ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 13 จากทั้งหมด 74 หน้า แสดงรายการที่ 241 - 260 จากข้อมูลทั้งหมด 1463 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
241 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง สาเหตุการตายของปลากระเบนราหูในแม่น้ำแม่กลอง ของคณะกรรมาธิการการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 25/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง สาเหตุการตายของปลากระเบนราหูในแม่น้ำแม่กลอง โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแล้วเห็นว่า ยังไม่มีความจำเป็นต้องแต่งตั้งคณะกรรมการระงับอุบัติเหตุจากมลพิษในขณะนี้ แต่อาจต้องมีการดำเนินการปรับปรุงมาตรการ แนวทางหรือแผนงานในการแก้ไขเหตุฉุกเฉิน ในแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ แผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด แผนปฏิบัติการในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มาตรการป้องกันและแผนฉุกเฉินเพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่แก้ไขไว้ล่วงหน้า และแผนปฏิบัติการเพื่อป้องกันและแก้ไขอันตรายอันเกิดจากการแพร่กระจายมลพิษหรือภาวะมลพิษตามมาตรา ๕๓ (๑) แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ให้ชัดเจนและครอบคลุมมากขึ้น ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
242 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบ้านสวนและตำบลหนองข้างคอก อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี พ.ศ. .... | คค | 11/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบ้านสวน และตำบลหนองข้างคอก อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงชนบท ตามโครงการก่อสร้างทางต่างระดับข้ามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๖๑ และทางรถไฟสายตะวันออก และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจ และเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการพิจารณาผลกระทบด้านการระบายน้ำภายหลังจากการก่อสร้าง เพื่อมิให้เกิดปัญหาเรื่องการระบายน้ำในพื้นที่บริเวณดังกล่าวในอนาคต และควรมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่มีแผนปรับปรุง/ก่อสร้างทางต่างระดับข้ามทางรถไฟในระยะต่อไปประสานกับการรถไฟแห่งประเทศไทยเพื่อพิจารณากำหนดรูปแบบโครงสร้างทางต่างระดับที่มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับรูปแบบการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบรถไฟก่อนดำเนินการปรับปรุง/ก่อสร้าง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
243 | รายงานผลการบูรณาการขับเคลื่อนโครงการตลาดประชารัฐ ครั้งที่ 3 | มท | 11/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการบูรณาการขับเคลื่อนโครงการตลาดประชารัฐ ครั้งที่ ๓ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๐ ถึงปัจจุบัน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การขับเคลื่อนตลาดประชารัฐในแต่ละประเภท กระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลตลาดประชารัฐทั้ง ๑๐ ประเภท จำนวนตลาดทั้งหมด ๖,๖๑๐ แห่ง ได้ดำเนินการเปิดตลาดประชารัฐ โดยส่วนใหญ่เป็นการขยายพื้นที่ค้าขายในตลาดที่เปิดทำการอยู่แล้ว และจัดสรรพื้นที่จำหน่ายสินค้าให้กับผู้ลงทะเบียนเป็นผู้ประกอบการโครงการตลาดประชารัฐทั่วประเทศและกรุงเทพมหานคร ๒. การจัดสรรพื้นที่จำหน่ายสินค้าและรายได้ของผู้ประกอบการ กระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลตลาดประชารัฐทั้ง ๑๐ ประเภท ขยายพื้นที่ค้าขายเพื่อรองรับผู้ประกอบการที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการตลาดประชารัฐ จำนวน ๖,๖๑๐ แห่ง โดยมีผู้ลงทะเบียน ๑๐๕,๓๙๘ ราย ปัจจุบันได้ดำเนินการจัดสรรจำหน่ายสินค้าแล้วร้อยละ ๙๑.๓๒ (จำนวน ๙๖,๒๔๖ ราย) มีจังหวัดที่ดำเนินการจัดสรรพื้นที่ให้ผู้ประกอบการเสร็จสิ้นแล้ว ๕๑ จังหวัด ยังคงเหลือผู้ประกอบการที่รอการจัดสรรพื้นที่ค้าขาย ๙,๑๕๒ ราย และนับตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ มีการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากทั้งประเทศ ๑,๒๑๙.๓๓ ล้านบาท สร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นเฉลี่ย ๑,๘๑๐ บาท ต่อเดือน (ข้อมูล ณ วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑) ๓. การปรับปรุงตลาดให้ได้มาตรฐานตลาดประชารัฐ หน่วยงานที่กำกับดูแลตลาดประชารัฐได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลตลาดทุกประเภทโดยผู้บริหารจัดการตลาดประชารัฐ (Chief Marketing Officer : CMO) กระทรวงสาธารณสุข กรมอนามัย และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการตรวจประเมินตลาด โดยได้ดำเนินการประเมินแล้ว จำนวน ๑,๗๗๖ แห่ง คิดเป็นร้อยละ ๓๗.๓๐ ของจำนวนตลาดประชารัฐ ผลจากการประเมิน พบว่า มีตลาดที่อยู่ในระดับดีมาก ๒๕๓ แห่ง (ร้อยละ ๑๔.๒๕) และต้องปรับปรุง ๓๔๙ แห่ง (ร้อยละ ๑๙.๖๕) ทั้งนี้ อยู่ระหว่างการปรับปรุงตลาดอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้คุณภาพที่ยั่งยืนต่อไป ๔. หลักสูตรและจัดการอบรมผู้บริหารจัดการตลาดประชารัฐ (CMO) องค์การบริหารส่วนจังหวัดได้จัดทำหลักสูตรอบรมการบริหารจัดการตลาดให้กับ CMO และผู้ประกอบการ โดยได้ดำเนินการจัดอบรมแล้ว จำนวน ๒๕ จังหวัด มีผู้เข้าร่วมอบรม ๓,๐๓๙ คน ๕. คลินิกผู้ประกอบการตลาดประชารัฐ กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการพัฒนาชุมชน ได้จัดทำคลินิกผู้ประกอบการตลาดประชารัฐ ในระดับอำเภอ เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการที่ไม่มีประสบการณ์ค้าขาย ปัจจุบันได้พัฒนาไปแล้ว ๖,๒๙๘ ราย แบ่งเป็นการพัฒนาด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ ๒,๑๑๑ ราย ด้านประสบการณ์ค้าขาย ๒,๑๙๑ ราย ด้านประสานแหล่งทุนเพื่อต่อยอดการผลิตสินค้าให้ได้คุณภาพมาตรฐาน ๑,๙๐๔ ราย และด้านอื่น ๆ (ภาษาอังกฤษ การลงทะเบียน OTOP) ๙๒ ราย ๖. การส่งเสริมตลาดประชารัฐเพื่อการท่องเที่ยว ตลาดประชารัฐได้รับการยกระดับเป็นตลาดเพื่อการท่องเที่ยวจังหวัด ดำเนินการร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โดยจังหวัดคัดเลือกตลาดประชารัฐที่มีศักยภาพเพื่อเสนอเป็นกิจกรรมในการปฏิทิน “ปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน” จำนวนตลาด ๑๗๑ แห่ง จาก ๗๐ จังหวัด โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้รับข้อมูลตลาดประชารัฐเพื่อบรรจุในปฏิทิน “ปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน” แล้ว และบูรณาการร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยในการประชาสัมพันธ์ตลาดประชารัฐในช่องทางสื่อต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง และมีการบรรจุตลาดประชารัฐไว้ในโปรแกรมแนะนำนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ๗. การสนับสนุนพื้นที่ในตลาดประชารัฐช่วยเหลือเกษตรกรนำสินค้าเกษตรมาจำหน่ายในตลาดประชารัฐ หน่วยงานที่กำกับดูแลตลาดประชารัฐได้สนับสนุนการรับสินค้าเกษตรเพื่อเป็นแหล่งระบายสินค้าทางการเกษตรตามฤดูกาลช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบภาวะสินค้าล้นตลาด โดยในเดือนมิถุนายน ๒๕๖๑ ได้ดำเนินการช่วยเหลือเกษตรกรในการจำหน่ายสินค้าข้าว ผักผลไม้ เกษตรอินทรีย์ และสินค้าแปรรูป มีเกษตรกร ๕,๗๐๒ ราย สร้างรายได้ ๒,๔๓๓,๓๖๔ บาท ๘. การประเมินโครงการเพื่อติดตามประเมินผลความสำเร็จโครงการตลาดประชารัฐ กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการพัฒนาชุมชนได้จัดทำแบบสอบถามออนไลน์เพื่อติดตามประเมินผลความสำเร็จโครงการตลาดประชารัฐ ซึ่งผลการสำรวจพบว่า ผู้ซื้อมีความพึงพอใจในการใช้บริการตลาดประชารัฐ ๙. ก้าวต่อไปของโครงการตลาดประชารัฐ ได้แก่ ขยายตลาดประชารัฐในพื้นที่ให้เป็นตลาดกลางพืชผลทางการเกษตรของจังหวัดหรืออำเภอ และคัดเลือกตลาดประชารัฐที่มีการดำเนินการเป็นเลิศ (Best Practice) ของจังหวัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
244 | ร่างพระราชกฤษฎีกาให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยดำเนินกิจการรถไฟฟ้าในจังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดพังงา และจังหวัดภูเก็ต พ.ศ. .... | คค | 11/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยดำเนินกิจการรถไฟฟ้าในจังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดพังงา และจังหวัดภูเก็ต พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยดำเนินกิจการรถไฟฟ้าในจังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดพังงา และจังหวัดภูเก็ต เพิ่มเติมจากปัจจุบันที่สามารถดำเนินกิจการได้เพียงในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเท่านั้น อันเป็นการเพิ่มรูปแบบการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะในเขตเมืองและขยายขีดความสามารถในการรองรับปริมาณผู้โดยสารของท่าอากาศยานในภูมิภาค ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น ควรให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงินขององค์กรทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ควรกำหนดแผนบริหารความเสี่ยงหากเกิดกรณีที่ผลการดำเนินงานด้านการเงินไม่เป็นไปตามประมาณการที่ตั้งไว้ ควรพิจารณารูปแบบการให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการ และควรพิจารณาให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามามีบทบาท โดยการสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนในพื้นที่ การกำหนดโครงสร้างการบริหารกิจการระบบขนส่งทางรางภายหลังที่มีการจัดตั้งกรมการขนส่งทางรางให้เกิดความชัดเจนโดยเร็ว และการกำหนดรูปแบบของหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะในเขตเมืองในส่วนภูมิภาค เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
245 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) ครั้งที่ 4/2561 | นร | 04/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล (กขร.) ครั้งที่ ๔/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๖๑ ซึ่งมีความคืบหน้าการติดตามเร่งรัดการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล ๓ เรื่อง โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของ กขร. เพื่อพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง และรวบรวมและประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบถึงประโยชน์ที่ได้รับ ตามที่ กขร. เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการยาเพื่อประชาชน กขร. มีมติให้กระทรวงสาธารณสุขจัดทำแบบสำรวจการจัดซื้อยาทั่วไป ยาชีววัตถุ และเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยาในบัญชีนวัตกรรมไทยในโรงพยาบาลสังกัดของกระทรวงอื่นเพิ่มเติม และร่วมกับกรมบัญชีกลางพิจารณาแนวทางการจัดซื้อยาทั่วไป ยาชีววัตถุ และเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยา ซึ่งได้ขึ้นบัญชีนวัตกรรมตามความเหมาะสมต่อไป ๒. การปรับกฎหมายหรือระเบียบเพื่อจัดจ้างผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง กขร. มีมติให้กระทรวงมหาดไทย โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พิจารณาปรับปรุงกฎหมายหรือระเบียบเพื่อให้รองรับการจ้างงานนักบริบาลชุมชน (Care Giver) ครอบคลุมการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน ๓. การจัดให้มีบริการหมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉินแห่งชาติหมายเลขเดียว (National Single Emergency Number) กขร. มีมติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งรัดการดำเนินการตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณพิจารณางบประมาณเพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการจัดให้มีบริการหมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉินแห่งชาติหมายเลขเดียวเพิ่มเติมต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
246 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ก้อนเชื้อเพลิงขยะ (RDF) .. ทางออกของการกำจัดขยะชุมชน ของคณะกรรมาธิการการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 04/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง ก้อนเชื้อเพลิงขยะ (RDF) .. ทางออกของการกำจัดขยะชุมชน โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ สรุปผลการดำเนินงานได้ เช่น กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงสาธารณสุขได้ออกกฎกระทรวงในการควบคุมและออกแบบมาตรฐานการทำงานที่ดีแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดการขยะมูลฝอย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอยู่ระหว่างดำเนินการยกร่างประกาศกรมควบคุมมลพิษ เรื่อง หลักเกณฑ์เกี่ยวกับคุณลักษณะของเชื้อเพลิงขยะที่เหมาะสมสำหรับขยะมูลฝอยชุมชน เป็นต้น นอกจากนี้ ได้มีข้อเสนอแนะเพิ่มเติม เช่น การจัดเก็บและค่าธรรมเนียมในการจัดการขยะมูลฝอยควรมีการศึกษาในเรื่องของการใช้เครื่องมือทางด้านเศรษฐศาสตร์มาพิจารณาความเหมาะสมในการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการจัดการขยะมูลฝอย เป็นต้น ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
247 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ปัญหาการทอดทิ้งสัตว์ในที่สาธารณะ ของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหาการทอดทิ้งสัตว์ในที่สาธารณะ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 04/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหาการทอดทิ้งสัตว์ในที่สาธารณะ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง ปัญหาการทอดทิ้งสัตว์ในที่สาธารณะ ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รวบรวมผลการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งมีความเห็นสอดคล้องและได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการวิสามัญฯ ไปบ้างแล้ว ได้แก่ (๑) การดูแลสัตว์ที่ถูกทอดทิ้งในที่สาธารณะ สำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้กำหนดไว้ใน (ร่าง) แผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ๓) โดยกำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดสถานที่พักพิงให้สัตว์ที่ตกเป็นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้ว (๒) การปฏิรูปกฎหมาย เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ดำเนินการเสนอร่างพระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ให้มีบทบัญญัติให้เจ้าของสัตว์มีหน้าที่ต้องขึ้นทะเบียนสัตว์ เป็นต้น และ (๓) การจัดการเชิงนโยบาย เช่น การจัดทำมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินการของสถานสงเคราะห์สัตว์ที่จดทะเบียนตามกฎหมายให้เป็นรูปธรรม เป็นต้น ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
248 | ร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. .... และร่างกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวม 6 ฉบับ | นร09 | 04/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ รวม ๖ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และวิธีการในการจัดการเลือกตั้ง การได้มาซึ่งผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้ง รวมทั้งกำหนดวิธีการดำเนินการตรวจสอบการเลือกตั้งเพื่อให้คณะกรรมการการเลือกตั้งสามารถดำเนินการตรวจสอบการเลือกตั้งได้ในเชิงรุก และปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นดังกล่าว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. .... ๑.๒ ร่างพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๓ ร่างพระราชบัญญัติเทศบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๔ ร่างพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๕ ร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๑.๖ ร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติในข้อ ๑.๑ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอ และที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติในข้อ ๑.๒ ถึงข้อ ๑.๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติฯ ทั้ง ๖ ฉบับ โดยคำนึงถึงการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามนัยมาตรา ๒๗ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ กรณีตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวจะก่อให้เกิดภาระต่องบประมาณหรือภาระทางการคลังในอนาคต รวมถึงความคุ้มค่า ต้นทุน และประโยชน์ของภาครัฐและประชาชนที่จะได้รับ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
249 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน รวม 2 ฉบับ (ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตทึ่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลคอกกระบือ และตำบลพันท้ายนรสิงห์ อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร พ.ศ. ....) | คค | 28/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลราชาเทวะ ตำบลหนองปรือ ตำบลบางโฉลง อำเภอบางพลี ตำบลศีรษะจระเข้ใหญ่ ตำบลบางเสาธง อำเภอบางเสาธง และตำบลบางบ่อ อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลคอกกระบือ และตำบลพันท้ายนรสิงห์ อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงชนบทสายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๒๕๖ กับถนนรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี และขยายทางหลวงชนบท สค.๒๐๓๒ บริเวณแยกทางหลวงหมายเลข ๓๕-บ้านโคกขาม อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค อันเป็นการพัฒนาโครงข่ายการขนส่งระบบโลจิสติกส์ให้มีความสมบูรณ์รองรับการเจริญเติบโตของเมืองในอนาคต และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจ และเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการพิจารณาผลกระทบด้านการระบายน้ำภายหลังจากการก่อสร้าง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเรื่องการระบายน้ำในพื้นที่บริเวณดังกล่าวในอนาคต และกรณีที่เป็นการก่อสร้างถนนสายใหม่และมีมูลค่าการลงทุนสูง เห็นควรให้หน่วยงานรับผิดชอบเสนอรายงานการวิเคราะห์ความเหมาะสมของโครงการก่อสร้างทางหลวงชนบทดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนที่จะเสนอร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินตามขั้นตอนต่อไป และเห็นควรให้กรมทางหลวงชนบทพิจารณาความจำเป็นและความเหมาะสมของช่วงเวลาที่จะดำเนินการดังกล่าว โดยคำนึงถึงความสามารถในการรองรับปริมาณการจราจรของโครงข่ายถนนที่อยู่ในบริเวณพื้นที่โดยรอบ เพื่อลดขนาดการลงทุนของภาครัฐ รวมทั้งให้กรมทางหลวงชนบทและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (กรมทางหลวง กรมโยธาธิการและผังเมือง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) ร่วมกันจัดทำแผนพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพ พร้อมทั้งความสำคัญของแผนและโครงการที่อยู่ในความรับผิดชอบในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้การลงทุนของภาครัฐเป็นไปอย่างรอบคอบและมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
250 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน รวม 2 ฉบับ (ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตทึ่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลราชาเทวะ ตำบลหนองปรือ ตำบลบางโฉลง อำเภอบางพลี ตำบลศีรษะจระเข้ใหญ่ ตำบลบางเสาธง และตำบลบางบ่อ อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. ....) | คค | 28/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลราชาเทวะ ตำบลหนองปรือ ตำบลบางโฉลง อำเภอบางพลี ตำบลศีรษะจระเข้ใหญ่ ตำบลบางเสาธง อำเภอบางเสาธง และตำบลบางบ่อ อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลคอกกระบือ และตำบลพันท้ายนรสิงห์ อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงชนบทสายเชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๒๕๖ กับถนนรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี และขยายทางหลวงชนบท สค.๒๐๓๒ บริเวณแยกทางหลวงหมายเลข ๓๕-บ้านโคกขาม อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค อันเป็นการพัฒนาโครงข่ายการขนส่งระบบโลจิสติกส์ให้มีความสมบูรณ์รองรับการเจริญเติบโตของเมืองในอนาคต และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจ และเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการพิจารณาผลกระทบด้านการระบายน้ำภายหลังจากการก่อสร้าง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเรื่องการระบายน้ำในพื้นที่บริเวณดังกล่าวในอนาคต และกรณีที่เป็นการก่อสร้างถนนสายใหม่และมีมูลค่าการลงทุนสูง เห็นควรให้หน่วยงานรับผิดชอบเสนอรายงานการวิเคราะห์ความเหมาะสมของโครงการก่อสร้างทางหลวงชนบทดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนที่จะเสนอร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินตามขั้นตอนต่อไป และเห็นควรให้กรมทางหลวงชนบทพิจารณาความจำเป็นและความเหมาะสมของช่วงเวลาที่จะดำเนินการดังกล่าว โดยคำนึงถึงความสามารถในการรองรับปริมาณการจราจรของโครงข่ายถนนที่อยู่ในบริเวณพื้นที่โดยรอบ เพื่อลดขนาดการลงทุนของภาครัฐ รวมทั้งให้กรมทางหลวงชนบทและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (กรมทางหลวง กรมโยธาธิการและผังเมือง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) ร่วมกันจัดทำแผนพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพ พร้อมทั้งความสำคัญของแผนและโครงการที่อยู่ในความรับผิดชอบในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้การลงทุนของภาครัฐเป็นไปอย่างรอบคอบและมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
251 | ร่างพระราชบัญญัติระบบสุขภาพปฐมภูมิ พ.ศ. .... | สธ | 28/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติระบบสุขภาพปฐมภูมิ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีกลไกและกระบวนการในการจัดระบบสุขภาพปฐมภูมิที่เป็นระบบและมีประสิทธิภาพโดยการประสานความร่วมมือเพื่อจัดบริการสุขภาพปฐมภูมิ ซึ่งเป็นการดำเนินการที่มีส่วนร่วมกันระหว่างภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน และภาคประชาชน รวมทั้งการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยบริการทั้งระดับปฐมภูมิ ทุติยภูมิ และตติยภูมิ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาในประเด็นตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และให้รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมาย และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข เช่น การกำหนดให้คณะกรรมการระบบสุขภาพปฐมภูมิไม่ต้องเสนอแผนยุทธศาสตร์ต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ เพื่อให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง แนวทางการเสนอแผนเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี) การพิจารณาประเภทและขอบเขตบริการสาธารณสุขของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติประกอบด้วย การมีหน่วยงานกลางที่ทำหน้าที่เป็นธุรการในการจัดสรรค่าใช้จ่ายให้แก่หน่วยบริการปฐมภูมิ การทำความตกลงเกี่ยวกับการขยายสวัสดิการหรือสิทธิการรักษาพยาบาล การพิจารณาในประเด็นเกี่ยวกับการกำหนดโทษทางอาญา รวมทั้งการบริหารจัดการอัตรากำลังที่มีอยู่ ไม่ควรเป็นการเพิ่มอัตรากำลังในภาพรวมของกระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเกี่ยวกับการจัดบริการระบบสุขภาพปฐมภูมิที่ต้องดำเนินการเพื่อให้มีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวและผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์และสาธารณสุขดูแลประชาชนในสัดส่วนที่เหมาะสมต่อไป ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจำเป็นต้องเพิ่มแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวอีกประมาณ ๕,๕๐๐ คน ในช่วง ๑๐ ปี นั้น กระทรวงสาธารณสุขควรสร้างแรงจูงใจให้แก่นักศึกษาแพทย์ให้มีความสนใจที่จะเข้ามาศึกษาในสาขาวิชาแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวมากขึ้น เช่น การให้ทุนรัฐบาลแก่นักศึกษาแพทย์เพื่อศึกษาในสาขาวิชาดังกล่าว เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
252 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดจำนวนกรรมการ คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ และวิธีการสรรหา การเลือกประธานกรรมการและกรรมการ วาระการดำรงตำแหน่ง และการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการในคณะกรรมการการอาชีวศึกษา พ.ศ. .... | ศธ | 14/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดจำนวนกรรมการ คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ และวิธีการสรรหา การเลือกประธานกรรมการและกรรมการ วาระการดำรงตำแหน่ง และการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการในคณะกรรมการการอาชีวศึกษา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงองค์ประกอบ หลักเกณฑ์ และวิธีการสรรหาคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า (๑) มาตรา ๑๗ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๖ กำหนดให้คณะกรรมการการอาชีวศึกษา ประกอบด้วย กรรมการโดยตำแหน่งจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้แทนองค์กรเอกชน ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนองค์กรวิชาชีพ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิฯ แต่ร่างกฎกระทรวงฯ ได้ตัดกรรมการที่เป็นผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจำนวนหนึ่งคน ออก และไปกำหนดไว้ในข้อ ๓ (๕) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่าง ๆ โดยระบุด้านการจัดการอาชีวศึกษาท้องถิ่น จึงน่าจะไม่เป็นไปตามมาตรา ๑๗ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติฯ (๒) การกำหนดองค์ประกอบกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมีจำนวนค่อนข้างมาก ควรคำนึงถึงความจำเป็น เหมาะสม ความคุ้มค่า ภาระงบประมาณ และ (๓) ร่างกฎกระทรวงฯ ไม่ปรากฏว่ามีการกำหนดองค์ประกอบกรรมการ ตลอดจนรายละเอียดอื่น ๆ ในส่วนของ “ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” ไว้ จึงอาจส่งผลให้องค์ประกอบของคณะกรรมการการอาชีวศึกษาไม่ครบถ้วนตามพระราชบัญญัติฯ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
253 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | นร01 | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยภาพรวมสถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นของประชาชนที่ยื่นเรื่องผ่านช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมทั้งสิ้น ๓๔,๓๘๘ ครั้ง รวมจำนวน ๑๙,๒๘๓ เรื่อง โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เหตุเดือดร้อนรำคาญ รองลงมาคือ การเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐ ยาเสพติด บ่อนการพนัน และไฟฟ้า ตามลำดับ ทั้งนี้ สามารถดำเนินการจนได้ข้อยุติ จำนวน ๑๖,๕๔๐ เรื่อง คิดเป็นร้อยละ ๘๕.๗๘ และอยู่ระหว่างการดำเนินการของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๒,๗๔๓ เรื่อง คิดเป็นร้อยละ ๑๔.๒๒ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ๒. ในการนำเสนอสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชนในภาพรวมของปีงบประมาณและ/หรือในไตรมาสถัดไป ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีดำเนินการโดยให้มีข้อมูลของปีก่อนหน้า/ไตรมาสก่อนหน้าด้วย เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นพัฒนาการของผลการดำเนินการให้ชัดเจน ๓. ให้ทุกส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ความสำคัญแก่การแจ้งความคืบหน้าการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และเร่งรัดการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมภายในระยะเวลาที่เหมาะสม รวมทั้งให้ชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนผู้เกี่ยวข้องในประเด็นข้อสงสัยหรือข้อขัดข้องที่ทำให้ยังไม่สามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาใด ๆ ให้เสร็จสิ้นได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
254 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 24/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการด้านสังคม ดังนี้
๑. ตามที่ได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) ร่วมกับสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ และกระทรวงมหาดไทยพิจารณาความเป็นไปได้ในการสนับสนุนงบประมาณของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองให้แก่ชุมชนที่เสนอโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานทดแทน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดความเหลื่อมล้ำของประชาชนในพื้นที่ห่างไกลได้มีไฟฟ้าใช้ โดยให้นำกลไกประชารัฐมาสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าวด้วย นั้น ให้กระทรวงพลังงานรับไปประสานงานกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อกำกับดูแลการดำเนินการติดตั้งระบบพลังงานทดแทนจาก Solar Cell ในครัวเรือนของประชาชน รวมทั้งการจำหน่ายพลังงานไฟฟ้าของครัวเรือนเข้าสู่ระบบไฟฟ้าส่วนกลางให้เหมาะสม ถูกต้อง เป็นไปตามระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ตามที่ได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๘ ให้ทุกส่วนราชการประชาสัมพันธ์และสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อนยื่นข้อร้องเรียนหรือร้องทุกข์ที่ศูนย์ดำรงธรรมของทุกส่วนราชการและทุกจังหวัด โดยสร้างความเชื่อมั่นในการดำเนินการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้แก่ประชาชน รวมถึงติดตามให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้มีการร้องทุกข์หรือร้องเรียน ณ ที่อื่น ๆ ด้วย นั้น ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับติดตามการดำเนินการกรณีที่ประชาชนให้ข้อมูลหรือมีข้อร้องเรียนผ่านศูนย์ดำรงธรรม หรือกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร โดยให้ประชาชนสามารถแจ้งเรื่องร้องเรียนได้ทุกประเด็น รวมถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตของข้าราชการด้วย ทั้งนี้ ให้มีมาตรการในการคุ้มครองและปกปิดข้อมูลของผู้ร้องเรียนให้เป็นความลับ เพื่อความปลอดภัยของข้อมูลประชาชนผู้ร้องเรียนอย่างเคร่งครัดด้วย ๓. ตามที่ได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๐ ให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการปฏิรูปการศึกษาให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๖๐ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ของนักเรียน นักศึกษาในแต่ละระดับ่ให้สอดรับกับยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ ๒๐ ปีข้างหน้า เช่น การเน้นการจัดการสะเต็มศึกษา (STEM Education) และความรู้ด้านภาษาอังกฤษ นั้น ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ๓.๑ ให้กระทรวงกลาโหมเร่งดำเนินการให้โรงเรียนต่าง ๆ ในสังกัดกระทรวงกลาโหมจัดให้มีการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษตั้งแต่ในระดับปฐมวัย เพื่อให้เด็กนักเรียนมีความคุ้นเคยและมีความสามารถใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันได้ตั้งแต่เด็กและพัฒนาต่อยอดต่อไปเมื่อเติบโตขึ้น และได้เล่าเรียนในระดับสูงขึ้นไปตามลำดับ ทั้งนี้ ให้กระทรวงกลาโหมเร่งดำเนินการในโรงเรียนที่มีความพร้อมเป็นลำดับแรกเพื่อให้เป็นโรงเรียนต้นแบบนำร่องก่อน โดยอาจพิจารณาดำเนินการจัดการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษในวิชาต่าง ๆ ๑ ห้องเรียนในปีการศึกษา ๒๕๖๑ และให้รายงานผลต่อนายกรัฐมนตรีโดยเร็วด้วย ๓.๒ ให้กระทรวงศึกษาธิการรับไปดำเนินการให้โรงเรียนในสังกัดจัดการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษให้แก่เด็กตั้งแต่ระดับปฐมวัยเช่นเดียวกับที่ให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการตามข้อ ๓.๑ ทั้งนี้ ให้พิจารณานำแนวทางการจัดการเรียนการสอนวิชานี้ของต่างประเทศที่ดำเนินการแล้วได้ผลดีเป็นที่ประจักษ์มาประยุกต์ให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพด้วย เช่น กรณีของประเทศภูฏาน เป็นต้น ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๖๑ และให้มีการประเมินผลในปีการศึกษาต่อไปด้วย ๔. ตามที่ได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ให้ทุกส่วนราชการพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการให้ข้าราชการในสังกัดทุกระดับ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาลอย่างถูกต้อง ชัดเจน และสามารถนำนโยบายไปขับเคลื่อนได้อย่างเป็นรูปธรรมและเกิดผลสัมฤทธิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องประเทศไทย ๔.๐ และเศรษฐกิจดิจิทัล รวมทั้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอดำเนินการส่งเสริมให้ประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบได้ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลให้มากขึ้นด้วย นั้น ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักในการประสานงานและเร่งรัดการดำเนินการสร้างการรับรู้ให้ประชาชนในท้องถิ่นมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเป็นประเทศไทย ๔.๐ รวมถึงนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วด้วย โดยให้แต่ละกระทรวงส่งเนื้อหาข้อมูลการดำเนินนโยบายสำคัญของรัฐบาลให้เป็นภาษาที่กระชับ เข้าใจง่าย และมีข้อมูลช่องทางการติดต่อกับส่วนราชการที่ชัดเจนให้กระทรวงมหาดไทย ทั้งนี้ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดบูรณาการการทำงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการสร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนด้วย ๕. ตามที่ได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๑ และ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) กำกับให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ร่วมกับกระทรวงกลาโหมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการดำเนินการเพื่อเร่งแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างต่อเนื่อง โดยใช้การเจรจาประนอมหนี้หรือลดหนี้ เปลี่ยนหนี้นอกระบบเป็นหนี้ในระบบ และให้มีมาตรการดูแลเพื่อไม่ให้เกิดหนี้นอกระบบขึ้นอีกในระยะยาว รวมทั้งให้เร่งแก้ไขปัญหาและปราบปรามผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ โดยให้ประสานงานกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำบัญชีสถานภาพหนี้ โดยมีข้อมูลต่าง ๆ ที่สำคัญให้ชัดเจนด้วย เช่น แหล่งที่มาของหนี้ ข้อมูลเจ้าหนี้/ลูกหนี้ จำนวนหนี้ที่เกิดขึ้น เป็นต้น เพื่อใช้ประโยชน์ในการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานต่อไป นั้น ให้ กอ.รมน. ร่วมกับกระทรวงกลาโหมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งขับเคลื่อนการดำเนินการดังกล่าวอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง รวมทั้งให้กำชับ ติดตาม และตรวจสอบเจ้าหน้าที่ของรัฐในทุกหน่วยงานไม่ให้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำผิดหรือปล่อยปละละเลยในการปฏิบัติหน้าที่ทำให้มีการปล่อยกู้นอกระบบด้วย ๖. ตามที่ได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๐ และ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๐ ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งกำกับให้สถาบันอาชีวศึกษาทุกจังหวัดทั่วประเทศจัดหลักสูตรการฝึกอบรมวิชาชีพและช่างฝีมือในสาขาต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับความต้องการแรงงานในแต่ละพื้นที่ และให้ครอบคลุมถึงการกำหนดหลักสูตรการศึกษาอบรมของสถาบันอุดมศึกษาต่าง ๆ ด้วย เพื่อพัฒนาทักษะฝีมือแรงานให้แก่ผู้ที่ไม่มีวุฒิการศึกษา ซึ่งจะทำให้เกิดการจ้างงานและเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อยในพื้นที่ รวมทั้งให้จัดทำบัญชีรายชื่อผู้ที่เข้ารับการฝึกอบรมเพื่อสร้างเครือข่ายและต่อยอดการพัฒนาฝีมือในอนาคตต่อไปด้วย นั้น ให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว โดยให้ขยายกลุ่มเป้าหมายให้ครอบคลุมถึงผู้มีรายได้น้อยที่ไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเองด้วย และให้รายงานผลการดำเนินการต่อนายกรัฐมนตรีโดยเร็วด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
255 | มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 10 พ.ศ. 2560 | สช | 17/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๑๐ พ.ศ. ๒๕๖๐ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามมติฯ ซึ่งประกอบด้วย ๔ เรื่อง ได้แก่ (๑) การส่งเสริมให้คนไทยทุกช่วงวัยมีกิจกรรมทางกายเพิ่มขึ้น (๒) การพัฒนาพื้นที่เล่นสร้างเสริมสุขภาวะของเด็กปฐมวัยและวัยประถมศึกษา (๓) ชุมชนเป็นศูนย์กลางในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด และ (๔) การจัดการขยะมูลฝอยในชุมชนแบบมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืน โดยมติฯ ทั้ง ๔ เรื่องดังกล่าวได้ขอให้ทุกภาคส่วนในสังคม ได้แก่ รัฐบาล หน่วยราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงาน องค์กรภาคีต่าง ๆ ทั้งธุรกิจเอกชน องค์กรเอกชน ประชาสังคม องค์กรวิชาชีพ สถาบันวิชาการ และสมาชิกสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ตลอดจนประชาชนทุกภาคส่วนร่วมกันขับเคลื่อนให้เกิดการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งให้มีการติดตามผลการดำเนินการมาเสนอต่อสมัชชาสุขภาพแห่งชาติในคราวต่อ ๆ ไป และเสนอต่อสาธารณะต่อไปด้วย ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) ประธานกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น เห็นควรให้หน่วยงานทุกภาคส่วนสนับสนุนมติดังกล่าวเพื่อสานพลังให้เกิดการขับเคลื่อนสู่รูปธรรมและประชาชนมีสุขภาพดีถ้วนหน้าอย่างยั่งยืน และเห็นควรให้สร้างความรู้ความเข้าใจถึงความหมายของกิจกรรมทางกายและพื้นที่เล่นแก่ประชาชนอย่างทั่วถึง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
256 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 10/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านการต่างประเทศ ให้กระทรวงกลาโหมพิจารณาแนวทางการจัดทำความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศกับราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดนในเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายมีความพร้อมและอยู่ในความสนใจร่วมกัน เช่น การปรับปรุงเครื่องยนต์สำหรับการผลิตยุทโธปกรณ์และยานรบ เป็นต้น ทั้งนี้ ในการจัดทำความร่วมมือดังกล่าวให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบหลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. ด้านสังคม ๒.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๑ ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการดำเนินโครงการอาหารกลางวัน โดยส่งเสริมให้มีการทำการเกษตรชุมชนเพื่อนำผลผลิตมาบริโภคเป็นอาหารกลางวันในโรงเรียนเสริมจากงบประมาณที่รัฐได้จัดสรรให้ด้วย นั้น จากการเดินทางไปตรวจราชการ ณ จังหวัดระยอง พบว่า โรงเรียนวัดเกาะได้มีการจัดการเรียนการสอนให้นักเรียนทำการเกษตรแบบผสมผสานและนำผลผลิตมาประกอบเป็นอาหารกลางวันให้กับนักเรียนและส่งจำหน่ายด้วย ทำให้นักเรียนได้รับประทานอาหารกลางวันที่มีคุณภาพ ถูกหลักโภชนาการ โดยสามารถจัดหาวัตถุดิบสำหรับประกอบอาหารกลางวันเพิ่มเติมจากงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรได้อย่างเหมาะสม จึงขอให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแนวทางของโรงเรียนดังกล่าวไปเป็นต้นแบบขยายผลให้โรงเรียน/สถาบันการศึกษาอื่น ๆ ในสังกัดนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น เร่งส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับการทำการเกษตรในลักษณะต่าง ๆ เช่น เกษตรแบบผสมผสาน เกษตรอินทรีย์ Smart Farmer เป็นต้น ให้แพร่หลายมากยิ่งขึ้นด้วย ๒.๒ ให้กระทรวงวัฒนธรรมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ เป็นต้น ดำเนินการส่งเสริมและสร้างการรับรู้เกี่ยวกับเอกลักษณ์ สถานที่สำคัญ เกร็ดความรู้ หรือเรื่องราวที่น่าสนใจของแต่ละจังหวัดผ่านสื่อในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งที่ทำเป็นเอกสารและสื่ออิเล็กทรอนิกส์ แล้วให้นำไปเผยแพร่ในแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ให้ทั่วถึง เช่น โรงเรียน/สถาบันการศึกษา วัด ห้องสมุดประชาชน เป็นต้น เพื่อสร้างการรับรู้และปลูกฝังให้ประชาชนเกิดความภาคภูมิใจในท้องถิ่นของตน รวมทั้งเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้และการท่องเที่ยวด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งเสริมให้มีการจัดตั้งห้องสมุดประชาชนในท้องถิ่นต่าง ๆ ทั่วประเทศให้มากขึ้นเพื่อให้เป็นแหล่งเผยแพร่ข้อมูลความรู้สำหรับชุมชนต่อไปด้วย ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๙ วันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๖๐ และวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๐ เกี่ยวกับการกำหนดมาตรการในการกำจัดขยะมูลฝอยให้สอดคล้องกับแนวทางประชารัฐ นั้น ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอยทั้งระบบให้เกิดผลเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนโดยเร็ว และให้เร่งจัดตั้งศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยแบบครบวงจรในทุกกลุ่มพื้นที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีการรวมกลุ่มเพื่อกำจัดขยะมูลฝอย (Cluster) ทั่วประเทศ (จำนวน ๓๒๔ กลุ่ม) ให้แล้วเสร็จภายใน ๑ เดือน โดยให้พิจารณาขนาดและที่ตั้งให้เหมาะสมกับสภาพของแต่ละพื้นที่ โดยคำนึงถึงสภาพแวดล้อมเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบหลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๓.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงกลาโหม กระทรวงคมนาคม เป็นต้น รายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับสถานการณ์เรือนักท่องเที่ยวล่มที่จังหวัดภูเก็ตต่อนายกรัฐมนตรี โดยให้บันทึกข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ชัดเจน ผ่านศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี (Prime Minister Operation Center : PMOC) เป็นประจำทุกวัน เช่น จำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บ จำนวนผู้เสียชีวิต การพิสูจน์สัญชาติ การดูแลให้ความช่วยเหลือเยียวยา สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่ให้แก่นักท่องเที่ยวที่ประสบเหตุ เป็นต้น ๓.๓ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นต้น ดำเนินการตรวจสอบพื้นที่/สถานที่ต่าง ๆ ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติทั่วประเทศ เช่น ถ้ำ น้ำตก เป็นต้น ให้ครบถ้วน และเร่งดำเนินการปรับปรุงและพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามและมีความปลอดภัย โดยให้กำหนดมาตรการด้านความปลอดภัยที่ชัดเจนและเผยแพร่ให้นักท่องเที่ยวทราบอย่างทั่วถึงด้วย ๓.๔ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) เป็นเจ้าภาพรับผิดชอบเกี่ยวกับการพัฒนาคูคลองเพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจ โดยให้ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาคัดเลือกคูคลองที่มีศักยภาพที่สามารถพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจได้ นั้น ให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาดำเนินการพัฒนาคูคลองเพิ่มเติมในทุกจังหวัดอย่างน้อย ๑ คลอง ๑ จังหวัด ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว/พักผ่อนที่สะดวกและสะอาด ให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๑ ๓.๕ ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐให้ความสำคัญ เร่งรัด ขับเคลื่อน และติดตามการดำเนินการเรื่องต่าง ๆ ตามนโยบายรัฐบาลที่อยู่ในความรับผิดชอบของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐนั้น ๆ ให้มีความคืบหน้าและเกิดผลเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนภายในปี ๒๕๖๑ เช่น (๑) การดำเนินการตามประเด็นปฏิรูปตามรัฐธรรมนูญ เช่น การปฏิรูปการศึกษา การปฏิรูปตำรวจ เป็นต้น (๒) การปฏิรูประบบราชการที่ครอบคลุมทุกด้าน ทั้งการสรรหา บรรจุ แต่งตั้ง ปรับย้าย สิทธิประโยชน์ อัตรากำลัง ตลอดจนการจ้างงานในลักษณะชั่วคราว (Ad-hoc) (๓) การบริหารจัดการภัยพิบัติที่ต้องบูรณาการร่วมกันระหว่างทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) และศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี (Prime Minister Operation Center : PMOC) โดยให้มีการจัดตั้งศูนย์อำนวยการกลางเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักด้วย (๔) การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำระยะสั้น (๑-๒ ปี) การจัดที่ดินทำกิน การเพาะปลูกพืช โดยต้องมีการบริหารจัดการที่สอดคล้องกับระบบแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri-Map) ด้วย (๕) การบริหารจัดการขยะทั่วประเทศ (๖) การติดตามความคืบหน้าการดำเนินโครงการต่าง ๆ ทั้งที่เป็นโครงการมาจากการลงพื้นที่ตรวจราชการของคณะรัฐมนตรี และโครงการที่ใช้งบประมาณเป็นจำนวนมาก (๗) การพัฒนากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับส่วนราชการระดับท้องถิ่น รวมทั้งการกำหนดขอบเขตอำนาจหน้าที่ในการบริหารจัดการเรื่องต่าง ๆ ของท้องถิ่นที่สมควรกำหนดให้เป็นอำนาจของส่วนท้องถิ่นที่จะสามารถดำเนินการได้เองตามความเหมาะสมและที่สมควรกำหนดให้เป็นอำนาจของส่วนกลางในการดำเนินการ (๘) การผลิตและพัฒนาทรัพยากรบุคคลในด้านต่าง ๆ ที่มีประสิทธิภาพให้รองรับและสอดคล้องกับความต้องการของประเทศ เช่น ด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เป็นต้น (๙) การเตรียมการเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ โดยพิจารณากำหนดแนวทางการจัดให้มีอาชีพเสริมให้แก่ผู้สูงอายุเพื่อให้มีรายได้ในการดำรงชีวิตที่ดีได้ (๑๐) การประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการต่าง ๆ เช่น วิสาหกิจตั้งต้น (Start up) วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ทั้งในเรื่องเงินทุน ความรู้ และเทคโนโลยี (๑๑) การกำกับดูแลหน่วยงาน/องค์กรที่กำกับดูแลระบบสาธารณูปโภคและระบบคมนาคมขนส่งไม่ให้เกิดข้อติดขัด เช่น การเดินรถไฟฟ้าเฉลิมพระเกียรติ ๖ รอบพระชนมพรรษา (รถไฟฟ้า BTS) เป็นต้น และ (๑๒) การแก้ไขปัญหาและพัฒนาระบบสหกรณ์ โดยเฉพาะสหกรณ์การเกษตรให้มีความเข้มแข็งสามารถเป็นศูนย์รวมสินค้าและผลผลิตทางการเกษตรที่มีคุณภาพ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
257 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. .... | สว | 05/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. .... โดยกระทรวงการคลังได้มีการเตรียมความพร้อมในการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกำหนดกรอบระยะเวลา เพื่อรองรับการดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลัง และได้นำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการปฏิบัติงานด้านต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ส่วนการกันเงินรายได้เพื่อให้หน่วยงานของรัฐนำไปใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ของหน่วยงานนั้น กระทรวงการคลังจะได้ร่วมกับหน่วยงานที่เสนอร่างกฎหมายพิจารณากำหนดจำนวนเงินสูงสุดในการกันเงินรายได้ไว้ในร่างกฎหมายที่จะมีการดำเนินการหลังร่างพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. .... มีผลบังคับใช้ สำหรับหลักเกณฑ์ในการกำหนดจำนวนเงินสะสมสูงสุดสำหรับทุนหมุนเวียนต่าง ๆ ต่อคณะรัฐมนตรี กระทรวงการคลังได้มีการออกพระราชกฤษฎีกาการกำหนดจำนวนเงินสะสมสูงสุดและการนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๖๑ แล้ว นอกจากนี้ การเสนองบประมาณรายจ่ายต่อฝ่ายนิติบัญญัติจะต้องดำเนินการภายใต้พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ ซึ่งกำหนดให้ฝ่ายบริหารต้องมีการจัดทำข้อมูลการคลังด้านต่าง ๆ และคำอธิบายเกี่ยวกับหนี้ของรัฐบาลทั้งที่มีอยู่แล้วในปัจจุบันและที่เสนอขอกู้เพิ่มเติม ดังนั้น เอกสารประกอบงบประมาณที่เสนอต่อฝ่ายนิติบัญญัติ จึงครอบคลุมรายละเอียดข้อมูลการกู้เงินและการค้ำประกันของรัฐบาล การชำระหนี้ ตลอดจนสถานะหนี้สาธารณะในภาพรวม เพื่อประกอบการพิจารณากลั่นกรองในการอนุมัติงบประมาณรายจ่าย รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีการกู้เงินจะต้องชำระหนี้เงินกู้ตามกำหนดเวลาโดยเคร่งครัด และต้องจัดให้มีการกำกับดูแลการชำระหนี้ โดยกระจายภาระการชำระหนี้และคำนึงถึงต้นทุนในการชำระหนี้ เพื่อไม่ให้กระทบกับความสามารถในการดำเนินการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
258 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | นร01 | 22/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นจากประชาชน ไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยสถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นของประชาชนที่ยื่นเรื่องผ่านช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รวมทั้งสิ้น ๓๕,๓๗๓ ครั้ง รวมจำนวน ๑๙,๙๒๒ เรื่อง โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์/เสนอความคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ เหตุเดือดร้อนรำคาญ รองลงมาคือ การเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐในประเด็นที่หลากหลาย บ่อนการพนัน ไฟฟ้า และยาเสพติด ตามลำดับ ทั้งนี้ สามารถดำเนินการจนได้ข้อยุติ จำนวน ๑๗,๓๖๖ เรื่อง คิดเป็นร้อยละ ๘๗.๑๗ และอยู่ระหว่างการดำเนินการของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๒,๕๕๖ เรื่อง คิดเป็นร้อยละ ๑๒.๘๓ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ๒. ให้ทุกส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ความสำคัญแก่การแจ้งความคืบหน้าการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และเร่งรัดการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมภายในระยะเวลาที่เหมาะสม รวมทั้งให้ชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนผู้เกี่ยวข้องในประเด็นข้อสงสัยหรือข้อขัดข้องที่ทำให้ยังไม่สามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาใด ๆ ให้เสร็จสิ้นได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
259 | ร่างกฎกระทรวงการจัดเก็บข้อมูลของสัตว์ที่เข้าสู่โรงฆ่าสัตว์ และเนื้อสัตว์ที่ออกจากโรงฆ่าสัตว์ พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดชนิดของสัตว์ พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวงกำหนดชนิดของสัตว์ พ.ศ. ....) | กษ | 15/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการจัดเก็บข้อมูลของสัตว์ที่เข้าสู่โรงฆ่าสัตว์ และเนื้อสัตว์ที่ออกจากโรงฆ่าสัตว์ พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดชนิดของสัตว์ พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์การจัดเก็บข้อมูลของสัตว์ที่เข้าสู่โรงฆ่าสัตว์และเนื้อสัตว์ที่ออกจากโรงฆ่าสัตว์ เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบย้อนกลับและเรียกคืนเนื้อสัตว์ และกำหนดชนิดของสัตว์ ได้แก่ ไก่งวงและนกกระทาให้เป็นสัตว์ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลตามมาตรการตรวจสอบควบคุมเพื่อป้องกันมิให้มีโรคระบาดที่เกิดกับสัตว์ติดต่อมาสู่คน และตรวจสอบสารตกค้างในเนื้อสัตว์เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติควบคุมการฆ่าสัตว์เพื่อการจำหน่ายเนื้อสัตว์ พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูลของสัตว์ที่เข้าสู่โรงฆ่าสัตว์ และเนื้อสัตว์ที่ออกจากโรงฆ่าสัตว์ควรกำหนดให้ชัดเจนว่า จัดเก็บเฉพาะกรณีโรงฆ่าสัตว์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเท่านั้น ไม่รวมโรงฆ่าสัตว์ของเอกชน เพื่อเป็นการลดภาระด้านการจัดเก็บเอกสารและงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และในการกำหนดให้ ไก่งวง และนกกระทาเป็นสัตว์อื่น ควรพิจารณาว่าจะให้มีการยกเว้นการจัดเก็บอากรฆ่าสัตว์ด้วยหรือไม่ รวมทั้งควรเพิ่มเรื่องการเก็บข้อมูลการขนส่งซากสัตว์และเนื้อสัตว์จากโรงฆ่าสัตว์ไปถึงปลายทาง ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดมาตรการเพื่อกำกับดูแลด้านสุขลักษณะตลอดกระบวนการการผลิตและการจำหน่ายไก่งวงและนกกระทาเพื่อสุขอนามัยและความปลอดภัยของประชาชนผู้บริโภค โดยเตรียมการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่วงและนกกระทา และผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงก่อนกฎกระทรวงมีผลบังคับใช้ รวมทั้งอาจพิจารณามาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาและปรับปรุงระบบการเลี้ยงไก่งวงและนกกระทา ตลอดจนกระบวนการฆ่าและชำแหละ และการจำหน่ายให้เข้าสู่เกณฑ์มาตรฐานด้วยอีกทางหนึ่ง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. รับทราบรายงานเหตุผลความจำเป็นในการดำเนินการร่างกฎกระทรวง รวม ๒ ฉบับ ในเรื่องนี้ไม่ทันเวลาที่กฎหมายกำหนด ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
260 | ร่างกฎกระทรวงการจัดเก็บข้อมูลของสัตว์ที่เข้าสู่โรงฆ่าสัตว์ และเนื้อสัตว์ที่ออกจากโรงฆ่าสัตว์ พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดชนิดของสัตว์ พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวงการจัดเก็บข้อมูลของสัตว์ที่เข้าสู่โรงฆ่าสัตว์ และเนื้อสัตว์ที่ออกจากโรงฆ่าสัตว์ พ.ศ. ....) | กษ | 15/05/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการจัดเก็บข้อมูลของสัตว์ที่เข้าสู่โรงฆ่าสัตว์ และเนื้อสัตว์ที่ออกจากโรงฆ่าสัตว์ พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดชนิดของสัตว์ พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์การจัดเก็บข้อมูลของสัตว์ที่เข้าสู่โรงฆ่าสัตว์และเนื้อสัตว์ที่ออกจากโรงฆ่าสัตว์ เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบย้อนกลับและเรียกคืนเนื้อสัตว์ และกำหนดชนิดของสัตว์ ได้แก่ ไก่งวงและนกกระทาให้เป็นสัตว์ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลตามมาตรการตรวจสอบควบคุมเพื่อป้องกันมิให้มีโรคระบาดที่เกิดกับสัตว์ติดต่อมาสู่คน และตรวจสอบสารตกค้างในเนื้อสัตว์เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติควบคุมการฆ่าสัตว์เพื่อการจำหน่ายเนื้อสัตว์ พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการจัดเก็บข้อมูลของสัตว์ที่เข้าสู่โรงฆ่าสัตว์ และเนื้อสัตว์ที่ออกจากโรงฆ่าสัตว์ควรกำหนดให้ชัดเจนว่า จัดเก็บเฉพาะกรณีโรงฆ่าสัตว์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเท่านั้น ไม่รวมโรงฆ่าสัตว์ของเอกชน เพื่อเป็นการลดภาระด้านการจัดเก็บเอกสารและงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และในการกำหนดให้ ไก่งวง และนกกระทาเป็นสัตว์อื่น ควรพิจารณาว่าจะให้มีการยกเว้นการจัดเก็บอากรฆ่าสัตว์ด้วยหรือไม่ รวมทั้งควรเพิ่มเรื่องการเก็บข้อมูลการขนส่งซากสัตว์และเนื้อสัตว์จากโรงฆ่าสัตว์ไปถึงปลายทาง ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดมาตรการเพื่อกำกับดูแลด้านสุขลักษณะตลอดกระบวนการการผลิตและการจำหน่ายไก่งวงและนกกระทาเพื่อสุขอนามัยและความปลอดภัยของประชาชนผู้บริโภค โดยเตรียมการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่วงและนกกระทา และผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงก่อนกฎกระทรวงมีผลบังคับใช้ รวมทั้งอาจพิจารณามาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาและปรับปรุงระบบการเลี้ยงไก่งวงและนกกระทา ตลอดจนกระบวนการฆ่าและชำแหละ และการจำหน่ายให้เข้าสู่เกณฑ์มาตรฐานด้วยอีกทางหนึ่ง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. รับทราบรายงานเหตุผลความจำเป็นในการดำเนินการร่างกฎกระทรวง รวม ๒ ฉบับ ในเรื่องนี้ไม่ทันเวลาที่กฎหมายกำหนด ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
.....