ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1483 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 29641 - 29660 จากข้อมูลทั้งหมด 124459 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 29641 | การเยือนประเทศไทยของประธานาธิบดียูกันดา สหรัฐอเมริกา และนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน | นร | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอเรื่อง การเยือนประเทศไทยของประธานาธิบดียูกันดา สหรัฐอเมริกา และนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและหารือในประเด็นสำคัญต่าง ๆ โดยให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมหารือกับผู้นำประเทศดังกล่าวโดยพร้อมเพรียงกัน และมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) กำกับดูแลการรักษาความปลอดภัย รวมทั้งการจัดการด้านการจราจรให้เรียบร้อยเหมาะสมด้วย ดังนี้
๑. ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐยูกันดามีกำหนดการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ ๑๕-๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ เพื่อสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับสาธารณรัฐยูกันดาในประเด็นความสัมพันธ์และความร่วมมือทวิภาคีด้านการค้า การลงทุน และความร่วมมือเพื่อการพัฒนา ๒. ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกามีกำหนดการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ ๑๘-๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ เนื่องในวาระครบ ๑๘๐ ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา เพื่อยืนยันความแข็งแกร่งของพันธมิตรของสหรัฐอเมริกา และหารือทวิภาคีและพหุภาคีในด้านที่มีความสนใจร่วมกันของทั้ง ๒ ประเทศ ๓. นายกรัฐมนตรีของสาธารณรัฐประชาชนจีนมีกำหนดการเยือนประเทศไทย ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยจะเน้นการหารือทางด้านการค้า การลงทุน โดยเฉพาะในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ นี้ ไทยจะเป็นประเทศผู้ประสานงานระหว่างอาเซียนกับสาธารณรัฐประชาชนจีนในการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทเกี่ยวกับทะเลจีนใต้
|
||||||||||||||||||||||||
| 29642 | ขออนุมัติการดำเนินโครงการบำบัดน้ำเสียรวม พื้นที่เทศบาลนครอ้อมน้อย จังหวัดสมุทรสาคร | ทส | 06/11/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๕ (ฝ่ายการเกษตรและการท่องเที่ยว) ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายชุมพล ศิลปอาชา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๕ (ฝ่ายการเกษตรและการท่องเที่ยว) เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๑.๑ เห็นชอบโครงการบำบัดน้ำเสียเทศบาลนครอ้อมน้อย จังหวัดสมุทรสาคร โดยให้องค์การจัดการน้ำเสีย (อจน.) ลงทุนเฉพาะในระยะที่ ๑ วงเงินลงทุน ๒,๗๕๐.๖๓ ล้านบาทก่อน ส่วนการลงทุนในระยะที่ ๒ ซึ่งเป็นการผูกพันงบประมาณระยะยาวถึงปี พ.ศ. ๒๕๗๓ ควรประเมินผลการดำเนินการในระยะที่ ๑ รวมทั้งศึกษาทบทวนข้อสมมติต่าง ๆ ก่อนเสนอขออนุมัติตามขั้นตอนต่อไป โดยให้ปรับลดระยะเวลาในการบริหารจัดการเดินระบบบำบัดจาก ๒๕ ปี เป็น ๑๕ ปี เพื่อเร่งถ่ายโอนภารกิจให้เทศบาลนครอ้อมน้อย ๑.๒ ให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรสาคร และเทศบาลนครอ้อมน้อย ร่วมลงทุนในโครงการฯ เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับโครงการฯ ทำให้เกิดการมีส่วนร่วมและสร้างความเป็นเจ้าของโครงการฯ โดยให้ อจน. เร่งเจรจาและจัดทำข้อตกลงเรื่องสัดส่วนการร่วมลงทุนกับองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และเทศบาลนครอ้อมน้อยโดยเร็ว โดยเงินร่วมลงทุนดังกล่าว ให้หักจากเงินอุดหนุนประจำปีที่จัดสรรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั้งสอง ๑.๓ ให้ อจน. เร่งประสานเทศบาลนครอ้อมน้อยให้มีการตราเทศบัญญัติในการจัดเก็บค่าบริการบำบัดน้ำเสียและค่าบริการระบายน้ำทิ้งให้แล้วเสร็จก่อนเริ่มดำเนินโครงการฯ รวมทั้งจัดทำข้อตกลงกับเทศบาลนครอ้อมน้อยให้รับภาระค่าบริการบำบัดน้ำเสียและค่าบริการระบายน้ำทิ้งส่วนที่ไม่สามารถจัดเก็บได้ตามเป้าหมาย โดยต้องมีการตกลงในเงื่อนไขต่าง ๆ ให้ชัดเจนพร้อมทั้งปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ๑.๔ ให้ อจน เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้จากการให้บริการจัดการน้ำเสียและเร่งสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนและโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่เพื่อลดการต่อต้านในการจัดเก็บค่าบริการและเพื่อลดภาระจากการพึ่งพาเงินงบประมาณแผ่นดิน และให้ อจน. จัดเตรียมแผนและดำเนินการถ่ายทอดเทคโนโลยีและความรู้ให้กับเทศบาลนครอ้อมน้อยในการบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสีย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของเทศบาลนครอ้อมน้อยให้พร้อมรับถ่ายโอนภารกิจได้ภายในระยะเวลาของโครงการฯ ๑.๕ ให้ อจน. ร่วมมือกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด และกรมควบคุมมลพิษ ในการติดตามตรวจสอบและบังคับใช้พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ และพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ อย่างเคร่งครัด เพื่อควบคุมและป้องกันการลักลอบระบายมลพิษลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะ และร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเพื่อขอความร่วมมือโรงงานอุตสาหกรรมในการจัดการน้ำเสียโรงงานและการชำระค่าบริการบำบัดน้ำเสีย ๒. เห็นควรกำหนดเป็นเงื่อนไขในการอนุมัติโครงการ ให้เทศบาลนครอ้อมน้อยต้องรับผิดชอบในการสมทบเงินค่าใช้จ่ายในการเดินระบบและบำรุงรักษาระบบบำบัดน้ำเสีย หากการจัดเก็บค่าบริการบำบัดน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมและชุมชนได้ไม่เพียงพอ รวมทั้งให้มีการตกลงในเงื่อนไขต่าง ๆ ให้ชัดเจนก่อนเริ่มดำเนินโครงการฯ ๓. สำหรับการก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียในระยะที่ ๒ หรือระยะต่อไป ให้พิจารณาจากความต้องการและความจำเป็นโดยพิจารณาจากความรุนแรงของปัญหาหรือปริมาณน้ำเสียที่เกิดขึ้นว่ามีมากน้อยเพียงใด หากปริมาณน้ำเสียมีมากขึ้นจึงค่อยพิจารณาขยายระบบต่อไป โดยคำนึงถึงความต่อเนื่องในการดำเนินการบำบัดน้ำเสียและระยะเวลาในการก่อสร้าง ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการขาดช่วงในการบำบัดน้ำเสีย |
||||||||||||||||||||||||
| 29643 | การกำหนดเบี้ยประชุมและประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานกรรมการ กรรมการ ที่ปรึกษา และอนุกรรมการในคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ | ยธ | 06/11/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการกำหนดเบี้ยประชุมและประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานกรรมการ กรรมการ ที่ปรึกษา และอนุกรรมการในคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ ตามความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ เฉพาะเดือนที่มีการประชุม หากเดือนใดไม่มีการประชุมหรือมีการประชุมแต่ไม่ได้เข้าร่วมประชุมให้งดจ่าย ดังนี้
๑. เบี้ยประชุมคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ ๑.๑ ประธานกรรมการ ให้ได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายเดือน ในอัตราเดือนละ ๖,๒๕๐ บาท ๑.๒ กรรมการและที่ปรึกษา ให้ได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายเดือน ในอัตราเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท ๒. เบี้ยประชุมคณะอนุกรรมการที่คณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการแต่งตั้ง ๒.๑ ประธานอนุกรรมการ ให้ได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายเดือน ในอัตราเดือนละ ๓,๑๒๕ บาท ๒.๒ อนุกรรมการ ให้ได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายเดือน ในอัตราเดือนละ ๒,๕๐๐ บาท ๓. สำหรับประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานกรรมการ กรรมการ ที่ปรึกษา และอนุกรรมการในคณะกรรมการสถาบันอนุญาโตตุลาการ ให้เป็นไปตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยให้ได้รับประโยชน์ตอบแทนอื่นเฉพาะค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปปฏิบัติงานของคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ หรือสถาบันอนุญาโตตุลาการ โดยให้นำพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการและระเบียบกระทรวงการคลังซึ่งออกตามความในพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมาใช้บังคับโดยอนุโลม |
||||||||||||||||||||||||
| 29644 | รายงานผลการกู้เงินในรูป Euro Commercial Paper (ECP) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | กค | 06/11/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการกู้เงินในรูป Euro Commercial Paper (ECP) หรือ ECP Programme ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. ณ สิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ กระทรวงการคลังไม่มียอดเงินกู้คงค้างภายใต้ ECP Programme ๒. ในช่วงไตรมาสที่ ๑-๔ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ กระทรวงการคลังไม่มีการกู้เงินใหม่ โดยทำให้ ณ สิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ กระทรวงการคลังไม่มียอดเงินกู้คงค้างภายใต้ ECP Programme ดังนั้น กระทรวงการคลังสามารถเบิกใช้เงินกู้ภายใต้ ECP Programme ได้จำนวน ๒,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ
|
||||||||||||||||||||||||
| 29645 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรออมทรัพย์ช่วยชาติ ปี พ.ศ. 2545 รุ่นอายุ 10 ปี (SB129A) ที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2555 | กค | 06/11/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรออมทรัพย์ช่วยชาติ ปี พ.ศ. ๒๕๔๕ รุ่นอายุ ๑๐ ปี (SB129A) ที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. การชำระคืนต้นเงินพันธบัตรรัฐบาลที่ครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๕๕ (เนื่องจากวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๕ เป็นวันหยุดราชการ จึงได้เลื่อนการไถ่ถอนพันธบัตรเป็นวันทำการถัดไป) จำนวน ๒๐๖,๐๒๓.๒๕ ล้านบาท โดย ๑.๑ การปรับโครงสร้างหนี้โดยการกู้ล่วงหน้า จำนวน ๑๕๑,๘๐๐.๐๐ ล้านบาท โดยมีรายละเอียดเงื่อนไขและผลการกู้เงินล่วงหน้า ประกอบด้วย พันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ จำนวน ๗ รุ่น วงเงินรวม ๘๐,๔๕q.๐๐ ล้านบาท และตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ จำนวน ๒ รุ่น ๆ ละ ๔ งวด วงเงินรวม ๗๑,๓๕๐.๐๐ ล้านบาท ๑.๒ การปรับโครงสร้างหนี้ ณ วันครบกำหนด จำนวน ๕๔,๒๒๓.๒๕ ล้านบาท โดยมีรายละเอียดเงื่อนไขและผลการปรับโครงสร้าง ประกอบด้วย การออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (PN) อัตราดอกเบี้ยคงที่ อายุเงินกู้ไม่เกิน ๖ เดือน จำนวน ๗,๒๒๓.๒๕ ล้านบาท จากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) จำนวน ๔,๒๒๓.๒๕ ล้านบาท และธนาคารแห่งโตเกียว-มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ จำกัด สาขากรุงเทพฯ จำนวน ๓,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยร้อยละ ๓.๒๐๓ ต่อปี และการกู้เงินระยะสั้น (Bridge Financing) โดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (PN) อัตราดอกเบี้ยคงที่ อายุเงินกู้ไม่เกิน ๑ เดือน จำนวน ๓๕,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท จากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยร้อยละ ๓.๐๙ ต่อปี รวมทั้งทดรองจ่ายเงินจากบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลัง (บัญชี Premium FIDF 1&3) จำนวน ๑๒,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ๒. การชำระคืนเงินกู้ระยะสั้น อายุไม่เกิน ๑ เดือน จำนวน ๓๕,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท และเงินทดรองจ่ายจากบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลัง (บัญชี Premium FIDF 1&3) จำนวน ๑๒,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท รวมเป็นวงเงินชำระคืน จำนวน ๔๗,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท โดย ๒.๑ รายรับจากการประมูลพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง พ.ศ. ๒๕๔๕) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๖ (LB176A) อายุคงเหลือ ๔.๗๖ ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๓.๒๕ ต่อปี จำนวน ๒๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ประมูลเมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๕ ๒.๒ พันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง พ.ศ. ๒๕๔๕) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๗ (LB193A) อายุคงเหลือ ๖.๔๖ ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๓.๔๕ ต่อปี จำนวน ๑๕,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ประมูลเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๕ ๒.๓ พันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง พ.ศ. ๒๕๔๕) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๘ (LB236A) อายุคงเหลือ ๑๐.๗๒ ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๓.๖๒๕ ต่อปี จำนวน ๑๒,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ประมูลเมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๕
|
||||||||||||||||||||||||
| 29646 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน 120,000 ล้านบาท) | นร07 | 06/11/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดสรร/การเบิกจ่าย/ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเอง สำนักงบประมาณจัดสรรสุทธิ เป็นเงิน ๑๑๙,๐๙๒.๐๑๘๖ ล้านบาท ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑๑๓,๕๖๖.๘๐๔๘ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๑๗.๔๗๓๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๐๒ และผลการเบิกจ่ายจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ณ วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๑๐๑,๘๑๑.๑๑๐๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๕.๔๙ จากยอดจัดสรร ๒. ผลการดำเนินงาน มิติส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๑๐ กระทรวง ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๘ กระทรวง และมิติจังหวัดที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๕๐ จังหวัด ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๒๓ จังหวัด ๓. การส่งคืนเงินงบประมาณและการใช้จ่ายจากเงินที่แจ้งส่งคืน ส่วนราชการฯ ส่งเงินคืนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการในระบบ GFMIS เป็นเงิน ๖,๐๑๐.๔๕๐๓ ล้านบาท และวงเงินคงเหลือจากการพิจารณาจัดสรรต่ำกว่ากรอบวงเงินตามมติคณะรัฐมนตรีอีกจำนวน ๒๕๙.๙๔๐๐ ล้านบาท รวมเป็นเงินที่จะนำไปใช้จ่ายได้ทั้งสิ้น ๖,๒๗๐.๓๙๐๓ ล้านบาท คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการโดยให้ใช้จ่ายจากเงินส่งคืนทั้งสิ้น ๖,๒๗๐.๒๓๖๖ ล้านบาท คงเหลือวงเงินที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติเพิ่มเติมได้เพียง ๐.๑๕๓๗ ล้านบาท ทั้งนี้ ยังมีส่วนราชการฯ ยังมิได้ดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณงบกลาง รายการดังกล่าว เป็นวงเงิน ๘๙๖.๓๕๕๗ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
| 29647 | พิจารณาขยายระยะเวลาดำเนินการ "โครงการบ้าน ธอส. เพื่อที่อยู่อาศัยแห่งแรก (ร้อยละ 0 3 ปี)" | กค | 06/11/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบขยายระยะเวลาดำเนินการโครงการบ้าน ธอส. เพื่อที่อยู่อาศัยแห่งแรก (ร้อยละ ๐ ๓ ปี) ออกไปอีก ๖ เดือน จากเดิมสิ้นสุดระยะเวลายื่นคำขอกู้เงินวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ เป็นวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๖ (วันทำการสุดท้ายของเดือน) และต้องทำนิติกรรมกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ให้เสร็จสิ้นจากเดิมภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ เป็นภายในวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๕๖ (วันทำการสุดท้ายของเดือน) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังและธนาคารอาคารสงเคราะห์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ที่เห็นควรจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลลัพธ์จากการดำเนินโครงการต่าง ๆ ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ แล้วรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบในการกำกับดูแลสถาบันการเงินเฉพาะกิจแต่ละแห่งได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และการให้สินเชื่อแก่ผู้อยู่อาศัยในโครงการบ้านเอื้ออาทรที่มีความพร้อมโอนกรรมสิทธิ์และจดจำนองหลักเป็นประกันกับธนาคาร ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 29648 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 87 และ 98" | สสป | 06/11/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณาและผลการดำเนินการของกระทรวงแรงงานร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ศาลแรงงานกลาง องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) และหน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงาน และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ ๘๗ และ ๙๘" โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดนโยบาย และการเตรียมการในเรื่องดังกล่าว โดยมีรายละเอียดความเห็นและข้อเสนอแนะขั้นตอนการเตรียมการแบ่งออกเป็น ๓ ระยะ ดังนี้
๑. ระยะแรก ขั้นการเตรียมการ ๑.๑ การเตรียมความพร้อมด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งกระทรวงแรงงาน และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กฎหมายของกระทรวงแรงงาน โดยแก้ไขพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ พระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ พระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑ พระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. ๒๕๓๗ และกฎหมายเกี่ยวกับการประกันสังคม เป็นต้น กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับแรงงานต่างด้าว และด้านความมั่นคงของชาติ ของหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ ของกระทรวงมหาดไทย เป็นต้น ตลอดจนกฎหมายที่รองรับการรวมตัวของข้าราชการแต่ละประเภท รวมถึงแก้ไขบทบัญญัติในกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับอื่น ๆ ที่ไม่สอดคล้องกับอนุสัญญาดังกล่าว ซึ่งกระทรวงแรงงานควรได้จัดทำประชาพิจารณ์กับกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียให้ครบทุกกลุ่ม เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงรอบด้านในการนำมาปรับปรุงแก้ไขกฎหมายของแต่ละหน่วยงาน และกระทรวงมหาดไทยควรมีกฎหมายลักษณะบริหารจัดการองค์กรต่าง ๆ ต่อการได้รับสิทธิการมีส่วนร่วมในกระบวนการของภาครัฐอย่างถูกต้องตามกฎหมาย นอกจากเป็นการควบคุมดูแลให้เกิดความสงบเรียบร้อยแล้ว ยังป้องกันมิให้องค์กรที่จัดตั้งขึ้นโดยไม่จดทะเบียนหรือองค์กรที่ไม่ถูกกฎหมายเข้ามาแสวงประโยชน์ในการเป็นตัวแทนกิจกรรมต่าง ๆ ของภาครัฐ ซึ่งกฎหมายดังกล่าวควรมีการกำหนดสิทธิที่พึงได้รับจากภาครัฐว่าควรเท่าเทียมกับองค์กรที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย หรือไม่อย่างไร ๑.๒ การเตรียมการด้านลูกจ้างและองค์กรลูกจ้าง ได้แก่ การสร้างความเข้าใจเรื่องสิทธิตามอนุสัญญาซึ่งต้องเคารพสิทธิตามกฎหมายไทย โดยผ่านการอบรมผู้นำองค์กรแรงงาน รวมทั้งจัดทำสื่อ ประชาสัมพันธ์ ผ่านเว็บไซต์ และเอกสารประชาสัมพันธ์อื่น ๆ ควรพัฒนาองค์กรลูกจ้างให้เข้มแข็งในกระบวนการเจรจาต่อรองเนื่องจากภาครัฐมีบทบาทลดลงในการเข้าไปประสาน ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท โดยรัฐจะไม่เข้าไปแทรกแซงใด ๆ และแรงงานควรได้รับการอบรมเรื่องกฎหมายแรงงาน ๑.๓ การเตรียมการด้านนายจ้างและองค์กรนายจ้าง ได้แก่ การสร้างความรู้ความเข้าใจพันธะกิจของนายจ้างตามอนุสัญญา โดยผ่านการอบรมผู้นำองค์กรแรงงาน รวมทั้งจัดทำสื่อ ประชาสัมพันธ์ ผ่านเว็บไซต์ และเอกสารประชาสัมพันธ์อื่น ๆ การทำความเข้าใจในการเจรจาต่อรองระบบทวิภาคี โดยมิให้มีการแทรกแซงกระบวนการ ทั้งของลูกจ้างและนายจ้าง และการอบรมนายจ้างในเรื่องกฎหมายแรงงาน ๑.๔ การเตรียมการด้านการรวมกลุ่มของข้าราชการ ได้แก่ รัฐบาลสามารถกำหนดให้ข้าราชการทั้งหมด หรือข้าราชการบางกลุ่มมีสิทธิในการนัดหยุดงานที่แตกต่างหรือน้อยกว่าคนทำงานในกิจการทั่วไปได้ ได้แก่ ทหาร ตำรวจ ข้าราชการระดับบริหาร ข้าราชการตุลาการ ข้าราชการและลูกจ้างในโรงพยาบาล การไฟฟ้า การประปา การโทรคมนาคม และหอบังคับการบิน รวมทั้งการเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขในการรวมกลุ่มข้าราชการพลเรือนสามัญ พ.ศ. .... เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี โดยสถาบันพระปกเกล้าเป็นที่ปรึกษาจัดทำร่างกฎหมาย และการสร้างความรู้ความเข้าใจพันธะกิจของรัฐบาลตามอนุสัญญา เพื่อให้ข้าราชการเข้าใจบทบาทและสิทธิตามอนุสัญญาและร่างกฤษฎีกาที่ออกรองรับอนุสัญญาดังกล่าว ๒. ระยะที่สอง ขั้นตอนระหว่างการนำเสนอต่อรัฐสภา ควรเร่งดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ๒.๑ ให้ความรู้ สร้างความเข้าใจแก่หน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ลูกจ้าง องค์กรลูกจ้าง นายจ้าง และองค์กรนายจ้างให้รับทราบพันธะที่ตนเองต้องปฏิบัติตามโดยเร็ว อาจมีการเผยแพร่ผ่านสื่อต่าง ๆ ๒.๒ เร่งจัดทำ ปรับปรุง กฎ ระเบียบ ข้อปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ทั้งฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่บริหาร เจ้าหน้าที่รักษาความสงบ ๒.๓ จัดให้มีการพัฒนาอบรมแก่ฝ่ายนายจ้าง ลูกจ้าง และแรงงานในสถานประกอบการอย่างทั่วถึง ๒.๔ เผยแพร่ความรู้ ข้อมูล การปฏิบัติการในโรงเรียนโดยเฉพาะชั้นปีการศึกษาที่คาดว่านักเรียน นักศึกษา จะสำเร็จการศึกษาเข้าสู่ตลาดแรงงาน ๒.๕ ใช้รูปแบบไตรภาคีในการพิจารณากำหนด กลไก และมาตรการสนับสนุนการเจรจาต่อรองในระบบทวิภาคี เพื่อให้รัฐลดบทบาทในการเข้าไกล่เกลี่ยได้อย่างเป็นรูปธรรม ๓. ระยะที่สาม ขั้นตอนการปฏิบัติจริงในช่วง ๒ ปี หลังการให้สัตยาบันหรือก่อนทำรายงานต่อองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ๓.๑ ติดตามประมวลปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการตามบทบัญญัติของอนุสัญญา พร้อมทั้งให้ความรู้และสร้างความเข้าใจอย่างต่อเนื่องแก่หน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ลูกจ้าง องค์กรลูกจ้าง นายจ้าง และองค์กรนายจ้าง ๓.๒ พิจารณาส่งเสริมสนับสนุน กลไก มาตรการ การเจรจาโดยสมัครใจระหว่างนายจ้างหรือองค์กรของนายจ้างกับองค์กรของลูกจ้าง หรือการเจรจาระบบทวิภาคีให้เกิดผลอย่างมีประสิทธิภาพ
|
||||||||||||||||||||||||
| 29649 | ขออนุมัติลงนามความตกลงระหว่างสถาบันว่าด้วยความร่วมมือในการควบคุมยาเสพติดระหว่างคณะกรรมาธิการแห่งชาติเพื่อการพัฒนาและชีวิตปลอดยาเสพติด แห่งสาธารณรัฐเปรูกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด แห่งราชอาณาจักรไทย | ยธ | 06/11/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างสถาบันว่าด้วยความร่วมมือในการควบคุมยาเสพติดระหว่างคณะกรรมาธิการแห่งชาติเพื่อการพัฒนาและชีวิตปลอดยาเสพติดแห่งสาธารณรัฐเปรูกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งราชอาณาจักรไทย [Inter-Institutional Agreement on Cooperation in Narcotic Drug Control between the National Commission for Development and Life without Drugs (DEVIDA) of the Republic of Peru and the Office of the Narcotics Control Board (ONCB) of the Kingdom of Thailand] มีสาระสำคัญคือ DEVIDA กับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจะดำเนินกิจกรรมความร่วมมือด้านต่าง ๆ ประกอบด้วย ด้านการพัฒนาทางเลือกเพื่อลดปัญหาการปลูกพืชเสพติด ความร่วมมือทางวิชาการโดยการแลกเปลี่ยนความรู้ด้านยาเสพติดแขนงต่าง ๆ โดยการส่งเสริมการวิจัยและฝึกอบรม การแลกเปลี่ยนการข่าวยาเสพติด การแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ด้านการป้องกันและบำบัดรักษายาเสพติด และการจัดสัมมนา ประชุม ฝึกอบรมด้านต่าง ๆ ๑.๒ อนุมัติให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนมีการลงนาม ให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาใหม่อีกครั้ง ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นว่า ร่างความตกลงฯ ได้ระบุในข้อ ๑ ว่า จัดทำขึ้นเพื่อการบังคับใช้บันทึกความเข้าใจฯ ระหว่างรัฐบาลของทั้งสองประเทศฉบับปี ๒๕๔๒ ของหน่วยงานผู้ปฏิบัติ ซึ่งมีขอบข่ายสาระการดำเนินงานที่กำหนดในร่างความตกลงฯ มีรายละเอียดที่ใกล้เคียงกับที่ได้ระบุไว้ในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐเปรูว่าด้วยความร่วมมือในการควบคุมยาเสพติด วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท และสารตั้งต้น (Memorandum of Understanding between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the Republic of Peru on the Cooperation in Narcotic Drugs, Psychotropic Substances and Precursor Chemicals Control) ที่ได้มีการลงนามเมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๔๒ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็ไม่น่าจะมีความจำเป็นต้องจัดทำความตกลงขึ้นมาใหม่อีกฉบับ เพราะหน่วยงานผู้ปฏิบัติของทั้งสองประเทศสามารถใช้บันทึกความเข้าใจฯ ซึ่งเป็นความตกลงแม่บทในการมีความร่วมมือระหว่างกันได้อยู่แล้ว โดยหน่วยงานผู้ปฏิบัติสามารถพิจารณามีหนังสือติดต่อขอความร่วมมือระหว่างกันได้บนพื้นฐานของบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าว และในกรณีที่มีความจำเป็นจะต้องจัดทำความตกลงในระดับหน่วยงานผู้ปฏิบัติเพื่อกำหนดรายละเอียดการดำเนินการเพิ่มเติมภายในขอบเขตของการบันทึกความเข้าใจฯ หน่วยงานผู้ปฏิบัติก็สามารถพิจารณาดำเนินการได้โดยอาจขออนุมัติรัฐมนตรีต้นสังกัด ไปดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
| 29650 | ขออนุมัติจ่ายค่าตอบแทนพิเศษให้แก่พนักงานที่ได้รับเงินเดือนเต็มขั้นของโรงงานไพ่ กรมสรรพสามิต | กค | 06/11/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษให้แก่พนักงานที่ได้รับเงินเดือนเต็มขั้นของโรงงานไพ่ กรมสรรพสามิต ตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ในการประชุมเมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยมีหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนพิเศษ ดังนี้ ๑.๑ กรณีได้รับการประเมินให้เลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปีอยู่ในเกณฑ์หนึ่งขั้นให้เบิกจ่ายค่าตอบแทนพิเศษในอัตราร้อยละ ๒ ของเงินเดือนเต็มขั้นสูงของระดับหรือตำแหน่ง ๑.๒ กรณีได้รับการประเมินให้เลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปีอยู่ในเกณฑ์หนึ่งขั้นครึ่งให้เบิกจ่ายค่าตอบแทนพิเศษในอัตราร้อยละ ๔ ของเงินเดือนเต็มขั้นสูงของระดับหรือตำแหน่ง (โดยมีสัดส่วนของผู้ที่ได้รับเป็นจำนวนร้อยละ ๒๕ ของผู้ที่มีเงินเดือนเต็มขั้น) ๑.๓ กรณีได้รับการประเมินให้เลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปีอยู่ในเกณฑ์สองขั้นให้เบิกจ่ายค่าตอบแทนพิเศษในอัตราร้อยละ ๖ ของเงินเดือนเต็มขั้นสูงของระดับหรือตำแหน่ง (โดยมีสัดส่วนของผู้ที่ได้รับเป็นจำนวนร้อยละ ๑๐ ของผู้ที่มีเงินเดือนเต็มขั้น) ๑.๔ กรณีได้รับการประเมินให้เลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปีอยู่ในเกณฑ์ครึ่งขั้นหรือไม่ได้รับการประเมินให้เลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปี ให้เบิกจ่ายเงินเดือนในอัตราสูงของระดับหรือตำแหน่งเดิม ทั้งนี้ การจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษนี้ไม่ถือเป็นเงินเดือนหรือค่าจ้าง มีลักษณะเป็นการชั่วคราว รวมทั้งไม่เป็นฐานการคำนวณสิทธิประโยชน์อื่น ๆ แก่พนักงานและลูกจ้าง ๒. ให้โรงงานไพ่ กรมสรรพสามิต รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดทำแผนการจัดหารายได้เพิ่มและลดค่าใช้จ่ายเพื่อรองรับการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจและการแข่งขันจากการเปิดเสรีในอุตสาหกรรมไพ่เมื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
| 29651 | การแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบปฏิบัติในการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าและหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (FORM D) ภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน ในเรื่องการระบุมูลค่าของสินค้า ณ ท่าเรือต้นทาง (FOB value) | พณ | 06/11/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบต่อการแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบปฏิบัติใหม่ (ข้อ ๒๕) ในการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าในกรอบอาเซียน และการแก้ไขหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (FORM D) ของอาเซียน โดยสาระสำคัญของระเบียบปฏิบัติใหม่ (ข้อ ๒๕) ในระเบียบปฏิบัติในการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า ได้ยกเลิกการระบุมูลค่าของสินค้า ณ ท่าเรือต้นทาง (FOB value) สินค้า ๓ ประเภท ได้แก่ สินค้าที่ได้มาหรือได้ผลิตขึ้นทั้งหมดในประเทศสมาชิกผู้ส่งออก (Wholly Obtained) สินค้าที่ได้มีการเปลี่ยนพิกัดศุลกากร (CTC) หรือสินค้าที่มีกระบวนการการผลิต (Process Rules) และได้ปรับแก้ไขช่อง ๙ ของหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (FORM D) เพื่อให้สอดคล้องกับระเบียบปฏิบัติใหม่ดังกล่าว กล่าวคือ ในหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (FORM D) ของอาเซียน จะระบุเพียงมูลค่า FOB ในกรณีใช้เกณฑ์ถิ่นกำเนิดสินค้าแบบกฎการใช้สัดส่วนวัตถุดิบภายในประเทศ (Regional Value Content) ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นจะต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวที่มิใช่สาระสำคัญ ให้หน่วยงานผู้รับผิดชอบเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๑.๒ นำเสนอการแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบปฏิบัติฯ ต่อรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อที่กระทรวงพาณิชย์จะได้แสดงเจตจำนงให้มีผลผูกพันประเทศไทยต่อไป ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับกรณีที่ระเบียบปฏิบัติฯ ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาแล้ว ให้กระทรวงพาณิชย์รับไปดำเนินการเพื่อแสดงเจตจำนงให้การแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบปฏิบัติฯ มีผลผูกพันกับประเทศไทยได้ทันภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ รวมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์และสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับผู้ประกอบการและผู้ที่เกี่ยวข้องทราบในเรื่องการเปลี่ยนแปลงระเบียบปฏิบัติในการระบุมูลค่าของสินค้า ณ ท่าเรือต้นทาง ในหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าของอาเซียนภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน โดยเฉพาะการส่งออกไปยังกัมพูชาและเมียนมาร์ที่ยังต้องระบุมูลค่าของสินค้า ณ ท่าเรือต้นทาง เนื่องจากได้รับสิทธิระยะเวลาปรับตัว ๒ ปี เพื่อให้เกิดความชัดเจนในทางปฏิบัติในการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า อีกทั้งยังเป็นการช่วยอำนวยความสะดวกทางการค้า และสอดคล้องกับพัฒนาการในกระบวนการผลิตและการค้าในโลกปัจจุบัน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 29652 | การผนวกรายการความตกลงและพิธีสารทางเศรษฐกิจของอาเซียน แนบท้ายความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ATIGA) และการลงนามพิธีสาร เพื่อแก้ไขความตกลงทางเศรษฐกิจอื่นที่เกี่ยวข้องกับการค้าสินค้าของอาเซียน | พณ | 06/11/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบรายการความตกลงและพิธีสารทางเศรษฐกิจของอาเซียน ๑๑ ฉบับ ที่จะนำมาผนวกแนบท้ายความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ASEAN Trade in Goods Agreement : ATIGA) ได้แก่ ๑.๑.๑ ความตกลงว่าด้วยการให้สิทธิพิเศษทางการค้าในอาเซียน (Agreement on Preferential Trading Arrangement) ๑.๑.๒ ความตกลงว่าด้วยการใช้มาตรการกำหนดอัตราอากรร่วมเพื่อจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน (Agreement on the Common Effective Preferential Tariff Scheme for the ASEAN Free Trade Area) ๑.๑.๓ พิธีสารเพื่อแก้ไขความตกลงว่าด้วยการให้สิทธิพิเศษทางการค้าในอาเซียน (Protocol to Amend the Agreement on ASEAN Preferential Trading Arrangement) ๑.๑.๔ พิธีสารเพื่อแก้ไขความตกลงว่าด้วยการใช้มาตรการกำหนดอัตราอากรร่วมเพื่อจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน [Protocol to Amend the Agreement on the Common Effective Preferential Tariff (CEPT) Scheme for the ASEAN Free Trade Area (AFTA)] ๑.๑.๕ พิธีสารว่าด้วยการดำเนินการพิเศษสำหรับสินค้าอ่อนไหวและอ่อนไหวสูง (Protocol on the Special Arrangement for Sensitive and Highly Sensitive Products) ๑.๑.๖ พิธีสารว่าด้วยการดำเนินการตามแผนงานการใช้มาตรการกำหนดอัตราอากรร่วมเพื่อจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียนสำหรับบัญชียกเว้นลดภาษีชั่วคราว [Protocol Regarding the Implementation of the Common Effective Preferential Tariff (CEPT) Scheme Temporary Exclusion List] ๑.๑.๗ พิธีสารเพื่อแก้ไขความตกลงว่าด้วยการใช้มาตรการกำหนดอัตราอากรร่วมเพื่อจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียนสำหรับการขจัดภาษีนำเข้า [Protocol to Amend the Agreement on the Common Effective Preferential Tariff (CEPT) Scheme for the ASEAN Free Trade Area (AFTA) for the Elimination of Import Duties] ๑.๑.๘ พิธีสารเพื่อแก้ไขพิธีสารว่าด้วยการดำเนินการพิเศษสำหรับสินค้าอ่อนไหวและอ่อนไหวสูง ฉบับที่ ๑ (First Protocol to Amend the Special Arrangement for Sensitive and Highly Sensitive Products) ๑.๑.๙ พิธีสารว่าด้วยการปรับปรุงการขยายการให้สิทธิพิเศษทางภาษีภายใต้การให้สิทธิพิเศษทางการค้าในอาเซียน (Protocol on Improvements on Extensions of Tariff Preferences under the ASEAN Preferential Trading Arrangement) ๑.๑.๑๐ ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมของอาเซียน (Basic Agreement on the ASEAN Industrial Cooperation Scheme) ๑.๑.๑๑ พิธีสารเพื่อแก้ไขความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมของอาเซียน (Protocol to Amend the Basic Agreement on the ASEAN Industrial Cooperation Scheme) ๑.๒ เห็นชอบพิธีสารเพื่อแก้ไขความตกลงทางเศรษฐกิจอื่นที่เกี่ยวข้องกับการค้าสินค้าของอาเซียน ๑.๓ นำเสนอรายการความตกลงและพิธีสารทางเศรษฐกิจของอาเซียน ๑๑ ฉบับฯ ในข้อ ๑.๑ และพิธีสารฯ ในข้อ ๑.๒ เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาเพื่อให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๑.๔ เมื่อรัฐสภาเห็นชอบรายการความตกลงและพิธีสารทางเศรษฐกิจของอาเซียน ๑๑ ฉบับฯ ตามข้อ ๑.๑ และพิธีสารฯ ในข้อ ๑.๒ แล้ว อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนามพิธีสารฯ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญ ให้ผู้ลงนามสามารถใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรีได้ รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินกระบวนการภายในประเทศ เพื่ออนุวัติการให้เป็นไปตามพิธีสารฯ ๑.๕ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) สำหรับการลงนามในพิธีสารฯ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ให้เป็นผู้ลงนามในพิธีสารฯ และหลังจากที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินกระบวนการภายในแล้วเสร็จ ให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งผลการรับรองผูกพันพิธีสารฯ ของประเทศไทยต่อสำนักเลขาธิการอาเซียนอย่างเป็นทางการ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรแจ้งข้อมูลแก่หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในส่วนของรายการความตกลง/พิธีสารฯ ทั้ง ๑๑ ฉบับ เพื่อให้เกิดความชัดเจนในทางปฏิบัติ รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการทราบ เพื่อให้สามารถใช้สิทธิประโยชน์จากความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียนได้อย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 29653 | ขอความเห็นชอบร่างปฏิญญาเซบูที่จะเสนอรับรองในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ ครั้งที่ 12 | ทก | 06/11/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบต่อร่างปฏิญญาเซบูซึ่งจะมีการรับรองในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ ครั้งที่ ๑๒ (The 12th ASEAN Telecommunications and IT Ministers Meeting : The 12th TELMIN) ระหว่างวันที่ ๑๕-๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ณ เมืองเซบู สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ โดยสาระสำคัญของปฏิญญาเซบูมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศที่จะร่วมกันผลักดันการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ของแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอาเซียน (ASEAN ICT Masterplan 2015) ซึ่งแผนแม่บทดังกล่าวจัดทำขึ้นและมีการรับรองแล้วในการประชุม TELMIN ครั้งที่ ๑๐ เพื่อกำหนดทิศทางและการพัฒนาความร่วมมือไอซีทีในอาเซียนและสนับสนุนการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารดังกล่าวในระหว่างการประชุม TELMIN ครั้งที่ ๑๒ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารดังกล่าวที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสาระสำคัญและที่ไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง |
||||||||||||||||||||||||
| 29654 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศและการค้าแห่งสาธารณรัฐเกาหลีว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ราชอาณาจักรไทย - สาธารณรัฐเกาหลี | กต | 06/11/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศและการค้าแห่งสาธารณรัฐเกาหลีว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ราชอาณาจักรไทย-สาธารณรัฐเกาหลี (Memorandum of Understanding between the Ministry of Foreign Affairs of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Foreign Affairs and Trade of the Republic of Korea on the Kingdom of Thailand-Republic of Korea Strategic Partnership) มีวัตถุประสงค์เพื่อยืนยันเจตนารมณ์และคำมั่นที่ทั้งสองฝ่ายมีร่วมกันอย่างเป็นทางการในการที่จะสร้างเสริมความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกัน โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ ครอบคลุมความร่วมมือใน ๔ ด้าน ได้แก่ ความเป็นหุ้นส่วนด้านการเมืองและความมั่นคง ความเป็นหุ้นส่วนด้านเศรษฐกิจ ความเป็นหุ้นส่วนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และความเป็นหุ้นส่วนด้านสังคมและวัฒนธรรม รวมทั้งการจัดตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นสำหรับความร่วมมือทั้ง ๔ ด้าน ภายใต้คณะกรรมาธิการร่วมสำหรับความร่วมมือทวิภาคีระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐเกาหลี เพื่อกำกับดูแลให้มีการประสานงานความร่วมมือในแต่ละด้านมากขึ้น ๑.๒ อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับการเพิ่มประเด็นความร่วมมือในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อให้ครอบคลุมการวิจัยและพัฒนา การถ่ายทอดเทคโนโลยีและการนำเทคโนโลยีสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ ตลอดจนการเยี่ยมเยือนระหว่างนักวิจัยทั้งสองประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 29655 | ร่างเอกสารแถลงข่าวร่วม (Joint Press Statement) ในโอกาสการเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีเกาหลีใต้ | กต | 06/11/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างเอกสารแถลงข่าวร่วมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐเกาหลี ในโอกาสการเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการของ ฯพณฯ นายอี มยอง-บัก ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเกาหลี วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ (Draft Joint Press Statement between the Kingdom of Thailand and the Government of the Republic of Korea, on the Occasion of the Official Visit to the Kingdom to Thailand of His Excellency Mr.Lee Myung-Bak, President of the Republic of Korea, 10 November 2012) เป็นร่างเอกสารยืนยันเจตนารมณ์ร่วมและแสดงความมุ่งมั่นของผู้นำทั้งสองฝ่ายที่จะกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้ใกล้ชิดมากขึ้น และมุ่งที่จะส่งเสริมความร่วมมือทั้งในกรอบทวิภาคี ภูมิภาค และระหว่างประเทศที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน ๒. อนุมัติให้นายกรัฐมนตรีรับรองเอกสารแถลงข่าวร่วมฯ ดังกล่าว ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างเอกสารแถลงข่าวร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง |
||||||||||||||||||||||||
| 29656 | ขอให้รัฐบาลไทยเป็นเจ้าภาพในการจัดการฝึกอบรมและการประชุมร่วมกับทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ | วท | 06/11/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติมีหนังสือไปยัง International Atomic Energy Agency (IAEA) เพื่อตอบรับการเป็นเจ้าภาพในการจัดการฝึกอบรมและการประชุมร่วมกับทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ จำนวน ๒ รายการ ได้แก่ ๑.๑ การฝึกอบรม Regional Training Course on Assessment of Radiological Risks at Basic level (หลักสูตรการฝึกอบรมระดับภูมิภาค เรื่อง การประเมินความเสี่ยงทางรังสี ระดับต้น) ณ กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ ๑๒-๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ภายใต้กรอบโครงการภูมิภาค RAS/7/021 “Marine benchmark study on the possible impact of the Fukushima radioactive releases in the Asia-Pacific Region” (การศึกษาเปรียบเทียบผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการรั่วไหลของสารกัมมันตรังสีจากโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ฟุกูชิมาต่อสิ่งแวดล้อมทางทะเลของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก) ๑.๒ การประชุม Regional Meeting on Building a National Position on a new Nuclear Power Program (การประชุมระดับภูมิภาค เรื่องการสร้างท่าที/ทัศนะของประเทศต่อโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์โรงแรกของประเทศ) ณ กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๕ ภายใต้กรอบโครงการภูมิภาค RAS2016 “Supporting Decision Making for Nuclear Power Planning and Development-Phase II” (การสนับสนุนการตัดสินใจสำหรับการวางแผนและการพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์-ขั้นที่ ๒) ๒. เห็นชอบร่างหนังสือตอบรับการเป็นเจ้าภาพจัดการฝึกอบรมและการประชุม หากมีการเปลี่ยนแปลงถ้อยคำที่มิใช่สารัตถะของร่างหนังสือตอบรับการเป็นเจ้าภาพจัดการฝึกอบรมและการประชุม ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหารือร่วมกับกรมสนธิสัญญาและกฎหมายเพื่อพิจารณาดำเนินการแทนคณะรัฐมนตรี โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ๓. อนุมัติให้เลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติเป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือตอบรับการเป็นเจ้าภาพจัดการฝึกอบรมและการประชุม
|
||||||||||||||||||||||||
| 29657 | การแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม | คค | 06/11/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามนัยมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ตามลำดับ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. พลเอก พฤณท์ สุวรรณทัต รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ๒. นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
|
||||||||||||||||||||||||
| 29658 | การแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ | กต | 06/11/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป็นหลักการมอบหมายผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในกรณีที่ไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามลำดับ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ๒. นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
|
||||||||||||||||||||||||
| 29659 | การตรวจติดตามสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาภัยแล้ง | ทส | 06/11/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการตรวจติดตามสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาภัยแล้งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงฯ โดยได้ดำเนินการตรวจเยี่ยมและให้การช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ขาดแคลนน้ำดื่มสะอาด และพื้นที่ประสบภัยแล้ง โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับทราบแนวทางแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและมอบหมายให้กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรมทรัพยากรน้ำ บูรณาการร่วมกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย เพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้งต่อไป ดังนี้
๑. จังหวัดลพบุรีและสระบุรี ตรวจติดตามโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อสนับสนุนระบบน้ำดื่มสะอาดให้กับโรงเรียนทั่วประเทศ เพื่อสร้างเครือข่ายช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติ ณ โรงเรียนท่าวุ้งวิทยาคาร ตำบลท่าวุ้ง อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี และตรวจเยี่ยมพื้นที่ประสบปัญหาภัยแล้ง พร้อมปล่อยขบวนคาราวานรถเจาะน้ำบาดาล ส่งมอบบ่อน้ำบาดาลและระบบปรับปรุงคุณภาพน้ำภาคสนาม ณ องค์การบริหารส่วนตำบลโคกใหญ่-หรเทพ อำเภอบ้านหมอ จังหวัดสระบุรี ๒. จังหวัดกาฬสินธุ์ ตรวจการเจาะน้ำบาดาลและสูบน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร และช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านหนองคอนเตรียม หมู่ ๓, ๙ ตำบลหลักเหลี่ยม อำเภอนามน จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ๓. จังหวัดอุดรธานี ตรวจการเจาะน้ำบาดาลและสูบน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร และช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านเชียงกรม หมู่ ๑๔ ตำบลนาม่วง อำเภอประจักษ์ศิลปาคม และบ้านหนองไผ่น้อย หมู่ ๖ ตำบลหนองไผ่ อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล รวมทั้งตรวจการสูบน้ำระยะไกลเพื่อแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านหนองไผ่ หมู่ ๖ ตำบลหนองไผ่ อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พร้อมทั้งตรวจการสูบน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ ตำบลสุมเส้า อำเภอเพ็ญ และบ้านหนองบุ่งหวาย หมู่ ๑๓ บ้านจอมตาลใต้ ตำบลจอมศรี อำเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี โดยกรมทรัพยากรน้ำ ๔. จังหวัดสกลนคร ตรวจการเจาะน้ำบาดาลและสูบน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร และช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านใต้ อำเภอสว่างแดนดิน และตรวจการสูบน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านดอนดู่ หมู่ ๓ ตำบลนาตงวัฒนา อำเภอโพนนาแก้ว จังหวัดสกลนคร โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล รวมทั้งตรวจการเจาะน้ำบาดาลและสูบน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร และช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง และนำรถผลิตน้ำดื่มสะอาดแจกจ่ายแก่ประชาชน ณ บ้านโพนแคใหญ่ หมู่ ๒ ตำบลนาดงวัฒนา อำเภอโพนนาแก้ว จังหวัดสกลนคร โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ๕. จังหวัดบึงกาฬ ตรวจการสูบน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ วัดสอนเจริญราษฎร์ หมู่ ๑ ตำบลนาสิงห์ อำเภอศรีวิไล จังหวัดบึงกาฬ โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๖. จังหวัดหนองคาย ตรวจการแก้ไขปัญหาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง โดยจัดทำจุดจ่ายน้ำ และสาธิตการสูบน้ำระยะไกล ณ บ้านดงคำพี้ หมู่ ๗ ตำบลวัดหลวง อำเภอโพนพิสัย และจัดทำจุดจ่ายน้ำ และแจกจ่ายน้ำให้แก่ประชาชน ณ บ้านเบิด หมู่ ๖ ตำบลวัดธาตุ อำเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคาย โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวมทั้งตรวจการแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านน้ำสวย หมู่ ๑๑ ตำบลสระไคร อำเภอสระไคร จังหวัดหนองคาย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
|
||||||||||||||||||||||||
| 29660 | การแก้ไขปัญหาภัยแล้ง | นร04 | 06/11/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เสนอว่า ตามที่ กบอ. ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาภัยแล้งร่วมกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนั้น ขณะนี้ กบอ. อยู่ระหว่างการจัดทำแผนแม่บทในการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ซึ่งแผนแม่บทดังกล่าวจะมุ่งส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินการแก้ไขปัญหาภัยแล้งของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ต้องดำเนินการตามภารกิจปกติซึ่งได้รับการจัดสรรงบประมาณไว้แล้ว โดยแผนแม่บทจะเน้นการแก้ไขปัญหาภัยแล้งในแต่ละพื้นที่ (area approach) ทั่วประเทศ และจะมีกลไกการกำกับสั่งการในการดำเนินการแก้ไขปัญหาภัยแล้งทั้งในระดับอำเภอและจังหวัด ทั้งนี้ เมื่อแผนแม่บทดังกล่าวแล้วเสร็จ อาจจะมีการปรับเปลี่ยนแผนหรือโครงการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบางส่วน และในระหว่างนี้ แผนงานที่เกี่ยวข้องตามภารกิจปกติของหน่วยงานต่าง ๆ ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณไว้แล้ว ให้สามารถดำเนินการไปได้ เช่น การประกาศพื้นที่เพาะปลูก (zoning) ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และการขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||
.....
