว ให้เป็นไปอย่างถูกต้อง เรียบร้อย ด้วยวิธีโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร และระมัดระวังมิให้มีการจ่ายเงินให้แก่ผู้ไม่มีสิทธิ โดยถือความเห็นของคณะกรรมการเป็นหลักฐานประกอบในการอนุมัติจ่ายเงิน รวมทั้งป้องกันมิให้มีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลแสวงหาผลประโยชน์จากการจ่ายเงินให้แก่ราษฎร โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานกรรมการ และผู้อำนวยการศูนย์บริการประชาชน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นกรรมการและเลขานุการ ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการเยียวยาชดเชยที่ดินและค่าเสียโอกาสดังกล่าว เนื่องจากไม่ได้ตั้งงบประมาณไว้ จึงเห็นควรให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในวงเงิน ๒๗,๓๐๖,๒๐๐ บาท โดยให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณโดยตรงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรทำข้อตกลงกับกลุ่มราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยปล้องดังกล่าวว่าจะไม่เรียกร้องค่าชดเชยใด ๆ จากทางราชการอีก และในการโอนเงินผ่านธนาคาร ให้มีการประสานงานกับธนาคารที่เป็นรัฐวิสาหกิจที่เหมาะสมกับการดำเนินการจ่ายเงิน และพิจารณาถึงค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการเพื่อให้สอดคล้องกับเงินงบประมาณรายจ่ายที่จะต้องใช้ด้วย นอกจากนี้ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการพิจารณาวางหลักเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือและกำหนดการชดเชยผู้ที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมอย่างรอบคอบ ตามความเหมาะสมกับสภาพในปัจจุบัน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้ได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการจริง ที่มีหลักฐานตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำกับดูแลในการดำเนินการเกี่ยวกับการร้องเรียนของประชาชนในเรื่องทำนองเดียวกันนี้ในแต่ละพื้นที่ให้มีความชัดเจนและมาตรฐานเดียวกัน |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29625 | การให้สัตยาบันสนธิสัญญาว่าด้วยการให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเรื่องทางอาญาของภูมิภาคอาเซียน | อส | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศให้สัตยาบันสนธิสัญญาว่าด้วยการให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเรื่องทางอาญาของภูมิภาคอาเซียน (Treaty on Mutual Legal Assistance in Criminal Matters) หลังจากนั้นสำนักงานอัยการสูงสุดจะพิจารณาดำเนินการแก้ไขกฎหมายภายในต่อไป ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดเสนอ ทั้งนี้ ประโยชน์ที่ได้รับจากการให้สัตยาบันสนธิสัญญาฯ ๑.๑ ทำให้ประเทศไทยในฐานะเป็นภาคีสนธิสัญญาฯ มีสิทธิที่จะขอและให้ความช่วยเหลือในเรื่องทางอาญากับประเทศอาเซียนอื่นอีก ๙ ประเทศ รวมทั้งกับประเทศในภูมิภาคอื่นที่สนธิสัญญาฯ ข้อ ๓๐ อนุญาตให้เข้าเป็นภาคีได้หากได้รับความยินยอมจากประเทศอาเซียนที่เป็นภาคีสนธิสัญญาฯ ทั้ง ๑๐ ประเทศ ได้อย่างสมบูรณ์ อันจะเป็นประโยชน์ยิ่งแก่การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติที่นับวันจะทวีจำนวนและความรุนแรงมากขึ้น ๑.๒ เป็นการรักษาภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะประเทศผู้นำในภูมิภาคอาเซียนที่มีบทบาทในการจัดทำสนธิสัญญาฯ และมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการดำเนินงานด้านความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญามาเป็นระยะเวลานาน อีกทั้งเป็นการแสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์อย่างแท้จริงของรัฐบาลไทยที่จะร่วมมือกับประเทศอาเซียนอื่นในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติที่ส่งผลกระทบต่อความสงบสุขของประเทศอาเซียนในปัจจุบัน อาทิ ปัญหายาเสพติด ปัญหาการค้ามนุษย์ เป็นต้น ๑.๓ ช่วยให้เกิดการพัฒนางานความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญาทั้งด้านการพัฒนาองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญในการสืบสวนสอบสวนคดี และความรู้ด้านเทคนิคต่าง ๆ ในการฝึกอบรมบุคลากรร่วมกันและการแลกเปลี่ยนผู้ปฏิบัติงานและผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งด้านการสนับสนุนงบประมาณ ทรัพยากรและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ต้องใช้ในการปฏิบัติงาน ๒. สำหรับการปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้สนธิสัญญาว่าด้วยการให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเรื่องทางอาญาของภูมิภาคอาเซียนนั้น ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29626 | การบริหารโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) | กค | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๑๔/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. รับทราบผลการพิจารณาของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ สำนักงบประมาณ และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เกี่ยวกับความเหมาะสมและความจำเป็นของโครงการ ของ รฟท. เรียงตามลำดับความสำคัญ ได้แก่ โครงการปรับปรุงทางรถไฟที่ไม่ปลอดภัย ของ รฟท. กระทรวงคมนาคม โครงการติดตั้งเครื่องกั้นเสมอระดับและปรับปรุงเครื่องกั้น จำนวน ๑๐๕ แห่ง และงานติดตั้งรั้วสองข้างทางตามแนวเขตทางรถไฟ จำนวน ๑๗ รายการ โดย ๑.๑ โครงการปรับปรุงทางรถไฟที่ไม่ปลอดภัย เห็นควรสนับสนุนการดำเนินโครงการฯ ที่เหลืออยู่ จำนวน ๑๒ สายทาง เนื่องจากมีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ด้านโลจิสติกส์เพื่อสนับสนุนการขนส่งสินค้าทางรางและการพัฒนาทางคู่ (Double Track) รวมถึงความสอดคล้องกับการปรับปรุงโครงข่ายหลักซึ่งสภาพทางและอายุการใช้งานของสายทางทุกสายทางอยู่ในสภาพที่ไม่ปลอดภัย ๑.๒ โครงการติดตั้งเครื่องกั้นเสมอระดับและปรับปรุงเครื่องกั้น จำนวน ๑๐๕ แห่ง เห็นควรสนับสนุนโครงการฯ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการเดินรถ และลดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น โดยแผนงานที่ รฟท. เสนอมาอยู่ในเส้นทางสายหลักที่มีปริมาณการจราจรตัดผ่านหนาแน่น ๑.๓ งานติดตั้งรั้วสองข้างทางตามแนวเขตทางรถไฟ จำนวน ๑๗ รายการ เป็นงานที่มีความจำเป็นที่จะต้องเร่งดำเนินการควบคู่ไปกับการพัฒนาและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของรางรถไฟ เพื่อรองรับการลงทุนในส่วนของระบบราง โดยการติดตั้งรั้วในเขตสายทางรถไฟจะช่วยลดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากทางลักผ่านและเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการด้านการขนส่งผู้โดยสารและขนส่งสินค้าให้รวดเร็วและตรงเวลามากขึ้น ๒. อนุมัติให้ดำเนินโครงการและอนุมัติการจัดสรรวงเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ตามข้อเสนอของคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด ได้แก่ ๒.๑ โครงการปรับปรุงทางรถไฟที่ไม่ปลอดภัย ของ รฟท. กระทรวงคมนาคม จำนวน ๔ สายทาง ระยะทาง ๒๖๕ กิโลเมตร ได้แก่ ระหว่างสถานีคลองรังสิต-ชุมทางบ้านภาชี ระยะทาง ๑๒๐ กิโลเมตร ระหว่างชุมทางบ้านภาชี-มาบกะเบา (เดิม) ระยะทาง ๔๔ กิโลเมตร ระหว่างชุมทางศรีราชา-ชุมทางเขาชีจรรย์-สัตหีบ ระยะทาง ๖๖ กิโลเมตร และระหว่างชุมทางเขาชุมทอง-นครศรีธรรมราช ระยะทาง ๓๕ กิโลเมตร วงเงินรวมทั้งสิ้น ๒,๙๓๙.๒๕๒๓ ล้านบาท ๒.๒ โครงการติดตั้งเครื่องกั้นเสมอระดับและปรับปรุงเครื่องกั้น จำนวน ๑๐๕ แห่ง วงเงิน ๑๙๕.๔๒ ล้านบาท ๒.๓ โครงการ GFMIS-SOE ส่วนขยาย (ระยะที่ ๒) ของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง วงเงิน ๘๗ ล้านบาท ๓. อนุมัติให้ รฟท. ดำเนินโครงการ และอนุมัติให้กระทรวงการคลังกู้เงินในประเทศ และให้ รฟท. กู้เงินต่อจากกระทรวงการคลังเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการปรับปรุงทางรถไฟที่ไม่ปลอดภัยในสายทางที่ยังไม่ได้รับการจัดสรรแหล่งเงินลงทุน จำนวน ๘ สายทาง ระยะทาง ๘๔๙ กิโลเมตร รวมวงเงิน ๘,๘๗๔.๖๒ ล้านบาท และให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นงบชำระหนี้ให้แก่ รฟท. เพื่อใช้ชำระหนี้คืนแก่แหล่งเงินกู้โดยตรงทั้งในส่วนเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้อง ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังจะได้ตกลงกับ รฟท. ต่อไป ส่วนงานติดตั้งรั้วสองข้างทางตามแนวเขตทางรถไฟ จำนวน ๑๗ รายการ วงเงิน ๓,๐๔๖.๑๓ ล้านบาท ให้มีการทบทวนความเหมาะสมของโครงการให้รอบคอบและนำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองฯ คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29627 | การแต่งตั้งผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา (ปคร.) ของกระทรวงพาณิชย์ | พณ | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการแต่งตั้งให้ นายนพดล สระวาสี รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาของกระทรวงพาณิชย์ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29628 | ขอความเห็นชอบร่างปฏิญญาร่วมว่าด้วยการประกาศการเริ่มเจรจาความตกลง RCEP (Regional Comprehensive Economic Partnership) | พณ | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างปฏิญญาร่วมว่าด้วยการประกาศการเริ่มเจรจาความตกลง (ASEAN Framework for Regional Comprehensive Economic Partnership-RCEP) และเอกสารแนบ ที่จะมีการรับรองในระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๑ และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ซึ่งกัมพูชาในฐานะประธานอาเซียนจะเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๘-๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยร่างปฏิญญาฯ มีสาระสำคัญเพื่อแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนและประเทศคู่เจรจา ๖ ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลี และนิวซีแลนด์ ในการประกาศเริ่มการเจรจาความตกลง RCEP โดยให้เริ่มต้นการเจรจาตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. ๒๕๕๖ (ค.ศ. ๒๐๑๓) และมุ่งหมายให้การเจรจาแล้วเสร็จภายในสิ้นปี พ.ศ. ๒๕๕๘ (ค.ศ. ๒๐๑๕) เพื่อบรรลุผลให้ RCEP เป็นความตกลงที่มีคุณภาพสูงและทันสมัยบนผลประโยชน์ร่วมกันอย่างรอบด้านในการสนับสนุนการขยายการค้าและการลงทุนในภูมิภาค รวมทั้งส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่เท่าเทียมกัน ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ๑.๒ ให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองปฏิญญาร่วมว่าด้วยการประกาศการเริ่มเจรจาความตกลง RCEP และเอกสารแนบท้าย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ควรคำนึงถึงความสมดุลของภาคการผลิตซึ่งก่อให้เกิดการจ้างงาน การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทรัพยากรภายในประเทศและภูมิภาค และการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม อันจะนำไปสู่การพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน สำหรับขั้นตอนการเจรจา ควรมีการหารือกับภาครัฐและเอกชนในรายละเอียดเพื่อกำหนดท่าทีของประเทศไทย โดยประเด็นที่ควรให้ความสำคัญ ได้แก่ ทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งแต่ละประเทศมีระดับการพัฒนาและการบังคับใช้กฎหมายต่างกัน และประเด็นด้านการเปิดเสรีภาคบริการ ซึ่งจะต้องพิจารณาสาขาและระดับการเปิดเสรีอย่างรอบคอบ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29629 | การจัดตั้งกลไกความร่วมมือด้านตลาดข้าวอาเซียน และการจัดตั้งเขตพิเศษการค้าข้าวอาเซียน (Rice Trade Zone) | พณ | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ แนวทางการจัดตั้งกลไกความร่วมมือตลาดข้าวอาเซียน (ในส่วนของประเทศผู้ผลิตและผู้ส่งออกสำคัญ ๕ ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา สปป.ลาว พม่า เวียดนาม และไทย) โดยจะมีการจัดประชุมใน ๓ ระดับ ได้แก่ ๑.๑.๑ การประชุมในระดับรัฐมนตรี (ASEAN Rice Cooperation Ministerial Meeting) เป็นการประชุมเพื่อกำหนดนโยบายด้านความร่วมมือข้าวของอาเซียน รวมทั้งให้ความเห็นชอบและอนุมัติแผนปฏิบัติการและกลยุทธ์การตลาดตามที่คณะกรรมการความร่วมมือข้าวอาเซียนเสนอ ๑.๑.๒ การประชุมคณะกรรมการความร่วมมือด้านข้าวอาเซียน (ASEAN Rice Cooperation Committee-ARCC) เป็นการประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ส่งออกข้าว ๕ ประเทศในภูมิภาค กำหนดแผนและยุทธศาสตร์ข้าวร่วมกัน พิจารณาและนำเสนอผลการดำเนินการของสมาพันธ์โรงสีและผู้ค้าข้าวอาเซียนต่อที่ประชุมระดับรัฐมนตรีของภูมิภาค ๑.๑.๓ การประชุมของสมาพันธ์โรงสีและผู้ค้าข้าวอาเซียน (ASEAN Rice Miller and Trader Federation to the Ministerial Meeting) เป็นการประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์ข้าวเน้นด้านการเพิ่มประสิทธิภาพด้านการผลิตและการค้าข้าว รวมทั้งนำเสนอข้อมูลสรุปการประชุมให้คณะกรรมการความร่วมมือข้าวอาเซียน ๑.๒ ให้กระทรวงพาณิชย์จัดตั้งคณะทำงานศึกษาแนวทางการจัดตั้งเขตพิเศษการค้าข้าวอาเซียน (Rice Trade Zone : RTZ) เพื่อศึกษา วิเคราะห์ จัดทำแนวทาง ข้อเสนอ และมาตรการเพื่อจัดตั้งเขตพิเศษการค้าข้าวอาเซียน โดยในเบื้องต้นการศึกษาแนวทางดังกล่าวจะกำหนดขอบเขตการศึกษาให้ครอบคลุมถึงประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ ตำแหน่งพื้นที่ที่เหมาะสม ระบบกลไกการควบคุม ข้อกฎหมาย กระบวนการจัดตั้ง และบุคลากร เป็นต้น ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับแนวทางการจัดตั้งกลไกความร่วมมือตลาดข้าวอาเซียนในรูปแบบของการประชุมในระดับรัฐมนตรี อาจต้องเปิดโอกาสให้ประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นที่เหลือเข้าร่วมด้วยได้ และตามกฎบัตรอาเซียน การจัดตั้งองค์กรระดับรัฐมนตรีของอาเซียนเฉพาะสาขาจะต้องได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมสุดยอดอาเซียน การให้ความสำคัญกับการศึกษาและวิเคราะห์แนวทางการจัดตั้งกลไกให้ครอบคลุมถึงการบูรณาการห่วงโซ่การพัฒนาตลาดข้าว โดยเฉพาะการให้ความสำคัญประเด็นการรักษาและพัฒนาคุณภาพข้าวไทย การศึกษาแนวทางการจัดตั้งเขตพิเศษการค้าข้าวอาเซียนควรครอบคลุมการศึกษาในเชิงลึกในประเด็นเรื่องผลกระทบทางบวกและทางลบต่อภาคการเกษตร ภาคการค้า และภาคอุตสาหกรรมต่อเนื่องของประเทศจากการจัดตั้งเขตพิเศษการค้าข้าวดังกล่าว และแนวทางในการรองรับผลกระทบในอนาคต นอกจากนี้ การจัดตั้งกลไกการประชุมความร่วมมือตลาดข้าวอาเซียนควรครอบคลุมกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตและกลุ่มอุตสาหกรรมแปรรูปซึ่งเป็นอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เพื่อให้กลไกการหารือมีความครอบคลุมและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อภาคเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งจัดทำประชาพิจารณ์เพื่อรับฟังความเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน เนื่องจากสินค้าข้าวเป็นสินค้าเกษตรที่มีความอ่อนไหวและได้รับผลกระทบทั้งด้านบวกและด้านลบจากการกำหนดนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะมาตรการในการควบคุมให้ประเทศสมาชิกดำเนินการตามข้อตกลงต่าง ๆ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29630 | ความตกลงการค้าเสรีระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐชิลี | พณ | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๓ เกี่ยวกับมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๕๒ เรื่อง ยุทธศาสตร์นโยบายแอลกอฮอล์ระดับชาติ ข้อ ๕.๕.๔ มาตรการปกป้องความเข้มแข็งของนโยบายแอลกอฮอล์จากผลกระทบของข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศ ๑.๒ เห็นชอบและอนุมัติการลงนามความตกลงการค้าเสรีระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐชิลี (The Free Trade Agreement between the Government of Kingdom of Thailand and the Government of the Republic of Chile) ก่อนนำเสนอความตกลงฯ เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อให้ความเห็นชอบเพื่อผูกพันไทยต่อไป ทั้งนี้ สาระสำคัญของความตกลงฯ เป็นความตกลงที่มีกรอบกว้าง (Comprehensive Agreement) โดยรวมข้อบทต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการค้าและการลงทุนในความตกลงฉบับเดียว ได้แก่ การค้าสินค้า พิธีการศุลกากร กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า มาตรการปกป้องและเยียวยาทางการค้า มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช มาตรการอุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า การค้าบริการ การระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐ ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และความโปร่งใส ส่วนข้อบทการลงทุนจะมีการเจรจาภายใน ๒ ปี นับจากความตกลงฯ มีผลใช้บังคับ โดยมีสาระสำคัญครอบคลุมในเรื่องการค้าสินค้าและการค้าบริการ ๑.๓ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ได้รับมอบหมายอื่นเป็นผู้ลงนามความตกลงฯ และหากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญในความตกลงฯ และไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้ผู้ลงนามใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ ได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ๑.๔ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ได้รับมอบหมายอื่น เป็นผู้ลงนาม ๑.๕ เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบความตกลงฯ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือแจ้งการมีผลใช้บังคับของความตกลงฯ เมื่อประเทศไทยได้ดำเนินการตามกระบวนการภายในเสร็จสิ้นแล้ว ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ไปหารือร่วมกับกระทรวงการคลังและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณากำหนดมาตราการภายในเพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมที่อาจจะเกิดขึ้นจากการขออนุมัติยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๓ เกี่ยวกับมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๕๒ เรื่อง ยุทธศาสตร์แอลกอฮอล์ระดับชาติ มาตราการปกป้องความเข้มแข็งของนโยบายแอลกอฮอล์จากผลกระทบของข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศ โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่มีผลกระทบทางสังคมอันเกิดจากปัญหาการดื่มสุรา ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องมีการเฝ้าระวังทางสังคมของไทย จึงจำเป็นต้องมีมาตรการรองรับ เช่น มาตราการภาษีสรรพสามิต และการเพิ่มอัตราเงินสมทบจากภาษีสรรพสามิตในกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ เป็นต้น กระทรวงพาณิชย์ควรหารือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบในทุกมิติ ไปประกอบการพิจารณาด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29631 | แผนบริหารจัดการและแผนธุรกิจโครงการบัตรสมาชิกพิเศษ (Thailand Privilege Card) | กก | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้ดำเนินโครงการบัตรสมาชิกพิเศษ (Thailand Privilege Card) ต่อไป ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดสภาพคล่องด้านการเงินของบริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด ในช่วงเวลาการขายบัตรสมาชิกใหม่ จำนวน ๑๐๐ ล้านบาท ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ แผนงานเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยว ผลผลิต การส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินงานด้านตลาด รายการค่าใช้จ่ายในการชำระค่าหุ้นบริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด จำนวน ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งตั้งงบประมาณไว้ จำนวน ๕๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนการชำระค่าหุ้นบริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด เนื่องจากหากยังไม่มีการยกเลิกโครงการฯ จึงยังไม่มีความจำเป็นต้องจ่ายชำระค่าหุ้นดังกล่าว ทั้งนี้ เห็นสมควรให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาขอทำความตกลงเปลี่ยนแปลงการใช้จ่ายงบประมาณกับสำนักงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำกับดูแลการบริหารจัดการโครงการฯ ให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้อย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันมิให้การดำเนินโครงการฯ ประสบปัญหา ไม่สร้างภาระด้านงบประมาณ และอำนวยประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศอย่างแท้จริง และในการดำเนินการตามแนวทางบริหารจัดการสมาชิกเดิม อาทิ การเปลี่ยนแปลง การซื้อคืน หรือการยกเลิกสิทธิ์ ควรเป็นไปอย่างรอบคอบและรัดกุมเพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของไทย และความเชื่อมั่นของชาวต่างชาติที่มีต่อประเทศไทยในระยะยาว รวมทั้งให้ความสำคัญในการสร้างรายได้และสร้างกระแสเงินสดหมุนเวียนให้เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจเพื่อไม่ให้เป็นภาระงบประมาณของภาครัฐ และพิจารณาแนวทางการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการบริหารบริษัทฯ โดยเพิ่มสัดส่วนของผู้ทรงคุณวุฒิที่มีประสบการณ์ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องมากขึ้น มีกระบวนการสรรหาบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในเชิงธุรกิจเข้ามาบริหารงานเพิ่มเติม และมีการคัดกรองสมาชิกใหม่ที่มีคุณภาพ นอกจากนี้ การให้สิทธิพิเศษบางประการกับสมาชิกบัตร จำเป็นต้องพิจารณาในรายละเอียดที่ชัดเจนและรอบคอบ เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ของหลายหน่วยงาน ซึ่งในทางปฏิบัติต้องได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานเหล่านี้ก่อน เช่น การให้บริการตรวจลงตราชนิดพิเศษทุก ๕ ปี โดยให้มีสิทธิพำนักชั่วคราวจากเดิม ๓ เดือน เป็น ๑๒ เดือน การถือครองอสังหาริมทรัพย์ การเข้าถึงผู้บริหารระดับสูงของไทย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29632 | การป้องกันการทุจริตจากการใช้ระบบการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Auction) | ปช | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) เรื่อง การป้องกันการทุจริตจากการใช้ระบบการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Auction) ตามที่ประธานกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ และให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงบประมาณและสำนักงาน ก.พ.ร. นำข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไปหารือร่วมกับคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อให้ได้แนวทางการดำเนินการที่ชัดเจน ทั้งนี้ จะต้องไม่เป็นอุปสรรคต่อการบริหารราชการแผ่นดิน และให้รายงานต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป สำหรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. สรุปได้ ดังนี้
๑. กรมบัญชีกลางต้องควบคุมหน่วยงานของรัฐไม่ให้มีการนำวิธีการ e-Auction ไปใช้กับการประมูลงานก่อสร้างที่มีรายละเอียดของเนื้องานยุ่งยากซับซ้อน มีเทคนิคเฉพาะ และมีเอกสารบัญชีแสดงรายการวัสดุและปริมาณเนื้องาน (BOQ) หลากหลายรายการในโครงการเดียวกันและงานประเภทอื่นที่มีความยุ่งยากซับซ้อนในรายละเอียดของเนื้องานหรือมีเทคโนโลยีขั้นสูง รวมทั้งงานว่าจ้างที่ปรึกษาและงานว่าจ้างผู้ออกแบบ ซึ่งต้องมีการพิจารณาคุณสมบัติของผู้เสนอราคาเป็นเรื่องสำคัญ ทั้งนี้ ให้กรมบัญชีกลางเป็นผู้กำหนดรายละเอียดและประเภทของงานที่ให้ใช้และไม่ให้ใช้วิธีการ e-Auction ๒. ให้มีการปฏิบัติตามขั้นตอนและการเปิดเผยข้อมูลในเรื่องระยะเวลาและการดำเนินการในการเสนอราคาทุกขั้นตอนของ e-Auction อย่างเคร่งครัดเพื่อความโปร่งใส และมีหน่วยงานทำหน้าที่รับผิดชอบตรวจสอบติดตามผลการดำเนินงานและประเมินผลการปฏิบัติงานหน่วยงานที่จัดซื้อจัดจ้างและมีมาตรการลงโทษ หากพบการกระทำผิด ๓. ให้มีการเปิดเผยข้อกำหนด TOR ร่างสัญญาและข้อตกลงแนบท้ายสัญญาลงในระบบ Internet เพื่อให้มีการวิพากษ์วิจารณ์จากทุกฝ่ายอย่างเปิดเผยก่อนการอนุมัติใช้และการกำหนด TOR เกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้มีสิทธิเสนอราคาต้องกำหนดเป็นมาตรฐานที่ชัดเจน ไม่ควรให้หน่วยงานของรัฐใช้ดุลพินิจในการกำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิเสนอราคาเอง ๔. เร่งรัดให้มีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับราคากลางใน website ของหน่วยงานของรัฐทุกหน่วยงาน และให้มีการจัดทำมาตรฐานวิธีการคำนวณราคากลางที่ถูกต้องและเป็นธรรม ทุกหน่วยงานของรัฐสามารถใช้อ้างอิงเป็นเกณฑ์มาตรฐานของราคากลางได้ และมีสถาบันวิชาชีพทำหน้าที่ให้การรับรองคุณสมบัติของผู้ทำหน้าที่คิดคำนวณราคากลางเพื่อเป็นมาตรการป้องกันการทุจริตสมยอมกันในการเสนอราคา ๕. กรมบัญชีกลางต้องดำเนินการควบคุมตรวจสอบดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ให้บริการตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์ในการกำกับการแข่งขันราคาให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กรมบัญชีกลางกำหนดอย่างเคร่งครัด เพื่อความโปร่งใสในการแข่งขันราคาและเพื่อสร้างความมั่นใจว่ามีการแข่งขันราคากันอย่างแท้จริง ๖. ให้กรมบัญชีกลางดำเนินการเร่งรัดในเรื่องการพัฒนาระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government Procurement : e-GP) ให้แล้วเสร็จเป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่แท้จริงเต็มรูปแบบโดยเร็ว โดยนำระบบอิเล็กทรอนิกส์ไปใช้ในทุกขั้นตอนของการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เพื่อให้กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างมีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29633 | การขอความเห็นต่อแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วมว่าด้วยการเป็นพันธมิตรด้านการป้องกันประเทศไทย - สหรัฐอเมริกา 2012 (2012 Joint Vision Statement for the Thai - U.S. Defense Alliance) | กห | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงกลาโหมจัดทำแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วมว่าด้วยการเป็นพันธมิตรด้านการป้องกันประเทศ ไทย-สหรัฐอเมริกา ๒๐๑๒ (2012 Joint Vision Statement for the Thai-U.S. Defense Alliance) ร่วมกับกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา เพื่อเป็นการแสดงจุดยืนถึงการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดยความร่วมมือทางทหารจะมุ่งเน้นใน ๔ ประเด็น ได้แก่ ความเป็นหุ้นส่วนในการสร้างความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การสนับสนุนความมีเสถียรภาพในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก การพัฒนาความพร้อมและขีดความสามารถในการปฏิบัติการร่วมทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี และการพัฒนาความสัมพันธ์ การประสานงาน และการสร้างความร่วมมือในทุกระดับ ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยในร่างแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วมฯ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของร่างแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วมฯ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อสาระสำคัญของร่างแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วมฯ ให้กระทรวงกลาโหมพิจารณาดำเนินการได้ตามความเหมาะสม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29634 | การคุ้มครองประกันสังคมแก่แรงงานนอกระบบ | รง | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบการดำเนินงานคุ้มครองประกันสังคมแก่แรงงานนอกระบบ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงแรงงานได้ตั้งเป้าหมายการดำเนินงานให้แรงงานนอกระบบได้รับความคุ้มครองประกันสังคม ภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ จำนวน ๑.๒๐ ล้านคน โดยมอบหมายให้สำนักงานประกันสังคมดำเนินการรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ ส่งเสริมให้แรงงานนอกระบบเกิดความเข้าใจ และสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ๑.๒ ในการส่งเงินเข้ากองทุนประกันสังคม แรงงานนอกระบบที่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ สามารถจ่ายเงินสมทบผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้แก่ สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานคร พื้นที่ ๑-๑๒ สำนักงานประกันสังคมจังหวัดและสาขา หักบัญชีเงินฝากของผู้ประกันตนผ่านธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และจ่ายผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส ห้างเทสโก้ โลตัส และไปรษณีย์ ๑.๓ การดำเนินงาน ณ วันที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๕ มีแรงงานนอกระบบได้รับการประกันสังคม จำนวน ๑,๐๖๘,๘๓๙ คน หรือร้อยละ ๘๙.๐๗ ของเป้าหมาย โดยแรงงานนอกระบบที่สมัครเข้าเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ จ่ายเงินสมทบเพื่อรับสิทธิประโยชน์ในทางเลือกที่ ๑ อัตราเงินสมทบเดือนละ ๑๐๐ บาท ได้รับสิทธิ ๓ กรณีคือ เจ็บป่วย ทุพพลภาพ และตาย (การรักษาพยาบาลใช้สิทธิระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) จำนวน ๕,๔๖๘ คน หรือร้อยละ ๐.๕๐ ของผลการดำเนินงาน และทางเลือกที่ ๒ อัตราเงินสมทบเดือนละ ๑๕๐ บาท ได้รับสิทธิ ๔ กรณีคือ เจ็บป่วย ทุพพลภาพ ตาย และบำเหน็จชราภาพ (การรักษาพยาบาลใช้สิทธิระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) จำนวน ๑,๐๖๓,๓๗๑ คน หรือร้อยละ ๙๙.๕๐ ของผลการดำเนินงาน ๑.๔ การเบิกจ่ายเงินอุดหนุนของรัฐบาล ตามทางเลือกที่ ๑ และ ๒ นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ๒๕๕๔ ถึงเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ รวมระยะเวลา ๑๖ เดือน เบิกจ่ายแล้วเป็นจำนวน ๓๕๑,๒๗๖,๙๕๐ บาท ในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ คงเหลือเงินงบประมาณที่สามารถเบิกจ่ายได้ จำนวน ๑๑๗,๙๒๓,๐๕๐ บาท โดยที่จำนวนผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เฉพาะในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ มีการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนของรัฐบาล จำนวน ๓๐,๕๗๔,๖๙๐ บาท และในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ มีการเบิกจ่าย จำนวน ๓๑,๑๐๒,๒๑๐ บาท หากใช้ข้อมูลในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ เป็นฐานในการประมาณการ คาดว่าจะสามารถเบิกจ่ายเงินอุดหนุนได้ถึงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ บางส่วน ๑.๕ เนื่องจากกระทรวงแรงงานอยู่ระหว่างการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ในมาตรา ๔๐ เพื่อให้รัฐบาลสามารถจ่ายเงินสมทบร่วมกับผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ และคาดว่าเงินงบประมาณที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติจัดสรรให้แก่กระทรวงแรงงานเบิกจ่ายเพื่อสนับสนุนช่วยเหลือบรรเทาภาระของประชาชนแรงงานนอกระบบที่สมัครเข้าเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ มีจำนวนไม่เพียงพอ อาจจะส่งผลให้การดำเนินงานประกันสังคมแก่แรงงานนอกระบบไม่ต่อเนื่อง จึงมีความจำเป็นต้องขอรับการสนับสนุนเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อสนับสนุนช่วยเหลือบรรเทาภาระของประชาชนไปพลางก่อน ๒. อนุมัติหลักการจัดสรรเงินอุดหนุนเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนแรงงานนอกระบบที่สมัครเข้าเป็นผู้ประกันตน ตามมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในกรอบวงเงินไม่เกิน ๑๔๕,๕๓๔,๗๐๐ บาท เนื่องจากสำนักงานประกันสังคมมีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เหลือจ่าย จำนวน ๑๑๗,๙๒๓,๐๕๐ บาท ซึ่งคาดว่าจะเพียงพอต่อการอุดหนุนค่าใช้จ่ายของประชาชนแรงงานนอกระบบดังกล่าวไปจนถึงเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ จึงเห็นสมควรให้สำนักงานประกันสังคมตรวจสอบและใช้จ่ายจากวงเงินดังกล่าวไปก่อน และเมื่อมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเพิ่มเติม ก็ขอให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเป็นรายเดือนเพื่อขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ในส่วนค่าตอบแทนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และการประชาสัมพันธ์รณรงค์ให้แรงงานนอกระบบสมัครเข้าเป็นผู้ประกันตน ตามมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ให้ใช้จ่ายจากเงินกองทุนประกันสังคม ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ หากกระทรวงแรงงานไม่สามารถใช้จ่ายจากเงินกองทุนประกันสังคมได้ ให้หารือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป ๔. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเพิ่มช่องทางในการให้และรับบริการให้ครอบคลุมประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลเพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถเข้าถึงระบบการคุ้มครองทางสังคมได้อย่างสะดวก รวดเร็วในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะการพัฒนาช่องทางการจ่ายเงินสมทบผ่านเครือข่ายการทำงานร่วมของภาคประชาชน องค์กรชุมชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29635 | ขอความเห็นชอบร่างแถลงข่าวร่วมว่าด้วยการประกาศการเข้าร่วมเจรจาความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) และการรื้อฟื้นการประชุมคณะมนตรีภายใต้กรอบความตกลงการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับสหรัฐฯ (TIFA JC) | พณ | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างแถลงข่าวร่วม (Joint Press Statement) ในเรื่องการประกาศเจตนารมณ์เข้าร่วมเจรจาความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Trans-Pacific Partnership Agreement : TPP) ในโอกาสการเดินทางมาเยือนไทยอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดยความตกลง TPP เป็นความตกลงเปิดเสรีทางเศรษฐกิจที่มีมาตรฐานสูงที่สุดในขณะนี้ ครอบคลุมหัวข้อเจรจา ๒๖ เรื่อง ทั้งในด้านการเปิดตลาดการค้าสินค้า การค้าบริการ และการลงทุน ตลอดจนการปฏิรูป และการสร้างความสอดคล้อง ในกฎระเบียบทางเศรษฐกิจของประเทศสมาชิก เช่น ด้านนโยบายการแข่งขัน การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ ทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น ๑.๒ ร่างแถลงข่าวร่วม (Joint Press Statement) ในประเด็นการรื้อฟื้นการประชุมคณะมนตรีภายใต้กรอบความตกลงการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับสหรัฐฯ (Trade and Investment Framework Agreement Joint Council : TIFA JC) ในโอกาสการเดินทางมาเยือนไทยอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยกรอบความตกลง TIFA JC มีเนื้อหาเกี่ยวกับความร่วมมือและประสานงานด้านการค้าการลงทุน รวมทั้งแก้ไขปัญหาและอุปสรรคทางการค้าระหว่างกัน โดยมีการกำหนด Work program ให้มีการปรึกษาหารือกันในสาขาต่าง ๆ เช่น การอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุน การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา มาตรการที่ส่งผลต่อนโยบายการค้าและการลงทุน การเสริมสร้างขีดความสามารถทางวิชาการและการค้า เป็นต้น ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างแถลงข่าวร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและกระทรวงอุตสาหกรรมที่เห็นว่า การที่ประเทศไทยจะประกาศเจตนารมณ์ในการเข้าร่วมเจรจาความตกลง TPP ซึ่งเป็นความตกลงที่มีมาตรฐานสูงและมีการเจรจาที่ครอบคลุมประเด็นอย่างกว้างขวาง ควรคำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นภายหลังจากการเข้าร่วมเจรจา ได้แก่ ความไม่พร้อมในเรื่องระดับมาตรฐานของกฎหมายและกฎระเบียบเศรษฐกิจการค้าต่าง ๆ และความไม่พร้อมในการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นประเด็นที่มีความสำคัญ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29636 | ขออนุมัติจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งการปรึกษาหารือทวิภาคีระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวง การต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐยูกันดา | กต | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำและลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งการปรึกษาหารือทวิภาคีระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐยูกันดา (Memorandum of Understanding on the Establishment of Bilateral Consultations between the Ministry of Foreign Affairs of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Foreign Affairs of the Republic of Uganda) เพื่อสร้างกรอบการปรึกษาหารืออย่างเป็นทางการเป็นประจำเพื่อทบทวนความสัมพันธ์ทวิภาคีในทุกมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความร่วมมือด้านการเมือง เศรษฐกิจ การพาณิชย์ วิชาการ วัฒนธรรมและกงสุล อันจะนำมาซึ่งการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทยและยูกันดาให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29637 | แถลงข่าวร่วมไทย - สหราชอาณาจักร ในโอกาสการเยือนสหราชอาณาจักรของนายกรัฐมนตรี | กต | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการร่างแถลงข่าวร่วม (Joint Press Statement) ไทย-สหราชอาณาจักร มีสาระสำคัญเพื่อเป็นการยืนยันเจตนารมณ์ร่วมและแสดงความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยและสหราชอาณาจักรในการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศ ในฐานะ “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์” โดยจะมีการจัดตั้ง “การหารือเชิงยุทธศาสตร์” (Strategic Dialogue) เป็นกลไกการหารือประจำปีในระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศทั้งสองฝ่าย เพื่อติดตามความสัมพันธ์อย่างครอบคลุมและส่งเสริมความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกันทั้งในระดับทวิภาคี ภูมิภาค และระหว่างประเทศ ๑.๒ อนุมัติให้ประกาศแถลงข่าวร่วมฯ กับฝ่ายสหราชอาณาจักร ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างแถลงข่าวร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทยก่อนมีการแถลงข่าวร่วมดังกล่าว ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้ตัดข้อความในร่างแถลงข่าวร่วมฯ เกี่ยวกับการลงนามในเอกสารข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกระทรวงศึกษาธิการกับ British Council และข้อตกลงความร่วมมือระหว่างสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กระทรวงอุตสาหกรรมกับ United Kingdom Trade and Investment (UKTI) ออก |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29638 | ขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารที่จะมีการรับรองหรือลงนามระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 21 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง | กต | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบต่อร่างเอกสาร จำนวน ๑๐ ฉบับ ที่จะมีการรับรองหรือลงนามระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๑ และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ซึ่งราชอาณาจักรกัมพูชาในฐานะประธานอาเซียนจะเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๘-๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ณ กรุงพนมเปญ และหากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างเอกสารที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการโดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง โดยร่างเอกสาร จำนวน ๑๐ ฉบับ ประกอบด้วย ๑.๑.๑ ร่างปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ๑.๑.๒ ร่างแถลงการณ์ผู้นำอาเซียนว่าด้วยการรับรองปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ๑.๑.๓ ร่างแถลงการณ์ร่วมผู้นำอาเซียนว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์ทุ่นระเบิดภูมิภาคอาเซียน ๑.๑.๔ ร่างแผนปฏิบัติการปฏิญญาบาหลีว่าด้วยประชาคมอาเซียนในประชาคมโลก ๑.๑.๕ ร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียน-จีน ในโอกาสครบรอบ ๑๐ ปี ปฏิญญาว่าด้วยการปฏิบัติของภาคีในทะเลจีนใต้ : เพื่อเพิ่มพูนสันติภาพ มิตรภาพ และความร่วมมือ ๑.๑.๖ ร่างแถลงการณ์ร่วมผู้นำอาเซียนบวกสามในโอกาสครบรอบ ๑๕ ปี ของกรอบความร่วมมืออาเซียนบวกสาม ๑.๑.๗ ร่างแถลงการณ์ผู้นำว่าด้วยหุ้นส่วนความเชื่อมโยงอาเซียนบวกสาม ๑.๑.๘ ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมผู้นำอาเซียน-สหรัฐฯ ครั้งที่ ๔ ๑.๑.๙ ร่างปฏิญญาการประชุมสุดยอดอาเซียนตะวันออก ครั้งที่ ๗ ว่าด้วยภาวะการดื้อยาต้านมาลาเรีย ๑.๑.๑๐ ร่างปฏิญญาพนมเปญว่าด้วยข้อริเริ่มการพัฒนาของการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ๑.๒ ให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมลงนามเอกสารในข้อ ๑.๑.๒ ๑.๓ ให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารในข้อ ๑.๑.๑ และข้อ ๑.๑.๓ ถึง ๑.๑.๑๐ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่า การรับรองร่างเอกสาร จำนวน ๑๐ ฉบับดังกล่าว จะมีส่วนสำคัญในการแสดงความพร้อมของไทยในการสนับสนุนการดำเนินงานต่าง ๆ ในกรอบอาเซียน อาทิ การสนับสนุนการดำเนินการตามแผนแม่บทความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน การสนับสนุนบทบาทของผู้นำเอเชียตะวันออกในการลดช่องว่างด้านการพัฒนาการจัดการภัยพิบัติ การเสริมสร้างและยกระดับความสัมพันธ์กับประเทศคู่เจรจา ซึ่งมีความสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลด้านการต่างประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ รวมทั้งยุทธศาสตร์การสร้างความเชื่อมโยงกับประเทศในภูมิภาคเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๑๑ ที่มุ่งส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศอาเซียนเพื่อบรรลุเป้าหมายในการจัดตั้งประชาคมอาเซียน และเห็นควรเพิ่มข้อความในแผนปฏิบัติการปฏิญญาบาหลีว่าด้วยประชาคมอาเซียนในประชาคมโลก “ปฏิญญาบาหลี ๓” (ค.ศ. ๒๐๑๒-๒๐๒๒) ในหน้าที่ ๑๔ หัวข้อ จ. หัวข้อย่อยที่ ๒ “.....โดยเฉพาะโครงการที่มุ่งลดช่องว่างด้านการพัฒนาและส่งเสริมการเป็นฐานการผลิตร่วมบริเวณชายแดน...” เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29639 | การลงนามความตกลงด้านการเงินระหว่างอาเซียนและธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย [Financing Agreement (FA) between ASEAN and Asian Development Bank (ADB) on Master Plan on ASEAN Connectivity Implementation] | กต | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างความตกลงด้านการเงินระหว่างอาเซียนและธนาคารพัฒนาเอเชีย [Financing Agreement (FA) between ASEAN and Asian Development Bank (ADB) on Master Plan on ASEAN Connectivity Implementation] และมอบหมายให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนลงนามแทนประเทศสมาชิกอาเซียนร่วมกับ ADB ในความตกลงด้านการเงินระหว่างอาเซียนและ ADB เพื่อเบิกจ่ายเงินสำหรับโครงการให้ความช่วยเหลือด้านวิชาการเพื่อสร้างขีดความสามารถแก่อาเซียนในการดำเนินการตามแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน (Master Plan on ASEAN Connectivity Implementation Project) จากกองทุน Japan ASEAN Integration Fund (JAIF) เป็นจำนวนทั้งสิ้น ๙๗๕,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29640 | ผลการเข้าร่วมประชุม Bali Democracy Forum ของนายกรัฐมนตรี | นร | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอผลการเข้าร่วมประชุม Bali Democracy Forum (BDF) ครั้งที่ ๕ ณ เกาะบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ระหว่างวันที่ ๗-๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ โดยการประชุมดังกล่าวเป็นเวทีส่งเสริมความร่วมมือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการพัฒนาประชาธิปไตยและการเมืองในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งปรากฏชัดเจนว่าทุกประเทศล้วนต้องการเห็นการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย ในส่วนของไทยได้เน้นย้ำว่าคณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบันนี้ได้ส่งเสริมและสนับสนุนการเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตย โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง และให้ทุกคนได้รับสิทธิเสรีภาพอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน รวมทั้งใช้กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารและการตัดสินใจทางการเมือง โดยยึดหลักกฎหมายและใช้หลักสันติวิธีในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
