ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 16 จากทั้งหมด 74 หน้า แสดงรายการที่ 301 - 320 จากข้อมูลทั้งหมด 1463 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
301 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 01/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้จัดประชุมเพื่อเตรียมความพร้อมในการดำเนินการจัดให้มีสภาเด็กและเยาวชนทุกระดับตามกรอบเวลาของกฎหมายกับทุกจังหวัดแล้ว และได้แต่งตั้งคณะทำงานอำนวยการขับเคลื่อนการทำงานของสภาเด็กและเยาวชน และขณะนี้อยู่ระหว่างจัดทำคู่มือแนวทางการจัดให้มีสภาเด็กและเยาวชนแต่ละระดับ ตลอดจนสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดให้มีสภาเด็กและเยาวชนทุกระดับ สำหรับการส่งเสริม สนับสนุนการทำกิจกรรมของเด็กและเยาวชนในพื้นที่รับผิดชอบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะได้มีการนำเสนอต่อคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติเพื่อมีมติให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดทำแผนพัฒนาเด็กและเยาวชนในระดับท้องถิ่น นอกจากนี้ ได้เตรียมประชุมหารือร่วมกับกรมการปกครอง กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อจัดทำแผนการบริหารจัดการ หรือ Road Map ในการถ่ายโอนภารกิจสภาเด็กและเยาวชนภายใน ๕ ปี ไปอยู่ในกำกับดูแลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ที่รับผิดชอบ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
302 | โครงการประชารัฐร่วมใจปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน | ทส | 01/08/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ โครงการประชารัฐร่วมใจปลูกต้นไม้ให้แผ่นดิน มีวัตถุประสงค์เพื่อรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ ๙ และเพื่อรณรงค์และส่งเสริมให้หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนร่วมกันปลูกต้นไม้เพื่อเป็นการเสริมสร้างความรัก ความสามัคคี และร่วมกันกระทำความดีให้กับประเทศชาติตามพระราโชบายฯ รวมทั้งเพื่อปลูกฝังจิตสำนึกในการอนุรักษ์ต้นไม้ และทรัพยากรป่าไม้ให้แก่ประชาชนทุกคนในประเทศ ซึ่งจะเปิดโครงการฯ ในวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๖๐ โดยทุกจังหวัดทั่วประเทศจัดเตรียมพื้นที่ปลูกต้นไม้ และกรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ จัดเตรียมกล้าไม้เพื่อให้ทุกภาคส่วนร่วมกันปลูก ในวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๖๐ ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงอื่น ๆ ทุกกระทรวง กรุงเทพมหานคร และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่งร่วมกันดำเนินโครงการฯ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ในการดำเนินโครงการฯ ควรยึดหลักการปลูกและฟื้นฟูป่าไม้ตามแนวพระราชดำริ “ปลูกป่า ปลูกคน” โดยประยุกต์ความสำเร็จจากการพัฒนาฟื้นฟูป่าไม้อันเนื่องมาจากพระราชดำริที่ประสบความสำเร็จในหลายพื้นที่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทยมาปรับใช้อย่างเหมาะสมกับบริบทของแต่ละพื้นที่ สำหรับการประเมินความสำเร็จของโครงการฯ ควรให้ความสำคัญกับปัจจัยชี้วัดความสำเร็จในเชิงคุณภาพร่วมด้วย อาทิ คุณภาพชีวิตของชุมชนและความหลากหลายทางชีวภาพที่ดีขึ้น อันเนื่องมาจากความสมบูรณ์ของป่าไม้ที่ได้รับการฟื้นฟู อนุรักษ์ ปลูกทดแทนภายใต้โครงการฯ และชุมชมเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างเครือข่ายการปลูกฟื้นฟูและดูแลฝืนป่าไปพร้อมกับการบริหารจัดการป่าชุมชนด้วยความต้องการของชุมชนเอง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดว่า ไม่ให้มีการตัดต้นไม้ยืนต้นที่ปลูกอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ ในความรับผิดชอบอย่างเด็ดขาด ยกเว้นในกรณีจำเป็นอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้เท่านั้น รวมทั้งให้ร่วมกันรณรงค์และประชาสัมพันธ์เพื่อการดูแลรักษาต้นไม้และสภาพแวดล้อมในพื้นที่ต่าง ๆ ให้มีความสวยงามตามธรรมชาติอย่างยั่งยืนต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
303 | ข้อเสนอการปฏิรูปกิจการตำรวจของคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ (กพยช.) | ยธ | 25/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อเสนอการปฏิรูปกิจการตำรวจของคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ (กพยช.) ตามมติ กพยช. ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๖๐ ซึ่งได้มีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการพัฒนาระบบการสอบสวน งานนิติวิทยาศาสตร์ อำนาจหน้าที่และภารกิจของตำรวจ ระบบการบริหารงานบุคคล และระบบค่าตอบแทน ตามที่ประธาน กพยช. เสนอ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งข้อเสนอการปฏิรูปกิจการตำรวจดังกล่าวและความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องให้คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม (ตำรวจ) เพื่อประกอบการพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป โดยส่วนราชการที่เกี่ยวข้องมีความเห็น ดังนี้ ๒.๑ การพัฒนาระบบค่าตอบแทนควรพิจารณาให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกระทรวงการคลัง สำหรับข้อเสนอในเรื่องการพัฒนาความร่วมมือในการบริหารจัดการภารกิจและการสนับสนุนงบประมาณเพื่อเป็นค่าตอบแทนแก่ข้าราชการตำรวจที่ได้ปฏิบัติภารกิจร่วมกับชุมชนหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยมีข้อเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณในการปฏิบัติงานของตำรวจจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เห็นควรพิจารณาให้เป็นไปตามอำนาจหน้าที่และความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒.๒ ควรเน้นให้สถานีตำรวจเป็นศูนย์กลางในการบริการประชาชน และให้ชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการปฏิบัติภารกิจของตำรวจ รวมทั้งลดภาระงานที่ไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของตำรวจโดยตรง ซึ่งจะช่วยให้สามารถพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลและระบบค่าตอบแทนได้สอดคล้องกัน นอกจากนี้ ควรมุ่งเน้นการสร้างธรรมาภิบาลและระบบคุณธรรมในการบริหารราชการและการบริหารงานบุคคลเพื่อให้เกิดความเชื่อถือไว้วางใจต่อสาธารณชนมากขึ้น ๒.๓ ควรปฏิรูปการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง เพื่อความเท่าเทียมและเป็นธรรม และควรโอนภารกิจที่ไม่ใช่ภารกิจหลักให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องหรือถ่ายโอนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
304 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (จำนวน 17 คน/รูป 1. นายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ ฯลฯ) | ศธ | 25/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน ๑๗ คน/รูป แทนประธานกรรมการและกรรมการชุดเดิมที่ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปีแล้ว เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๖๐ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๐) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ ประธานกรรมการ ๒. นายพิทักษ์ บัวแสงใส กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรเอกชน ๓. นายนุชากร มาศฉมาดล กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๔. นางสาวทินสิริ ศิริโพธิ์ กรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรวิชาชีพ ๕. ผู้ช่วยศาสตราจารย์กวิสรา รัตนากร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านการประถมศึกษา) ๖. นายจงภพ ชูประทีป กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ) ๗. นางบุสบง พรหมจันทร์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านการมัธยมศึกษา) ๘. นางสาวเบญจพร ปัญญายง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านการศึกษาปฐมวัย) ๙. นายพิศณุ ศรีพล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย) ๑๐. ว่าที่ร้อยตรี ไพศาล ประทุมชาติ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านการงบประมาณ การเงิน และการคลัง) ๑๑. รองศาสตราจารย์ยืน ภู่วรวรรณ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านอุตสาหกรรม) ๑๒. นางศรินธร วิทยะสิรินันท์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านการศึกษาเพื่อคนพิการ) ๑๓. นายสมหมาย ปาริจฉัตต์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านธุรกิจและการบริการ) ๑๔. นางสาวสุรภี โสรัจจกุล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านการบริหารงานบุคคล) ๑๕. นางแสงระวี วาจาวุทธ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านการศึกษาสำหรับผู้ด้อยโอกาส ด้านการศึกษาเอกชน และด้านการศึกษาสำหรับผู้มีความสามารถพิเศษ) ๑๖. รองศาสตราจารย์เอกชัย กี่สุขพันธ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านการบริหารการศึกษา) ๑๗. พระพรหมดิลก กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านพุทธศาสนาและการศึกษา)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
305 | ขอลดหย่อนค่ารายปีภาษีโรงเรือนและที่ดินในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) | คค | 11/07/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. ให้ลดหย่อนค่ารายปีภาษีโรงเรือนและที่ดินในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) โดยอิงกับบันทึกข้อตกลง เรื่อง การเสียภาษีของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในช่วงปีภาษี ๒๕๕๒-๒๕๕๔ โดยอาศัยอำนาจตามนัยมาตรา ๓๑ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช ๒๔๗๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เฉพาะในส่วนของพื้นที่ที่ ทอท. ใช้ประโยชน์เองและพื้นที่ต่อเนื่อง ซึ่ง ทอท. จะเป็นผู้รับภาระภาษีในส่วนนี้เองทั้งหมด จากค่ารายปีที่องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ราชาเทวะประเมิน จำนวนเงิน ๓๗๖,๐๔๑,๑๖๘ บาท คำนวณเป็นค่าภาษีโรงเรือนและที่ดิน จำนวน ๔๗,๐๐๕,๑๔๖ บาท ลดลงเหลือเป็นค่ารายปี จำนวนเงิน ๑๙๔,๔๐๐,๐๐๐ บาท คำนวณเป็นค่าภาษีโรงเรือนและที่ดิน จำนวน ๒๔,๓๐๐,๐๐๐ บาท ๒. ให้ อบต. ราชาเทวะคืนเงินค่าภาษีให้กับ ทอท. ซึ่งเป็นผลจากการลดหย่อนค่ารายปี (ตามข้อ ๑) เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น ๒๒,๗๐๕,๑๔๖ บาท จากที่ ทอท. เสนอคณะรัฐมนตรีขอคืนเงินค่าภาษีจาก อบต. ราชาเทวะ ในปีภาษี ๒๕๕๒-๒๕๕๔ เป็นจำนวนเงิน ๑๐๓,๑๑๑,๖๔๖ บาท ๓. สำหรับในช่วงปีภาษี ๒๕๕๗-๒๕๕๙ เห็นควรให้การประเมินค่ารายปีภาษีโรงเรือนและที่ดินของ ทอท. เป็นไปตามที่ อบต. ราชาเทวะประเมิน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
306 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 30 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2559 - 31 มีนาคม 2560) | นร04 | 20/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๓๐ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๙-๓๑ มีนาคม ๒๕๖๐) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ มีผลงานสำคัญโดยสรุป ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เช่น โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกระดับจังหวัด อำเภอ ท้องถิ่น การจัดงานประเพณี กิจกรรมทางศาสนา และกิจกรรมพัฒนา และการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนร้องทุกข์ ๒. การปฏิรูปประเทศ ได้แก่ การปฏิรูปกฎหมายแข่งขันทางการค้าและร่างพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. .... การปรับปรุงระบบกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อเสริมสร้างธรรมาภิบาล ประสิทธิภาพ และการพัฒนาบุคลากรภาครัฐและร่างพระราชบัญญัติการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการนโยบายสาธารณะ พ.ศ. .... การปฏิรูปแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การบริหารงานภาครัฐที่เปิดเผยข้อมูลและร่างพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารสาธารณะ พ.ศ. ..... การปฏิรูปความรับผิดต่อความชำรุดบกพร่องของสินค้าและร่างพระราชบัญญัติความรับผิดต่อความชำรุดบกพร่องของสินค้า พ.ศ. .... การจัดการสินค้าที่ไม่ปลอดภัยและร่างพระราชบัญญัติการแจ้งเตือนภัยและจัดการสินค้าที่ไม่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค พ.ศ..... การปฏิรูปประสิทธิภาพกระบวนการยุติธรรมทางอาญา และการปฏิรูปทนายความอาสา ทนายความขอแรง และที่ปรึกษากฎหมายของเด็กหรือเยาวชน ในประเด็นการปฏิรูปค่าตอบแทนและสิ่งจูงใจพิเศษเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษี ๓. การบริหารราชการแผ่นดิน ๓.๑ ด้านความมั่นคง เช่น การเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ด้วยความจงรักภักดีและปกป้องรักษาพระบรมเดชานุภาพ การน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและร่วมแสดงความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช การรักษาความมั่นคงของรัฐและต่างประเทศ ๓.๒ ด้านสังคมจิตวิทยา เช่น การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม การสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการของภาครัฐ การบูรณาการระบบการส่งเสริมอาชีพและการมีงานทำของคนพิการ การศึกษาและเรียนรู้ การทะนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม การยกระดับคุณภาพบริการด้านสาธารณสุข และสุขภาพของประชาชน ๓.๓ ด้านเศรษฐกิจ เช่น การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ การแก้ไขหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืน การดำเนินโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี ๒๕๖๐ การจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว การจัดงานส่งเสริมด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม การขับเคลื่อนระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) การขับเคลื่อนพัฒนาและส่งเสริม SMEs การส่งเสริมสมุนไพรไทย การขับเคลื่อนแผนส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และการจัดงานส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา และนวัตกรรม ๓.๔ ด้านการต่างประเทศ เช่น การเสริมสร้างภาพลักษณ์ ความเชื่อมั่น และทัศนคติที่ดีต่อไทย การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-ญี่ปุ่น และการเปิดตัวแอปพลิเคชัน "Street Food Phuket" "Street Food Chiang Mai-Chiang Rai" และ "Street Food Bangkok" ในรูปแบบภาษาจีน ๓.๕ ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น การอบรมอาสาสมัครคุมประพฤติเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จในการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิดในชุมชน การดำเนินโครงการพัฒนาระบบศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนที่มีอายุ ๒๐ ปีบริบูรณ์ขึ้นไป การส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาล การจัดกิจกรรมในการพัฒนาเครือข่ายการปฏิบัติงานรับเรื่องร้องทุกข์ของส่วนราชการระดับกระทรวง กรม รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอิสระ และการจัดตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนสำหรับนักลงทุนชาวต่างชาติ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
307 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | นร01 | 06/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ซึ่งภาพรวมสถิติที่ยื่นเรื่องผ่านช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมทั้งสิ้น ๔๐,๙๙๓ ครั้ง รวมจำนวน ๒๓,๖๗๖ เรื่อง สามารถดำเนินการจนได้ข้อยุติ จำนวน ๒๐,๕๔๔ เรื่อง คิดเป็นร้อยละ ๘๖.๗๗ โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เหตุเดือดร้อนรำคาญ รองลงมาคือ การเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐในประเด็นที่หลากหลาย หนี้สินนอกระบบ แจ้งเบาะแสการลักลอบจำหน่ายและเสพยาเสพติด และแจ้งเบาะแสการลักลอบเปิดบ่อนและเล่นการพนัน ตามลำดับ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ความสำคัญแก่การเร่งรัดการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมภายในระยะเวลาที่เหมาะสม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
308 | แผนยุทธศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2560 - 2564 | สธ | 06/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนยุทธศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นกรอบและทิศทางในการจัดการงานด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งเน้นการป้องกันและลดปัจจัยเสี่ยงจากสิ่งแวดล้อมต่อสุขภาพ ประกอบด้วย ๔ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (๑) ป้องกันและลดปัจจัยเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมต่อสุขภาพ (๒) สร้างความร่วมมือพหุภาคีและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามแนวทางประชารัฐ (๓) สร้างความเข้มแข็งระบบบริหารจัดการด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม และ (๔) เสริมสร้างขีดความสามารถของประชาชน บุคลากรและภาคีเครือข่ายด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมให้มีความรอบรู้ด้านสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลต่อสุขภาพ ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนยุทธศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ไปสู่การปฏิบัติต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
309 | มาตรการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจ และสังคมในท้องถิ่น | มท | 09/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันและเบิกจ่าย จากเดิมกรณีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้รับการจัดสรรงบประมาณแล้ว ให้สามารถก่อหนี้ผูกพันและเบิกจ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นกรณีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้รับการจัดสรรงบประมาณแล้ว ให้สามารถก่อหนี้ผูกพันภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และเบิกจ่ายตามงวดงาน รวมทั้งเห็นชอบการขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลตามมาตรการสนับสนุนการลงทุนร่วมระหว่างรัฐบาลและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (Matching Fund) จนถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. อนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่าย งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามรายละเอียดโครงการที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขอรับการสนับสนุน ภายในกรอบวงเงิน ๙,๘๙๗.๕๐ ล้านบาท ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๙ (เรื่อง มาตรการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจและสังคมภายในท้องถิ่น) สำหรับการขอยกเว้นการใช้จ่ายเงินสะสมเป็นลำดับแรกก่อนนั้น เนื่องจากรัฐบาลมีเจตนารมณ์ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีศักยภาพด้านการเงินการคลังนำเงินสะสมมาใช้จ่าย เพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับงบประมาณไม่เพียงพอ ซึ่งการดำเนินการตามหลักการดังกล่าวจะช่วยรัฐบาลลดภาระงบประมาณรายจ่าย งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น อันมีอยู่อย่างจำกัดและต้องสำรองไว้สำหรับภารกิจยุทธศาสตร์ที่จำเป็นเร่งด่วน รวมทั้งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการพัฒนาพื้นที่ของตนเอง จึงเห็นสมควรให้ดำเนินการตามหลักการเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติไว้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
310 | (ร่าง) แผนยุทธศาสตร์การคุ้มครองผู้บริโภคแห่งชาติ (ฉบับที่ 1) (พ.ศ. 2560 - 2564) | นร | 09/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบ (ร่าง) แผนยุทธศาสตร์การคุ้มครองผู้บริโภคแห่งชาติ ฉบับที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๖๐ - ๒๕๖๔) มีเป้าหมายเพื่อให้เกิดการบูรณาการการคุ้มครองผู้บริโภคทุกภาคส่วนและการคุ้มครองผู้บริโภคในภาพรวมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยกำหนดยุทธศาสตร์ที่จะดำเนินการเป็น ๕ ยุทธศาสตร์ ๑๕ กลยุทธ์ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติต่อไป ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงและการบูรณาการการทำงานคุ้มครองผู้บริโภคกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การคุ้มครองผู้บริโภคเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณในโอกาสแรก และปีต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้งบประมาณ รวมทั้งจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภครับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร. อาทิ การให้ความสำคัญกับการเตรียมการเพื่อรองรับกลไกการคุ้มครองผู้บริโภคในระดับพื้นที่ โดยเฉพาะการยกระดับศักยภาพการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภคขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งในด้านการพัฒนากฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ควบคู่กับการพัฒนาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการคุ้มครองผู้บริโภค การกำหนดกลยุทธ์รองรับประเด็นตามวาระการปฏิรูปทั้ง ๖ ประเด็นให้ชัดเจน และการกำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จให้ชัดเจนเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป รวมทั้งให้ดำเนินการเพิ่มเติมด้วย ดังนี้ ๒.๑ ให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการดำเนินการเพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคโดยตรงเป็นลำดับแรก เช่น การแก้ปัญหาข้อร้องเรียนของผู้บริโภคให้ได้ข้อยุติเพื่อให้ผู้บริโภคได้รับความเป็นธรรมภายในระยะเวลาที่เหมาะสม การกำหนดมาตรฐานระยะเวลาการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนในแต่ละประเภทเรื่องให้มีความชัดเจน รวมทั้งการขยายการดำเนินการคุ้มครองผู้บริโภคให้ครอบคลุมการดำเนินธุรกิจประเภทต่าง ๆ เช่น ธุรกิจทางการเงิน ธุรกิจประกันภัย ธุรกิจเครือข่าย ธุรกิจการท่องเที่ยว ธุรกิจซื้อขาย online โดยให้ดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายโดยตรง ๒.๒ ในส่วนของยุทธศาสตร์ที่ ๒ (การพัฒนาระบบฐานข้อมูลในการคุ้มครองผู้บริโภค) ให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคพัฒนาระบบฐานข้อมูลผู้ประกอบการที่ถูกร้องเรียนในแต่ละประเภทกิจการให้เชื่อมต่อไปยังหน่วยงานผู้ออกใบอนุญาตเพื่อนำข้อมูลไปใช้ประกอบการพิจารณาออกใบอนุญาตประกอบกิจการได้ต่อไป รวมทั้งให้นำข้อมูลการออกใบอนุญาตมาใช้เป็นฐานข้อมูลในการติดตามคุ้มครองผู้บริโภคต่อไปด้วย ๒.๓ ในส่วนของยุทธศาสตร์ที่ ๓ (การพัฒนาองค์ความรู้และการสื่อสารเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค) ให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคพัฒนาระบบการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์เพื่อให้ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับสิทธิของผู้บริโภคในประเด็นที่อยู่ในความสนใจของประชาชนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับกระบวนการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคและลดความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับภาครัฐ โดยอาจพิจารณาให้มีทีมงานที่ทำหน้าที่ติดตามตรวจสอบข่าวสารที่ปรากฏในสื่อสังคมออนไลน์ที่เกี่ยวกับการเอาเปรียบผู้บริโภคเพื่อให้คำแนะนำหรือแก้ไขปัญหาในเบื้องต้นให้แก่ผู้บริโภคที่ได้รับความเดือดร้อนเช่นเดียวกับกรณีการดำเนินการของกรมทรัพย์สินทางปัญญา (IP man) ๓. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งเรื่องนี้ให้คณะกรรมการเตรียมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศทราบ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาดำเนินการเกี่ยวกับการเตรียมการยุทธศาสตร์ในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
311 | สรุปผลการดำเนินการตามโครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | มท | 02/05/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินการตามโครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๙-๓๑ มกราคม ๒๕๖๐ มีหมู่บ้านเสนอโครงการ จำนวน ๘๒,๓๓๖ โครงการ เป็นเงิน ๑๘,๖๖๐,๔๑๗,๔๙๘ บาท และหมู่บ้านเบิกจ่ายงบประมาณ จำนวน ๘๒,๓๑๘ โครงการ เป็นเงิน ๑๘,๖๔๘,๗๑๒,๕๙๐ บาท คิดเป็นร้อยละ ๙๙.๙๘ หมู่บ้านไม่สามารถดำเนินการโครงการได้ ๑๘ โครงการ เป็นเงิน ๓,๔๕๒,๐๐๐ บาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๐๒ ๒. การติดตามการดำเนินโครงการ กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการปกครองได้มีการติดตามการดำเนินโครงการอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินจะดำเนินการเข้าตรวจสอบการดำเนินงานโครงการ ตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ ๓. การประเมินผลโครงการ จากการดำเนินการโดยวิธีการสุ่มประเมินหมู่บ้าน จำนวน ๖๐๐ หมู่บ้าน ๖,๐๐๐ คน ผลการประเมินพบว่า ประชาชนมีความพึงพอใจเป็นอย่างมากต่อโครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านฯ คิดเป็นร้อยละ ๙๙.๒๐ ๔. ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ได้แก่ (๑) ควรมีการจัดสรรงบประมาณในลักษณะเช่นเดียวกับโครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านฯ ให้แก่หมู่บ้านอย่างต่อเนื่อง (๒) การสนับสนุนงบประมาณควรเป็นไปตามขนาดของหมู่บ้าน เช่น ขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ (๓) ควรกำหนดระยะเวลาการดำเนินการตามโครงการให้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้ประชาชนในพื้นที่สามารถวางแผนการดำเนินการตามโครงการได้เอง โดยไม่ต้องจ้างผู้รับจ้างดำเนินการแทน (๔) ควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสนับสนุนงบประมาณลักษณะเช่นเดียวกันที่กำหนดให้หมู่บ้านเป็นผู้ดำเนินการเอง และ (๕) ควรให้หมู่บ้านดำเนินโครงการให้เป็นไปตามความต้องการของประชาชนอย่างเปิดเผย โปร่งใส และตรวจสอบได้ โดยไม่ต้องกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไขการดำเนินโครงการตามแบบราชการ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
312 | ผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ 1/2560 | นร11 | 11/04/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศเสนอ ซึ่งที่ประชุมมีมติสรุปได้ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินงานของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่สิ้นสุดลงแล้ว ได้แก่ โครงการสนับสนุนสินเชื่อเกษตรกรชาวสวนยางรายย่อยเพื่อประกอบอาชีพเสริม โครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS 5 (ปรับปรุงใหม่) มาตรการเพื่อส่งเสริมการให้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแก่ผู้มีรายได้น้อยและปานกลางของธนาคารอาคารสงเคราะห์ โครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ และมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยในชุมชนเมืองตามแนวทางประชารัฐ ๒. รับทราบสรุปผลการดำเนินงานในปี ๒๕๕๙ ของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่ง ระยะเร่งด่วน (Action Plan) พ.ศ. ๒๕๕๙ ๓. รับทราบความก้าวหน้าในเรื่องต่าง ๆ เช่น การขับเคลื่อนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริมการลงทุนผ่านคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนและมาตรการเร่งรัดการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย มาตรการการเงินการคลังเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในระยะเร่งด่วน โครงการบ้านประชารัฐ โครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ และมาตรการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจและสังคมภายในท้องถิ่น เป็นต้น ๔. มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังประสานสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเพื่อเร่งรัดการดำเนินงานในส่วนของมาตรการฟื้นฟู SMEs ผ่านกองทุนส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อให้สามารถดำเนินการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ได้โดยเร็ว ๕. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยหารือกับสำนักงบประมาณเพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับแนวทางการปรับปรุงเงื่อนไขและข้อจำกัดของการใช้เงินสนับสนุนของมาตรการสนับสนุนการลงทุนร่วมระหว่างรัฐบาลและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (Matching Fund) ภายใต้มาตรการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจและสังคมภายในท้องถิ่น และรายงานผลการหารือต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ต่อไป ๖. มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมรายงานความก้าวหน้า ปัญหาและอุปสรรค รวมทั้งแนวทางแก้ไขในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่ง (Action Plan) ระยะเร่งด่วน พ.ศ. ๒๕๖๐ และการดำเนินการตามแนวทางการขับเคลื่อนมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางตามมาตรการใหม่ต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ทุกสามเดือน ๗. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำโครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ (ดำเนินการใกล้สิ้นสุดโครงการแล้ว) และมาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ (สิ้นสุดมาตรการแล้ว) ออกจากกรอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่คณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ใช้ในการติดตามความคืบหน้า
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
313 | การเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ปี 2560 | มท | 28/03/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ปี ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยให้กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดทุกจังหวัดดำเนินการ ดังนี้
๑. ให้จัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัดเมื่อเกิดหรือคาดว่าจะเกิดสถานการณ์ภัยแล้งในพื้นที่ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการบูรณาการระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ตลอดจนรวบรวมปัญหา และข้อเท็จจริงเป็นฐานข้อมูลกลางให้ส่วนราชการใช้ร่วมกันเพื่อลดความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติ และให้อำเภอ/องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดตั้งศูนย์บัญชาการเหตุการณ์อำเภอ/ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินท้องถิ่น พร้อมทั้งแต่งตั้งเจ้าหน้าที่รับผิดชอบประจำศูนย์ฯ และแบ่งมอบหน้าที่การปฏิบัติอย่างชัดเจนและเป็นระบบ ๒. ให้จังหวัดประกาศเขตให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งของจังหวัด โดยให้พิจารณาประกาศพื้นที่ประสบภัย ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยแยกเป็นรายตำบลเฉพาะหมู่บ้านที่มีสถานการณ์ภัยแล้งเกิดขึ้นแล้วเท่านั้น รวมทั้งรายงานข้อมูลจำนวนราษฎรและครัวเรือนที่ประสบภัยแล้งตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น และให้ประสานข้อมูลพื้นที่การเกษตรที่ได้รับความเสียหายแล้วและที่คาดว่าจะเสียหายกับสำนักงานเกษตรจังหวัด โดยใช้ข้อมูลของสำนักงานเกษตรจังหวัดเป็นหลัก ๓. ให้สรุปสถานการณ์ภัยแล้งและการให้ความช่วยเหลือที่ได้ดำเนินการแล้วในด้านต่าง ๆ และจัดส่งให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยทุกวันจันทร์ โดยเริ่มรายงานครั้งแรกในวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์ภัยแล้งจะเข้าสู่สภาวะปกติ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
314 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ (เช่าที่ดินเพื่อเป็นที่ตั้งหน่วยงานของกรมประมง ระยะเวลา 20 ปี) | กษ | 28/03/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณให้มีการตั้งคณะกรรมการร่วมพิจารณาอัตราค่าเช่าที่ดินเพื่อใช้เป็นที่ตั้งหน่วยงานของกรมประมง ระยะเวลา ๒๐ ปี (ที่ดินของศาสนสมบัติกลาง ลออ บางพึ่ง อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เนื้อที่ ๑๐ ไร่ ๑ งาน ๙๖ ตารางวา) โดยองค์ประกอบคณะกรรมการประกอบด้วย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมง สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง กรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น เพื่อให้การกำหนดอัตราค่าเช่ามีความสมเหตุสมผลและเป็นธรรม โดยเมื่อได้ผลการพิจารณาเป็นประการใดแล้ว ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ เห็นควรให้กรมประมงเจรจาต่อรองขอจ่ายค่าเช่าที่ดินในอัตราเดิมไปจนกว่าจะได้ข้อยุติ โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับจัดสรรแล้ว และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมประมง) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาทบทวนความจำเป็นและเหมาะสมของภารกิจและสถานที่ตั้งของหน่วยงานกรมประมง หรือการลดขนาดพื้นที่การเช่าให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ข้อจำกัดด้านงบประมาณของกรมประมง และยุทธศาสตร์ในการพัฒนาการประมงในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทาง/มาตรการป้องกันหรือแก้ไขปัญหากรณีที่หน่วยงานของรัฐผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้ปรับอัตราค่าเช่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่หน่วยงานราชการอื่นได้เช่าใช้ประโยชน์ โดยปรับอัตราค่าเช่าเพิ่มสูงมากขึ้นกว่าที่ควรจะเป็นเมื่อเทียบเคียงกับอัตราการปรับเพิ่มโดยทั่วไป เพื่อเป็นการลดภาระงบประมาณของรัฐ และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
315 | หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต | สธ | 28/03/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตสามารถเข้ารับการรักษาที่สถานพยาบาลที่ใกล้ที่สุดได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย รวมทั้งจะทำให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับอัตราค่าใช้จ่ายและหน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ในกรณีที่ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตมีสิทธิได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถหรือตามกฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต ให้ใช้สิทธิดังกล่าวก่อน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงกลาโหม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการประเมินและคาดการณ์ค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น และให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบส่งต่อเมื่อพ้นภาวะวิกฤตในกรณีต้องย้ายกลับโรงพยาบาลรัฐ รวมทั้งความเห็นของกระทรวงการคลังในประเด็นการสร้างความเข้าใจให้แก่ประชาชน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. เห็นชอบให้สถานพยาบาลภาครัฐทุกแห่งปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ฯ และให้สถานพยาบาลภาครัฐรับย้ายผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตหลังเวลา ๗๒ ชั่วโมง ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลัง สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานประกันสังคม หน่วยงานของรัฐ และกองทุนต่าง ๆ ที่มีวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องกับการจัดบริการด้านการแพทย์หรือสาธารณสุขดำเนินการตามหลักเกณฑ์ฯ และจ่ายค่าใช้จ่ายในอัตราตามบัญชีและอัตราค่าใช้จ่ายแนบท้ายหลักเกณฑ์ฯ โดยให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการเพื่อให้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎ ระเบียบของหน่วยงานหรือกองทุนต่าง ๆ โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้รองรับการจ่ายเงินคืนแก่สถานพยาบาลตามหลักเกณฑ์ฯ ได้ โดยเร็วต่อไป ตามความเห็นของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ๔. หากมีการทบทวนปรับปรุงบัญชีและอัตราค่าใช้จ่าย ตามข้อ ๑๒ ของหลักเกณฑ์ฯ ให้กระทรวงสาธารณสุขนำเรื่องเสนอต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อให้เป็นไปตามนัยมาตรา ๓๖ วรรคห้า แห่งพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. ๒๕๔๑ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๕. ในส่วนที่ขอความเห็นชอบให้สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติดำเนินการตามหลักเกณฑ์ฯ เพื่อทำหน้าที่บริหารจัดการการแพทย์ฉุกเฉินทั้งระบบเพื่อให้เกิดความร่วมมือในการปฏิบัติงานด้านการแพทย์ฉุกเฉินร่วมกันทั้งภาครัฐและเอกชน นั้น ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขรับไปดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
316 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง "การปฏิรูปรูปแบบการปกครองท้องถิ่นของเมืองท่องเที่ยว" ของคณะกรรมาธิการการปกครองท้องถิ่น สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 21/03/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการปกครองท้องถิ่น สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง “การปฏิรูปรูปแบบการปกครองท้องถิ่นของเมืองท่องเที่ยว” ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้พิจารณาข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และจัดประชุมหารือร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และมีมติเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะให้มีการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสำหรับเมืองท่องเที่ยว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
317 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย พ.ศ. .... | มท | 14/03/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยให้แตกต่างกันโดยคำนึงถึงปริมาณสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย ระยะเวลา การจัดเก็บ ลักษณะการเก็บ ขน และกำจัดสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย รวมทั้งต้นทุนและความคุ้มค่าในการเก็บ ขน และกำจัดสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย เพื่อให้การจัดเก็บค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด และให้ราชการส่วนท้องถิ่นสามารถนำไปเป็นหลักเกณฑ์ในการออกข้อกำหนดของท้องถิ่น ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้ถือว่าเนื่องจากระยะเวลาการดำเนินการออกกฎกระทรวงตามพระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๐ ที่ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับเป็นระยะเวลาเร่งรัด และการออกกฎกระทรวงนี้มีผลกระทบต่อประชาชนซึ่งสมควรสร้างความรับรู้ความเข้าใจแก่ประชาชน ตามมาตรา ๗๗ ของร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จึงให้ดำเนินการดังกล่าว และให้รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีที่เห็นควรให้ราชการส่วนท้องถิ่นมีอิสระที่จะพิจารณากำหนดอัตราการเพิ่มค่าธรรมเนียมและการลดค่าธรรมเนียมการเก็บ และขนมูลฝอย และกำจัดมูลฝอยได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของแต่ละองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ อปท. ออกข้อกำหนดของท้องถิ่นที่เกี่ยวกับการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยเป็นแนวทางเดียวกันทั้งประเทศ รวมทั้งประชาสัมพันธ์และให้ความรู้ พร้อมกับสร้างความตระหนักให้แก่ประชาชนในการลดและคัดแยกขยะที่ถูกต้อง ต้นทุนในการบริหารจัดการขยะ และผลกระทบที่เกิดขึ้นหากมีการจัดการขยะอย่างไม่ถูกต้อง ตลอดจนสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับประชาชนได้รับทราบถึงเหตุผลและความจำเป็นในการปรับอัตราค่าธรรมเนียมสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยใหม่ และมีมาตรการรองรับในกรณีที่ประชาชนบางกลุ่มอาจลักลอบนำขยะมูลฝอยไปทิ้งในพื้นที่สาธารณะ พื้นที่รกร้างว่างเปล่า กลายเป็นปัญหาขยะสะสมในหลาย ๆ พื้นที่จนก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมตามมาได้ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
318 | ร่างพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. .... | ทส | 07/03/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป และเพื่อให้มีบทบัญญัติสอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง อันได้แก่ อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดของสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora : CITES) และอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (Convention on Biological Diversity : CBD) เพื่อให้รองรับสิทธิของประชาชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชน ในการมีส่วนร่วมบริหารจัดการ คุ้มครอง ดูแล รักษาหรือบำรุงทรัพยากรธรรมชาติและสัตว์ป่า ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานอัยการสูงสุดเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติฯ บางประการไปประกอบการพิจารณาด้วย รวมทั้งให้พิจารณาความเชื่อมโยงอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่ากับคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๖๐ [เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงยุติธรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการกำหนดให้ผู้ที่จะเข้าศึกษาข้อมูลด้านความหลากหลายทางชีวภาพต้องทำข้อตกลงแบ่งปันผลประโยชน์ทางการค้า เพื่อควบคุม ดูแล อนุรักษ์ ต้องมีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างรอบด้านเพื่อให้เกิดความรอบคอบในการตราพระราชบัญญัติฯ และในการใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพซึ่งจะต้องทำข้อตกลงแบ่งปันผลประโยชน์ ควรมีการเตรียมความพร้อมในการดูแลการเข้าถึงความหลากหลายทางชีวภาพเมื่อร่างพระราชบัญญัติฯ มีผลใช้บังคับ รวมทั้งอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าตามร่างพระราชบัญญัติฯ ควรมีความเชื่อมโยงกับอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
319 | การจัดระเบียบการบริหารจัดการหมู่บ้านโดยกลไกคณะกรรมการหมู่บ้าน (กม.) เพื่อให้เกิดเอกภาพและบูรณาการตามแนวทางประชารัฐ | มท | 07/03/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอขอถอนข้อเสนอของกระทรวงมหาดไทยในหนังสือกระทรวงมหาดไทย ด่วนที่สุดที่ มท ๐๓๑๐.๓/๒๓๓๒๘ ลงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๙ ที่ว่า “ห้ามมิให้ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดตั้งอาสาสมัคร มวลชน เครือข่าย หรือมวลชนที่เรียกชื่ออื่นใดในพื้นที่ซึ่งมีคณะกรรมการหมู่บ้านปฏิบัติหน้าที่อยู่แล้ว หากมีภารกิจที่จะต้องดำเนินการในหมู่บ้านให้มอบหมายให้คณะกรรมการหมู่บ้านดำเนินการแทนหรือร่วมดำเนินการ” ออกไป ๒. เห็นชอบแนวทางการจัดระเบียบการบริหารจัดการหมู่บ้านโดยกลไกคณะกรรมการหมู่บ้านเพื่อให้เกิดเอกภาพและบูรณาการตามแนวทางประชารัฐ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงมหาดไทยหารือร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องก่อนดำเนินการเพื่อความรอบคอบและลดผลกระทบต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น และควรพิจารณาถึงเจตนาในการจัดตั้งอาสาสมัคร มวลชน เครือข่ายของส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐต่าง ๆ ว่าเป็นไปเพื่อประโยชน์ในการเป็นเครือข่ายการทำงานช่วยเหลือปฏิบัติภารกิจของส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐต่าง ๆ ให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายของส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐนั้น ๆ สำหรับอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการหมู่บ้านควรพิจารณาไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งควรจัดระเบียบมวลชน/อาสาสมัคร ให้ครอบคลุมทั้งประเทศ และควรมีการสร้างกลไกที่จะควบคุมได้มาในการคัดเลือกคณะกรรมการหมู่บ้าน หรือคณะทำงานฝ่ายต่าง ๆ เพื่อให้ดำเนินการเป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. ๒๕๔๖ เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
320 | ขออนุมัติงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 และกรอบงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 | สช | 28/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (งบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ กรณีรวมเงินเดือนเป็นวงเงินรวมทั้งสิ้น ๑๗๒,๘๖๑,๓๐๑,๘๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ สำหรับงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติดำเนินการตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ รวมทั้งกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และดำเนินการให้เป็นไปตามปฏิทินงบประมาณตลอดจนแนวทางต่าง ๆ ตามที่สำนักงบประมาณกำหนดเพื่อให้การพิจารณางบประมาณเป็นไปตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติร่วมกันบูรณาการการดำเนินงานให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล และให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติประสานความร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทยเพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณทางการแพทย์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นไปตามเป้าหมาย นอกจากนี้ ควรพิจารณากำหนดขอบเขตบริการให้มีความชัดเจนเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกับงบบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค งบบริการฟื้นฟูสุขภาพด้านการแพทย์ และงบบริการผู้ป่วยนอกทั่วไปในงบบริการทางการแพทย์เหมาจ่ายรายหัวที่เสนอขอ รวมทั้งพัฒนาฐานข้อมูลทั้งด้านต้นทุนการให้บริการและผลลัพธ์การให้บริการที่มีความทันสมัยเพื่อใช้เป็นข้อมูลเชิงประจักษ์ในการพิจารณาจัดสรรงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติตามความจำเป็น เหมาะสม และสอดคล้องกับฐานะการคลังของประเทศในปีงบประมาณต่อไป ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญและพิจารณาแนวทางการบูรณาการทำงานด้านการป้องกันโรคร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถประเมินผลสัมฤทธิ์ได้ โดยเฉพาะการป้องกันโรคที่จะต้องใช้ค่าใช้จ่ายในการรักษาเป็นจำนวนมากในระยะยาว เช่น โรคไต
|
.....