ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 2 จากทั้งหมด 569 หน้า แสดงรายการที่ 21 - 40 จากข้อมูลทั้งหมด 11372 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
21 | ขอความเห็นชอบยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับการจ่ายเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 | มท. | 02/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
22 | การแต่งตั้งคณะผู้แทนไทยในการประชุมใหญ่สหภาพสากลไปรษณีย์ สมัยที่ 28 | ดศ. | 02/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบ (๑) เอกสารกรอบท่าทีประเทศไทยในการเข้าร่วมการประชุมใหญ่สหภาพสากลไปรษณีย์
สมัยที่ ๒๘ รวมถึงร่างคำประกาศต่อกรรมสาร และมอบหมายให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทย หรือผู้แทนไทยที่ได้รับมอบหมายใช้ดุลพินิจตามสถานการณ์
หรือตามความเหมาะสมในเรื่องที่จะเป็นประโยชน์ต่อไป
และรับทราบองค์ประกอบคณะผู้แทนไทย (๒) มอบอำนาจให้แก่หัวหน้าคณะและรองหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการอภิปรายลงมติ
และลงนามในกรรมสารของการประชุมใหญ่สหภาพสากลไปรษณีย์ สมัยที่ ๒๘ และ (๓) มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือแต่งตั้งผู้แทน
(Credentials) โดยมอบอำนาจตามข้อ ๒
ให้แก่หัวหน้าคณะและรองหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นว่าค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นควรให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับจัดสรร
หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายประมาณ โดยโอนงบประมาณ
โอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม แล้วแต่กรณี ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพิจารณาการร่วมเป็นสมาชิกในแผนงานต่าง
ๆ โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับ เพื่อให้การใช้จ่ายเงินงบประมาณเป็นไปอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกรรมสารของการประชุมใหญ่สหภาพสากลไปรษณีย์ สมัยที่
๒๘
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ไห้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
23 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับใช้กับมาตรการยกเว้นอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้ามหานครเพื่อส่งเสริมการใช้บริการรถไฟฟ้าในช่วงสถานการณ์ฝุ่นละออง 2.5 (PM2.5) เพิ่มขึ้นสูง ตามนโยบายของรัฐบาล | คค. | 02/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๑๑๖.๗๘
ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินมาตรการยกเว้นอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้ามหานคร เพื่อส่งเสริมการใช้บริการรถไฟฟ้าในช่วงสถานการณ์ฝุ่นละออง ๒.๕ (PM2.5) เพิ่มขึ้นสูง ตามนโยบายของรัฐบาล ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดย รองนายกรัฐมนตรี (นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมยืนยันว่า การดำเนินการเรื่องนี้มีความจำเป็น
เร่งด่วน และเป็นเรื่องที่ต่อเนื่อง ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม
๒๕๖๘ [เรื่อง แนวทางการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรี
กรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา ๑๗๐ (๔)] ให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย)
รับความเห็นของสำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ ที่ นร ๐๗๐๙/๘๔๕๐ ลงวันที่ ๒๑
สิงหาคม ๒๕๖๘) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นว่าวงเงินที่อนุมัติเกินกว่าหนึ่งร้อยล้านบาท
ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการนำเรื่องดังกล่าวเสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรี
โดยเสนอผ่านรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีเจ้าสังกัด หรือรัฐมนตรีที่กำกับดูแล
แล้วแต่กรณี
ตามนัยระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๙ (๓) และเมื่อได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ให้กระทรวงคมนาคม
โดยการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
24 | โครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการสกัดกั้นยาเสพติดและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 | ยธ. | 02/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติโครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการสกัดกั้นยาเสพติดและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ และให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดมีอำนาจอนุมัติโครงการ
แผนงาน และกิจกรรมภายใต้กรอบงบประมาณ
งบเงินอุดหนุน รายการโครงการฯ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ สำหรับขั้นตอนการใช้จ่ายและเบิกจ่ายงบประมาณฯ
ให้กระทรวงยุติธรรม (สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด)
ดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงยุติธรรม
(สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นควรมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
พิจารณาให้ความสำคัญกับการดำเนินมาตรการด้านการป้องกันควบคู่กับมาตรการด้านการปราบปรามยาเสพติด
รวมถึงการพัฒนาระบบฐานข้อมูลสารสนเทศด้านยาเสพติดให้มีประสิทธิภาพ
การจัดเก็บข้อมูลที่มีมาตรฐานและมีความต่อเนื่อง ตลอดจนการจัดทำระบบการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติงานระหว่างประเทศ
เพื่อให้เกิดการบูรณาการข้อมูลข่าวสารได้ถูกต้องครบถ้วน
และการปฏิบัติงานด้านยาเสพติดเป็นไปอย่างรวดเร็วทันต่อสถานการณ์ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
25 | การขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดเขตกงสุลของสถานกงสุลกิตติมศักดิ์สมาพันธรัฐสวิสประจำจังหวัดภูเก็ต และการขอเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์สมาพันธรัฐสวิส ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี และการแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์สมาพันธรัฐสวิส ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี (นายรัชชพร พูลสวัสดิ์) | กต. | 26/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ดังนี้ ๑. อนุมัติทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑
สิงหาคม ๒๕๔๘ (เรื่อง ขออนุมัติเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์สมาพันธรัฐสวิสประจำจังหวัดภูเก็ต)
และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง
การขออนุมัติแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์สมาพันธรัฐสวิสประจำจังหวัดภูเก็ต) เฉพาะในส่วนการกำหนดเขตกงสุล
จากเดิม ที่มีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดภูเก็ต กระบี่ ตรัง พังงา และสุราษฎร์ธานี
เป็น มีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดภูเก็ต กระบี่ ตรัง และพังงา ทั้งนี้
กระทรวงการต่างประเทศเห็นควรเปลี่ยนชื่อเรียกสถานกงสุลกิตติมศักดิ์สมาพันธรัฐสวิสประจำจังหวัดภูเก็ต
เป็น สถานกงสุลกิตติมศักดิ์สมาพันธรัฐสวิส ณ จังหวัดภูเก็ต เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการเรียกชื่อสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ของต่างประเทศในประเทศไทยของกระทรวงการต่างประเทศ ๒. ให้ความเห็นชอบการเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์สมาพันธรัฐสวิส
ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดสุราษฎร์ธานี และแต่งตั้ง
นายรัชชพร พูลสวัสดิ์ ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์สมาพันธรัฐสวิส ณ
จังหวัดสุราษฎร์ธานี
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
26 | การขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โครงการฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยของจังหวัดเชียงราย ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2567 | มท. | 26/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้จังหวัดเชียงรายใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยของจังหวัดเชียงราย
จำนวน ๑๘ โครงการ วงเงินรวม ๓๖๓,๖๒๑,๒๐๐ บาท และให้จังหวัดเชียงรายเบิกจ่ายเงินจากสำนักงบประมาณตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๓๙/๕๐๑๗ ลงวันที่ ๑๓
พฤษภาคม ๒๕๖๘) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินดังกล่าวให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด รวมทั้งควรเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณให้ทันภายในปีงบประมาณ
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรกำชับจังหวัดเชียงรายให้เร่งตรวจสอบความพร้อมของพื้นที่เพื่อมิให้การดำเนินงานเกิดความล่าช้าและจัดทำแผนการเบิกจ่าย
โดยประสานงานใกล้ชิดกับสำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อทำความตกลงและเบิกจ่ายได้ทันทีหลังคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ
เพื่อให้การดำเนินโครงการมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
27 | การเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงานเทศกาลดนตรี Tomorrowland ในประเทศไทย ประจำปี พ.ศ. 2569 - 2573 (5 ปี) | กก. | 26/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบผลการศึกษาความเป็นไปได้ของการจัดงานเทศกาลดนตรี Tomorrowland ในประเทศไทย
ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ๒.
เห็นชอบในหลักการให้ประเทศไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงานเทศกาลตนตรี Tomorrowland ในประเทศไทย ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๙ - ๒๕๗๓
สำหรับค่าใช้จ่ายในการจัดงานเทศกาลดนตรี Tomorrowland ในประเทศไทยดังกล่าว
ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้กระทรวงการท่องเที่ยวเทียวและกีฬา (การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย)
ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
(การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยควรมีการประเมินผลการจัดงานในแต่ละปี
สร้างการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
เห็นว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเตรียมความพร้อมด้านระบบขนส่งสาธารณะ
การกำกับดูแลราคาและมาตรฐานของธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม
รีสอร์ต ร้านอาหาร เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28 | มาตรการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวที่พำนักอยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา | รง. | 26/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบมาตรการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวที่พำนักอยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมาและเห็นชอบในหลักการร่างประกาศของกระทรวงแรงงาน
จำนวน ๑ ฉบับ รวมถึงอนุมัติในหลักการร่างประกาศของกระทรวงมหาดไทยจำนวน ๑ ฉบับ รวม
๒ ฉบับ เพื่อบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวตามมาตรการดังกล่าว และให้กระทรวงแรงงาน
โดยกรมการจัดหางาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้และความเข้าใจให้นายจ้าง/ผู้ประกอบการ
แรงงานต่างด้าว และผู้ที่เกี่ยวข้องรับทราบข้อมูลการดำเนินการดังกล่าวอย่างทั่วถึง
ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ๒. เห็นชอบ ๒.๑
ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
การอนุญาตให้คนต่างด้าวซึ่งพำนักอยู่ในเขตพื้นที่ควบคุมอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
... ๒.๒
ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวซึ่งพำนักอยู่ในเขตพื้นที่ควบคุมทำงานในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
... รวม
๒ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นควรที่กระทรวงมหาดไทย
กระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้หารือร่วมกันเพื่อกำหนดแนวปฏิบัติที่ชัดเจน
เพื่อให้สามารถดำเนินการตามร่างประกาศทั้งสองฉบับได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรร่วมกับผู้ประกอบการในการเร่งกำหนดพื้นที่ที่จะอนุญาตให้คนต่างด้าวกลุ่มดังกล่าวเข้าไปทำงานได้
โดยในระยะแรกควรพิจารณาอนุญาตให้ทำงานในพื้นที่ใกล้ศูนย์พักพิงชั่วคราวก่อนเป็นลำดับแรก
ควบคู่กับการสำรวจความต้องการของผู้ประกอบการเพื่อนำมาจับคู่กับทักษะและความรู้ความสามารถของกลุ่มแรงงานดังกล่าว
รวมถึงการวางระบบการติดตามประเมินผลการดำเนินงาน
เพื่อนำไปกำหนดแนวทางในการบริหารจัดการแรงงานในแต่ละระยะต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29 | การเสนอตัวขอเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันวิ่งมาราธอนในเมืองหลวง (World Capital Marathon Series) รายการ Amazing Thailand Marathon Bangkok ประจำปี 2568 - 2570 (3 ปี) | กก. | 26/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการให้ประเทศไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันวิ่งมาราธอนในเมืองหลวง
(World Capital Marathon Series)
รายการ Amazing Thailand Marathon Bangkok ประจำปี
๒๕๖๘ - ๒๕๗๐ สำหรับกรอบวงเงินงบประมาณค่าลิขสิทธิ์และค่าภาษีที่เกี่ยวข้องในการจัดการแข่งขันฯ
ตั้งแต่ปี ๒๕๖๘ - ๒๕๗๐ รวมทั้งสิ้น ๒๖๔,๓๕๒,๙๔๑.๑๕ บาท เมื่อประเทศไทยได้รับพิจารณาให้เป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันแล้ว
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการกีฬาแห่งประเทศไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณที่ต้องใช้ในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน
โดยพิจารณาให้ครอบคลุมทุกแหล่งเงิน รวมทั้งให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาความพร้อมในด้านต่าง
ๆ แนวทางการสร้างรายได้และมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ
และแนวทางการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบอีกครั้งหนึ่ง
กรณีการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยให้การกีฬาแห่งประเทศไทยพิจารณาเงื่อนไขการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง
ตามเหตุผล ความจำเป็น เหมาะสม และความเร่งด่วน ตามขั้นตอนของระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่าย
งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๒ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
(การกีฬาแห่งประเทศไทย) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้
ควรขอรับการสนับสนุนจากภาคเอกชนมาสมทบการดำเนินงานเพื่อสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการส่งเสริมทางด้านกีฬาและเป็นการลดภาระงบประมาณ
รวมทั้งควรประเมินผลการจัดการแข่งขันดังกล่าวให้เกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด กระทรวงมหาดไทย เห็นควรให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการตามขั้นตอนและเป็นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
30 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้รถยนต์ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้ามหรือต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....[กรณีรถยนต์โบราณ (Classic Cars)] | พณ. | 26/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์
เรื่อง
กำหนดให้รถยนต์ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้ามหรือต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมประกาศกระทรวงพาณิชย์
เรื่อง กำหนดให้รถยนต์ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้ามหรือต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร
พ.ศ. ๒๕๖๒ ลงวันที่ ๑๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยประกาศกระทรวงพาณิชย์
เรื่อง
กำหนดให้รถยนต์ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้ามหรือต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ ลงวันที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยยกเว้นให้สามารถนำเข้ารถยนต์ใช้แล้วตามพิกัดอัตราศุลกากร
๘๗.๐๓ รถยนต์และยานยนต์อื่น ๆ ที่ออกแบบสำหรับขนส่งบุคคลเป็นหลัก
รวมถึงสเตชันแวกอนและรถแข่ง และพิกัดอัตราศุลกากร ๙๗.๐๖ รถยนต์ใช้แล้วที่มีอายุเกิน
๑๐๐ ปีขึ้นไป (รถยนต์โบราณ) ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และคุณลักษณะ
ที่อธิบดีกรมสรรพสามิตประกาศกำหนด เพื่อให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๒ เมษายน ๒๕๖๘ [เรื่อง (การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๗ เรื่อง
มาตรการส่งเสริมงานศิลปะและรถยนต์โบราณ (Classic
Cars)] ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
ที่เห็นควรพิจารณาหลักฐานทางทะเบียนจากประเทศต้นทางที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เป็นมาตรฐานสากล เช่น The Royal Automobile Club ในการรับรองอายุของรถยนต์ที่จะนำเข้าภายใต้มาตรการ
รวมถึงการพิจารณาประเภทพิกัดศุลกากรของรถยนต์โดยเฉพาะรถยนต์ใช้แล้วที่มีอายุเกิน
๑๐๐ ปีขึ้นไป เพื่อป้องกันปัญหาการหลีกเลี่ยงภาษีอากรที่อาจจะเกิดขึ้นอีกทางหนึ่ง ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลัง
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรกำหนดหลักเกณฑ์และกลไกการตรวจสอบรถยนต์โบราณให้มีความชัดเจนและพิจารณามาตรการเพิ่มเติมเพื่อให้มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมรถยนต์โบราณ
สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับรถยนต์โบราณ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม
ที่เห็นว่าคำนิยาม หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และคุณลักษณะสำหรับรถยนต์โบราณ
ที่จะถูกกำหนดในร่างประกาศกรมสรรพสามิต ควรพิจารณาให้มีความชัดเจน รัดกุม สามารถจำแนกรถยนต์โบราณสำหรับงานศิลปะออกจากรถยนต์เพื่อสันทนาการหรือรถยนต์เก่าที่มีอายุการใช้งานมาเป็นระยะเวลานาน
และเป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องของแต่ละหน่วยงาน
เพื่อให้ตรงตามเจตนารมณ์ในการดำเนินมาตรการส่งเสริมงานศิลปะและรถยนต์โบราณ และไม่ส่งผลกระทบต่อปัญหามลพิษในประเทศ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรม ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ | อว. | 19/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรม
ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการยกระดับความร่วมมือด้านการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมระหว่างกัน
ตลอดจนเพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินงานในสาขาและมิติที่สอดคล้องกับความสนใจและประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย
โดยมีสาขาความร่วมมือ เช่น ธุรกิจ เศรษฐศาสตร์ กฎหมาย สุขภาพ ชีววิทยาศาสตร์
วิศวกรรมศาสตร์ สภาพทางภูมิอากาศ และสิ่งแวดล้อม มีขอบเขตความร่วมมือ เช่น
ส่งเสริมโอกาสการวิจัยและนวัตกรรมร่วมเพื่อแก้ไขปัญหาทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับโลก
ส่งเสริมความเป็นเลิศในด้านการเรียนการสอนและการประเมินผลผ่านการแลกเปลี่ยน
การให้ความช่วยเหลือ และการสนับสนุนที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) และให้กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ที่เห็นว่าหากกลุ่มนักศึกษาที่มีคุณสมบัติเหมาะสมจากครอบครัวผู้มีรายได้น้อยได้รับการพิจารณาทุนการศึกษา
ทุนการวิจัย หรือทุนแลกเปลี่ยนประเภทต่าง ๆ จะยิ่งเป็นการสนับสนุนและสร้างโอกาสแห่งความเท่าเทียมด้านการศึกษาอย่างแท้จริง
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
32 | ร่างเอกสารการยกระดับความสัมพันธ์ประเทศไทย - ราชอาณาจักรสวีเดน สู่การเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ (Thailand - Sweden Strategic Partnership) | กต. | 19/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างเอกสารการยกระดับความสัมพันธ์ประเทศไทย-ราชอาณาจักรสวีเดน สู่การเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
เป็นผู้ลงนามในร่างเอกสารฯ โดยร่างเอกสารฯ มีสาระสำคัญเป็นการยกระดับความสัมพันธ์ทวิภาคีสู่การเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์
เพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นทางการเมืองในการส่งเสริมและขับเคลื่อนความร่วมมือในสาขาที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน
เช่น การกำหนดกลไกการหารือทวิภาคีทางการเมืองเชิงยุทธศาสตร์ การค้า การลงทุน ความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่าร่างเอกสารดังกล่าวควรใช้ภาษาไทยว่า
“ร่างเอกสารการยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างราชอาณาจักรไทย-ราชอาณาจักรสวีเดน”
เพื่อให้สอดคล้องกับการเป็นราชอาณาจักรของทั้งสองประเทศ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรติดตาม ประเมินผล และเผยแพร่ผลลัพธ์ของการดำเนินงานให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับทราบเพื่อให้เกิดการรับรู้ถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับอย่างเป็นรูปธรรมด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
33 | มาตรการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน | รง. | 19/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวที่มีสถานะไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
และอนุมัติในหลักการร่างประกาศของกระทรวงมหาดไทย จำนวน ๑ ฉบับ รวมถึงให้ความเห็นชอบในหลักการร่างประกาศของกระทรวงแรงงาน
จำนวน ๑ ฉบับ รวม ๒ ฉบับ เพื่อบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวตามแนวทางการนำคนต่างด้าวสัญชาติอื่น
ๆ เข้ามาทำงานในประเทศไทย และให้กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และความเข้าใจให้นายจ้าง/ผู้ประกอบการ
แรงงานต่างด้าว และผู้ที่เกี่ยวข้องรับทราบข้อมูลการดำเนินการดังกล่าวอย่างทั่วถึง
ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ๒. เห็นชอบ ๒.๑
ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว
เมียนมา และเวียดนาม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ .... ๒.๒
ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว
เมียนมา และเวียดนาม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ .... รวม ๒ ฉบับ
ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๓.
ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการต่างประเทศ เห็นว่าการนำคนต่างด้าวสัญชาติอื่น
ๆ เข้ามาทำงานในประเทศไทย เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน อาทิ
คนต่างด้าวสัญชาติศรีลังกา เนปาล บังกลาเทศ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ให้กระทรวงแรงงานหารือหน่วยงานด้านความมั่นคงอย่างรอบด้าน
ทั้งในมิติความมั่นคงและมิติเศรษฐกิจ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรมีการกำหนดแนวทางที่ชัดเจนในการป้องกันการสวมสิทธิ์อันไม่พึงประสงค์และพัฒนาระบบการตรวจสอบก่อนอนุญาตให้เข้ามาทำงานในประเทศอย่างเคร่งครัด
รวมทั้งควรมีมาตรการรองรับแรงงานให้สามารถปรับตัวในการทำงานได้ในประเทศไทยอย่างไม่เกิดปัญหา
อาทิ การสนับสนุนให้นายจ้างมีมาตรการช่วยเหลือด้านภาษา
การอบรมเกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ของแรงงาน กฎหมาย วัฒนธรรมท้องถิ่น
และบรรทัดฐานทางสังคมที่ควรทราบ และควรมีการพิจารณาจัดทำแผนบริหารจัดการแรงงานต่างชาติอย่างเป็นระบบ
เพื่อรองรับการขาดแคลนแรงงานในระยะยาว ๔.
ให้กระทรวงแรงงานและกระทรวงสาธารณสุขร่วมกันเร่งรัดแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการตรวจสุขภาพ
และการประกันสุขภาพ รวมทั้งอัตราค่าประกันสุขภาพ สิทธิประโยชน์และความคุ้มครองของแรงงานต่างด้าว
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๖๘ (เรื่อง
การผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมาซึ่งได้รับการขยายระยะเวลาการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวและทำงานต่อไป) โดยเร็ว
และให้รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข ที่เห็นควรดำเนินการตรวจสุขภาพและประกันสุขภาพเช่นเดียวกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๒ กรกฎาคม ๒๕๖๘ เรื่อง แนวทางการผ่อนผันให้แรงงานสัญชาติกัมพูชาเข้ามาทำงานบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยขอรับการตรวจโรคต้องห้ามตามกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของคนต่างด้าวที่จะขอรับใบอนุญาตทำงาน
ณ สถานพยาบาลของรัฐ และประกันสุขภาพตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยการตรวจสุขภาพและประกันสุขภาพแรงงานต่างด้าว
ที่มีอายุความคุ้มครองไม่น้อยกว่าระยะเวลาที่ขออนุญาตทำงาน สำหรับคนต่างด้าว ซึ่งทำงานในกิจการหรือเป็นลูกจ้างซึ่งไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม
เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
34 | ขอความเห็นชอบรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งผู้แทนไทยในคณะกรรมาธิการอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและสิทธิเด็ก ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิเด็ก | พม. | 19/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในการเสนอชื่อ ผู้ช่วยศาสตราจารย์
ประภาภรณ์ ติวยานนท์ มงคลวนิช เป็นผู้ได้รับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งผู้แทนไทยในคณะกรรมาธิการอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและสิทธิเด็ก
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิเด็ก โดยมีวาระการดำรงตำแหน่ง ๓ ปี นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ
(๑๙ สิงหาคม ๒๕๖๘) และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ในฐานะรัฐมนตรี ที่รับผิดชอบด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนาของประเทศไทย มีหนังสือแจ้งเรื่องการแต่งตั้งผู้ช่วยศาสตราจารย์
ประภาภรณ์ ติวยานนท์ มงคลวนิช ให้ดำรงตำแหน่งผู้แทนไทยในคณะกรรมาธิการอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและสิทธิเด็ก
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิเด็ก ไปยังสำนักเลขาธิการอาเซียนและประเทศสมาชิกทราบ
ภายหลังจากคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
ทั้งนี้ สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
(สำนักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับจัดสรร
และจัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
โดยดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
35 | โครงการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าบริเวณจังหวัดน่าน แพร่ และอุตรดิตถ์ เพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (โครงการ NPUP) | พน. | 19/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยดำเนินโครงการพัฒนาระบบส่งไฟฟ้าบริเวณจังหวัดน่าน
แพร่ และอุตรดิตถ์ เพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
(โครงการ NPUP) ในวงเงินรวม ๒๖,๒๒๐ ล้านบาท และหากคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ถือว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้รับอนุมัติงบประมาณเพื่อการลงทุนตามแผนการประมาณการเบิกจ่ายประจำปี
๒๕๖๘ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ให้กระทรวงพลังงาน (การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย)
รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ
รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงมหาดไทย เห็นว่าภายหลังจากคณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการแล้ว
ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยดำเนินการตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง รวมทั้งดำเนินการตามระเบียบ กฎหมาย
มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด สำนักงบประมาณ เห็นควรให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยบริหารจัดการเรื่องการเงินและการลงทุนให้เหมาะสม
มีมาตรการรองรับในกรณีที่อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศมีความผันผวน
โดยพิจารณาจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงในกรณีที่การดำเนินงานไม่เป็นไปตามแผน
เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินในอนาคต
ตลอดจนดำเนินการก่อหนี้และบริหารหนี้ในทุกมิติให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
36 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 1/2568 เรื่อง การเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมพื้นที่เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ: เมืองการบินภาคตะวันออก (EECa) | สกพอ. | 19/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
ครั้งที่ ๑/๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๖๘ เรื่อง
การเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมพื้นที่เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ : เมืองการบินภาคตะวันออก
(EECa) มีสาระสำคัญเป็นการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมพื้นที่ในส่วนที่เป็นพื้นที่นอกเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ
พื้นที่ประมาณ ๗๑๔ ไร่
เพื่อหลีกเลี่ยงเขาโกรกตะแบกซึ่งอยู่ในบริเวณด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของสนามบินและเป็นสิ่งกีดขวางการบิน
และเป็นเหตุให้บริเวณทางวิ่งที่ ๒
และทางขับที่เกี่ยวข้องบางส่วนมีพื้นที่ตั้งล้ำเข้าไปในเขตปลอดภัยทางทหารของกองทัพเรือทางด้านทิศใต้
ซึ่งเป็นที่ราชพัสดุที่กองทัพเรือเป็นหน่วยงานครอบครองใช้ประโยชน์และได้อนุญาตให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
(สกพอ.) ใช้ประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าวแล้ว
และตั้งอยู่นอกพื้นที่เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ : เมืองการบินภาคตะวันออก
จึงมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมพื้นที่ดังกล่าวเพื่อให้เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษครอบคลุมพื้นที่สำหรับดำเนินโครงการสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกทั้งหมด
ตามที่คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ ให้คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กองทัพเรือ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงคมนาคมไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นควรดำเนินการตามกฎ
ระเบียบ และมาตรการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งต้องสอดคล้องกับแผนและผังการดำเนินงานที่กำหนดด้วย สำนักงบประมาณ เห็นว่าในประเด็นการแบ่งสัดส่วนรายได้ควรให้คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกพิจารณาถึงแนวทางและหลักเกณฑ์
ตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งเงื่อนไขข้อตกลงร่วมกันระหว่างหน่วยงานเพื่อให้การเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ราชพัสดุเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
โดยให้คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการ ตลอดจนพิจารณาถึงความโปร่งใส คุ้มค่า
ตรวจสอบได้
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามวัตถุประสงค์การพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกอย่างมีประสิทธิภาพ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
37 | ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง มาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในพื้นที่เกาะไข่ ตำบลชุมโค อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร พ.ศ. .... | ทส. | 19/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.อนุมัติหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เรื่อง มาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
ในพื้นที่เกาะไข่ ตำบลชุมโค อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดมาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในพื้นที่บริเวณเกาะไข่
ตำบลชุมโค อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร เพื่อสงวน
คุ้มครอง อนุรักษ์แนวปะการัง และจัดระบบการใช้ประโยชน์ที่ยั่งยืน
รวมทั้งการสร้างความสมบูรณ์ของระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่งที่มีความอุดมสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมกระทรวงมหาดไทย
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงมหาดไทย เห็นควรให้ความสำคัญในการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจและการรับรู้ในการดำเนินมาตรการฯ
ให้กับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและประชาชนในพื้นที่ อาทิ การกำหนดหลักเกณฑ์ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ และการจัดทำเครื่องหมายตามพิกัดที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน
เพื่อป้องกันมิให้เกิดการรุกล้ำเข้าทำการประมงหรือกระทำความเสียหายที่เป็นความผิดตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ฯ ทั้งนี้ ขอให้ดำเนินการตามระเบียบ กฎหมาย มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่ากรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งควรสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับผู้ประกอบการและประชาชนในพื้นที่
รวมถึงนักท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องและทั่วถึง เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการบังคับใช้มาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งให้เกิดประโยชน์ในการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
38 | การออกใบอนุญาตการประกอบกิจการพลังงานให้แก่บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ตามมาตรา 37 แห่งพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 ตามมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ในการประชุมครั้งที่ 3/2568 เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 | กพอ. | 19/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการออกใบอนุญาตการประกอบกิจการพลังงานให้แก่
บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ตามมาตรา ๓๗ แห่งพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ในการประชุมครั้งที่
๓/๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๘ ซึ่งที่ประชุมฯ
ได้มีมติ ดังนี้ ๑) อนุญาตผลิตไฟฟ้า ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง ๑๘ เมกะวัตต์ และอนุญาตจำหน่ายไฟฟ้า
ขนาดความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด ๑๕ เมกะวัตต์ ให้แก่ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ฯ
ระยะเวลา ๒๕ นับแต่วันที่ออกใบอนุญาต ๒)
อนุญาตการประกอบกิจการโรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar) ๓) อนุญาตให้ผลิตพลังงานควบคุม (พค.๒)
ให้แก่ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ฯ ระยะเวลา ๔ ปี นับแต่วันที่ได้รับอนุญาต ๔)
รับทราบการอนุญาตก่อสร้างอาคารโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar)
ให้แก่ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ฯ และ ๕) มอบหมายให้เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
ในฐานะกรรมการและเลขานุการ ปฏิบัติหน้าที่แทนประธาน กพอ ลงนามในใบอนุญาตที่เกี่ยวข้อง
ให้แก่ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ฯ ทั้งนี้
หากคณะรัฐมนตรีรับทราบโดยไม่มีข้อทักท้วงหรือไม่มีความเห็นเป็นอย่างอื่น
ให้ถือว่าคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหรือเห็นชอบตามมติ กพอ. ครั้งที่ ๓/๒๕๖๘ เมื่อวันที่
๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๘ เพื่อ กพอ. จะออกใบอนุญาตฯ ต่อไป ตามที่คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นควรให้บริษัท
บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) คำนึงถึงมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการก่อสร้างอาคารโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์
(Solar) และหลังจากการก่อสร้าง
รวมทั้งการดำเนินการต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์
วิธีการหรือเงื่อนไขตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง และควรนำมาตรการภายใต้กลยุทธ์และยุทธศาสตร์ของแผนสิ่งแวดล้อมในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐ มาประยุกต์ใช้ในการประกอบกิจการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น
การเพิ่มพื้นที่สีเขียวในบริเวณพื้นที่โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรเร่งจัดทำหลักเกณฑ์ วิธีการ
หรือเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องในการออกใบอนุญาตการประกอบกิจการพลังงานตามมาตรา ๓๗
แห่งพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อให้มีขั้นตอนและกรอบระยะเวลาในการพิจารณาอนุมัติ
อนุญาต ให้สิทธิที่ชัดเจน และคำนึงถึงกรอบวัตถุประสงค์ในการกำกับกิจการพลังงานแห่งพระราชบัญญัติการกำกับกิจการพลังงาน
พ.ศ. ๒๕๕๐ โดยเคร่งครัด ทั้งนี้ ในช่วงระหว่างการดำเนินการดังกล่าว
ควรกำหนดให้ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการไฟฟ้าในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกปฏิบัติตามมาตรา
๙๖ แห่งพระราชบัญญัติการกำกับกิจการพลังงาน พ.ศ. ๒๕๕๐ ไปพลางก่อน และกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการไฟฟ้าในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
จัดส่งข้อมูลการผลิต การส่ง และการจำหน่ายไฟฟ้าให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานและกระทรวงพลังงานทราบเป็นระยะ
ๆ เพื่อประโยชน์ในการวางแผนการพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า และการบริหารระบบไฟฟ้าของประเทศในภาพรวม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
39 | ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง มาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในพื้นที่บริเวณเกาะสะเก็ด ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง พ.ศ. .... | ทส. | 19/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง
มาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในพื้นที่บริเวณเกาะสะเก็ด ตำบลมาบตาพุด
อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดมาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในพื้นที่บริเวณเกาะสะเก็ด
ตำบลมาบตาพุด อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง เพื่อสงวนคุ้มครอง อนุรักษ์แนวปะการัง
และจัดระบบการใช้ประโยชน์ที่ยั่งยืน
รวมทั้งการสร้างความสมบูรณ์ของระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่งที่มีความอุดมสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
ที่เห็นควรพิจารณายกเว้นโครงการของหน่วยงานรัฐ
เพื่อประโยชน์ต่อทางราชการและเพื่อประโยชน์สาธารณะ
หรือการดำเนินการเพื่อความปลอดภัยในการเดินเรือ และเป็นการสงวนคุ้มครอง อนุรักษ์
ฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งให้กลับมามีความสมบูรณ์
อันเป็นการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ให้เกิดประโยชน์อย่างยั่งยืน
และช่วยให้ภาคประชาชนและสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการประสานความร่วมมือในการสงวน
คุ้มครอง และอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ไปประกอบการพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย
และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงมหาดไทย เห็นควรให้ดำเนินการตามระเบียบ
กฎหมาย มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่าการกำหนดมาตรการในเรื่องนี้อาจส่งผลต่อกรมเจ้าท่าทำให้ไม่สามารถดำเนินการตามภารกิจด้านโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งทางน้ำและการขุดลอกร่องน้ำในพื้นที่บริเวณที่
๔ จึงควรพิจารณายกเว้นโครงการของหน่วยงานรัฐ
เพื่อประโยชน์ต่อทางราชการและเพื่อประโยชน์สาธารณะหรือการดำเนินการเพื่อความปลอดภัยในการเดินเรือ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
40 | ขอความเห็นชอบให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยปรับขยายเพดานอัตราเงินเดือนขั้นสูงสุด ตามบัญชีโครงสร้างอัตราเงินเดือนระบบ 53 ขั้น | อก. | 19/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
(กนอ.) ปรับขยายเพดานอัตราเงินเดือนขั้นสูงสุดของพนักงานจากเดิมขั้นที่ ๔๖.๕ อัตรา
๑๑๓,๕๒๐ บาท เป็นขั้นที่ ๕๒ อัตรา ๑๓๘,๒๗๐ บาท ซึ่งเป็นไปตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์
และมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๑๙ สิงหาคม ๒๕๖๘) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ระดับ ๑๒ จากอัตรา ๑๑๓,๕๒๐ บาท เป็นอัตรา ๑๓๘,๒๗๐
บาท ระดับ ๑๑ จากอัตรา ๑๐๘,๘๑๐ บาท เป็นอัตรา ๑๓๓,๗๗๐
บาท ระดับ ๑๐ จากอัตรา ๑๐๔,๓๑๐ บาท เป็นอัตรา ๑๒๙,๒๗๐
บาท ระดับ ๙
จากอัตรา ๙๕,๘๑๐ บาท เป็นอัตรา ๑๒๔,๗๗๐
บาท ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงาน ก.พ.ร. ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นว่าเรื่องนี้เป็นการดำเนินการที่มีผลผูกพันทรัพย์สินหรือก่อให้เกิดภาระทางการเงินการคลังแก่รัฐ
โดยจะทำให้ กนอ. มีภาระค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรต่อปีเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ไม่กระทบต่อผลประกอบการในภาพรวมอย่างมีนัยสำคัญ และ กนอ. ควรกำกับติดตามการดำเนินการตามแนวทางการเพิ่มรายได้และประหยัดค่าใช้จ่ายด้วย สำนักงาน ก.พ.ร. เห็นว่ากระทรวงอุตสาหกรรมควรกำกับให้
กนอ. ดำเนินการตามแผนการจัดหารายได้เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรที่เพิ่มขึ้นอย่างเคร่งครัดและกำหนดตัวชี้วัดเพื่อติดตามประเมินผลสำเร็จของแผน |