ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 20 จากทั้งหมด 74 หน้า แสดงรายการที่ 381 - 400 จากข้อมูลทั้งหมด 1463 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
381 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง การอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนระหว่างภาคอุตสาหกรรมและชุมชนด้วยแนวคิดเมืองนิเวศ) | อก | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ เรื่อง การอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนระหว่างภาคอุตสาหกรรมและชุมชนด้วยแนวคิดเมืองนิเวศ ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นด้วยกับการจัดตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศแห่งชาติ แต่ไม่จำเป็นต้องจัดตั้งองค์กรใหม่ เนื่องจากกระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรมและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยมีการดำเนินการตามภารกิจเพื่อให้มีการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนระหว่างภาคอุตสาหกรรมและชุมชนด้วยแนวคิดเมืองนิเวศอยู่แล้ว นอกจากนี้ เห็นชอบกับข้อเสนอการปรับปรุงและพัฒนากฎหมายที่มีอยู่ให้เอื้อต่อการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ โดยต้องมีการรับฟังข้อคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และสำนักงาน ก.พ. ที่เห็นควรเพิ่มความชัดเจนในดัชนีชี้วัดความสำเร็จเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศในมิติทางด้านเศรษฐกิจ การนำแนวทางประชารัฐและวิสาหกิจเพื่อสังคมมาปรับใช้ในการจัดทำแผนขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์กรอบแนวคิดและความหมายของเมืองนิเวศเชิงอุตสาหกรรม รวมทั้งการกำหนดมาตรการสนับสนุนและผลักดันในเรื่อง (๑) การสร้างมูลค่าเพิ่มเชิงเศรษฐกิจจากผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมให้แก่ชุมชนโดยรอบนิคมอุตสาหกรรม (๒) การกำหนดที่ตั้งและการดูแลพื้นที่กันชนอุตสาหกรรม (Industrial buffer Zone) (๓) การป้องกันผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากนิคมอุตสาหกรรมที่ตั้งขึ้นใหม่ (๔) การดำเนินการด้านบรรษัทภิบาลหรือความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และควรมีแผนการบริหารจัดการน้ำที่ชัดเจน เช่น การไม่ทิ้งน้ำเสียออกนอกเขตอุตสาหกรรม (Zero Discharge) การจัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อเปรียบเทียบบทบาทและหน้าที่ขององค์กรนิเวศอุตสาหกรรมกับหน่วยงานที่มีอยู่ภายในกระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานภายนอกที่มีลักษณะการทำงานใกล้เคียงกับประเภทขององค์กร การพิจารณาให้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่าการประเมินวัฏจักรชีวิต (Life Cycle Assessment : LCA) เป็นส่วนหนึ่งของเกณฑ์การพิจารณาในตัวชี้วัดการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนระหว่างภาคอุตสาหกรรมและชุมชนในทุกมิติ การบูรณาการกฎหมาย/กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน การปรับปรุงและพัฒนากลไกการบริหารจัดการความร่วมมือและการบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพ การบูรณาการและกำหนดแผนการทำงานที่ชัดเจนร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ เอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งเปิดโอกาสให้ประชาชนในพื้นที่อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบเข้ามามีส่วนร่วม ๓. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งรายงานผลการพิจารณาดังกล่าวของกระทรวงอุตสาหกรรมให้คณะกรรมการประสานงาน รวม ๓ ฝ่าย (คณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ) เพื่อพิจารณาความสอดคล้องและความเหมาะสมกับการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||
382 | หลักเกณฑ์การประเมินค่ารายปีภาษีโรงเรือนและที่ดินของรัฐวิสาหกิจ | กค | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์การประเมินค่ารายปีภาษีโรงเรือนและที่ดินของรัฐวิสาหกิจ โดยให้กระทรวงมหาดไทยออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์การประเมินค่ารายปีเครื่องจักรที่เป็นส่วนควบ และออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์การประเมินค่ารายปีทรัพย์สินประเภทโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นกับที่ดินซึ่งใช้ต่อเนื่องกับโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และเห็นชอบตามความเห็นของกระทรวงพลังงานว่า ในระหว่างที่รอกระทรวงมหาดไทยออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์การประเมินค่ารายปีทรัพย์สินประเภทโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นกับที่ดินซึ่งใช้ต่อเนื่องกับโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น จะยังคงขอใช้บัญชีราคาค่าเช่ามาตรฐานกลางเฉลี่ยต่อตารางเมตรต่อเดือนของแต่ละโรงไฟฟ้าตามที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เสนอ และคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ลดหย่อนค่ารายปีและค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินที่คำนวณจากบัญชีราคาค่าเช่าที่ กฟผ. เสนอแล้ว ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งดำเนินการออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ตามข้อเสนอของกระทรวงการคลังให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และประธานกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ที่เห็นควรเร่งทำความเข้าใจและกำกับให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่งนำหลักเกณฑ์การประเมินค่ารายปีไปปฏิบัติอย่างเคร่งครัด โดยค่ารายปีที่จะลดหย่อนให้แก่รัฐวิสาหกิจต่าง ๆ นอกจากการคำนึงถึงรายได้ของท้องถิ่นและความเป็นธรรมกับผู้เสียภาษีทั่วไปรายอื่น ๆ แล้ว จะต้องพิจารณาความเหมาะสมและสถานะของรัฐวิสาหกิจบางแห่งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และมีผู้ถือหุ้นบางส่วนเป็นเอกชนและชาวต่างชาติด้วย เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อการแข่งขันที่เป็นธรรม และสำหรับในอนาคตต่อไปหากรัฐวิสาหกิจมีความจำเป็นต้องเสนอขอลดหย่อนค่ารายปีภาษีโรงเรือนและที่ดิน เห็นควรมอบหมายให้คณะกรรมการพิจารณาคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ในท้องถิ่นนั้นร่วมกับกระทรวงเจ้าสังกัดของรัฐวิสาหกิจพิจารณาอย่างรอบคอบให้ได้ข้อยุติก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ในกรณีที่รัฐวิสาหกิจมีเหตุผลความจำเป็นที่จะต้องขอลดหย่อนค่ารายปี โดยอาศัยอำนาจตามนัยมาตรา ๓๑ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช ๒๔๗๕ เนื่องจากประสบปัญหาทางการเงินหรือการดำเนินกิจการ เมื่อกระทรวงเจ้าสังกัดของรัฐวิสาหกิจนั้นเสนอเรื่องไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งเรื่องดังกล่าวให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจนได้ข้อยุติก่อน และให้กระทรวงการคลังนำผลการพิจารณาดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน |
|||||||||||||||||||||
383 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 08/03/2559 | ||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณากำหนดแนวทางการจัดกิจกรรมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น กระตุ้นการใช้จ่ายในชุมชน ส่งเสริมการประกอบอาชีพนอกภาคการเกษตร รวมทั้งสร้างความสุขให้แก่ประชาชนในแต่ละพื้นที่ เช่น การจัดงานในวัด ทั้งนี้ ให้นำเสนอแนวทางดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีภายในสัปดาห์หน้า ๒. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) พิจารณาจัดกลุ่มกฎหมายเพื่อให้ง่ายต่อการรับรู้ของประชาชน เช่น กลุ่มกฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต กลุ่มกฎหมายด้านกระบวนการยุติธรรม กลุ่มกฎหมายการปฏิรูประบบราชการ เพื่อสร้างการรับรู้ให้ประชาชนเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ การบังคับใช้กฎหมาย และประโยชน์ที่จะได้รับจากกฎหมายนั้น ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ตามที่ได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรักษาความสงบเรียบร้อยในแต่ละพื้นที่ให้มีความปลอดภัยและความสงบสุข รวมทั้งปราบปรามผู้มีอิทธิพล นั้น มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการร้องเรียนจากประชาชน เช่น ตลาดโบ๊เบ๊ ๓.๒ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดประเด็นการขับเคลื่อนการดำเนินการในช่วงระยะเวลาที่เหลือของการบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรี (ถึงเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐) ภายใต้หลักธรรมาภิบาล โดยเฉพาะในเรื่องที่มีความจำเป็นเร่งด่วน เช่น การแก้ไขปัญหาภัยแล้ง การปรับโครงสร้างการเกษตร การสร้างความเข้มแข็งและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ การรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศในทุกมิติ การสร้างคุณธรรม และจริยธรรมของสังคมเพื่อลดความขัดแย้ง การบริหารจัดการด้านการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ การพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง รวมทั้งกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบการบูรณาการในแต่ละประเด็น ทั้งนี้ ให้เสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๓.๓ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางในการสนับสนุนรถหรือเครื่องมือให้แก่เกษตรกรชาวไร่อ้อย เพื่อใช้ในการกำจัดใบอ้อยและตออ้อย รวมทั้งประสานให้โรงงานที่จะรับซื้ออ้อยจากเกษตรกรร่วมรับผิดชอบในการกำจัดใบอ้อยและตออ้อยด้วย ๓.๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งกำหนดรูปแบบการใช้ประโยชน์จากที่ดินให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ทั้งในระดับภูมิภาค ระดับกลุ่มจังหวัด และระดับจังหวัด โดยให้มีกลไกการสนับสนุนเงินทุนให้แก่ชุมชนและให้มีการเชื่อมโยงด้านการผลิตและการตลาดในระยะต่อไป เพื่อให้การจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายของรัฐบาลเกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรม ภายในปี ๒๕๖๐ ๓.๕ ให้ทุกส่วนราชการร่วมดำเนินการให้ “ปี ๒๕๕๙ เป็นปีแห่งธรรมาภิบาล” โดยให้การปฏิบัติภารกิจในความรับผิดชอบอยู่ภายใต้หลักธรรมาภิบาล รวมทั้งจัดกิจกรรมเพื่อรณรงค์และสร้างเสริมให้สังคมไทยเป็นสังคมแห่งธรรมาภิบาล เช่น การจัดกิจกรรมร่วมกันระหว่าง ๓ ศาสนา เพื่อปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม และจิตสำนึกให้แก่คนในชาติเพื่อเป็นพลังให้สังคมมีความเข้มแข็ง
|
|||||||||||||||||||||
384 | รายงานการพิจารณาศึกษาข้อเสนอเชิงนโยบาย "การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม" ของคณะกรรมาธิการการสื่อสารมวลชน การวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และสารสนเทศ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 01/03/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานพร้อมทั้งข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการสื่อสารมวลชน การวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสารสนเทศ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เกี่ยวกับเรื่อง “การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม” ซึ่งเห็นว่าในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากด้วยฐานความรู้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ควรเชื่อมโยงองค์ความรู้อันอาศัยกลไกหลักที่เป็นความร่วมมือระหว่างเครือข่ายมหาวิทยาลัย ชุมชนท้องถิ่น ผู้ประกอบการ หน่วยงานราชการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดกลุ่มเครือข่ายการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมที่ยั่งยืน ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
385 | การใช้จ่ายเงินสะสมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล | มท | 23/02/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการใช้จ่ายเงินสะสมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทยจะพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์การนำเงินสะสมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมาใช้ดำเนินโครงการ เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลเพิ่มเติม โดยให้รวมถึงโครงการ/กิจการที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้งนี้ เพื่อให้การนำเงินสะสมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมาใช้เพื่อสนับสนุนนโยบายรัฐบาล มีขอบเขตการใช้จ่ายที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยให้กระทรวงมหาดไทยบูรณาการดำเนินโครงการในพื้นที่ ภายใต้กลไกประชารัฐต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
386 | การประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี (ขอความเห็นชอบการจัดสวัสดิการเบี้ยความพิการ) | พม | 16/02/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการแก้ไขระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเบี้ยความพิการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๕๓ เพื่อให้คนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการมีสิทธิได้รับเบี้ยความพิการทันที โดยไม่ต้องรอลงทะเบียนเพื่อขอรับเบี้ยความพิการในปีถัดไป ๑.๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงบประมาณ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา ดำเนินการตามหน้าที่และภารกิจเพื่อให้คนพิการทุกคนที่มีบัตรประจำตัวคนพิการ ได้รับเบี้ยความพิการทันที ตั้งแต่ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ เป็นต้นไป ๒. กรณีที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติหรือเห็นชอบในหลักการสำหรับการดำเนินการในเรื่องใดแล้ว หากหน่วยงานผู้รับผิดชอบหลักจะต้องได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีนั้น ให้หน่วยงานผู้รับผิดชอบหลักประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติหรือเห็นชอบในหลักการไว้ โดยไม่ต้องนำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณามอบหมายอีก |
|||||||||||||||||||||
387 | ข้อคิดเห็นของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี | นร | 09/02/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) และรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) รายงานข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลและการบริหารราชการแผ่นดิน ดังนี้ ๑.๑ รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รายงานว่า ๑.๑.๑ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการจับกุมผู้กระทำความผิดชาวต่างชาติรายสำคัญ รวม ๖ คน ที่ลักลอบเข้าประเทศไทยและทำการปลอมแปลงหนังสือเดินทาง (Passport) ของประเทศต่าง ๆ จำหน่ายให้แก่ผู้ที่ต้องการเดินทางไปประเทศที่สามมาเป็นเวลานาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะขยายผลการจับกุมต่อไป ทั้งนี้ ตั้งแต่หลังวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ เป็นต้นมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติสามารถดำเนินการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถจับกุมผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร ๑.๑.๒ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๖/๒๕๕๙ เรื่อง การคัดเลือกหรือการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ลงวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ เพื่อให้การคัดเลือกหรือการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจที่อยู่ภายใต้กฎหมาย ประกาศ และคำสั่งหลายฉบับที่มีกระบวนการและขั้นตอนการปฏิบัติที่แตกต่างกัน สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๗/๒๕๕๙ เรื่อง การกำหนดตำแหน่งของข้าราชการตำรวจซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการสอบสวน ลงวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ เพื่อปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งให้สอดคล้องกับโครงสร้าง และระบบการบังคับบัญชาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งจะส่งผลในการเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจในงานสอบสวนต่อไป ๑.๒ รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) รายงานว่า ปัจจุบันมีหลายประเทศที่กำหนดมาตรการจูงใจเพื่อให้ผู้ประกอบการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศเข้ามาลงทุน ซึ่งที่ผ่านมาประเทศไทยไม่ได้กำหนดมาตรการที่จะดึงดูดให้ผู้ประกอบการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ทำให้สูญเสียโอกาสในการเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ที่มีเงินลงทุนสูงหลายเรื่อง จึงควรมีการหารือร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการให้เกิดผลในทางปฏิบัติต่อไป ๑.๓ รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) รายงานว่า ๑.๓.๑ เนื่องจากวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ของทุกปีเป็น "วันนักประดิษฐ์" ซึ่งเป็นการระลึกถึงวันที่จดทะเบียนและทูลเกล้าฯ ถวายสิทธิบัตรการประดิษฐ์ "เครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่นลอย" หรือ "กังหันชัยพัฒนา" แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช จึงได้มีการจัดงาน “วันนักประดิษฐ์” ประจำปี ๒๕๕๙ ระหว่างวันที่ ๒-๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา โดยในงานดังกล่าวได้มีการมอบรางวัลสภาวิจัยแห่งชาติและจัดนิทรรศการผลงานสิ่งประดิษฐ์ของไทย เช่น นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “พระบิดาแห่งการประดิษฐ์ไทย” นิทรรศการรางวัลสภาวิจัยแห่งชาติ การแสดงผลงานสิ่งประดิษฐ์จากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ผลงานประดิษฐ์คิดค้นที่ได้รับรางวัลจากนานาชาติ และผลงานสิ่งประดิษฐ์ระดับภูมิภาคอาเซียน ทั้งนี้ จะได้สรุปผลงานสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมเพื่อส่งให้ส่วนราชการต่าง ๆ พิจารณาใช้ประโยชน์ต่อไป ๑.๓.๒ ผลการตรวจการปฏิบัติราชการในพื้นที่จังหวัดอำนาจเจริญและยโสธรพบว่า ประชาชนในพื้นที่มีความพอใจในมาตรการให้ความช่วยเหลือต่าง ๆ ของรัฐบาลที่ดำเนินการในพื้นที่ เช่น มาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล จึงถือเป็นโอกาสที่ดีที่ส่วนราชการต่าง ๆ จะขับเคลื่อนการดำเนินงานต่อไป โดยเฉพาะการขยายตลาดประชารัฐซึ่งประชาชนเห็นว่าเป็นการสร้างอาชีพเสริมเพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชนได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ประชาชนยังมีความต้องการให้ส่วนราชการสนับสนุนการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการประกอบอาชีพเสริมและการเพิ่มมูลค่าผลผลิตต่าง ๆ ด้วย ๑.๔ รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) รายงานว่า ๑.๔.๑ การสนับสนุนและส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศจำเป็นที่จะต้องปรับยุทธศาสตร์การพัฒนาของประเทศไทยให้เน้นการเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านให้มากยิ่งขึ้น เพื่อให้ประเทศไทยสามารถเป็น Gateway สู่ภูมิภาคอาเซียนได้อย่างแท้จริง ๑.๔.๒ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลได้อนุมัติไปแล้วโดยเฉพาะโครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ และมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถดำเนินโครงการให้เป็นไปตามแผนงานจะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญในช่วงครึ่งแรกของปี ส่วนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี รัฐบาลจำเป็นต้องร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการนำเงินงบประมาณที่ได้รับมาลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นในการพัฒนาพื้นที่และเพิ่มศักยภาของชุมชน รวมทั้งเร่งรัดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่โดยเฉพาะโครงการภายใต้การกำกับของกระทรวงคมนาคมให้สามารถเริ่มดำเนินโครงการได้ภายในไตรมาสที่ ๓ และ ๔ ๑.๔.๓ การหารือร่วมกับกระทรวงการคลังและสถาบันการเงินของรัฐ ประกอบด้วยธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน และธนาคารอาคารสงเคราะห์ เกี่ยวกับแนวทางการดำเนินโครงการบ้านประชารัฐ โดยสถาบันการเงินของรัฐทั้ง ๓ แห่งจะให้การสนับสนุนสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับประชาชนผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง ซึ่งอัตราดอกเบี้ยในประเทศในปัจจุบันที่อยู่ในระดับต่ำจะช่วยให้โครงการมีความน่าสนใจมากขึ้น ๒. มอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ มาตรการ ผลตอบแทนและผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการตามมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทยในรูปแบบมาตรการคืนเงินให้เกิดความรอบคอบ รัดกุม และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
388 | แนวทางการปฏิรูปการจัดทำงบประมาณ | นร | 09/02/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอแนวทางการปฏิรูปการจัดทำงบประมาณ โดยจะดำเนินการใน ๒ ส่วนหลัก ดังนี้ ๑.๑ ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายวิธีการงบประมาณ โดยเพิ่มเติม/ปรับปรุงในประเด็นสำคัญ ได้แก่ การให้จังหวัด กลุ่มจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นหน่วยรับงบประมาณ หลักการความรับผิดชอบทางการคลัง การจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการ การรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่สำหรับการจัดทำแผนในระดับพื้นที่ของจังหวัด กลุ่มจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การโอนงบประมาณระหว่างหน่วยงานภายใต้แผนบูรณาการและแผนงานบุคลากรภาครัฐเดียวกัน การเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารงบประมาณ การปรับปรุงระบบการติดตามและประเมินผล เป็นต้น ๑.๒ ปรับปรุงแนวทางการจัดทำงบประมาณ ๑.๒.๑ ในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีจะยึดยุทธศาสตร์ชาติ ๖ ด้าน ระยะ ๒๐ ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบายรัฐบาล แผนปฏิรูปภาครัฐ นโยบายความมั่นคงแห่งชาติ และแผนหลักอื่น ๆ โดยจัดทำกรอบงบประมาณรายรับและรายจ่ายล่วงหน้าระยะ ๒๐ ปี และยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี ให้หน่วยงานใช้ในการจัดทำคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี ๑.๒.๒ งบประมาณรายจ่ายประจำปี ประกอบด้วย ๕ กลุ่ม คือ (๑) Function (ภารกิจพื้นฐาน) (๒) Agenda (ภารกิจยุทธศาสตร์ นโยบายเร่งด่วน แนวทางปฏิรูปภาครัฐ งบประมาณบูรณาการ) (๓) Area (ภารกิจพื้นที่ ท้องถิ่น ภูมิภาค จังหวัด กลุ่มจังหวัด) (๔) งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น หรืองบภัยพิบัติ หรือเร่งด่วน และ (๕) รายจ่ายชดใช้เงินกู้และดอกเบี้ย ๒. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ ร่วมกับส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐดำเนินการจัดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ออกเป็น ๕ กลุ่ม ตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอ ให้แล้วเสร็จภายใน ๑ เดือน สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้ส่วนราชการดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวต่อไป ๓. ในการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการ โดยเฉพาะภารกิจยุทธศาสตร์ Agenda ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณาหารือร่วมกัน โดยผ่านกลไกของคณะกรรมการพิจารณาการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ จำนวน ๖ คณะ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ เพื่อกำกับการจัดทำงบประมาณในลักษณะเดียวกัน ๔. ในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้ส่วนราชการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีในมิติรายจ่ายภารกิจพื้นฐาน (Function) มิติรายจ่ายภารกิจยุทธศาสตร์ (Agenda) และมิติรายจ่ายภารกิจพื้นที่ (Area) ให้เกิดความเชื่อมโยงและสอดรับกัน ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาหากลไกในการเชื่อมโยงงบจังหวัดและกลุ่มจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กับยุทธศาสตร์ชาติ ๖ ด้าน ระยะ ๒๐ ปี และงบประมาณของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ๕. ให้สำนักงบประมาณชี้แจงทำความเข้าใจกับส่วนราชการเกี่ยวกับแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีในรูปแบบใหม่ ๖. ให้กระทรวงการคลังจัดทำยุทธศาสตร์ด้านรายรับให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ๖ ด้าน ระยะ ๒๐ ปี กรอบงบประมาณรายรับและรายจ่ายล่วงหน้าระยะ ๒๐ ปี และการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีด้วย
|
|||||||||||||||||||||
389 | รายงานผลการตรวจราชการแบบบูรณาการ ของผู้ตรวจราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 (Annual Inspection Report : Fiscal Year 2015) ประเด็นนโยบายสำคัญการดำเนินการตามกรอบประชาคมอาเซียน และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้านการจัดการขยะมูลฝอย | นร | 02/02/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการตรวจราชการแบบบูรณาการ ของผู้ตรวจราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ (Annual Inspection Report : Fiscal Year 2015) ประเด็นนโยบายสำคัญการดำเนินการตามกรอบประชาคมอาเซียน และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้านการจัดการขยะมูลฝอย ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี) เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การดำเนินการตามกรอบประชาคมอาเซียน ได้แก่ การเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของสินค้าและบริการ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ การเพิ่มศักยภาพของเมืองเพื่อเชื่อมโยงโอกาสจากอาเซียน (เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษและด่านชายแดน) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ คุณภาพชีวิตและการคุ้มครองทางสังคม และการพัฒนากฎหมาย กฎ และระเบียบ ๑.๒ การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้านการจัดการขยะมูลฝอย โดยดำเนินการตาม Roadmap การจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย ได้แก่ การกำจัดขยะมูลฝอยตกค้างสะสมในสถานที่กำจัดขยะมูลฝอยในพื้นที่วิกฤต (ขยะมูลฝอยเก่า) การจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตรายที่เหมาะสม (ขยะมูลฝอยใหม่) การวางระเบียบมาตรการการบริหารจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย และการสร้างวินัยของคนในชาติมุ่งสู่การจัดการที่ยั่งยืน ๒. ให้สำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมจากสัดส่วนงบกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามความเหมาะสมเพื่อส่งเสริมให้การจัดการขยะมูลฝอยของประเทศเป็นไปตามนโยบายรัฐบาล การดำเนินการตามกรอบประชาคมอาเซียนให้เร่งรัดดำเนินการเชื่อมโยงระบบข้อมูลภายใต้ระบบเชื่อมโยงข้อมูล ณ จุดเดียว และให้ความสำคัญกับการสร้างความเชื่อมโยงในห่วงโซ่มูลค่าระหว่างภาคการผลิตกับภาคเกษตรและภาคบริการภายในประชาคมอาเซียนให้มากขึ้น การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมด้านการจัดการขยะมูลฝอยให้มีการเร่งรัดแก้ไขปัญหาการจัดการขยะมูลด้วยรูปแบบการจัดการนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ โดยให้มีการจัดการขยะที่ต้นทาง ลดปริมาณการผลิตขยะ และส่งเสริมให้เกิดกลไกการคัดแยกขยะเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ให้มากที่สุด และการวัดผลสัมฤทธิ์จากการตรวจราชการซึ่งมีตัวชี้วัดผลสำเร็จเชิงผลลัพธ์ที่มีความชัดเจนเพื่อสะท้อนผลการปฏิบัติงานได้อย่างเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
390 | วงเงินงบประมาณและยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2560 | นร07 | 02/02/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ๑.๒ ยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ๑.๓ แนวทางการจัดทำและเสนอของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ๑.๔ การจัดสรรงบประมาณให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๒. ให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่ให้จัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ แบบบูรณาการและเชื่อมโยงกันทุกมิติ ทั้งในส่วนของมิติยุทธศาสตร์ (Agenda base) มิติส่วนราชการ (Function base) และมิติพื้นที่ (Area base) เพื่อให้การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นไปอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุดต่อไป ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
|
|||||||||||||||||||||
391 | ข้อคิดเห็นของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี | นร04 | 02/02/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) รองนายกรัฐมนตรี (พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย) รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรายงานข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลและการบริหารราชการแผ่นดิน ดังนี้
๑. รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รายงานว่า กรุงเทพมหานครได้ดำเนินการลงนามในสัญญาโครงการก่อสร้างเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็กและประตูระบายน้ำ คลองลาดพร้าว คลองบางบัว คลองถนน คลองสอง และคลองบางซื่อ เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยจะเริ่มก่อสร้างประมาณต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ และรัฐบาลจะพัฒนาพื้นที่ตามแนวริมเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็กดังกล่าวเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยต่อไป สำหรับโครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ระหว่างการออกแบบก่อสร้าง โดยกระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับการดำเนินการโครงการฯ เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการดำเนินการก่อสร้างอย่างต่อเนื่องต่อไป ๒. รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) รายงานผลการติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนว่า การจัดซื้อจัดจ้างของส่วนราชการและจังหวัดในพื้นที่พบว่าการประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์โดยวิธี e-Bidding ในหลายกรณีมีปัญหาดำเนินงานไม่แล้วเสร็จตามกำหนดเวลา ดังนั้น จึงควรมีการประเมินความเหมาะสมและความคุ้มค่าของการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยวิธีดังกล่าว และผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนได้เสนอโครงการเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community : AC) ได้แก่ (๑) การพัฒนาท่าอากาศยานจังหวัดเลยเป็นสนามบินศุลกากร (๒) การพัฒนา/ขยายขีดความสามารถของท่าอากาศยานจังหวัดขอนแก่น (๓) การพัฒนาระบบขนส่งทางถนนเพื่อเชื่อมโยงจังหวัดนครพนม สกลนคร และมุกดาหาร รวมทั้งเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านด้วย ๓. รองนายกรัฐมนตรี (พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย) รายงานว่า เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับพร้อมคณะได้เข้าพบและหารือเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้การดำเนินมาตรการป้องกันอุบัติเหตุทางถนนไม่บรรลุผลอย่างเต็มประสิทธิภาพ เนื่องจากขาดความจริงจังในการบังคับใช้กฎหมายและขาดความร่วมมือจากผู้ขับขี่ ในปัจจุบันสถิติการเกิดอุบัติเหตุทางถนนของไทยสูงเป็นอันดับ ๒ ของโลก จึงควรดำเนินมาตรการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องและเคร่งครัด โดยเฉพาะมาตรการยึดรถของผู้ขับขี่ที่เมาแล้วขับ ซึ่งเป็นมาตรการที่นายกรัฐมนตรีได้ให้ความสำคัญกับการป้องกันอุบัติเหตุทางถนนและนำมาตรการดังกล่าวมาใช้ได้ผลอย่างชัดเจนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๔. รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) รายงานผลการติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างว่า ข้าราชการและประชาชนในพื้นที่มีความเข้าใจและให้ความร่วมมือในการดำเนินการตามมาตรการบรรเทาปัญหาภัยแล้งของรัฐบาลเป็นอย่างดี เช่น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการปลูกพืชโดยใช้น้ำน้อย การขุดลอกคูคลอง เป็นต้น ๕. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรายงานว่า เนื่องจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นหน่วยงานที่มีงบประมาณของตนเองจำนวนหนึ่งที่สามารถนำมาใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลในบางเรื่องได้ เช่น การเพิ่มความต้องการของส่วนราชการในการใช้ยางพารา เป็นต้น ดังนั้น รัฐบาลจึงควรขอความร่วมมือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการพิจารณาใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าวในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาลที่มีการใช้ส่วนประกอบจากยางพารา เช่น การก่อสร้างสนามกีฬาหรือสนามเด็กเล่น เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||
392 | ร่างข้อตกลงร่วมโครงการ Technical Assistance of Sewage Technology in Collaboration with Public and Private Sectors in Thailand ระหว่างองค์การจัดการน้ำเสียกับหน่วยงานระบายน้ำของประเทศญี่ปุ่น | ทส | 26/01/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างข้อตกลงร่วมโครงการ Technical Assistance of Sewage Technology in Collaboration with Public and Private Sectors in Thailand ระหว่างองค์การจัดการน้ำเสียกับ Saitama Prefectural Government Bureau of Public Sewerage works (SAITAMA) ภายใต้โครงการความร่วมมือขององค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency : JICA) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาศักยภาพของบุคลากรด้านเทคนิคขององค์การจัดการน้ำเสีย (อจน.) ในลักษณะต่อยอดจากโครงการเดิมที่เป็นผู้ปฏิบัติงานที่มีความเชี่ยวชาญไปสู่การเป็นผู้ถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการบำบัดน้ำเสีย และ SAITAMA จะสนับสนุนค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวข้องตลอดระยะเวลาดำเนินงาน ๑.๒ ให้ผู้แทน อจน. เป็นผู้ลงนามในร่างข้อตกลงร่วมฯ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ อจน. รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับปีที่จะมีการจัดทำและลงนามในร่างข้อตกลงร่วมฯ รวมทั้งระยะเวลาโครงการตามข้อตกลงร่วมฯ ในร่างข้อ ๑.๒ ของ Attachment และร่างข้อ ๖ ของ Annex ควรแก้ไขให้สอดคล้องกับเวลาในปัจจุบัน และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้ อจน. ควรพิจารณาติดตามและรายงานผลการดำเนินงานอย่างสม่ำเสมอเมื่อมีความก้าวหน้าที่ชัดเจนตลอดระยะเวลาของโครงการฯ และจัดทำรายงานสรุปผลการดำเนินงานโครงการฯ เพื่อเผยแพร่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบถึงการพัฒนาศักยภาพของ อจน. ในด้านการบริหารจัดการและบำรุงรักษาระบบบำบัดน้ำเสีย นอกจากนี้ อจน. และกรมควบคุมมลพิษควรมีบทบาทในการพิจารณาและให้ข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อข้อเสนอความร่วมมือกับภาคเอกชนญี่ปุ่นด้านระบบท่อรวบรวมน้ำเสีย รวมถึงเทคโนโลยีระดับสูงในการบำบัดน้ำเสียให้แก่ภาครัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของไทย ซึ่งปรากฏอยู่ภายใต้กิจกรรมที่ ๘.๔ และ ๘.๕ ภายใต้ข้อ ๘ กิจกรรมของโครงการ ในภาคผนวกของร่างข้อตกลงร่วมฯ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
393 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 26/01/2559 | ||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการเกี่ยวกับด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ดังนี้
๑. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือร่วมกันเพื่อจัดตั้งเครือข่ายในการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามกลไกประชารัฐ เช่น อาสาสมัครของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) (พอช.) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้าน (ทสม.) พัฒนากร ครูอาจารย์ ปราชญ์ชาวบ้านซึ่งเป็นบุคคลที่ทำงานใกล้ชิดกับประชาชนและได้รับการยอมรับนับถือจากคนในชุมชน เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง (Change Agent) ซึ่งจะเป็นตัวอย่างในการร่วมขับเคลื่อนกลไกประชารัฐในพื้นที่และช่วยสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนอื่นในพื้นที่ด้วย ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ จัดทำแผนงานเพื่อสร้างกลุ่มคนรุ่นใหม่เป็นผู้นำในการพัฒนาประเทศในระยะต่อไป โดยในการคัดเลือกผู้ที่มีความรู้ความสามารถพิเศษ (ช้างเผือก) ในสาขาต่าง ๆ เช่น นักเรียนรุ่นใหม่ เกษตรกรรุ่นใหม่ ให้คัดเลือกจากทุกจังหวัดทั่วประเทศ ๓. ให้ทุกส่วนราชการจัดกิจกรรมส่งเสริมการพัฒนาคนรุ่นใหม่ในลักษณะที่เป็นความร่วมมือระหว่างส่วนราชการเพื่อให้เกิดการบูรณาการ เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดกิจกรรมการเดินป่า กิจกรรมการแข่งขันไตรกีฬา กิจกรรมประกวดภาพถ่ายทัศนียภาพทางธรรมชาติที่สวยงาม ทั้งนี้ ในการจัดกิจกรรมดังกล่าวให้คำนึงถึงความสอดคล้องเชื่อมโยงกันระหว่างกิจกรรม และความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ รวมทั้งให้นำกลไกประชารัฐมาใช้ในการดำเนินการด้วย ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงศึกษาธิการ และทุกส่วนราชการที่จะจัดทำโครงการในลักษณะที่เป็นการให้ทุนการศึกษาระดับอุดมศึกษา (ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก) ทั้งในและต่างประเทศร่วมกันบูรณาการการจัดสรรทุนการศึกษาให้ตรงกับความต้องการของประเทศ โดยเฉพาะในสาขาที่ขาดแคลน เช่น แพทย์ พยาบาล วิศวกร นักวิทยาศาสตร์ ครู นักวิจัย ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เป็นต้น โดยให้จัดสัดส่วนทุนให้เหมาะสมระหว่างทุนการศึกษาปกติและทุนการศึกษาพิเศษที่กำหนดให้ผู้ได้รับทุนเมื่อจบการศึกษาแล้วต้องเข้ารับราชการกลับไปทำงานในภูมิลำเนา หรือเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านหรือนักวิจัย ๕. ให้กระทรงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทวงศึกษาธิการ จัดทำแผนงานเพื่อพัฒนาผู้ด้อยโอกาสทั่วประเทศ เช่น ผู้ที่มีฐานะยากจน เด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้ง ทั้งด้านชีวิตและความเป็นอยู่และการศึกษา รวมทั้งให้เด็กด้อยโอกาสเหล่านี้ได้พัฒนาให้เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพ และคัดเลือกให้เป็นแบบอย่างและสร้างแรงจูงใจให้แก่เด็กด้อยโอกาสอื่น ๆ ต่อไป ๖. ให้สำนักงบประมาณพิจารณาความเป็นไปได้ในการปรับปรุงกฎหมายงบประมาณเพื่อให้มีลักษณะเป็นการบูรณาการงบประมาณระหว่างหน่วยงานที่สอดคล้องกับภารกิจหลักของหน่วยงานและภารกิจที่เป็นการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณไม่ซ้ำซ้อน มีความคุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุด ๗. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ : สวทช.) เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคิดค้นเครื่องมือที่สนับสนุนการดำเนินงานของส่วนราชการ เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในการติดตามตัวผู้ที่อยู่ระหว่างการคุมประพฤติ (Electronic Monitoring : EM) และอุปกรณ์/ครุภัณฑ์ด้านการเกษตรเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร เช่น เครื่องรีดยางพาราแผ่นเพื่อลดต้นทุนการผลิตและการนำเข้าจากต่างประเทศ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||
394 | ข้อคิดเห็นของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี | นร05 | 26/01/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รองนายกรัฐมนตรี (พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย) รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รายงาน ดังนี้ ๑.๑ ความคืบหน้าเกี่ยวกับความมั่นคงและการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รายงาน ๑.๑.๑ ความก้าวหน้าในการแก้ไขการทำประมงผิดกฎหมาย ซึ่งมีประเด็นเกี่ยวกับ (๑) การดำเนินการตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ว่า กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เร่งรัดเพื่อดำเนินการตามกฎหมายดังกล่าว และอยู่ระหว่างการออกกฎหมายลำดับรองโดยเร็วต่อไป (๒) ศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมายได้จัดทำคู่มือการปฏิบัติงานของการเฝ้าระวังการทำประมงผิดกฎหมายเสร็จเรียบร้อยแล้วเพื่อนำไปใช้ประกอบการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งได้ตรวจสอบพบว่ามีการทำประมงนอกน่านน้ำในเขตมหาสมุทรอินเดีย และจะได้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป นอกจากนี้ได้เร่งรัดหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวทั้งระบบด้วยแล้ว ๑.๑.๒ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินการจัดทำ Application Home Guard โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มช่องทางการบริการประชาชนในการแจ้งเหตุ แจ้งเบาะแส ผ่านระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบ Smartphone ซึ่งสามารถส่งหลักฐานที่เป็นรูปถ่าย วีดิโอ พร้อมระบุพื้นที่เพื่อแจ้งให้กับเจ้าหน้าที่ในสถานีตำรวจที่ใกล้ที่สุดหรือสถานีที่ต้องการได้ ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ขยายการให้บริการรองรับประชาชนได้ทั่วประเทศ โดยประชาชนทั่วไปสามารถติดตั้ง (download) Application ดังกล่าวผ่านเว็บไซต์ www.homeguard.in.th ๑.๒ ความคืบหน้าเกี่ยวกับมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบล (ตำบลละ ๕ ล้านบาท) ๑.๒.๑ รองนายกรัฐมนตรี (พลเรือเอก ณรงค์ พิพัฒนาศัย) รายงานว่า ในฐานะกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค เขต ๖ กลุ่มภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย ได้ลงพื้นที่เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๙ โดยได้ติดตามและรับทราบปัญหาต่าง ๆ ในพื้นที่ โดยเฉพาะโครงการตามมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบลพบว่า มีการเบิกจ่ายเงินช้ามาก เนื่องจากมีโครงการจำนวนมาก รวมทั้งเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานที่มีความชำนาญในกฎหมายและระเบียบในการเบิกจ่ายเงินในแต่ละพื้นที่มีจำนวนไม่เพียงพอ ทำให้การดำเนินการล่าช้า ๑.๒.๒ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย รายงานว่า ได้มีการติดตามความคืบหน้าและแก้ปัญหาความล่าช้าต่าง ๆ โดยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมาติดตามในเรื่องการกำหนดราคากลางหรือการเบิกจ่ายที่ล้าช้าในลักษณะคอขวด นอกจากจัดเจ้าหน้าที่ส่วนกลางจากกระทรวงมหาดไทยแล้ว ก็ยังได้รับความร่วมมือจากกรมบัญชีกลางและสำนักงบประมาณในการลงไปปฏิบัติงานในพื้นที่ด้วย ทั้งนี้ คาดว่าช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์น่าจะมีการเบิกจ่ายได้ถึง ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท และได้ประสานงานและติดตามความคืบหน้าผ่านช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ เช่น VDO Conference Application Line เพื่อเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาการเบิกจ่ายต่อไป ๑.๓ ความคืบหน้าเกี่ยวกับการดำเนินงานด้านพลังงาน ๑.๓.๑ รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) รายงานว่า ได้ชี้แจงทำความเข้าใจกับคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาการบังคับใช้พระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ และร่างพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย และองค์กรพัฒนาเอกชน เกี่ยวกับประเด็นข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ และประเด็นที่ยังมีข้อขัดแย้งในสังคม ตามที่ได้รับมอบหมายจากคณะรัฐมนตรีตามมติเมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๘ เกี่ยวกับการเพิ่มหลักการในร่างพระราชบัญญัติปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... การจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ การจัดเก็บค่าภาคหลวงและการจัดเก็บภาษี และการดำเนินการเกี่ยวกับด้านปิโตรเลียม รวมทั้งพิจารณาแนวทางดำเนินการเกี่ยวกับการผลิตให้เหมาะสม ๑.๓.๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน รายงานว่า กรณีที่รัฐจะเป็นผู้ลงทุนสำรวจปิโตรเลียม และจ้างเอกชนดำเนินการต่อนั้น ยังมีประเด็นด้านงบประมาณเนื่องจากรัฐต้องใช้งบประมาณจำนวนมากในการดำเนินการดังกล่าว ดังนั้น จะได้มีการพิจารณาความเหมาะสมในประเด็นนี้อีกครั้งหนึ่ง ๒. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ ในการพิจารณาความเป็นไปได้ในการจ้างบุคลากรที่มีความรู้เรื่องการเบิกจ่ายงบประมาณจากข้าราชการที่เกษียณอายุราชการที่มีความรู้และประสบการณ์ในเรื่องนี้ เพื่อมาปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ เพื่อให้การเบิกจ่ายตามมาตรการช่วยเหลือประชาชนต่าง ๆ ของรัฐบาล เช่น มาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ระดับตำบลเป็นไปด้วยความรวดเร็ว คล่องตัวมากขึ้น
|
|||||||||||||||||||||
395 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง การปฏิรูประบบกำจัดขยะเพื่อแก้ปัญหาการจัดการขยะมูลฝอยชุมชน) | ทส | 26/01/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการพิจารณาเกี่ยวกับข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ (เรื่อง การปฏิรูประบบกำจัดขยะเพื่อแก้ปัญหาการจัดการมูลฝอยชุมชน) ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การขับเคลื่อนการจำกัดขยะเพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้าจะต้องคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ เช่น เทคโนโลยีที่จะใช้ และการบริหารจัดการ ๑.๒ กลุ่มองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดเล็กที่อยู่ห่างไกล ควรสนับสนุนให้เกิดระบบการลด คัดแยก และใช้ประโยชน์ขยะมูลฝอยตั้งแต่ต้นทางให้มากที่สุด เพื่อให้เหลือขยะที่นำไปจัดการให้น้อยที่สุด ๑.๓ การมุ่งเน้นให้เอกชนมาลงทุนระบบกำจัดขยะมูลฝอยเพื่อผลิตพลังงานเพียงอย่างเดียวเป็นการจัดการที่ปลายเหตุ ควรดำเนินการด้านการลด การคัดแยก และการใช้ประโยชน์จากขยะมูลฝอยตั้งแต่ต้นทางควบคู่กันไป อย่างไรก็ตาม ในส่วนที่เอกชนจะสามารถลงทุนระบบกำจัดขยะเพื่อผลิตพลังงานควรพิจารณากองขยะเก่าที่ตกค้างสะสมในสถานที่กำจัดขยะด้วย ๑.๔ แผนผังพื้นที่และรูปแบบของโรงงานกำจัดขยะที่เสนอมาว่าต้องการพื้นที่ประมาณ ๖๐ ไร่ สำหรับขยะมูลฝอยจำนวน ๕๐๐-๗๐๐ ตันต่อวัน ไม่ควรระบุขนาดพื้นที่และเทคโนโลยี ๑.๕ แผนการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการจัดการขยะยังไม่มีความชัดเจน ๑.๖ การผลักดันเพื่อให้เกิดโครงการนำร่องในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ เห็นควรให้รัฐบาลกำหนดพื้นที่นำร่องก่อนเป็นลำดับแรก และให้ทุกหน่วยงานร่วมกันขับเคลื่อน ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งผลการพิจารณาของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเพื่อนำเสนอสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
396 | รายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง การจัดการภัยพิบัติตามธรรมชาติภาวะโลกร้อน) | มท | 19/01/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ (เรื่อง การจัดการภัยพิบัติตามธรรมชาติภาวะโลกร้อน) ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ โดยกระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) ได้จัดการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพลังงาน และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยที่ประชุมมีผลการพิจารณา ดังนี้ ๑.๑ ข้อเสนอแนะที่ให้ปฏิรูปการสร้างยุทธศาสตร์ต่อยอดให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ให้เกิดผลสัมฤทธิ์ ที่ประชุมเห็นด้วยกับยุทธศาสตร์การป้องกันและลดผลกระทบหรือยุทธศาสตร์เพื่อลดความเสี่ยง ยุทธศาสตร์การเตรียมความพร้อม ยุทธศาสตร์การจัดการหลังเกิดภัย และยุทธศาสตร์การเตรียมความพร้อมเพื่อดูแลผลกระทบจากภาวะโลกร้อน แต่ไม่เห็นด้วยกับยุทธศาสตร์การบริหารจัดการฉุกเฉินที่เสนอให้มีการจัดตั้งคณะทำงานยุทธศาสตร์ โดยมีผู้รับผิดชอบสูงสุดและคณะทำงานที่มีประสบการณ์เพื่อมาบริหารเชิงยุทธศาสตร์ เนื่องจากการจัดการภัยพิบัติรุนแรงขนาดใหญ่ ปัจจุบันมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยหรือนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้มีอำนาจควบคุมและสั่งการได้ตามพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. ๒๕๕๐ และพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ภายใต้โครงสร้างของกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งมีรูปแบบและกลไกที่เหมาะสมอยู่แล้ว ๑.๒ ข้อเสนอแนะที่ให้พัฒนาและปรับปรุง "ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ" ให้มีกลไกการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพโดยด่วนแล้วพัฒนาเป็น "ศูนย์ป้องกันและจัดการภัยพิบัติแห่งชาติ" ในระยะต่อไป ที่ประชุมไม่เห็นด้วยเนื่องจากภารกิจซ้ำซ้อนกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และการจัดการสาธารณภัยของประเทศได้มีการบูรณาการผ่านคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ และแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งมีรูปแบบการบูรณาการที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพดีอยู่แล้ว รวมถึงกลไกการแจ้งเตือนภัยและการแจ้งข่าวสารของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยสามารถเข้าถึงประชาชนทั่วทุกพื้นที่ได้สะดวกและรวดเร็วโดยผ่านกลไกจังหวัด อำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บาน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อีกทั้งเมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๕๘ สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้รับหลักการร่างพระราชบัญญัติปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อจัดตั้งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่ให้ถ่ายโอนภารกิจและอำนาจหน้าที่ของศูนย์เตือนภัยพิบัติไปเป็นของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นอกจากนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจะปรับปรุงโครงสร้างและบทบาทหน้าที่ของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติให้มีประสิทธิภาพในการเฝ้าระวัง วิเคราะห์ และแจ้งเตือนภัย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการภัยพิบัติของประเทศให้ครบวงจรมากยิ่งขึ้น ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำเนินการแจ้งผลการพิจารณาของกระทรวงมหาดไทยให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเพื่อนำเสนอสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
397 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง แนวทางการปฏิรูประบบประกันสุขภาพ) | สธ | 19/01/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ (เรื่อง แนวทางการปฏิรูประบบประกันสุขภาพ) ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นด้วยกับข้อเสนอของสภาปฏิรูปแห่งชาติ โดยมีข้อสังเกตเพิ่มเติม ดังนี้ ๑.๑ ด้านการป้องกัน เช่น ควรปฏิรูประบบบริการสุขภาพของทหารควบคู่ไปด้วย รัฐควรเก็บภาษีเพิ่มเพื่อใช้จ่ายด้านสาธารณสุข โรงงานควรให้ความสำคัญกับ Safety Management ควรเข้มงวดวินัยจราจร และควรเร่งถ่ายโอนสถานีอนามัยหรือโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๑.๒ ด้านการรักษาพยาบาล เช่น ไม่เห็นด้วยกับการให้ประชาชนต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพื่อรับสิทธิ ควรให้ร้านยาที่มีเภสัชกรวินิจฉัยโรคพื้นฐานได้ ควรศึกษาความเหมาะสมของระบบการมีส่วนร่วมจ่ายให้เหมาะสมกับประเทศไทย ควรให้เอกชนมีส่วนร่วมในการให้บริการรักษาพยาบาล ควรใช้สิทธิประกันสุขภาพภาคเอกชนก่อนหากไม่เพียงพอจึงใช้สิทธิประกันสุขภาพภาครัฐ ควรเลือกวิธีจ่ายสมทบล่วงหน้าก่อน ควรมีมาตรการเพิ่มเติม (เพิ่มค่าลดหย่อนสำหรับผู้ป่วยเรื้อรัง และสนับสนุนการ่วมกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ หรือกำหนดเป็นเงื่อนไขในการรับสวัสดิการ) รัฐไม่ควรควบคุมค่ารักษาพยาบาลของเอกชน ควรมีการศึกษากรณีที่จะตั้งหน่วยงานใหม่เพื่อขยายความคุ้มครองให้ครอบคลุมถึงคนต่างด้าว ควรให้ความสำคัญกับเรื่องเทคโนโลยีเพื่อการรักษาโรค และส่งเสริมการพัฒนายา เครื่องมือแพทย์ ผลิตภัณฑ์สุขภาพที่สามารถผลิตในประเทศไทย รวมทั้งส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อป้องกันและรักษาสุขภาพ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งผลการพิจารณาของกระทรวงสาธารณสุขให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเพื่อนำเสนอสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
398 | ร่างพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | มท | 12/01/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. ๒๕๓๕ เพื่อให้มีความเหมาะสมกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน โดยกำหนดอำนาจหน้าที่ในการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยของราชการส่วนท้องถิ่น และกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมที่เหมาะสม สอดคล้องกับการจัดสรรงบประมาณให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของกระทรวงมหาดไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยที่ยังไม่ได้กำหนดไว้ และให้กระทรวงมหาดไทยสามารถเสนอขอตั้งงบประมาณด้านการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยในส่วนขององค์กรปกครองาส่วนท้องถิ่นได้ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงอุตสาหกรรม เกี่ยวกับการกำหนดบทนิยามในการจัดทำแผนงานโครงการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยให้ครอบคลุมและชัดเจนว่าให้หมายรวมถึงการจัดทำแผนฯ ในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ การบริหารจัดการขยะมูลฝอยชุมชนในภาพรวมของประเทศอย่างเป็นระบบ ทั้งการเก็บ ขนและกำจัด และครอบคลุมถึงขยะมูลฝอยจากแหล่งกำเนิดประเภทชุมชนทุกประเภท ซึ่งควรรวมถึงมูลฝอยติดเชื้อและมูลฝอยที่เป็นพิษหรืออันตรายจากชุมชนด้วย การให้กระทรวงสาธารณสุขยังคงเป็นผู้ควบคุมดูแลในเรื่องการกำจัดมูลฝอยและสิ่งปฏิกูลเช่นเดิม และข้อสังเกตในส่วนของ บทบัญญัติในมาตรา ๓๔/๑ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติฯ ไม่บัญญัติให้ยกเว้นการใช้บังคับกับการจัดการของเสียไม่อันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน อาจทำให้เกิดการบังคับใช้กฎหมายที่ซ้ำซ้อนกันเป็นภาระแก่ประชาชนที่อยู่ในบังคับกฎหมายดังกล่าว ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป |
|||||||||||||||||||||
399 | การลดหย่อนค่ารายปีภาษีโรงเรือนและที่ดินในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) | กค | 05/01/2559 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้การลดหย่อนค่ารายปีภาษีโรงเรือนและที่ดินของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ในช่วงระยะเวลา ๕ ปีแรกของการเปิดดำเนินการของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ปีภาษี พ.ศ. ๒๕๕๐-๒๕๕๔ เป็นไปตามกรอบบันทึกข้อตกลง เรื่อง การเสียภาษีของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๔๗ ที่ตกลงให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) เสียภาษีโรงเรือนและที่ดินให้แก่ อปท. เหมาจ่ายปีละ ๓๐ ล้านบาท โดยอาศัยอำนาจตามนัยมาตรา ๓๑ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. ๒๔๗๕ ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๓๔ ๑.๒ ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาลดหย่อนค่ารายปีภาษีโรงเรือนและที่ดินในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ปีภาษี พ.ศ. ๒๕๕๐-๒๕๕๑ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ คิดเป็นค่ารายปีจำนวนเงิน ๑๐๕,๑๘๒,๒๖๗.๔๔ บาท (คำนวณจากค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินจำนวนเงิน ๑๓,๑๔๗,๗๘๓.๔๓ บาท) โดยอาศัยอำนาจตามนัยมาตรา ๓๑ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. ๒๔๗๕ ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๓๔ ๑.๓ ให้การประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินสำหรับอาคารทั้ง ๕ กิจกรรมของบริษัท การบินไทยฯ ตั้งแต่ปีภาษี พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นต้นไป เป็นไปตามที่ข้อกฎหมายว่าด้วยภาษีโรงเรือนและที่ดินกำหนด ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมอบหมายกระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการจัดทำหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินของรัฐวิสาหกิจให้แล้วเสร็จโดยเร็ว พร้อมทั้งนำหลักการการลดหย่อนค่ารายปีของบริษัท การบินไทยฯ ไปพิจารณาร่วมด้วย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ความเสมอภาค และลดข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดจัดทำหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินของรัฐวิสาหกิจให้แล้วเสร็จโดยเร็วตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๘ [เรื่อง ขอลดหย่อนค่ารายปีภาษีโรงเรือนและที่ดินในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)] |
|||||||||||||||||||||
400 | การเตรียมความพร้อมแก่กำลังแรงงานก่อนเข้าสู่ตลาดแรงงาน | รง | 29/12/2558 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงแรงงานร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานต่าง ๆ ที่จัดให้มีการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาดำเนินการให้นักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ ๓ และมัธยมศึกษาตอนปลายทุกคนได้รับการแนะแนวการศึกษาและอาชีพก่อนสำเร็จการศึกษาตามกระบวนการแนะแนวครบถ้วนทุกขั้นตอน โดยกระทรวงแรงงานให้การสนับสนุนแบบทดสอบศักยภาพต่าง ๆ และการประมวลการทดสอบในระบบออนไลน์ (online) แก่นักเรียนและสนับสนุนข้อมูลอาชีพและข้อมูลเกี่ยวกับทิศทางของตลาดแรงงานแก่เครือข่ายครูแนะแนวของสถานศึกษา ๒. กำหนดให้การแนะแนวการศึกษาและอาชีพแก่นักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ ๓ และมัธยมศึกษาตอนปลายเป็นเป้าหมายและตัวชี้วัดผลการดำเนินงานประจำปีของสถานศึกษาด้วย |
.....