ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1488 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 29741 - 29760 จากข้อมูลทั้งหมด 124459 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 29741 | การประชุมระดับรัฐมนตรีของกรอบความร่วมมือประเทศลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | นร11 | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีของกรอบความร่วมมือประเทศลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น ด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม (Mekong Japan Economic and Industrial Cooperation : MJ-CI) ครั้งที่ ๔ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๕ ณ เมืองเสียมราฐ ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยมีเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม และเห็นชอบให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานส่วนราชการที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีของกรอบความร่วมมือ MJ-CI ครั้งที่ ๔ ๑.๑ ที่ประชุมรับทราบผลการประชุมร่วมระหว่างภาคเอกชนและรัฐมนตรีประเทศลุ่มแม่น้ำโขง-ญี่ปุ่น ครั้งที่ ๕ ภายใต้กรอบความร่วมมือ MJ-CI เมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ ณ ประเทศไทย ได้แก่ ความก้าวหน้าการดำเนินงานภายใต้ MJ-CI Action Plan ผลการสำรวจความต้องการของภาคธุรกิจ และยุทธศาสตร์การพัฒนาลุ่มน้ำโขง พ.ศ. ๒๕๕๕ รวมทั้งข้อเสนอจากภาคเอกชนในประเทศลุ่มแม่น้ำโขงและญี่ปุ่นเกี่ยวกับเร่งสนับสนุนการค้าการลงทุนในอนุภูมิภาค ๑.๒ ที่ประชุมเห็นชอบแผนที่นำทาง (Roadmap) เพื่อการพัฒนาลุ่มน้ำโขงภายใต้แผนปฏิบัติการสำหรับการดำเนินงานในด้านความร่วมมือ MJ-CI (Mekong Development Roadmap under the MJ-CI Action Plan) เพื่อใช้เป็นแนวทางการดำเนินงานของกรอบความร่วมมือ MJ-CI จากปัจจุบันถึง พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยครอบคลุมโครงการพัฒนาที่สำคัญ ได้แก่ การพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การพัฒนาคุณภาพถนนตามแนวพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก และแนวพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจตอนใต้ และการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมที่ยังไม่สมบูรณ์ เช่น การก่อสร้างสะพาน Neak Leoung ทางตอนใต้ของกัมพูชาและการพัฒนาเส้นทางเชื่อมต่อไปยังทวาย สหภาพเมียนมาร์ การพัฒนาเส้นทางเชื่อมโยงกับท่าเรือในอนุภูมิภาค และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานไฟฟ้า เป็นต้น การอำนวยความสะดวกการค้าและพัฒนาระบบโลจิสติกส์ เช่น การดำเนินงานด้านศุลกากร การใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้เขตการค้าเสรี และการดำเนินงานตามความตกลงการขนส่งข้ามพรมแดนในลุ่มแม่น้ำโขง เป็นต้น รวมทั้งการสนับสนุนการพัฒนาด้านอุตสาหกรรม ทั้งนี้ แผนที่นำทางดังกล่าวได้ระบุกรอบเวลาการดำเนินงานและผู้ประสานงานและผู้รับผิดชอบหลักสำหรับแต่ละโครงการเพื่อให้เกิดความชัดเจนในการดำเนินงานและการติดตามความก้าวหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๓ ที่ประชุมเห็นชอบประเด็นการดำเนินงานเพิ่มเติมสำหรับแผนปฏิบัติการสำหรับการดำเนินงานในด้านความร่วมมือ MJ-CI (Additional actions to be incorporated into MJ-CI Action Plan) ได้แก่ การพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การพัฒนาโครงข่ายระบบส่งไฟฟ้าและศักยภาพการผลิตไฟฟ้า การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษติละวา (Thilawa) สหภาพเมียนมาร์ เป็นต้น การอำนวยความสะดวกการค้าและพัฒนาระบบโลจิสติกส์ เช่น การใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้เขตการค้าเสรี โดยการจัดสัมมนาและสัมมนาเชิงปฏิบัติการในแต่ละประเทศสมาชิกเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับภาคเอกชน เป็นต้น และการสนับสนุนการพัฒนาด้านอุตสาหกรรม เช่น การจัดทำยุทธศาสตร์และศึกษาแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมในเวียดนามและสหภาพเมียนมาร์ เป็นต้น ๒. การหารือแบบทวิภาคีระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของไทยกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น ผลการหารือ ฝ่ายญี่ปุ่นแสดงความสนใจในการเข้าร่วมลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษของสหภาพเมียนมาร์ทั้งในพื้นที่ติละวาและพื้นที่ทวาย และยินดีที่จะให้ความร่วมมือกับฝ่ายไทยในการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายตกลงให้มีการประสานการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด โดยฝ่ายญี่ปุ่นเสนอให้นาย Shigehiro Tanaka รองอธิบดีกรมนโยบายการค้า กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม เป็นผู้ประสานงานหลักของฝ่ายญี่ปุ่น ส่วนฝ่ายไทยเสนอให้นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นผู้ประสานงานหลักของฝ่ายไทย |
|||||||||||||||||||||
| 29742 | รายงานประจำปี 2554 ของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) | ศธ | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอรายงานประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) [The International Institute for Trade and Development (Public Organization) : ITD] สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. อำนาจหน้าที่ของ ITD คือ การจัดการศึกษาอบรม และให้การสนับสนุนเพื่อการค้นคว้าวิจัยแก่บุคลากรของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชีย ทั้งในด้านการค้าระหว่างประเทศ การเงิน การคลัง การลงทุน การพัฒนา และสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานในหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพสอดคล้องกับกระแสโลกาภิวัตน์และแนวทางการยกเลิกข้อจำกัดทางการค้าต่าง ๆ รวมทั้งให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะในเรื่องการกำหนดนโยบายด้านเศรษฐกิจที่เหมาะสมร่วมกันและมาตรการทางกฎหมายต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับนโยบายดังกล่าว โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมและสนับสนุนความร่วมมือในระดับภูมิภาคเพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ ซึ่ง ITD จะเป็นศูนย์กลางในการจัดฝึกอบรมและสร้างกิจกรรมเสริมศักยภาพต่าง ๆ ร่วมกับสำนักงานเลขาธิการสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา และองค์กรอื่นที่เกี่ยวข้อง ๒. ผลการดำเนินงานของ ITD ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ประกอบด้วย ๒.๑ งานฝึกอบรม ได้ดำเนินการจัดฝึกอบรม ประชุม และสัมมนา โดยร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งสิ้น ๔๑ กิจกรรม อาทิ ร่วมกับธนาคารพัฒนาเอเชียและสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ จัดฝึกอบรมเรื่อง Trade Facilitation and Logistics Development in the GMS ร่วมกับองค์การการค้าโลก สถาบันศึกษาความมั่นคงและนานาชาติ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดฝึกอบรมเรื่อง World Trading System at Risk : Impacts and Implications on National Policies, Firms and Industries และการสัมมนาเรื่อง World Trading System at Risk! Why? What''s next! เป็นต้น ๒.๒ งานวิจัย ได้ดำเนินงานด้านบริการวิชาการรวม ๗ โครงการ ได้แก่ โครงการจัดทำ FTA Guidebook I (Trade in Goods) โครงการศึกษาวิจัยเรื่องการพัฒนาศักยภาพเส้นทาง R3A/E และผลกระทบต่อประเทศไทย โครงการศึกษาวิจัยเรื่องผลกระทบและโอกาสจากมาตรการทางการค้าของสหภาพยุโรปที่ส่งผลต่อการพัฒนาสินค้าและเทคโนโลยีของไทย : กรณีศึกษามาตรการตรวจสอบย้อนกลับอาหารและฉลากร่องรอยคาร์บอนในผลิตภัณฑ์อาหาร โครงการศึกษาวิจัยเรื่องเก็บภาษีคาร์บอน : เครื่องมือลดโลกร้อน โครงการศึกษาวิจัยเรื่องความมั่นคงทางอาหารและพลังงาน โครงการศึกษาวิจัยเรื่องกลไกความช่วยเหลือผู้รับผลกระทบการเปิดเสรีทางการค้า และโครงการแปลและสรุปงานวิชาการเด่นด้านการค้าและการพัฒนาในอาเซียน ๒.๓ งานสารสนเทศและเผยแพร่วิชาการ ดำเนินการเผยแพร่งานและกิจกรรมต่าง ๆ ที่ ITD จัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งปรับปรุงและพัฒนาหน้าเว็บไซต์ มีการประชาสัมพันธ์และสื่อสารข้อมูลองค์กร โดยผู้บริหารและนักวิชาการของ ITD ทั้งกิจกรรมที่ ITD จัดขึ้นและตามที่ได้รับเชิญจากหน่วยงานภายนอก รวมทั้งผ่านสื่อสาธารณะทั่วไป เช่น สื่อวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ เป็นต้น ๓. การตรวจสอบและประเมินผลการดำเนินงานของ ITD โดยคณะอนุกรรมการตรวจสอบและประเมินผล และผู้สอบบัญชีรับอนุญาต ดังนี้ ๓.๑ คณะอนุกรรมการตรวจสอบและประเมินผลได้ดำเนินการสอบทานงบการเงินรายไตรมาสและงบการเงินประจำปี สอบทานแนวทางการบริหารความเสี่ยง สอบทานและทบทวนระเบียบสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) ว่าด้วยการตรวจสอบภายใน พ.ศ. ๒๕๕๑ และประเมินผลการปฏิบัติงานของผู้ตรวจสอบภายในและกำกับดูแลการตรวจสอบภายใน แล้วเห็นว่า ITD ถือนโยบายการกำกับดูแลกิจการที่ดีเป็นสำคัญ มีการบริหารความเสี่ยง มีระบบการควบคุมภายในที่เพียงพอ รายงานทางการเงินแสดงข้อเท็จจริงในส่วนที่เป็นสาระสำคัญครบถ้วนถูกต้องตามมาตรฐานการบัญชี มีการปฏิบัติตามกฎระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี และนโยบายที่คณะกรรมการ ITD กำหนด รวมทั้งไม่พบว่ามีประเด็นเกี่ยวกับความขัดแย้งทางผลประโยชน์ ๓.๒ ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตได้ตรวจสอบงบแสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ และ ๒๕๕๓ งบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน และงบกระแสเงินสดสำหรับปีสิ้นสุดวันเดียวกันของแต่ละปีของ ITD แล้วเห็นว่า มีความถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป
|
|||||||||||||||||||||
| 29743 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นางอัญชลี เครือตราชู) | สธ | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. นางสุรางค์ เดชศิริเลิศ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์การแพทย์ (ชีววิทยา) (นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ทรงคุณวุฒิ) กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ๒. นางอัญชลี เครือตราชู ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขารังสีวิทยา) กลุ่มงานรังสีวิทยา กลุ่มภารกิจวิชาการ โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๕
|
|||||||||||||||||||||
| 29744 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานธนานุเคราะห์ พ.ศ. ..... | พม | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานธนานุเคราะห์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดตั้งสำนักงานธนานุเคราะห์ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้คงวัตถุประสงค์ของสำนักงานธนานุเคราะห์ในการดำเนินกิจการรับจำนำทรัพย์สิน และดำเนินกิจการเกี่ยวกับการรับฝากทรัพย์เพื่อดูแลและช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อย และพิจารณารูปแบบที่เหมาะสมในการจัดตั้งสำนักงานธนานุเคราะห์ให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรพิจารณาทบทวนความคุ้มค่าของการดำเนินกิจการเกี่ยวกับการรับฝากทรัพย์ตามวัตถุประสงค์ของมาตรา ๗ เนื่องจากธุรกิจดังกล่าวในปัจจุบันมีผลตอบแทนที่ไม่สูงมากนัก ในขณะที่สำนักงานธนานุเคราะห์อาจมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้น และร่างมาตรา ๘(๖) การซื้อขายอนุพันธ์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าตามกฎหมายว่าด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า รวมทั้งการก่อภาระหรือสิทธิอันเนื่องมาจากการซื้อขายอนุพันธ์ หรือเข้าผูกพันตามอนุพันธ์ หรือการซื้อขายล่วงหน้าเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการรับจำนำ สมควรได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนดำเนินการ นอกจากนี้ กรณีการขออนุญาตตั้งสถานธนานุเคราะห์ การย้ายสถานธนานุเคราะห์ การเรียกหรือรับดอกเบี้ย ข้อห้ามในการรับจำนำ หน้าที่ของผู้รับจำนำ หรือกรณีอื่นใดตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติโรงรับจำนำ พ.ศ. ๒๕๐๕ ยังคงต้องดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติดังกล่าว เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่เห็นควรพิจารณาถึงผลประกอบการที่ผ่านมาของสำนักงานธนานุเคราะห์ วัตถุประสงค์และเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจ ส่วนแบ่งทางการตลาด และโอกาสในการสร้างมูลค่าของกิจการให้สูงขึ้น รวมทั้งประเมินภาระงบประมาณของรัฐที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นและความคุ้มค่าในการลงทุนทั้งทางด้านการเงินและด้านเศรษฐกิจ รวมถึงปัจจัยผลกระทบต่อผู้ประกอบธุรกิจโรงรับจำนำและเกี่ยวเนื่องรายอื่น นอกจากนี้ การดำเนินกิจการของสำนักงานธนานุเคราะห์ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อการดำเนินกิจการในลักษณะเดียวกันหรือใกล้เคียงกันของส่วนท้องถิ่นและภาคเอกชน และความเป็นไปได้ในการถ่ายโอนภารกิจดังกล่าวให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 29745 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลชะเมา อำเภอปากพนัง และตำบลดอนตรอ ตำบลเชียรเขา อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัด นครศรีธรรมราช ให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลชะเมา อำเภอปากพนัง และตำบลดอนตรอ ตำบลเชียรเขา อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลชะเมา อำเภอปากพนัง และตำบลดอนตรอ ตำบลเชียรเขา อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดิน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
| 29746 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลเวียง ตำบลบ้านแซว อำเภอเชียงแสน และตำบลหนองป่าก่อ ตำบลโชคชัย อำเภอดอยหลวง จังหวัดเชียงราย พ.ศ. .... | คค | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลเวียง ตำบลบ้านแซว อำเภอเชียงแสน และตำบลหนองป่าก่อ ตำบลโชคชัย อำเภอดอยหลวง จังหวัดเชียงราย พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ
กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลเวียง ตำบลบ้านแซว อำเภอเชียงแสน และตำบลหนองป่าก่อ ตำบลโชคชัย อำเภอดอยหลวง จังหวัดเชียงราย เพื่อสร้างและขยายทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๑๒๙ กับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๐๙๘ และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
| 29747 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลโคกสำราญ อำเภอบ้านแฮด จังหวัดขอนแก่น ให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลโคกสำราญ อำเภอบ้านแฮด จังหวัดขอนแก่น ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลโคกสำราญ อำเภอบ้านแฮด จังหวัดขอนแก่น ให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดิน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
| 29748 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลป่ามะนาว อำเภอบ้านฝาง ตำบลคำแคน ตำบลท่าศาลา ตำบลโพนเพ็ก ตำบลนาข่า ตำบลนางาม ตำบลหนองแปน อำเภอมัญจาคีรี และตำบลพระยืน อำเภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลป่ามะนาว อำเภอบ้านฝาง ตำบลคำแคน ตำบลท่าศาลา ตำบลโพนเพ็ก ตำบลนาข่า ตำบลนางาม ตำบลหนองแปน อำเภอมัญจาคีรี และตำบลพระยืน อำเภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลป่ามะนาว อำเภอบ้านฝาง ตำบลคำแคน ตำบลท่าศาลา ตำบลโพนเพ็ก ตำบลนาข่า ตำบลนางาม ตำบลหนองแปน อำเภอมัญจาคีรี และตำบลพระยืน อำเภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
| 29749 | แจ้งผลคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด กรณี นายพงศ์วสิทธิ์ ธนรัตน์ศิริกุล ฟ้องนายกรัฐมนตรี กับพวกรวม 3 คน ต่อศาลปกครองสูงสุด | อส | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดแจ้งผลคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ ฟ. ๗๘/๒๕๕๕ ซึ่งมีคำพิพากษายกฟ้องคดีหมายเลขดำที่ ฟ. ๓๒/๒๕๕๑ ระหว่าง นายพงศ์วสิทธิ์ ธนรัตน์ศิริกุล ผู้ฟ้องคดี นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ คณะรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. ๒๕๕๐
|
|||||||||||||||||||||
| 29750 | รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดภูเก็ต วันที่ 20 มีนาคม 2555 | คค | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคม (สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร) รายงานความก้าวหน้าการดำเนินการตามโครงการ “เมืองท่าดอนสัก” ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามมติคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดภูเก็ต วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕ และที่กระทรวงคมนาคมเสนอเพิ่มเติม สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือน้ำลึก อำเภอดอนสัก จังหวัดสุราษฎร์ธานี กรมเจ้าท่าได้จัดทำขอบเขตการศึกษาความเหมาะสมของโครงการฯ เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ วงเงิน ๓๕ ล้านบาท แต่ไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ ซึ่งกรมเจ้าท่าจะได้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ต่อไป ๒. โครงการพัฒนาระบบขนส่งเชื่อมโยงระหว่างเส้นทาง ๒ ฝั่งทะเล สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรได้รับจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อดำเนินการจ้างศึกษาและออกแบบแนวเส้นทางรถไฟสายใหม่เพื่อการท่องเที่ยวเส้นทางสุราษฎร์ธานี-พังงา-ภูเก็ต ระยะเวลาดำเนินการ ๑๔ เดือน วงเงิน ๑๑๘.๗๐๗ ล้านบาท (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๒๓.๗๔๑ ล้านบาท และผูกพันงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๙๔.๙๖๖ ล้านบาท) อยู่ระหว่างเตรียมการคัดเลือกที่ปรึกษา ๓. โครงการพัฒนาและก่อสร้างสนามบิน อำเภอดอนสัก จังหวัดสุราษฎร์ธานี กรมการบินพลเรือนได้จัดทำขอบเขตการศึกษาความเหมาะสมของโครงการฯ วงเงิน ๑๐ ล้านบาท ให้จังหวัดสุราษฎร์ธานีแล้ว ซึ่งทางจังหวัดจะเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการฯ ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ต่อไป ๔. กระทรวงคมนาคมเสนอเพิ่มเติมว่า โครงการ “เมืองท่าดอนสัก” เป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่งขนาดใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี พังงา และภูเก็ต ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบทางตรงและทางอ้อมทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกิจกรรมทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ จึงเห็นควรสนับสนุนกรมโยธาธิการและผังเมืองจัดทำผังอนุภาคกลุ่มจังหวัดเพื่อบูรณาการการพัฒนาพื้นที่ในด้านระบบเมือง ชุมชน การใช้ประโยชน์ที่ดิน และระบบคมนาคมขนส่ง ให้เกิดความสมดุลของการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ตลอดจนกำหนดพื้นที่ในการพัฒนาให้เหมาะสมและสอดคล้องกับแนวนโยบายของประเทศต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 29751 | ผลการประชุมหารือคณะทำงาน 9 กระทรวง เพื่อติดตามวิกฤตเศรษฐกิจยุโรป ครั้งที่ 10/2555 วันที่ 10 ตุลาคม 2555 | นร11 | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมหารือคณะทำงาน ๙ กระทรวง เพื่อติดตามวิกฤตเศรษฐกิจยุโรป ครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๕ ได้แก่ ภาพรวมงบประมาณรายจ่ายลงทุนของส่วนราชการ แผนการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนของส่วนราชการ แผนการเบิกจ่ายของกองทุนต่างๆ การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจ การแก้ไขปัญหาและอุปสรรคของการลงทุนภาคเอกชน การสำรวจที่ดินของรัฐวิสาหกิจ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปผลการประชุมได้ ดังนี้
๑. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานกระทรวงให้พิจารณาเสนอสินค้าหรือบริการที่เป็นจุดเด่นของแต่ละกระทรวงที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล เพื่อให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์การเสริมภาพลักษณ์และอัตลักษณ์ของประเทศไทยนำไปใช้ในการประชาสัมพันธ์ประเทศ เช่น ข้าวสายพันธุ์ใหม่หรือสายพันธุ์คุณภาพ หรือประเภทหรือชนิดของอาหารและวัตถุดิบที่สอดคล้องกับนโยบายครัวไทยสู่ครัวโลก เป็นต้น ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณ กำหนดแผนการเบิกจ่ายและปรับปรุงรายงานการกำกับการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนเป็นรายไตรมาส เพื่อตรวจสอบความรวดเร็วในการเบิกจ่ายงบประมาณ พร้อมดูแลความโปร่งใสในการเบิกจ่ายให้สอดคล้องกับแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยให้รวมถึงโครงการและแผนงานที่อยู่ระหว่างการดำเนินการด้วย และให้ปรับปรุงแนวทางการประเมินผลการเบิกจ่ายงบประมาณขั้นต่ำที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ ๗๕ โดยเสนอแนวทางที่เป็นไปได้ในการนำงบประมาณของหน่วยงานที่ไม่สามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้ตามเป้าหมาย เพื่อนำไปจัดสรรให้หน่วยงานอื่นที่มีผลการเบิกจ่ายงบประมาณตามเป้าหมาย ๓. ให้สำนักงบประมาณพัฒนาระบบในการติดตามขั้นตอนการเตรียมงบประมาณ เพื่อให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถติดตามความคืบหน้าและรายงานผลการเบิกจ่ายได้รวดเร็วขึ้น และเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณของส่วนราชการ โดยเฉพาะกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งโครงการพัฒนาเมือง และโครงการตั้งจุดตรวจร่วมถาวรในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ๔. ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจัดประชุมหารือกับหัวหน้าส่วนราชการที่รับผิดชอบในแต่ละกองทุน เพื่อพิจารณาผลการดำเนินงานและความคืบหน้าของกองทุนต่าง ๆ รวมทั้งเร่งรัดการเบิกจ่ายของกองทุนต่าง ๆ ๕. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกระทรวงการคลัง จัดทำแผนการลงทุนของรัฐวิสาหกิจเป็นรายไตรมาส และให้แต่ละรัฐวิสาหกิจยืนยันแผนการลงทุนกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทราบภายในวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ รวมทั้งวิเคราะห์ประโยชน์ของโครงการลงทุนต่าง ๆ ในภาพรวม เพื่อประโยชน์ในการประชาสัมพันธ์และสร้างภาพลักษณ์ของประเทศ ๖ ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาปรับปรุงกฎระเบียบด้านการกงสุลที่เป็นอุปสรรคและปัญหาต่อการลงทุน เช่น ใบอนุญาตการทำงาน และวีซ่านักธุรกิจ เป็นต้น ๗. ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเร่งรัดขั้นตอนการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุน รวมทั้งพิจารณาโอกาสการลงทุนจากญี่ปุ่นที่อาจเพิ่มขึ้นเนื่องจากกรณีพิพาทระหว่างญี่ปุ่นกับจีน โดยให้จัดทำแผนการส่งเสริมการลงทุนในระยะยาวที่เชื่อมโยงระหว่างมิติของพื้นที่สาขาการผลิต/บริการ และสัญชาติผู้ลงทุน และรายงานต่อที่ประชุมในการประชุมคราวต่อไป ๘. ให้กระทรวงการคลังจัดทำแผนและมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อส่งเสริมธุรกิจสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค (Regional Operating Headquarter : ROH) ให้สอดคล้องกับแผนการส่งเสริมการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน รวมทั้งศึกษาและวิเคราะห์แนวทางการส่งเสริมให้ภาคเอกชนขยายการลงทุน และศึกษาที่ดินทั้งของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ โดยแยกประเภทที่ดินเป็น ๓ ประเภท ประกอบด้วย ที่ดินที่มีความพร้อมในการพัฒนา ที่ดินที่มีแผนในการพัฒนาแล้ว และที่ดินที่ยังใช้ประโยชน์ไม่เต็มที่ ๙. ให้กระทรวงแรงงานจัดทำมาตรการและแผนงานเพื่อรองรับปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และพิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์การวัดฝีมือแรงงาน โดยประสานกับกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงศึกษาธิการเพื่อจัดทำแนวทางการจัดหาแรงงาน และพัฒนาทักษะแรงงาน โดยเฉพาะด้านภาษา ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการ ๑๐. ให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทำแนวทางการพัฒนาการศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการแรงงาน โดยเฉพาะการศึกษาสายอาชีวศึกษา และพิจารณาแนวทางการส่งเสริมความก้าวหน้าในอาชีพของผู้จบจากสายอาชีวศึกษาให้เหมาะสม ๑๑. ให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการคลัง และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พัฒนาระบบการตรวจคนเข้าเมือง/ตรวจสินค้า ณ จุดขนถ่ายสินค้า (Loading Site) เพื่ออำนวยความสะดวกและรองรับการเชื่อมโยงกับโครงการรถไฟความเร็วสูงที่รัฐบาลกำลังดำเนินการ
|
|||||||||||||||||||||
| 29752 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | ตช | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี จำนวน ๘๙,๒๙๘,๘๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินการจัดตั้งด่านตรวจยาเสพติด สถานีตำรวจภูธรห้วยไร่ จังหวัดแพร่ จำนวน ๓๙,๒๙๘,๘๐๐ บาท และค่าก่อสร้างด่านมั่นคงพร้อมอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ที่จำเป็นในพื้นที่ จังหวัดปัตตานี รวม ๒ แห่ง ได้แก่ ถนนสายเอเชีย ฝั่งขาเข้า และฝั่งขาออก พื้นที่ตำบลท่ากำซำ อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี จำนวน ๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอทำความตกลงรายละเอียดค่าใช้จ่ายกับสำนักงบประมาณโดยตรงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||
| 29753 | โครงการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี | มท | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๑๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. เห็นชอบการดำเนินโครงการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี วงเงินลงทุนรวม ๑,๐๙๔ ล้านบาท แบ่งเป็นเงินกู้ในประเทศ ๘๒๐ ล้านบาท และเงินรายได้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) วงเงิน ๒๗๔ ล้านบาท และให้ กฟภ. กู้เงินในประเทศภายในกรอบวงเงิน ๘๒๐ ล้านบาท เพื่อเป็นเงินลงทุนของโครงการฯ โดยให้ กฟภ. ดำเนินการกู้เงินตามความจำเป็นจนกว่างานจะแล้วเสร็จ และให้รับความเห็นของคณะกรรมการกลั่นกรองฯ และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เห็นควรพิจารณาความเป็นไปได้ในการให้รัฐวิสาหกิจในสังกัดของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเข้ามาร่วมลงทุนเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มของโครงการฯ และลดความซ้ำซ้อนในการลงทุน สำหรับในขั้นตอนการวิเคราะห์ผลตอบแทนของโครงการฯ ยังไม่ได้รวมถึงรายได้อื่น เช่น การให้เช่าสายเคเบิลใต้น้ำ เนื่องจากไม่ได้เป็นภารกิจหลักของ กฟภ. อีกทั้งยังเป็นรายรับที่ไม่แน่นอน ซึ่งในระยะต่อไปหากมีผู้มาขอเช่าใช้ประโยชน์จากสายเคเบิลใต้น้ำจะทำให้ผลตอบแทนทางการเงินเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต นอกจากนี้ เห็นควรพิจารณาดำเนินโครงการฯ ให้มีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและคุณภาพสิ่งแวดล้อมในบริเวณแนวสายเคเบิลใต้น้ำ และพื้นที่ใกล้เคียงน้อยที่สุด และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบต่อแนวปะการังอย่างเคร่งครัด ไปดำเนินการด้วย ๒. เห็นชอบการผ่อนผันการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๓๕ (เรื่อง แผนแม่บทการจัดการปะการังของประเทศในการดำเนินโครงการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี) ทั้งนี้ ให้ กฟภ. หารือกับสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม และให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด เพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อทรัพยากรธรรมชาติและคุณภาพสิ่งแวดล้อมในบริเวณแนวสายเคเบิลใต้น้ำและพื้นที่ใกล้เคียงให้มากที่สุด |
|||||||||||||||||||||
| 29754 | การดำเนินการโครงการตามมติคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดเชียงใหม่ อุดรธานี ภูเก็ต กาญจนบุรี ชลบุรี และสุรินทร์ | นร07 | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปภาพรวมสถานภาพการจัดสรรเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินการโครงการเร่งด่วนตามมติคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดเชียงใหม่ อุดรธานี ภูเก็ต กาญจนบุรี ชลบุรี และสุรินทร์ ณ วันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ณ จังหวัดเชียงใหม่ อุดรธานี ภูเก็ต กาญจนบุรี ชลบุรี และสุรินทร์ รวม ๖ ครั้ง จำนวนทั้งสิ้นรวม ๒๒๔ โครงการ วงเงิน ๕,๖๕๓.๕๙ ล้านบาท หน่วยงานขอรับการจัดสรรงบประมาณแล้วทั้งสิ้น จำนวน ๒๒๓ โครงการ รวมเป็นเงิน ๕,๔๗๔.๗๑ ล้านบาท และสำนักงบประมาณอนุมัติจัดสรรแล้วทั้ง ๒๒๓ โครงการ วงเงิน ๕,๓๖๑.๓๒ ล้านบาท ๒. หน่วยงานขอยกเลิกไม่ขอรับการจัดสรร ๑ โครงการ วงเงิน ๑๕.๐๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำพร้อมระบบกระจายน้ำสนับสนุนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริโครงการขยายผลโครงการหลวงแม่สลอง (เชียงราย) เนื่องจากซ้ำซ้อนกับที่ได้รับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ๓. สำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับโครงการเร่งด่วนตามมติคณะรัฐมนตรีในการประชุมนอกสถานที่ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๖ ครั้ง ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว
|
|||||||||||||||||||||
| 29755 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล) | กค | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งนายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านบริหารธุรกิจในคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
| 29756 | รายงานผลการดำเนินการศึกษาแนวทางการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย และการช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวไร่อ้อย | อก | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานผลการดำเนินการศึกษาแนวทางการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย และการช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวไร่อ้อยในฤดูการผลิตปี ๒๕๕๔/๒๕๕๕ สรุปได้ ดังนี้
๑. ความคืบหน้าการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายทั้งระบบ กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายได้ทำสัญญาว่าจ้างมูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เป็นที่ปรึกษาเพื่อปฏิบัติงานโครงการศึกษาวิจัยแนวทางการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลของไทย โดยมีขอบเขตการศึกษาครอบคลุมประเด็นการปรับปรุงระบบแบ่งปันรายได้ระหว่างชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาลทราย การบริหารจัดการน้ำตาลทรายเพื่อการบริโภคภายในประเทศ การปรับปรุงบทบาทและสร้างความเข้มแข็งของกองทุนฯ การปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ และการปรับปรุงบทบาทหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ซึ่ง TDRI ได้ส่งมอบรายงานการศึกษาฉบับสมบูรณ์แล้ว เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๕ ขณะนี้คณะกรรมการพิจารณาตรวจการรับจ้างอยู่ระหว่างการตรวจรับงานตามสัญญา ๒. ความคืบหน้าการจ่ายเงินช่วยเหลือเพิ่มค่าอ้อยฤดูการผลิตปี ๒๕๕๔/๒๕๕๕ กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายได้ลงนามในสัญญากู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๕ และมีการควบคุม กำกับดูแล โดยให้ชาวไร่อ้อยจัดทำบันทึกการรับเงินช่วยเหลือเพิ่มค่าอ้อยและการยินยอมให้กองทุนฯ บันทึกบัญชีให้ชาวไร่อ้อยเป็นลูกหนี้แยกเป็นแต่ละราย และคณะทำงานควบคุมการผลิตประจำโรงงานน้ำตาลทรายของแต่ละโรงงานที่ประกอบด้วยผู้แทนชาวไร่อ้อย โรงงานน้ำตาลทราย และสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ร่วมตรวจสอบและรับรองความถูกต้อง แล้วนำเสนอกองทุนฯ ตรวจสอบ เพื่อแจ้งให้ ธ.ก.ส. สั่งจ่ายเงินช่วยเหลือเข้าบัญชีชาวไร่อ้อยที่มีสิทธิโดยตรงต่อไป ซึ่งจากรายงานผลการจ่ายเงินเพิ่มค่าอ้อยดังกล่าวของสำนักงานกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย ณ วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๕ ธ.ก.ส. มีการจ่ายเงินช่วยเหลือไปแล้ว จำนวน ๑๕,๐๖๙.๐๖ ล้านบาท (ปริมาณอ้อย ๙๗,๘๕๑,๐๗๐.๔๐ ตัน) จากจำนวนเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มค่าอ้อยทั้งสิ้น ๑๕,๐๘๘.๘๗ ล้านบาท คงเหลืออ้อยที่ยังมิได้รับเงินช่วยเหลืออีก จำนวน ๑๒๘,๖๑๙.๘๐๑ ตัน หรือประมาณร้อยละ ๐.๑๓ ของปริมาณอ้อยที่ส่งเข้าหีบทั้งหมด ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔/๒๕๕๕ ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น ๙๗,๙๗๙,๖๙๐.๒๐๑ ตัน ๓. กระทรวงอุตสาหกรรมได้แต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลการจ่ายเงินช่วยเหลือชาวไร่อ้อยในฤดูการผลิตปี ๒๕๕๔/๒๕๕๕ เพื่อดำเนินการติดตาม ตรวจสอบ และกำกับดูแลการจ่ายเงินช่วยเหลือเพิ่มค่าอ้อยของกองทุนฯ ซึ่งในชั้นนี้ การจ่ายเงินช่วยเหลือดังกล่าวยังไม่มีปัญหาอุปสรรคและข้อร้องเรียนแต่อย่างใด
|
|||||||||||||||||||||
| 29757 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 7/2555 | นร11 | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค (กรอ.) ครั้งที่ ๗/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมีรายละเอียดข้อเสนอเพื่อพิจารณาของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย และเห็นชอบตามมติที่ประชุม กรอ. โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุม รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปผลการประชุมได้ ดังนี้
๑. ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง การส่งเสริมการค้าและการลงทุน ๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ศึกษารายละเอียดและความเหมาะสมในการจัดตั้งสถาบันเฉพาะทางเพื่อทำหน้าที่ในการวิจัยและพัฒนาปาล์มน้ำมันแบบครบวงจร รวมทั้งมาตรการและสิทธิพิเศษเพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุนและแปรรูปผลิตภัณฑ์จากพืชปาล์มน้ำมันไปสู่อุตสาหกรรมขั้นสูงในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ และเสนอคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติพิจารณา นอกจากนี้ ให้พิจารณาในรายละเอียดโครงการรักษาเสถียรภาพราคายางพาราเพื่อประกอบการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามระเบียบและขั้นตอน ๑.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงพาณิชย์พิจารณาเร่งรัดเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติตามกฎหมายป่าไม้ยุโรป (EU FLEGT) และเร่งรัดการออกระเบียบ ข้อกำหนด และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องภายใต้พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ ๑.๓ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับกระทรวงคมนาคม และกระทรวงมหาดไทย รับข้อเสนอการเร่งรัดการดำเนินโครงการพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าภาคใต้ ทุ่งสง ไปศึกษารายละเอียดด้านการจัดการธุรกิจ ผู้บริหารโครงการและการจัดลำดับความสำคัญของกิจกรรมในโครงการ เพื่อประกอบการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี ๑.๔ ให้กระทรวงพลังงานศึกษาในรายละเอียดข้อเสนอเพื่อขอรับการสนับสนุนการพัฒนาโรงงานไฟฟ้าพลังงานชีวมวลเพื่อสร้างพลังงานไฟฟ้าทดแทนและลดมลภาวะของเสียในโรงงานให้ครอบคลุมมาตรการที่ภาคเอกชนเสนอ ๒. ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ๒.๑ ให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดการดำเนินการบำรุงรักษาทางและกิจกรรมฟื้นฟูทางหลวงที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นลำดับแรกให้สอดคล้องเหมาะสมกับวงเงินงบประมาณที่ได้รับ สำหรับการปรับปรุงถนนเพื่อขยายเป็น ๔ ช่องจราจร ให้กรมทางหลวงจัดลำดับความสำคัญของเส้นทางตามเกณฑ์การขยายเพิ่มช่องจราจรเป็น ๔ ช่องจราจร ส่วนการพัฒนาและปรับปรุงเส้นทางสายรองเลียบชายฝั่งอ่าวไทยเป็น ๔ ช่องจราจร ควรให้ความสำคัญในการใช้เป็นเส้นทางเพื่อการสนับสนุนด้านการท่องเที่ยวและการปรับปรุงเส้นทางเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้ถนน โดยขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคมศึกษาแนวทางการก่อสร้างท่าเรือรองรับการขนส่งและการท่องเที่ยวของภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย เพื่อเชื่อมโยงอ่าวไทย-อันดามัน โดยเร่งรัดการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของท่าเรือน้ำลึกเขาประจำเหียง อำเภอสวี จังหวัดชุมพร และศึกษาความเป็นไปได้ในการก่อสร้างท่าเรือที่อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช และท่าเรือที่อำเภอดอนสัก จังหวัดสุราษฎร์ธานี ๓. ข้อเสนอของ กกร. เรื่อง การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๓.๑ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาเร่งรัดแผนการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการแม่น้ำตรัง-ลุ่มน้ำตาปี-แม่น้ำชุมพร ให้แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ และเสนอต่อคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ตามขั้นตอนต่อไป ๓.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณารายละเอียดการขอรับการสนับสนุนโครงการแก้ปัญหาภัยแล้ง/น้ำท่วมของภาคใต้ฝั่งอ่าวไทยเสนอต่อ กบอ. ตามขั้นตอนต่อไป ๓.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณารายละเอียดการขอรับการสนับสนุนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำดี/น้ำดิบของเกาะสมุย และแจ้งผลการดำเนินงานให้ภาคเอกชนทราบ รวมทั้งร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณารายละเอียดการขอรับการสนับสนุนการบริหารจัดการบำบัดน้ำเสียในแหล่งท่องเที่ยวและชุมชนนครขนาดใหญ่ โดยคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อประกอบการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี ๔. ข้อเสนอของ กกร./สทท. เรื่อง การส่งเสริมการท่องเที่ยวและบริการ ๔.๑ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาความเหมาะสมของกลุ่มท่องเที่ยวมหัศจรรย์สองสมุทรตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ เพื่อเสนอคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติพิจารณาประกาศเป็นเขตพัฒนาการท่องเที่ยว พร้อมทั้งแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาการท่องเที่ยวประจำเขต ๔.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณารายละเอียดการขอรับการสนับสนุนโครงการฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่ระเบิดหินเก่าที่รกร้างให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดพัทลุง ๔.๓ ให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการพิจารณาในรายละเอียดการขอรับการสนับสนุนการเพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพทางการแพทย์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพภาคใต้ตอนบน ประกอบด้วยโครงการก่อสร้างโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานีแห่งที่ ๒ โครงการจัดตั้งศูนย์การแพทย์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และโครงการจัดตั้งสถาบันการแพทย์ชั้นสูง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ภาคใต้ตอนบน เพื่อประกอบการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอน ๕. รับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามมติการประชุม กรอ.ภูมิภาค ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และให้ฝ่ายเลขานุการติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานฯ มารายงานให้ทราบเป็นระยะ ๖. รับทราบเรื่องอื่น ๆ ที่ กกร./สภาธุรกิจตลาดทุนไทยเสนอเพิ่มเติม ๖.๑ การเร่งรัดกระบวนการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย ๖.๒ การผลักดันและสนับสนุนให้ บริษัท ปตท. จำกัด เข้ามาลงทุนสร้างสถานีบริการ NGV ที่สอดคล้องกับการขยายท่อก๊าซช่วงขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช-จังหวัดสุราษฎร์ธานี ๖.๓ การเร่งผลักดันร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ให้มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายได้ทันในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ๖.๔ การพิจารณาทบทวนการขยายสิทธิให้นักลงทุนนอกภาคีอาเซียน (Non Party) ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีบริการ (ASEAN Framework Agreement on Services) ๖.๕ การเร่งรัดการเจรจา Thai-EU FTA เพื่อให้มีผลบังคับใช้ก่อนปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อรักษาตลาดและความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดสหภาพยุโรป ๖.๖ การดำเนินโครงการให้ความรู้ด้านการเงินแก่ประชาชนในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้
|
|||||||||||||||||||||
| 29758 | ข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย รวม 4 จังหวัด ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี วันที่ 21 - 22 ตุลาคม 2555 | นร11 | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้กลุ่มอ่าวไทย (จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และพัทลุง) รวม ๔ จังหวัด ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี วันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนงาน/โครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน ๒๗ โครงการ วงเงินรวม ๕๑๗.๓๔ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ จัดส่งให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อสำนักงบประมาณพิจารณาวงเงินงบประมาณที่เหมาะสม โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นต่อไป ๑.๒ เห็นชอบในหลักการของกรอบข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคใต้อ่าวไทย รวม ๔ จังหวัด ๙๖ โครงการ วงเงินรวม ๔๐,๒๐๐.๙๙ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานรับผิดชอบรับไปพิจารณาศึกษาความเหมาะสม และจัดทำรายละเอียดแผนงาน/โครงการ รวมทั้งดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้วแต่กรณี เพื่อให้สำนักงบประมาณใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณประจำปีตามลำดับความสำคัญของแผนงาน/โครงการตามขั้นตอนต่อไป ๑.๓ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสั่งการเพิ่มเติมของนายกรัฐมนตรีจากการประชุมหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัด เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ไปดำเนินการโดยเร็วต่อไป ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปดำเนินการ โดย ๒.๑ โครงการปรับปรุงสภาพแวดล้อมบริเวณวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร และโครงการวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นมรดกโลก ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติบูรณาการแนวทางการดำเนินโครงการร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนของงานโยธา การป้องกันน้ำท่วม และการดำเนินการเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกให้เหมาะสมชัดเจน เพื่อนำเสนอสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาในรายละเอียดตามขั้นตอนต่อไป ๒.๒ โครงการที่เกี่ยวกับการก่อสร้างและปรับปรุงทางหลวงสายเอเชีย (สาย ๔๑) จำนวน ๒ โครงการ ให้กระทรวงคมนาคมบูรณาการและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินการก่อสร้างทางหลวงดังกล่าวตลอดทั้งสายทางมีการเชื่อมต่อในแต่ละช่วงที่เหมาะสมและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการใช้งาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ โดยให้จัดทำรายละเอียดโครงการ แล้วส่งให้สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒.๓ โครงการต่าง ๆ ตามพระราชดำริ ของจังหวัดชุมพร ให้จังหวัดชุมพรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการกิจกรรมและแผนการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องร่วมกับคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และเผยแพร่ข่าวสารการดำเนินโครงการให้ประชาชนทราบโดยทั่วกันด้วย
|
|||||||||||||||||||||
| 29759 | ร่างพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. .... | สธ | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมสาระสำคัญบางประการในร่างพระราชบัญญัติฯ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป สำหรับสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติฯ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้ยกเลิกพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. ๒๕๒๓ ๑.๒ กำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการเกี่ยวกับการประกาศชื่อโรคติดต่อ โรคติดต่ออันตราย และโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง การแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ การออกกฎกระทรวง ประกาศ และระเบียบของรัฐมนตรี อธิบดีกรมควบคุมโรค ผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้ ๑.๓ กำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายโรคติดต่อแห่งชาติ ประกอบด้วยนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ กรรมการโดยตำแหน่ง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๑.๔ กำหนดให้มีคณะกรรมการป้องกันควบคุมโรคติดต่อส่วนกลาง คณะกรรมการป้องกันควบคุมโรคติดต่อจังหวัด และคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีองค์ประกอบตามที่กำหนด โดยให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๑.๕ กำหนดให้กรมควบคุมโรคทำหน้าที่เป็นหน่วยงานธุรการและงานเลขานุการของคณะกรรมการนโยบายโรคติดต่อแห่งชาติ และเป็นหน่วยงานกลางในการเฝ้าระวังป้องกันควบคุมโรคติดต่อของประเทศ โดยให้มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๑.๖ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเฝ้าระวังโรคติดต่อและการป้องกันควบคุมโรคติดต่อ ๑.๗ กำหนดให้มีคณะกรรมการป้องกันควบคุมโรคติดต่อประจำช่องทางเข้า ออกระหว่างประเทศ โดยให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๑.๘ กำหนดให้มีคณะกรรมการฯ หรือเจ้าพนักงานสาธารณสุขซึ่งประจำช่องทาง ด่านตรวจคนเข้าเมือง เขตท่า สถานี ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดให้เป็นด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศมีอำนาจหน้าที่และดำเนินการตามที่กำหนด ๑.๙ กำหนดให้มีการจ่ายค่าทดแทนกรณีการปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติตามประกาศหรือคำสั่งของเจ้าพนักงานที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของผู้หนึ่งผู้ใด ๑.๑๐ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการอุทธรณ์คำสั่งของเจ้าพนักงาน และกำหนดบทกำหนดโทษ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการที่เห็นควรมีการเผยแพร่ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคติดต่อ โดยเฉพาะโรคติดต่อใหม่ ๆ ที่มีการระบาดที่รวดเร็วโดยไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรคหรือโรคระบาดอย่างใดอย่างหนึ่ง และวิธีการควบคุมโรคติดต่อ ให้แก่ประชาชนในชุมชน สถานศึกษา สถานประกอบการหรือสถานที่อื่นใดที่พบการระบาดของโรคติดต่อ เพื่อเป็นการควบคุมไม่ให้โรคนั้นแพร่กระจาย และสร้างพฤติกรรมอนามัยที่ดี ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 29760 | นโยบายและมาตรการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี 2556 | พณ | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการกำหนดนโยบายและมาตรการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๕๖ ตามมติคณะกรรมการนโยบายอาหาร ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ (ครั้งที่ ๗๔) เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๕ ที่มีมติเห็นชอบการกำหนดนโยบายและมาตรการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ การนำเข้าตามความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area : AFTA) และโครงการลงทุนเกษตรแบบมีสัญญากับประเทศเพื่อนบ้าน (Contract Farming) ภายใต้ยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิระวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (Ayerawady-chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy : ACMECS) ภาษีร้อยละ ๐ กำหนดมาตรการบริหารนำเข้าโดยให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) นำเข้าได้ตลอดทั้งปี โดยให้ อคส. จัดทำแผนการจัดซื้อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ด้านการผลิต การตลาด ภาวะราคาและความต้องการใช้ เพื่อไม่ให้กระทบต่อราคาผลผลิตในประเทศ และให้ผู้นำเข้าทั่วไปนำเข้าได้ช่วงเดือนมีนาคม-กรกฎาคม และต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดมาตรฐานควบคุมการนำเข้าตามพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.ศ. ๒๕๒๕ ๑.๒ การนำเข้าตามความตกลงองค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) ภาษีนำเข้าในโควตาร้อยละ ๒๐ ปริมาณโควตา ๕๔,๗๐๐ ตัน โดยให้ อคส. เป็นผู้นำเข้าไม่จำกัดช่วงเวลานำเข้า ภาษีนำเข้านอกโควตาร้อยละ ๗๓ และค่าธรรมเนียมพิเศษตันละ ๑๘๐ บาท ๑.๓ การนำเข้าตามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น ไทย-นิวซีแลนด์ (Thailand-New Zealand Closer Economic Partnership : TNZCEP) ภาษีร้อยละ ๐ ยกเว้นการกำหนดปริมาณนำเข้า ไม่ต้องขออนุญาตนำเข้าและไม่ต้องปฏิบัติตามมาตรการในการจัดระเบียบการนำเข้า ๑.๔ การนำเข้าตามความตกลงการค้าเสรี ไทย-ออสเตรเลีย (Thailand-Australia Free Trade Agreement : TAFTA) ภาษีในโควตาร้อยละ ๙.๓๓ ปริมาณโควตา ๘,๐๘๑.๖๘ ตัน การบริหารการนำเข้าตาม WTO ภาษีนอกโควตาร้อยละ ๖๕.๗ ๑.๕ การนำเข้าตามความตกลงการค้าเสรีไทย-ญี่ปุ่น (Japan-Thailand Economic Partnership Agreement : JTEPA) ภาษีในโควตาร้อยละ ๐ ปริมาณโควตาและการบริหารการนำเข้าตาม WTO ภาษีนอกโควตาร้อยละ ๗๓ ๑.๖ การนำเข้าตามความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ญี่ปุ่น (ASEAN-Japan Comprehensive Economic Partnership : AJCEP) ๑ มกราคม-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ ภาษีในโควตาร้อยละ ๑๐.๙๐ และ ๑ เมษายน-๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ภาษีในโควตาร้อยละ ๙.๑๐ ปริมาณโควตาและการบริหารการนำเข้าตาม WTO ภาษีนอกโควตาร้อยละ ๗๓ ๑.๗ การนำเข้าตามความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-เกาหลี (ASEAN-Korea Free Trade Agreement : AKFTA) ภาษีในโควตาร้อยละ ๖.๖๗ ปริมาณโควตาและการบริหารการนำเข้าตาม WTO ภาษีนอกโควตาร้อยละ ๗๓ ๑.๘ การนำเข้าทั่วไป (ประเทศนอกข้อตกลง) ภาษีนำเข้ากิโลกรัมละ ๒.๗๕ บาท ค่าธรรมเนียมพิเศษตันละ ๑,๐๐๐ บาท ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ตรวจสอบ บริหารจัดการสต๊อค (stock) และดำเนินการระบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้เหมาะสมเป็นประโยชน์สูงสุด และไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อราคาผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายในประเทศ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง กรอบการระบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ตามโครงการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๒ สำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์) ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรทบทวนและขยายกำหนดช่วงระยะเวลาการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้านโดยผู้นำเข้าทั่วไป สำหรับปี ๒๕๕๖ เพิ่มเติมจากเดิมที่กำหนดไว้เฉพาะช่วงเดือนมีนาคม-กรกฎาคม เพื่อลดต้นทุนในการผลิตอาหารสัตว์ของไทย และเมื่อ อคส. จัดทำแผนการจัดซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เสร็จแล้ว ให้แจ้งจังหวัดเพื่อประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรในพื้นที่ทราบ โดยการจัดทำแผนการจัดซื้อและการดำเนินการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ดังกล่าว ให้พิจารณาดำเนินการอย่างรอบคอบ โดยรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องให้ครบถ้วนเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาดำเนินการ นอกจากนี้ ควรติดตามผลการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากต่างประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถบริหารจัดการราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศไม่ให้ตกต่ำ รวมทั้งมีมาตรการเข้มงวดต่อการลักลอบนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อย่างผิดกฎหมายของประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับเกษตรกรภายในประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
.....
