ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 17 จากทั้งหมด 74 หน้า แสดงรายการที่ 321 - 340 จากข้อมูลทั้งหมด 1463 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
321 | ยุทธศาสตร์การพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกในภาคขนส่งสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ | คค | 28/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินงานด้านการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกในบริการภาคขนส่งสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ ของกระทรวงคมนาคม ซึ่งได้ดำเนินงานใน ๓ กิจกรรม คือ (๑) จัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกในภาคขนส่งสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ (๒) จัดทำต้นแบบการปรับปรุงและพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุในสถานที่ให้บริการภาคขนส่ง และ (๓) จัดทำคู่มือการให้ความช่วยเหลือคนพิการแต่ละประเภทและผู้สูงอายุ และคู่มือแปลภาษาหรือป้ายสัญลักษณ์ภาษาสำหรับหน่วยงานที่ให้บริการภาคขนส่ง และให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อาทิ เห็นควรกำหนดตัวชี้วัดและเป้าหมายที่ชัดเจนของแผนงาน/กิจกรรม และเพิ่มกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมเป็นหน่วยงานรับผิดชอบด้านการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้อำนวยความสะดวกแก่คนพิการและผู้สูงอายุ รวมทั้งมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการก่อนในโอกาสแรก และในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป เห็นควรให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ตามความจำเป็นและเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จัดทำแผนปฏิบัติการ (Action Plan) ของยุทธศาสตร์การพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกในภาคขนส่งสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) และแผนผู้สูงอายุแห่งชาติ ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๔๕-๒๕๖๔) เพื่อให้การขับเคลื่อนแผนดังกล่าวเป็นรูปธรรมและสอดคล้องตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ ๓. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกับกระทรวงคมนาคมดำเนินการขับเคลื่อนแผนงาน/กิจกรรมภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกในภาคขนส่งสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุให้เป็นรูปธรรมต่อไป และให้กระทรวงคมนาคมประสานกับกลุ่มองค์กรหรือเครือข่ายคนพิการและผู้สูงอายุ และสมาคมวิชาชีพด้านการออกแบบเพื่อคนทุกคน เพื่อขอความร่วมมือในการดำเนินการ รวมทั้งให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นรับไปประสานและขอความร่วมมือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อไป ๔. ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กำหนดกรอบเป้าหมายและกรอบงบประมาณในการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์การพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกในภาคขนส่งสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุในแต่ละช่วงเวลาให้ชัดเจน ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเพื่อให้การดำเนินงานตามยุทธศาสตร์เป็นรูปธรรมต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
322 | ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค (ฉบับที่..) พ.ศ. .... | นร01 | 28/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๒๒ โดยแก้ไของค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคให้เป็นคณะกรรมการระดับนโยบาย เพิ่มเติมให้มีคณะกรรมการว่าด้วยความปลอดภัยของสินค้าและบริการ แก้ไขอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับการระงับการโฆษณา แก้ไขอำนาจหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และแก้ไขให้ค่าปรับที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการเปรียบเทียบความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ตกเป็นรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานศาลยุติธรรม และฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ อาทิ การกำหนดให้คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคแห่งชาติมีอำนาจกำหนดมาตรการในการคุ้มครองผู้บริโภคของประเทศ ควรคำนึงถึงเจตนารมณ์และวัตถุประสงค์ของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภคแต่ละฉบับ การดำเนินการทางอาญาต่อผู้ประกอบธุรกิจที่อยู่ระหว่างการใช้สิทธิอุทธรณ์คำสั่งต่อคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวควรครอบคลุมไปถึงวัตถุประสงค์ที่ให้เกิดความรับผิดชอบต่อสังคมของผู้ผลิตและลดภาระเสี่ยงภัยในการบริโภคลง รวมทั้งการแก้ไของค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคให้เป็นคณะกรรมการระดับนโยบาย อาจมีผลกระทบต่อหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองตามที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเสนอ ๓. มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคไปดำเนินการตามขั้นตอนของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ) ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. แล้วให้แจ้งผลการดำเนินงานไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อประกอบการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไป ๔. สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ จากกรณีการเพิ่มองค์ประกอบและการแก้ไขอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคนั้น ให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคใช้จ่ายและเบิกจ่ายจากรายการค่าใช้จ่ายในการอำนวยการบังคับใช้กฎหมายและคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งมีค่าตอบแทนกรรมการต่าง ๆ รวมอยู่ด้วยแล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
323 | การศึกษาเขตพิเศษยุทธศาสตร์คันไซ | นร11 | 14/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบการศึกษาเขตพิเศษยุทธศาสตร์คันไซ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ เขตพิเศษฯ คันไซ ตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๗ มีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจในพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ ๑๒ แห่ง ในจังหวัดโดยรอบ พัฒนาเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมทางการแพทย์และพลังงาน และใช้เป็นเขตสำหรับทดลองการปฏิรูปกฎหมาย/ระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อภาคธุรกิจ ตลอดจนการส่งเสริมสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมให้ภาคเอกชน โดยเฉพาะนักลงทุนจากต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจและใช้ชีวิตในญี่ปุ่นได้สะดวก โดยมีกลไกการบริหารจัดการ ๒ ระดับ ได้แก่ (๑) กลไกระดับชาติ ประกอบด้วย สภาเขตพิเศษยุทธศาสตร์แห่งชาติ (The Council on National Strategic Special Zones) มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และคณะทำงานเขตพิเศษยุทธศาสตร์ (Strategic Special Zones Working Group) ประกอบด้วยนักธุรกิจและนักวิชาการซึ่งเป็นอิสระจากหน่วยงานของรัฐทำหน้าที่เจรจากับหน่วยงานของรัฐในการแก้ไขกฎหมาย และ (๒) กลไกระดับพื้นที่ มีสภาเขตพิเศษ (Zone Council) ประกอบด้วย ผู้แทนจากรัฐบาลกลาง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชน ทำงานร่วมกันเพื่อจัดเตรียมแผนพัฒนา แผนงาน/โครงการ และขับเคลื่อนการปฏิรูปกฎหมาย ๑.๒ การพัฒนาเขตพิเศษฯ คันไซ มีความใกล้เคียงกับเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนและโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) มากกว่าเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน โดยมีความคล้ายคลึงกันในด้านการออกกฎหมายใหม่เพื่อรองรับเขตพิเศษ กำหนดกิจการเป้าหมายที่เน้นนวัตกรรมและเทคโนโลยี การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย และการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา และการมีกลไกการบริหารจัดการระดับชาติและในระดับท้องถิ่น ๑.๓ การประยุกต์ใช้ (๑) ควรมีกลไกระดับนโยบายที่มีอำนาจหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาและข้อจำกัดด้านกฎหมาย ระเบียบ วิธีและขั้นตอนปฏิบัติของหน่วยงาน (๒) ควรมีกลไกการบริหารจัดการในระดับพื้นที่ (๓) ควรสนับสนุนให้เกิดการวิจัยและพัฒนาในส่วนของภาคเอกชนและสถาบันการศึกษามากขึ้น และ (๔) ควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาเมืองในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนและ EEC ๒. ให้คณะกรรมการบริหารการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแนวทางของเขตพิเศษยุทธศาสตร์คันไซมาปรับใช้กับ EEC และประยุกต์ใช้กับเรื่องที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
324 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | นร01 | 14/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยสถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นของประชาชนที่ยื่นเรื่องผ่านช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมทั้งสิ้น ๔๓,๔๐๑ ครั้ง รวมจำนวน ๒๖,๔๒๑ เรื่อง โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เหตุเดือดร้อนรำคาญ รองลงมาคือ การเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐในประเด็นที่หลากหลาย แจ้งเบาะแสการลักลอบจำหน่ายและเสพยาเสพติด แจ้งเบาะแสการลักลอบเปิดบ่อนและเล่นการพนัน และหนี้สินนอกระบบ ตามลำดับ ทั้งนี้ สามารถดำเนินการจนได้ข้อยุติ จำนวน ๒๒,๙๙๐ เรื่อง คิดเป็นร้อยละ ๘๗.๐๑ และอยู่ระหว่างการดำเนินการของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๓,๔๓๑ เรื่อง คิดเป็นร้อยละ ๑๒.๙๙ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ความสำคัญแก่การเร่งรัดการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมภายในระยะเวลาที่เหมาะสม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
325 | โครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าในเมืองใหญ่ ระยะที่ 1 | มท | 14/02/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินโครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าในเมืองใหญ่ ระยะที่ ๑ มีวัตถุประสงค์เพื่อก่อสร้างและปรับปรุงระบบไฟฟ้า พร้อมทั้งติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมในพื้นที่โครงการเพื่อเพิ่มความมั่นคงและเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า ลดปัญหาและอุปสรรคด้านการปฏิบัติการบำรุงรักษาและความปลอดภัย พื้นที่ดำเนินการ ๔ เมือง (เทศบาลนครเชียงใหม่ เทศบาลนครนครราชสีมา เมืองพัทยา และเทศบาลนครหาดใหญ่) ระยะเวลาดำเนินการ ๕ ปี (๒๕๕๙-๒๕๖๓) วงเงินลงทุน ๑๑,๖๖๘.๕๖ ล้านบาท โดยใช้เงินกู้ในประเทศ จำนวน ๘,๗๔๘.๕๖ ล้านบาท และเงินรายได้ กฟภ. จำนวน ๒,๙๒๐ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบให้ กฟภ. กู้เงินในประเทศ ภายในกรอบวงเงิน ๘,๗๔๘.๕๖ ล้านบาท เพื่อเป็นเงินลงทุนของโครงการดังกล่าว โดย กฟภ. จะทยอยดำเนินการกู้เงินตามความจำเป็นจนกว่างานจะแล้วเสร็จ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. ดำเนินการให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและมติคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเกี่ยวกับการกำกับดูแลและควบคุมต้นทุนการดำเนินโครงการฯ เพื่อให้การลงทุนเกิดความคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสูงสุด การศึกษาแนวทางการกำหนดอัตราค่าบริการขอใช้ไฟฟ้าแรงต่ำและแรงสูงในพื้นที่ระบบสายใต้ดินที่เหมาะสมและเป็นธรรม และการจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงในโครงการฯ รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และสำนักงบประมาณ อาทิ การพัฒนาโครงการฯ ควรคำนึงถึงความสอดคล้องและความเชื่อมโยงกับแผนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การพัฒนาระบบไฟฟ้าของประเทศเป็นไปในทิศทางเดียวกันและไม่ให้เกิดการลงทุนซ้ำซ้อน และให้ความสำคัญต่อการวางแผนการเตรียมความพร้อมในขั้นตอนของแผนการปฏิบัติงานกับหน่วยงานในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องและแผนการใช้จ่ายเงินที่ชัดเจน ตลอดจนการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องเพื่อนำผลที่ได้มาปรับปรุงและพัฒนาโครงการให้มีประสิทธิภาพและปลอดภัย สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กฟภ. เร่งรัดดำเนินการตามโครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าในเมืองใหญ่ ระยะที่ ๑ ให้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดอย่างเคร่งครัดโดยให้บูรณาการการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การประปาส่วนภูมิภาค บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการฯ ให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ได้อย่างเป็นรูปธรรม ลดความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติงาน รวมทั้งลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและประชาชน ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลการดำเนินการของ กฟภ. ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้ความสำคัญกับการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานของรัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินการโครงการลงทุน เช่น กรณีโครงการนี้ของ กฟภ. ให้เป็นไปตามแผนงานอย่างเคร่งครัดและมีประสิทธิภาพ โดยให้ความสำคัญกับการเพิ่มสัดส่วนของน้ำหนักตัวชี้วัดในระบบการประเมินคุณภาพรัฐวิสาหกิจ (State Enterprise Performance Appraisal : SEPA) ในการวัดผลการดำเนินโครงการลงทุนตามแผนงานและระยะเวลาที่กำหนดด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
326 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | นร01 | 24/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ซึ่งภาพรวมสถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นของประชาชนที่ยื่นเรื่องผ่านช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมทั้งสิ้น ๑๖๒,๙๐๕ ครั้ง รวมจำนวน ๙๘,๔๖๙ เรื่อง โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เหตุเดือดร้อนรำคาญ รองลงมาคือ แจ้งเบาะแสการลักลอบเปิดบ่อนและเล่นการพนัน แจ้งเบาะแสการลักลอบจำหน่ายและเสพยาเสพติด การเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐในประเด็นที่หลากหลาย และขอให้แก้ไขปัญหากระแสไฟฟ้าขัดข้อง ตามลำดับ ทั้งนี้ สามารถดำเนินการจนได้ข้อยุติ จำนวน ๘๗,๘๓๗ เรื่อง คิดเป็นร้อยละ ๘๙.๒๐ และอยู่ระหว่างการดำเนินการของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๑๐,๖๓๒ เรื่อง คิดเป็นร้อยละ ๑๐.๘๐ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ความสำคัญแก่การเร่งรัดการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมภายในระยะเวลาที่เหมาะสม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
327 | ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองสวัสดิภาพบุคคลในครอบครัว พ.ศ. .... | พม | 24/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองสวัสดิภาพบุคคลในครอบครัว พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์ครอบครัวแห่งชาติ กำหนดแนวทางการส่งเสริมและพัฒนาสถาบันครอบครัว การให้ความคุ้มครองสวัสดิภาพบุคคลในครอบครัว การบำบัดฟื้นฟู และวิธีปฏิบัติต่อบุคคลในครอบครัว รวมทั้งกำหนดมาตรการทางสังคมเกี่ยวกับการส่งเสริมและพัฒนาครอบครัว ตลอดจนมาตรการคุ้มครองสวัสดิภาพ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงยุติธรรม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ และสำนักงานอัยการสูงสุด อาทิ ควรพิจารณากำหนดแนวทาง วิธีการ กลไก หรือระบบการสร้างเสริม ติดตาม ตรวจสอบ หรือกำกับการดำเนินงานภายใต้อำนาจหน้าที่ของร่างพระราชบัญญัติฯ และประสานความร่วมมือในการสร้างเครือข่ายการทำงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นอกจากนี้ การกำหนดให้ผู้รับบริการได้รับสิทธิพิเศษจากหน่วยงานของรัฐ และสิทธิประโยชน์และสวัสดิการอื่นตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนด ควรพิจารณาถึงความเหมาะสมและเหตุผลความจำเป็น และภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นในการรับสิทธิพิเศษดังกล่าว รวมทั้งการแก้ไขถ้อยคำและเพิ่มเติมข้อความบางประการในร่างพระราชบัญญัติฯ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนเรื่องการกำหนดแนวทาง วิธีการ กลไก หรือระบบการสร้างเสริม ติดตาม ตรวจสอบ หรือกำกับการดำเนินงานภายใต้อำนาจหน้าที่ของร่างพระราชบัญญัติฯ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับเรื่องดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการ แล้วแจ้งผลการพิจารณาดำเนินการดังกล่าวเพื่อประกอบการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
328 | วงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | นร07 | 24/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ แนวทางการจัดทำและเสนอของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ การจัดสรรงบประมาณให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณและโครงสร้างแผนงาน ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
329 | การจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ของกลุ่มจังหวัด | นร12 | 17/01/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ของกลุ่มจังหวัด ตามมติคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.น.จ.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๐ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ ก.น.จ. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรอบวงเงินคำขอโครงการตามแนวทางการสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศ สำหรับโครงการตามแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการที่มีความพร้อมดำเนินการได้ โดยให้เป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดและแผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เพิ่มเติม โดยมีวงเงินทั้งสิ้น ๑๑๐,๔๓๓,๖๖๘,๕๓๕ บาท แยกเป็น ๑.๑.๑ บัญชี ๑ วงเงิน ๘๒,๔๗๑,๒๒๑,๔๑๙ บาท ๑.๑.๒ บัญชี ๒ วงเงิน ๒๗,๙๖๒,๔๔๗,๑๑๖ บาท ๑.๒ วงเงินคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ของกลุ่มจังหวัดที่ยังไม่ได้รับจัดสรรในครั้งนี้อีกประมาณ ๙๑,๐๐๐ ล้านบาท ให้เสนอเป็นคำขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยให้กลุ่มจังหวัดจัดทำแผนระยะปานกลาง ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐, พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๔) รองรับไว้ด้วย ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่นของรัฐให้การสนับสนุนกลุ่มจังหวัดและจังหวัดในการดำเนินโครงการตามแนวทางการสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศ ทั้งด้านบุคลากร วิชาการ วัสดุอุปกรณ์ และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๓. ให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติในการเบิกจ่ายงบประมาณของกลุ่มจังหวัด การบริหารจัดการทรัพย์สิน และการมอบอำนาจ เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความถูกต้อง ชัดเจน สะดวก รวดเร็ว และเป็นไปในแนวทางเดียวกัน ๔. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ ก.น.จ. ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
330 | แผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2560 | มท | 27/12/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๖๐ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอ มีประเด็นสำคัญ ดังนี้
๑. ชื่อในการรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๖๐ “ขับรถมีน้ำใจ รักษาวินัยจราจร” ๒. ช่วงเวลาการดำเนินงาน แบ่งออกเป็น ช่วงการรณรงค์และเสริมสร้างวินัย ระหว่างวันที่ ๑๕-๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๙ และช่วงควบคุมเข้มข้น ระหว่างวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๙-๔ มกราคม ๒๕๖๐ ๓. เป้าหมายการดำเนินงาน เพื่อให้ประชาชนเดินทางสัญจรอย่างปลอดภัยและลดจำนวนการเกิดอุบัติเหตุทางถนนให้เหลือน้อยที่สุด โดยให้จังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นผู้กำหนดเป้าหมายการดำเนินงาน ๔. มาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน มี ๔ ด้าน ได้แก่ ด้านคน ด้านถนน ด้านยานพาหนะ และด้านสภาพแวดล้อม ๕. ผลที่คาดว่าจะได้รับ จำนวนครั้งการเกิดอุบัติเหตุ จำนวนผู้เสียชีวิต และจำนวนผู้บาดเจ็บลดลงให้เหลือน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับสถิติในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๙
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
331 | ขอความเห็นชอบให้ประกาศใช้นโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาสถาบันครอบครัว พ.ศ. 2560 - 2564 | พม | 07/12/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ประกาศใช้นโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาสถาบันครอบครัว พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ เพื่อเป็นกรอบแนวทางการพัฒนาสถาบันครอบครัวของหน่วยงานต่าง ๆ โดยมี ๕ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ พัฒนาศักยภาพของครอบครัว สร้างหลักประกันความมั่นคงของครอบครัว การบริหารจัดการที่เอื้อต่อความเข้มแข็งของครอบครัว ส่งเสริมและสนับสนุนเครือข่ายทางสังคมเพื่อพัฒนาครอบครัว และพัฒนากระบวนการสื่อสารสังคมเพื่อพัฒนาครอบครัว ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้ปรับข้อความและเพิ่มเติมรายละเอียดบางส่วนในประเด็นยุทธศาสตร์ต่าง ๆ รวมทั้งเพิ่มเติมให้มีการจัดลำดับความสำคัญของการดำเนินงานภายใต้แต่ละยุทธศาสตร์ ตลอดจนกำหนดแนวทางการปฏิบัติ ตัวชี้วัดผลผลิตและผลลัพธ์ในการดำเนินงานของแต่ละยุทธศาสตร์ให้สามารถประเมินและติดตามผลได้อย่างเป็นรูปธรรม บูรณาการความร่วมมือของส่วนราชการทั้งในกระทรวง ต่างกระทรวง หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน องค์กรภาคประชาสังคม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชน เพื่อให้การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาสถาบันครอบครัวบรรลุผลตามเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน นอกจากนี้ ควรมีการออกแบบระบบฐานข้อมูลสารสนเทศให้เชื่อมโยงกับระบบฐานข้อมูลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ฐานข้อมูลดังกล่าวเป็นศูนย์กลางด้านครอบครัวได้อย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. เมื่อแผนยุทธศาสตร์ประกาศใช้แล้ว ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พิจารณาปรับปรุงยุทธศาสตร์การพัฒนาสถาบันครอบครัว พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
332 | รายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | กค | 07/12/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งรวบรวมงบแสดงฐานะการเงิน งบรายได้และค่าใช้จ่ายของรัฐบาลกลางและหน่วยงานภาครัฐ ทุนหมุนเวียนรัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน ๘,๒๘๑ หน่วยงาน จาก ๘,๔๑๒ หน่วยงาน คิดเป็นร้อยละ ๙๘.๔๔ ๑.๒ เห็นชอบข้อเสนอแนะในการจัดทำรายงานการเงินรวมภาครัฐ โดย ๑.๒.๑ ให้หน่วยงานภาครัฐทุกแห่งบันทึกและส่งข้อมูลงบการเงินภายในระยะเวลาที่กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) กำหนด โดยรัฐมนตรีเจ้าสังกัดให้ความสำคัญ ควบคุม กำกับดูแล หน่วยงานภายใต้สังกัดส่งรายงานการเงินของหน่วยงานภายในระยะเวลาที่กำหนด หากไม่สามารถส่งรายงานการเงินให้กระทรวงการคลังได้ตามกำหนด หน่วยงานต้องรายงานเหตุผลหรือปัญหาอุปสรรคต่อรัฐมนตรีเจ้าสังกัดทราบ ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดให้การบันทึกและส่งข้อมูลรายงานการเงินประจำปีเป็นเกณฑ์การประเมินของผู้บริหารระดับหน่วยงาน และกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) รวบรวมและเผยแพร่ข้อมูลรายงานการเงินของแต่ละหน่วยงานที่ผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแล้ว ไว้ในระบบรายงานการเงินรวมภาครัฐ (ระบบ CFS) ๑.๒.๒ ให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบรายงานการเงินของหน่วยงานภาครัฐทุกแห่งเป็นประจำทุกปี และกำหนดระยะเวลาการตรวจสอบให้ชัดเจน เพื่อให้การจัดทำและนำเสนอรายงานการเงินรวมภาครัฐมีความถูกต้อง ผู้บริหารสามารถนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๒.๓ ให้มีมาตรการส่งเสริมให้องค์การมหาชนและหน่วยงานอิสระที่มีสภาพคล่องส่วนเกินจำนวนมาก นำเงินสดส่วนเกินที่ฝากธนาคารพาณิชย์มาฝากกระทรวงการคลัง เพื่อให้รัฐบาลสามารถบริหารฐานะการคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเป็นการแบ่งเบาภาระทางการคลังของประเทศ ๑.๒.๔ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณาจัดทำงบประมาณรายจ่ายให้สอดคล้องกับรายได้ที่ได้รับจัดสรร เพื่อให้มีการนำเงินสะสมที่มีอยู่มาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาหรือดำเนินงานบริการสาธารณะในพื้นที่ที่รับผิดชอบ และเพิ่มการใช้จ่ายด้านการลงทุนสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานหรือรายจ่ายเกี่ยวกับการส่งเสริมอาชีพในชุมชน รวมทั้งเร่งรัดการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายค้างจ่าย โดยเร่งดำเนินงานตามแผนงานโครงการที่ได้รับอนุมัติและจัดสรรเงินงบประมาณแล้ว ๒. ให้หน่วยงานภาครัฐทุกแห่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลังอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
333 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง มาตรการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจและสังคมภายในท้องถิ่น | มท | 29/11/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๙ เรื่อง มาตรการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจและสังคมภายในท้องถิ่น ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ซึ่งกระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๙ เพื่อพิจารณากำหนดแนวทางดำเนินงานตามมาตรการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานฯ โดยได้จัดทำหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินสะสมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการลงทุนด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ๑.๑ กรณีที่ อปท. แห่งใดมีเงินสะสมเหลืออยู่เพียงพอ ให้ อปท. พิจารณานำเงินสะสมที่มีอยู่ไปใช้ดำเนินการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะปัญหาเรื้อรัง เช่น สิ่งสาธารณประโยชน์ขาดแคลน ชำรุด เป็นต้น ๑.๒ กรณีที่ อปท. แห่งใดมีเงินสะสมไม่เพียงพอ อปท. อาจขอรับการสนับสนุนงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จากรัฐบาลตามมาตรการ Matching Fund ภายใต้กรอบมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๙ (กรอบวงเงินดำเนินการไม่เกิน ๑๙,๗๙๕ ล้านบาท) โดยมีหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติ เช่น (๑) โครงการต้องไม่ซ้ำซ้อนกับโครงการในข้อบัญญัติงบประมาณปี ๒๕๖๐ ของ อปท. และ (๒) เงินงบประมาณที่รัฐบาลจ่ายสมทบและเงินสมทบของ อปท. ในสัดส่วน ๑ : ๑ เป็นต้น ๒. โครงการด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ๒.๑ เป็นโครงการพัฒนาการศึกษาท้องถิ่น หรือโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาส เด็กกำพร้า หรือผู้เจ็บป่วยเรื้อรัง เช่น การจัดสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐาน การส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ เป็นต้น ๒.๒ โครงการที่จัดทำจะต้องไม่มีลักษณะเป็นการท่องเที่ยว ศึกษาดูงาน หรือการแจกวัสดุสิ่งของ ๒.๓ โครงการดังกล่าวใช้เงินสะสมของ อปท.
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
334 | ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | พม | 29/11/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดบทบัญญัติเพิ่มเติมเรื่องการจัดตั้งสภาเด็กและเยาวชนตำบล สภาเด็กและเยาวชนเทศบาล สภาเด็กและเยาวชนเขตในกรุงเทพมหานคร เพื่อให้เด็กและเยาวชนทุกระดับมีส่วนร่วมในการดำเนินงานด้านการพัฒนาเด็กและเยาวชนด้วยตนเอง ซึ่งจะเป็นการสร้างความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการขับเคลื่อนงานของสภาเด็กและเยาวชนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการที่มีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมในร่างมาตรา ๖ วรรคสอง (๔) เกี่ยวกับแนวทางในการดำเนินการส่งเสริมและพัฒนาเด็กและเยาวชนของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในเรื่องการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาเด็กพิการ ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินการจัดการศึกษาสำหรับบุคคลที่มีร่างกายพิการหรือทุพพลภาพ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และให้ได้รับสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการ และความช่วยเหลือใดทางการศึกษา ตามมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ รวมทั้งได้กำหนดเรื่องสิทธิของคนพิการ และหน้าที่ของสถานศึกษา ในการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการไว้ตามพระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๑ ดังนั้น การกำหนดแนวทางการดำเนินการเรื่องดังกล่าวควรคำนึงถึงความสอดคล้องของกฎหมายที่บังคับใช้ในปัจจุบัน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาไปพร้อมกับร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (คุณหญิงทรงสุดา ยอดมณี กับคณะ เป็นผู้เสนอ) ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ทันภายในกำหนดเวลาต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
335 | ขอผ่อนผันยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2550 เพื่อก่อสร้างถนนในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ สำหรับโครงการทางหลวงหมายเลข 118 สายเชียงใหม่ - เชียงราย ตอนอำเภอดอยสะเก็ด - บ้านแม่เจดีย์ | คค | 29/11/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ (เรื่อง แนวทางพิจารณาการก่อสร้างถนนในพื้นที่อุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า) เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย เพื่อก่อสร้างถนนในพื้นที่อุทยานแห่งชาติสำหรับโครงการทางหลวงหมายเลข ๑๑๘ สายเชียงใหม่-เชียงราย ตอนอำเภอดอยสะเก็ด-บ้านแม่เจดีย์ โดยให้ดำเนินการตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๘ อย่างเคร่งครัด และพิจารณาจัดทำทางลอดทางข้ามสำหรับสัตว์ป่าในบริเวณที่เหมาะสม โดยประสานงานกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ในการกำหนดรูปแบบที่จะดำเนินการ ตามความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ตลอดจนมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๒. ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมทางหลวงประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่เพื่อดูแลความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชนและอุบัติเหตุระหว่างการก่อสร้าง และให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖ กรณีการดำเนินโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าจะต้องมีการปลูกป่าทดแทนเพื่ออนุรักษ์หรือรักษาสภาพแวดล้อมของพื้นที่ดังกล่าวอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้กรมทางหลวงดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามที่กำหนดไว้ในรายงาน EIA อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะในประเด็นการจัดการและฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ การสร้างรั้วกั้น ทางลอด ในช่วงที่ผ่านอุทยานแห่งชาติขุนแจ นอกจากนี้ ให้กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทจัดทำรายงาน EIA หรือขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีให้เสร็จสิ้นทั้งเส้นทางก่อนขอรับการจัดสรรงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงคมนาคมถือเป็นหลักปฏิบัติว่า การออกแบบและการก่อสร้างหรือขยายถนนต้องมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบริเวณสองข้างทางน้อยที่สุด ต้องหลีกเลี่ยงการตัดต้นไม้ขนาดใหญ่ หรือใช้วิธีการเคลื่อนย้ายต้นไม้ไปปลูกบริเวณริมทางที่มีการก่อสร้างหรือขยายขึ้นใหม่ เพื่อคงสภาพสิ่งแวดล้อมและภูมิทัศน์เดิมไว้ให้มากที่สุด รวมทั้งการปลูกไม้ยืนต้นทดแทนอย่างจริงจัง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
336 | รายงานประจำปี 2558 คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร01 | 22/11/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี ๒๕๕๘ คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ก.ก.ถ.) ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ มีสาระสำคัญแบ่งเป็น ๔ ส่วน ดังนี้
๑. ส่วนที่ ๑ องค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของ ก.ก.ถ. รวมทั้งคณะอนุกรรมการคณะต่าง ๆ ที่ ก.ก.ถ. ได้แต่งตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือ กำกับ ดูแล ในภารกิจสำคัญก่อนที่จะเสนอ ก.ก.ถ. พิจารณา รวมทั้งอำนาจหน้าที่และบทบาทภารกิจของสำนักงาน ก.ก.ถ. ๒. ส่วนที่ ๒ ผลการดำเนินงานเกี่ยวกับการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ประกอบด้วย (๑) ผลการประชุมของ ก.ก.ถ. (๒) การกระจายอำนาจด้านการถ่ายโอนภารกิจและอำนาจหน้าที่ให้แก่ อปท. (๓) การกระจายอำนาจด้านการเงิน การคลัง และงบประมาณ (๔) การแก้ไขกฎหมาย (๕) การส่งเสริมการบริหารงานท้องถิ่นและการมีส่วนร่วมของประชาชน และ (๖) การติดตามและประเมินผล ๓. ส่วนที่ ๓ การเสนอความเห็นในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ๔. ส่วนที่ ๔ ภาคผนวก ประกอบด้วย กฎหมาย คำสั่ง และประกาศที่เกี่ยวกับการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. ได้แก่ คำสั่ง ก.ก.ถ. แต่งตั้งคณะกรรมการ/คณะอนุกรรมการ ประกาศ ก.ก.ถ.
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
337 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 01/11/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ดังนี้
๑. การเตรียมการรองรับประชาชนที่จะเดินทางมาร่วมงานพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกในการเข้าถวายบังคมพระบรมศพ ดังนี้ ๑.๑ ให้ศูนย์บัญชาการติดตามสถานการณ์ (ศตส.) กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนจัดระเบียบการดำเนินการทุกกิจกรรมให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย รวมทั้งเรื่องการบริการอาหารและเครื่องดื่ม การดูแลไม่ให้มีการนำสิ่งของที่ผู้มีจิตศรัทธานำมาแจกจ่ายให้ประชาชนไปจำหน่ายต่อ การรักษาความสะอาด การกำจัดขยะ และการรักษาความปลอดภัย ทั้งนี้ ให้ดำเนินการโดยละมุนละม่อม ๑.๒ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดหาที่พักชั่วคราวแก่ประชาชนที่เดินทางมาจากต่างจังหวัดเพื่อถวายบังคมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช นอกเหนือจากบริเวณสนามหลวง เช่น บริเวณสนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง และจัดรถรับส่งเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางและลดปัญหาการจราจรด้วย ๑.๓ บริเวณจุดพักคอยสำหรับประชาชนบริเวณสนามหลวงที่ได้จัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช นั้น ให้กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) ประสานกับสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องนำเสนอข้อมูลการดำเนินการของรัฐบาลในเรื่องต่าง ๆ ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชไปพร้อมกันด้วย เพื่อสร้างความรับรู้ที่ถูกต้องแก่ประชาชน ๒. ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย สำรวจความต้องการใช้เครื่องมือและเครื่องจักรกลทางการเกษตรของเกษตรกรกลุ่มต่าง ๆ เช่น กลุ่มเกษตรกรที่ทำการเกษตรแบบแปลงใหญ่ กลุ่มสหกรณ์การเกษตร เป็นต้น และให้การสนับสนุนเครื่องมือและเครื่องจักรกลทางการเกษตรแก่กลุ่มเกษตรกรดังกล่าวตามลำดับความพร้อมในการดูแลรักษาและซ่อมบำรุงเครื่องมือเครื่องจักรกลดังกล่าว นั้น ให้ขยายการดำเนินการให้ครอบคลุมถึงการส่งเสริมและสนับสนุนให้กลุ่มเกษตรกรดังกล่าวจัดตั้งโรงสีของตนเองขึ้นในพื้นที่ด้วย เพื่อลดต้นทุนการผลิต และให้มีการประเมินผลความสำเร็จของการดำเนินการตามข้อสั่งการและรายงานนายกรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ ด้วย ๓. การบริหารจัดการน้ำบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาตั้งแต่จังหวัดนครสวรรค์ลงมาจนถึงอ่าวไทย ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ๓.๑ ติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มต่ำและประสบปัญหาอุทกภัยเป็นประจำ เช่น จังหวัดอ่างทอง จังหวัดสิงห์บุรี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นต้น โดยแจ้งเตือนสถานการณ์น้ำให้ประชาชนทราบอย่างต่อเนื่องเพื่อเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ และดูแลประชาชนให้ได้รับผลกระทบจากปัญหาดังกล่าวน้อยที่สุด รวมทั้งสร้างความรับรู้ที่ถูกต้องแก่ประชาชนเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำและการแก้ไขปัญหาอุทกภัยอย่างยั่งยืนที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ด้วย ๓.๒ ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงมหาดไทยดำเนินการขุดลอกคูคลองต่าง ๆ เพื่อให้สามารถระบายน้ำได้เร็วขึ้น รวมทั้งเร่งสำรวจและพิจารณาความเป็นไปได้ในการขุดคลองแห่งใหม่เพื่อใช้ประโยชน์ในการกักเก็บน้ำและการระบายน้ำลงสู่อ่าวไทย ทั้งนี้ ให้ควบคุมดูแลการกักเก็บน้ำและการระบายน้ำให้เหมาะสมแก่สถานการณ์ด้วย ๓.๓ ร่วมกับกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณพิจารณาจัดหาแหล่งเงินที่เหมาะสมเพื่อใช้ดำเนินการตามข้อ ๓.๒ โดยอาจขอความร่วมมือจากภาคเอกชนทั้งไทยและต่างประเทศ ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักในการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันปรับปรุงกระบวนงานเพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business) เช่น การเริ่มประกอบธุรกิจ การขออนุญาตก่อสร้าง การบริการไฟฟ้า การจดทะเบียนทรัพย์สิน การเข้าถึงสินเชื่อ การคุ้มครองนักลงทุน การจ่ายและการคืนภาษี การค้าขายข้ามแดน การดำเนินการให้เป็นไปตามสัญญา การล้มละลาย กฎหมาย และระเบียบที่โปร่งใส ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงาน ก.พ. ร่วมกันกำหนดตัวชี้วัดผลสัมฤทธิ์และเป้าหมายการดำเนินการที่ชัดเจนและเป็นสากล โดยอย่างน้อยต้องกำหนดให้อันดับของประเทศไทยใน Ease of Doing Business สูงขึ้นทุกปี ๕. ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้ทุกส่วนราชการที่เสนอขอเพิ่มอัตรากำลังข้าราชการต่อคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) พิจารณาทบทวนการเสนอขอเพิ่มอัตรากำลัง โดยคำนึงถึงภาระงบประมาณที่เป็นค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรและปริมาณภารกิจเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ให้พิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดจ้างผู้มีคุณวุฒิพิเศษมาดำเนินภารกิจเฉพาะ รวมทั้งการจ้างพนักงานราชการเพื่อทดแทนการบรรจุข้าราชการด้วย นั้น ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ร่วมกับ คปร. พิจารณากำหนดกรอบอัตรากำลังบุคลากรภาครัฐทุกประเภทให้สอดคล้องและเหมาะสมกับภารกิจในอนาคต รวมทั้งปรับปรุงวิธีการสรรหาบุคลากรภาครัฐ โดยให้มีการจัดจ้างผู้ที่มีคุณวุฒิพิเศษหรือผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเข้ามาปฏิบัติงานเต็มเวลาหรือไม่เต็มเวลา (part time) ในช่วงระยะเวลาที่กำหนดตามความจำเป็นของภารกิจ สำหรับการจัดสรรอัตราว่างจากการเกษียณอายุของข้าราชการในแต่ละปี ให้พิจารณากำหนดสัดส่วนการรับบุคลากรภาครัฐที่เป็นข้าราชการประจำกับผู้มีคุณวุฒิพิเศษหรือผู้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านให้สอดคล้องกับกรอบอัตรากำลังที่กำหนดข้างต้นด้วย และให้รายงานผลต่อนายกรัฐมนตรีภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๙ ๖. การจัดงานแสดงสินค้า การประชุม การพบปะหารือกับผู้นำต่างประเทศต่าง ๆ ให้ส่วนราชการผู้รับผิดชอบหรือเจ้าภาพจัดงานดังกล่าวประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบเป็นการทั่วไปด้วยว่า ประเทศชาติและประชาชนจะได้รับผลประโยชน์ใดจากการดำเนินการดังกล่าวด้วย เช่น เป็นการเพิ่มโอกาสทางการค้า การเพิ่มรายได้ เป็นต้น ๗. ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบการจัดทำโครงการหรือกิจกรรมต่าง ๆ ใช้กลไกการจัดทำประชาคมเพื่อให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการคิดและการดำเนินการโครงการหรือกิจกรรมเหล่านั้นให้มากที่สุดเท่าที่จะกระทำได้ และให้รับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่เพื่อประกอบการจัดทำและดำเนินโครงการอย่างจริงจังด้วย โดยการทำประชาคมและรับฟังความคิดเห็นดังกล่าวนั้น ให้กระทรวงมหาดไทย โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นเจ้าภาพในการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่รับผิดชอบการจัดทำโครงการหรือกิจกรรมกับประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง และให้ถือว่าการจัดทำประชาคมและการรับฟังความคิดเห็นเป็นกระบวนการที่ต้องดำเนินการในทุกโครงการและกิจกรรมด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
338 | ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย การพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 โดยมีปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวทาง | กต | 25/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการแนวทางขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๓๐ (Sustainable Development Goals 2030 : SDGs) ทั้ง ๑๗ เป้าหมาย และ ๑๖๙ เป้าประสงค์ โดยมีปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy Philosophy : SEP) เป็นแนวทาง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ และให้ทุกส่วนราชการรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปปฏิบัติในทุกกระบวนการ โดยการจัดทำงบประมาณจะต้องอยู่บนพื้นฐานของหลักความมีเหตุผล หลักความพอเพียง ประหยัดคุ้มค่า ความจำเป็นตามสถานการณ์ปัจจุบัน และแผนแม่บทระยะ ๕ ปี/๒๐ ปี ที่คำนึงถึงการคาดการณ์ในอนาคตภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ ๒๐ ปี แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบายรัฐบาล นโยบายความมั่นคง แผนแม่บทด้านต่าง ๆ ให้มีการบูรณาการตามภารกิจและงบประมาณใน ๓ มิติ ประกอบด้วย มิติยุทธศาสตร์ (Agenda) และมิติกระทรวง/หน่วยงาน (Function) ที่จะต้องบูรณาการร่วมกับจังหวัด/กลุ่มจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในมิติพื้นที่ (Area) เพื่อให้การแก้ไขปัญหาและพัฒนาในระดับพื้นที่มีความสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งจะนำไปสู่ความมีวินัยด้านการเงินการคลัง สร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจอย่างมั่นคงและยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้ทุกส่วนราชการดำเนินการตามแนวทางขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๓๐ โดยยึดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวทาง (SEP for SDGs) ให้สอดคล้องกับแผนงานในภารกิจหลักของหน่วยงานระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) แผนปฏิบัติการระยะ ๕ ปี และ ๑ ปี และแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ทั้งนี้ สำหรับแผนงาน/โครงการ ปี ๒๕๖๐ ให้ทุกส่วนราชการเร่งรัดดำเนินการให้แล้วเสร็จและเกิดผลสัมฤทธิ์ภายในเดือนตุลาคม ๒๕๖๐ เพื่อเป็นการสานต่อพระราชปณิธานและเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
339 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน สำหรับกรณีการโอนและการจำนองอสังหาริมทรัพย์ในภารกิจของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) | อื่นๆ | 18/10/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน สำหรับกรณีการโอนและการจำนองอสังหาริมทรัพย์ในภารกิจของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) ได้รับการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๗ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ เหลืออัตราร้อยละ ๐.๐๑ ตามราคาประเมินทุนทรัพย์ ตั้งแต่วันที่ประกาศมีผลใช้บังคับถึงวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๖๒ ตามที่สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา ๒. ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรตัดการอ้างมาตรา ๑๐๓ วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๑ ประกอบกับข้อ ๒ (๗) (ฎ) ของกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๗ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ออก เนื่องจากการออกประกาศในครั้งนี้มิใช่การกำหนดให้เรียกเก็บหรือลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม แต่เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ในการลดหย่อนค่าธรรมเนียมซึ่งต้องเป็นไปตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด และเห็นควรลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมให้เฉพาะในส่วนที่กำหนดให้ผู้ทำนิติกรรมซึ่งมีฐานะยากจนมีหน้าที่ต้องชำระ โดยกำหนดคุณสมบัติของผู้ยากจนที่จะได้รับการลดหย่อนค่าธรรมเนียมให้ชัดเจน สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องที่มีศักยภาพเพียงพอในการชำระค่าธรรมเนียมฯ ควรจะชำระตามอัตราเดิมที่กำหนด เพื่อให้ภาครัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถนำเงินที่ได้ไปใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมหรือพัฒนาท้องที่ต่อไป ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
340 | แผนปฏิบัติการ "ประเทศไทย ไร้ขยะ" ตามแนวทาง "ประชารัฐ" ระยะ 1 ปี (พ.ศ. 2559 - 2560) | ทส | 20/09/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบทั้ง ๒ ข้อ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนปฏิบัติการ “ประเทศไทย ไร้ขยะ” ตามแนวทาง “ประชารัฐ” ระยะ ๑ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๐) ภายใต้แผนแม่บทการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔ เพื่อใช้เป็นแผนปฏิบัติการในการดำเนินงานเกี่ยวกับการจัดการขยะมูลฝอยในระยะสั้น (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๐) สำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลให้จังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินงานเกี่ยวกับการจัดการขยะมูลฝอยตามแผนปฏิบัติการฯ ดังกล่าว ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำและใช้จ่ายงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ให้สอดคล้องกับแผนงานบูรณาการการบริหารจัดการขยะและสิ่งแวดล้อม แผนงานบูรณาการส่งเสริมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และแผนงานบูรณาการส่งเสริมการพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณเพิ่มเติมให้พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตลอดจนพิจารณาทบทวนปรับปรุงเป้าประสงค์และตัวชี้วัดให้สอดคล้องกับเป้าหมายการดำเนินงานตามแผนแม่บทฯ และเพิ่มบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบของภาคส่วนอื่น เช่น ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ในแผนปฏิบัติการฯ ตามหลักการประชารัฐ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
.....