ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 18 จากทั้งหมด 74 หน้า แสดงรายการที่ 341 - 360 จากข้อมูลทั้งหมด 1463 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
341 | ยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) (พ.ศ. 2559 - 2568) ระยะ10 ปี | สธ | 13/09/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักการยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๘) ระยะ ๑๐ ปี ซึ่งมีเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบริการสุขภาพของโลกใน ๔ ด้านหลัก ได้แก่ ศูนย์กลางบริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพ ศูนย์กลางบริการสุขภาพ ศูนย์กลางบริการวิชาการและงานวิจัย และศูนย์กลางยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ โดยให้กระทรวงสาธารณสุขปรับระยะเวลาของยุทธศาสตร์ให้สอดคล้องกับระยะเวลาของยุทธศาสตร์ชาติและแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) และฉบับที่ ๑๓ (พ.ศ. ๒๕๖๕-๒๕๖๙) ส่วนงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ในส่วนของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๐ ให้ส่วนราชการที่รับผิดชอบพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณก่อน ส่วนค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป ให้กำหนดหน่วยงานที่รับผิดชอบกิจกรรมต่าง ๆ ให้ชัดเจน และต้องมีการบูรณาการร่วมกันจากสัดส่วนของเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณจากความร่วมมือจากภาครัฐ ภาคเอกชน และงบประมาณจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อาทิ การคำนึงถึงมาตรการรองรับการพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์ที่เหมาะสมเพื่อให้คนไทยเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้อย่างเพียงพอ การพิจารณากำหนดตัวชี้วัดเพิ่มเติมให้ครอบคลุมเป้าประสงค์ของยุทธศาสตร์ฯ ที่กำหนดไว้เพื่อให้การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และการพิจารณาให้ความสำคัญกับการบริหารและขับเคลื่อนนโยบายการเป็นศูนย์กลางบริการสุขภาพนานาชาติที่ไม่เกิดผลกระทบต่อระบบสุขภาพของคนไทย โดยกำหนดเป็นโครงการสำคัญและให้มีการดำเนินการตั้งแต่ในระยะแรก ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขให้ความสำคัญกับการดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาบริการทางวิชาการและงานวิจัยทางการแพทย์ (Academic Hub) และร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ (มหาวิทยาลัยมหิดล) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินโครงการสถาบันทางด้านพันธุกรรมเฉพาะบุคคลและเวชพันธุ์รักษ์ระดับนานาชาติ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อเสนอโครงการพัฒนาศูนย์ความเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
342 | มาตรการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจและสังคมภายในท้องถิ่น | กค | 13/09/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการมาตรการสนับสนุนการใช้จ่ายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ อปท. นำเงินสะสมมาใช้จ่ายในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจและสังคมในท้องถิ่น ประกอบด้วย ๒ มาตรการ ได้แก่ มาตรการสนับสนุนการลงทุนร่วมระหว่างรัฐบาลและ อปท. (Matching Fund) และมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนผ่านการใช้จ่ายเงินสะสมของ อปท. ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. สำหรับงบประมาณที่ใช้ดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ใช้จ่ายจากเงินสะสมของ อปท. เป็นลำดับแรกตามบัญชาของนายกรัฐมนตรี และให้ อปท. พิจารณาแผนความต้องการ/ความจำเป็นเร่งด่วน ความพร้อมและรายละเอียดค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการที่ชัดเจนของ อปท. จำนวน ๗,๘๕๑ แห่งก่อน โดยรายการดังกล่าวจะต้องไม่มีความซ้ำซ้อนกับโครงการ/รายการที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ และที่ได้เสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยให้ความสำคัญกับหลักการกระจายงบประมาณอย่างแท้จริง และหากแผนความต้องการของ อปท. มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายงบประมาณในการดำเนินการตามมาตรการฯ เกินกว่าเงินสะสมของ อปท. ที่มีอยู่ และไม่สามารถปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณได้ เห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นให้ อปท. ในลักษณะของเงินอุดหนุนเฉพาะกิจตามประเภทและขนาดของ อปท. ภายในกรอบวงเงินไม่เกิน ๙,๘๙๗.๕๐ ล้านบาท ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบแล้ว และมีบัญชาเพิ่มเติม “หลักการใช้งบประมาณของ อปท. ก่อน ไม่พอของบกลาง จัดทำแผนงานให้ละเอียด ขั้นต้น สนับสนุนงบประมาณรายจ่ายงบกลาง ๙,๘๙๗.๕๐ ล้านบาท (Matching Fund)” ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เห็นควรให้ อปท. ที่มีเงินสะสมไม่เพียงพอสามารถใช้งบประมาณจากข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีมาสมทบได้ และให้ อปท. จัดทำโครงการและเสนอขอความเห็นชอบโครงการให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ ๑ และรีบก่อหนี้ผูกพันและเบิกจ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ ๓ ของปีงบประมาณ ๒๕๖๐ สำหรับกรณีข้อเสนอที่จะให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการให้สิทธิประโยชน์หรือสิ่งจูงใจให้ อปท. นำเงินสะสมมาใช้พัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ด้อยโอกาส ผู้สูงอายุ ผู้พิการ นั้น ควรหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการกำหนดเงื่อนไข/วิธีการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพสอดคล้องกับกรอบระยะเวลาที่กำหนด รวมทั้งคำนึงถึง อปท. ขนาดเล็กที่อาจจะไม่มีเงินสะสมเพียงพอที่จะร่วมทุน เพื่อให้เกิดความทั่วถึงในการดำเนินโครงการ และเห็นควรให้จังหวัดเป็นผู้พิจารณาและอนุมัติโครงการ เพื่อให้ อปท. สามารถดำเนินการก่อหนี้ผูกพันและดำเนินโครงการและเบิกจ่ายให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือร่วมกันเพื่อกำหนดแนวปฏิบัติในการดำเนินมาตรการฯ ให้ชัดเจน เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของมาตรการฯ และประชาชนได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึง ก่อนดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
343 | การพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงานอันเนื่องมาจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท เพิ่มเติมจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2556 และเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2557 | กค | 06/09/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงาน อันเนื่องมาจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ๓๐๐ บาท เพิ่มเติมจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ และเมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ที่คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุได้พิจารณาแล้วในการประชุมครั้งที่ ๗/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๙ ครั้งที่ ๙/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ และครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรณีที่ ๑ เป็นการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างที่เคยได้รับความช่วยเหลือตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ แต่ไม่สามารถส่งมอบงานงวดสุดท้ายได้ทันภายใน ๑๕๐ วัน โดยช่วยเหลือให้งดหรือลดค่าปรับให้จำนวน ๑๕๐ วัน ๑.๒ กรณีที่ ๒ เป็นการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างที่มีสัญญาจ้างก่อสร้างที่หน่วยงานได้ดำเนินการจัดจ้างถึงขั้นตอนการเสนอราคาแล้วก่อนวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ แต่ไม่สามารถลงนามในสัญญาได้ระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ถึง ๒๒ เมษายน ๒๕๕๖ และได้ลงนามในสัญญาระหว่างวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๖ ถึง ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ (ซึ่งไม่อยู่ในช่วงระยะเวลาที่คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุได้มีมติเห็นชอบการให้ความช่วยเหลือไว้) โดยช่วยเหลือให้งดหรือลดค่าปรับให้รวมเป็นจำนวน ๓๐๐ วัน ๑.๓ กรณีที่ ๓ เป็นการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างที่มีสัญญาจ้างก่อสร้างที่ได้ลงนามในช่วงวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๖ ถึง ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ แต่ไม่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จตามสัญญา โดยช่วยเหลือให้งดหรือลดค่าปรับให้จำนวน ๑๕๐ วัน ๑.๔ กรณีที่ ๔ เป็นการช่วยเหลือโดยเพิกถอนคำสั่งลงโทษเป็นผู้ทิ้งงานแก่ผู้ประกอบการก่อสร้างซึ่งไม่อยู่ในหลักเกณฑ์การได้รับความช่วยเหลือตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐนำหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงานอันเนื่องมาจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ๓๐๐ บาทดังกล่าวไปถือปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อขอความร่วมมือให้นำหลักเกณฑ์และเงื่อนไขดังกล่าวไปใช้ในการจัดจ้างก่อสร้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย โดยอนุโลม ๔. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรใช้ประโยชน์จากการเปิดเสรีบริการขยายตลาดการลงทุนไปยังประเทศต่าง ๆ ที่ไทยทำข้อเจรจาตกลงการค้าเสรี โดยมอบหมายให้สถาบันก่อสร้างแห่งประเทศไทยบูรณาการการทำงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสมาคมวิชาชีพต่าง ๆ กำหนดแนวทางการพัฒนาแรงงานทั้งระดับบนและล่างให้มีประสิทธิภาพ ทั้งด้านภาษาและฝีมือแรงงานให้ได้ตามมาตรฐาน พัฒนาศักยภาพความสามารถผู้ประกอบการให้เข้มแข้งขึ้น และพัฒนาเทคโนโลยีการก่อสร้างที่เหมาะสม รวมทั้งปรับปรุง แก้ไขกฎหมายและระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาธุรกิจก่อสร้างไทย ซึ่งจะช่วยยกระดับและพัฒนาอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีสากล ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
344 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | นร01 | 30/08/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ ๓ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ โดยสถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชนที่ยื่นเรื่องผ่านช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมทั้งสิ้น ๔๐,๗๐๐ ครั้ง รวมจำนวน ๒๔,๑๑๓ เรื่อง และประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เหตุเดือดร้อนรำคาญ รองลงมาคือ ขอให้แก้ไขปัญหากระแสไฟฟ้าขัดข้อง แจ้งเบาะแสการลักลอบจำหน่ายและเสพยาเสพติด แจ้งเบาะแสการลักลอบเปิดบ่อนและเล่นการพนัน และการเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐในประเด็นที่หลากหลาย ตามลำดับ ทั้งนี้ สามารถดำเนินการจนได้ข้อยุติ คิดเป็นร้อยละ ๘๗.๒๓ และอยู่ระหว่างการดำเนินการของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง คิดเป็นร้อยละ ๑๒.๗๗ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ความสำคัญกับการเร่งรัดการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมภายในระยะเวลาที่เหมาะสม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
345 | การขอขยายระยะเวลาการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายลงทุน รายการที่ไม่ได้ปรากฏในพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. 2559 และยังไม่สามารถลงนามในสัญญาได้ทันภายในเดือนพฤษภาคม 2559 | มท | 30/08/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ กรณีกระทรวงมหาดไทยเสนอขอขยายระยะเวลาการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายลงทุน รายการที่ไม่ได้ปรากฏในพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. ๒๕๕๙ และยังไม่สามารถลงนามในสัญญาได้ทันภายในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๙ เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนภายในพื้นที่ รวมทั้งก่อหนี้ผูกพันได้ทันภายในปีงบประมาณ เห็นควรอนุมัติในหลักการให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นดำเนินรายการงบประมาณที่ไม่ได้ปรากฏในพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. ๒๕๕๙ เฉพาะรายการงบประมาณที่ได้ผู้รับจ้างแล้วและสามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน ๕๐ รายการ เป็นเงิน ๑๙๗,๔๓๔,๑๐๐ บาท ทั้งนี้ ให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นกำกับดูแลและเร่งรัดการใช้จ่ายเงินงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ทันตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด และกำชับให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรายงานข้อมูลงบประมาณดังกล่าว ให้เป็นปัจจุบันด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
346 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พร้อมขออนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเสริมสร้างความเข้มแข็งและก้าวหน้าของประเทศตามแนวทางปฏิรูป (โครงการก่อสร้างระบบระบายน้ำในถนนสายหลักพื้นที่กรุงเทพมหานคร) | มท | 17/08/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณโครงการก่อสร้างระบบระบายน้ำในถนนสายหลักพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน ๑๑ โครงการ เป็นเงิน ๒,๒๐๘,๗๙๐,๐๐๐ บาท ระยะเวลาดำเนินการ ๒ ปี (ผูกพันงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๙-พ.ศ. ๒๕๖๐) รวมทั้งจัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเสริมสร้างความเข้มแข็งและก้าวหน้าของประเทศตามแนวทางปฏิรูป เป็นเงิน ๔๔๑,๗๕๘,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ ให้กรุงเทพมหานครเร่งรัดการดำเนินการให้ทันต่อสถานการณ์ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน ตลอดจนจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเสริมสร้างความเข้มแข็งและก้าวหน้าของประเทศตามแนวทางปฏิรูป และรายละเอียดประกอบการพิจารณาให้ครบถ้วน ก่อนขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ สำหรับงบประมาณส่วนที่เหลือ จำนวน ๑,๗๖๗,๐๓๒,๐๐๐ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อ ๆ ไป โดยให้อยู่นอกกรอบวงเงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้แก่กรุงเทพมหานคร และให้นับรวมอยู่ในสัดส่วนรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ก่อนการดำเนินโครงการฯ กรุงเทพมหานครควรให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่จะเกิดแก่ประชาชนที่สัญจรไปมา รวมถึงผลกระทบที่อาจเกิดกับการจราจรในพื้นที่และบริเวณใกล้เคียง ทั้งนี้ เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จ กรุงเทพมหานครต้องเตรียมการจัดสรรงบประมาณสำหรับการบริหารจัดการระบบระบายน้ำให้สามารถดำเนินการได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
347 | การของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 รายการเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ (เพิ่มเติม) | มท | 12/07/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ จำนวน ๑๕,๓๓๙,๘๐๖,๗๐๐ บาท ประกอบด้วย งบเงินอุดหนุนทั่วไป เพื่อสนับสนุนโครงการส่งเสริมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เชิงรุก จำนวน ๒,๕๓๔,๔๐๐,๐๐๐ บาท และงบเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ จำนวน ๔ รายการ เป็นงบประมาณทั้งสิ้น ๑๒,๘๐๕,๔๐๖,๗๐๐ บาท ได้แก่ การถ่ายโอนภารกิจการก่อสร้างและบำรุงรักษาถนน จำนวน ๑๐,๕๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ค่าก่อสร้างลานกีฬา จำนวน ๓๑๓,๑๙๙,๗๐๐ บาท ก่อสร้างอาคารเรียนและอาคารประกอบ จำนวน ๑,๐๕๒,๒๐๗,๐๐๐ บาท และก่อสร้างอาคารศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จำนวน ๙๔๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๑.๒ ให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจัดทำรายละเอียดโครงการส่งเสริมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เชิงรุก ได้แก่ จำนวนอาสาสมัครที่ลงทะเบียนและปฏิบัติงานจริง สำหรับรายการค่าก่อสร้างทั้ง ๔ รายการ ต้องมีความพร้อมของแบบรูปรายการ ประมาณราคาค่าใช้จ่าย สถานที่ดำเนินการและมีการกระจายลงพื้นที่อย่างทั่วถึงเป็นธรรม โดยในส่วนของรายการก่อสร้างลานกีฬาให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจัดทำแบบรูปรายการประมาณราคาให้เหมาะสมและเป็นมาตรฐานเดียวกัน ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการใช้งบประมาณดังกล่าวให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดทำรายงานผลการดำเนินการเพื่อเป็นฐานข้อมูลในการใช้ติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และความคุ้มค่า ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
348 | ร่างพระราชบัญญัติโรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | อก | 05/07/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติโรงงาน (ฉบับที่..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ เพื่อให้การดำเนินการเกี่ยวกับโรงงานเกิดความสะดวก รวดเร็ว ประหยัด และสอดคล้องกับสภาพบ้านเมืองที่เปลี่ยนแปลงไปในด้านต่าง ๆ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเกี่ยวกับบรรดาค่าธรรมเนียมรายปีหรือค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดำเนินการจัดเก็บควรตกเป็นรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้สอดคล้องกับแผนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่กำหนดไว้ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้ความสำคัญกับความพร้อมผู้ตรวจสอบเอกชนในการตรวจสอบโรงงานตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด หลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับค่าใช้จ่ายและวิธีการชำระเงินในการตรวจสอบโรงงานให้มีความเหมาะสมและเป็นธรรม การตรวจสอบมาตรฐานการปฏิบัติงานของผู้ตรวจสอบฯ อย่างสม่ำเสมอ การพิจารณากำหนดระยะเวลาที่โรงงานต้องยื่นเรื่องขอต่ออายุใบอนุญาตให้มีระยะเวลาที่นานขึ้นก่อนที่ใบอนุญาตสิ้นอายุ การกำหนดให้มีการประกันภัยหรือหลักประกันหรือกองทุนเพื่อการเยียวยาความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ควรมีการพิจารณากำหนดรายละเอียดให้ชัดเจน ทั้งในเรื่องความเหมาะสมและรูปแบบของหลักประกัน ประเภทของขอบเขตของความเสียหาย และแนวทางการใช้จ่ายเงินเพื่อเยียวยาความเสียหาย การพิจารณาทบทวนการกำหนดให้สามารถนำความตกลงระหว่างประเทศ ความคุ้มค่าของการใช้ทรัพยากร นวัตกรรม หรือเทคโนโลยี มาประกอบการพิจารณาการออกกฎกระทรวง โดยให้มีรายละเอียดเพิ่มเติมที่ชัดเจนและคำนึงถึงผลกระทบอย่างรอบด้าน ตลอดจนการกำหนดหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการโอนใบอนุญาตของกิจการที่ไม่สามารถตั้งโรงงานหรือประกอบกิจการภายในระยะเวลา ๕ ปี ได้ และให้สามารถโอนใบอนุญาตประกอบกิจการเป็นทอดได้ ควรมีการพิจารณาถึงผลกระทบในด้านอื่น ๆ อย่างรอบด้าน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. รับทราบแผนการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาของร่างพระราชบัญญัติตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
349 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | นร01 | 28/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ โดยสถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นที่ยื่นเรื่องผ่านช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ทั้งสิ้น ๓๗,๖๗๙ ครั้ง รวมจำนวน ๒๒,๘๕๙ เรื่อง โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เหตุเดือดร้อนรำคาญ รองลงมาคือ แจ้งเบาะแสการลักลอบเปิดบ่อนและเล่นการพนัน แจ้งเบาะแสการลักลอบจำหน่ายและเสพยาเสพติด เสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐในประเด็นที่หลากหลาย และปัญหาหนี้สินนอกระบบ ตามลำดับ ทั้งนี้ สามารถดำเนินการจนได้ข้อยุติ คิดเป็นร้อยละ ๘๖.๖๑ และอยู่ระหว่างการดำเนินการของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง คิดเป็นร้อยละ ๑๓.๓๙ ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ความสำคัญกับการเร่งรัดการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมภายในระยะเวลาที่เหมาะสม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
350 | แนวทางเพื่อสนับสนุนการดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ | กค | 28/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแนวทางสนับสนุนการดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment) และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแนวทางดังกล่าว ดังนี้ ๑.๑ ให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องที่มีการรับเงินจากประชาชน เช่น ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ติดตั้งอุปกรณ์ชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ให้เพียงพอต่อความต้องการให้บริการกับประชาชน โดยเริ่มดำเนินการติดตั้งภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๙ และติดตั้งให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๐ ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับปรุงระเบียบและหลักเกณฑ์เพื่อรองรับการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์โดยเร็ว และให้ดำเนินการตามแนวทางที่คณะกรรมการขับเคลื่อนตามแผนยุทธศาสตร์ National e-Payment กำหนด ๑.๒ การดำเนินการเกี่ยวกับการออกเลขประจำตัว (๑) ให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าดำเนินการแก้ไขปัญหาเลขประจำตัวที่ปัจจุบันมีการซ้ำ ๑๓๘ ราย ในส่วนของนิติบุคคลที่มีเลขประจำตัวที่ซ้ำกับเลขประจำตัวประชาชน โดยการออกเลขประจำตัวให้กับนิติบุคคลใหม่ที่ไม่ซ้ำกับเลขที่ออกโดยกรมการปกครอง (๒) เพื่อป้องกันปัญหาการออกเลขประจำตัวซ้ำกันระหว่างหน่วยงานในอนาคต ให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าขอจัดสรรเลขประจำตัวของนิติบุคคลจำนวน ๒ ล้านเลขหมาย ส่งให้กรมการปกครองเพื่อกันไว้ไม่ให้ใช้ออกเลขประจำตัวประชาชนในส่วนของกรมการปกครอง (๓) กำหนดภารกิจการออกเลขประจำตัว ๑๓ หลัก โดยกรมการปกครองออกเลขประจำตัว ๑๓ หลัก ให้แก่บุคคลธรรมดา กรมพัฒนาธุรกิจการค้าออกเลขประจำตัว ๑๓ หลัก ให้แก่นิติบุคคล และกรมสรรพากรออกเลขให้กับบุคคลหรือนิติบุคคลบางประเภท เช่น กองมรดกเฉพาะที่ยังไม่ได้แบ่ง คณะบุคคล และผู้จ่ายเงินได้ ที่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีตามกฎหมายของกรมสรรพากร ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงแรงงาน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับการติดตั้งอุปกรณ์ชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ที่จะเริ่มดำเนินการภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๙ ควรเริ่มจากหน่วยงานที่มีประชาชนมาใช้บริการเป็นจำนวนมากก่อน และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบอย่างทั่วถึง รวมทั้งต้องมีการพัฒนาระบบให้มีความง่ายต่อการใช้งาน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ตลอดจนมีมาตรการในการจูงใจให้ประชาชนมาใช้ระบบการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณของประเทศเกิดประโยชน์สูงสุด และให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าพิจารณาขอจัดสรรเลขประจำตัวของนิติบุคคลที่ไม่ซ้ำกับเลขประจำตัวประชาชนมากขึ้นจาก ๒ ล้านหมายเลข เป็น ๒๐ ล้านหมายเลข เพื่อรองรับความต้องการใช้งานในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
351 | มาตรการป้องกันการทุจริตเชิงนโยบายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | ปช | 21/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมาตรการป้องกันการทุจริตเชิงนโยบายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อให้มีการปรับปรุงการปฏิบัติราชการหรือวางแผนงานโครงการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริตต่อหน้าที่ หรือการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามนัยแห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๙ (๑๑) ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ ประกอบด้วยมาตรการ ๔ ด้าน ได้แก่ (๑) มาตรการด้านกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (๒) มาตรการด้านการบริหาร (๓) มาตรการด้านการตรวจสอบ กำกับดูแล และการมีส่วนร่วมของประชาชน และ (๔) มาตรการด้านคุณธรรม จริยธรรม ตามที่สำนักงาน ป.ป.ช. เสนอ ๒. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของมาตรการดังกล่าว และให้กระทรวงมหาดไทยจัดทำรายงานผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้ในภาพรวมส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เมื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาและมีมติแล้ว สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะได้แจ้งผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
352 | ขออนุมัติแผนยุทธศาสตร์ทศวรรษกำจัดปัญหาพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี ปี 2559 - 2568 | สธ | 21/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แผนยุทธศาสตร์ทศวรรษกำจัดปัญหาพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดี ปี ๒๕๕๙-๒๕๖๘ เพื่อให้ส่วนราชการ หน่วยงาน องค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาชน ใช้เป็นกรอบการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ๕ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (๑) มาตรการเชิงนโยบายและการควบคุมกำกับอย่างเข้มข้น (๒) เสริมสร้างความเข้มแข็งและขยายความครอบคลุมของมาตรการเชิงป้องกันทั้งในประเทศและภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (๓) พัฒนาคุณภาพการคัดกรองวินิจฉัย การดูแลรักษา การส่งต่อทั้งระบบอย่างบูรณาการ (๔) ส่งเสริม สนับสนุนการมีส่วนร่วมและพัฒนาศักยภาพของชุมชนและองค์กรท้องถิ่นในการป้องกันควบคุมและจัดการสิ่งแวดล้อมโรคพยาธิใบไม้ตับ มะเร็งท่อน้ำดี และการดูแลผู้ป่วยมะเร็งท่อน้ำดีอย่างเป็นระบบ และ (๕) การศึกษาวิจัยและพัฒนาระบบฐานข้อมูลและการบูรณาการที่มีประสิทธิภาพ ๑.๒ แนวทางการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ ๒ ระยะ โดยระยะเริ่มต้น ๓ ปี (๒๕๕๙-๒๕๖๑) เป็นโครงการรณรงค์การกำจัดปัญหาโรคพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดีถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์ครบ ๗๐ ปี ในปีพุทธศักราช ๒๕๕๙ พร้อมทั้งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จะทรงเจริญพระชนมพรรษา ๘๔ พรรษา ตลอดจนในปีพุทธศักราช ๒๕๖๐ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะทรงเจริญพระชนมพรรษา ๙๐ พรรษา และระยะที่ ๒ เป็นการขับเคลื่อนตามมาตรการของแผนยุทธศาสตร์ในระยะเวลาที่เหลือ (๒๕๖๒-๒๕๖๘) เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของแผนยุทธศาสตร์ ส่งผลให้การกำจัดปัญหาพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดีเกิดความยั่งยืน และผลักดันให้เป็นการดำเนินงานในแผนงานปกติในอนาคตต่อไป ๑.๓ สนับสนุนงบประมาณการขับเคลื่อนตามมาตรการของแผนยุทธศาสตร์เพื่อให้สามารถดำเนินการกำจัดปัญหาพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดีได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความยั่งยืนในอนาคต ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรณรงค์ให้ประชาชนรับประทานอาหารปรุงสุกเพื่อลดโอกาสการติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับ และให้รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติในระดับพื้นที่ ควรดำเนินการในลักษณะสอดประสานไปกับการดำเนินการยุทธศาสตร์อื่น ๆ ที่ดำเนินการอยู่แล้วในพื้นที่ในลักษณะการบูรณาการประเด็นด้านสุขอนามัยและโภชนาการของปัญหาสุขภาพของชุมชน ทั้งในการขับเคลื่อนเชิงนโยบาย การสร้างความตระหนัก การให้ความรู้และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติในระดับประเทศ และควรเพิ่มเติมตัวชี้วัดการดำเนินงานที่มีเป้าหมายร่วมกันระหว่างหน่วยงาน (Joint KPI) เพื่อนำไปสู่การเกิดผลลัพธ์ในการดำเนินงานได้อย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งควรพิจารณาเชื่อมโยงกิจกรรมและพื้นที่ดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. สำหรับงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ภายใต้แผนดังกล่าว จำนวน ๒๖๑,๓๓๔,๘๐๐ บาท ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณต่อไป ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อดำเนินการและเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๔. มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขนำแผนดังกล่าวมาจัดทำเป็นแผนปฏิบัติการตามกรอบระยะเวลาการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล (ถึงเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐) ทั้งนี้ กิจกรรมใดที่เป็นการดำเนินการซึ่งเกินกว่ากรอบระยะเวลาการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ให้นำเรื่องดังกล่าวบรรจุไว้ในแผนปฏิรูป เพื่อให้รัฐบาลชุดต่อไปที่จะเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินพิจารณาดำเนินการต่อไป เพื่อให้เป็นไปตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๙ (เรื่อง การเสนอโครงการที่ต้องขออนุมัติงบประมาณจากคณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี) |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
353 | ข้อคิดเห็นของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี | อื่นๆ | 21/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) และรองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) รายงานข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลและการบริหารราชการแผ่นดิน ดังนี้
๑. รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รายงานว่า ๑.๑ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรได้ร่วมกันพิจารณาจัดทำฐานข้อมูลด้านความมั่นคง โดยจำแนกข้อมูลตามประเด็นภัยคุกคามด้านความมั่นคง รวม ๗ ด้าน ได้แก่ (๑) การเตรียมพร้อมแห่งชาติ (๒) การบริหารจัดการชายแดน (๓) การรักษาผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเล (๔) อาชญากรรมข้ามชาติและการก่อการร้าย (๕) ปัญหาผู้หลบหนีเข้าเมือง (๖) การเป็นประชาคมอาเซียน และ (๗) ด้านอื่น ๆ และได้มีการกำหนดชั้นความลับและผู้ใช้งานทั้งในระดับนโยบายและระดับปฏิบัติเพื่อให้สอดคล้องและเชื่อมโยงกับการจัดทำฐานข้อมูลภาครัฐ ๑.๒ กระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการแก้ไขระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยความพิการให้คนพิการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๕๓ แล้ว โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ เป็นต้นไป และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามระเบียบ กฎหมาย และหนังสือสั่งการอย่างเคร่งครัด รวมทั้งจะดำเนินการทบทวนและแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้จังหวัดสามารถปรับเกลี่ยงบประมาณที่เหลือจากเงินส่งคืนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดเพื่อนำไปใช้ในเรื่องดังกล่าวได้อย่างรวดเร็วต่อไปด้วย ๒. รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) รายงานผลการเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ระหว่างวันที่ ๑๖-๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๙ ว่า มีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมฉลองการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-เวียดนาม ครบรอบ ๔๐ ปี โดยได้เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม รองประธานสภาแห่งชาติ รองนายกรัฐมนตรีด้านวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว เพื่อหารือการเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์และกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยฝ่ายไทยได้หยิบยกประเด็นส่งเสริมการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวระหว่างไทยและเวียดนามในรูปแบบ ๒ ประเทศ ๑ จุดหมาย (Two Countries, One Destination) นอกจากนี้ ยังได้เป็นประธานร่วมในงานแสดงหุ่นละครเล็กของไทย และการแสดงหุ่นของเวียดนามด้วย ๓. รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) รายงานว่า ตามที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการรวบรวมผลการปฏิบัติงานตามนโยบายของรัฐบาล นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการติดตามการปฏิบัติงานตามนโยบายของรัฐบาล ประกอบด้วย ผู้แทนจากส่วนราชการต่าง ๆ เพื่อดำเนินการตามภารกิจ ๓ ประการ คือ (๑) การติดตามการปฏิบัติงานตามนโยบายของรัฐบาล (๒) การจัดทำรายงานผลงานรัฐบาลครบรอบ ๒ ปี และ (๓) การสนับสนุนการทำงานของโฆษกรัฐบาล ทั้งนี้ คณะกรรมการดังกล่าวจะมีการประชุมเพื่อติดตามการดำเนินงานทุกวันพุธและพฤหัสบดี เวลา ๑๖.๐๐ น.
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
354 | รายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง การปฏิรูปกลไกการบริหารจัดการ ทรัพยากรน้ำและร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ....) | กษ | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง การปฏิรูปกลไกการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ....) ซึ่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรน้ำและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาข้อเสนอแนะดังกล่าวแล้วมีความเห็นสอดคล้องกันที่จะให้มีกฎหมายระดับพระราชบัญญัติเพื่อให้เป็นกฎหมายกลางในการบูรณาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศเป็นไปในทิศทางเดียวกัน มีความเป็นเอกภาพและมีประสิทธิภาพ โดยในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่า ควรผลักดันร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. .... ประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายโดยเมื่อใช้บังคับในระยะหนึ่ง หากเห็นว่ากลไกในกฎหมายมีข้อบกพร่องส่วนใด กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสามารถเสนอแก้ไขเพิ่มเติมในภายหลังได้ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งรายงานผลการพิจารณาของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับการกำหนดบทบัญญัติให้หน่วยงานของรัฐที่มีภารกิจตามกฎหมายในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำด้านต่าง ๆ สามารถดำเนินการตามภารกิจและอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายเฉพาะนั้นได้ให้ไว้ การกำหนดบทบัญญัติเพิ่มเติมในกรณีแหล่งน้ำสาธารณะที่มีการเชื่อมโยงหรือติดต่อกับแหล่งน้ำที่มีหน่วยงานของรัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดูแล ก่อนการอนุญาตให้ใช้น้ำจากแหล่งน้ำสาธารณะจะต้องได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานของรัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดังกล่าว การพิจารณารายได้จากการเก็บค่าน้ำเพื่อเข้ากองทุนแยกเป็นในเขตชลประทานและนอกเขตชลประทาน การกำหนดคำจำกัดความของ “พนักงานเจ้าหน้าที่” ให้มีความชัดเจน การควบคุมและตรวจตราทรัพยากรน้ำตามมาตรา ๘๓ ๘๔ และ ๘๖ การมอบหมายให้ผู้มีอำนาจสูงสุดในพื้นที่ลุ่มนำสาขานั้น ๆ เป็นประธานในคณะกรรมการลุ่มน้ำสาขาควรมอบหมายให้ผู้มีอำนาจสูงสุดในพื้นที่ลุ่มน้ำสาขานั้น ๆ และกรณีที่สภาปฏิรูปแห่งชาติเสนอให้มีการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเป็นหน่วยงานของรัฐระดับกรมจะต้องปฏิบัติตามหลักการและขั้นตอนตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ ที่ต้องเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการพัฒนาโครงสร้างระบบราชการของกระทรวงและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ เพื่อพิจารณาความเหมาะสมของการจัดตั้งสำนักงาน ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรี รวมทั้งกรณีการจัดตั้งกองทุนหมุนเวียนของหน่วยงานของรัฐจะต้องดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๔ และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอจัดตั้ง การดำเนินงาน และการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๗ และมีความสอดคล้องกับระบบการจัดตั้งกองทุนในปัจจุบัน รวมถึงบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้คณะกรรมการประสานงาน รวม ๓ ฝ่าย (คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) เพื่อพิจารณาความสอดคล้องและความเหมาะสมกับการปฏิรูปประเทศต่อไป และให้แจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
355 | รายงานผลการปฏิบัติงานตามแผนการกำจัดผักตบชวา ประจำปี 2559 | มท | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานผลความก้าวหน้าการปฏิบัติงานตามแผนการกำจัดผักตบชวา ประจำปี ๒๕๕๙ โดยผลการกำจัดผักตบชวา ตั้งแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙ พื้นที่ลุ่มน้ำภาคกลางตอนล่าง กรมโยธาธิการและผังเมือง กำจัดได้ปริมาณ ๑๒๐,๘๐๐ ตัน กรมเจ้าท่า กำจัดได้ปริมาณ ๗๙,๑๐๘ ตัน สำหรับพื้นที่บริเวณประตูระบายน้ำในแม่น้ำสายหลัก แม่น้ำป่าสัก และคลองในระบบชลประทาน กรมชลประทาน กำจัดได้ปริมาณ ๑,๒๑๔,๗๖๔ ตัน และในส่วนของแหล่งน้ำขนาดเล็กและแหล่งน้ำเชื่อมโยงในพื้นที่ขนาดเล็ก กรมการปกครอง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานทหาร และภาคประชาชน กำจัดได้ปริมาณ ๒,๒๓๙,๕๐๑ ตัน สรุปผลการปฏิบัติงานตามแผนการกำจัดผักตบชวาประจำปี ๒๕๕๙ ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๙ สามารถกำจัดได้จำนวน ๓,๖๕๔,๑๗๓ ตัน คิดเป็นร้อยละ ๖๔.๗๑ ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพิจารณาดำเนินการศึกษา ค้นคว้า และวิจัยวิธีการในการกำจัดวัชพืชในแหล่งน้ำโดยเฉพาะผักตบชวา เพื่อยับยั้งไม่ให้มีการแพร่พันธุ์เพิ่มขึ้นต่อไป ทั้งนี้ จะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศของแหล่งน้ำด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
356 | ข้อคิดเห็นของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี | อื่นๆ | 07/06/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลและการบริหารราชการแผ่นดินของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ดังนี้
๑. รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) รายงานว่า คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ ๑ (ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และระบบการศึกษา) ได้จัดทำแผนการขับเคลื่อนและปฏิรูปด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และระบบการศึกษา ได้แก่ ๑.๑ ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทุกช่วงวัย มีเป้าหมายให้คนไทยในอนาคตต้องมีศักยภาพเพียงพอ มีความมั่นคงในชีวิต มีครอบครัวที่อยู่ดีมีสุข ทุกภาคส่วนร่วมมือและรับผิดชอบต่อสังคม มีตัวชี้วัดในการประเมินและติดตาม ครอบคลุมเด็กและเยาวชน สตรีและครอบครัว คนพิการ ผู้สูงอายุ คนไร้ที่พึ่ง/ขอทาน/ผู้ด้อยโอกาส ๑.๒ ด้านการศึกษา มีเป้าหมายพัฒนาระบบการศึกษาที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพ ประชากรทุกช่วงวัยเข้าถึงโอกาสและความเสมอภาค ผู้เรียนแต่ละระดับได้รับการพัฒนาขีดความสามารถ มีทรัพยากรและทุนเพียงพอ มีระบบบริหารและจัดการที่มีประสิทธิภาพ ๑.๓ ด้านแรงงาน มีเป้าหมายในการจัดหา คุ้มครอง พัฒนา และสร้างหลักประกันให้แก่แรงงาน เพื่อให้คนไทยมีงานทำ มีทักษะฝีมือ มีรายได้สูง ได้รับการคุ้มครองและมีหลักประกัน ๑.๔ ด้านปัจจัยแวดล้อม ประกอบด้วยด้านสังคม เช่น การเข้าสู่สังคมสูงวัยของโลก การพัฒนาศักยภาพและระดับคุณภาพชีวิตให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฐานความรู้ ด้านเศรษฐกิจ เช่น การค้ามีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไปสู่การค้าเสรีมากขึ้น มีการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี เช่น การเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม ๔.๐ ด้านการบริหารจัดการภาครัฐ เช่น บทบาทประเทศมหาอำนาจในภูมิภาคอาเซียน การสรรหาและพัฒนาข้าราชการที่มีคุณภาพทดแทนข้าราชการที่เกษียณอายุ เป็นต้น ๒. รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รายงานเกี่ยวกับการขับเคลื่อนงานด้านกฎหมาย ระบบราชการ กระบวนการยุติธรรม ได้แก่ ๒.๑ ด้านกฎหมาย ได้ดำเนินการเร่งรัดการออกกฎหมายโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ความเห็นชอบแล้ว จำนวน ๑๗๒ ฉบับ และดำเนินการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าหรือเร่งด่วนทางบริหารหรือนิติบัญญัติ โดยออกเป็นคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติซึ่งใช้อำนาจตามความในมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ รวมทั้งขับเคลื่อนกฎหมายสำคัญทางด้านกฎหมายเศรษฐกิจ กฎหมายที่ออกตามพันธกรณีระหว่างประเทศ กฎหมายที่ลดความเหลื่อมล้ำ กฎหมายเกี่ยวกับสวัสดิการ มนุษยธรรมและแก้ปัญหาสังคม กฎหมายเกี่ยวกับการรักษาความสงบเรียบร้อย ๒.๒ ด้านระบบราชการ ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาระบบราชการ โดยให้มีการพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของกฎหมายทุก ๕ ปีที่กฎหมายใช้บังคับ ตามพระราชกฤษฎีกาการทบทวนความเหมาะสมของกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๕๘ รวมทั้งวางหลักเกณฑ์ในการจัดทำแบบตรวจสอบความจำเป็นในการตราพระราชบัญญัติ (Checklist) รวม ๑๐ ประการ และเพิ่มประสิทธิภาพในระบบราชการ โดยออกพระราชบัญญัติอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ ๒.๓ ด้านกระบวนการยุติธรรม ได้มีการเร่งรัดนำคดีที่คั่งค้างเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แก้ไขปัญหาด้านวิธีพิจารณาคดีให้รวดเร็วขึ้น โดยแก้ไขให้มีการโอนคดีได้ การให้คดีแพ่งสิ้นสุดในศาลอุทธรณ์ ให้มีการจัดตั้งแผนกคดีค้ามนุษย์ ยาเสพติด และให้มีการจัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ รวมทั้งให้มีกองทุนยุติธรรมขึ้นเพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับใช้จ่ายเกี่ยวกับการช่วยเหลือประชาชนในการดำเนินคดี ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรายงานว่า ตามที่ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้อาคารในพื้นที่ต่าง ๆ เช่น กรณีการเกิดเพลิงไหม้อาคาร ๗ ชั้น บริเวณซอยนราธิวาสราชนครินทร์ ๑๘ กรุงเทพมหานคร และกรณีเพลิงไหม้ที่พักนักเรียนหญิง โรงเรียนพิทักษ์เกียรติวิทยา อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย ก่อให้เกิดความเสียหายต่อร่างกาย ชีวิต และทรัพย์สินของประชาชนเป็นจำนวนมาก จากการตรวจสอบพบว่า อาคารที่เกิดเพลิงไหม้ส่วนใหญ่ไม่มีระบบป้องกันหรือระงับอัคคีภัย ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้มีมาตรการด้านต่าง ๆ เกี่ยวกับความปลอดภัยด้านอัคคีภัยในอาคาร ได้แก่ ๓.๑ มีกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมอาคารซึ่งจะบังคับใช้ในพื้นที่ที่กฎหมายกำหนด ๓.๒ การกำหนดประเภทของอาคารที่ต้องตรวจสอบ ๙ ประเภท เช่น อาคารสูง อาคารขนาดใหญ่พิเศษ อาคารชุมนุมคน ซึ่งจะต้องจัดให้มีการตรวจสอบอาคารทุกปีและตรวจสอบใหญ่ในทุก ๕ ปี ตลอดอายุการใช้งาน หากผลการตรวจสอบไม่ผ่านหลักเกณฑ์จะต้องปรับปรุงแก้ไขอาคารเพื่อให้มีความปลอดภัยต่อการใช้งานได้ตามเกณฑ์มาตรฐานต่อไป กรณีมีการฝ่าฝืนกฎหมายได้กำหนดบทลงโทษไว้ ๓.๓ พื้นที่นอกเขตควบคุมอาคารที่ต้องตรวจสอบมี ๔ ประเภท ได้แก่ อาคารสูง อาคารขนาดใหญ่พิเศษ อาคารชุมนุมคน และโรงมหรสพ ไม่ว่าจะตั้งอยู่ที่ใดให้ถือว่าเป็นพื้นที่บังคับใช้กฎหมายควบคุมอาคารด้วย ๓.๔ กระทรวงมหาดไทยได้สั่งการให้ทุกจังหวัดและกรุงเทพมหานครให้แจ้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่งให้สำรวจและแจ้งให้เจ้าของอาคารที่เข้าข่ายต้องตรวจสอบตามกฎหมายดำเนินการตรวจสอบอาคารให้แล้วเสร็จทั้งหมดโดยเร็ว และรายงานผลให้กระทรวงมหาดไทยทราบภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๙ ๓.๕ กรณีอาคารอื่น ๆ ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ดัดแปลงหรือรื้อถอนอาคาร ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นติดตามตรวจสอบให้เป็นไปตามกฎหมาย หากพบการกระทำฝ่าฝืนกฎหมายให้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่อย่างเคร่งครัดต่อไป ๓.๖ กรณีอาคารเก่าที่เป็นอาคารสาธารณะ หรืออาคารที่มีผู้ใช้สอยจำนวนมาก ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นสำรวจและตรวจสอบอาคาร หากพบว่ามีสภาพไม่ปลอดภัยให้สั่งให้แก้ไขอาคารหรือระบบอุปกรณ์ให้มีความปลอดภัยหรือห้ามใช้อาคารได้ ๓.๗ ให้กระทรวงมหาดไทยสั่งการทุกจังหวัดกำชับเจ้าพนักงานท้องถิ่นตรวจสอบอาคารอย่างสม่ำเสมอทุกปี โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลต่าง ๆ ที่อาจเกิดเหตุสาธารณภัย เช่น อัคคีภัยและวาตภัย ทั้งนี้ เพื่อให้การปฏิบัติงานเกิดประสิทธิภาพและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
357 | การเข้าร่วมโครงการ The ratification and early implementation of the Minamata Convention on Mercury | ทส | 31/05/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการของบันทึกข้อตกลงโครงการ The ratification and early implementation of the Minamata Convention on Mercury ซึ่งเป็นการดำเนินการเพื่อประเมินกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการปรอท และการเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท การประเมินผลกระทบและผลประโยชน์ รวมทั้งการวิเคราะห์กฎหมายที่จำเป็นสำหรับการเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาฯ การจัดเตรียมแผนการเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาฯ และการจัดประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาฯ โดยหน่วยงาน United Nation Institute for Training and Research (UNITAR) จะให้การสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินโครงการ ๒๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ๑.๒ เห็นชอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเข้าร่วมดำเนินโครงการฯ และมอบหมายให้อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยในบันทึกข้อตกลงโครงการฯ ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เห็นควรพิจารณาเพิ่มหน่วยงานระดับชาติและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับโครงการในภาคผนวก ๑ ให้ครอบคลุมหน่วยงานที่จะมีส่วนสำคัญในช่วงปฏิบัติการตามอนุสัญญาฯ เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งมีหน้าที่บริหารจัดการขยะที่สามารถเป็นแหล่งปลดปล่อยปรอทที่สำคัญ ทั้งจากซากผลิตภัณฑ์ที่เติมปรอทที่หมดอายุแล้ว และนำมาทิ้งปะปนกับขยะชุมชน ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่เติมปรอทตามที่ระบุในข้อ ๔ และภาคผนวก A และจากการเผาไหม้ขยะชุมชน ตามที่ระบุในข้อ ๘ การปลดปล่อย และภาคผนวก D ของอนุสัญญาฯ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
358 | แผนปฏิบัติการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดต่อหรือโรคระบาด พ.ศ. 2559 - 2561 ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 | สธ | 24/05/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนปฏิบัติการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดต่อหรือโรคระบาด พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๑ ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. ๒๕๕๘ ประกอบด้วย วิสัยทัศน์ ประเทศไทยปลอดภัยจากโรคติดต่อด้วยระบบป้องกันและควบคุมโรคติดต่อที่มีประสิทธิภาพ ทันต่อสถานการณ์ และเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ ภายใต้ความร่วมมือของทุกภาคส่วนเพื่อนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนอย่างยั่งยืน และเป้าประสงค์ กวาดล้าง กำจัด ควบคุมโรคติดต่อสำคัญของประเทศด้วยระบบและเครือข่ายการทำงานที่เข้มแข็ง รวมทั้งการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยมีแผนปฏิบัติการ ๔ ระบบหลัก คือ ระบบป้องกันโรคติดต่อ (Prevention) ระบบตรวจจับภัยจากโรคติดต่อ (Detection) ระบบควบคุมโรคติดต่อและตอบสนองต่อปัญหา (Response) และระบบสนับสนุนการดำเนินงานด้านโรคติดต่อ (Support) ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒. ส่วนงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการดำเนินงานและนำแผนปฏิบัติการดังกล่าวไปใช้เป็นกรอบในการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ โดยคำนึงถึงหลักความประหยัดและความคุ้มค่า ตลอดจนสนับสนุนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ซึ่งรวมถึงภาคเอกชน ภาคประชาชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อร่วมแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการดังกล่าว สำหรับค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ภายใต้แผนปฏิบัติการดังกล่าว ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ไปดำเนินการ ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาถึงความเชื่อมโยงสอดคล้องกับแผนงานและโครงการภายใต้แผนยกระดับความมั่นคงและความเป็นเลิศด้านควบคุมโรค พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในหลักการเมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๙ เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินงานและการใช้งบประมาณ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
359 | สรุปผลการพิจารณาดำเนินการตามรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิของแรงงานข้ามชาติ | รง | 16/05/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาดำเนินการตามรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิของแรงงานข้ามชาติ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งกระทรวงแรงงานได้มีการจัดทำแผนการจ้างแรงงานในรายสาขาการผลิตหรือบริการ การประสานความร่วมมือและอำนวยความสะดวกเพื่อหางานใหม่ให้แรงงานข้ามชาติทำ การบูรณาการร่วมกับส่วนราชการอื่นในระดับจังหวัด และจัดบริการร่วมกับศูนย์ดำรงธรรมของจังหวัดในการแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวหรือแรงงานข้ามชาติ เพื่อดูแลแรงงานให้ครอบคลุมทุกมิติ โดยไม่เลือกปฏิบัติ การประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อช่วยเหลือในเรื่องส่งแรงงานต่างด้าวหรือแรงงานข้ามชาติกลับออกไปนอกราชอาณาจักร การประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมมือในการช่วยเหลือด้านที่พักพิง การเดินทางไปศาลหรือความจำเป็นอื่นสำหรับแรงงานข้ามชาติ การจัดทำสื่อ Digital แผ่นพับ สื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ในการประชาสัมพันธ์บทบาท ภารกิจ และอำนาจหน้าที่ของกระทรวงแรงงาน กฎหมายที่เกี่ยวข้องสำหรับแรงงานข้ามชาติในปัจจุบัน และสิทธิประโยชน์ที่พึงมีพึงได้ การให้บริการสายด่วนสำหรับการจดทะเบียนต่างด้าวหรือแรงงานข้ามชาติ รวมทั้งศึกษาข้อดีข้อเสียต่าง ๆ ในบริบทของไทย โดยเฉพาะผลกระทบและสถานการณ์การให้ความคุ้มครองสิทธิแรงงานข้ามชาติ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
360 | รายงานผลการพิจารณาศึกษาข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง แนวทางการปฏิรูป การกระจายอำนาจและการปกครองท้องถิ่น) | มท | 16/05/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เรื่อง แนวทางการปฏิรูปการกระจายอำนาจและการปกครองท้องถิ่น ซึ่งกระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้จัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการปฏิรูปการกระจายอำนาจ การปฏิรูปโครงสร้างและอำนาจหน้าที่ของการปกครองท้องถิ่น การปฏิรูปการกำกับ ตรวจสอบ และการมีส่วนร่วมของประชาชนในการปกครองท้องถิ่น การปฏิรูปการเงินการคลังท้องถิ่น และการปฏิรูปการบริหารงานบุคคลท้องถิ่น ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นควรมีการศึกษาและพิจารณาโครงสร้าง บทบาทและภารกิจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในภาพรวมทั้งระบบอย่างรอบด้าน รวมทั้งพัฒนาและส่งเสริมให้ประชาชน ชุมชน และภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงานและตรวจสอบการทำงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในทุกระดับอย่างแท้จริง เพื่อให้การกระจายอำนาจและส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นสำเร็จผลเป็นรูปธรรม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความเข้มแข็ง มีธรรมาภิบาล โดยสามารถบริหารงานและทำหน้าที่เป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำบริการสาธารณะแก่ประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งรายงานผลการพิจารณาดังกล่าวของกระทรวงมหาดไทยให้คณะกรรมการประสานงาน รวม ๓ ฝ่าย (คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) เพื่อพิจารณาความสอดคล้องและความเหมาะสมกับการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
.....