ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1490 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 29781 - 29800 จากข้อมูลทั้งหมด 124459 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 29781 | การจ่ายเงินช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการเก็บกักน้ำของเขื่อนภูมิพล ปี 2554 | พน | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอมติคณะกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ในการประชุมครั้งที่ ๙/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๕ ซึ่งเห็นชอบในหลักการให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จ่ายเงินช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการเก็บกักน้ำของเขื่อนภูมิพล ปี ๒๕๕๔ ทั้งในที่ดินที่มีเอกสารสิทธิและไม่มีเอกสารสิทธิในเขตนิคมสร้างตนเองเขื่อนภูมิพลและสหกรณ์นิคมแม่แจ่ม ที่อยู่นอกเขตหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (นสล.) และอยู่ต่ำกว่าระดับ + ๒๖๐.๐๐ ม.รทก. โดยจ่ายเงินช่วยเหลือค่าต้นไม้และพืชผลที่เสียหายในอัตราต่อต้น ตามชนิด และขนาดของต้นไม้ที่เสียหายจริง ซึ่งได้ดำเนินการสำรวจไว้แล้ว ในหลักเกณฑ์และอัตราตามบัญชีค่าทดแทนต้นไม้ของ กฟผ. ที่ใช้ในปี พ.ศ. ๒๕๔๙ โดยลดลงร้อยละ ๒๕ ใช้งบทำการของ กฟผ. วงเงินประมาณ ๔๓๐ ล้านบาท โดยมีเงื่อนไข ดังนี้ ๑.๑ การรับเงินช่วยเหลือจะต้องมีเงื่อนไขข้อตกลงที่ผูกพันตามกฎหมายว่าผู้รับเงินช่วยเหลือจะไม่เรียกร้องค่าเสียหายจากการเก็บกักน้ำของเขื่อนภูมิพลอีกต่อไป และผู้มีเอกสารสิทธิในที่ดินจะยินยอมขายที่ดินให้แก่ กฟผ. ในราคาประเมินทุนทรัพย์เพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิ ๑.๒ เกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบที่เป็นเจ้าของต้นไม้และพืชผลที่เสียหาย ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินที่ครอบครองอยู่โดยไม่มีเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดินในเขตนิคมสร้างตนเองเขื่อนภูมิพลและสหกรณ์นิคมแม่แจ่ม เนื้อที่ประมาณ ๑,๐๐๐ ไร่ เมื่อรับเงินช่วยเหลือแล้ว ผู้ครอบครองที่ดินจะต้องสละสิทธิการครอบครองเพื่อเพิกถอนสิทธิครอบครองที่ดินคืนให้แก่รัฐสำหรับใช้เป็นเขตน้ำท่วมถึง โดยผู้ครอบครองที่ดินจะต้องทำบันทึกส่งมอบการครอบครองที่ดินให้แก่รัฐในวันที่รับเงินช่วยเหลือจาก กฟผ. ๒. ให้ กฟผ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า กฟผ. ควรดำเนินการตามแนวทางการแก้ไขปัญหาและปฏิบัติตามเงื่อนไขในการจ่ายเงินช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบอย่างเคร่งครัด เพื่อให้เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบได้รับความช่วยเหลือโดยเร็วและเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ไปดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 29782 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "บทบาทของภาคประชาสังคมในการส่งเสริมการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม" | สสป | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "บทบาทของภาคประชาสังคมในการส่งเสริมการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม" โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ความเห็นและข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี ๑.๑ รัฐบาลควรมียุทธศาสตร์การปลูกฝังจิตสำนึกของคนไทยในเรื่องประชาสังคมให้คนไทยทุกคนมีจิตสำนึกว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของสังคม จะต้องมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมและสร้างสรรค์สังคมให้สังคมของเรามีความสงบเรียบร้อย เป็นสังคมคุณธรรม มีความเมตตาเอื้ออาทรต่อกัน ๑.๒ รัฐบาลควรมียุทธศาสตร์การรวมกลุ่มที่หลากหลายโดยความสมัครใจ เป็นองค์การประชาสังคมซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อประชาชนและสังคมอย่างชัดเจนและแท้จริง มีการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพ มีการจัดการที่มีประสิทธิผล มีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ และเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของประชาชน ๑.๓ รัฐบาลควรมียุทธศาสตร์ส่งเสริมความเข้มแข็งขององค์การประชาสังคม โดยให้การส่งเสริมทั้งในด้านการเงิน วัสดุอุปกรณ์ วิชาการ ขวัญและกำลังใจ เพื่อให้องค์การประชาสังคมสามารถบริหารและดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้ประสิทธิผล ๑.๔ รัฐบาลควรมียุทธศาสตร์ส่งเสริมและพัฒนาเครือข่ายประชาสังคม ควรมีการตราพระราชบัญญัติจัดตั้งองค์การประชาสังคม ทั้งในระดับชาติ และในระดับจังหวัด ให้มีกลไกขององค์การประชาสังคมเป็นองค์การประชาสังคมทั้งในระดับชาติและระดับจังหวัด โดยมีกฎหมายรับรองและมีงบประมาณสนับสนุน ๑.๕ รัฐบาลควรมียุทธศาสตร์ส่งเสริมอาสาสมัครเพื่อสังคม ซึ่งเป็นบุคคลซึ่งอาสาเข้ามาช่วยเหลือสังคมด้วยความสมัครใจ เสียสละ โดยการพัฒนาอาสาสมัครให้มีความรู้ ความสามารถ อุดมการณ์และคุณธรรม เพื่อจะได้เป็นกำลังสำคัญของสังคมในการป้องกันแก้ไขปัญหาสังคม การพัฒนาสังคม การส่งเสริมความมั่นคงของชาติ ๑.๖ รัฐบาลควรมียุทธศาสตร์การส่งเสริมธุรกิจเพื่อสังคม เพื่อส่งเสริมสนับสนุนธุรกิจเอกชนให้มีความรับผิดชอบต่อสังคม Corporate Social Responsibility หรือ CSR มีส่วนร่วมในการป้องกันแก้ไขปัญหาสังคม การพัฒนาสังคม การส่งเสริมความมั่นคงของชาติ เพื่อร่วมกันสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมคุณธรรม สังคมที่ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข ๑.๗ รัฐบาลควรมียุทธศาสตร์ระบบพัฒนาการประสานงาน ระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ที่ส่งเสริมประชาสังคม คือ ภาครัฐ ภาคธุรกิจเอกชน ภาคประชาสังคม และภาคประชาชน เพื่อการผนึกกำลังของภาคส่วนที่สำคัญของสังคมทั้ง ๔ ภาคส่วน ให้มีการประสานงาน ร่วมมือและร่วมใจกันอย่างใกล้ชิด ๒. ความเห็นและข้อเสนอแนะต่อองค์การประชาสังคม ๒.๑ องค์การเอกชนควรจะมีการพัฒนาให้เป็นองค์การประชาสังคมที่สร้างสรรค์และพึงประสงค์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประชาชนและสังคมอย่างชัดเจนและแท้จริง การบริหารงานที่มีประสิทธิภาพ มีการจัดการที่มีประสิทธิผล มีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ และเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของประชาชน ๒.๒ องค์การประชาสังคมจะต้องพัฒนาองค์การให้มีความเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพในการบริหารและการจัดการ เป็นธรรมาภิบาล โปร่งใส ตรวจสอบได้ คณะกรรมการขององค์การจะต้องเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ ความเสียสละ ความซื่อสัตย์สุจริต ๒.๓ องค์การประชาสังคมจะต้องดำเนินงานให้เป็นประโยชน์แก่ประชาชน สังคม และประเทศชาติ มีบทบาทที่สำคัญในการป้องกันแก้ไขปัญหาสังคม การพัฒนาสังคม การส่งเสริมการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญในการพัฒนาประเทศ ๒.๔ องค์การประชาสังคมควรส่งเสริมสนับสนุนอาสาสมัครเพื่อสังคม เพื่อให้มีความรู้ ความสามารถ มีอุดมการณ์ มีความเสียสละ ยกย่อง ให้ขวัญและกำลังใจแก่อาสาสมัครเพื่อสังคมที่มีผลงานดีเด่น ที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน สังคม และประเทศชาติ ๒.๕ องค์การประชาสังคมควรส่งเสริมการปลูกจิตสำนึกและค่านิยมเกี่ยวกับการให้ การมีความสุขด้วยการให้ ตามพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่พระราชทานเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๔๕ โดยควรส่งเสริมสนับสนุนการเผยแพร่และการปฏิบัติตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริ ๒.๖ องค์การประชาสังคมควรส่งเสริมความมั่นคงของสถาบันชาติ สถาบันศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ เผยแพร่ความสำคัญ รวมทั้งแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อสถาบันทั้งสาม ๒.๗ องค์การประชาสังคมควรมีบทบาทและส่วนร่วมในการส่งเสริมการศึกษา เพื่อให้การจัดการศึกษาของไทยมีคุณภาพ ๒.๘ องค์การประชาสังคมควรมีบทบาทและส่วนร่วมในการส่งเสริมศาสนาโดยเฉพาะพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติ ๒.๙ องค์การประชาสังคมควรมีบทบาทและส่วนร่วมในการส่งเสริมวัฒนธรรมรณรงค์และร่วมกันอนุรักษ์และพัฒนาวัฒนธรรมอันดีงามของชาติ ส่งเสริมค่านิยมที่ถูกต้องและพึงประสงค์
|
|||||||||||||||||||||
| 29783 | ร่างแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมอาเซียนต่อการประชุมระดับสูง ระหว่างสมัยการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ครั้งที่ 11 | ทส | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมอาเซียนต่อการประชุมระดับสูง ระหว่างสมัยการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ครั้งที่ ๑๑ [DRAFT JOINT STATEMENT OF ASEAN ENVIRONMENT MINISTERS FOR THE ELEVENTH MEETING OF THE CONFERENCE OF THE PARTIES TO THE CONVENTION ON BIOLOGICAL DIVERSITY (CBD-COP11)] โดยสาระสำคัญของร่างแถลงการณ์ร่วมฯ เป็นการเน้นย้ำถึงพันธะกิจและเจตนารมณ์ซึ่งสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในฐานะภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ในการดำเนินการเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งในภูมิภาคในการดำเนินการเพื่อบรรลุตามวัตถุประสงค์ของอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ และแผนงานการจัดตั้งประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural Blueprint) สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๘ การให้การรับรองพิธีสารนาโงยาว่าด้วยการเข้าถึงและแบ่งปันผลประโยชน์จากทรัพยากรพันธุกรรม เสริมสร้างความตระหนักในคุณค่าและความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพ ตลอดจนการบริการทางระบบนิเวศ และการบูรณาการเรื่องการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพเข้าสู่การลดระดับความยากจน กระตุ้นให้มีความพยายามอย่างจริงจังที่จะปกป้อง อนุรักษ์ และใช้ความหลากหลายทางชีวภาพของอาเซียนอย่างยั่งยืน โดยดำเนินตามแผนกลยุทธ์เพื่อการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพสำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๖๓ และเป้าหมายไอจิว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ตระหนักว่าทศวรรษแห่งความหลากหลายทางชีวภาพเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยส่งเสริมการดำเนินงานของภาคีอนุสัญญาฯ ให้บรรลุตามแผนกลยุทธ์เพื่อความหลากหลายทางชีวภาพ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการไปได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารในข้อ ๑ กับรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมในระหว่างการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ครั้งที่ ๑๑ ในระหว่างวันที่ ๑๖-๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ ณ เมืองไฮเดอราบาด สาธารณรัฐอินเดีย |
|||||||||||||||||||||
| 29784 | การทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษา (MOU) ระหว่างศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) กับองค์กร Muhammadiyah ของสาธารณรัฐอินโดนีเซีย | นร52 | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษา (MOU) ระหว่างศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) กับองค์กร Muhammadiyah ของสาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยให้เลขาธิการ ศอ.บต. เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ตามที่ ศอ.บต. เสนอ ทั้งนี้ ร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ เป้าหมายของการร่วมมือ คือ การส่งเสริมไมตรีจิต มิตรภาพที่ดี และความเข้าใจซึ่งกันและกัน รวมทั้งความร่วมมืออันแน่นแฟ้น โดยการมอบทุนการศึกษาให้นักศึกษาไทยเพื่อการยอมรับในคุณภาพและการอยู่ร่วมกัน ๑.๒ ทุนการศึกษา องค์กร Muhammadiyah มอบทุนการศึกษา (๙ ภาคการศึกษา) ให้แก่นักเรียนไทยในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาในสาขาวิชาต่าง ๆ (ยกเว้นบางคณะ) จำนวน ๒๕๗ ทุน โดยยกเว้นค่าเล่าเรียน (๓ ปีครึ่ง) และค่าเรียนภาษาอินโดนีเซียเป็นเวลา ๔ เดือน ก่อนเดินทางไปศึกษาที่ประเทศอินโดนีเซีย และจัดให้เรียนภาษาอินโดนีเซีย ๓ เดือน ณ ประเทศอินโดนีเซีย แต่ไม่ให้ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าใช้จ่ายส่วนตัว และค่าเครื่องบินไป-กลับ ๑.๓ การคัดเลือก ศอ.บต. ระบุคุณสมบัติของผู้สมัครรับทุน โดยใช้คะแนน O-NET และ A-NET และองค์กร Muhammadiyah จะส่งผู้แทนมาสัมภาษณ์และคัดเลือกผู้สมัคร ณ ศอ.บต. จังหวัดยะลา กองการต่างประเทศ ๑.๔ บันทึกความเข้าใจฯ จะเขียนขึ้นใหม่ในระยะเวลา ๕ ปีข้างหน้า โดยผ่านการลงมติภายใน ๖ เดือนก่อนวันหมดอายุ ๒. ให้ ศอ.บต. รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. เกี่ยวกับการจัดทำบันทึกความเข้าใจฯ ควรระบุพันธะผูกพันภายหลังจากนักศึกษาผู้รับทุนสำเร็จการศึกษาแล้ว เช่น ให้กลับมาประกอบอาชีพ ณ ภูมิลำเนาของตน เป็นต้น และให้ความสำคัญกับการให้ข้อมูลผู้รับทุนที่จะเลือกศึกษาในสาขาวิชาที่ต้องกลับมาสอบใบประกอบวิชาชีพในประเทศไทยหลังสำเร็จการศึกษาว่าจะต้องเลือกสถานศึกษาที่ได้รับการรับรองวิทยฐานะ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาภายหลังสำเร็จการศึกษาแล้ว ไปประกอบการพิจารณาด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 29785 | การขยายเวลาพำนักในราชอาณาจักรไทย รวม 90 วัน สำหรับกรณีเดินทางเข้ามารับการรักษาพยาบาล | นร09 | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมร่วมระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ และธนาคารแห่งประเทศไทย ในการให้คนต่างด้าวซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อรับการรักษาพยาบาลสามารถเปิดบัญชีเงินฝากกับสถาบันการเงินในประเทศไทย ผลการประชุมปรากฏว่า เมื่อพิจารณาหลักเกณฑ์การให้คนต่างด้าวซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อการรักษาพยาบาลและส่งเสริมการท่องเที่ยวของธนาคารแห่งประเทศไทย ประกอบกับกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องแล้ว คนต่างด้าวซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อรับการรักษาพยาบาลสามารถเปิดบัญชีเงินฝากกับสถาบันการเงินในประเทศไทยได้ โดยไม่มีข้อจำกัดหรือเงื่อนไขในเรื่องระยะเวลาในการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
| 29786 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร07 | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อหนี้ผูกพันรายการใหม่ที่มีวงเงินรวมไม่เกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท จำนวน ๑,๐๒๙ รายการ เป็นเงินงบประมาณรายจ่ายของงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๑๗,๘๙๐.๘ ล้านบาท จากวงเงินภาระผูกพันรวมทั้งสิ้นจำนวน ๙๗,๘๑๙.๔ ล้านบาท สำหรับรายการก่อหนี้ผูกพันรายการใหม่ที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป จำนวน ๑๘ รายการ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นเจ้าของเรื่องดำเนินการตามระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติเป็นกรณี ๆ ไปอีกครั้งหนึ่ง ๒. อนุมัติให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นที่ไม่สามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) ข้อ ๑.๖ กำหนดให้รายการรายจ่ายลงทุนที่จะขอผูกพันข้ามปีงบประมาณทุกรายการต้องได้รับจัดสรรงบประมาณในปีแรกเป็นจำนวนเงินไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๒๐ ของวงเงินรายจ่ายส่วนที่เป็นเงินงบประมาณทั้งสิ้นของรายการนั้น ๆ โดยไม่รวมเงินเผื่อเหลือเผื่อขาด สามารถดำเนินการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณได้ ๓. อนุมัติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักพระราชวัง และสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เปลี่ยนแปลงรายละเอียดของรายการและวงเงินที่กำหนดไว้ในเอกสารงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๔. รายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่เสนอในครั้งนี้ หากเป็นรายการที่จะต้องจ่ายในรูปของเงินตราต่างประเทศ เช่น รายการค่าเช่าบ้าน ค่าเช่าอาคารสำนักงาน และค่าเช่าทรัพย์สินในต่างประเทศ ฯลฯ ให้สำนักงบประมาณสามารถพิจารณาอนุมัติวงเงินผูกพันที่เปลี่ยนแปลงไปจากที่ได้รับอนุมัติเนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยน ในกรณีที่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นนั้น ๆ สามารถปรับแผนการใช้จ่ายจากงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบอีก ๕. เนื่องจากพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ มีผลบังคับใช้แล้ว จึงเห็นควรให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นเร่งรัดดำเนินการให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยเฉพาะรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ โดยให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับดูแลและเร่งรัดการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนฯ และมีการติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||
| 29787 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลดอนตรอ และตำบลเชียรเขา อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลดอนตรอ และตำบลเชียรเขา อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลดอนตรอ และตำบลเชียรเขา อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดิน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
| 29788 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลเชียรเขา ตำบลสวนหลวง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ และตำบลท้องลำเจียก อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัด นครศรีธรรมราช ให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลเชียรเขา ตำบลสวนหลวง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ และตำบลท้องลำเจียก อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดิน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลเชียรเขา ตำบลสวนหลวง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ และตำบลท้องลำเจียก อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้เป็นเขตโครงการจัดรูปที่ดิน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
| 29789 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลเวียง ตำบลบ้านโป่ง ตำบลป่างิ้ว และตำบลแม่เจดีย์ใหม่ อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลเวียง ตำบลบ้านโป่ง ตำบลป่างิ้ว และตำบลแม่เจดีย์ใหม่ อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลเวียง ตำบลบ้านโป่ง ตำบลป่างิ้ว และตำบลแม่เจดีย์ใหม่ อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
| 29790 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยนอก - อุบัติเหตุ โรงพยาบาลปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน | สธ | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างอาคารผู้ป่วยนอก-อุบัติเหตุ เป็นอาคาร คสล. ๔ ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ ๔,๙๕๘ ตารางเมตร พร้อมอุปกรณ์ประกอบอาคาร (รวมราคาต้านแผ่นดินไหว) โรงพยาบาลปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน จากเดิม วงเงิน ๗๕,๒๐๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๗๖,๐๐๑,๘๐๐ บาท ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒. สำหรับงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๖ ที่ได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายให้แล้ว จำนวน ๗๓,๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ อีกจำนวน ๓,๐๐๑,๘๐๐ บาท
|
|||||||||||||||||||||
| 29791 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ และการจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. 2555 | นร07 | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ และการจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ๑.๑ การจัดสรร/การเบิกจ่าย/ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเอง สำนักงบประมาณจัดสรรสุทธิ เป็นเงิน ๑๑๘,๗๐๕.๖๑๗๖ ล้านบาท ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑๑๓,๕๐๓.๓๓๒๒ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๓๘.๐๗๕๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๐๓ และผลการเบิกจ่ายจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) เป็นเงิน ๑๐๐,๐๘๗.๖๑๘๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๔.๓๒ จากยอดจัดสรร ๑.๒ ผลการดำเนินงาน มิติส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๑๐ กระทรวง ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๘ กระทรวง และมิติจังหวัดที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๕๐ จังหวัด ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๒๓ จังหวัด ๑.๓ การส่งคืนเงินงบประมาณและการใช้จ่ายจากเงินที่แจ้งส่งคืน ส่วนราชการฯ ส่งเงินคืนทั้งสิ้น ๖,๐๑๐.๔๕๐๓ ล้านบาท คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ใช้จ่ายเงินส่งคืนทั้งสิ้น ๕,๗๒๙.๕๙๘๕ ล้านบาท คงเหลือเงินส่งคืนที่ยังไม่ได้มีการอนุมัติ จำนวน ๒๘๐.๘๕๑๘ ล้านบาท เมื่อรวมกับวงเงินคงเหลือจากการพิจารณาจัดสรรต่ำกว่ากรอบวงเงินตามมติคณะรัฐมนตรี จำนวน ๒๕๙.๙๔๐๐ ล้านบาท คงเหลือวงเงินที่จะอนุมัติเพิ่มเติมได้อีกทั้งสิ้น ๕๔๐.๗๙๑๘ ล้านบาท ๒. การจัดสรรเงินกู้โครงการเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ (วงเงิน ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) คณะรัฐมนตรีอนุมัติวงเงินรวมทั้งสิ้น ๒๙,๘๓๖.๗๙๒๖ ล้านบาท สำนักงบประมาณจัดสรรเงินกู้ฯ ให้ส่วนราชการ จำนวน ๒๒,๐๖๑.๗๓๔๘ ล้านบาท คงเหลือ จำนวน ๗,๗๗๕.๐๕๗๘ ล้านบาท ได้แก่ กระทรวงคมนาคม จำนวน ๔,๐๐๔.๑๔๔๐ ล้านบาท กระทรวงอุตสาหกรรม จำนวน ๓,๒๓๖.๖๙๔๐ ล้านบาท กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๑๙๖.๘๐๔๓ ล้านบาท กระทรวงมหาดไทย จำนวน ๑๒๘.๙๗๐๐ ล้านบาท กระทรวงกลาโหม จำนวน ๑๙.๘๕๐๐ ล้านบาท กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน ๑๗.๑๒๕๐ ล้านบาท และกระทรวงศึกษาธิการ จำนวน ๑๗๑.๔๗๐๕ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||
| 29792 | ร่างพระราชกฤษฎีกาโอนที่วัด วัดดอนงิ้ว (ร้าง) ตำบลสนามชัย อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี ให้แก่กรมทางหลวง พ.ศ. .... | พศ | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาโอนที่วัด วัดดอนงิ้ว (ร้าง) ตำบลสนามชัย อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี ให้แก่กรมทางหลวง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ โอนที่วัด วัดดอนงิ้ว (ร้าง) ตำบลสนามชัย อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี ตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๓๙๖๑ (บางส่วน) เนื้อที่ ๑ ไร่ ๒๙ ตารางวา ให้แก่กรมทางหลวง เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๔๐ สายบางบัวทอง - บรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑ (ชัยนาท) ตอนสุพรรณบุรี - ชัยนาท ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
| 29793 | ร่างพระราชกฤษฎีกาโอนที่วัด วัดตายด (ร้าง) ตำบลสนามชัย อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี ให้แก่กรมทางหลวง พ.ศ. .... | พศ | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาโอนที่วัด วัดตายด (ร้าง) ตำบลสนามชัย อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี ให้แก่กรมทางหลวง พ.ศ. ....มีสาระสำคัญคือ โอนที่วัด วัดตายด (ร้าง) ตำบลสนามชัย อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี ตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๖๓๙๐ (บางส่วน) เนื้อที่ ๑ ไร่ ๘๗ ตารางวา ให้แก่กรมทางหลวง เพื่อขยายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๔๐ สายบางบัวทอง - บรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑ (ชัยนาท) ตอนสุพรรณบุรี - ชัยนาท ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
| 29794 | แผนยุทธศาสตร์ชาติด้านเด็กปฐมวัย (แรกเกิดถึงก่อนเข้าประถมศึกษาปีที่ 1) ตามนโยบายรัฐบาล ด้านเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2555 - 2559 | ศธ | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า การพัฒนาเด็กช่วงปฐมวัยเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายด้านสังคมและคุณภาพชีวิตของรัฐบาล ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งและต้องพัฒนาอย่างเป็นองค์รวม โดยมีปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องอีกหลายด้านและเกี่ยวข้องกับบุคคลหลายช่วงวัย ทั้งสตรี ผู้สูงอายุ ผู้ด้อยโอกาส ผู้พิการ รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน ดังนั้น เพื่อให้นโยบายดังกล่าวบรรลุตามวัตถุประสงค์และเพื่อให้มีการบูรณาการวิธีการทำงานร่วมกัน จะได้จัดให้มีการประชุมร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือในเรื่องดังกล่าว โดยนายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานในการประชุมและให้ถือเป็นวาระแห่งชาติ และเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ๒. เห็นชอบในหลักการแผนยุทธศาสตร์ชาติด้านเด็กปฐมวัย (แรกเกิดถึงก่อนเข้าประถมศึกษาปีที่ ๑) ตามนโยบายรัฐบาล ด้านเด็กปฐมวัย พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ทั้งนี้ แผนยุทธศาสตร์ชาติ ฯ ประกอบด้วย ๔ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ๒.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ เด็กทุกคนได้รับบริการในการพัฒนาเต็มศักยภาพ เป้าหมายคือ (๑) เด็กทุกคนในช่วงอายุแรกเกิดถึง ๕ ปี หรือก่อนเข้าประถมศึกษาปีที่ ๑ ได้รับบริการด้านสุขภาพ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ (๒) เด็กแรกเกิดถึงก่อนเข้าประถมศึกษาปีที่ ๑ ร้อยละ ๙๐ มีพัฒนาการตามวัยในทุกด้าน ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ (๓) เด็กทุกคนในช่วงอายุ ๓ ปี ถึงก่อนเข้าประถมศึกษาปีที่ ๑ ที่มีความต้องการได้รับการพัฒนาในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยในทุกรูปแบบ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ และ (๔) เด็กทุกคนเข้าประถมศึกษาปีที่ ๑ เมื่ออายุครบ ๖ ปี ตามพระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ๒.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ ไอโอดีนกับการพัฒนาเด็กปฐมวัย เป้าหมายคือ (๑) เด็กแรกเกิดถึงก่อนเข้าประถมศึกษาปีที่ ๑ ได้รับไอโอดีนในอาหารอย่างเพียงพอ (๒) หญิงตั้งครรภ์ทุกคนต้องได้รับไอโอดีนในอาหารอย่างเพียงพอ และได้รับยาเม็ดเสริมไอโอดีน และ (๓) หญิงที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ทุกคนระยะ ๖ เดือนแรกต้องได้รับไอโอดีนในอาหารอย่างเพียงพอ และได้รับยาเม็ดเสริมไอโอดีน ๒.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย เป้าหมายคือ เด็กปฐมวัย (แรกเกิดถึงก่อนเข้าประถมศึกษาปีที่ ๑) ทุกคนได้รับการอบรมเลี้ยงดูอย่างมีคุณภาพ เพื่อมีพัฒนาการดีอย่างรอบด้านและตามวัย ๒.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ กลไกการดำเนินงานพัฒนาเด็กปฐมวัย เป้าหมายคือ (๑) กำกับติดตามมาตรการที่แต่ละกระทรวงกำหนดเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและมติของคณะกรรมการพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ (ก.พ.ป.) (๒) มีคณะกรรมการระดับจังหวัด ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ และ (๓) ระบบข้อมูลด้านเด็กปฐมวัย การสำรวจข้อมูล การวิจัยต่าง ๆ สามารถช่วยในการวางแผน และติดตามประเมินสถานการณ์อย่างมีประสิทธิภาพ ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่า แผนยุทธศาสตร์ ฯ ควรกำหนดกลยุทธ์การดำเนินการให้ชัดเจนในแต่ละยุทธศาสตร์ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีแนวทาง มาตรการหรือวิธีดำเนินการที่สำคัญ สำหรับเป็นกรอบในการจัดทำแผนงาน/โครงการ/กิจกรรมต่าง ๆ ให้บรรลุตามวัตถุประสงค์และจุดมุ่งหมายที่กำหนดในแต่ละยุทธศาสตร์ และจัดทำแนวทางการนำยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติ เพื่อให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเกิดความชัดเจนในการดำเนินการ นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับมารดากลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมารดาครรภ์แรก มารดาอายุน้อย มารดาเลี้ยงเดี่ยว และมารดาเร่ร่อน ในด้านการให้คำปรึกษาและการเตรียมพร้อมในการมีบุตร รวมทั้งให้ความสำคัญกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรชุมชนและภาคเอกชนในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาเด็กปฐมวัย เพื่อให้การขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ ฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ไปดำเนินการด้วย ๔. ให้นำประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการบูรณาการและการพัฒนาศูนย์เด็กเล็กจัดทำเป็นแผนยุทธศาสตร์เสนอต่อการประชุมที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการตามข้อ ๑ ด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 29795 | ค่าใช้จ่ายต่อหัวในการจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานสำหรับคนพิการ | ศธ | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า ในหลักการสมควรที่กระทรวงศึกษาธิการจะกำหนดอัตราค่าใช้จ่ายต่อหัวในการจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานสำหรับคนพิการแยกออกจากการศึกษาสำหรับประชาชนทั่วไปเช่นเดียวกับการจัดการศึกษาในระบบดังกล่าว สำหรับอัตราค่าใช้จ่ายต่อหัว เห็นควรให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการพิจารณากำหนดอัตราค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องสำหรับการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานสำหรับคนพิการทั้งในระบบและนอกระบบ ควรเป็นไปในลักษณะเดียวกันหรือเทียบเคียงกัน ส่วนอัตราค่าใช้จ่ายบางประเภท เช่น รายการค่าบริหารจัดการในส่วนที่เป็นค่าวัสดุการศึกษา ค่าวัดและประเมินผลการศึกษา และค่านิเทศติดตาม ซึ่งมีอัตราสูงกว่าค่าใช้จ่ายในรายการเดียวกันสำหรับกลุ่มประชาชนทั่วไป ควรมีการวิเคราะห์ความเหมาะสมในการคำนวณค่าใช้จ่ายรายการต่าง ๆ โดยพิจารณาเทียบเคียงกับค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในระบบปกติเพื่อให้การกำหนดค่าใช้จ่ายดังกล่าวมีความชัดเจน เหมาะสม ครบถ้วน และครอบคลุมรายการที่เกี่ยวข้อง ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการกำหนดรูปแบบ เนื้อหา หลักสูตรและกระบวนการจัดการเรียนการสอน และการประเมินผลรูปแบบและวิธีการจัดการเรียนการสอนให้ชัดเจน สามารถสะท้อนให้เห็นค่าใช้จ่ายที่แท้จริงเพื่อนำมาประกอบการพิจารณาจัดสรรค่าใช้จ่ายต่อหัวให้เหมาะสมสอดคล้องกับความจำเป็น รวมทั้งประสานการดำเนินงานร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในการติดตามและประเมินผลพัฒนาการของคนพิการในการนำความรู้ไปพัฒนาตนเองสามารถประกอบอาชีพและพึ่งตนเองได้ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. รับทราบและเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ค่าใช้จ่ายต่อหัวในการจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานสำหรับคนพิการ ควรมีการพิจารณากำหนดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้เกิดความชัดเจน เหมาะสม ครบถ้วน และครอบคลุมรายการที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นธรรม เพื่อให้กลุ่มคนพิการมีโอกาสได้รับการศึกษาที่ทัดเทียมกับกลุ่มคนปกติทั่วไป ประกอบกับเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายด้านสังคม และคุณภาพชีวิตของรัฐบาล ซึ่งจะได้จัดให้มีการประชุมร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง [เรื่อง แผนยุทธศาสตร์ชาติด้านเด็กปฐมวัย (แรกเกิดถึงก่อนเข้าประถมศึกษาปีที่ ๑) ตามนโยบายรัฐบาลด้านเด็กปฐมวัย พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙] เพื่อพิจารณาในภาพรวม จึงเห็นควรนำเรื่องนี้เข้าหารือในการประชุมดังกล่าว เพื่อกำหนดแนวทางดำเนินการในระยะยาวต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 29796 | ขอชดเชยส่วนต่างระหว่างต้นทุนเงินกับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารออมสินกรณีการกู้เงินเพื่อก่อสร้างระบบป้องกันอุทกภัยในนิคมอุตสาหกรรมที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยดำเนินการเอง | กค | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ชดเชยส่วนต่างระหว่างต้นทุนเงินกับอัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บกับผู้กู้ให้กับธนาคารออมสิน จำนวน ๑,๔๔๓.๐๕๔ ล้านบาท โดยมีหลักเกณฑ์ในการคำนวณการชดเชยต้นทุนเงินของธนาคารออมสิน ดังนี้ ต้นทุนเงินของธนาคารออมสินคำนวณจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๑๒ เดือน สำหรับผู้ฝากทั่วไปสูงสุดของธนาคารออมสิน บวกต้นทุนการดำเนินงาน ร้อยละ ๐.๙๘ ต่อปี หักผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยรับ ร้อยละ ๐.๐๑ ต่อปี (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๑๒ เดือนสำหรับผู้ฝากเงินทั่วไปของธนาคารออมสินอยู่ที่ร้อยละ ๓.๐๐ ต่อปี) ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยชดเชยโดยประมาณเท่ากับร้อยละ ๓.๙๗ ต่อปี เป็นระยะเวลา ๑๕ ปี วงเงินประมาณ ๑,๔๔๓.๐๕๔ ล้านบาท โดยให้เบิกจ่ายตามที่เกิดขึ้นจริง ทั้งนี้ ให้ธนาคารออมสินประสานงานกับสำนักงบประมาณในรายละเอียดต่อไป ๑.๒ เห็นชอบให้โครงการก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรมที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ดำเนินการเองเป็นโครงการแยกบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ ๒. ให้ กนอ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับกรณีที่ กนอ. ลงนามในสัญญาเงินกู้กับธนาคารออมสินแล้ว ควรมีการประสานงานจัดส่งรายละเอียดพร้อมทั้งดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อแผนการก่อสร้างและแผนเบิกจ่ายเงิน รวมทั้งพิจารณาดำเนินการตามมติที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ ๗/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๕ เพื่อให้การดำเนินการมีความรัดกุม ถูกต้อง และสอดคล้องตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด อันเป็นการป้องกันผลกระทบจากการก่อสร้างระบบป้องกันอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 29797 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์ และยานพาหนะเป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกไปสาธารณรัฐโกตดิวัวร์ และกำหนดให้เพชรที่ยังไม่ได้เจียระไนเป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้าจากสาธารณรัฐโกตดิวัวร์ พ.ศ. .... (มาตรการคว่ำบาตรอาวุธต่อสาธารณรัฐโกตดิวัวร์) | พณ | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์และยานพาหนะเป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกไปสาธารณรัฐโกตดิวัวร์ และกำหนดให้เพชรที่ยังไม่ได้เจียระไนเป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้าจากสาธารณรัฐโกตดิวัวร์ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นควรปรับถ้อยคำ จาก “ยานพาหนะของพลเรือน” เป็น “ยานพาหนะที่มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในทางพลเรือน” เพื่อให้สอดคล้องกับถ้อยคำที่กล่าวถึงในข้อ ๑ ของข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ ๒๐๔๕ (ค.ศ. ๒๐๑๒) ที่ว่า “civilian vehicles” ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ สำหรับร่างประกาศฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้อาวุธและยุทโธปกรณ์ และยานพาหนะที่ส่งให้แก่กองกำลังรักษาความมั่นคงของราชอาณาจักรโกตดิวัวร์ (Ivorian Security Forces) เป็นสินค้าที่ต้องห้ามส่งออกไปสาธารณรัฐโกตดิวัวร์ ๑.๒ ห้ามมิให้นำความในข้อ ๑.๑ มาใช้บังคับในกรณีการส่งออกอาวุธและยุทโธปกรณ์ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้หรือสนับสนุนในการปฏิบัติการของสหประชาชาติในสาธารณรัฐโกตดิวัวร์ [United Nationas Operation in Cote d’ I voire (UNOCI)] หรือใช้ในกองกำลังของประเทศฝรั่งเศสเพื่อสนับสนุน UNOCI ฯลฯ ๑.๓ กำหนดให้เพชรที่ยังไม่ได้เจียระไนทุกชนิดที่ส่งมาจากสาธารณรัฐโกตดิวัวร์เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร ๑.๔ ห้ามมิให้นำความในข้อ ๑.๓ มาใช้บังคับกับการนำเข้ามาเพื่อการวิจัยและวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์เพื่อนำไปสู่การพัฒนาข้อมูลเชิงเทคนิคเฉพาะที่เกี่ยวกับการผลิตเพชรของสาธารณรัฐโกตดิวัวร์ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศเร่งประมวลผลการดำเนินการตามมติคณะมนตรีฯ เกี่ยวกับโกตดิวัวร์ ของส่วนราชการทั้งหมดที่ได้รับมอบหมายตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับโกตดิวัวร์) เพื่อรวบรวมและรายงานความคืบหน้าการปฏิบัติตามข้อมติของคณะมนตรีฯ ในส่วนของประเทศไทยต่อสหประชาชาติต่อไป และให้กระทรวงพาณิชย์ประชาสัมพันธ์การบังคับใช้ร่างประกาศฯ ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ประกอบการให้ทราบโดยทั่วถึง เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 29798 | สรุปภารกิจการเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีศึกษาอาเซียน ครั้งที่ 7 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง และการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสภารัฐมนตรีแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ | ศธ | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โด ๑.๑ รับทราบสรุปภารกิจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในการเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีศึกษาอาเซียน ครั้งที่ ๗ และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒-๖ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ณ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ การประชุมรัฐมนตรีศึกษาอาเซียน ครั้งที่ ๗ ที่ประชุมได้มีการหารือประเด็นต่าง ๆ พร้อมทั้งรับทราบการดำเนินงานด้านการศึกษาในกรอบอาเซียน โดยในส่วนของไทยได้เสนอเป็นเจ้าภาพการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดทำรายละเอียดหลักสูตรเกี่ยวกับอาเซียนตามรายวิชาในทุกระดับชั้น และการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อจัดทำรายละเอียด ASCC Scorecard รวมทั้งการจัดค่ายเยาวชนอาเซียนเพื่อเสริมสร้างอัตลักษณ์อาเซียนในภูมิภาค ทั้งนี้ ในช่วงก่อนการประชุมฯ สำนักเลขาธิการอาเซียนได้จัดให้มีการเปิดตัว ASEAN Curriculum Sourcebook ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อให้ครูใช้เป็นแนวทางสำหรับการสอนเรื่องอาเซียนในสถานศึกษา โดยประเทศสมาชิกจะนำไปขยายผลการดำเนินการในประเทศ ๑.๑.๒ การประชุมรัฐมนตรีศึกษาอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ ๑ ที่ประชุมได้รับทราบเกี่ยวกับข้อมติที่เกี่ยวข้องจากการประชุมในกรอบอาเซียนบวกสามที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา และผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนบวกสาม รวมทั้งพิจารณารับรองแผนปฏิบัติการด้านการศึกษาอาเซียนบวกสาม และกรอบการประชุม (TOR) ของการประชุมรัฐมนตรีศึกษาอาเซียนบวกสาม ๑.๑.๓ การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกด้านการศึกษา ครั้งที่ ๑ ที่ประชุมได้พิจารณารับรองเอกสารที่เกี่ยวข้องภายใต้กรอบ EAS เพื่อนำเสนอต่อที่ประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ได้แก่ กรอบการประชุม (TOR) การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกด้านการศึกษา, Plan of Action และ Joint Statement รวมทั้งรับทราบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานตามโครงการความร่วมมือเอเชียตะวันออกและกิจกรรมที่จะดำเนินการต่อไปในอนาคต ๑.๑.๔ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้หารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและวัฒนธรรมอินโดนีเซีย โดยมีประเด็นหารือเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนนักศึกษาที่มีการถ่ายโอนหน่วยกิต และการเลือกมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงของไทยร่วมมือกับมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงของอินโดนีเซีย การให้ความร่วมมือด้านอิสลามศึกษาในระดับโรงเรียนแก่ไทย โดยอินโดนีเซียจะจัดส่งครูพร้อมจัดทำหลักสูตรที่เกี่ยวข้องมายังประเทศไทย การดำเนินความร่วมมือตามข้อเสนอจากที่ประชุมคณะทำงานร่วมไทย-กัมพูชา ครั้งที่ ๑ (JWG-1) การสนับสนุนโครงการแลกเปลี่ยน M-I-T Student Mobility ซึ่งเป็นโครงการนำร่องในการแลกเปลี่ยนนักศึกษาระดับปริญญาตรีและส่งเสริมการถ่ายโอนหน่วยกิตระหว่างกัน ระหว่าง ๓ ประเทศ คือ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย รวมทั้งได้หารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเมียนมาร์ โดยฝ่ายเมียนมาร์เสนอขอความร่วมมือจากไทยในเรื่องการพัฒนาครู การขอรับการสนับสนุนทุนการศึกษาในระดับปริญญาตรีจากไทย และแสดงความสนใจที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับการเปิดโรงเรียนเอกชนจากไทย ในขณะที่ฝ่ายไทยได้เสนอขอความร่วมมือจากเมียนมาร์ในการจัดส่งอาจารย์พม่าเพื่อมาสอนภาษาพม่าในมหาวิทยาลัยในจำนวนที่เพิ่มมากขึ้น พร้อมทั้งสนับสนุนการส่งนักศึกษาเพื่อสมัครรับทุนภายใต้โครงการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (Greater Mekong Subregion : GMS) มากขึ้น ๑.๑.๕ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้หารืออย่างไม่เป็นทางการกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการสิงคโปร์เกี่ยวกับการจัดการประชุมสภารัฐมนตรีศึกษาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (สภาซีเมค) โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการสิงคโปร์ขอให้ไทยรับเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ แทน เนื่องจากสิงคโปร์กำหนดจัดงานเฉลิมฉลองเอกราชครบ ๕๐ ปี ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยขอสลับวาระการดำรงตำแหน่งประธานสภาซีเมคและเจ้าภาพจัดการประชุมฯ กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของไทย ๑.๒ เห็นชอบให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสภารัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (สภาซีเมค) ครั้งที่ ๔๘ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมฯ ให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ จัดทำรายละเอียดและเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดประชุมตามความเหมาะสมและจำเป็นต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการไปหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนกำหนดการเปิดและปิดภาคเรียนของนักเรียนในระดับมัธยมศึกษาให้สอดรับกับปฏิทินการศึกษาในระดับอุดมศึกษาที่ได้ปรับเปลี่ยนการเปิดภาคเรียนเป็นช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยอาจปรับเป็นระยะ ๆ ตามความเหมาะสมก็ได้ เพื่อให้สอดคล้องกับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ และไม่ให้เกิดช่องว่างในการเข้าศึกษาต่อหรือการสมัครเข้าทำงานของนักเรียน นักศึกษาในอนาคต |
|||||||||||||||||||||
| 29799 | ขอความเห็นชอบเช่ารถยนต์เพื่อการปฏิบัติการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษ | ยธ | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอขอแก้ไขข้อความในหนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนมาก ที่ นร ๐๗๐๗/๐๑๘ ลงวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๕ หน้า ๒ จากเดิม “๑๓๐,๘๙๔,๐๐๐ บาท (หนึ่งร้อยสามสิบล้านแปดแสนเก้าหมื่นสี่พันบาทถ้วน)” เป็น “๑๓๐,๘๙๖,๐๐๐ บาท (หนึ่งร้อยสามสิบล้านแปดแสนเก้าหมื่นหกพันบาทถ้วน)” ๒. เห็นชอบให้กระทรวงยุติธรรม (กรมสอบสวนคดีพิเศษ) เช่ารถยนต์ จำนวน ๑๐๐ คัน เพื่อใช้ในการปฏิบัติการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐ (รวมระยะเวลา ๕ ปี) วงเงินทั้งสิ้น ๑๖๓,๖๒๐,๐๐๐ บาท ตามนัยมาตรา ๒๓ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้ใช้จ่ายจากเงินดอกเบี้ยอันเกิดจากเงินกลางของส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรม จำนวน ๓๒,๗๒๔,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลืออีกจำนวน ๑๓๐,๘๙๖,๐๐๐ บาท ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐ (ระยะเวลา ๔ ปี) ปีละ ๓๒,๗๒๔,๐๐๐ บาท ตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||
| 29800 | ร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติคันและคูน้ำ พ.ศ. 2505 บังคับในท้องที่อำเภอจตุรพักตรพิมาน จังหวัดร้อยเอ็ด พ.ศ. .... | กษ | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้พระราชบัญญัติคันและคูน้ำ พ.ศ. ๒๕๐๕ บังคับในท้องที่อำเภอจตุรพักตรพิมาน จังหวัดร้อยเอ็ด พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้พระราชบัญญัติคันและคูน้ำ พ.ศ. ๒๕๐๕ บังคับในท้องที่อำเภอจตุรพักตรพิมาน จังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อให้มีการจัดทำคันและคูน้ำอันจะเป็นประโยชน์ในการเกษตรและทำให้การใช้น้ำเป็นไปโดยประหยัด ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
.....
