ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 2 จากทั้งหมด 566 หน้า แสดงรายการที่ 21 - 40 จากข้อมูลทั้งหมด 11307 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
21 | การปรับขยายเพดานอัตราเงินเดือนขั้นสูงสุดของบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด | ดศ. | 01/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับขยายเพดานอัตราค่าจ้างขั้นสูงของพนักงานบริษัท
ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท.) ตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์
(ครรส.) ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๗ เมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๖๗ และความเห็นของสำนักงาน
ก.พ. โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑ กรกฎาคม ๒๕๖๘) เห็นชอบ ดังนี้ ๑)
ระดับ ๑๒ จากอัตรา ๑๑๓,๕๒๐ บาท ขยายเป็นอัตรา ๑๔๒,๘๓๐ บาท ๒) ระดับ ๑๑ จากอัตรา ๑๐๘,๘๑๐ บาท
ขยายเป็นอัตรา ๑๓๓,๗๗๐ บาท และ ๓) ระดับ ๑๐ จากอัตรา ๑๐๔,๓๑๐ บาท ขยายเป็นอัตรา ๑๒๔,๗๗๐ บาท เพื่อให้การปรับปรุงบัญชีโครงสร้างอัตราเงินเดือนค่าจ้างพนักงาน
ปณท เป็นไปตามมาตรา ๑๓ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ.
๒๕๔๓ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและบริษัท
ไปรษณีย์ไทย จำกัด รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงาน ก.พ.ร.
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น สำนักงบประมาณ เห็นควรพิจารณาค่าใช้จ่ายบุคลากรให้มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ
โดยคำนึงถึงสถานะทางการเงินและผลดำเนินงานของหน่วยงานอย่างรอบคอบ มีการจัดทำแผนเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานหรือเพิ่มรายได้อย่างต่อเนื่อง
รวมทั้งแผนบริหารความเสี่ยง เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในทุกมิติ
เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อภาระงบประมาณและเงินนำส่งรายได้แผ่นดิน รวมถึงฐานะทางการเงินในอนาคต
โดยคำนึงถึงหลักความคุ้มค่าและประหยัดในการใช้จ่ายงบประมาณพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ อย่างเคร่งครัดด้วย สำนักงาน ก.พ.ร. เห็นว่า
เพื่อให้การขยายเพดานอัตราเงินเดือนครั้งนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐในภาพรวม
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมควรกำกับให้บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด
ปฏิบัติตามแผนการจัดหารายได้ แผนการประหยัดค่าใช้จ่าย
และแผนการบริหารความเสี่ยงทางการเงินจากการปรับปรุงอัตราเงินเดือนของพนักงานอย่างเคร่งครัด
และกำหนดตัวชี้วัดเพื่อติดตามประเมินผลสำเร็จของแผนดังกล่าว เช่น
กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพ
และสามารถเพิ่มรายได้เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
22 | การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยและข้าวที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการบริหารจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ภาคการเกษตร | สภช. | 01/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบข้อเสนอเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยและข้าวที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเผาในพื้นที่เกษตรกรรมของสภาเกษตรกรแห่งชาติ
ประกอบด้วย (๑) มาตรการระยะสั้น ได้แก่ ๑) ขอให้คณะรัฐมนตรีสั่งการให้มีคณะกรรมการกลไกกลางในระดับชาติออกกฎหมาย
หรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง ๒) ขอให้คณะรัฐมนตรีสั่งการให้คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายพิจารณาสัดส่วนอ้อยสดและอ้อยเผาที่จะเข้าโรงงาน
จากเดิมร้อยละ ๒๕ เป็นร้อยละ ๓๐ หรือยกเลิกสัดส่วนดังกล่าว และ ๓)
ขอให้คณะรัฐมนตรีสั่งการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ปรับลดระยะเวลาตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เรื่อง มาตรการบริหารจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ภาคการเกษตร
จากเดิม ที่กำหนดตั้งแต่วันที่ ๑๗ มกราคม ถึงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๘ เป็น
ตั้งแต่วันที่ ๑๗ มกราคม ถึงวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๖๘ และ (๒) มาตรการระยะยาว ได้แก่ ๑)
ให้คณะรัฐมนตรีสั่งการให้มีคณะกรรมการกลางที่บูรณาการหน่วยงานระดับกระทรวงที่เกี่ยวข้อง
และ ๒) ขอให้คณะรัฐมนตรีสั่งการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์บริหารจัดการน้ำในพื้นที่ในเขตชลประทานอย่างเพียงพอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะกรรมการอำนวยการเพื่อการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอฯ ของสภาเกษตรกรแห่งชาติเฉพาะในส่วนของมาตรการระยะยาว รวมทั้งความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการ ตามหน้าที่และอำนาจให้ถูกต้องและเหมาะสมต่อไป
เช่น กระทรวงพาณิชย์
เห็นควรให้คงสัดส่วนอ้อยเผาที่จะเข้าโรงงานตามเดิมที่ร้อยละ ๒๕ และเพื่อให้การบริหารจัดการการตัดอ้อยสดลดการเผาอ้อย
และการแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่น PM2.5 เป็นไปอย่างยั่งยืน
เกษตรกรชาวไร่อ้อยควรดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๗ มกราคม ๒๕๖๘ (ตามข้อ
๔.๗) ที่ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งกำหนดมาตรการเพิ่มเติม เพื่อให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายงดการรับซื้ออ้อยเผาอย่างเด็ดขาด
รวมทั้งกำกับดูแลโรงงานผลิตน้ำตาลในการงดรับซื้ออ้อยเผา
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
23 | มาตรการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรบริเวณชายแดน | นร. | 01/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า
จากการลงพื้นที่ตรวจราชการในหลายจังหวัด รวมทั้งได้รับรายงานจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วยว่า
ปัจจุบันมีปัญหาการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรหลายชนิดบริเวณชายแดนในหลายพื้นที่
ส่งผลให้ระดับราคาพืชผลทางการเกษตรในประเทศตกต่ำและจำเป็นต้องแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วนเพื่อรักษาเสถียรภาพของราคาสินค้าเกษตรภายในประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
จึงขอมอบหมายการดำเนินการ ดังนี้ ๑. ให้กระทรวงการคลัง
(กรมศุลกากร)
กำชับให้ด่านศุลกากรทุกแห่งยกระดับมาตรฐานการดำเนินการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรบริเวณชายแดนให้เข้มงวดมากยิ่งขึ้น
รวมทั้งให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานตามหน้าที่และอำนาจให้ถูกต้อง ละเอียดรอบคอบ
เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
ทั้งนี้ ให้เพิ่มมาตรการเชิงรุกโดยการลาดตระเวนและตรวจสอบพื้นที่ในความรับผิดชอบที่อาจถูกใช้เป็นสถานที่จัดเก็บสินค้าเกษตรที่ลักลอบนำเข้ามาดังกล่าว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณชายแดนที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้าน ให้มากขึ้นด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลัง
(กรมศุลกากร) เร่งจัดตั้งกลไกในการประสานงานและแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการนำเข้า
การส่งออก และการนำผ่าน
เพื่อแจ้งเบาะแสการกระทำความผิดระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงอุตสาหกรรม กลุ่มผู้ผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรต่าง ๆ เพื่อให้สามารถดำเนินมาตรการป้องกันและปราบปรามการนำเข้าและส่งออกสินค้าเกษตรที่ผิดกฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ๓.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานงานกับกระทรวงพาณิชย์ในการพิจารณากำหนดโควตา การนำเข้าสินค้าเกษตร
เพื่อควบคุมปริมาณสินค้าเกษตรที่นำเข้าจากต่างประเทศและปกป้องราคาพืชผลทางการเกษตรในประเทศ
ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
โดยไม่ให้ขัดต่อพันธกรณีของไทยภายใต้กรอบความตกลงขององค์การการค้าโลก (WTO) รวมถึงองค์การระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องด้วย ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดดำเนินการวิจัยและพัฒนาพันธุ์พืชที่ต้านทานโรคได้ดี
เช่น มันสำปะหลัง เพื่อปรับปรุงการเพาะปลูกพืชผลทางการเกษตรของไทยให้มีคุณภาพและมีผลผลิตต่อไร่สูงมากขึ้น
รวมทั้งให้จัดทำแผนการจัดหาต้นพันธุ์มันสำปะหลังให้เพียงพอต่อความต้องการของเกษตรกรในประเทศด้วย
แล้วให้รายงานผลการดำเนินการต่อนายกรัฐมนตรีภายใน ๑ เดือน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
24 | การผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมาซึ่งได้รับการขยายระยะเวลาการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวและทำงานต่อไป | รง. | 01/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้เลื่อนการพิจารณาเรื่องนี้ออกไปก่อน |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
25 | การดำเนินการเพื่อบริจาคเงินเพิ่มทุนในกองทุนพัฒนาเอเชีย 14 | กค. | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างเอกสารยืนยันการบริจาคเงิน [Instrument of Contribution (IOC)] สำหรับการบริจาคเงินเพิ่มทุนในกองทุนพัฒนาเอเชีย
๑๔ [Asian Development Fund 14 (ADF
14)] ของประเทศไทย และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังลงนามในร่าง IOC
เพื่อยืนยันการบริจาคเงินเพิ่มทุนในกองทุน ADF 14 ของประเทศไทย ซึ่งเป็นการรักษาจุดยืนของประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศในฐานะการมีบทบาทเป็นประเทศผู้นำในการให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนแก่ประเทศกำลังพัฒนาที่มีฐานะยากจน
รวมถึงแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารยืนยันการบริจาคเงินในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการคลังดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ และในปีต่อ ๆ ไป
ให้กระทรวงการคลัง (สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง)
ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
26 | การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานทดแทนด้วยมาตรการทางภาษี | พน. | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานทดแทนด้วยมาตรการทางภาษี
และมอบหมายให้กระทรวงพลังงาน โดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานและกระทรวงการคลังร่วมกันพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับมาตรการดังกล่าวตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเร็วต่อไป
รวมทั้งมอบหมายให้กระทรวงพลังงาน (กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการดำเนินการและติดตามประเมินผลมาตรการดังกล่าว
เพื่อให้บรรลุผลสัมฤทธิ์โดยเร็วต่อไป ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ให้กระทรวงพลังงาน
(กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เห็นควรขยายการให้สิทธิครอบคลุมเกษตรกรซึ่งเป็นผู้ใช้ไฟประเภทที่ ๗ “กิจการสูบน้ำเพื่อการเกษตร”
เพื่อลดต้นทุนการผลิตสินค้าเกษตร
สร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยท่ามกลางกระแสความตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อมของผู้บริโภค
รวมทั้งเพื่อให้การดำเนินกิจกรรมการเกษตรมีส่วนร่วมในการบรรลุเป้าหมาย
การลดก๊าซเรือนกระจกตามเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนดที่ร้อยละ ๓๐ -
๔๐ ในปี ค.ศ. ๒๐๓๐
และยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำของประเทศที่มีเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน
ในปี ค.ศ. ๒๐๕๐ และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ในปี ค.ศ. ๒๐๖๕ กระทรวงมหาดไทย เห็นควรจัดทำคู่มือหรือจัดให้มีบริการให้คำปรึกษาขั้นตอนการยื่นเอกสารหรือการขอรับรองอุปกรณ์
เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถปฏิบัติตามมาตรการฯ ได้ง่ายขึ้น และลดขั้นตอนการดำเนินงานบางขั้นตอนที่มีความซับซ้อนและใช้เวลานาน
และควรมีการสนับสนุนทางการเงินเพิ่มเติมสำหรับกลุ่มที่มีข้อจำกัดด้านการเงิน
เพื่อช่วยลดอุปสรรคด้านต้นทุนเริ่มต้น และให้ดำเนินการตามระเบียบ กฎหมาย
มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
27 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 1/2568 เรื่อง การจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ: นิคมอุตสาหกรรมฉะเชิงเทรา บลูเทค ซิตี้ | สกพอ. | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
(กพอ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๖๘ เรื่อง การจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ
นิคมอุตสาหกรรมฉะเชิงเทรา บลูเทค ซิตี้ ทั้งนี้
หากคณะรัฐมนตรีรับทราบโดยไม่มีข้อทักท้วงหรือไม่มีความเห็นเป็นอย่างอื่น
ให้ถือว่าคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหรือเห็นชอบตามมติ กพอ. ดังกล่าว เพื่อ กพอ.
จะได้ออกประกาศจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ตามที่คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เช่น กระทรวงคมนาคม เห็นควรให้การสนับสนุนการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
และให้ดำเนินการตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด กระทรวงมหาดไทย เห็นควรสนับสนุนการขับเคลื่อนเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษดังกล่าวเพื่อให้เกิดมูลค่าการลงทุนในพื้นที่
สามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับประชาชน ครอบคลุมทุกพื้นที่ที่จะได้รับผลกระทบจากการดำเนินการ
ทั้งนี้ การดำเนินการต้องเป็นไปตามข้อกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี
รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการ (EIA) ขั้นตอนและแนวทางการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยคำนึงถึงความถูกต้อง
โปร่งใส และประโยชน์สูงสุดของรัฐและประชาชนเป็นสำคัญ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28 | ข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท | กค. | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบการดำเนินการและผลการพิจารณากลั่นกรองโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน
๑๕๗,๐๐๐ ล้านบาท
และการมอบหมายคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ
และคณะอนุกรรมการกำกับและติดตามผลการดำเนินงานตามแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามหน้าที่และอำนาจ
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัย ชุณหวชิร) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ
และเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาชี้แจงเพิ่มเติม ๒.
เห็นชอบข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน
๑๕๗,๐๐๐ ล้านบาท
ที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในคราวประชุมครั้งที่
๓/๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๘ จำนวน ๕๐ หน่วยรับงบประมาณ ๔๘๑ โครงการ ๘,๙๓๙ รายการ ภายในกรอบวงเงินรวม ๑๑๕,๓๗๕.๒๗๑๕ ล้านบาท
และอนุมัติให้หน่วยรับงบประมาณ ทั้ง ๕๐
หน่วยงานเป็นหน่วยงานดำเนินโครงการดังกล่าวต่อไป
โดยให้หน่วยรับงบประมาณดำเนินการขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๘ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ
ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ
พ.ศ. ๒๕๖๗ รวมทั้งกฎหมาย กฎ ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
ตั้งแต่กระบวนการจัดทำคำขอรับจัดสรรงบประมาณ การจัดซื้อจัดจ้าง การดำเนินโครงการ
ตลอดจนการติดตามและประเมินผล และให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัด/หน่วยงานต้นสังกัดกำกับดูแล
ติดตาม และตรวจสอบการดำเนินงานของหน่วยรับงบประมาณในทุกขั้นตอนให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
รอบคอบ เป็นธรรม และทันตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดเพื่อไม่ให้งบประมาณพับไป
โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า ประหยัด ผลสัมฤทธิ์
และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ
รวมทั้งให้คณะอนุกรรมการกำกับและติดตามผลการดำเนินงานตามแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ตั้งขึ้นตามคำสั่งคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจกำกับการปฏิบัติตามโครงการให้เป็นไปอย่างถูกต้อง
ตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพตามข้อเสนอแนะเกี่ยวกับ
Three Lines of Defense ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาด้วย ๓.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข
สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงสาธารณสุข เห็นควรให้เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณให้ทันภายในปีงบประมาณและให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินดังกล่าวให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรกำหนดเงื่อนไขสำหรับโครงการที่เกี่ยวกับการจ้างงานและฝึกอบรม
ให้ใช้วิธีการจ่ายค่าจ้างผ่านบัญชีธนาคารไปยังผู้ที่ได้รับการจ้างงานเพื่อให้การดำเนินการในทุกขั้นตอนมีความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้
สำหรับการดำเนินโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ภายใต้งบประมาณในส่วนที่เหลือ
ควรให้ความสำคัญกับการดำเนินการเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการและแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลกเป็นสำคัญ
เพื่อรองรับความไม่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณงานจ้างที่ปรึกษาการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางหลวงสนับสนุนการพัฒนาด่านชายแดน บ้านฮวก - กิ่วหก อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา ของกรมทางหลวง | คค. | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการเปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ แผนงานบูรณาการพัฒนาด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ โครงการก่อสร้างโครงข่ายทางหลวงแผ่นดิน งบรายจ่ายอื่น กิจกรรมก่อสร้างทางหลวงแผ่นดิน
จากเดิมรายการการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ทางหลวงหมายเลข ๑๑๓๖
แยกทางหลวงหมายเลข ๑๑ (ลำพูน) - บรรจบ ทางหลวงหมายเลข ๑๐๖ (เหมืองง่า)
จังหวัดลำพูน วงเงิน ๙.๕๐๐๐ ล้านบาท
เป็นรายการการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางหลวงสนับสนุนการพัฒนาด่านชายแดนบ้านฮวก
- กิ่วหก อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา วงเงิน ๙.๓๗๓๕ ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ จำนวน ๖.๖๕๐๐ ล้านบาท และส่วนที่เหลือ จำนวน ๒.๗๒๓๕ ล้านบาท
กรมทางหลวงจะปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพื่อรองรับต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
ส่วนการขออนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ เป็นปีงบประมาณ ๒๕๖๗ -
๒๕๖๙ ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง)
ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง)
รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่าหากมีการดำเนินงานในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ
จะต้องดำเนินการตามระเบียบและประกาศกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๖๒
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
30 | การขยายระยะเวลาและปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปรับปรุงใหม่) ปี 2568 | กค. | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบขยายระยะเวลาและปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้
(ปรับปรุงใหม่) ปี ๒๕๖๘ พร้อมทั้งอนุมัติงบประมาณวงเงินรวมไม่เกิน ๗๕๐
ล้านบาท สำหรับการดำเนินโครงการฯ ดังกล่าว และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นและเป็นภาระต่องบประมาณนั้น
ให้ธนาคารออมสินจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลัง
ธนาคารออมสินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ธนาคารแห่งประเทศไทย และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นว่ากระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ
ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
และดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ธนาคารแห่งประเทศไทย เห็นว่าธนาคารออมสิน
และสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ
ควรพิจารณาให้การอนุมัติสินเชื่อการสอบทานกระบวนการอนุมัติสินเชื่อ
และการสุ่มสอบทานลูกหนี้เป็นไปตามเงื่อนไขของโครงการ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีกระบวนการทบทวนความจำเป็นและกำหนดแนวทางการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการอย่างต่อเนื่อง
เพื่อให้โครงการบรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และให้การใช้งบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
รวมถึงเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาปรับปรุงเงื่อนไขหรือต่ออายุโครงการในระยะต่อไป ๓. เพื่อให้การดำเนินโครงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน
๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปรับปรุงใหม่) ปี ๒๕๖๘ (โครงการฯ) เป็นไปอย่างเหมาะสม
มีประสิทธิภาพ และช่วยรักษาวินัยทางการเงินของผู้กู้
รวมทั้งป้องกันการเกิด Moral
Hazard ให้กระทรวงการคลังและธนาคารออมสินดำเนินการ ดังนี้ ๓.๑
พิจารณาให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการรายใหม่เป็นลำดับแรกก่อน
รวมทั้งดำเนินการประชาสัมพันธ์ ชี้แจง
และสร้างการรับรู้ให้แก่กลุ่มเป้าหมายเพื่อดึงดูดให้ผู้ประกอบการรายใหม่เข้าร่วมโครงการฯ
เพิ่มมากขึ้น ๓.๒
กำกับดูแลให้สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการฯ จัดทำแผนการชำระคืนให้มีความสอดคล้อง
เหมาะสม กับช่วงระยะเวลาโครงการฯ เพื่อให้ผู้ประกอบการภายใต้โครงการฯ
สามารถชำระหนี้คืนได้ตามกำหนดระยะเวลาโครงการฯ ๓.๓
ให้กระทรวงการคลังดำเนินการปิดโครงการฯ เมื่อสิ้นสุดกำหนดระยะเวลาดำเนินโครงการฯ
ในปี ๒๕๗๐ โดยไม่ให้มีการขยายระยะเวลาดำเนินโครงการฯ ออกไปอีก
และให้มีการประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการฯ ให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรม ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องดำเนินโครงการในลักษณะเดียวกันนี้ต่อไปอีก ให้กระทรวงการคลังพิจารณาจัดทำเป็นโครงการใหม่
โดยให้นำผลการประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการฯ พร้อมทั้งปัญหา
อุปสรรคที่เกิดขึ้นมาเป็นข้อมูลเพื่อประกอบการพิจารณาจัดทำโครงการใหม่ดังกล่าวให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพการณ์และบริบททางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31 | การขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีและขออนุมัติรวมโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา และสถานีเพิ่มเติม 3 สถานี (สถานีสะพานพระราม 6 สถานีบางกรวย-กฟผ. และสถานีบ้านฉิมพลี) และโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน ช่วงตลิ่งชัน-ศิริราช เข้าด้วยกันเพื่อดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างให้เป็นสัญญาเดียว | คค. | 17/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติให้รวมโครงการระบบรถไฟชานเมือง
(สายสีแดง) ช่วงตลิ่งชัน - ศาลายา และสถานีเพิ่มเติม ๓ สถานี (สถานีสะพานพระราม ๖
สถานีบางกรวย - กฟผ. และสถานีบ้านฉิมพลี) และโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน
ช่วงตลิ่งชัน - ศิริราช เข้าด้วยกันเพื่อดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างให้เป็นสัญญาเดียว และเปลี่ยนชื่อโครงการเป็น “โครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน
ช่วงศิริราช - ตลิ่งชัน - ศาลายา และสถานีเพิ่มเติม ๓ สถานี
(สถานีสะพานพระราม ๖ สถานีบางกรวย - กฟผ. และสถานีบ้านฉิมพลี)”และอนุมัติกรอบวงเงินโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน
ช่วงศิริราช - ตลิ่งชัน - ศาลายา และสถานีเพิ่มเติม ๓ สถานี (สถานีสะพานพระราม ๖
สถานีบางกรวย - กฟผ. และสถานีบ้านฉิมพลี) โดยแบ่งเป็น
ค่าจ้างที่ปรึกษาจัดประกวดราคา จำนวน ๑๔.๗๘ ล้านบาท ค่าจ้างที่ปรึกษาคุมงาน (CSC) จำนวน ๓๙๒.๑๓ ล้านบาท
ค่าจ้างที่ปรึกษาวิศวกรอิสระ (ICE) จำนวน ๓๙.๕๕ ล้านบาท ค่างานโยธาและระบบราง
จำนวน ๑๐,๗๗๔.๗๒ ล้านบาท ค่างานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล จำนวน ๓,๙๕๕.๐๓ ล้านบาท รวมกรอบวงเงินโครงการ จำนวน ๑๕,๑๗๖.๒๑
ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ ๗) ระยะเวลาดำเนินการ ๕ ปี รวมทั้งอนุมัติรายละเอียดอื่นที่มิได้มีการเปลี่ยนแปลงของทั้งสองโครงการ
ให้ยึดถือตามมติคณะรัฐมนตรีที่อนุมัติไว้เดิมเมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒
และเมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๖๒ ตามลำดับ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้กระทรวงคมนาคมกำกับติดตามการดำเนินงานโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดงอ่อน
ช่วงศิริราช - ตลิ่งชัน - ศาลายา และสถานีเพิ่มเติม ๓ สถานี (สถานีสะพานพระราม ๖
สถานีบางกรวย - กฟผ. และสถานีบ้านฉิมพลี) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ให้แล้วเสร็จโดยเร็วและสามารถเปิดให้บริการได้ภายในกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ในปี
๒๕๗๒ อย่างเคร่งครัด ตลอดจนให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย)
บริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการให้อยู่ภายในกรอบวงเงินที่ได้รับอนุมัติในครั้งนี้ด้วย ๒.
ให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลังกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ ที่ นร ๐๗๐๙/๒๖๑๗ ลงวันที่ ๕
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นควรให้นำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องไปยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดด้วย สำนักงบประมาณ เห็นว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยควรให้ความสำคัญในการบริหารความเสี่ยง
รวมถึงการบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ
เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาที่อาจส่งผลให้การดำเนินโครงการมีความล่าช้า
และกระทรวงคมนาคมควรกำกับดูแลและติดตามการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
32 | การจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี | นร.10 | 17/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบการจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ
(สคทช.) สำนักนายกรัฐมนตรี จำนวน ๕ อัตรา ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ
(คปร.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘
สำหรับการจัดสรรงบประมาณค่าใช้จ่ายด้านบุคคลสำหรับอัตราข้าราชการตั้งใหม่ดังกล่าว
ให้ส่วนราชการดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่สำนักงบประมาณกำหนด
และเพื่อประโยชน์ในการติดตาม
ประเมินผลที่แสดงถึงความคุ้มค่าและประสิทธิภาพของการบริหารอัตรากำลัง ให้ สคทช. กำหนดเป้าหมายผลผลิตและผลลัพธ์จากการได้รับการจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ดังกล่าว
และรายงานผลให้สำนักงาน ก.พ. ทราบ เมื่อสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ ๑.๒ มอบหมายให้ สคทช.
จัดทำแผนการสรรหาและบรรจุบุคคลเข้ารับราชการตามแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการบริหารอัตราข้าราชการตั้งใหม่ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๑ กันยายน ๒๕๖๑ และรายงานให้ คปร. ทราบโดยเร็ว ตามที่คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเสนอ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป สำนักงบประมาณ เห็นว่าสำหรับค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรของอัตราข้าราชการตั้งใหม่
เห็นควรให้ส่วนราชการพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายไว้แล้วในแผนงานบุคลากรภาครัฐไปดำเนินการในลำดับแรกก่อน
และถือปฏิบัติตามนัยหนังสือสำนักงบประมาณ ที่ นร ๐๗๑๘/ว ๘๕ ลงวันที่ ๑๔ มีนาคม
๒๕๖๘ อย่างเคร่งครัด ส่วนค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรที่จะเกิดขึ้นในปีต่อไป ให้ส่วนราชการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเท่าที่จำเป็นตามภารกิจ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนของกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้อง สำนักงาน ก.พ.ร. เห็นควร สคทช. เร่งดำเนินการสรรหา
บรรจุ และแต่งตั้งตำแหน่งนักวิชาการแผนที่ภาพถ่าย ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
และควรกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบของข้าราชการใหม่ให้ชัดเจน รวมทั้งพัฒนาองค์ความรู้และทักษะให้กับบุคลากรตำแหน่งดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง
เพื่อสร้างความพร้อมและความต่อเนื่องในการปฏิบัติงานที่ทำให้ สคทช.
สามารถดำเนินภารกิจเพื่อบรรลุผลสัมฤทธิ์ในข้างต้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
33 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลกื้ดช้าง ตำบลอินทขิล ตำบลสันมหาพน ตำบลขี้เหล็ก อำเภอแม่แตง และตำบลแม่แฝก อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. .... | กษ. | 17/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน
ในท้องที่ตำบลกื้ดช้าง ตำบลอินทขิล ตำบลสันมหาพน ตำบลขี้เหล็ก อำเภอแม่แตง
และตำบลแม่แฝก อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลกื้ดช้าง ตำบลอินทขิล ตำบลสันมหาพน
ตำบลขี้เหล็ก อำเภอแม่แตง และตำบลแม่แฝก อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ในการก่อสร้างอุโมงค์ส่งน้ำช่วงแม่แตง
- แม่งัด อาคารประกอบ พร้อมส่วนประกอบอื่น และระบบท่อส่งน้ำแม่งัด - แม่แตง พร้อมอาคารประกอบ
ตามโครงการเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา จังหวัดเชียงใหม่
เพื่อประโยชน์แก่การชลประทาน
และเพื่อนำที่ดินไปชดเชยให้เกิดความเป็นธรรมแก่เจ้าของที่ดินที่ถูกเวนคืน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประชาสัมพันธ์โครงการและดำเนินการมีส่วนร่วมของประชาชน
โดยเฉพาะกลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบและผู้นำชุมชน เพื่อบรรเทาปัญหาผลกระทบและความเดือดร้อนของประชาชนและลดความขัดแย้งระหว่างโครงการของหน่วยงานรัฐและชุมชนในพื้นที่โครงการ
รวมทั้งการดำเนินการใด ๆ ในพื้นที่ป่า ขอให้ปฏิบัติให้เป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย
มติคณะรัฐมนตรีและนโยบายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
34 | โครงการปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า ระยะที่ 13 ส่วนที่ 2 ของการไฟฟ้านครหลวง | มท. | 17/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้การไฟฟ้านครหลวงดำเนินการตามโครงการปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้า
ระยะที่ ๑๓ ส่วนที่ ๒ วงเงินลงทุนรวม ๖๘,๗๘๓.๙ ล้านบาท ประกอบด้วย เงินกู้ในประเทศ จำนวน ๕๐,๙๐๐
ล้านบาท และเงินรายได้ของการไฟฟ้านครหลวง จำนวน ๑๗,๘๘๓.๙
ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ให้กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้านครหลวง)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน
สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (หนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ด่วนที่สุด ที่ นร ๑๑๐๖/๑๐๓๖๓ ลงวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๖๗)
คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (หนังสือสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ด่วนที่สุด
ที่ สกพ ๕๕๐๒/๑๓๒๕๘ ลงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๗) และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เช่น กระทรวงพลังงาน เห็นว่าในการดำเนินการปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้าของการไฟฟ้านครหลวงในอนาคต
การไฟฟ้านครหลวงอาจพิจารณาจัดทำแนวทางหรือโปรแกรมสำหรับการประเมินสภาพอุปกรณ์ต่าง
ๆ ในระบบจำหน่ายไฟฟ้าของการไฟฟ้านครหลวง เพื่อใช้ประกอบการวางแผนการบำรุงรักษา
ปรับปรุง และก่อสร้างสายจำหน่ายและสถานีไฟฟ้าได้อย่างเป็นระบบ สำนักงบประมาณ เห็นว่าการไฟฟ้านครหลวงควรมีมาตรการควบคุมและเร่งรัดการดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ของแผนงานตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดเพื่อไม่ให้เกิดความล่าช้า
และควรจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงเพื่อรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินงานตามแผนงาน
รวมทั้งปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน
อย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใสและตรวจสอบได้ ตลอดจนดำเนินการก่อหนี้และบริหารหนี้ในทุกมิติให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
35 | การเสนอตัวขอเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันรถยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ FIA FORMULA ONE WORLD CHAMPIONSHIP ในประเทศไทย ประจำปี 2571 - 2575 (5 ปี) | กก. | 17/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบผลการศึกษาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการจัดการแข่งขันรถยนต์ Formula One ในประเทศไทย
และผลการศึกษารายละเอียดด้านสนามแข่งขันที่เหมาะสมและการลงทุนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสนามแข่งขัน
ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ๒. เห็นชอบในหลักการให้ประเทศไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพโครงการจัดการแข่งขันรถยนต์ชิงแชมป์โลก
รายการ FIA FORMULA ONE WORLD CHAMPIONSHIP ประจำปี
๒๕๗๑ - ๒๕๗๕ (๕ ปี) สำหรับกรอบวงเงินงบประมาณค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันดังกล่าว
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (การกีฬาแห่งประเทศไทย) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณต่อไป ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
(การกีฬาแห่งประเทศไทย) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการศึกษารายละเอียดของข้อจำกัดและข้อกำหนดต่าง ๆ ตามกฎหมาย
ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ครบถ้วน เช่น
ข้อจำกัดของผังเมือง การประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม
การบริหารจัดการจราจร ความพร้อมของเมืองเจ้าภาพ รวมถึงการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างเปิดเผยและโปร่งใส
เพื่อให้การดำเนินการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรถยนต์ชิงแชมป์โลกดังกล่าวข้างต้นอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องที่ถูกต้อง ครบถ้วน รอบด้าน
และลดความเสี่ยงในการเกิดข้อขัดแย้งในระยะยาว ๔. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
(การกีฬาแห่งประเทศไทย) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นว่าหากจำเป็นต้องขอรับการสนับสนุนเพิ่มเติมจากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ
ก็ให้ดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงคำนึงถึงสถานะของกองทุนฯ ด้วย และให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการใช้จ่ายงบประมาณจากทุกแหล่งเงินให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งควรมีมาตรการบรรเทาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของชุมชนท้องถิ่น
และประเมินผลการจัดการแข่งขันดังกล่าวทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคมให้เกิดผลเป็นรูปธรรม
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด กระทรวงมหาดไทย เห็นควรให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการตามขั้นตอนและเป็นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
36 | ขออนุมัติโครงการเช่ารถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด (EV) ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค. | 17/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒
(ด้านการต่างประเทศ การคมนาคม การท่องเที่ยว และวัฒนธรรม) ในคราวประชุมครั้งที่
๑/๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๖๘ ดังนี้ ๑.๑
ประเด็นอภิปราย ผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพชี้แจงว่า
โครงการเช่ารถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด
(EV) ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหารถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด
(EV) จำนวน ๑,๕๒๐ คัน
เพื่อทดแทนรถโดยสารเดิมขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพที่มีอายุการใช้งานมากกว่า ๒๐ -
๓๐ ปี และมีปัญหาด้านการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงและมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาสูง
ซึ่งการเปลี่ยนมาใช้รถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด (EV) โดยวิธีการเช่าเป็นระยะเวลา ๗ ปี นอกจากจะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง
ยังสามารถถ่ายโอนความเสี่ยงด้านการจัดหารถและบำรุงรักษาต่าง ๆ ให้แก่เอกชนได้
รวมทั้งช่วยลดปัญหามลพิษทางอากาศ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ส่งเสริมให้สภาพแวดล้อมในเมืองดีขึ้น
ทั้งนี้ ในส่วนรถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV)
ที่องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพจัดซื้อมาแล้ว จำนวน ๔๘๙ คัน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๕๖ [เรื่อง โครงการจัดซื้อรถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ
(NGV) จำนวน ๓,๑๘๓ คัน
เพื่อนำมาให้บริการทดแทนรถโดยสารเดิมที่ใช้น้ำมันดีเซลขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ]
ยังมีสภาพดีและสามารถนำมาใช้งานต่อไปได้
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพจึงจะยังไม่มีการปลดระวางรถดังกล่าวแต่อย่างใด ๑.๒
คณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีข้อสังเกต ดังนี้ ๑.๒.๑
โดยที่ปัจจุบันสภาวะเศรษฐกิจของไทยมีแนวโน้มชะลอตัว ดังนั้น
การเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการของไทยที่มีศักยภาพเข้าร่วมแข่งขันในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง
และการกำหนดให้ผู้ประกอบการผลิตรถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด (EV) ใช้วัตถุดิบหรือชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ (Local
Content) ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔๐ หรือในสัดส่วนที่เหมาะสม
จะช่วยกระตุ้นให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ
และสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาของอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานไฟฟ้าของประเทศไทยต่อไป ๑.๒.๒
กระทรวงคมนาคม (องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ) ควรพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้รถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด
(EV) ที่จะเช่าเพิ่มเติม จำนวน ๑,๕๒๐ คัน ในครั้งนี้ สามารถรองรับการใช้บัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ประเภทอื่น
ๆ นอกจากบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ เช่น บัตรรถไฟฟ้าสายต่าง
ๆ หรือบัตรเรือโดยสาร รวมทั้งรองรับการพัฒนาระบบตั๋วร่วมที่จะดำเนินการในระยะต่อไปด้วย
เพื่อลดภาระให้ผู้ใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะไม่ต้องพกบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์หลายประเภท ๑.๓ มติคณะกรรมการกลั่นกรองฯ อนุมัติการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๔ เมษายน ๒๕๕๖ ที่อนุมัติให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพดำเนินโครงการจัดซื้อรถโดยสารใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ
(NGV) จำนวน ๓,๑๘๓
คัน เพื่อนำมาให้บริการทดแทนรถโดยสารเดิมที่ใช้น้ำมันดีเซล ในวงเงินรวม ๑๓,๑๖๒.๒๐ ล้านบาท และให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพดำเนินโครงการเช่ารถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด
(EV) จำนวน ๑,๕๒๐ คัน ระยะเวลา ๗ ปี
ซึ่งมีความพร้อมในการดำเนินการในขณะนี้ ในกรอบวงเงินลงทุนโครงการ ๑๕,๓๕๕.๖๐ ล้านบาท และให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพเป็นผู้บริหารโครงการ
โดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ - ๒๕๗๕ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ให้กระทรวงคมนาคม องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(หนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ด่วนที่สุด ที่ นร ๑๑๐๖/๑๙๕๔
ลงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๘) และข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ
ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๐๙/๒๓๖๐ ลงวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๘) ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เช่น กระทรวงคมนาคม เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด กระทรวงอุตสาหกรรม เห็นว่ารถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด
(EV) ที่จะเช่า
ควรเป็นรถโดยสารที่ผลิตในประเทศ และใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ เช่น แบตเตอรี่
และตัวถังรถยนต์โดยสาร
เพื่อส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนภายในประเทศ รวมทั้ง
สนับสนุนการจ้างงาน และการพัฒนาแรงงานฝีมือ เพื่อสร้างความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน
และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมายการเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญของภูมิภาค ๑.๔
ให้กระทรวงคมนาคม (องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ)
พิจารณาดำเนินกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างโครงการเช่ารถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด
(EV) โดยคำนึงถึงประเด็นต่าง ๆ ดังนี้ ๑.๔.๑
ส่งเสริมและเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการของไทยที่มีศักยภาพเข้าร่วมแข่งขันอย่างเป็นธรรม ๑.๔.๒
กำหนดเงื่อนไขให้ผู้ประกอบการผลิตรถโดยสารประจำทางปรับอากากาศพลังงานสะอาด (EV) ใช้วัตถุดิบหรือชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ (Local
Content) ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๔๐ หรือในสัดส่วนที่เหมาะสม ๑.๔.๓
กำหนดเงื่อนไขให้รถโดยสารประจำทางปรับอากาศพลังงานสะอาด (EV) ที่จะเช่าเพิ่มเติม จำนวน ๑,๕๒๐ คัน ในครั้งนี้ สามารถรองรับการใช้บัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ประเภทอื่น
ๆ นอกจากบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ เช่น
บัตรรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ หรือบัตรเรือโดยสาร
รวมทั้งรองรับการพัฒนาระบบตั๋วร่วมที่จะดำเนินการในระยะต่อไปด้วย ทั้งนี้ จะต้องดำเนินการให้ถูกต้อง
เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
37 | ขอยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2561 เรื่อง ขออนุมัติโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา | สกพอ. | 17/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
ครั้งที่ ๔/๒๕๖๗ เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๗
และเห็นชอบยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๑ เรื่อง ขออนุมัติโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภา ทั้งนี้
ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติยกเลิก ตามที่คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ ให้คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงคมนาคม
เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกพิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย
กฎ ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นควรเร่งรัดการดำเนินโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภาให้บรรลุวัตถุประสงค์
เป้าหมาย และดำเนินการให้เป็นไปตามแผนการดำเนินการต่อไป ทั้งนี้
การดำเนินการต้องเป็นไปตามข้อกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี ขั้นตอนและแนวทางการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
โดยคำนึงถึงความถูกต้อง โปร่งใส และประโยชน์สูงสุดของรัฐและประชาชนเป็นสำคัญ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
38 | ขอยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2544 (เรื่อง การกำหนดมาตรการและแนวทางแก้ไขปัญหาการขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่าอนุรักษ์) เกี่ยวกับหลักเกณฑ์ทางด้านสิ่งแวดล้อมสำหรับการขอต่ออายุหนังสืออนุญาตการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ประเภทป่าเพื่อการอนุรักษ์ตามมติคณะรัฐมนตรี (ลุ่มน้ำชั้น 1) เพื่อการทำเหมืองแร่ | ทส. | 17/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้ยกเลิกและปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔ (เรื่อง
การกำหนดมาตรการและแนวทางแก้ไขปัญหาการขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่าอนุรักษ์)
เฉพาะในส่วนของหลักเกณฑ์และมาตรการผ่อนผัน หรือยกเว้นการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตพื้นที่ป่าอนุรักษ์
(พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ) เพื่อประโยชน์เกี่ยวกับความมั่นคงหรือเศรษฐกิจ
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ยกเลิกกรณีที่
๒ พื้นที่ที่รัฐได้อนุญาตให้ประชาชนหรือเอกชนเข้าใช้ประโยชน์ในกิจการเพื่อการสำรวจแร่หรือการทำเหมืองแร่
ที่กำหนดว่า “(๑)
พื้นที่ที่รัฐได้อนุญาตให้ประชาชนหรือเอกชนเข้าใช้ประโยชน์เพื่อกิจการสำรวจแร่
ประกอบด้วยอาชญาบัตรสำรวจแร่ อาชญาบัตรผูกขาดสำรวจแร่ และอาชญาบัตรพิเศษสำรวจแร่ หรือเพื่อการทำเหมืองแร่
คือ ประทานบัตรเหมืองแร่ ไปแล้วก่อนวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘
และต่อมาพื้นที่ดังกล่าวได้ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ
เห็นควรอนุญาตให้ดำเนินการสำรวจแร่ หรือการทำเหมืองแร่ในพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตต่อไปจนกระทั่งสิ้นสุดอายุการอนุญาตนั้น
ทั้งนี้ หากอายุหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติสิ้นสุดลง
แต่อายุอาชญาบัตรหรือประทานบัตรเหมืองแร่ยังคงเหลืออยู่
เห็นควรผ่อนผันให้ต่ออายุหนังสืออนุญาตเข้าทำประโยชน์ภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ
จนกระทั่งสิ้นสุดอายุอาชญาบัตรหรือประทานบัตรเหมืองแร่ โดยผู้ประกอบการต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังจากการสำรวจแร่หรือการทำเหมืองแร่แล้ว
(Post Evaluation) เสนอต่อกระทรวงวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมพิจารณาให้ความเห็น
เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการพิจารณาว่าอนุมัติหรือไม่อนุมัติ ผ่อนผันการขอต่ออายุหนังสืออนุญาตการใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติจากคณะรัฐมนตรีต่อไป ในกรณีที่เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง
เนื่องจากการดำเนินการตามที่ได้รับอนุญาต
ก็ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมายที่รับผิดชอบอย่างเด็ดขาดโดยทันที” ๑.๒ ให้ปรับปรุงกรณีที่
๓ พื้นที่ที่รัฐมีข้อผูกพันกับประชาชนหรือเอกชนไว้แล้วในกิจการเพื่อการสำรวจแร่
หรือการทำเหมืองแร่ จากเดิม “(๒)
ในกรณีที่พื้นที่ซึ่งรัฐมีข้อผูกพันกับประชาชนหรือเอกชนไว้แล้วภายหลังวันที่ ๒๑
กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ หากอายุหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติสิ้นสุดลงแต่อายุอาชญาบัตรหรือประทานบัตรการทำเหมืองแร่ยังคงเหลืออยู่
ให้ใช้หลักการพิจารณาเดียวกันกับในกรณีที่ ๒ ข้อ (๑)
ส่วนกรณีอายุอาชญาบัตรหรือประทานบัตรเหมืองแร่สิ้นสุดลง และผู้ประกอบการประสงค์จะขอต่ออายุการอนุญาตหรือการขออนุญาตดำเนินการดังกล่าว
ให้ใช้หลักการเดียวกันกับการขอต่ออายุการอนุญาตอาชญาบัตรหรือประทานบัตรเหมืองแร่
ในกรณีที่ ๒ ข้อ (๒)” เป็น “(๒)
ในกรณีที่พื้นที่ซึ่งรัฐมีข้อผูกพันกับประชาชนหรือเอกชนไว้แล้วภายหลังวันที่ ๒๑
กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ กรณีอายุอาชญาบัตรหรือประทานบัตรเหมืองแร่สิ้นสุดลง
และผู้ประกอบการประสงค์จะขอต่ออายุการอนุญาตหรือการขออนุญาตดำเนินการดังกล่าว
ให้ใช้หลักการเดียวกันกับการขอต่ออายุการอนุญาตอาชญาบัตรหรือประทานบัตรเหมืองแร่
ในกรณีที่ ๒ ข้อ (๒)” ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นเกี่ยวกับการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีที่กำหนดมาตรการเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่
๑ เอ และการเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ในภาพรวมและให้นำมารวมกำหนดไว้ในฉบับเดียวเพื่อให้เกิดความชัดเจน
ลดความซ้ำซ้อน และสะดวกในการปฏิบัติ รวมทั้งความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีมาตรการรองรับการยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว
อาทิ การควบคุมไม่ให้มีการรุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ป่าไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต และการกำหนดเขตพื้นที่ในการเข้าทำประโยชน์ให้ชัดเจน
โดยต้องดำเนินมาตรการดังกล่าวให้รัดกุมเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
39 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงมหาดไทย) | มท. | 17/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ
ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรีของกระทรวงมหาดไทย
จำนวน ๗ คณะ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๑๗ มิถุนายน ๒๕๖๘) เป็นต้นไป ดังนี้ ๑. คณะกรรมการพิจารณาตั้งกิ่งอำเภอและอำเภอ ๒. คณะกรรมการอำนวยการโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเศรษฐกิจแบบพอเพียงเฉลิมพระเกียรติ ๓. คณะกรรมการพิจารณาอนุญาตให้ดูดทราย ๔. คณะกรรมการพิจารณาเรื่องการขอเปลี่ยนแปลงชื่อจังหวัด
อำเภอ และตำบล หมู่บ้าน หรือสถานที่ราชการอื่น ๆ ๕. คณะกรรมการพิจารณาให้สถานะคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายแก่ชนกลุ่มน้อย ๖. คณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายของกระทรวงมหาดไทย
คณะที่ ๑ ๗. คณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายของกระทรวงมหาดไทย
คณะที่ ๒
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
40 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียว่าด้วยความร่วมมือในสาขาสาธารณสุข | สธ. | 10/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียว่าด้วยความร่วมมือในสาขาสาธารณสุข
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียว่าด้วยความร่วมมือในสาขาสาธารณสุข
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการพัฒนาความร่วมมือระหว่างผู้เข้าร่วมทั้งสองฝ่ายในสาขาสาธารณสุขที่สอดคล้องกับระเบียบและกฎหมายที่บังคับใช้ในประเทศ
และอยู่บนพื้นฐานของความเสมอภาคและผลประโยชน์ร่วมกัน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|