ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1486 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 29701 - 29720 จากข้อมูลทั้งหมด 124459 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 29701 | รายงานกิจการ งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุน ประจำปีบัญชี 2554 (1 เมษายน 2554 - 31 มีนาคม 2555) ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร | กค | 02/11/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานกิจการ งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุน ประจำปีบัญชี ๒๕๕๔ (๑ เมษายน ๒๕๕๔-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๕) ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินการงานของ ธ.ก.ส. ประจำปีบัญชี ๒๕๕๔ เปรียบเทียบกับปีบัญชี ๒๕๕๓ สินทรัพย์รวม ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๕ มีจำนวน ๑,๐๕๕,๕๕๕ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีบัญชี ๒๕๕๓ จำนวน ๑๕๖,๕๓๖ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๗.๔๑ มีกำไรสุทธิ จำนวน ๔,๒๗๗ ล้านบาท ลดลงจากปีบัญชี ๒๕๕๓ จำนวน ๓,๗๓๕ ล้านบาท โดยระหว่างปีมีรายได้รวมจำนวน ๕๖,๑๐๔ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีบัญชี ๒๕๕๓ จำนวน ๖,๓๒๕ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๒.๗๑ ในขณะที่รายจ่ายรวมมีจำนวน ๓๗,๖๖๗ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีบัญชี ๒๕๕๓ จำนวน ๑๐,๐๑๖ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓๖.๒๒ โดยในปีบัญชี ๒๕๕๔ ธ.ก.ส. ได้ตั้งสำรองรายการหนี้สูญ หนี้สงสัยจะสูญ และขาดทุนจากการด้อยค่าจำนวน ๑๔,๑๖๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๓๑ จากปีบัญชีก่อน สำหรับอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงสิ้นปีบัญชี ๒๕๕๔ ธ.ก.ส.มีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ร้อยละ ๑๐.๓๙ ลดลงจากสิ้นปีบัญชี ๒๕๕๓ ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ ๑๓.๙๗ ๒. รายงานกิจการของ ธ.ก.ส. ประจำปีบัญชี ๒๕๕๔ ธ.ก.ส. มีโครงการสำคัญ เช่น โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปีและมันสำปะหลัง ปีการผลิต ๒๕๕๔/๒๕๕๕ โครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกว่า ๕๐๐,๐๐๐ บาท ปี ๒๕๕๔ โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔ โครงการธนาคารชุมชน และการให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์มหาอุทกภัยในปี ๒๕๕๔
|
||||||||||||||||||
| 29702 | ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ 9/2555 | นร11 | 02/11/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ ๙/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๕ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ กยอ. เสนอ โดยคณะกรรมการ กยอ. มีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบและวิจัยพัฒนารถยนต์และชิ้นส่วน ตามที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเสนอ โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรม สถาบันยานยนต์แห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการทบทวนในรายละเอียด ความเหมาะสม และความคุ้มค่าของโครงการ รวมทั้งรูปแบบการลงทุน การบริหารจัดการ และที่ตั้งโครงการ เพื่อนำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาให้ความเห็นชอบและลงนามในหนังสือถึงประธาน กยอ. เพื่อนำเสนอ กยอ. พิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๒. เห็นชอบในหลักการให้มีการศึกษาโครงการบริหารจัดการกากของเสียอันตรายจากอุตสาหกรรมครบวงจร โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมจัดทำรายละเอียดข้อกำหนดโครงการ (TOR) และรายละเอียดงบประมาณตามแบบฟอร์มที่สำนักงบประมาณกำหนดเสนอต่อรัฐมนตรีต้นสังกัดพิจารณาให้ความเห็นชอบและลงนามถึงประธาน กยอ. เพื่อนำเสนอ กยอ. พิจารณาอีกครั้ง ก่อนนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป ๓. รับทราบผลการจัดงานแสดงร้านค้าต้นแบบ OTOP Store และนิทรรศการ Thai Pinto ตามที่ผู้แทนสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) เสนอ ๔. รับทราบความคืบหน้าการพัฒนาโครงการท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และให้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยประชาสัมพันธ์ให้ภาคเอกชนได้ทราบและติดตามการพัฒนาโครงการท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวายของรัฐบาลอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง ๕. รับทราบความคืบหน้าการฟื้นฟูพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ตามที่ผู้แทน กนอ. เสนอ และให้ กนอ. รายงานความคืบหน้าการฟื้นฟูพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมให้ กยอ. ทราบต่อไป ๖. รับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์และบริหารทรัพยากรน้ำ ลุ่มน้ำตะวันออก ๙ จังหวัด เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ ตามที่ประธานคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์และการบริหารทรัพยากรน้ำ ลุ่มน้ำตะวันออก ๙ จังหวัด เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศรายงาน
|
||||||||||||||||||
| 29703 | การดำเนินโครงการนำร่องระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของอาเซียน | พณ | 02/11/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบมติที่ประชุมคณะมนตรีเขตการค้าเสรีอาเซียน ครั้งที่ ๒๖ เมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ ที่ให้ขยายเวลาเป้าหมายที่อาเซียนจะเริ่มต้นดำเนินระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองในภูมิภาค จากเดิมภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นปี พ.ศ. ๒๕๕๘ และเห็นชอบการขยายระยะเวลาโครงการนำร่องระบบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของอาเซียน โครงการที่ ๑ (ซึ่งมีภาคี ๔ ประเทศ ได้แก่ บรูไนดารุสซาลาม มาเลเซีย สิงคโปร์ และไทย) ออกไปจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ ๑.๒ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือแจ้งการให้ความเห็นชอบของไทยต่อการขยายระยะเวลาโครงการนำร่องฯ โครงการที่ ๑ ออกไปจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ ต่อเลขาธิการอาเซียน ก่อนวันสิ้นสุดอายุโครงการฯ ในวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ๑.๓ ให้นำเสนอบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลของภาคีสมาชิกที่เข้าร่วมโครงการนำร่องสำหรับการดำเนินการระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของอาเซียน โครงการที่ ๒ โดยมีเอกสารภาคผนวกระเบียบปฏิบัติในการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าแนบบันทึกความเข้าใจฯ เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา เพื่อให้ความเห็นชอบ ก่อนที่ไทยจะแสดงเจตนาให้มีผลผูกพันสำหรับการภาคยานุวัตรเป็นภาคีสมาชิกของบันทึกความเข้าใจฉบับดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการติดตามและประเมินผลโครงการนำร่องฯ เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงและแก้ไขปัญหาอุปสรรค เพื่อให้การรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของอาเซียนสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์และสร้างความรู้ความเข้าใจถึงความแตกต่างของระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของโครงการที่ ๑ ซึ่งให้ทั้งผู้ผลิตและผู้ประกอบการค้าขอรับอนุญาตรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง และโครงการที่ ๒ ซึ่งให้เฉพาะผู้ผลิตเท่านั้น เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ และสามารถใช้ประโยชน์จากการเข้าร่วมโครงการดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
| 29704 | ความตกลงว่าด้วยการเคลื่อนย้ายบุคคลธรรมดาของอาเซียน | พณ | 02/11/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการลงนามความตกลงว่าด้วยการเคลื่อนย้ายบุคคลธรรมดาของอาเซียนก่อนนำเสนอความตกลงฯ และภาคผนวกแนบท้ายเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาตามมาตรา ๑๙๐ เพื่อให้ความเห็นชอบเพื่อผูกพันต่อไป ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายอื่น เป็นผู้ลงนามความตกลงฯ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญในความตกลงฯ หรือภาคผนวกแนบท้าย มอบให้ผู้ลงนามเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรี ๑.๓ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้ได้รับมอบหมายอื่นลงนามความตกลงฯ ๑.๔ เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบความตกลงฯ และภาคผนวกแนบท้ายความตกลงแล้ว ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินกระบวนการภายในประเทศเพื่ออนุวัติการให้เป็นไปตามความตกลงว่าด้วยการเคลื่อนย้ายบุคคลธรรมดาและข้อผูกพันแนบท้ายความตกลง และให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือแจ้งเลขาธิการอาเซียนว่าประเทศไทยได้ดำเนินการตามกระบวนการภายในเสร็จสิ้นแล้วเพื่อให้ความตกลงฯ และภาคผนวกแนบท้ายความตกลงมีผลใช้บังคับ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้มีผู้แทนกระทรวงการคลังเข้าร่วมเป็นองค์ประกอบในคณะกรรมการประสานงานด้านบริการของอาเซียน (Coordinating Committee on Services : CCS) เพื่อให้การเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงินในส่วนของการเคลื่อนย้ายบุคคลธรรมดาเกิดความต่อเนื่องในการดำเนินการ รวมทั้งควรมีการเตรียมความพร้อมและประชาสัมพันธ์ให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในสาขาอาชีพที่มีผลในข้อผูกพันได้รับทราบสาระสำคัญของความตกลงฯ เพื่อเตรียมรับการเปลี่ยนแปลง ตลอดจนการเตรียมมาตรการให้ความคุ้มครองและสวัสดิการทางสังคมแก่แรงงานที่มีการเคลื่อนย้ายระหว่างกันในประเทศสมาชิกอาเซียน สำหรับทุกระดับทักษะและฝีมือ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
| 29705 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน 120,000 ล้านบาท) | นร07 | 02/11/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) และให้รัฐมนตรีและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณสำหรับโครงการ/รายการที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดสรร/การเบิกจ่าย/ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเอง สำนักงบประมาณจัดสรรสุทธิ เป็นเงิน ๑๑๘,๙๐๔.๖๖๒๐ ล้านบาท ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑๑๓,๕๔๙.๓๓๑๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๒๖.๙๓๑๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๐๒ ผลการเบิกจ่ายจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ณ วันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๑๐๑,๒๕๗.๔๙๖๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๕.๒๓ จากยอดจัดสรร ๒. ผลการดำเนินงาน มิติส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๑๐ กระทรวง ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๘ กระทรวง ส่วนมิติจังหวัดที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๕๐ จังหวัด ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๒๓ จังหวัด ๓. การส่งคืนเงินงบประมาณและการใช้จ่ายจากเงินที่แจ้งส่งคืน ส่วนราชการฯ ส่งคืนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลางฯ ในระบบ GFMIS เป็นเงิน ๖,๐๑๐.๔๕๐๓ ล้านบาท และวงเงินคงเหลือจากการพิจารณาจัดสรรต่ำกว่ากรอบวงเงินตามมติคณะรัฐมนตรี จำนวน ๒๕๙.๙๔๐๐ ล้านบาท รวมเป็นเงินที่จะนำไปใช้จ่ายได้ทั้งสิ้น ๖,๒๗๐.๓๙๐๓ ล้านบาท คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินส่งคืนทั้งสิ้น ๖,๒๗๐.๒๓๖๖ ล้านบาท คงเหลือวงเงินที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติเพิ่มเติมได้เพียง ๐.๑๕๓๗ ล้านบาท ทั้งนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลการขอรับการจัดสรรงบประมาณงบกลางฯ ที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการ/รายการ ให้ใช้จ่ายจากเงินส่งคืนก่อนวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ พบว่า มีส่วนราชการฯ ยังมิได้ดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณงบกลางรายการดังกล่าวเป็นวงเงิน ๕๔๓.๐๗๔๒ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||
| 29706 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคีไทย - คาซัคสถาน ครั้งที่ 2 | นร04 | 02/11/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีรายงานผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคีระหว่างไทย-คาซัคสถาน ครั้งที่ ๒ ของกระทรวงการต่างประเทศที่เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ และให้ส่วนราชการต่าง ๆ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามผลการประชุมฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ความร่วมมือทวิภาคี ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้มีการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงและพิจารณาความเป็นไปได้ที่จะจัดการหารือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองประเทศอย่างสม่ำเสมอ และเห็นควรสนับสนุนให้มีการขยายการค้าและการลงทุนระหว่างกัน ๒. ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ๒.๑ การค้าและการลงทุน ทั้งสองฝ่ายจะสนับสนุนความร่วมมือระหว่างหอการค้าและสภาอุตสาหกรรมของทั้งสองประเทศ และตกลงที่จะจัดตั้งคณะทำงานด้านการส่งเสริมธุรกิจไทย-คาซัคสถาน รวมทั้งจะพิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งสภาธุรกิจไทย-คาซัคสถาน การเร่งรัดการเจรจาความตกลงทางการค้า ความตกลงส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน และความตกลงยกเว้นการเก็บภาษีซ้อน ๒.๒ ความร่วมมือด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ฝ่ายไทยพร้อมให้ความร่วมมือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับคาซัคสถานในด้าน SMEs ๒.๓ ความร่วมมือด้านการบินพลเรือน ฝ่ายไทยจะเร่งรัดการพิจารณาคำขอของฝ่ายคาซัคสถานในการเพิ่มเที่ยวบินตรงของ Air Astana จากเมือง Almaty ของคาซัคสถานมากรุงเทพฯ จาก ๕ เที่ยวบิน เป็น ๗ เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ๒.๔ ความร่วมมือด้านน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ฝ่ายคาซัคสถานรับจะจัดส่งข้อมูลกฎระเบียบในการลงทุนด้านน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในคาซัคสถานให้ฝ่ายไทย และทั้งสองฝ่ายเห็นควรแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อเพิ่มความร่วมมือในอนาคต ๒.๕ ความร่วมมือด้านการก่อสร้าง การเคหะ และการบริการชุมชน ฝ่ายคาซัคสถานสนใจที่ต้องการแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์ในด้านการก่อสร้าง การเคหะและการบริการชุมชน โดยเฉพาะเทคโนโลยีการประหยัดพลังงาน ๓. ความร่วมมือด้านการเกษตร ฝ่ายไทยสนใจที่จะร่วมมือด้านการเกษตรกับคาซัคสถาน โดยจะเสนอร่างบันทึกความเข้าใจ (MOU) ความร่วมมือด้านการเกษตรให้ฝ่ายคาซัคสถานพิจารณา ๔. ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ฝ่ายไทยสนใจที่จะร่วมมือด้านการท่องเที่ยวโดยพร้อมแลกเปลี่ยนคณะสื่อมวลชนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างกัน ๕ ความร่วมมือด้านกีฬา ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะร่วมมือในด้านกีฬา โดยฝ่ายคาซัคสถานยินดีให้ความร่วมมือกับฝ่ายไทยในการพัฒนากีฬาฤดูหนาว โดยเฉพาะสถานที่ฝึกกีฬาฤดูหนาว และไทยพร้อมให้ความร่วมมือในการส่งเสริมกีฬามวยไทย ๖. ความร่วมมือด้านวัฒนธรรม ทั้งสองฝ่ายพร้อมร่วมมือในการแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรม โดยฝ่ายไทยจะเสนอร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านวัฒนธรรมให้ฝ่ายคาซัคสถานพิจารณาต่อไป ๗. ความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฝ่ายไทยขอให้คาซัคสถานพิจารณาให้ความร่วมมือเทคโนโลยีนวัตกรรมด้านอวกาศ และเสนอความร่วมมือกับคาซัคสถานในด้านเทคโนโลยีชีวภาพ วัสดุศาสตร์ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยีนาโนและนิวเคลียร์ ซึ่งกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะประสานกับฝ่ายคาซัคสถานต่อไป ๘. ความร่วมมือด้านวิชาการ ทั้งสองฝ่ายจะส่งเสริมความร่วมมือในด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การพัฒนาบุคลากร การจัดการการท่องเที่ยว การเกษตร พลังงาน การควบคุมยาเสพติด เป็นต้น ๙. ความร่วมมือด้านการพัฒนาข้าราชการพลเรือน ฝ่ายคาซัคสถานสนใจที่จะจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านข้าราชการพลเรือนกับสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนของไทย และเสนอให้เข้าร่วมก่อตั้งศูนย์การเรียนรู้และการเผยแพร่ประสบการณ์ด้านข้าราชการพลเรือน ๑๐. ความร่วมมือด้านกฎหมาย ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้มีการเจรจาร่างสนธิสัญญาว่าด้วยการโอนตัวนักโทษ ร่างสนธิสัญญาว่าด้วยการโอนตัวผู้กระทำผิด และความร่วมมือในการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาในคดีอาญา ๑๑. ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการต่อต้านยาเสพติด ทั้งสองฝ่ายจะเร่งรัดการเจรจาร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการควบคุมการค้ายาเสพติด การใช้ยาเสพติด วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท วัตถุคล้ายคลึงและสารเคมีตั้งต้น ๑๒. ความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางทูตและราชการ ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะให้มีการลงนามความตกลงดังกล่าว ในช่วงที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะเยือนคาซัคสถานในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ ๑๓. ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะจัดการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมฯ ไทย-คาซัคสถาน ครั้งที่ ๓ ในช่วงไตรมาสที่ ๓ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่คาซัคสถาน
|
||||||||||||||||||
| 29707 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร | นร05 | 02/11/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขานุการคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรเสนอ ดังนี้
๑. สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร วันจันทร์ที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ ซึ่งพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๔ ปีที่ ๒ ครั้งที่ ๒๔ (สมัยสามัญทั่วไป) วันพุธที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๕ และครั้งที่ ๒๕ (สมัยสามัญทั่วไป) วันพฤหัสบดีที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ รวมทั้งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจบัตรเครดิต พ.ศ. .... ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ๒. สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร วันจันทร์ที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ ซึ่งพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๔ ปีที่ ๒ ครั้งที่ ๒๖ (สมัยสามัญทั่วไป) วันพุธที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ และครั้งที่ ๒๗ (สมัยสามัญทั่วไป) วันพฤหัสบดีที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕
|
||||||||||||||||||
| 29708 | ร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจบัตรเครดิต พ.ศ. .... | นร04 | 02/11/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (ปสส.) วันจันทร์ที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจบัตรเครดิต พ.ศ. .... ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ตามที่สำนักงานเลขานุการ ปสส. เสนอ
|
||||||||||||||||||
| 29709 | การปฏิบัติงานของคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ | นร | 02/11/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า รัฐมนตรีชุดใหม่ที่ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง และได้เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณ เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ขอให้รัฐมนตรีทุกท่านปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุด โดยยึดมั่นในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และผลประโยชน์ของประชาชน รวมทั้งให้ความสำคัญต่อรายละเอียดของนโยบายของรัฐบาลตามที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภาที่ได้ดำเนินการไปแล้ว และที่จะดำเนินการต่อไปให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ให้รายงานข้อมูลผลการดำเนินงานตามแผนและระยะเวลาที่กำหนดไว้ไปยังสำนักงาน ก.พ.ร. ทุกเดือน เพื่อสำนักงาน ก.พ.ร. จะได้บูรณาการข้อมูลการขับเคลื่อนนโยบายด้านต่าง ๆ ของรัฐบาลในภาพรวมต่อไป
|
||||||||||||||||||
| 29710 | แต่งตั้งกรรมการบริหาร กรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ และกรรมการสาขาวิชาการ | วช | 22/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งกรรมการบริหาร กรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ และกรรมการสาขาวิชาการ ๑๒ สาขาวิชาการ ของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ จำนวน ๑๕๔ คน ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางนลินี ทวีสิน) เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. กรรมการบริหาร จำนวน ๕ คน และให้กรรมการบริหารทั้ง ๕ คน เป็นกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติด้วย ๒. กรรมการสาขาวิชาการ จำนวน ๑๔๙ คน รวมกับกรรมการบริหาร จำนวน ๕ คน เป็น ๑๕๔ คน ๓. กรรมการสาขาวิชาการ ๑๒ สาขาวิชาการ ซึ่งแต่งตั้งจากกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ ประกอบด้วย ๓.๑ สาขาวิทยาศาสตร์การภาพและคณิตศาสตร์ ๑๔ คน ๓.๒ สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์ ๑๓ คน ๓.๓ สาขาวิทยาศาสตร์เคมีและเภสัช ๑๒ คน ๓.๔ สาขาเกษตรศาสตร์และชีววิทยา ๑๔ คน ๓.๕ สาขาวิศวกรรมศาสตร์และอุตสาหกรรมวิจัย ๑๕ คน ๓.๖ สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศและนิเทศศาสตร์ ๑๑ คน ๓.๗ สาขาปรัชญา ๑๒ คน ๓.๘ สาขานิติศาสตร์ ๑๐ คน ๓.๙ สาขารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ ๑๐ คน ๓.๑๐ สาขาเศรษฐศาสตร์ ๑๓ คน ๓.๑๑ สาขาสังคมวิทยา ๑๑ คน ๓.๑๒ สาขาการศึกษา ๑๔ คน
|
||||||||||||||||||
| 29711 | ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. .... | นร04 | 22/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (ปสส.) วันจันทร์ที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ ซึ่งให้สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีประสานกันเพื่อแก้ไขร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. .... ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎร ตามที่สำนักงานเลขานุการ ปสส. เสนอ
|
||||||||||||||||||
| 29712 | ร่างพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... | นร05 | 22/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (ปสส.) วันจันทร์ที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ตามที่สำนักงานเลขานุการ ปสส. เสนอ
|
||||||||||||||||||
| 29713 | มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2555 (ครั้งที่ 143) | พน | 22/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบ เห็นชอบ และอนุมัติตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๕ (ครั้งที่ ๑๔๓) เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติระยะยาว (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๗๓) [แผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติและแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติจากการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (ระยะยาว) ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๓] รวมทั้งร่างสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลว (SPA) กับบริษัท Qatar Liquefied Gas Company Limited ประเทศกาตาร์ และหลักเกณฑ์การการจัดหา LNG ระยะยาว ทั้งนี้ ในร่างสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลว (SPA) ให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ลงนามในสัญญาซื้อขายในปริมาณ ๒ ล้านตันต่อปี ภายหลังจากที่ร่างสัญญาดังกล่าวผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุด ๑.๒ เห็นชอบการเลื่อนกำหนดการยกเลิกน้ำมันเบนซิน ๙๑ ออกไปอีก ๓ เดือน จากวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ไปเป็นวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ โดยให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานปรับส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล ๙๑ กับน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ให้มากขึ้น เพื่อจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ให้มากขึ้น และให้กระทรวงพลังงานเร่งประชาสัมพันธ์รณรงค์ให้เกิดการยอมรับการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลในกลุ่มผู้ใช้รถยนต์และรถจักรยานยนต์ให้มากขึ้น รวมทั้งให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกันกำหนดทิศทางเกี่ยวกับพืชเกษตรที่สามารถนำมาเป็นพลังงานได้ โดยพิจารณาถึงศักยภาพและความเป็นไปได้ในการผลิต ๑.๓ เห็นชอบแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติและแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติจากการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (ระยะสั้น) ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙ โดยให้กระทรวงพลังงานจัดทำแผนรองรับกรณีไม่สามารถจัดหาก๊าซธรรมชาติได้ตามแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติระยะยาว (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๗๓) ๑.๔ เห็นชอบโครงการ LNG Receiving Terminal ระยะที่ ๒ วงเงินลงทุนรวม ๒๑,๔๐๐ ล้านบาท รวมทั้งแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ฉบับที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๔๔-๒๕๕๔ (ปรับปรุงเพิ่มเติม) ครั้งที่ ๒ ซึ่งมีวงเงินลงทุนรวมเพิ่มขึ้นจากเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้แล้วอีก ๑๗,๗๐๐ ล้านบาท รวมเป็นเงิน ๒๑๗,๓๗๒ ล้านบาท ๑.๕ เห็นชอบร่างสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลว (SPA) กับบริษัท Qatar Liquefied Gas Company Limited ประเทศกาตาร์ โดยให้ใช้เงื่อนไขการระงับข้อพิพาทโดยวิธีการอนุญาโตตุลาการ ๑.๖ อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน ๑๑ ฉบับ (๑๑ ผลิตภัณฑ์) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดค่ากำลังไฟฟ้าขณะรอใช้งาน ค่ากำลังไฟฟ้าขณะปิดเครื่อง และค่าประสิทธิภาพพลังงาน สำหรับผลิตภัณฑ์จำนวน ๑๑ ผลิตภัณฑ์ ที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อประโยชน์ในการอนุรักษ์พลังงานและเพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสูง อันเป็นการประหยัดพลังงานของประเทศ รวมทั้งเป็นการช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุด เกี่ยวกับการจัดหาก๊าซธรรมชาติจากแหล่งก๊าซธรรมชาติในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนไทย-กัมพูชา ควรเตรียมการดำเนินการเป็นการล่วงหน้า เนื่องจากต้องมีระยะเวลาสำหรับการดำเนินการตั้งแต่การทำความตกลงระหว่างประเทศจนถึงการนำก๊าซธรรมชาติมาใช้งานไม่น้อยกว่า ๑๐ ปี รวมทั้งควรมีแผนรองรับในกรณีที่ไม่สามารถจัดหาก๊าซธรรมชาติได้ตามแผนจัดหาก๊าซธรรมชาติระยะยาวดังกล่าว ส่วนการกำหนดเวลายกเลิกน้ำมันเบนซิน ๙๑ กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนมีระยะเวลาเพียงพอในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||
| 29714 | ขอความเห็นชอบให้ข้าราชการลาเข้าร่วมอุปสมบทในโครงการอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2555 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 12 สิงหาคม 2555 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ 28 กรกฎาคม 2555 | วธ | 22/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ข้าราชการทุกประเภท (ยกเว้นข้าราชการการเมืองและข้าราชการส่วนท้องถิ่น) พนักงานราชการ รวมถึงลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ลาอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๕ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๕ เป็นระยะเวลา ๑๕ วัน (ตั้งแต่เตรียมการอุปสมบทถึงลาสิกขา) โดยไม่ถือเป็นวันลา เสมือนเป็นการปฏิบัติราชการและได้รับเงินเดือนตามปกติ ๑.๒ การใช้สิทธิการลาเพื่อเข้าร่วมอุปสมบทในโครงการฯ ให้สิทธิแก่ข้าราชการ (ยกเว้นข้าราชการการเมืองและข้าราชการส่วนท้องถิ่น) พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจที่เคยลาอุปสมบทระหว่างรับราชการมาแล้ว สามารถลาอุปสมบทเพื่อเฉลิมพระเกียรติตามมติคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้ได้อีก สำหรับผู้ที่ไม่เคยลาอุปสมบทระหว่างรับราชการ หากได้ลาอุปสมบทเพื่อเฉลิมพระเกียรติตามมติคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้แล้ว ไม่มีผลกระทบสิทธิในการลาอุปสมบทในอนาคต ซึ่งเป็นการใช้สิทธิการลาอุปสมบทครั้งแรกตั้งแต่เริ่มราชการ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยยังคงได้สิทธิการลาอุปสมบทและยังคงได้สิทธิในการรับเงินเดือนตามปกติ ตามพระราชกฤษฎีกาการจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน พ.ศ. ๒๕๓๕ ๑.๓ การใช้สิทธิตามมติคณะรัฐมนตรี ผู้ลาจะต้องเข้าร่วมอุปสมบทในโครงการที่ส่วนราชการ หน่วยงานภาครัฐ หรือภาคเอกชนจัดขึ้นเป็นโครงการอย่างชัดเจน และเข้าร่วมอบรมตามหลักสูตรศาสนศึกษา สำหรับผู้บวชระยะสั้นตามที่กรมการศาสนาหรือคณะสงฆ์กำหนด ทั้งนี้ ให้ลาได้ตามระยะเวลาที่กำหนดของโครงการแต่ไม่เกิน ๑๕ วัน หากอุปสมบทเป็นเอกเทศโดยไม่ได้เข้าร่วมโครงการ จะไม่ได้รับสิทธิในการลาดังกล่าว ๒. หากมีส่วนราชการ หรือหน่วยงานอื่น ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนกำหนดจัดโครงการอุปสมบท เนื่องในโอกาสมหามงคลดังกล่าว และมีความประสงค์ให้ข้าราชการเข้าร่วมอุปสมบท ระยะเวลา ๑๕ วัน แต่วันที่ดำเนินการไม่ตรงกัน ให้ได้รับสิทธิในการลาอุปสมบทโดยไม่ถือเป็นวันลาเช่นเดียวกันด้วย ตามความเห็นของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ |
||||||||||||||||||
| 29715 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเงินเดือน เงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประธานกรรมการและกรรมการการเลือกตั้งประธานผู้ตรวจการแผ่นดินและผู้ตรวจการแผ่นดิน ประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และประธานกรรมการและกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สผ | 22/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเงินเดือน เงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประธานกรรมการและกรรมการการเลือกตั้ง ประธานผู้ตรวจการแผ่นดินและผู้ตรวจการแผ่นดิน ประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และประธานกรรมการและกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และให้นำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ แก้ไข ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบด้วยแล้ว เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว โดยเห็นสมควรแก้ไขเพิ่มเติมเหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติ ดังนี้ "โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมบัญชีอัตราเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งของประธานศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประธานกรรมการและกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา ประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และประธานกรรมการและกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน เพื่อให้เหมาะสมกับสภาวะทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป โดยปรับอัตราเงินเดือนเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละสาม ร้อยละห้า ร้อยละสี่ และร้อยละห้า เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับเงินเดือนภาครัฐ และในกรณีที่มีการปรับอัตราเงินเดือนเพิ่มเป็นร้อยละเท่ากันทุกอัตราและไม่เกินร้อยละสิบของอัตราที่ใช้บังคับอยู่ สมควรให้กระทำได้โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา รวมทั้งเปลี่ยนชื่อผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา เพื่อให้สอดคล้องกับชื่อที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้"
|
||||||||||||||||||
| 29716 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) | กค | 22/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ ๐.๐๐๕ โดยน้ำหนัก ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔ ในอัตราภาษี ๐.๐๐๕ บาทต่อลิตร ออกไปอีก ๑ เดือน คือ ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
| 29717 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน 120,000 ล้านบาท) | นร07 | 22/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การจัดสรร/การเบิกจ่าย/ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเอง สำนักงบประมาณจัดสรรสุทธิ เป็นเงิน ๑๑๘,๘๒๐.๑๖๗๔ ล้านบาท ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑๑๓.๕๒๒.๔๐๐๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๑๙.๐๖๗๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๐๒ และผลการเบิกจ่ายจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) เป็นเงิน ๑๐๐,๘๙๙.๑๐๒๗ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๔.๙๒ จากยอดจัดสรร ๑.๒ ผลการดำเนินงาน มิติส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๑๐ กระทรวง ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๘ กระทรวง และมิติจังหวัดที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๕๐ จังหวัด ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๒๓ จังหวัด ๑.๓ การส่งคืนเงินงบประมาณและการใช้จ่ายจากเงินที่แจ้งส่งคืน ส่วนราชการฯ ส่งเงินคืนทั้งสิ้น ๖,๐๑๐.๔๕๐๓ ล้านบาท คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ใช้จ่ายเงินส่งคืนทั้งสิ้น ๕,๗๒๙.๕๙๘๕ ล้านบาท คงเหลือเงินส่งคืนที่ยังไม่ได้มีการอนุมัติ จำนวน ๒๘๐.๘๕๑๘ ล้านบาท เมื่อรวมกับวงเงินคงเหลือจากการพิจารณาจัดสรรต่ำกว่ากรอบวงเงินตามมติคณะรัฐมนตรี จำนวน ๒๕๙.๙๔๐๐ ล้านบาท คงเหลือวงเงินที่จะอนุมัติเพิ่มเติมได้อีกทั้งสิ้น ๕๔๐.๗๙๑๘ ล้านบาท ทั้งนี้ สำนักงบประมาณได้ตรวจสอบข้อมูลการขอรับการจัดสรรงบประมาณงบกลางฯ ที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการ/รายการ ให้ใช้จ่ายจากเงินส่งคืน พบว่ามีส่วนราชการฯ ยังมิได้ขอรับการจัดสรรงบประมาณกลางรายการดังกล่าวเป็นวงเงิน ๖๒๖.๗๖๑๙ ล้านบาท ๒. เห็นชอบให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดเร่งรัดส่วนราชการฯ ภายใต้กำกับที่มีโครงการ/รายการ ซึ่งยังมิได้ดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณงบกลางฯ เร่งดำเนินการจัดทำรายละเอียดให้แล้วเสร็จพร้อมขอรับการจัดสรรงบประมาณโครงการ/รายการดังกล่าว มายังสำนักงบประมาณโดยด่วน
|
||||||||||||||||||
| 29718 | ผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย | นร07 | 22/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ตามที่สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ โดยผลการพิจารณาโครงการ/รายการที่สำคัญมีความจำเป็นต้องดำเนินการภายใต้ข้อจำกัดของวงเงินที่จะสามารถจัดสรรได้ เห็นควรอนุมัติค่าใช้จ่ายจากเงินที่ส่วนราชการส่งคืนงบประมาณ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ดังนี้
๑. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๑.๑ กรมชลประทาน ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมคลองส่งน้ำ เป็นเงิน ๑๓.๐๑๐๕ ล้านบาท ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมคลองระบายน้ำ เป็นเงิน ๑๘.๕๐๐๐ ล้านบาท ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมคันกั้นน้ำ พนังกันน้ำ เป็นเงิน ๒๓.๔๓๐๐ ล้านบาท และค่าก่อสร้างอาคารประกอบประตูระบายน้ำคลองบางกรวย เป็นเงิน ๘๙.๙๓๐๐ ล้านบาท ผูกพันงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นเงิน ๒๑๘.๔๑๐๖ ล้านบาท รวมเป็นเงินค่าก่อสร้างทั้งสิ้น ๓๐๘.๓๔๐๖ ล้านบาท ๑.๒ กรมประมง ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และ พ.ศ. ๒๕๕๕ ด้านการเกษตร เป็นเงิน ๓๖.๙๖๗๗ ล้านบาท ๑.๓ กรมส่งเสริมการเกษตร ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และ พ.ศ. ๒๕๕๕ ด้านการเกษตร เป็นเงิน ๔๗.๕๒๔๗ ล้านบาท ๒. กระทรวงกลาโหม ๒.๑ กองทัพบก ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมและปรนนิบัติรถยนต์บรรทุก ขนาด ๒ ๑/๒ ตัน จำนวน ๔๐๐ คัน เป็นเงิน ๒๐.๐๐๐๐ ล้านบาท ๒.๒ กองทัพเรือ ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติการระบายน้ำในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เป็นเงิน ๙.๕๗๐๐ ล้านบาท ๓. กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมโรงเรียน และสำนักงานพื้นที่เขตการศึกษา (จังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง ชุมพร สุราษฎร์ธานี และสงขลา) เป็นเงิน ๑๐๐.๐๐๐๐ ล้านบาท ๔. กระทรวงสาธารณสุข สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ ได้แก่ ค่าใช้จ่ายงบค้างจ่ายการปฏิบัติการในภาวะภัยพิบัติ เป็นเงิน ๑๒.๘๙๙๓ ล้านบาท ๕. กระทรวงมหาดไทย สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้แก่ โครงการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ประสบอุทกภัยตามข้อเสนอของจังหวัด จำนวน ๘ จังหวัด เป็นเงิน ๑๖๘.๘๐๕๙ ล้านบาท ได้แก่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นเงิน ๒๙.๗๘๐๕ ล้านบาท จังหวัดพัทลุง เป็นเงิน ๒๔.๗๖๐๐ ล้านบาท จังหวัดนราธิวาส เป็นเงิน ๓๓.๓๑๖๐ ล้านบาท จังหวัดปัตตานี เป็นเงิน ๒๑.๐๙๗๘ ล้านบาท จังหวัดสงขลา เป็นเงิน ๙.๖๖๑๖ ล้านบาท จังหวัดระนอง เป็นเงิน ๑๑.๓๐๐๐ ล้านบาท จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นเงิน ๒๐.๐๐๐๐ ล้านบาท และจังหวัดหนองบัวลำภู เป็นเงิน ๑๘.๘๙๐๐ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||
| 29719 | ผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ 13/2555 | วท | 22/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติตามผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ ๑๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประธาน กบอ.เสนอ เกี่ยวกับข้อเสนอโครงการของกรมชลประทาน ๒ โครงการ วงเงินรวม ๗๔๘,๓๘๑,๗๐๐ บาท โดย กบอ. ได้พิจารณาทบทวนตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ [เรื่อง ผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๕] ทั้งนี้ ให้ได้รับการจัดสรรงบประมาณจากเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ (๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) ดังนี้ ๑.๑ โครงการอาคารประกอบประตูระบายน้ำคลองบางกรวย อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี วงเงิน ๓๑๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๑.๒ งานปรับปรุงคันคลองเชียงรากน้อยด้านทิศใต้ ช่วงที่ ๑ และช่วงที่ ๒ วงเงิน ๔๓๒,๓๘๑,๗๐๐ บาท ประกอบด้วยงานปรับปรุงคันคลองเชียงรากน้อยด้านทิศใต้ ช่วงที่ ๑ (กม.๐+๐๖๐ ถึง กม.๒+๓๕๐) วงเงิน ๒๑๔,๑๓๙,๘๐๐ บาท และงานปรับปรุงคันคลองเชียงรากน้อยด้านทิศใต้ ช่วงที่ ๒ (กม.๒+๓๕๐ ถึง กม.๔+๖๕๐) วงเงิน ๒๑๘,๒๔๑,๙๐๐ บาท ๒. เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) ทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับจัดสรรงบประมาณตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้ตามงวดงานที่เกิดขึ้นจริง แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||
| 29720 | สรุปสถานการณ์รวมของภูมิอากาศและน้ำท่วมประจำสัปดาห์ และการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง พ.ศ. 2555 - 2556 | วท | 22/10/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) สรุปสถานการณ์รวมของภูมิอากาศและน้ำท่วมของประเทศไทย ครั้งที่ ๙/๒๕๕๕ ณ วันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. สถานการณ์ภูมิอากาศ ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๕ ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศเย็น ส่วนภาคใต้มีฝนกระจายถึงเกือบทั่วไป และคาดการณ์ว่าในช่วงวันที่ ๒๑-๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ บริเวณความกดอากาศสูงที่ปกคลุมประเทศไทยและทะเลจีนใต้มีกำลังอ่อน แต่ยังคงทำให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนล่าง และภาคตะวันออกมีฝนบางแห่งถึงเป็นแห่ง ๆ ส่วนลมตะวันออกพัดนำความชื้นจากทะเลจีนใต้เข้าปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ ทำให้ภาคใต้มีฝนกระจายถึงเกือบทั่วไป และมีฝนตกหนักบางแห่ง หลังจากนั้นในช่วงวันที่ ๒๓-๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๕ บริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางระลอกใหม่จะแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยและทะเลจีนใต้ ทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีฝนบางแห่งถึงเป็นแห่ง ๆ และอุณหภูมิจะลดลง ๑-๒ องศาเซลเซียส ๒. การบริหารน้ำในเขื่อน การเตรียมรับมือปริมาณน้ำน้อยวิกฤติในเขื่อนลำปาวและเขื่อนห้วยหลวง ปัจจุบันมีปริมาณน้ำกักเก็บเพียง ๒๒% และ ๓๕% ตามลำดับ ปริมาณน้ำกักเก็บลดลงอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งไม่มีน้ำไหลลงเขื่อนตั้งแต่วันที่ ๑๑ และ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นมา ตามลำดับ ในระยะสั้นให้ปรับลดการระบายน้ำเพื่อประหยัดน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง ๓. แนวทางในการแก้ปัญหาภัยแล้ง พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๖ กบอ. ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาฯ จำนวน ๑๗ หน่วยงาน มาร่วมประชุมในวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๕ สรุปแนวทางการแก้ปัญหาฯ โดยยุทธศาสตร์การบริหารจัดการภัยแล้งจะต้องใช้น้ำอย่างประหยัด เน้นการกระจายน้ำเฉพาะพื้นที่ ให้ลำดับความสำคัญกับการใช้น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคและเพื่อการเกษตร กลยุทธ์ในการบริหารจัดการภัยแล้ง ได้แก่ การทำฝนเทียมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (เริ่มดำเนินการแล้ว) การปล่อยน้ำเข้าทุ่งในภาคกลาง (เริ่มดำเนินการแล้ว) การปิดเขื่อนปากมูล (วันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๕) การผันน้ำข้ามลุ่มน้ำ เช่น ลุ่มน้ำน่านไปลุ่มน้ำยม ลุ่มน้ำท่าจีน/แม่กลองไปลุ่มน้ำเจ้าพระยา การสร้างระบบสูบน้ำและส่งน้ำทางท่อ (เฉพาะจุดที่มีน้ำต้นทุนประมาณ ๕๐๐,๐๐๐-๑,๐๐๐,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร อยู่ในระหว่างการสำรวจพื้นที่และการเขียนโครงการ) และเพิ่มระบบน้ำบาดาลเพื่อการบริโภค อุปโภคระดับหมู่บ้าน (อยู่ในระหว่างการสำรวจพื้นที่และเขียนโครงการ)
|
||||||||||||||||||
.....
