ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 12 จากทั้งหมด 74 หน้า แสดงรายการที่ 221 - 240 จากข้อมูลทั้งหมด 1463 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
221 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การถ่ายโอนภารกิจการดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติด้านการควบคุมมลพิษของคณะกรรมาธิการการปกครองท้องถิ่น สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 08/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการปกครองท้องถิ่น สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง การถ่ายโอนภารกิจการดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติด้านการควบคุมมลพิษ โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้สรุปผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ รวม ๔ ด้าน ได้แก่ (๑) ด้านบุคลากร ควรให้สถาบันการศึกษาที่มีหลักสูตรเกี่ยวกับการจัดการสิ่งแวดล้อมสนับสนุนความรู้ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในพื้นที่ โดยอาจพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมให้สอดคล้องกับภารกิจที่ถ่ายโอนให้แก่ อปท. และนำผลงานวิจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการจัดการสิ่งแวดล้อมมาพัฒนาให้แก่ อปท. (๒) ด้านงบประมาณ อปท. จะต้องทบทวนความพร้อมในการดำเนินงานตามภารกิจที่ได้รับการถ่ายโอนไป และให้ความสำคัญกับภารกิจด้านการควบคุมมลพิษในเขตพื้นที่ของตน (๓) ด้านกฎหมาย ได้มีการปรับปรุงพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ กำหนดให้ อปท. มีบทบาทในการจัดการปัญหาด้านมลพิษมากขึ้นเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานที่ได้รับการถ่ายโอนตามแผนการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. และแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. ซึ่งอยู่ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา สำหรับการถ่ายโอนภารกิจตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ สามารถดำเนินการโดยการมอบอำนาจ โดยให้หน่วยงานของกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นที่ปรึกษา และรายได้ที่เกิดขึ้นจากภารกิจที่ถ่ายโอนควรให้ตกอยู่กับท้องถิ่นที่ได้รับการถ่ายโอน ซึ่งอยู่ระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการเสนอแก้ไขพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ และ (๔) ด้านอื่น ๆ เช่น การกำหนดอัตรากำลังของ อปท. ต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งการกำหนดอัตรากำลังต้องสอดคล้องกับงบประมาณที่ได้รับและภารกิจหน้าที่ของ อปท. นั้น ๆ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
222 | มาตรการป้องกันการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับป้ายโฆษณาบนทางสาธารณะ | ปช | 08/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมาตรการป้องกันการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับป้ายโฆษณาบนทางสาธารณะ เป็นมาตรการเพื่อปรับปรุงการปฏิบัติราชการหรือวางแผนงานโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ เพื่อป้องกันหรือปราบปรามการทุจริตและกระทำความผิดในกรณีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับป้ายโฆษณาบนทางสาธารณะของเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมาตรการดังกล่าวแบ่งเป็น ๒ ระยะ คือ (๑) มาตรการระยะเร่งด่วน ประกอบด้วย มาตรการทางการบริหาร ที่ควรดำเนินการแล้วเสร็จภายใน ๖ เดือน และมาตรการทางกฎหมาย ที่ควรดำเนินการแล้วเสร็จภายใน ๑ ปี และ (๒) มาตรการระยะยาว ที่ควรดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) เสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับมาตรการป้องกันการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับป้ายโฆษณาบนทางสาธารณะ ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไปพิจารณาดำเนินการ แล้วให้กระทรวงมหาดไทยรวบรวมผลการดำเนินการเสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว ภายใน ๓๐ วัน นับแต่ได้รับแจ้งมติคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรมีกฎหมายกำหนดเขต บริเวณ ย่าน ที่จะใช้ติดตั้งป้ายโฆษณาเพื่อรักษาภูมิทัศน์และป้องกันอันตรายที่เกิดจากป้าย การกำหนดให้มีเลขทะเบียนควบคุมป้ายโฆษณาในที่สาธารณะต่าง ๆ เป็นระบบเดียวต้องกำหนดให้มีหน่วยที่รับผิดชอบวางระบบเพื่อกำหนดเลขทะเบียนควบคุมเป็นระบบเดียวกัน การกำหนดพื้นที่เฉพาะสำหรับการติดตั้งป้ายโฆษณาทำให้เกิดภาระของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งจะต้องจัดหาพื้นที่และมีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของพื้นที่ดังกล่าว และควรพิจารณาแต่งตั้งคณะทำงานประกอบด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันพิจารณารายละเอียดของมาตรการทางกฎหมาย (ควรดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๑ ปี) เพื่อให้มาตรการต่าง ๆ มีผลบังคับใช้ทางกฎหมายและสามารถใช้ในการบริหารกิจการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
223 | การเข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกของไทยในองค์กร Asian Forest Cooperation Organization (AFoCO) | ทส | 08/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในการเข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกองค์กร Asian Forest Cooperation Organization (AFoCO) โดยกรมป่าไม้เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงาน และเห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำภาคยานุวัติสารและดำเนินการมอบภาคยานุวัติสารให้แก่รัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลีในฐานะผู้เก็บรักษาหรือผู้อำนวยการบริหารของสำนักเลขาธิการฯ (Executive Director of the Secretariat) แล้วแต่กรณี ตามนัยข้อ ๑๘ ของข้อตกลงว่าด้วยการจัดตั้งองค์กรความร่วมมือด้านป่าไม้แห่งเอเชีย (AFoCO) รวมทั้งอนุมัติในหลักการจัดสรรงบประมาณเป็นเงินอุดหนุนรายปีให้แก่กรมป่าไม้ในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์กร AFoCO ปีละประมาณ ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตลอดระยะเวลาที่ประเทศไทยเป็นสมาชิก โดยเริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. สำหรับงบประมาณที่เป็นเงินอุดหนุนรายปีในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์กร AFoCO โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ กรมป่าไม้ได้รับการจัดสรรงบประมาณรองรับไว้แล้ว จำนวน ๑,๐๒๒,๐๐๐ บาท ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป กรมป่าไม้ควรจัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ พร้อมทั้งวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามนัยกฎหมายวินัยการเงินการคลังของรัฐ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กรมป่าไม้และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกองค์กร AFoCO ทั้งโครงการทางวิชาการด้านการป่าไม้และการพัฒนาศักยภาพบุคลากร และกำหนดกรอบประเด็นความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ของประเทศไทยให้ชัดเจน การประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรชุมชน องค์กรพัฒนาเอกชนได้ทราบและสามารถขอรับการสนับสนุนได้อย่างกว้างขวางและทั่วถึงมากขึ้น ตลอดจนการจัดการองค์ความรู้และถ่ายทอดองค์ความรู้ที่ได้แก่หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องและสาธารณะอย่างกว้างขวาง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
224 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) ครั้งที่ 7/2561 | นร | 02/01/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการชับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) ครั้งที่ ๗/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ ตามที่ กขร. เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โรงเรียนคุณภาพประจำตำบล ที่ประชุม กขร. มีมติเห็นชอบในหลักการ (ร่าง) กรอบแนวคิดการพัฒนาโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล และแนวทางการพิจารณาโรงเรียนคุณภาพประจำตำบล และเห็นควรให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานรับความเห็นและข้อสังเกตของที่ประชุมเกี่ยวกับการส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ การจัดรถโรงเรียนรับส่งอย่างต่อเนื่อง การใช้แนวทางอาสาสมัครและกิจกรรมภาคเอกชน และการพัฒนาระบบการประเมินครู ไปพิจารณาปรับปรุงและจัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมให้แล้วเสร็จภายใน ๒ เดือน และดำเนินการตามกฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. สำนักงานบูรณาการลดความเหลื่อมล้ำและแก้ไขปัญหาความยากจน ที่ประชุม กขร. มีมติเห็นชอบในหลักการ (ร่าง) ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการบูรณาการเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและแก้ไขปัญหาความยากจน พ.ศ. .... และเห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นและข้อสังเกตที่ประชุมเกี่ยวกับการเพิ่มผู้แทนในองค์ประกอบของคณะกรรมการนโยบายการลดความเหลื่อมล้ำและแก้ไขปัญหาความยากจน (กบล.) การเพิ่มอำนาจหน้าที่ของ กบล. และการเชื่อมโยงข้อมูลกับกระทรวงมหาดไทยไปพิจารณาปรับปรุงและเร่งรัดเสนอร่างระเบียบฯ ตามขั้นตอน เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๑ เดือน ๓. ฝายมีชีวิต ที่ประชุม กขร. มีมติเห็นชอบในหลักการโครงการฝายมีชีวิต และเห็นควรให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กำหนดตำแหน่งที่เหมาะสมในการทำฝายมีชีวิต รวมทั้งรับความเห็นและข้อสังเกตที่ประชุมเกี่ยวกับการกำหนดพื้นที่ วางพิกัด และการสร้างฝายให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยร่วมมือกับภาคเอกชน ไปพิจารณาดำเนินการตามกฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๔. นโยบายศูนย์ Excellence Center ด้านการวิจัยของประเทศ ที่ประชุม กขร. มีมติเห็นชอบในหลักการนโยบายศูนย์ Excellence Center ด้านการวิจัยของประเทศ ตามข้อเสนอของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติดำเนินการจัดทำรายละเอียดให้แล้วเสร็จภายใน ๒ เดือน และดำเนินการตามกฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๕. นโยบายท่องเที่ยวชุมชน ที่ประชุม กขร. มีมติเห็นชอบในหลักการนโยบายท่องเที่ยวชุมชน และเห็นควรให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงมหาดไทย โดยกรมการพัฒนาชุมชน กรมการปกครอง และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น รับความเห็นและข้อสังเกตที่ประชุมเกี่ยวกับการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการสถานที่พักที่ไม่เป็นโรงแรม จดแจ้งสถานที่พักฯ ต่อนายทะเบียนโรงแรม การสร้างความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในพื้นที่ และการส่งเสริมการยกระดับบ้านพักโฮมสเตย์ ไปพิจารณาดำเนินการตามกฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
225 | ร่างพระราชกฤษฎีกาให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยดำเนินกิจการรถไฟฟ้าในจังหวัดนครราชสีมา พ.ศ. .... | คค | 25/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยดำเนินกิจการรถไฟฟ้าในจังหวัดนครราชสีมา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ดำเนินกิจการรถไฟฟ้าในจังหวัดนครราชสีมา ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการก่อสร้างโครงข่ายระบบขนส่งสาธารณะจังหวัดนครราชสีมาเป็นระบบรถไฟฟ้ารางเบา (Street Running Light Rail) เข้าข่ายประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการ ซึ่งต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment : EIA) และการดำเนินการตามมาตรการ PPP Fast Track รฟม. จะต้องปฏิบัติตามมาตรา ๔๙ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๑ และควรให้กระทรวงคมนาคม (สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร และ รฟม.) ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๖๑ และมติคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ในส่วนของการจัดลำดับความสำคัญของแนวเส้นทางที่จะดำเนินการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนสาธารณะในจังหวัดนครราชสีมาในระยะแรก โดยให้ประสานกับกระทรวงมหาดไทย (องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) เพื่อให้การพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะสามารถสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของจังหวัดภายใต้แผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
226 | ผลการพิจารณาและผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาวิกฤตน้ำเสียในคลองแม่ข่า จังหวัดเชียงใหม่ | สว | 18/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาและผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาวิกฤตน้ำเสียในคลองแม่ข่า จังหวัดเชียงใหม่ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ไปแล้วบางส่วน ได้แก่ (๑) การแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำเฉพาะหน้าในช่วงที่มีการร้องเรียน เช่น ขุดลอกคลองแม่ข่า กำจัดวัชพืชและผักตบชวาในพื้นที่เทศบาลนครเชียงใหม่ และองค์การบริหารส่วนตำบลสบแม่ข่า (๒) แผนการปรับปรุงการบำบัดน้ำเสียและการระบายน้ำ เช่น ศึกษาปรับปรุงแนวท่อรวบรวมน้ำเสียเดิม และขยายพื้นที่รวบรวมน้ำเสียให้ครอบคลุมพื้นที่เทศบาล (๓) การจัดทำรายงานแหล่งกำเนิดมลพิษขนาดใหญ่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น จัดทำรายงานสรุปผลการจัดส่งแบบรายงานสรุป (ทส.๒) ของแหล่งกำเนิดมลพิษขนาดใหญ่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ (๔) การควบคุมการทำงานเพื่อการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน เช่น แต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาและแก้ไขปัญหาคลองแม่ข่า จังหวัดเชียงใหม่ และคณะทำงานสนับสนุนการพัฒนาและแก้ไขปัญหาคลองแม่ข่า จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาและแก้ไขปัญหาคลองแม่ข่าให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ จังหวัดเชียงใหม่รับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ และผลักดันให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการเพิ่มมากขึ้นในอนาคต รวมทั้งยินดีให้คณะอนุกรรมาธิการการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมชุมชนเมืองเป็นที่ปรึกษา กำกับ และติดตามในภาพรวม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
227 | มาตรการป้องกันการทุจริตเชิงนโยบายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | มท | 04/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการพิจารณาตามมาตรการป้องกันการทุจริตเชิงนโยบายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ประกอบด้วยมาตรการ ๔ ด้าน ได้แก่ (๑) มาตรการด้านกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (๒) มาตรการด้านการบริหาร (๓) มาตรการด้านการตรวจสอบ กำกับดูแล และการมีส่วนร่วมของประชาชน และ (๔) มาตรการด้านคุณธรรมจริยธรรม ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้หารือกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นต้น โดยส่วนราชการดังกล่าวเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ อย่างไรก็ตาม กระทรวงมหาดไทยเห็นว่าข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติในบางประเด็นอาจจะขัดแย้งกับบทบัญญัติของกฎหมายในปัจจุบัน เช่น ประเด็นการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อปรับปรุงโครงสร้าง/องค์ประกอบของสภาท้องถิ่นให้อยู่ในรูปแบบผสมผสานโดยมาจากการเลือกตั้งและสรรหาผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นการดำเนินการที่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๕๒ วรรคหนึ่ง บัญญัติให้สมาชิกสภาท้องถิ่นต้องมาจากการเลือกตั้ง เป็นต้น ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบต่อไปด้วย ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น มาตรการด้านกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในประเด็นการแก้ไขกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น และแก้ไขกฎหมายจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่กำหนดให้สมาชิกสภาท้องถิ่นมาจากการเลือกตั้งและการสรรหา นั้น ปัจจุบันได้มีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๕๒ วรรคหนึ่ง บัญญัติให้สมาชิกสภาท้องถิ่นต้องมาจากการเลือกตั้ง ดังนั้น มาตรการดังกล่าวจึงไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และในประเด็นมาตรการปรับปรุงโครงสร้าง/องค์ประกอบของสภาท้องถิ่นให้อยู่ในรูปแบบผสมผสานที่มาจากการเลือกตั้งและสรรหาผู้ทรงคุณวุฒิ อาจไม่สอดคล้องกับนโยบายการกระจายอำนาจให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เห็นควรให้ความสำคัญกับประชาชนในพื้นที่ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
228 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ 1/2561 | กษ | 04/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๑ ตามที่ตามที่สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการโยบายยางธรรมชาติเสนอ โดยมีมติในเรื่องสำคัญต่าง ๆ ดังนี้
๑. ข้อสั่งการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ๑.๑ ให้กรมส่งเสริมการเกษตร กรมวิชาการเกษตร และการยางแห่งประเทศไทยจัดตั้งคณะทำงาน โดยให้กรมส่งเสริมการเกษตรเป็นฝ่ายเลขานุการ เพื่อศึกษาหารูปแบบการทำสวนยางแบบใหม่ ปรับเปลี่ยนรูปแบบแปลงสวนยาง โดยปลูกพืชร่วมยาง พืชแซมในสวนยาง พืชที่มีศักยภาพปลูกแทนยางพารา โดยใช้งบประมาณของการยางแห่งประเทศไทย ๑.๒ มอบหมายให้อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ประสานกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเร่งตรวจสอบการเข้าร่วมโครงการช่วยเหลือด้านยางพาราตามมติ กนย. ที่กำลังดำเนินการต่อเนื่องอยู่ในปัจจุบันของสถาบันเกษตรกร ทั้งโครงการสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อใช้ในการรวบรวมยาง และโครงการสนับสนุนสินเชื่อสถาบันเกษตรกรเพื่อแปรรูปยางพารา เกี่ยวกับปัญหาและอุปสรรคของการเบิกจ่ายเงินไม่เต็มกรอบวงเงินที่อนุมัติ พร้อมทั้งเสนอแนวทางแก้ไข ๑.๓ ให้ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มอบหมายสำนักแผนงานและโครงการพิเศษ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดทำแบบฟอร์มสำรวจจำนวนโครงการและปริมาณน้ำยางสดในการทำถนนที่มียางพาราเป็นส่วนผสมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศที่ได้เริ่มดำเนินการไปแล้ว เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการดำเนินการต่อไป รวมทั้งให้การยางแห่งประเทศไทยดำเนินการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้เรื่องการจัดทำถนนที่มียางพาราเป็นส่วนผสม ๒. เรื่องที่คณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบ ๒.๑ เห็นชอบโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๒ โดยมีกรอบวงเงิน ๑๗,๕๑๒,๗๓๔,๘๘๓ บาท ให้ใช้เงินทุนธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรสำรองจ่ายไปก่อน จำนวน ๑๗,๐๐๗,๒๐๔,๘๖๐ บาท และให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๓ ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามผลการจ่ายเงินที่เกิดขึ้นจริง รวมถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ค่าธรรมเนียมโอนเงินและชดเชยต้นทุนเงินในอัตรา FDR+๑ (ปัจจุบัน FDR+๑=๒.๑๗๕) จำนวน ๓๗๙,๐๓๐,๐๒๓ บาท ๒.๒ เห็นชอบในหลักการโครงการสร้างถนน ๑ หมู่บ้าน ๑ กิโลเมตร ตามที่การยางแห่งประเทศไทยเสนอ และมอบหมายการยางแห่งประเทศไทยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดทำรายละเอียดโครงการเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป ๒.๓ เห็นชอบในหลักการโครงการบริหารจัดการรักษาเสถียรภาพราคายางพาราของสถาบันเกษตรกร ตามที่กรมส่งเสริมสหกรณ์เสนอ และมอบหมายให้กรมส่งเสริมสหกรณ์จัดทำรายละเอียดโครงการเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
229 | รายงานสัดส่วนหนี้สาธารณะ และรายงานสถานะหนี้สาธารณะ หนี้ภาครัฐและความเสี่ยงทางการคลัง ตามมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ณ สิ้นเดือนกันยายน 2561 | กค | 04/12/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสัดส่วนหนี้สาธารณะ ตามมาตรา ๕๑ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ณ สิ้นเดือนกันยายน ๒๕๖๑ และรายงานสถานะหนี้สาธารณะ หนี้ภาครัฐ และความเสี่ยงทางการคลัง ตามมาตรา ๗๖ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ณ สิ้นเดือนกันยายน ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สัดส่วนหนี้สาธารณะตามมาตรา ๕๑ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ณ สิ้นเดือนกันยายน ๒๕๖๑ ยังคงอยู่ภายใต้กรอบที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐกำหนด ๒. หนี้สาธาราณะคงค้าง ณ สิ้นปีงบประมาณ ๒๕๖๑ มีจำนวน ๖,๗๘๐,๙๕๑.๒๒ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๔๑.๗๐ ของ GDP เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าจากหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง ๓. สถานะหนี้เงินกู้คงค้างของหน่วยงานของรัฐตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ ณ สิ้นปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ประกอบด้วย (๑) รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐที่ไม่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ ได้แก่ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) และบริษัท ปตท. จำหน่ายก๊าซธรรมชาติ จำกัด มีหนี้เงินกู้คงค้าง ๑๐๐,๙๔๒.๙๗ ล้านบาท ซึ่งเป็นของบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (๒) รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะที่ทำธุรกิจให้กู้ยืมเงิน ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ และธุรกิจประกันสินเชื่อที่กระทรวงการคลังไม่ได้ค้ำประกัน จำนวน ๑๖ แห่ง เช่น สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด และบริษัท PTT Regional Treasury Center Pte.Ltd. เป็นต้น มีหนี้เงินกู้คงค้าง ๕๓๕,๗๓๔.๙๗ ล้านบาท (๓) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีหนี้เงินกู้คงค้าง ๓๑,๑๙๘.๑๗ ล้านบาท และ (๔) ธนาคารแห่งประเทศไทย มีหนี้เงินกู้คงค้าง ๔,๔๙๐,๑๖๑ ล้านบบาท ๔. ความเสี่ยงทางการคลัง พบว่าอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ สะท้อนจากสถานะสัดส่วนตามมาตรา ๕๐ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ในระยะ ๕ ปี ยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยที่กำหนดไว้ สำหรับความเสี่ยงทางการคลังที่เกิดจากหนี้เงินกู้ของหน่วยงานของรัฐที่ไม่เป็นหนี้สาธารณะ ในภาพรวมยังไม่พบความเสี่ยง เนื่องจากหน่วยงานของรัฐต่าง ๆ มีรายได้และทรัพย์สินเพียงพอต่อการชำระหนี้เงินกู้เองได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
230 | นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม | ดศ | 26/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) (แผนฯ ๒๐ ปี) สำหรับการประกาศใช้เป็นนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตามพระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๕ โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา จนถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๗๙ หรือจนกว่าจะมีการแก้ไขปรับปรุงนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ๑.๒ เห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) (แผนฯ ๕ ปี) โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันที่นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมประกาศในราชกิจจานุเบกษา ๑.๓ มอบหมายสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการประกาศใช้นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (แผนฯ ๒๐ ปี) โดยทำเป็นประกาศพระบรมราชโองการและประกาศในราชกิจจานุเบกษา ๑.๔ มอบหมายให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน องค์กรอิสระ และหน่วยงานอื่นของรัฐ รวมทั้งคณะกรรมการที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับกิจการใด ๆ ที่ใช้ประโยชน์จากดิจิทัลทุกหน่วยดำเนินการตามนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (แผนฯ ๒๐ ปี) รวมทั้งนำแผนฯ ๕ ปี ไปเป็นแนวทางในการจัดทำแผนงาน โครงการรองรับ และให้สำนักงบประมาณตั้งงบประมาณให้หน่วยงานของรัฐให้สอดคล้องเพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๒๑ ๑.๕ มอบหมายให้สำนักงบประมาณนำแผนฯ ๒๐ ปี และแผนฯ ๕ ปี ไปเป็นกรอบในการกำหนดยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณ และกรอบการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการในแต่ละปีงบประมาณ และมอบหมายให้สำนักงาน ก.พ.ร. กำหนดตัวชี้วัดของหน่วยงานของรัฐให้สอดคล้อง พร้อมทั้งให้สำนักงาน ก.พ. ดำเนินการในการวางแผนการสร้างและพัฒนากำลังคนดิจิทัลของรัฐให้สอดคล้องกับความต้องการตามบริบทการพัฒนาของประเทศ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติกำหนดรายละเอียดกลไกสนับสนุนการขับเคลื่อนการดำเนินงานรองรับ ๑.๖ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๙ เฉพาะในส่วนที่ให้กระทรวง กรม รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานของรัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการดิจิทัล ระยะ ๓ ปี ของหน่วยงาน และมอบหมายให้หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ดำเนินการตามภารกิจที่กำหนดในแผนฯ ๒๐ ปี และแผนฯ ๕ ปี จัดทำหรือปรับปรุงแผนปฏิบัติการ หรือแผนงานของหน่วยงานที่มีอยู่ให้สอดคล้อง โดยมุ่งเน้นการทำงานในลักษณะบูรณาการร่วมกับภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน และส่งให้สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติสำหรับนำเสนอคณะกรรมการเฉพาะด้านตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๒๒ ต่อไป ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) เช่น การกำหนดมาตรการและแนวทางการส่งเสริมให้ประชาชนใช้บริการอินเทอร์เน็ตประชารัฐให้มากขึ้น การจัดทำฐานข้อมูล แนวทางในการพัฒนาตัวชี้วัดให้ครอบคลุมเป้าหมายและยุทธศาสตร์ในแผนทั้งสองฉบับ และการกำหนดให้มีรายละเอียดการดำเนินงานในลักษณะบูรณาการระหว่างหน่วยงานของรัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ให้สามารถนำนโยบายไปถ่ายทอดสู่การปฏิบัติของหน่วยงานระดับต่าง ๆ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพิจารณาปรับปรุงระยะเวลาของแผนฯ ๒๐ ปี จากเดิม พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙ เป็น พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐ เพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาของยุทธศาสตร์ชาติ รวมทั้งพิจารณาปรับปรุงเนื้อหาของแผนฯ ให้สอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติตามความจำเป็นเหมาะสมด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
231 | รายงานการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. .... พิจารณาร่างพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. .... | สว | 26/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. .... พิจารณาร่างพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. .... ซึ่งสำนักงบประมาณได้จัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว โดยการจัดทำรายงานการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ระหว่างปีงบประมาณ สำนักงบประมาณจะนำไปแสดงเพิ่มเติมในเอกสารประกอบการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อเสนอต่อฝ่ายนิติบัญญัติต่อไป สำหรับรายการที่มีการก่อหนี้ผูกพันไว้แล้ว แต่ไม่สามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้ทัน และงบประมาณต้องพับไป อันจะมีลักษณะเป็นค่าใช้จ่ายค้างเบิกข้ามปี สำนักงบประมาณได้กำหนดหลักเกณฑ์การจัดทำงบประมาณไว้แล้วว่าจะพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้รายการดังกล่าวเป็นลำดับแรก สำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่กำหนดให้เป็นหน่วยรับงบประมาณเป็นครั้งแรก สำนักงบประมาณได้เตรียมความพร้อมในขั้นตอนการจัดทำงบประมาณ การบริหารงบประมาณ การควบคุมงบประมาณ การประเมินผล และการรายงานไว้แล้ว โดยในชั้นการจัดทำคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ จะดำเนินการนำร่องเฉพาะองค์การบริหารส่วนจังหวัด ๗๖ แห่ง ก่อนเป็นลำดับแรก รวมทั้งหลักเกณฑ์การจัดทำคำของบประมาณ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ สำนักงบประมาณได้กำหนดให้หน่วยรับงบประมาณต้องคำนึงถึงความเสมอภาคมิติหญิงชาย (Gender Responsive Budgeting : GRB) เป็นสำคัญ และได้จัดตั้งคณะกรรมการกำกับการจัดทำระเบียบ หลักเกณฑ์ ตามร่างพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. .... เพื่อจัดทำหลักเกณฑ์และวิธีการในการจัดทำแผนงานบูรณาการให้เกิดความชัดเจน ตลอดจนจะดำเนินการแจ้งหน่วยรับงบประมาณทุกหน่วยที่มีพระราชบัญญัติอ้างอิงถึงความหมายของคำว่า “รัฐวิสาหกิจ” ตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ แก้ไขปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. .... มาตรา ๕๓ เมื่อร่างพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. .... ประกาศใช้แล้ว ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. .... อยู่ระหว่างนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย เพื่อประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
232 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. .... | สว | 26/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. .... ที่เห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมเหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว และมีข้อสังเกตเกี่ยวกับการใช้อำนาจของรัฐในการบริหารทรัพยากรน้ำควรกำหนดกรอบหลักเกณฑ์การใช้อำนาจที่ชัดเจน เพื่อเป็นบรรทัดฐานให้หน่วยงานของรัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้าใช้สอยแหล่งน้ำ และควรกำหนดนโยบายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามขั้นตอนหรือกระบวนการตามกฎหมายหรือนโยบายของรัฐ ส่วนการตราพระราชกฤษฎีกาควรจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นเนื่องจากเป็นกฎหมายที่มีผลกระทบต่อประชาชน สำหรับการออกกฎกระทรวงควรกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการได้มาซึ่งกรรมการลุ่มน้ำ ควรกำหนดให้มีการขึ้นบัญชีผู้ได้รับการเลือกไว้แทนตำแหน่งที่ว่าง และการจัดทำแผนแม่บทจะต้องเป็นแผนแม่บทที่บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารทรัพยากรน้ำในเขตพื้นที่ลุ่มน้ำ รวมทั้งปรับปรุงหรือแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องให้มีมาตรการบังคับใช้อย่างเคร่งครัดและมีบทกำหนดโทษที่เหมาะสม ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. .... ตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๓. มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักรับข้อสังเกตดังกล่าวไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
233 | ขอรายงานผลการดำเนินงานโครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐปี 2561 | กษ | 20/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินงานโครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐปี ๒๕๖๑ โดยส่วนราชการ ประกอบด้วย กระทรวงคมนาคม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ดำเนินกิจกรรม ได้แก่ ฝายยาง สระน้ำ บล็อกยางปูพื้น ภายนอกอาคาร (ทางเท้า สนามเด็กเล่น) ถนนงานยางพาราแอสฟัลต์ติกคอนกรีต และถนนงานดินซีเมนต์ผสมยางพารา วงเงินงบประมาณ ๒๔,๗๖๐.๕๒ ล้านบาท ปริมาณน้ำยางสดที่ใช้ ๙๗,๙๒๐.๖๑ ตัน ดำเนินงานเสร็จสิ้นแล้ว ๑๑,๘๔๙.๕๙ ล้านบาท ใช้น้ำยางสด ๒๒,๒๖๒.๓๗ ตัน คงเหลือที่อยู่ระหว่างดำเนินการโครงการฯ อีกจำนวน ๑๒,๙๑๐.๙๔ ล้านบาท ๒. เห็นชอบให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการให้เกิดการใช้ยางพาราภายในประเทศให้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งให้เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๓. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ประกอบด้วย (๑) งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามนัยของพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ มาตรา ๕๗ ในกรณีที่มีการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ประเภทงบกลาง ให้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยให้ก่อหนี้ผูกพันให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๒ (๒) เงินรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) (งบสะสม อปท.) ซึ่งมีลักษณะเป็นเงินนอกงบประมาณ เห็นควรให้ อปท. ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง และ (๓) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องซึ่งยังไม่มีการก่อหนี้ผูกพัน เห็นควรให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องร่วมหารือกับสำนักงบประมาณและกรมบัญชีกลางเพื่อพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๒ และพิจารณาจัดตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณในปีถัดไป ให้มีความสอดคล้องต่อเจตนารมณ์และไม่ขัดกับพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติในการส่งเสริมการใช้ยางพาราในหน่วยงานของรัฐอย่างเป็นรูปธรรมและมีความต่อเนื่อง รวมทั้งเห็นควรสนับสนุนให้หน่วยงาน เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงยุติธรรม และกรุงเทพมหานคร พิจารณาใช้ผลิตภัณฑ์ยางให้เหมาะสมกับภารกิจให้มากขึ้น เช่น บล็อกยางปูพื้นภายนอกอาคาร (ทางเท้า สนามเด็กเล่น) บล็อกยางปูพื้นสนามฟุตซอล ผลิตภัณฑ์เครื่องนอน เป็นต้น โดยจัดทำเป็นโครงการที่สามารถส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชน และเอื้อต่อการส่งเสริมการใช้ยางพาราอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มปริมาณการใช้และเพิ่มมูลค่ายางพาราที่สามารถส่งผลต่อเนื่องไปยังผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมภายในประเทศให้ได้รับการพัฒนาและเพิ่มศักยภาพในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
234 | รายงานประจำปี 2560 คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร | 06/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี ๒๕๖๐ คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ก.ก.ถ.) โดยมีผลการดำเนินงานที่สำคัญ เช่น การจัดทำและทบทวนร่างแผนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. ฉบับที่ ๓ การส่งเสริมส่วนราชการให้เป็นพี่เลี้ยงให้แก่ อปท. การกำหนดหลักเกณฑ์การจัดสรรรายได้ให้แก่ อปท. ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ การแก้ไขปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราการจัดสรรเงินอุดหนุนเพื่อเป็นรางวัลสำหรับ อปท. ที่มีการบริหารจัดการที่ดี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และการติดตามผลการดำเนินงานตามภารกิจถ่ายโอนของ อปท. เป็นต้น ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธานกรรมการ ก.ก.ถ. เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
235 | รายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการของคณะอนุกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการกลุ่มจังหวัด (อ.ค.ต.ป. กลุ่มจังหวัด) เรื่อง การพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ | นร12 | 06/11/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการของคณะอนุกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการกลุ่มจังหวัด (อ.ค.ต.ป. กลุ่มจังหวัด) เรื่อง การพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ โดย อ.ค.ต.ป. กลุ่มจังหวัดได้ตรวจสอบและประเมินผลการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษทั้ง ๑๐ แห่ง (ตาก เชียงราย มุกดาหาร สระแก้ว สงขลา ตราด หนองคาย นราธิวาส นครพนม และกาญจนบุรี) และได้ทราบถึงปัญหาอุปสรรคในการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ อ.ค.ต.ป. กลุ่มจังหวัดจึงได้ศึกษาและวิเคราะห์ปัญหา รวมถึงได้เปรียบเทียบกับกรณีการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ประสบความสำเร็จในต่างประเทศ ตลอดจนได้วิเคราะห์และเปรียบเทียบกับผลการดำเนินงานของเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จึงได้มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อให้การพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษบรรลุตามเป้าหมายที่รัฐบาลกำหนด ได้แก่ (๑) การกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนของพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ (๒) การกำหนดให้มีกฎหมายเฉพาะรองรับเพื่อบริหารจัดการภายในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ และ (๓) การกำหนดเจ้าภาพรับผิดชอบเต็มเวลา โดยจัดตั้งสำนักงานพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษขึ้นมาเพื่อรับผิดชอบ กำกับดูแล และติดตามการดำเนินการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษในแต่ละพื้นที่เป็นการเฉพาะ นอกจากนี้ มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในประเด็นอื่น ๆ เช่น การกำหนดมาตรการจูงใจให้มีการลงทุนเพิ่มเติม การสร้างความรู้ความเข้าใจกับส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน และประชาชนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเห็นควรให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมทวิภาคีหรือพหุภาคีระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีแนวชายแดนเชื่อมต่อกับเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการจัดทำข้อตกลงระหว่างประเทศที่เอื้อประโยชน์ต่างตอบแทนซึ่งกันและกัน ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของ อ.ค.ต.ป. กลุ่มจังหวัด รวมทั้งความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และสำนักงาน ก.พ. เช่น ควรกำหนดเป้าหมายของแต่ละเศรษฐกิจพิเศษ โดยคำนึงถึงความได้เปรียบเสียเปรียบในเชิงการค้า และศักยภาพของกลุ่มจังหวัดทั้งของไทยและประเทศเพื่อนบ้าน ควรสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับเป้าหมายเชิงนโยบายของเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษให้แก่หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนประชาชนในพื้นที่ให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และอาจพิจารณาตัดโอนอัตราข้าราชการที่เพิ่มใหม่เพื่อรองรับการปฏิบัติภารกิจที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษมากำหนดเป็นอัตรากำลังของสำนักงานพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. สำหรับกรณีที่ อ.ค.ต.ป. กลุ่มจังหวัด มีข้อเสนอแนะให้จัดตั้งสำนักงานพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษในแต่ละพื้นที่เป็นการเฉพาะ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ เสนอคณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษเพื่อพิจารณาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการจัดตั้งสำนักงานดังกล่าว ทั้งนี้ ในกรณีที่พิจารณาแล้วเห็นว่า มีความเหมาะสมในการจัดตั้งสำนักงานดังกล่าว ให้ดำเนินการให้ถูกต้องและเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งให้คำนึงถึงแนวทางการจัดตั้งองค์กรหรือหน่วยงานใหม่ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ (เรื่อง การขอจัดตั้งหน่วยงานตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านต่าง ๆ) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
236 | ประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติที่คณะรัฐมนตรีควรทราบ | นร05 | 30/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ซึ่งออกตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต รวม ๕ ฉบับ โดยมีผลใช้บังคับต่อนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ข้าราชการการเมือง และเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. ประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของเจ้าพนักงานของรัฐต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. พ.ศ. ๒๕๖๑ ๒. ประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์ของผู้ซึ่งอยู่กินกันฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรสอันถือว่าเป็นคู่สมรส พ.ศ. ๒๕๖๑ ๓. ประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง กำหนดตำแหน่งของผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินตามมาตรา ๑๐๒ พ.ศ. ๒๕๖๑ ๔. ประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง กำหนดตำแหน่งของผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยผู้บริหารท้องถิ่น และสมาชิกสภาท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินตามมาตรา ๑๐๒ (๙) พ.ศ. ๒๕๖๑ ๕. ประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง กำหนดตำแหน่งของเจ้าพนักงานของรัฐซึ่งจะต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินตามมาตรา ๑๐๓ พ.ศ. ๒๕๖๑
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
237 | ร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. .... | ศธ | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. .... ที่คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาเสนอ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้เด็กปฐมวัยทุกคนได้รับการคุ้มครอง การดูแล การพัฒนาและการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ทั่วถึงและเท่าเทียมตามหลักวิชาการ เชื่อมโยงการดูแล พัฒนา และจัดการเรียนรู้ โดยเฉพาะในช่วงรอยต่อระหว่างช่วงก่อนวัยเรียนและวัยเรียน และเพื่อบูรณาการการทำงานร่วมกันในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับเด็กปฐมวัยให้เป็นเอกภาพและมีประสิทธิภาพ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับความเชื่อมโยงและความสอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... รวมทั้งข้อสั่งการที่ให้พิจารณาในขั้นตอนการปฏิบัติ ประสิทธิภาพและความเข้าใจที่ตรงกันขององค์กร เจ้าหน้าที่ และประชาชน มากกว่าคำนึงเพียงหลักการหรือการดำเนินการตามแบบอย่างจากต่างประเทศ และให้พิจารณาการดำเนินการในระยะแรกว่าจะฝากความหวังกับการบริหารจัดการของท้องถิ่นและหน่วยงานต่าง ๆ ได้อย่างไร ต้องพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้องให้พร้อม ก่อนนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ และมีการประเมินผลเฉพาะจุดหรือเฉพาะพื้นที่ก่อน และความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการคลัง สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ คณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา คณะกรรมการพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ คณะกรรมการพิจารณาโครงสร้างหน่วยงานและระบบค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐ คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เช่น ความจำเป็นในการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัย การกำหนดหน้าที่และอำนาจของส่วนราชการหน่วยงานของรัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรให้ชัดเจนและไม่เกิดความซ้ำซ้อน ความจำเป็นในการกำหนดให้มีคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัย การพิจารณาปรับเพิ่มอำนาจหน้าที่และกลไกการกำกับดูแลของคณะกรรมการพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติแทนการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัยขึ้นใหม่ และกรณีร่างมาตรา ๒๗ วรรคสอง ให้บรรดารายได้เมื่อหักค่าใช้จ่ายการดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัยแล้วให้นำส่งเป็นรายได้ของรัฐ ควรปฏิบัติตามมาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ นอกจากนี้ มาตรา ๔๓ แห่งพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ได้กำหนดให้ระวางโทษปรับห้าแสนบาท กรณีที่ผู้ใดฝ่าฝืนให้มีการรับเด็กปฐมวัยเข้าในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยและสถานศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ โดยวิธีสอบคัดเลือก อาจเป็นการตรากฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๗๗ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาเสนอ ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ) เกี่ยวกับการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัย และให้คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาเร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว แล้วแจ้งผลไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อประกอบการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไป ๔. ให้คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษารับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงบประมาณ คณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา คณะกรรมการพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ คณะกรรมการพิจารณาโครงสร้างหน่วยงานและระบบค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
238 | ร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... | นร04 | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... ตามที่คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาเสนอ ซึ่งเป็นร่างกฎหมายที่เสนอตามกรอบการปฏิรูปการศึกษาตามมาตรา ๕๔ และมาตรา ๒๕๘ จ. ด้านการศึกษา ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยนำหลักการและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษาที่สำคัญและมีความจำเป็นมากำหนดไว้ในร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ยกระดับคุณภาพการศึกษา สร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ตลอดจนสร้างเสริมให้ระบบการศึกษามีประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรเพื่อการศึกษา และสร้างเสริมธรรมาภิบาลของระบบการศึกษา และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน พร้อมกับร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา (แก้ไขให้สอดคล้องกับการจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม) โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ คณะกรรมการพิจารณาโครงสร้างหน่วยงานและระบบค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐ คณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ คณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา และคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาที่เห็นควรตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ให้สอดคล้องกับการจัดตั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และการรองรับรูปแบบการเรียนการสอนสมัยใหม่ โดยเฉพาะความสำคัญของดิจิทัลแพลตฟอร์ม ควรเพิ่มเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติเข้าร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการนโยบายการศึกษาแห่งชาติ ควรกำหนดความสัมพันธ์ด้านการร่วมมือระหว่างรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชนในการจัดการศึกษาให้ชัดเจน ควรพิจารณาปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้มีความสอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ ควรทบทวนความซ้ำซ้อนของหน่วยงานที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่ตามร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้กับหน่วยงานที่มีอยู่แล้ว และควรให้มีการจัดทำร่างกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาเสนอ ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ) เกี่ยวกับการจัดตั้งสถาบันหลักสูตรและการเรียนรู้แห่งชาติ และศูนย์ข้อมูลสารสนเทศเพื่อการศึกษาแห่งชาติ และให้คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาเร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว แล้วแจ้งผลการดำเนินการการจัดตั้งหน่วยงานไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไป ๔. ให้คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา และกระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ คณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา คณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา และคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
239 | ร่างพระราชบัญญัติกระจายหน้าที่และอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... | นร01 | 24/10/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติกระจายหน้าที่และอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการการกระจายหน้าที่และอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีหน้าที่และอำนาจดูแลและจัดทำบริการสาธารณะและกิจกรรมสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่น ตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. เช่น การกำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละแห่งหรือตั้งแต่ ๒ แห่งขึ้นไป อาจดำเนินกิจการที่มีลักษณะเป็นการพาณิชย์หรือการบริการสาธารณะขององค์ปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบรัฐวิสาหกิจท้องถิ่นหรือองค์การมหาชนท้องถิ่น ตามร่างมาตรา ๒๗ และการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการการกระจายหน้าที่และอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควรดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๒ เรื่อง การปรับปรุงหลักการจำแนกประเภทหน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหาร และควรจะมีการสร้างความรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับความเหมาะสมและรูปแบบเฉพาะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่และรูปแบบ และควรจะต้องคำนึงถึงภารกิจและอำนาจหน้าที่โดยไม่ซ้ำซ้อนกับหน่วยงานภาครัฐที่ให้บริการ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ๓. ให้ยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๒ เกี่ยวกับการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการการกระจายหน้าที่และอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว แล้วแจ้งผลการดำเนินการการจัดตั้งสำนักงานดังกล่าวไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อประกอบการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไป ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
240 | ร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. .... [สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วันจันทร์ที่ 24 กันยายน 2561)] | นร | 25/09/2561 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๑ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. .... และร่างกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวม ๖ ฉบับ ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
.....