ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 15 จากทั้งหมด 74 หน้า แสดงรายการที่ 281 - 300 จากข้อมูลทั้งหมด 1463 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
281 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 36 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2559 - 30 กันยายน 2560) | นร | 03/01/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๓๖ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๙-๓๐ กันยายน ๒๕๖๐) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ มีผลงานสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ได้แก่ โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์ และการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนร้องทุกข์ ๒. การปฏิรูปประเทศ ได้แก่ การจัดพื้นที่มรดกทางวัฒนธรรมของชาติเพื่อเพิ่มคุณค่าและมูลค่าทางวัฒนธรรม การปฏิรูประบบบริการปฐมภูมิ การพัฒนากฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ที่เอื้อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถดำเนินการพัฒนาคุณภาพชีวิตและดูแลผู้สูงอายุ การปฏิรูปเรื่องการสร้างสังคมผู้ประกอบการ การปฏิรูประบบสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน และการจัดทำร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. .... ๓. การบริหารราชการแผ่นดิน ประกอบด้วย (๑) ด้านความมั่นคง ได้แก่ การปกป้องเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ การรักษาความมั่นคงของรัฐและต่างประเทศ (๒) ด้านสังคมจิตวิทยา ได้แก่ การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม การสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการของรัฐ (๓) ด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ การเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจ การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา และนวัตกรรม (๔) ด้านการต่างประเทศ ได้แก่ การสร้างประชาคมอาเซียนที่เข้มแข็งและส่งเสริมบทบาทไทยในประชาคมอาเซียน การเดินทางเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาของนายกรัฐมนตรี และ (๕) ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ได้แก่ การส่งเสริมและการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาลและการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐ การปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
282 | ร่างพระราชกฤษฎีกาให้นำราคาปานกลางของที่ดินที่ใช้อยู่ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี พ.ศ. 2521 ถึง พ.ศ. 2524 มาใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปี พ.ศ. 2561 พ.ศ. .... | มท | 26/12/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้นำราคาปานกลางของที่ดินที่ใช้อยู่ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี พ.ศ. ๒๕๒๑ ถึง พ.ศ. ๒๕๒๔ มาใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๖๑ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้นำราคาปานกลางของที่ดินที่ใช้อยู่ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี พ.ศ. ๒๕๒๑ ถึง พ.ศ. ๒๕๒๔ ซึ่งใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๖๐ มาใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการนำราคาปานกลางที่ดินในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๒๑ ถึง พ.ศ. ๒๕๒๔ มาใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๖๑ ควรคำนึงถึงค่าของเงินในปัจจุบันเมื่อเทียบห้วงเวลาดังกล่าว ศักยภาพของผู้เสียภาษีในการเสียภาษีบำรุงท้องที่ รวมถึงความเหมาะสมและประโยชน์ที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและประชาชนจะได้รับจากการจัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งการจัดเก็บภาษีไม่ควรก่อให้เกิดความเสียหายและผลกระทบต่อผู้เสียภาษีเกินความจำเป็น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
283 | สรุปผลการดำเนินงานโครงการประชารัฐร่วมใจปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน | ทส | 19/12/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินงานโครงการประชารัฐร่วมใจปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน ระหว่างวันที่ ๗ สิงหาคม-๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ ในพื้นที่ ๗๗ จังหวัดทั่วประเทศ มีการปลูกต้นไม้รวมทั้งสิ้น ๒,๕๕๐,๗๐๓ ต้น ในเนื้อที่รวมทั้งสิ้น ๑๘,๒๑๒ ไร่ ชนิดพันธุ์ไม้ที่ปลูก เช่น ยางนา ราชพฤกษ์ (คูน) กาละสอง (ปีบ) หมัน มะฮอกกานี เป็นต้น สำหรับงบประมาณดำเนินงานโครงการฯ ใช้จ่ายจากงบประมาณปกติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ของหน่วยงานและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งงบประมาณสนับสนุนจากภาคเอกชนและประชาชน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
284 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การถ่ายโอนภารกิจ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ของคณะกรรมาธิการการปกครองท้องถิ่น สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 19/12/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการปกครองท้องถิ่น สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และข้อเสนอแนะของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง การถ่ายโอนภารกิจโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ของคณะกรรมาธิการการปกครองท้องถิ่น ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้จัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว สรุปผลการพิจารณาว่า การถ่ายโอนภารกิจด้านสาธารณสุข โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ผ่านเกณฑ์ประเมินความพร้อมโดยความสมัครใจ โดยคำนึงถึงความต้องการและประโยชน์สูงสุดของประชาชนเป็นหลัก การปรับเกณฑ์การประเมินความพร้อมและปรับคณะกรรมการประเมินความพร้อม เพื่อรองรับการถ่ายโอนภารกิจ ส่วนร่างแผนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ๓) และร่างแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ๓) ในส่วนการถ่ายโอนภารกิจด้านสาธารณสุขโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยกระทรวงสาธารณสุขมีส่วนนำร่วมและให้กระทรวงสาธารณสุขศึกษาคุณลักษณะ ปัจจัยแห่งความสำเร็จและปัญหาอุปสรรคภายหลังการถ่ายโอนภารกิจด้านสาธารณสุขให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
285 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่..) พ.ศ. .... | สว | 04/12/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยคณะกรรมาธิการฯ ได้มีข้อสังเกตด้านต่าง ๆ ดังนี้ ๑) การจัดให้มีหลักเขตและป้ายหรือเครื่องหมายอย่างอื่น ๆ ควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน และผู้ใหญ่บ้าน ได้มีส่วนร่วมในการดำเนินการตั้งแต่การสำรวจและรังวัด เพื่อการจัดทำเครื่องหมายแสดงแนวเขตด้วย ๒) คณะกรรมการควบคุมและรักษาป่าสงวนแห่งชาติประจำจังหวัด ควรแต่งตั้งคณะอนุกรรมการตามมาตรา ๑๑ (๖) ในระดับอำเภอ โดยมีนายอำเภอเป็นประธาน ๓) ควรมีคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติที่มีภารกิจบริหารจัดการป่าไม้และที่ดินป่าไม้ตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้และส่งเสริมให้มีพื้นที่ป่าไม้ในที่ดินประเภทอื่น ๆ ทั้งที่ดินกรรมสิทธิ์ และพื้นที่ของรัฐตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และ ๔) การเก็บค่าบริการหรือค่าตอบแทนสำหรับการที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ให้บริการหรือให้ความสะดวกต่าง ๆ ควรดำเนินการผ่านคณะกรรมการพิจารณาการใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
286 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 04/12/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงานพิจารณากำหนดมาตรการการส่งเสริมการลงทุนให้แก่ภาคเอกชนในการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยสำหรับแรงงานต่างด้าวในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น พื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ทั้งนี้ ในการจัดหาพื้นที่เพื่อการดังกล่าว ให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้คำนึงถึงประเด็นด้านความมั่นคงด้วย ๑.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการจัดหาพันธุ์สัตว์หรือน้ำเชื้อปศุสัตว์ เช่น โค กระบือ ที่มีคุณภาพให้แก่เกษตรกร เพื่อเร่งการผลิตปศุสัตว์ให้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ให้กำหนดเป้าหมายของการดำเนินการในแต่ละปีให้ชัดเจนด้วย ๑.๓ ให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการสร้างความรู้ความเข้าใจด้านการลงทุนแก่นักลงทุนและประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับการลงทุนในเงินสกุลดิจิทัลต่าง ๆ เช่น บิตคอยน์ (Bitcoin) ให้ถูกต้อง ทั่วถึง โดยจะต้องชี้แจง เน้นย้ำให้ทราบถึงข้อควรระวังและปัจจัยเสี่ยงในการลงทุนเงินสกุลดังกล่าวให้ชัดเจนด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้นักลงทุนและประชาชนมีความรู้ความเข้าใจและมีการพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน ๒. ด้านสังคม ๒.๑ ให้กระทรวงแรงงาน (กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน) พิจารณาจัดตั้งศูนย์ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานชั่วคราวในพื้นที่บริเวณใกล้เคียงกับนิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดต่าง ๆ หรือศูนย์ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานเคลื่อนที่ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้แรงงานหรือผู้ที่อาศัยอยู่ในย่านนิคมอุตสาหกรรม และมีความสนใจเข้ารับการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ ๒.๒ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงศึกษาธิการกำกับให้สถาบันอาชีวศึกษาทุกจังหวัดทั่วประเทศจัดหลักสูตรการฝึกอบรมวิชาชีพและช่างฝีมือในสาขาต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับความต้องการแรงงานในแต่ละพื้นที่ รวมทั้งให้จัดทำบัญชีรายชื่อผู้ที่เข้ารับการฝึกอบรมเพื่อสร้างเครือข่ายและต่อยอดการพัฒนาฝีมือในอนาคตต่อไปด้วย นั้น ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการให้ครอบคลุมถึงการกำหนดหลักสูตรการศึกษาอบรมของสถาบันอุดมศึกษาต่าง ๆ ด้วย ๓. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเหมาะสมของกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารและการขออนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรมตามกฎหมายโรงแรมและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันเพื่อกำกับดูแลให้การประกอบธุรกิจโรงแรมหรือเกสต์เฮาส์เป็นไปอย่างถูกต้อง คล่องตัวและสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ดังกล่าวประการใด ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงภาระทางภาษีที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสมด้วย ๔. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๔.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้ทุกส่วนราชการประสานงานกับคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศแต่ละด้านก่อนที่จะดำเนินการเรื่องต่าง ๆ ของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับคณะกรรมการดังกล่าว เพื่อให้การดำเนินการมีความสอดคล้อง เชื่อมโยง และเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับแนวทางการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐ และพระราชบัญญัติแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. ๒๕๖๐ นั้น ให้ทุกกระทรวงแต่งตั้งคณะทำงานพิเศษขึ้นภายในสำนักงานปลัดกระทรวงเพื่อทำหน้าที่ประสานงานเชื่อมโยงกับคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศแต่ละด้าน ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรวบรวมข้อมูลดังกล่าวทั้งหมดแล้วนำเสนอนายกรัฐมนตรีภายใน ๑๕ วัน ๔.๒ ตามที่รัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการสร้างการรับรู้แก่ประชาชนในเรื่องต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการจัดทำภาพหรือกราฟิกเพื่อการสื่อสาร (Infographics) เพื่อให้เข้าใจง่าย ตามนัยข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี และได้มีการแต่งตั้งโฆษกกระทรวงเพื่อทำหน้าที่สร้างการรับรู้ภารกิจและผลการดำเนินการของแต่ละกระทรวง รวมทั้งได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติเพื่อทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์งานของรัฐบาล นั้น เพื่อให้ประชาชนรับรู้และเข้าใจผลงานของรัฐบาลที่มีข้อมูลจำนวนมากได้อย่างถูกต้องและเข้าใจง่าย จึงให้ดำเนินการดังนี้ ๔.๒.๑ ให้โฆษกกระทรวง โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี บูรณาการการจัดทำข้อมูลเพื่อการประชาสัมพันธ์ดังกล่าว โดยให้นำเสนอ (๑) ข้อมูลในภาพรวมที่มีเนื้อหาสั้น กระชับ เข้าใจได้ง่าย โดยจัดทำในลักษณะเป็นภาพหรือกราฟิกเพื่อการสื่อสาร (Infographics) ที่มีรูปแบบทันสมัยและดึงดูดความสนใจ (๒) ข้อมูลที่เป็นรายละเอียดแต่ละเรื่อง ให้นำเผยแพร่ต่อสาธารณชนในสถานที่ที่มีประชาชนเป็นจำนวนมาก เช่น ศูนย์การค้า สถานีรถไฟฟ้า ทั้งนี้ ให้รายงานผลการดำเนินการดังกล่าวให้คณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติทราบด้วย ๔.๒.๒ ให้คณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติทบทวนการนำเสนอรายงานผลการดำเนินงานและแผนการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๘ โดยให้นำผลการดำเนินงานของโฆษกกระทรวงและโฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรีตามข้อ ๔.๒.๑ มาประมวลด้วย ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงการรับรู้ของประชาชนเกี่ยวกับผลงานของรัฐบาล และให้คณะรัฐมนตรีได้รับทราบการดำเนินงานด้านประชาสัมพันธ์ของรัฐบาลในภาพรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๕. ให้ทุกส่วนราชการพิจารณากำหนดการดำเนินการ/กิจกรรม ตามความเหมาะสมเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่มอบให้แก่ประชาชน เช่น การอำนวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ การลดภาระรายจ่ายในเรื่องต่าง ๆ ของประชาชน โดยอาจพิจารณานำแนวทางการดำเนินการในปีที่ผ่านมามาเป็นข้อมูลประกอบการดำเนินการเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วย ๖. ให้กระทรวงวัฒนธรรมพิจารณาคัดเลือกบทเพลงที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมและเอกลักษณ์ไทย เพื่อให้ส่วนราชการและหน่วยงานต่าง ๆ ใช้เป็นเพลงในการนำเสนอในเวทีหรือการจัดนิทรรศการระดับนานาชาติ ทั้งที่จัดในประเทศไทยและต่างประเทศเพื่อแสดงความเป็นไทย ๗. ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการโดยมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) กำกับให้กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการรายงานความคืบหน้าในการจัดทำแผนก่อสร้างสถานที่จอดรถใต้ดินและการพิจารณาความเป็นไปได้ในการให้เอกชนร่วมลงทุน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วน นั้น ให้กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) เร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าวแล้วรายงานความคืบหน้าต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วนภายใน ๑ เดือน ๘. ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) กระทรวงกลาโหม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบปัญหาจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ตามแผนเผชิญเหตุที่ได้กำหนดไว้ โดยให้ระดมกำลังเครื่องจักรกล รถผลิตน้ำดื่ม รถไฟฟ้า รถสุขา และเรือท้องแบนเพื่อให้บริการประชาชนในการสัญจร ตลอดจนเร่งระบายน้ำที่ท่วมขังลงสู่ทะเลโดยเร็ว รวมทั้งให้พิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการเพื่อลดพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยในระยะต่อไปด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยจัดเตรียมแผนการตรวจเยี่ยมประชาชนในพื้นที่ที่ประสบปัญหาจากอุทกภัยดังกล่าวและเสนอนายกรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
287 | แนวทางการใช้จ่ายเงินสะสมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ | มท | 28/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีเงินสะสม ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ จำนวน ๓๑๘,๓๔๒.๖๘ ล้านบาท เมื่อกันเงินสำรองจ่ายกรณีเกิดสาธารณภัย สำรองงบบุคลากร และเงินที่จะต้องทดรองจ่ายให้แก่ประชาชนก่อนได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล เช่น เบี้ยยังชีพ ฯลฯ และรายการที่ก่อหนี้ผูกพันไว้แต่ยังไม่ได้จ่าย จำนวน ๑๖๗,๓๘๘.๓๔ ล้านบาท แล้ว คงเหลือเงินสะสมที่สามารถนำมาใช้จ่ายได้ จำนวน ๑๕๐,๙๕๔.๓๔ ล้านบาท ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้กำหนดแนวทางการใช้จ่ายเงินสะสมของ อปท. เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดังนี้ ๑.๑ โครงการที่ดำเนินการจะต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง ไม่เป็นการใช้จ่ายในกิจกรรมที่ไม่เกิดประโยชน์หรือฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็น ๑.๒ อปท. จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข การใช้จ่ายเงินสะสม ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการรับเงิน การเบิกจ่ายเงิน การฝากเงิน การเก็บรักษาเงิน และการตรวจเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยจะต้องคำนึงถึงสถานะทางการคลัง เสถียรภาพทางการเงินการคลังในระยะยาว ๑.๓ อปท. จะต้องสำรองเงินสะสมจำนวนหนึ่งไว้ก่อนโดยเฉพาะเงินสำรองจ่ายกรณีเกิดสาธารณภัย เงินสำรองไว้สำหรับรายจ่ายประจำ เช่น ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร เงินที่ต้องสำรองจ่ายก่อนที่จะได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล (ค่าเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ/ผู้พิการ ฯลฯ) เงินสะสมที่มีภาระผูกพันแล้ว เป็นต้น หลังจากนั้นจึงจะนำเงินสะสมที่เหลือไปใช้จ่ายได้ ๑.๔ โครงการหรือกิจการที่จะดำเนินการต้องอยู่ในอำนาจหน้าที่ของ อปท. ในด้านการบริการชุมชนและสังคม กิจการที่เป็นการเพิ่มพูนรายได้ของ อปท. หรือกิจการที่จัดทำขึ้นเพื่อบำบัดความเดือดร้อนของประชาชนโดยถือปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยฯ ข้อ ๘๙ ๑.๕ ให้ อปท. นำเงินสะสมไปใช้จ่ายตามอำนาจหน้าที่เพื่อสนับสนุนการกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่นและการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน โดยให้ความสำคัญกับโครงการ เช่น ด้านโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ด้านโครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่ออุปโภคบริโภค และน้ำเพื่อการเกษตร การจัดการขยะมูลฝอย การรักษาความสะอาดในท้องถิ่น เป็นต้น ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยประสานงานกับกระทรวงการคลังกรณีขอยกเว้นการดำเนินการด้านการพัสดุที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ อปท. ดำเนินการให้ถูกต้องเหมาะสมต่อไป โดยควรกำหนดให้ อปท. สามารถเร่งรัดก่อหนี้ผูกพันและเบิกจ่ายเงินได้ภายในระยะเวลา ๔ เดือน นับแต่ได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณากำหนดแนวทางการใช้จ่ายเงินสะสมของ อปท. ตามกรอบวงเงินสะสมที่สามารถใช้จ่ายได้โดยไม่รวมเงินสำรองต่าง ๆ ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการรับเงิน การเบิกจ่ายเงิน การฝากเงิน การเก็บรักษาเงิน และการตรวจเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยให้ความสำคัญกับโครงการที่สามารถพัฒนาท้องถิ่นให้มีความเข้มแข็ง รวมทั้งสามารถตอบสนองต่อการแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่และการดำเนินนโยบายสำคัญเร่งด่วนของรัฐบาล เช่น การก่อสร้างและซ่อมแซมถนนโดยใช้ยางพาราเป็นส่วนประกอบ เป็นต้น ๔. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ในฐานะประธานกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรับไปหารือร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาแนวทางการจัดสรรงบประมาณเพื่อการดำเนินภารกิจต่าง ๆ ของ อปท. โดยคำนึงถึงสัดส่วนการจัดสรรรายได้ให้แก่ อปท. อย่างเหมาะสม รวมทั้งพิจารณากำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้จ่ายเงินสะสมของ อปท. เช่น การลงทุนร่วมระหว่างรัฐบาลและ อปท. (Matching Fund) ตามมาตรการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจและสังคมภายในท้องถิ่น การจัดสรรงบประมาณสำหรับการซ่อมบำรุงถนนในท้องถิ่นและสำหรับการสร้างถนนในพื้นที่ของ อปท. และระหว่าง อปท. ด้วยกันเอง ภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการถ่ายโอนภารกิจ เช่น ภาระค่าไฟฟ้าที่ติดตั้งบริเวณถนนที่รับโอนมาจากกรมทางหลวงชนบท เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
288 | รายงานผลการดำเนินงานการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ที่เกิดขึ้นระหว่างเดือนธันวาคม 2559 - มกราคม 2560 ของกระทรวงคมนาคม | คค | 28/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ที่เกิดขึ้นระหว่างเดือนธันวาคม ๒๕๕๙-มกราคม ๒๕๖๐ โดยกระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท กรมท่าอากาศยาน และการรถไฟแห่งประเทศไทย) ได้ดำเนินการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ รวมทั้งสิ้น ๕๖๙ แห่ง วงเงินรวม ๖,๐๕๕.๙๖ ล้านบาท ประกอบด้วย ฟื้นฟูสายทางและสะพาน ฟื้นฟูท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช และฟื้นฟูเส้นทางรถไฟ ดำเนินการแล้วเสร็จ จำนวน ๒๖๓ แห่ง (คิดเป็นร้อยละ ๔๖.๒๒) และอยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน ๓๐๖ แห่ง (คิดเป็นร้อยละ ๕๓.๗๘) นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมต้องดำเนินการแก้ไขปัญหาสิ่งกีดขวางทางน้ำในภาคใต้ตามข้อมูลของกรมชลประทาน โดยการก่อสร้างทางลอดทางรถไฟ การแก้ไขสะพาน และการก่อสร้างกำแพงกันดิน รวมทั้งสิ้น ๕๒ แห่ง วงเงิน ๗๙๔.๓๗ ล้านบาท ดำเนินการแล้วเสร็จ จำนวน ๑๔ แห่ง (คิดเป็นร้อยละ ๒๖.๙๒) และอยู่ระหว่างดำเนินการ จำนวน ๓๐ แห่ง (คิดเป็นร้อยละ ๕๗.๖๙) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการเพื่อปรับปรุงและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางถนนให้สามารถอำนวยความสะดวกและสร้างความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชน ดังนี้ ๒.๑ ให้บูรณาการร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเร่งรัดแก้ไขปัญหาน้ำท่วมผิวการจราจรในสายทางต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เช่น ถนนสุขุมวิทช่วงผ่านเมืองพัทยา เป็นต้น โดยอาจพิจารณาสร้างทางระบายน้ำหรือเสริมพื้นถนนเดิมให้สูงขึ้นตามความจำเป็นและเหมาะสม ๒.๒ ให้พิจารณาความเป็นไปได้ในการใช้ประโยชน์จากพื้นที่เกาะกลางถนนของสายทางต่าง ๆ เพื่อจัดทำเป็นทางยกระดับเพื่อบรรเทาปัญหาการจราจรและ/หรือใช้เป็นทางระบายน้ำ ตามแต่กรณี ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงความปลอดภัยและความคุ้มค่าเป็นหลักด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
289 | การชดเชยรายได้ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ที่ขาดหายไปเนื่องจากพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. .... ไม่สามารถใช้บังคับได้ | นร01 | 21/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) ในคราวประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๖๐ เกี่ยวกับเรื่องการชดเชยรายได้ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ที่ขาดหายไปเนื่องจากพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. .... ไม่สามารถใช้บังคับได้ ตามที่ประธาน กกถ. เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. กรณีความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นมีจำนวนจำกัดและต้องสำรองไว้เพื่อใช้จ่ายในภารกิจที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ประกอบกับสำนักงบประมาณได้จัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุนเพิ่มเติมให้แก่ อปท. ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามโครงการ Matching Fund จำนวน ๙,๘๙๘.๕๐ ล้านบาท จึงไม่สามารถจัดสรรให้แก่ อปท. ได้อีก นั้น เนื่องจากประมาณการรายได้ในส่วนของรายได้ อปท. จัดเก็บเองในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๑ ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่าร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมีผลใช้บังคับ ซึ่งไม่สะท้อนความเป็นจริง ดังนั้น จึงควรพิจารณาจากรายได้ที่ อปท. จัดเก็บเองตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ๒. กรณีความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่ให้ กกถ. ร่วมกับ อปท. ส่งเสริมการดำเนินมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพด้านการจัดเก็บภาษีท้องถิ่นเพื่อเพิ่มรายได้ของ อปท. และกำหนดวิธีการบริหารจัดการการใช้จ่ายงบประมาณให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงการดำเนินโครงการต่อยอดการลงทุนที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะและสามารถเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชนในท้องถิ่น นั้น เป็นเรื่องที่สอดคล้องกับร่างแผนการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. .... และแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. (ฉบับที่ ๓) ด้านการเงิน การคลังและงบประมาณ ที่จะมีผลบังคับใช้ จะได้ดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
290 | ขอขยายเวลาก่อหนี้ผูกพันและเบิกจ่ายเงินโครงการตามมาตรการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจ และสังคมในท้องถิ่น (เพิ่มเติม) | มท | 14/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. อนุมัติขยายเวลาก่อหนี้ผูกพันโครงการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ตามมาตรการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจ และสังคมในท้องถิ่น (เพิ่มเติม) ได้จนถึงวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๖๑ และเบิกจ่ายเงินตามงวดงาน จำนวน ๕๑๑ โครงการ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๙๗,๘๐๗,๑๐๐ บาท โดยแหล่งเงินจำแนกเป็นใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ได้รับการกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีจากกระทรวงการคลังแล้ว จำนวน ๑๗๖,๐๓๙,๕๐๐ บาท และเงินรายได้ของ อปท. จำนวน ๒๒๑,๗๖๗,๖๐๐ บาท ๒. อย่างไรก็ตาม จากรายงานแสดงการขยายระยะเวลาเงินกันไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปี โดยกรมบัญชีกลางพบว่ามีโครงการตามมาตรการดังกล่าวที่ไม่สามารถก่อหนี้ผูกพันได้ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ (รอบที่ ๑) อีกจำนวน ๒๒๕ โครงการ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๘๕,๙๒๔,๗๐๐ บาท แบ่งเป็นใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๑๖๖,๑๕๔,๙๐๐ บาท และเงินรายได้ของ อปท. จำนวน ๒๑๙,๗๖๗,๘๐๐ บาท หาก อปท. ยังไม่สามารถก่อหนี้ผูกพันโครงการได้ภายในระยะเวลาที่กรมบัญชีกลางอนุมัติให้ขยายระยะเวลากันเงินไว้ ก็เห็นควรให้โครงการดังกล่าวพับไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
291 | รายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | กค | 07/11/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน งบรายได้และค่าใช้จ่ายของรัฐบาลกลางและหน่วยงานภาครัฐ ทุนหมุนเวียน รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน ๘,๓๔๙ หน่วยงาน จาก ๘,๔๑๑ หน่วยงาน คิดเป็นร้อยละ ๙๙.๒๖ ๑.๒ เห็นชอบข้อเสนอแนะเพิ่มเติมสำหรับการจัดทำรายงานการเงินรวมภาครัฐ ดังนี้ (๑) หน่วยงานภาครัฐต้องนำส่งงบการเงินให้กรมบัญชีกลางเพื่อจัดทำรายงานการเงินรวมของภาครัฐให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์ (๒) ควรให้มีการบูรณาการการบริหารสินทรัพย์และเงินลงทุนของกลุ่มส่วนราชการ (๓) ควรจัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุนให้สอดคล้องกับฐานะการเงินขององค์การมหาชนและหน่วยงานอิสระ (๔) ควรให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลังกำหนดแนวทางการบริหารเงินฝากธนาคารขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และ (๕) ควรมีการเพิ่มการใช้จ่ายของ อปท. ด้านโครงสร้างพื้นฐาน และด้านการส่งเสริมอาชีพให้แก่ประชาชน เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์ น่าเชื่อถือ สามารถใช้ข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์ และตัดสินใจเชิงนโยบายด้านการเงินการคลังได้อย่างถูกต้อง ๒. ให้หน่วยงานภาครัฐทุกแห่งถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๙ (เรื่อง รายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘) ที่กำหนดให้หน่วยงานภาครัฐทุกแห่งบันทึกและส่งข้อมูลงบการเงินภายในระยะเวลาที่กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) กำหนด รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดให้การบันทึกและส่งข้อมูลรายงานการเงินประจำปีเป็นเกณฑ์การประเมินของผู้บริหารระดับหน่วยงานนั้น ๆ อย่างเคร่งครัด ๓. ให้หน่วยงานภาครัฐทุกแห่งรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับกรณีหน่วยงานที่มีรายได้เงินงบประมาณมากกว่าที่มีการใช้จ่ายจริง หรือมีเงินสะสมคงเหลือ เห็นควรพิจารณานำเงินดังกล่าวมาใช้จ่ายในลำดับแรก หรือสมทบกับเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีในการดำเนินงานตามภารกิจของหน่วยงาน โดยคำนึงถึงความจำเป็น ความคุ้มค่า และความเหมาะสม เพื่อให้เม็ดเงินได้กระจายเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ และเป็นการแบ่งเบาภาระทางการคลังของประเทศ รวมทั้งควรเร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลังอย่างเคร่งครัดเพื่อให้การบริหารจัดการด้านการเงินการคลังของประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
292 | รายงานประจำปี 2559 คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร01 | 17/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติทราบรายงานประจำปี ๒๕๕๙ คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ มีสาระสำคัญ ๔ ส่วน ดังนี้
๑. ส่วนที่ ๑ คณะกรรมการ/คณะอนุกรรมการที่เกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กล่าวถึงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของ ก.ก.ถ. รวมทั้งคณะอนุกรรมการคณะต่างๆ ที่ ก.ก.ถ. ได้แต่งตั้งขึ้น เพื่อช่วยเหลือ กำกับ ดูแล ในภารกิจสำคัญก่อนที่จะเสนอ ก.ก.ถ. พิจารณา ๒. ส่วนที่ ๒ ผลการดำเนินงานเกี่ยวกับการกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของ ก.ก.ถ. และคณะอนุกรรมการฯ ต่าง ๆ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ๓. ส่วนที่ ๓ การเสนอความเห็นในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ๔. ส่วนที่ ๔ ภาคผนวก ประกอบด้วย คำสั่ง ก.ก.ถ. แต่งตั้งคณะกรรมการ/คณะอนุกรรมการ/คณะทำงาน และประกาศ ก.ก.ถ.
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
293 | ขอความเห็นชอบโครงการตลาดประชารัฐไทยช่วยไทย | มท | 17/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้ปรับเปลี่ยนชื่อโครงการนี้จากเดิม “โครงการตลาดประชารัฐไทยช่วยไทย” เป็น “โครงการตลาดประชารัฐ” และชื่อประเภทตลาดที่ดำเนินการโดยกรมการพัฒนาชุมชน จากเดิม “โครงการตลาดประชารัฐไทยช่วยไทยคนไทยยิ้มได้” เป็น “โครงการตลาดประชารัฐคนไทยยิ้มได้” ๒. เห็นชอบในหลักการให้ดำเนินโครงการตลาดประชารัฐ โดยให้เพิ่มโครงการตลาดวัฒนธรรม ถนนสายวัฒนธรรม ของกระทรวงวัฒนธรรม เป็นตลาดประชารัฐอีก ๑ ประเภท รวมเป็น ๙ ประเภท ภายใต้ความร่วมมือระหว่างกระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงวัฒนธรรม ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร บริษัท ประชารัฐรักสามัคคีวิสาหกิจเพื่อสังคม (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ประชารัฐรักสามัคคีจังหวัด (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด โดยบูรณาการตลาดประชารัฐทั้ง ๙ ประเภท ภายใต้โครงการตลาดประชารัฐ และให้ดำเนินการพร้อมกันตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ สำหรับแหล่งเงินที่จะนำมาใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายและเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ที่ได้รับอนุมัติจากกรมบัญชีกลางให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว จำนวน ๑๑๕,๔๘๗,๕๐๐ บาท และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๔๔๖,๗๐๐,๐๐๐ บาท รวมทั้งสิ้น ๕๖๒,๑๘๗,๕๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ บริษัท ประชารัฐรักสามัคคีวิสาหกิจเพื่อสังคม (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ประชารัฐรักสามัคคีจังหวัด (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีหน้าที่ส่งเสริมการตลาด การประชาสัมพันธ์ การค้าขาย การท่องเที่ยว รวมทั้งการสร้างแรงกระตุ้นการขาย ภายใต้การส่งเสริมตลาดประชารัฐต้องชม เพิ่มขึ้นให้ครอบคลุมตลาดประชารัฐทุกประเภทที่เข้าร่วมโครงการฯ ๔. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดสรรพื้นที่ตลาดประชารัฐแต่ละแห่งให้เหมาะสม มีความโปร่งใส เป็นธรรม และสามารถกระจายพื้นที่ให้ผู้ประกอบการได้อย่างทั่วถึง รวมทั้งพิจารณาแนวทางในการเพิ่มช่องทางการขายสินค้าเพิ่มเติม เช่น การขายผ่านช่องทางออนไลน์ การขยายตลาดในต่างประเทศ การนำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมาใช้ร่วมกับตลาดรประชารัฐ ทั้งนี้ ในการดำเนินการบริหารจัดการตลาดประชารัฐ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น กฎหมายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเกี่ยวกับการรักษาความสะอาด เป็นต้น ๕. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬามีส่วนร่วมในการส่งเสริมการท่องเที่ยวในแต่ละพื้นที่ โดยเฉพาะโครงการที่มีความเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยว เพื่อให้เกิดการขยายโอกาสทางเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกันในพื้นที่ และควรให้ความสำคัญกับการสร้างมาตรฐานของตลาดและการกำกับดูแลคุณภาพมาตรฐานสินค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ อย่างสม่ำเสมอ สอดคล้องกับหลักการของโครงการฯ รวมทั้งควรมีการประสานและบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานเพื่อส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการอย่างเป็นระบบครบวงจร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการควบคุมการผลิตให้ได้คุณภาพมาตรฐานและมีความปลอดภัย การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายสอดคล้องกับความต้องการ รวมถึงการขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้าผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ๖. ให้กระทรวงมหาดไทยได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
294 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง กระบวนการในการขับเคลื่อนแผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2560 - 2564) ของคณะกรรมาธิการการศึกษาและการกีฬา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 03/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการศึกษาและการกีฬา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง กระบวนการในการขับเคลื่อนแผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ฉบับที่ ๖ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) ซึ่งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแล้วเห็นชอบตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ โดยได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ และได้มีความเห็นเพิ่มเติม ได้แก่ ควรจัดทำหลักสูตรการศึกษาด้านกีฬาร่วมกันระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงศึกษาธิการ ในส่วนของกระทรวงมหาดไทยสามารถสนับสนุนการเรียนการสอนกีฬาในสถานศึกษาสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ช่วยเหลือการจัดกิจกรรมในระดับจังหวัด และควรมอบหมายให้กรมพลศึกษาจัดทำหลักสูตรพัฒนาผู้ฝึกสอนกีฬาทั้งระดับสถานศึกษาและในระดับท้องถิ่น ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และให้ส่งสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
295 | ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. .... | ทส | 03/10/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานอัยการสูงสุด และฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติที่เห็นว่า ร่างพระราชบัญญัติฯ ควรมีรายละเอียดที่สอดคล้องกับภารกิจถ่ายโอนตามแผนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ และแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ๒) และในการจัดทำแผนจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเห็นชอบแล้ว ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดของส่วนราชการมีหน้าที่เสนอคำของบประมาณประจำปีนั้น ให้ส่วนราชการนั้นรายงานผลการดำเนินงานให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมด้วย รวมทั้งควรแก้ไขประเด็นเกี่ยวกับที่มาของเงินและทรัพย์สินของกองทุนสิ่งแวดล้อมในร่างมาตรา ๒๓ ที่กำหนดให้ส่วนหนึ่งมาจาก “เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามอัตราที่คณะรัฐมนตรีกำหนด” และให้มีบทบัญญัติเพิ่มเติมในหมวด ๘ ความรับผิดทางแพ่ง สำหรับการดำเนินคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญาที่รัฐเป็นผู้เสียหาย นอกจากนี้ หากมีกรณีจะต้องมีการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ ควรจะนำปัจจัยผลทางเศรษฐกิจที่ประเทศและประชาชนจะได้รับมาร่วมในการวิเคราะห์ผลกระทบในภาพรวมอย่างรอบด้าน และจะต้องคำนึงถึงค่าเสียโอกาสโดยรวมของประเทศ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอเรื่อง กองทุนสิ่งแวดล้อมต่อคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนตามนัยมาตรา ๑๔ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง แล้วแจ้งผลการพิจารณาเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป ๓. มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการบริหารจัดการเชิงโครงสร้างระยะยาว โดยในส่วนของกองทุนสิ่งแวดล้อมควรมีการบริหารงานที่เป็นอิสระ มีความคล่องตัว มีแหล่งที่มาของรายได้กองทุนที่มั่นคงและสม่ำเสมอ โดยในระยะยาวอาจพิจารณาจัดตั้งกองทุนเป็นรัฐวิสาหกิจหรือองค์การมหาชน หรืออาจพิจารณาจัดตั้งในลักษณะหน่วยงานอิสระ สำหรับโครงสร้างระบบการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมควรมีความเป็นอิสระในการบริหารจัดการ และกระบวนการพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมควรเป็นภารกิจของหน่วยงานอิสระ โดยอาจพิจารณาประเด็นเรื่องการปฏิรูประบบการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
296 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | นร01 | 12/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ ๓ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ซึ่งภาพรวมสถิติการยื่นเรื่องผ่านช่องทางร้องทุกข์ ๑๑๑๑ และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมทั้งสิ้น ๔๒,๖๐๗ ครั้ง รวมจำนวน ๒๖,๑๐๖ เรื่อง โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เหตุเดือดร้อนรำคาญ รองลงมาคือ การเสนอและตรากฎหมาย การปฏิรูปประเทศ การเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐ และขอให้แก้ไขปัญหากระแสไฟฟ้าขัดข้อง ตามลำดับ ทั้งนี้ สามารถดำเนินการจนได้ข้อยุติ จำนวน ๒๓,๑๕๘ เรื่อง คิดเป็นร้อยละ ๘๘.๗๑ และอยู่ระหว่างการดำเนินการของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๒,๙๔๘ เรื่อง คิดเป็นร้อยละ ๑๑.๒๙ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ความสำคัญแก่การเร่งรัดการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมภายในระยะเวลาที่เหมาะสม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
297 | ยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579) | พม | 12/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้ปรับชื่อยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัยให้เหมาะสมจากเดิม “ยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙)” เป็น “แผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙)” ๒. เห็นชอบในหลักการแผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) ซึ่งมุ่งเน้นให้คนไทยทุกคนเข้าถึงสิทธิในที่อยู่อาศัย มีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการดำรงชีวิตที่มีคุณภาพ โดยใช้เป็นกรอบในการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะยาว และเสริมสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยของประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายและครอบคลุมในทุกมิติ ประกอบด้วย ๕ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (๑) การพัฒนาและสนับสนุนให้มีที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐาน (๒) การเสริมสร้างระบบการเงินและสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (๓) การยกระดับการบูรณาการด้านบริหารจัดการที่อยู่อาศัย (๔) การส่งเสริมให้ชุมชนเข้มแข็งได้อย่างยั่งยืน และ (๕) การจัดการสิ่งแวดล้อมเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี และให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนแม่บทฯ ไปดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ให้เกิดผลในทางปฏิบัติต่อไป โดยให้ยึดหลักการการบูรณาการการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในการดำเนินการและให้ความสำคัญกับการดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนด้านที่อยู่อาศัยของประชาชนผู้มีรายได้น้อยในพื้นที่ต่าง ๆ เป็นลำดับแรก ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดอย่างเคร่งครัด ๓. ให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า การดำเนินโครงการแต่ละโครงการควรคำนึงถึงความต้องการอย่างแท้จริงของประชาชนเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต และพิจารณาอาคารที่ได้ก่อสร้างไว้แล้วแต่มีผู้เข้าพักอาศัยไม่เต็มโครงการด้วย การกำหนดแผนงาน โครงการ แหล่งเงินในการดำเนินโครงการให้เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการของแต่ละกลุ่มเป้าหมายตามความจำเป็นเร่งด่วน ความพร้อม และศักยภาพในการดำเนินงานของหน่วยงาน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญด้วย การถ่ายทอดระดับจากยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ ๒๐ ปี สู่การจัดทำแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ในแต่ละช่วงเวลา ๕ ปี โดยกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและมีตัวชี้วัดที่สามารถติดตามประเมินผลได้ และมีการจัดลำดับความสำคัญของแผนงานโครงการที่ตอบสนองตามเป้าหมายและจุดเน้นในแต่ละช่วงเวลา โดยพิจารณาดำเนินการทบทวนข้อมูลจำนวนผู้ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยทุก ๕ ปี และศึกษาแนวโน้มความต้องการที่อยู่อาศัยในระดับประเทศและจำแนกตามภูมิภาคให้ชัดเจน รวมทั้งพิจารณาความเหมาะสมเป็นไปได้และเตรียมแผนงานรองรับด้วยการจัดให้มีการศึกษาข้อกฎหมายต่าง ๆ และวิเคราะห์ความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติสำหรับแนวทางตามยุทธศาสตร์ที่เสนอให้นำพื้นที่ตาบอดออกสู่ตลาดที่ดิน และการจัดตั้งกองทุนที่อยู่อาศัย เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๔. ในการดำเนินการตามโครงการภายใต้แผนแม่บทฯ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคำนึงถึงความพร้อมและความเหมาะสมในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะความต้องการที่อยู่อาศัยของกลุ่มเป้าหมาย สภาพ ขนาด และรูปแบบที่อยู่อาศัย สภาพแวดล้อม และเส้นทางการคมนาคม รวมทั้งพิจารณาความคุ้มค่าในการดำเนินการและการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐาน เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่มได้รับประโยชน์อย่างแท้จริงและทั่วถึง โดยอาจพิจารณาให้ภาคเอกชนหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการ ทั้งนี้ ให้มีการพิจารณาจัดทำแผนการหารายได้จากอาคารเช่าที่ยังว่างอยู่ด้วย ๕. ในการกำหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติของผู้ที่จะเข้าร่วมโครงการตามแผนแม่บทฯ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณานำฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อยตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐของกระทรวงการคลังที่เป็นปัจจุบันมาพิจารณาประกอบการดำเนินการ โดยให้ความสำคัญกับผู้มีรายได้น้อยตามโครงการลงทะเบียนฯ เป็นลำดับแรก เพื่อให้สามารถช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยในด้านที่อยู่อาศัยได้อย่างทั่วถึงและเกิดประโยชน์ต่อประชาชนกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง ๖. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ทบทวนความจำเป็นเหมาะสมในการดำเนินการตามประเด็นสำคัญต่าง ๆ เช่น การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลที่อยู่อาศัยแห่งชาติ การประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัย การจัดตั้งกองทุนที่อยู่อาศัยแห่งชาติ การหักรายได้จากภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมาสนับสนุนกองทุนที่อยู่อาศัยแห่งชาติ การจัดตั้งองค์กรระดับกระทรวงเพื่อดูแลรับผิดชอบด้านที่อยู่อาศัยเป็นการเฉพาะ เป็นต้น เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในการดำเนินงานตามภารกิจหน้าที่และงบประมาณของแต่ละหน่วยงาน ตลอดจนเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการของร่างกฎหมายวินัยการเงินการคลังด้วย ๗. เมื่อมียุทธศาสตร์ชาติแล้ว ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พิจารณาทบทวนและปรับปรุงแผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) อีกครั้งเพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ และให้เสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
298 | การทบทวนแผนปฏิบัติการเพื่อให้คลองแสนแสบสะอาดภายใน 2 ปี | นร | 12/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแผนปฏิบัติการเพื่อให้คลองแสนแสบสะอาดของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งได้ปรับแผนภาพรวมการดำเนินการแบ่งออกเป็น ๓ ระยะ คือ ระยะ ๑ ปี ระยะ ๕ ปี และระยะ ๒๐ ปี และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามแผนปฏิบัติการดังกล่าวต่อไป ดังนี้ ๑.๑ ในระยะเร่งด่วนปี ๒๕๖๐-๒๕๖๑ ให้เร่งรัดโครงการที่เกี่ยวกับการขุดลอกคลอง และการกำจัดวัชพืช รวมทั้งการระบายน้ำให้เกิดผลเป็นรูปธรรมควบคู่ไปกับการเริ่มวางโครงสร้างพื้นฐานในระยะยาว และรายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนงานทุก ๖ เดือนต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ ๕ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เป็นรองประธานกรรมการ ๑.๒ ให้พิจารณาความเป็นไปได้และความเหมาะสมในการให้ภาคเอกชนร่วมลงทุน (PPP) ในโครงการขนาดใหญ่ที่มีงบประมาณสูง โดยเฉพาะโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อแก้ไขน้ำเสียเป็นการดำเนินการที่ใช้งบประมาณจำนวนมากทั้งในระยะ ๕ ปี (ก่อสร้างระบบรวบรวมน้ำเสีย ๓ โครงการ วงเงินลงทุนรวม ๒,๖๑๑.๕๐ ล้านบาท ก่อสร้างระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสีย ๕ โครงการ วงเงินลงทุนรวม ๑๕,๑๗๑ ล้านบาท และก่อสร้างเขื่อน ค.ส.ล. ๓ โครงการ วงเงินลงทุนรวม ๒,๓๗๘.๘๐ ล้านบาท) และระยะ ๒๐ ปี (ก่อสร้างระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสีย ๕ โครงการ วงเงินลงทุนรวม ๒๙,๔๒๐ ล้านบาท) ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับปริมาณน้ำทิ้งที่ระบายออกสู่สิ่งแวดล้อม ควรพิจารณาใช้มาตรการบำบัดที่แหล่งกำเนิด (point source control) จะประหยัดและมีประสิทธิภาพมากกว่ามาตรการรวบรวมน้ำเสียไปบำบัดยังโรงบำบัดน้ำเสียส่วนกลาง สำหรับการเดินเรือในคลองแสนแสบซึ่งมีส่วนช่วยในการเพิ่มเติมอากาศในน้ำซึ่งเป็นผลดีต่อคุณภาพน้ำ ควรปรับปรุงเครื่องยนต์ให้เป็นรูปแบบที่สะอาดเพื่อลดมลพิษที่ปล่อยลงสู่ลำคลอง รวมทั้งควรพิจารณาแนวทางการเพิ่มการไหลเวียนของน้ำในคลองแสนแสบเพื่อปรับปรุงคุณภาพน้ำและลดการตื้นเขิน ส่วนการออกแบบเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็กในบริเวณริมคลองสามารถใช้เป็นเส้นทางสัญจรตลอดแนวคลอง ควรออกแบบให้ชุมชนริมฝั่งได้ใช้ประโยชน์เพื่อกิจกรรมสันทนาการหรืออื่น ๆ ตามความต้องการของชุมชน และควรมีโครงสร้างที่เอื้อต่อการขุดลอกเพื่อกำจัดวัชพืชได้ดี ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ๓. เห็นชอบในหลักการโครงการที่ต้องเร่งรัดการดำเนินการเพื่อให้มีระบบการรวบรวมและบำบัดน้ำเสียที่มีประสิทธิภาพก่อนระบายลงคลองแสนแสบ ตามแผนปฏิบัติการเพื่อให้คลองแสนแสบสะอาด รวม ๕ โครงการ กรอบวงเงินรวม ๗,๑๔๕.๔ ล้านบาท ได้แก่ (๑) งานก่อสร้างระบบรวบรวมน้ำเสียเพิ่มเติมริมคลองแสนแสบช่วงถนนวิทยุ-คลองตันเข้าโรงควบคุมคุณภาพน้ำดินแดง (๒) โครงการก่อสร้างระบบรวบรวมน้ำเสีย (เพิ่มเติม) พื้นที่เขตห้วยขวางเข้าโรงควบคุมคุณภาพน้ำดินแดง และ (๓) โครงการบำบัดน้ำเสียมีนบุรี ระยะที่ ๓ (๔) โครงการก่อสร้างเขื่อน ค.ส.ล. พร้อมระบบรวบรวมน้ำเสียคลองแสนแสบจากบริเวณประตูระบายน้ำมีนบุรีถึงบริเวณประตูระบายน้ำหนองจอก และ (๕) โครงการก่อสร้างเขื่อน ค.ส.ล. คลองแสนแสบจากบริเวณสะพานผ่านฟ้าถึงบริเวณประตูระบายน้ำคลองตัน ๔. สำหรับแหล่งเงินและค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามข้อ ๑ และข้อ ๓ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้ชัดเจน เหมาะสม สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ แผนบูรณาการ ภารกิจ และศักยภาพของหน่วยงานเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนและการดำเนินการภายใต้กฎหมายว่าด้วยการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ คุ้มค่า ลดความซ้ำซ้อน เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้ โครงการที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรุงเทพมหานครเป็นโครงการขนาดใหญ่และมีวงเงินลงทุนสูง เห็นควรให้ใช้จ่ายจากเงินรายได้ของกรุงเทพมหานครไม่น้อยกว่าร้อยละ ๕๐ และเงินอุดหนุนรัฐบาลไม่เกินร้อยละ ๕๐ โดยให้นับรวมอยู่ในสัดส่วนรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๕. ในระยะเร่งด่วนปี ๒๕๖๐-๒๕๖๑ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินโครงการที่เกี่ยวกับการขุดลอกคลอง และการกำจัดวัชพืช รวมทั้งปรับปรุงทางระบายน้ำให้เกิดผลเป็นรูปธรรมควบคู่ไปกับการเตรียมการด้านโครงสร้างพื้นฐานในระยะยาว และให้รายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการดังกล่าวไปยังสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทุก ๆ ๖ เดือน เพื่อรวบรวมนำเสนอต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ ๕ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เป็นรองประธานกรรมการ ต่อไป ๖. ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการให้ภาคเอกชนร่วมลงทุน (PPP) ในโครงการขนาดใหญ่ที่มีงบประมาณสูง โดยเฉพาะโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อแก้ไขน้ำเสีย ทั้งในระยะ ๕ ปี และระยะ ๒๐ ปี โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
299 | การแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการสภาการศึกษา (จำนวน 28 คน/รูป 1. นายอรรถการ ตฤษณารังสี ฯลฯ) | ศธ | 12/09/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการสภาการศึกษา จำนวน ๒๘ คน/รูป ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๒ กันยายน ๒๕๖๐) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายอรรถการ ตฤษณารังสี กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรเอกชน ๒. นางสาวสมใจ สุวรรณศุภพนา กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๓. นายวรชาติ เฉิดชมจันทร์ กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรวิชาชีพ ๔. พระพรหมมุนี (สุชิน อคฺคชิโน) กรรมการที่เป็นภิกษุซึ่งเป็นผู้แทนคณะสงฆ์ ๕. พระราชวรมุนี (พล อาภากโร) กรรมการที่เป็นภิกษุซึ่งเป็นผู้แทนคณะสงฆ์ ๖. รองศาสตราจารย์วินัย ดะห์ลัน กรรมการที่เป็นผู้แทนคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ๗. นายปานชัย สิงห์สัจเทพ กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรศาสนาอื่น ๘. ศาสตราจารย์ชุติมา สัจจานันท์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษา ๙. นายสุภกร บัวสาย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษา ๑๐. รองศาสตราจารย์อนุชาติ พวงสำลี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษา ๑๑. นายกิตติรัตน์ มังคละคีรี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย ๑๒. นายอภิมุข สุขประสิทธิ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย ๑๓. นายอำนาจ บัวศิริ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านศาสนา วัฒนธรรม และภูมิปัญญา ๑๔. นางจรวยพร ธรณินทร์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการกีฬา กิจการเยาวชน ลูกเสือ ยุวกาชาด และเนตรนารี ๑๕. รองศาสตราจารย์จีรเดช อู่สวัสดิ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านมาตรฐานและการประกันคุณภาพการศึกษา และการวัดและ ประเมินผลการศึกษา ๑๖. ศาสตราจารย์ชนิตา รักษ์พลเมือง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านมาตรฐานและการประกันคุณภาพการศึกษา และการวัดและ ประเมินผลการศึกษา ๑๗. นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง ธุรกิจ และการบริการ ๑๘. นายนนทวัฒน์ สุขผล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง ธุรกิจ และการบริการ ๑๙. นายบดินทร์ อูนากูล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง ธุรกิจ และการบริการ ๒๐. นายสุกิจ อุทินทุ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง ธุรกิจ และการบริการ ๒๑. นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านพัฒนาสังคมและสิทธิมนุษยชน ๒๒. ศาสตราจารย์สุพจน์ หารหนองบัว กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและการสื่อสาร ๒๓. นายธาดา เศวตศิลา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านสื่อสารมวลชน ๒๔. นายเกียรติชัย โสภาเสถียรพงศ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเมืองการปกครอง ๒๕. รองศาสตราจารย์บัณฑิต ทิพากร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๒๖. นายบัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๒๗. พลเอก พหล สง่าเนตร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านส่งเสริมการป้องกันและการปราบปรามการทุจริต ๒๘. นายกิติ มาดิลกโกวิท กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการผลิตและพัฒนากำลังคน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
300 | มาตรการการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบ อันเนื่องมาจากเหตุอุทกภัยในภาคใต้ | กค | 08/08/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐนำหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการพิจารณาการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบ อันเนื่องมาจากเหตุอุทกภัยในภาคใต้ที่คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุพิจารณาแล้วในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ไปถือปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน และมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยนำมาตรการนี้ไปใช้บังคับในการจัดจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยอนุโลมด้วย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่นของรัฐ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งปรับแผนการดำเนินงานให้สอดคล้องตามสถานการณ์ โดยคำนึงถึงเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทันต่อสถานการณ์ และเกิดความเป็นธรรมต่อผู้ประกอบการในพื้นที่ ให้คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุเร่งพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมในการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยในพื้นที่ดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็วและเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วน ทั้งนี้ ให้พิจารณาดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องด้วย
|
.....