ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1487 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 29721 - 29740 จากข้อมูลทั้งหมด 124459 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 29721 | แต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (นายชวลิต ชูขจร) | กษ | 22/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นายชวลิต ชูขจร ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร แทนนางสาวสุพัตรา ธนเสนีวัฒน์ ซึ่งได้เกษียณอายุราชการแล้ว โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
||||||||||||||||||
| 29722 | ผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย | นร11 | 22/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการความเห็นของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่ลงพื้นที่โครงการในกรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทยรวม ๔ จังหวัด (จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และพัทลุง) และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดโครงการและรับความเห็นของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีไปดำเนินการต่อไป โดย ๑.๑ ความเห็นของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่ลงพื้นที่โครงการในกรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ของกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย มีแผนงานโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที ได้แก่ โครงการศึกษาความเป็นไปได้และการสำรวจออกแบบเบื้องต้นท่าอากาศยานนานาชาติดอนสัก จังหวัดสุราษฎร์ธานี โครงการปรับปรุงทางหลวงย่านชุมชน จังหวัดสุราษฎร์ธานี โครงการก่อสร้างทางคู่ขนาน ทางหลวงสายเอเชีย (สาย ๔๑) เขตชุมชน จังหวัดพัทลุง และโครงการปรับปรุงสภาพแวดล้อมบริเวณวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารเขตพื้นที่ (Core Zone) และเขตพื้นที่กันชน (Buffer Zone) เพื่อนำพระบรมธาตุเป็นมรดกโลก และโครงการที่เห็นชอบในหลักการ ได้แก่ โครงการอาชีวศึกษาชุมพรเชิงบูรณาการสู่ประชาคมอาเซียน จังหวัดชุมพร ๑.๒ ความเห็นของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่ลงพื้นที่โครงการในกรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ของทั้ง ๔ จังหวัด ๑.๒.๑ จังหวัดชุมพร มีแผนงานโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที ได้แก่ โครงการป้องกันน้ำท่วมและเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในเขตทางหลวง [ทางหลวงหมายเลข ๔๑ (AH 18) บริเวณใกล้สะพานแม่น้ำสวี] และการบูรณาการโครงการในพื้นที่โครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่ตามพระราชดำริชุมพร จำนวน ๔ โครงการ ประกอบด้วย โครงการก่อสร้าง/ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและภูมิทัศน์ โครงการป้องกันและบรรเทาอุทกภัยพื้นที่หนองใหญ่ตามพระราชดำริ (ขุดลอกแก้มลิงหนองใหญ่) โครงการศูนย์การเรียนรู้โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ กว่า ๔,๑๐๐ โครงการ และโครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่ตามพระราชดำริ (ศูนย์เรียนรู้โครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่) และโครงการที่เห็นชอบในหลักการ ได้แก่ โครงการยกระดับคุณภาพกำลังคนอาชีวศึกษาเชิงบูรณาการสู่ประชาคมอาเซียน ๑.๒.๒ จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีแผนงานโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที ได้แก่ โครงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมพื้นที่ท่องเที่ยวหาดเฉวง อำเภอเกาะสมุย โครงการขุดบ่อบาดาลเพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่อำเภอเกาะสมุย โครงการก่อสร้างโรงพยาบาลเกาะเต่า อำเภอเกาะพะงัน โครงการศูนย์บริหารจัดการสารสนเทศสำหรับนักท่องเที่ยวอำเภอเกาะสมุย โครงการส่งเสริมชุมชนต้นแบบในพื้นที่จัดสรรที่ดินทำกิน อำเภอพุนพิน โครงการก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมวัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร และโครงการบริหารจัดการขยะเพื่อสิ่งแวดล้อม อำเภอเกาะพะงัน และโครงการที่เห็นชอบในหลักการ ได้แก่ โครงการบริหารจัดการน้ำ (แก้มลิงทุ่งหัวสน) อำเภอกาญจนดิษฐ์ และโครงการจัดตั้งโรงเรียน มอ.วิทยานุสรณ์ สุราษฎร์ธานี ๑.๒.๓ จังหวัดนครศรีธรรมราช มีแผนงานโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที ได้แก่ โครงการพัฒนาหมู่บ้าน/ชุมชนสมัชชาพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด โครงการวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นมรดกโลก โครงการขุดลอกคลองท่าซักเพื่อป้องกันอุทกภัยจังหวัด (หมู่ที่ ๒-๙ ตำบลท่าซัก อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช) โครงการก่อสร้างถนนสายชายทะเล-บ้านสี่กั๊ก ตำบลท่าขึ้น อำเภอท่าศาลา โครงการก่อสร้างสะพานข้ามคลองชะอวด ตำบลชะอวด ตำบลเคร็ง อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช และโครงการก่อสร้างท่อระบายน้ำชนิดท่อเหลี่ยมเพื่อป้องกันน้ำท่วมพื้นที่เศรษฐกิจและพื้นที่ตำบลและอำเภอข้างเคียง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช และโครงการที่เห็นชอบในหลักการ ได้แก่ โครงการศูนย์การเรียนรู้ทางภาษาเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน และโครงการขุดลอกคลองนบ อำเภอนบพิตำ ๑.๒.๔ จังหวัดพัทลุง มีแผนงานโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที ได้แก่ โครงการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการระบายน้ำ อำเภอป่าพะยอม อำเภอควนขนุน อำเภอปากพะยูน และอำเภอป่าบอน โครงการขุดลอกคลองเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ อำเภอป่าพะยอม อำเภอควนขนุน อำเภอปากพะยูน และโครงการปรับปรุงโครงข่ายทางหลวงชนบทเพื่อการระบายน้ำและป้องกันการกัดเซาะ อำเภอเมือง ๒. เห็นชอบโครงการที่มีความพร้อมและมีความจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันที โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ จัดส่งให้สำนักงบประมาณโดยเร่งด่วน ๓. เห็นชอบตามความเห็นและข้อสั่งการเพิ่มเติมที่นอกเหนือจากโครงการในพื้นที่ดูงานของรัฐมนตรีในพื้นที่จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี และพัทลุง ๓.๑ จังหวัดชุมพร ให้เร่งรัดโครงการก่อสร้างถนนสายช่อง ๕-บ่อนไก่ ระยะทาง ๗.๕ กิโลเมตร เพื่อเป็นเส้นทางลัดเข้าสู่เมืองชุมพร ๓.๒ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ๓.๒.๑ ให้เทศบาลนครเกาะสมุยแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในเกาะสมุย กำหนดแผนการบำรุงรักษาทางน้ำสาธารณะประจำปี รณรงค์สร้างจิตสำนึกการรักษาลำน้ำสาธารณะ และการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ ๓.๒.๒ เห็นชอบในหลักการโครงการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยของโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี และโครงการเพิ่มศักยภาพและพัฒนาการให้บริการทางการแพทย์ ๓.๒.๓ ให้สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสุราษฎร์ธานีจัดทำโครงการเพื่อสนับสนุนการพัฒนาอาชีพ และให้จังหวัดสุราษฎร์ธานีจัดทำโครงการศูนย์ฝึกอบรม/พัฒนาอาชีพ บรรจุไว้ในแผนพัฒนาจังหวัดประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ๓.๓ จังหวัดพัทลุง ๓.๓.๑ เห็นชอบในหลักการโครงการพัฒนาทางหลวงชนบทริมฝั่งทะเลสาบสงขลา ๓.๓.๒ ให้คณะทำงานของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ลงพื้นที่เพื่อหาแนวทางและวางแผนบริหารจัดการลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาอย่างเป็นระบบและยั่งยืน
|
||||||||||||||||||
| 29723 | การพิจารณาโครงการป้องกันอุทกภัยในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญของจังหวัดภาคใต้ฝั่งตะวันออก | นร11 | 22/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการการพิจารณาโครงการป้องกันอุทกภัยในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญของจังหวัดภาคใต้ฝั่งตะวันออก ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ จังหวัดชุมพร ได้แก่ โครงการป้องกันน้ำท่วมและเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในเขตทางหลวง [ทางหลวงหมายเลข ๔๑ (AH18) บริเวณใกล้สะพานแม่น้ำสวี] วงเงิน ๔๕ ล้านบาท โดยสนับสนุนงบประมาณดำเนินการจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางฯ และโครงการป้องกันน้ำท่วม และเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในเขตทางหลวง [ทางหลวงหมายเลข ๔๑ (AH18) บริเวณหน้าสถานีตำรวจภูธรทุ่งตะโก] วงเงิน ๑๕ ล้านบาท ๑.๒ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้แก่ โครงการบริหารจัดการน้ำ (แก้มลิงพรุค้อ) วงเงิน ๓๐ ล้านบาท โครงการก่อสร้างแก้มลิงพรุกง วงเงิน ๓๖ ล้านบาท และโครงการก่อสร้างแก้มลิงพรุคลองช้าง พร้อมอาคารประกอบ อำเภอบ้านนาเดิม วงเงิน ๑๙ ล้านบาท โดยให้กรมชลประทานตรวจสอบสภาพพื้นที่ที่จะดำเนินการขุดลอกและปรับแผนดำเนินการให้เหมาะสม โดยให้ชุมชนเข้ามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการการใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำ ๑.๓ จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้แก่ โครงการขุดลอกคลองหัวตรุด ตำบลท่าไร่ ตำบลปากนคร อำเภอเมือง วงเงิน ๓๒.๙ ล้านบาท โครงการประตูระบายน้ำควนกรด ตำบลควนกรด อำเภอทุ่งสง วงเงิน ๔๗.๗ ล้านบาท และโครงการขุดลอกคลองท่าซัก ตำบลท่าซัก อำเภอเมือง โดยในส่วนของโครงการขุดลอกคลองท่าซัก ให้กรมชลประทานศึกษารายละเอียดความเหมาะสมก่อนนำเสนอคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เพื่อพิจารณาต่อไป ๒. สำหรับโครงการในพื้นที่ที่มีลักษณะเป็นพรุหรือแหล่งซับน้ำ ซึ่งหากมีการขุดลอกหรือสูบน้ำออกจากพื้นที่ดังกล่าวอาจเกิดผลเสียและมีผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม ให้ กบอ. ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาทบทวนและปรับปรุงการดำเนินโครงการให้เหมาะสมต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||
| 29724 | ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร04 | 22/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (ปสส.) วันพุธที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๕ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อสภาผู้แทนราษฎร เพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ตามที่สำนักงานเลขานุการ ปสส. เสนอ
|
||||||||||||||||||
| 29725 | ร่างพระราชบัญญัติกำหนดวิทยฐานะผู้สำเร็จวิชาการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร04 | 22/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (ปสส.) วันพุธที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๕ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติกำหนดวิทยฐานะผู้สำเร็จวิชาการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ตามที่สำนักงานเลขานุการ ปปส. เสนอ
|
||||||||||||||||||
| 29726 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร | นร05 | 22/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขานุการคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร ดังนี้
๑. สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร วันจันทร์ที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน และให้สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีประสานกันเพื่อแก้ไขร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. .... ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎร ๒. สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร วันพุธที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๕ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติกำหนดวิทยฐานะผู้สำเร็จวิชาการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ ต่อสภาผู้แทนราษฎร เพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
||||||||||||||||||
| 29727 | ผลการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเซีย (Asia Cooperation Dialogue - ACD) ครั้งที่ 1 | นร04 | 22/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอผลการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue-ACD) ครั้งที่ ๑ ที่รัฐคูเวต เมื่อวันที่ ๑๖-๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๕ สรุปได้ ดังนี้
๑. ไทยในฐานะผู้ประสานงาน ACD ได้เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกดำเนินการร่วมกันเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนของเอเชีย และเสนอให้มีการจัดทำ Blueprint on Enhanced Infrastructure Connectivity เพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายการคมนาคมและสร้างเสริมความมั่นคงด้านอาหารและพลังงาน พร้อมทั้งได้เสนอเป็นเจ้าภาพจัดการหารือระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินงานของ ACD เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ๒. คูเวตได้เสนอให้มีการระดมทุน จำนวน ๒,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อใช้ในการแก้ไขปัญหาด้านโลจิสติกส์ ด้านอาหารและพลังงานในประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชีย โดยจะจัดสรรเงินทุนให้ จำนวน ๓๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ผ่านธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank) ซึ่งประเทศไทยในฐานะผู้ประสานงานกรอบความร่วมมือ ACD จะต้องประสานงานกับประเทศคูเวตเพื่อกำหนดรายละเอียดและเงื่อนไขในการจัดสรรเงินทุนดังกล่าว ๓. ไทยเสนอเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมสุดยอดผู้นำ ACD ในปี ค.ศ. ๒๐๑๕ (พ.ศ. ๒๕๕๘) ๔. การหารือทวิภาคี ๔.๑ คูเวต สนใจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเป็นอย่างมาก โดยจะมาลงทุนในตลาดการท่องเที่ยวของประเทศไทย และเสนอให้ใช้การประชุมคณะกรรมการร่วม (Joint Committee : JC) เป็นกลไกในการหารือร่วมกัน ซึ่งการประชุมครั้งแรกประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพ ทั้งนี้ ได้มอบให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานงานในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการเรื่องดังกล่าวต่อไป ๔.๒ ศรีลังกา สนใจในการดำเนินโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) และเนื่องจากในปีหน้าจะครบ ๒๖๐ ปี ของการก่อตั้งพุทธศาสนานิกายสยามวงศ์ขึ้นในประเทศศรีลังกา เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองในโอกาสสำคัญดังกล่าว จึงมอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เพื่อจัดตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อพิจารณาดำเนินการในรายละเอียดต่อไป ๔.๓ ทาจิกิสถาน เป็นประเทศที่เป็นตลาดใหม่ของไทย โดยเน้นเรื่องความมั่นคงทางอาหารและการท่องเที่ยว ๔.๔ อิหร่าน ให้ความสำคัญกับการหารือการค้าในรูปของ Barter Trade ๔.๕ ปากีสถาน เป็นประเทศที่มีประชากรมาก ควรขยายความร่วมมือในหลายด้าน เช่น ทางการค้า การพลังงาน โครงสร้างพื้นฐาน รถยนต์ อาหาร และอัญมณี เป็นต้น ๔.๖ ในประเด็นการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ประเทศสมาชิก ACD หลายประเทศ เช่น คูเวต ปากีสถาน และอิหร่าน ยินดีให้ความร่วมมือดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวผ่านการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ องค์การการประชุมอิสลาม (Organization of the Islamic Conference : OIC)
|
||||||||||||||||||
| 29728 | โครงการแนวร่วมดูแลคูคลอง "รวมแรงไทยรักษาน้ำใสทุกคูคลอง" | นร04 | 22/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการ “รวมแรงไทยรักษาน้ำใสทุกคูคลอง” ไปยังหน่วยงานต่าง ๆ ให้ชัดเจนทั่วถึง และให้เพิ่มมหาวิทยาลัยมหิดลเป็นผู้รับผิดชอบการบริหารจัดการ ตลอดจนการอบรมและสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ประชาชนเกี่ยวกับโครงการดังกล่าว ตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย) เสนอ ๒. ขอความร่วมมือให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมตลอดถึงภาคเอกชนและชุมชนต่าง ๆ ให้การสนับสนุนการดำเนินโครงการ “รวมแรงไทยรักษาน้ำใสทุกคูคลอง” โดยให้แต่ละหน่วยงานแจ้งผลการดำเนินการไปยังรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย) เพื่อรายงานคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยนำแนวทางการดำเนินโครงการนี้ไปปรับใช้กับการดูแลรักษาคูคลองต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยประสานงานและขอความร่วมมือให้กรุงเทพมหานครและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุนและร่วมดำเนินการให้บรรลุผลอย่างยั่งยืน ๔. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายชุมพล ศิลปอาชา) รับไปดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสร้างจิตสำนึกความเป็นเจ้าของและการมีส่วนร่วมของประชาชนในการดูแลรักษาคูคลองให้อยู่ในสภาพดี รวมทั้งสนับสนุนให้มีการตกแต่งคูคลองให้เรียบร้อยสวยงาม เพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมการท่องเที่ยว
|
||||||||||||||||||
| 29729 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรรเงินกองทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา พ.ศ. .... | ศธ | 22/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรรเงินกองทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้การขอรับการจัดสรรเงินกองทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์เพื่อการผลิต การวิจัย หรือการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ๒. กำหนดผู้มีสิทธิขอรับเงินกองทุน หลักเกณฑ์การยื่นขอรับเงินกองทุน ๓. กำหนดขั้นตอนการพิจารณาแผนงานหรือโครงการ หลักเกณฑ์และวิธีการเลือกผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาการกลั่นกรองทางวิชาการ การกลั่นกรองทางวิชาการ การพิจารณาแผนงานหรือโครงการที่เสนอขอรับเงินกองทุน และอำนาจในการอนุมัติเงินกองทุนของคณะกรรมการ ๔. กำหนดหลักเกณฑ์การรายงานผลการปฏิบัติงานและการใช้เงินของผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุน การระงับการจ่ายเงินงวด และการปรับปรุงโครงการ
|
||||||||||||||||||
| 29730 | รายงานประจำครึ่งปี (มกราคม - มิถุนายน 2555) ธนาคารแห่งประเทศไทย | กค | 22/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปี (มกราคม-มิถุนายน ๒๕๕๕) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ส่วนที่ ๑ ภาวะเศรษฐกิจ ๑.๑ ภาวะเศรษฐกิจในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ขยายตัวร้อยละ ๒.๒ จากระยะเดียวกันปีก่อน ๑.๒ เสถียรภาพเศรษฐกิจโดยรวมปรับดีขึ้นหลังปัญหาอุทกภัยคลี่คลายลง คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๓.๐๐ ต่อปี สำหรับเสถียรภาพด้านราคา อัตราเงินเฟ้อชะลอลงและยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย ส่วนเสถียรภาพด้านต่างประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี ๑.๓ แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ กนง.ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวร้อยละ ๕.๗ ในขณะที่แรงส่งของเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปีมีแนวโน้มอ่อนลงจากอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศ ๒. ส่วนที่ ๒ การดำเนินงานของ ธปท. ๒.๑ แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายการเงิน กนง.ประเมินภาวะการเงินโดยรวมในปัจจุบันว่า ยังผ่อนปรนเพียงพอที่จะสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป และสามารถรองรับความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกได้ในระดับหนึ่ง อีกทั้งเศรษฐกิจไทยยังสามารถขยายตัวได้ใกล้เคียงศักยภาพ ขณะที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ในกรอบเป้าหมาย ๒.๒ แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายสถาบันการเงิน ได้แก่ ๒.๒.๑ ภาพรวมระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ในภาพรวมระบบธนาคารพาณิชย์มีเสถียรภาพ สินเชื่อขยายตัวตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ลดลงเล็กน้อย กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของสินเชื่อ สำหรับปัจจัยที่ควรติดตามที่อาจมีผลต่อเสถียรภาพในช่วงต่อไปที่สำคัญ ได้แก่ ผลของการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่อาจกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยและคุณภาพของสินเชื่อ สินเชื่อมีการเร่งตัวโดยเฉพาะสินเชื่อรถยนต์และสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ ๒.๒.๒ การดำเนินนโยบายด้านสถาบันการเงินในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ได้จัดให้มีการประชุมร่วมระหว่าง กนง. และคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) โดยที่ประชุมร่วมได้ประเมินเสถียรภาพระบบการเงินไทยในปัจจุบันว่า ยังอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ความเสี่ยงที่สำคัญ คือ ปัญหาเศรษฐกิจในยุโรปและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งในระยะสั้นอาจสร้างความผันผวนต่อตลาดการเงินของไทย และในระยะยาวจะกระทบต่อศักยภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ๒.๒.๓ การดูแลความมั่นคงของสถาบันการเงิน ธปท. ได้ดำเนินการกำกับดูแลธุรกรรมที่สำคัญของสถาบันการเงิน โดยปรับปรุงหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการออกตั๋วเงินของสถาบันการเงินให้มีความชัดเจน ทันสมัย และสอดคล้องหลักเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในส่วนของการดูแลผู้บริโภคได้ร่วมมือกับ ก.ล.ต. และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ในการยกร่างแนวนโยบายในเรื่องการขายผลิตภัณฑ์ด้านประกันและหลักทรัพย์ผ่านสาขาของสถาบันการเงิน สำหรับการเตรียมความพร้อมสถาบันการเงินเพื่อรองรับการปฏิบัติตามมาตรฐานสากล ธปท. ได้ออกหลักเกณฑ์การดำรงเงินกองทุนขั้นต่ำสำหรับความเสี่ยงด้านปฏิบัติการโดยวิธี Advanced Measurement Approaches (วิธี AMA) นอกจากนี้ได้เตรียมออกหลักเกณฑ์การกำกับดูแลเงินกองทุนเกี่ยวกับแนวทางในการรายงานข้อมูล (Leverage Ratio) และความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง และยังได้ดำเนินการต่อไปในส่วนของการประเมินผลกระทบ (Quantitative Impact Study: QIS) ของหลักเกณฑ์ Basel III ต่อระบบสถาบันการเงินด้วย ๒.๒.๔ การดำเนินนโยบายการพัฒนาระบบสถาบันการเงิน การดำเนินการคืบหน้าตามวัตถุประสงค์ คือ ลดต้นทุน ส่งเสริมการแข่งขันและการเข้าถึงบริการทางการเงิน และปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน ๒.๒.๕ การดำเนินนโยบายสถาบันการเงินในเวทีระหว่างประเทศ ธปท. ได้ร่วมกำหนดนโยบายการเปิดเสรีและกลยุทธ์การเจรจากับคณะทำงานพิจารณาเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงิน ตามแนวนโยบายของรัฐบาลและแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่ ๒ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาเปิดเสรีภาคการเงิน รอบที่ ๖ (พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๗) นอกจากนี้ยังได้เข้าร่วมประชุมจัดทำแผนการรวมตัวภาคการธนาคาร และร่วมเจรจาความตกลงการค้าเสรีอื่น ๆ อีก ๔ ฉบับ สำหรับบทบาท ธปท. ในเวทีการกำกับดูแลสากล ได้เข้าร่วมหารือในเวทีที่มีความสำคัญในการวางเกณฑ์สากลของการกำกับดูแลสถาบันการเงิน ๒.๒.๖ การดำเนินงานด้านการกำกับและตรวจสอบสถาบันการเงิน ได้ดำเนินการปรับปรุงแนวทางการตรวจสอบสถาบันการเงินแบบเน้นธุรกรรมที่สำคัญของสถาบันการเงิน โดยในครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ได้ตรวจสอบสถาบันการเงินแล้วเสร็จ ๑๗ แห่ง และอยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบอีก ๖ แห่ง นอกจากนี้ยังได้กำหนดให้มีการตรวจสอบกระบวนการบริหารที่สำคัญ ซึ่งได้ดำเนินการตรวจสอบสถาบันการเงินในด้านนี้แล้ว ๑๔ แห่ง ๒.๒.๗ การทำหน้าที่เป็นนายธนาคารของสถาบันการเงินของ ธปท. ในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ธนาคารพาณิชย์ดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องประมาณ ๔.๘ เท่าของอัตราที่กฎหมายกำหนด ๒.๓ แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายระบบการชำระเงิน ๒.๓.๑ การดำเนินนโยบายด้านระบบการชำระเงิน ธปท. ดำเนินงานในโครงการต่าง ๆ ตามแผนกลยุทธ์ระบบการชำระเงิน ๒๕๕๕-๒๕๕๙ อาทิ การสนับสนุนการพัฒนาระบบ Local Switching การชำระเงินด้วยบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ออกและใช้จ่ายในประเทศ การส่งเสริมการทำธุรกรรมชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ การกำหนดมาตรฐานกลางข้อความการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ และการพัฒนาระบบการชำระเงินเพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งการดำเนินงานตามแผนงานดังกล่าวมีความคืบหน้าตามที่กำหนด ๒.๓.๒ การพัฒนาระบบการหักบัญชีเช็คระหว่างธนาคารด้วยภาพเช็ค (Imaged Cheque Clearing and Archive System: ICAS) ดำเนินโครงการพัฒนาระบบ ICAS ซึ่งเริ่มใช้งานในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ในวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ก่อนทยอยขยายการให้บริการไปทั่วประเทศภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๒.๓.๓ การกำกับดูแลระบบการชำระเงินและผู้ประกอบธุรกิจบริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ธปท. อยู่ระหว่างศึกษาและรวบรวมข้อมูลแนวทางการกำกับดูแลระบบการชำระเงินตามมาตรฐานสากลที่สำคัญ รวมถึงพิจารณาแนวทางในการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการประกอบธุรกิจบริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ที่อยู่ภายใต้พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการควบคุมดูแลธุรกิจบริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๕๑ นอกจากนี้ได้ให้ความร่วมมือกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินในการให้ความเห็นเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงและแนวปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับผู้ให้บริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
|
||||||||||||||||||
| 29731 | รัฐบาลสาธารณรัฐตุรกีเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย [นายออสมัน บูเลนต์ ทูลุน (Mr. Osman Bulent Tulun)] | กต | 22/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายออสมัน บูเลนต์ ทูลุน (Mr. Osman Bulent Tulun) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐตุรกีประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นายอะห์เมต อูซ เชลิกกอล (Mr. Ahmet Oguz Celikkol)
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||
| 29732 | รัฐบาลสหพันธรัฐไมโครนีเชียเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย [นายอาคิลลีโน แฮร์ริส ซูซาเอีย (Mr. Akillino Harris Susaia)] | กต | 22/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายอาคิลลีโน แฮร์ริส ซูซาเอีย (Mr. Akillino Harris Susaia) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสหพันธรัฐไมโครนีเชียประจำประเทศไทยคนแรก โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงปักกิ่ง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||
| 29733 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นางสุรางค์ เดชศิริเลิศ) | สธ | 22/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. นางสุรางค์ เดชศิริเลิศ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์การแพทย์ (ชีววิทยา) (นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ทรงคุณวุฒิ) กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ๒. นางอัญชลี เครือตราชู ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขารังสีวิทยา) กลุ่มงานรังสีวิทยา กลุ่มภารกิจวิชาการ โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๕
|
||||||||||||||||||
| 29734 | ขออนุมัติแต่งตั้งนายฟรันเชสโก เปนซาโต ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐอิตาลี ประจำจังหวัดภูเก็ต | กต | 22/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายฟรันเชสโก เปนซาโต (Mr. Francesco Pensato) ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐอิตาลีประจำจังหวัดภูเก็ต โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดภูเก็ต กระบี่ ตรัง นครศรีธรรมราช ปัตตานี พังงา พัทลุง นราธิวาส ยะลา สงขลา สตูล และสุราษฎร์ธานี สืบแทน นายฟรันเชสโก กาวาลีเอเร (Mr. Francesco Cavaliere) ซึ่งเกษียณอายุ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||
| 29735 | รายงานผลการจัดงาน Bangkok International ICT Expo 2012 | ทก | 22/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรายงานผลการจัดงาน Bangkok International ICT Expo 2012 ระหว่างวันที่ ๓-๖ สิงหาคม ๒๕๕๕ ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีเปิดงาน สรุปได้ ดังนี้
๑. วัตถุประสงค์ของการจัดงาน Bangkok International ICT Expo 2012 เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้ระลึกถึงวันสื่อสารแห่งชาติ ซึ่งตรงกับวันที่ ๔ สิงหาคมของทุกปี และเป็นการแสดงศักยภาพของประเทศไทยในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รวมทั้งสร้างทัศนคติให้ประชาชนเกิดความตระหนักถึงการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้อย่างสร้างสรรค์ ตลอดจนการเตรียมความพร้อมในการก้าวไปสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ๒. รูปแบบการจัดงาน แบ่งออกเป็น ๔ ส่วน คือ ๒.๑ ส่วนจัดแสดงนิทรรศการ เป็นการจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ (Royal Pavilion) และการจัดแสดงนิทรรศการ MICT Pavilion ผลงานของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ภายใต้แนวคิด Smart Thailand Towards AEC ๒.๒ ส่วนแสดงสินค้า เป็นการแสดงนวัตกรรมเทคโนโลยีจากภาคเอกชน อาทิ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ได้นำเสนอแนวคิดเรื่อง 3G และอนาคต ที่สะท้อนให้เห็นถึงประโยชน์และความสำคัญของเทคโนโลยีบรอดแบนด์ซึ่งช่วยเสริมศักยภาพคุณภาพชีวิตคนไทย บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเช็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ได้นำเสนอนโยบายเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับเทคโนโลยี 3G และ 4G ด้วยวิธีการที่เข้าใจได้ง่าย ภายใต้จุดโฟกัสเรื่อง Device รวมทั้ง Application ที่รองรับเครือข่ายใหม่ และบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่นำเสนอภาพ TRUE Convergence ซึ่งหลอมรวมเทคโนโลยีที่ครอบคลุมการให้บริการทุกรูปแบบ และสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวันทั้ง Mobile, Fiber to The Home, Hi speed Internet รวมถึง 3G และ 4G เป็นต้น ๒.๓ ส่วนการประชุมสัมมนา เป็นการจัดเวทีสัมมนาเพื่อให้ความรู้และนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในเรื่อง Towards “THAILAND SMART ICT” โดยผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐ รวมทั้งภาคเอกชน ๒.๔ ส่วนกิจกรรมการแสดงต่าง ๆ เป็นการจัดกิจกรรมการร่วมสนุกผสมผสานสาระด้าน ICT จากผู้ร่วมออกงานที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าชมได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดขึ้นเพื่อชิงรางวัลตลอดช่วงเวลาจัดงาน ๓. ผลที่ได้รับจากการจัดงาน มีผู้ให้ความสนใจเข้าชมงานนิทรรศการเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะกิจกรรมถวายพระพรออนไลน์ในส่วนจัดแสดงนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ (Royal Pavilion) และการเจรจาธุรกิจที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมแสดงงานทั้งในและต่างประเทศ โดยยอดรวมมูลค่าการเจรจาทำธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการกับผู้ประกอบการ (Business to Business) จำนวน ๑๕,๐๕๐,๐๐๐ บาท นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปได้ร่วมสัมผัสกับประสบการณ์ใหม่แห่งโลกไอที เป็นเวทีสำหรับผู้ประกอบการไทยได้นำเสนอความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีระดับสากล รวมทั้งเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการในภูมิภาคอาเซียนได้พบปะแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีซึ่งกันและกัน พร้อมช่วยยกระดับเทคโนโลยีไทยให้ก้าวไกล สู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
|
||||||||||||||||||
| 29736 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ 24 และการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 20 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการค้าและการลงทุน | พณ | 22/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๔ (The 24th APEC Ministerial Meeting) และการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๐ (The 20th APEC Economic Leaders Meeting) ระหว่างวันที่ ๕-๙ กันยายน ๒๕๕๕ ณ นครวลาดิวอสตอก สหพันธรัฐรัสเซีย โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนประเทศไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ร่วมในคณะฯ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ที่ประชุมยืนยันที่จะเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ระบบการค้าพหุภาคี และเสาะหาแนวทางการเจรจาในรูปแบบที่แตกต่างแปลกใหม่และน่าเชื่อถือ (different, fresh, and credible negotiating approaches) เพื่อให้การเจรจาการค้าพหุภาคีรอบโดฮาสามารถบรรลุผลสำเร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้การหารือประเด็นเทคนิคเรื่องการอำนวยความสะดวกทางการค้า (Trade Facilitaion : TF) และประเด็นด้านการพัฒนาอื่น ๆ ที่กำลังดำเนินการอยู่ใน WTO มีความคืบหน้า โดยจะมีการทบทวนความคืบหน้าการทำงานเรื่องนี้ในการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค (Ministers Responsible for Trade : MRT) ในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๒ ที่ประชุมยืนยันที่จะไม่ออกมาตรการใหม่ ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการค้าและการลงทุน ทั้งการค้าสินค้าและบริการ และการส่งออก และไม่ใช้มาตรการที่ไม่สอดคล้องกับความตกลง WTO ไปจนถึงปี พ.ศ. ๒๕๕๘ รวมทั้งจะลดมาตรการที่เป็นการกีดกันหรือบิดเบือนทางการค้าลง ๑.๓ ที่ประชุมได้ให้การรับรองรายการสินค้าสิ่งแวดล้อมของเอเปค จำนวน ๕๔ รายการ โดยจะลดอัตราภาษีศุลกากรเก็บจริงจากสินค้าในรายการดังกล่าวให้ไม่เกินร้อยละ ๕ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ทั้งนี้ รายการสินค้าสิ่งแวดล้อมของเอเปค จำนวน ๕๔ รายการ ได้แก่ กลุ่มสินค้าบอยเลอร์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ (พิกัด ๘๔ จำนวน ๒๓ รายการ) กลุ่มสินค้าเครื่องจักรไฟฟ้า เครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้า (พิกัด ๘๕ จำนวน ๑๑ รายการ) กลุ่มสินค้าอุปกรณ์ทางทัศนศาสตร์ เครื่องมือวัดและตรวจสอบ (พิกัด ๙๐ จำนวน ๑๙ รายการ) และสินค้าแผ่นปูพื้นทำจากไม้ไผ่ (พิกัด ๔๔๑๘๗๒) มีสินค้าที่ไทยเสนอ ๒๐ รายการ และมีสินค้าที่ไทยให้การสนับสนุน ๑๒ รายการ ส่วนใหญ่เป็นสินค้าเพื่อปกป้อง/รักษาสิ่งแวดล้อม ๑.๔ ที่ประชุมได้ให้การรับรองแบบจำลองบทบัญญัติเรื่องความโปร่งใส (APEC Model Chapter on Transparency for Regional Trade Agreement/Free Trade Agreement) เพื่อเตรียมการสำหรับการเจรจาจัดทำเขตการค้าเสรีของภูมิภาคเอเปค (Free Trade Area of the Asia-Pacific : FTAAP) ในอนาคต ๑.๕ ที่ประชุมยินดีต่อการเจรจาขยายขอบเขตสินค้าและสมาชิกภายใต้ความตกลงเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology Agreement : ITA) ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโลกและมีส่วนสนับสนุนพันธกิจหลักของเอเปคในการเปิดตลาดและอำนวยความสะดวกทางการค้าในภูมิภาค โดยมอบหมายเจ้าหน้าที่ดำเนินการอย่างจริงจังให้บรรลุผลการเจรจา ๑.๖ ที่ประชุมยืนยันที่จะเพิ่มการผลิตและผลผลิตทางการเกษตรอย่างยั่งยืน โดยการกระตุ้นการลงทุนด้านการเกษตร นำนวัตกรรมเทคโนโลยีการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพการเกษตรมาใช้ สร้างบรรยากาศที่ส่งเสริมการลงทุนจากภาครัฐและเอกชนในด้านการเกษตร โดยให้นำ “หลักการสำหรับการลงทุนด้านการเกษตรอย่างมีความรับผิดชอบ” (Principles for Responsible Agricultural Investment : PRAI) มาหารือต่อไป ๑.๗ ที่ประชุมยืนยันความมุ่งมั่นเพื่อบรรลุเป้าหมายการปรับปรุงสมรรถนะห่วงโซ่อุปทานของเอเปค (APEC-wide target) ให้ได้ร้อยละ ๑๐ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยลดระยะเวลา ต้นทุน และความไม่แน่นอนในการเคลื่อนย้ายสินค้าและบริการ โดยคำนึงถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของแต่ละสมาชิก ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรสงวนท่าทีในการสนับสนุนการขยายขอบเขตความตกลง ITA ภายใต้ WTO ควรเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ และทำความเข้าใจกับภาคเอกชนและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องในเรื่องรายการสินค้าสิ่งแวดล้อมของเอเปคที่ได้มีการรับรอง จำนวน ๕๔ รายการ ที่จะต้องทำการลดอัตราภาษีศุลกากรเก็บจริงให้ไม่เกินร้อยละ ๕ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อให้มีเวลาในการเตรียมตัวและใช้ประโยชน์จากการลดอัตราภาษีได้อย่างแท้จริง รวมทั้งดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเรื่องการเพิ่มสมรรถนะของห่วงโซ่อุปทานที่เอเปคได้กำหนดเป้าหมายปรับปรุงสมรรถนะของเอเปคให้ได้ร้อยละ ๑๐ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศไทย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||
| 29737 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงินประจำครึ่งแรกของปี พ.ศ. 2555 | กค | 22/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. เป้าหมายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทยดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น (Flexible Inflation Targeting) โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างเต็มศักยภาพ โดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อและปัญหาฟองสบู่หรือความไม่สมดุลในระบบการเงิน เป้าหมายนโยบายการเงินประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามข้อเสนอร่วมกันของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ กนง. ให้ใช้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยรายไตรมาสที่ร้อยละ ๐.๕-๓.๐ ต่อปี สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในไตรมาสที่ ๑ และ ๒ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ ๒.๗๔ และ ๒.๐๐ ตามลำดับ ชะลอลงต่อเนื่องจากครึ่งหลังของปีก่อนตามราคาสินค้าในหมวดอาหารและเครื่องดื่มที่ชะลอลง ๒. สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจในการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๒.๑ ภาวะเศรษฐกิจ ในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๕๕ เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้เร็วจากเหตุการณ์อุทกภัยและกลับเข้าสู่ระดับปกติแล้ว การผลิตภาคอุตสาหกรรมในภาพรวมทยอยฟื้นตัวจนสามารถกลับมาผลิตได้ในระดับปกติในช่วงปลายไตรมาสที่ ๒ แต่อย่างไรก็ดี แม้ภาคการผลิตจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการส่งออก แต่ปัญหาเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศยูโรที่ยืดเยื้อและขยายวงกว้าง รวมถึงความอ่อนแอของเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา และการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ได้ส่งผลกระทบต่อการส่งออกและการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่เน้นผลิตเพื่อการส่งออกชัดเจนขึ้น ๒.๒ ภาวะเงินเฟ้อ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ อยู่ที่ร้อยละ ๒.๙๕ และ ๒.๓๗ ตามลำดับ ๒.๓ การดำเนินนโยบายการเงิน กนง. ได้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๓.๐ ต่อปี โดยเห็นว่า แม้เศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัวเป็นปกติแล้ว แต่ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกเพิ่มขึ้น และส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออก ภาวะการเงินที่ผ่อนปรนต่อเนื่องจะมีส่วนช่วยรองรับผลกระทบดังกล่าวขณะที่มิได้สร้างความไม่สมดุลในระบบเศรษฐกิจ โดยแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย และไม่มีสัญญาณของฟองสบู่ ๒.๔ การดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน ดัชนีค่าเงินบาทในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ ๑๐๑.๓๑ ทรงตัวจากช่วงครึ่งหลังของปีก่อนหน้า โดยค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลัก เช่น ดอลลาร์สหรัฐ และเยน แต่แข็งค่าขึ้นเทียบกับเงินยูโรจากปัญหาหนี้สาธารณะในกลุ่มประเทศยูโร สำหรับดัชนีค่าเงินบาทที่แท้จริงเฉลี่ยทรงตัวจากครึ่งหลังของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และเคลื่อนไหวสอดคล้องกับทิศทางดัชนีค่าเงินบาท ๒.๕ แนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อปี พ.ศ. ๒๕๕๕ กนง. ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ มีแนวโน้มแผ่วลงจากปีก่อนหน้ามาเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ ๒.๙ และ ๒.๒ ตามลำดับ อย่างไรก็ดี ภาคการอุปโภคบริโภคและภาคการลงทุนยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนแรงกดดันด้านอุปสงค์อยู่ ขณะที่การคาดการณ์เงินเฟ้อและแรงกดดันด้านต้นทุนมีแนวโน้มทรงตัว โดยในส่วนของราคาน้ำมันแม้ว่าปัญหาความไม่สงบทางการเมืองในประเทศผู้ผลิตน้ำมันหลายแห่ง รวมถึงปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับชาติตะวันตกจะยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจสร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อในระยะต่อไป แต่การชะลอการปรับโครงสร้างราคาพลังงานของภาครัฐจะช่วยบรรเทาแรงกดดันในส่วนนี้ได้ในระดับหนึ่ง
|
||||||||||||||||||
| 29738 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง สถานการณ์สิ่งแวดล้อมจากการรั่วไหลของสารพิษในพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง (เพิ่มเติม) | อก | 22/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (กรมโรงงานอุตสาหกรรม) รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง สถานการณ์สิ่งแวดล้อมจากการรั่วไหลของสารพิษในพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง (เพิ่มเติม) สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงอุตสาหกรรม (กรมโรงงานอุตสาหกรรม) ได้จัดประชุมคณะอนุกรรมการป้องกันอุบัติภัยจากสารเคมีและวัตถุอันตราย เมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ เพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการป้องกันและบรรเทาภัยจากสารเคมีและวัตถุอันตราย พร้อมเสนอแนวทางให้ที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติทราบในการประชุมคณะกรรมการฯ เมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๕ แนวทางดังกล่าวประกอบด้วย ๒ มาตรการ ได้แก่ ๑.๑ มาตรการที่ ๑ มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาจากสารเคมีและวัตถุอันตราย ๑.๑.๑ การปฏิบัติตามกฎระเบียบและมาตรการด้านความปลอดภัย มอบให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นหน่วยงานหลัก สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด กรมควบคุมโรค และสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเป็นหน่วยงานสนับสนุน ๑.๑.๒ การจัดทำสรุปบทเรียน (Lesson Learned) ของการเกิดภัยจากสารเคมีและวัตถุอันตรายครั้งสำคัญที่ผ่านมา เพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการในอนาคต มอบให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นหน่วยงานหลัก และมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมควบคุมโรค กรมควบคุมมลพิษ กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ เป็นต้น เป็นหน่วยงานสนับสนุน ๑.๑.๓ การเสริมสร้างความรู้และความตระหนักแก่ประชาชน นักเรียน นักศึกษา และเยาวชน ให้เป็นไปตามบทบาทหน้าที่และแผนงานของหน่วยงาน โดยมีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นหน่วยงานหลักประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา กรมควบคุมมลพิษ กรมโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น ๑.๒ มาตรการที่ ๒ การบูรณาการเตรียมพร้อมรับเหตุภาวะฉุกเฉินจากโรงงานอุตสาหกรรม และการเตรียมพร้อมแผนฉุกเฉินชุมชน ๑.๒.๑ การจัดทำ “แผนปฏิบัติการในภาวะฉุกเฉินของโรงงาน” และ แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยระดับพื้นที่ (เทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบล) ซึ่งเชื่อมโยงและสนับสนุนแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด โดยโรงงานอุตสาหกรรมสามารถนำข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัยของโรงงานที่สามารถเปิดเผยได้ รวมทั้งแผนงาน/โครงการที่สอดคล้องมาบรรจุไว้ในแผนฯ ระดับพื้นที่ โดยการประสานอย่างใกล้ชิด เพื่อสนับสนุนแผนปฏิบัติการในภาวะฉุกเฉินของโรงงาน และแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยระดับพื้นที่ให้มีความเชื่อมโยง เกื้อกูล และสนับสนุนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ๑.๒.๒ การฝึกซ้อมแผนร่วมกันระหว่างโรงงานอุตสาหกรรมและชุมชนบริเวณใกล้เคียงเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติตามขั้นตอนและเป็นแนวทางเดียวกันอย่างเป็นรูปธรรม ๒. กระทรวงอุตสาหกรรมได้มีโครงการที่จะพัฒนาระบบการเตือนภัยและการจัดการสารเคมีและวัตถุอันตรายที่มีอยู่ยกระดับขึ้นเป็นศูนย์เฝ้าระวังและป้องกันภัยระดับโรงงานอุตสาหกรรม ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณารายละเอียด
|
||||||||||||||||||
| 29739 | การลาออกจากตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ เอกบุญ วงศ์สวัสดิ์กุล) | กห | 22/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการลาออกของผู้ช่วยศาสตราจารย์ เอกบุญ วงศ์สวัสดิ์กุล จากตำแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายในคณะกรรมการบริหารสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ
|
||||||||||||||||||
| 29740 | การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีแห่งเอเชียว่าด้วยการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ครั้งที่ 6 พ.ศ. 2557 (The 6th Asian Ministerial Conference on Disaster Risk Reduction 2014, AMCDRR) | มท | 22/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ประเทศไทย โดยกระทรวงมหาดไทย รับเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีแห่งเอเชียว่าด้วยการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ครั้งที่ ๖ พ.ศ. ๒๕๕๗ (The 6th Asian Ministerial Conference on Disaster Risk Reduction 2014, AMCDRR) โดยมีกระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยร่วมสนับสนุนการดำเนินการ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. สำหรับงบประมาณที่ใช้ในการจัดการประชุมฯ ซึ่งจะจัดขึ้นในช่วงประมาณปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจัดทำแผนการปฏิบัติงานและค่าใช้จ่ายที่จำเป็นเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ และ/หรือ พ.ศ. ๒๕๕๘ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเตรียมความพร้อมในด้านงบประมาณและแผนงานต่อเนื่องเพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์จากการประชุมฯ ให้มากที่สุด รวมทั้งประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อการจัดทำแผนงานการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมฯ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๔. ให้เชิญรองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายชูชาติ หาญสวัสดิ์) รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เข้าร่วมการกำหนดประเด็นหลักสำหรับการประชุม (Theme) |
||||||||||||||||||
.....
