ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 8 จากทั้งหมด 566 หน้า แสดงรายการที่ 141 - 160 จากข้อมูลทั้งหมด 11307 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
141 | ขออนุมัติผ่อนผันการเข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ ภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าดงพันนาและป่าดงพระเจ้า เพื่อสร้างวัดถ้ำพวง ท้องที่ตำบลปทุมวาปี อำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร | พศ. | 25/02/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่
๑ เอ ตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง จำนวนเนื้อที่ ๑๕ ไร่ เพื่อสร้างวัดถ้ำพวง ท้องที่ตำบลปทุมวาปี
อำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย
และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปดำเนินการต่อไปอย่างเคร่งครัด เช่น กระทรวงมหาดไทย เห็นควรให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ
มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่าในการเข้าดำเนินการใดในพื้นที่ดังกล่าว
สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องและปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน
แก้ไข และติดตามตรวจสอบผลกระทบที่กำหนดไว้ในรายงานข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Accounting Report : EAR) อย่างเคร่งครัดด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
142 | ขอผ่อนผันการเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ เพื่อดำเนินงานขยายเขตไฟฟ้าตามแผนงานขยายเขตไฟฟ้าให้หมู่บ้านในโครงการหมู่บ้านพัฒนาเพื่อความมั่นคงพื้นที่ชายแดนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดแม่ฮ่องสอน | มท. | 25/02/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบผ่อนผันการเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำชั้นที่
๑ เอ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๓๒
เรื่องขอผ่อนผันใช้พื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ
เพื่อก่อสร้างทางเพื่อความมั่นคง และมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์
๒๕๓๘ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำ ภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก
และการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนอื่น ๆ
(ลุ่มน้ำชายแดน)
ซึ่งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติมีมติเห็นชอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นชอบต่อการใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐ
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
เพื่อดำเนินงานขยายเขตไฟฟ้าตามแผนงานขยายเขตไฟฟ้าให้หมู่บ้าน ในโครงการหมู่บ้านพัฒนาเพื่อความมั่นคงพื้นที่ชายแดนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
จังหวัดแม่ฮ่องสอน ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ให้กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค)
รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่าการดำเนินการในพื้นที่ของกรมป่าไม้
จะต้องยื่นคำขออนุญาตใช้พื้นที่โดยเป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๖๕ เรื่อง
ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖ เรื่อง
การดำเนินโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นจะต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่า
และกรณีการดำเนินการก่อสร้างในพื้นที่อุทยานแห่งชาติหรือเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า
จะต้องได้รับอนุมัติ/อนุญาตจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
ก่อนดำเนินการ รวมทั้งต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๒
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๖๒
และระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่าการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจะต้องถือปฏิบัติตามรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
และดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
อย่างเคร่งครัด เนื่องจากการขยายเขตไฟฟ้าดังกล่าวดำเนินการในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่
๑ เอ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวและเปราะบางทางระบบนิเวศ
รวมทั้งควรดำเนินโครงการให้เป็นไปตามแผนงาน โดยลดผลกระทบต่อระบบนิเวศให้มากที่สุด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
143 | ขอผ่อนผันการเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ก่อนได้รับอนุญาตและยังไม่ได้ยื่นคำขออนุญาตภายในระยะเวลาตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2563 และเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง | ทส. | 25/02/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
ดังนี้ ๑.๑ ผ่อนผันให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่ได้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ก่อนได้รับอนุญาตและยังไม่ได้ยื่นคำขออนุญาตในระยะเวลาที่กำหนดตามมติดณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๓ (เรื่อง การเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้
และขอผ่อนผันมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๒๓
ในกรณีที่ปรากฏว่ายังมีส่วนราชการใดเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ก่อนได้รับอนุญาต)
และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔ (เรื่อง
ขอขยายเวลาในการยื่นคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๓) สามารถยื่นคำขออนุญาตได้ภายใน ๑๘๐
วัน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติในครั้งนี้ (ภายในวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๘)
โดยโครงการที่ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐจะขอยื่นคำขออนุญาตดังกล่าวข้างต้นได้
จะต้องเป็นโครงการที่ได้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ก่อนวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๓
เท่านั้น
และให้ทุกส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการยื่นคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้
ให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในกำหนดเวลาข้างต้น (ภายในวันที่
๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๘) อย่างเคร่งครัด โดยไม่ต้องจัดสรรงบประมาณค่าปลูกป่าทดแทนตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๙ สิงหาคม ๒๕๖๕ (เรื่อง ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖ เรื่อง
การดำเนินโครงการใด ๆ
ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นจะต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่า) ๑.๒
อนุมัติให้คณะกรรมการพิจารณาการใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เป็นผู้อนุญาตให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่ได้ยื่นคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่ป่าเพื่อการอนุรักษ์เพิ่มเติม
(Zone C) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๓ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔
และคำขออนุญาตที่ได้รับการผ่อนผันตามข้อ ๑.๑
ใช้พื้นที่หรือเข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติที่ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่ป่าเพื่อการอนุรักษ์เพิ่มเติม
(Zone C) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๓๕ (เรื่อง
การจำแนกเขตการใช้ประโยชน์ทรัพยากรและที่ดินป่าไม้ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ)
และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๓๕ (เรื่อง
ผลการจำแนกเขตการใช้ประโยชน์ทรัพยากรและที่ดินป่าไม้
ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติเพิ่มเติม) ๑.๓. ผ่อนผันให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่ได้ยื่นคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๓ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔ และคำขออนุญาตที่ได้รับการผ่อนผันตามข้อ
๑.๑ ใช้พื้นที่หรือเข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่ป่าไม้ที่ถูกกำหนดเป็นเขตกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำชั้นที่
๑ เอ ได้ โดยไม่ต้องเสนอขอผ่อนผันมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการห้ามใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่
๑ เอ เป็นรายกรณีอีก ทั้งนี้ ให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐดังกล่าว ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ตามรายงานข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม
(Environmental Accounting
Report : EAR) กำหนด
และต้องปฏิบัติตามมาตรการการใช้ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ อย่างเคร่งครัด ๑.๔ ผ่อนผันให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่ได้ยื่นคำขออนุญาตตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๓ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔
และคำขออนุญาตที่ใด้รับการผ่อนผัน ตามข้อ ๑.๑
ที่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องเข้าไปปรับปรุง ซ่อมแซม และบำรุงรักษาสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่ตามคำขออนุญาตที่ได้ยื่นไว้ตามแต่กรณี
สามารถของบประมาณและเข้าไปดำเนินการดังกล่าวได้ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
กระทรวงมหาดไทย สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงบประมาณ รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงคมนาคม เห็นควรให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
พิจารณาเพิ่มช่องทางเพื่อสร้างการรับรู้
และความเข้าใจเกี่ยวกับการเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้กับทุกภาคส่วนอย่างทั่วถึง
เพื่อลดผลกระทบจากปัญหาการเข้าใช้พื้นที่ป่าไม้ก่อนได้รับอนุญาต สำนักงบประมาณ เห็นควรให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประสานหน่วยงานเจ้าของพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงการใช้ประโยชน์ในพื้นที่และสภาพพื้นที่ป่าให้เป็นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ หลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
144 | การปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐ และการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินของราษฎร กรณีพื้นที่นิคมสร้างตนเอง ลำน้ำน่าน จังหวัดอุตรดิตถ์ | สคทช | 25/02/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบแนวทางการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐเพื่อแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินของราษฎร
กรณีพื้นที่นิคมสร้างตนเองลำน้ำน่าน จังหวัดอุตรดิตถ์ บริเวณที่ ๑ - ๕ ได้แก่ ๑)
พื้นที่นิคมสร้างตนเองลำน้ำน่านทับซ้อนอุทยานแห่งชาติลำน้ำน่าน ๒)
พื้นที่นิคมสร้างตนเองลำน้ำน่านทับซ้อนวนอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำลี ๓) พื้นที่นิคมสร้างตนเองลำน้ำน่านทับซ้อนเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
๔) พื้นที่นิคมสร้างตนเองลำน้ำน่านทับซ้อนพื้นที่ป่าอนุรักษ์ และ ๕) พื้นที่นิคมสร้างตนเองลำน้ำน่านซึ่งได้จัดที่ดินให้ราษฎรผู้ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนสิริกิติ์
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเสนอ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
(กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
(สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
(กรมป่าไม้ และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช) เร่งรัดดำเนินการแก้ไขแผนที่แนบท้ายกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับแนวทางการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐฯ
ที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเสนอในครั้งนี้ให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายใน
๑๘๐ วัน ๓.
ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย
สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น กระทรวงมหาดไทย เห็นควรพิจารณาดำเนินการอย่างรอบคอบ
และเป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
เห็นว่าการดำเนินการต้องเป็นไปตามระเบียบ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
และคำนึงถึงการสร้างสมดุลการใช้ประโยชน์ที่ดินและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
145 | แนวทางการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้า | กค. | 25/02/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้าสำหรับผู้ถือบัตรฯ Version ๒.๕ ที่ใช้เกินวงเงิน
ดังนี้ (๑) ยกเลิกการชำระค่าโดยสารได้เกินวงเงิน ๕๐๐ บาท ๑ ครั้งต่อเดือน
โดยวงเงินที่เกินจะนำไปหักจากวงเงินในเดือนถัดไป (มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗
กรกฎาคม ๒๕๖๑) และ (๒) ให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) ดำเนินการ ดังนี้ ๑)
ผู้ที่ไม่ผ่านคุณสมบัติตามโครงการลงทะเบียนฯ ปี ๒๕๖๕ ที่ใช้สิทธิเกินวงเงิน จำนวน
๒๔๖ ราย จำนวนเงิน ๑๒,๔๙๖ บาท
ให้กรมบัญชีกลางนำจำนวนเงินค่าโดยสารที่ใช้เกินข้างต้นเบิกจ่ายจากกองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมชำระให้แก่
รฟม. แทนผู้ที่ไม่ผ่านคุณสมบัติดังกล่าว และ ๒) ผู้ที่ผ่านคุณสมบัติตามโครงการลงทะเบียนฯ
ปี ๒๕๖๕ ที่ใช้สิทธิเกินวงเงินและยืนยันตัวตนแล้ว จำนวน ๓๕๖ ราย จำนวนเงิน ๑๕,๗๙๓ บาท ให้นำจำนวนเงินค่าโดยสารที่ใช้เกินไปหักจากวงเงินในเดือนถัดไป ตามที่คณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมเสนอ
ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงคมนาคม เห็นว่าคณะกรรมการฯ อาจพิจารณาปรับเพิ่มวงเงินค่าเดินทางผ่านระบบขนส่งสาธารณะจาก
๗๕๐ บาท ต่อคนต่อเดือน เป็น ๑,๕๐๐ บาท
ต่อคนต่อเดือน โดยไม่จำกัดวงเงินตามประเภทรถ ซึ่งในส่วนของกระทรวงคมนาคม
ได้ดำเนินมาตรการค่าโดยสารรถไฟฟ้า ๒๐ บาท ตลอดสาย
ตามนโยบายของรัฐบาลสำหรับการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง)
และโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง)
เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชน และส่งเสริมการใช้ระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน
ซึ่งการเพิ่มวงเงินจะทำให้ผู้โดยสารมีวงเงินสำหรับการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าทั้งไปและกลับในโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนทางรางได้มากยิ่งขึ้น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรมอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย
และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมกันเร่งพิจารณาแนวทางการกำหนดให้ผู้ให้บริการระบบขนส่งสาธารณะจัดให้มีระบบการตรวจสอบสิทธิที่เพียงพอและพัฒนาบัตรประจำตัวประชาชนให้สามารถรองรับการบริการต่าง
ๆ ของภาครัฐ รวมถึงระบบขนส่งสาธารณะแบบทันที (Real-time)
ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะเป็นกลไกที่สำคัญของการพัฒนายกระดับบริการภาครัฐให้เป็นรัฐบาลดิจิทัลต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
146 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม) | อว. | 25/02/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรีของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จำนวน ๓ คณะ ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๕ กุมภาพันธ์
๒๕๖๘) เป็นต้นไป ดังนี้ ๑. คณะกรรมการกำหนดนโยบายและกำกับดูแลโครงการห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียนโดยการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัย
(โครงการ วมว.) ๒.
คณะกรรมการบริหารโครงการห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียนโดยการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัย
(โครงการ วมว.) ๓. คณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลสถาบันไทยโคเซ็น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
147 | ขอความเห็นชอบอนุมัติใช้จ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2567 เพิ่มเติม และขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพิ่มเติม | มท. | 18/02/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพิ่มเติมอีก จำนวนเงิน ๓,๖๕๓.๗๒๑ ล้านบาท และพื้นที่ดำเนินการเพิ่มเติม
ในพื้นที่จังหวัดระนอง ทั้งนี้ ครัวเรือนที่จะได้รับความช่วยเหลือในกรณีนี้
จะต้องไม่เป็นครัวเรือนที่ได้รับความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝนปี ๒๕๖๗
มาแล้ว
โดยให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นหน่วยรับงบประมาณและจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัย
ผ่านธนาคารออมสิน ให้เบิกจ่ายในงบเงินอุดหนุนลักษณะเงินอุดหนุนทั่วไป
รวมทั้งให้สามารถถัวจ่ายข้ามจังหวัดได้ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
(หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๐๔/๒๘๙๙ ลงวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘) ที่เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งปฏิบัติตามหลักเกณฑ์
วิธีการ เงื่อนไข และอัตราค่าใช้จ่ายที่มีแล้ว ให้ทันต่อสถานการณ์ และตรวจสอบการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยให้มีความชัดเจน
ไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน ตลอดจนจัดให้มีระบบการติดตามและรายงานผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง
และปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
148 | ขอความเห็นชอบกรอบค่าใช้จ่ายสำหรับแผนอนุรักษ์โลมาอิรวดีทะเลสาบสงขลา (พ.ศ. 2567-2571) | กค. | 18/02/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติกรอบค่าใช้จ่ายสำหรับแผนอนุรักษ์โลมาอิรวดีทะเลสาบสงขลา
ในระยะ ๕ ปีแรก วงเงิน ๔๐๒.๘๑๘ ล้านบาท
โดยให้ใช้จ่ายจากเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ และกองทุนส่งเสริม วิทยาศาสตร์ วิจัย
และนวัตกรรม เป็นลำดับแรก หากไม่เพียงพอ
มอบหมายให้หน่วยงานผู้ดำเนินงานภายใต้แผนอนุรักษ์โลมาอิรวดีฯ ได้แก่
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
และกรมประมงเสนอขอรับจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี
และ/หรือแหล่งเงินอื่นเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับแผนงานที่รับผิดชอบต่อไป และมอบหมายให้กระทรวงการคลังนำขอบเขตงาน
ตัวชี้วัด และกรอบค่าใช้จ่ายสำหรับแผนอนุรักษ์โลมาอิรวดีทะเลสาบสงขลา ในระยะ ๕
ปีแรก ดำเนินการเจรจาเงินกู้กับธนาคารโลก
พร้อมจัดทำรายละเอียดของเอกสารที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งให้หน่วยงานดำเนินงานภายใต้แผนอนุรักษ์โลมาอิรวดีฯ
สามารถดำเนินการควบคู่ไปกับการก่อสร้างโครงการสะพานข้ามทะเลสาบสงขลาฯ
ของกรมทางหลวงชนบท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงคมนาคม เห็นควรให้กระทรวงการคลังพิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย
กฎ ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
149 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แนวทางการจัดเที่ยวบินขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์ | มท. | 18/02/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓ กรกฎาคม ๒๕๖๑ (เรื่อง แนวทางการจัดเที่ยวบินขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์)
ในประเด็นการกำหนดสายการบินในการขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์ จาก กำหนดให้สายการบินแห่งชาติที่รัฐบาลประเทศชาอุดีอาระเบียมอบหมาย
และบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)
รับผิดชอบในการขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์ชาวไทยแบบเช่าเหมาลำตามความตกลงระหว่างคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทยกับกระทรวงฮัจย์และอุมเราะห์
และกรมการบินพลเรือนซาอุดีอาระเบีย ที่จะมีขึ้นในแต่ละปี ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี พ.ศ.
๒๕๖๒ เป็นต้นไป เป็น การขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์ชาวไทยให้ดำเนินการตามความตกลงระหว่างคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทยกับกระทรวงฮัจย์และอุมเราะห์
และสำนักงานการบินพลเรือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียที่จะมีขึ้นในแต่ละปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๖๙ เป็นต้นไป และยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๐ เมษายน ๒๕๖๔ (เรื่อง แนวทางการจัดเที่ยวบินขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์)
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ให้กระทรวงมหาดไทย
คณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงคมนาคม สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงคมนาคม เห็นว่าในการทำความตกลงให้คณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทยกับกระทรวงฮัจย์และอุมเราะห์
และสำนักงานการบินพลเรือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียที่จะมีขึ้นในแต่ละปี ตั้งแต่ปี
พ.ศ. ๒๕๖๙ เป็นต้นไป ควรคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดต่อผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์ชาวไทย และดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
150 | รายงานผลการเรียกให้ทุนหมุนเวียนนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ปีบัญชี 2567 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2567 | กค. | 11/02/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
151 | ขอเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันรายการค่าควบคุมงานก่อสร้าง อาคารที่ทำการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (แห่งใหม่) พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ | ตผ. | 11/02/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเพิ่มวงเงินรายการค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
(แห่งใหม่) พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ
จากวงเงินเดิมที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ก่อหนี้ผูกพันไว้เดิม จำนวน ๗๖,๘๐๐,๐๐๐ บาท
เป็น ๘๔,๓๗๑,๙๑๖ บาท ตามนัยข้อ ๗ (๓) ของระเบียบว่าด้วยการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๒ สำหรับวงเงินของรายการค่าควบคุมงานก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว
ให้ใช้จ่ายจากเงินรายได้ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินสมทบเงินงบประมาณรายจ่าย
ร้อยละ ๓๐ และใช้จ่ายจากเงินงบประมาณรายจ่าย ร้อยละ ๗๐
โดยปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี
และสัญญาที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
และต่อรองราคาตามสัดส่วนผลงานที่ผู้ให้บริการได้เข้าควบคุมงานจริงจนถึงที่สุดด้วย
เพื่อจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณในการเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
ที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุมและกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินดังกล่าวให้เป็นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
152 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยเหลือผู้ซึ่งออกจากราชการตามโครงการเกษียณอายุราชการก่อนกำหนดของกระทรวงกลาโหม พ.ศ. .... | กค. | 11/02/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยเหลือผู้ซึ่งออกจากราชการตามโครงการเกษียณอายุราชการก่อนกำหนดของกระทรวงกลาโหม
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้มีสิทธิเข้าร่วมโครงการเกษียณอายุราชการก่อนกำหนดของกระทรวงกลาโหม
ปีงบประมาณ พุทธศักราช ๒๕๖๘ - ๒๕๗๐
รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการดำเนินโครงการดังกล่าว ทั้งนี้
เพื่อให้การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ซึ่งออกจากราชการตามโครงการเกษียณอายุราชการก่อนกำหนดของกระทรวงกลาโหมเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมายและสอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๙ กรกฎาคม ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงกลาโหมรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นว่าสิทธิประโยชน์ที่จะจ่ายให้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการฯ
ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ เห็นควรให้กระทรวงกลาโหมใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ แผนงานบุคลากรภาครัฐที่ได้รับจัดสรร สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๙ - ๒๕๙๐ และจัดทำแผนการบริหารอัตรากำลังพลที่ว่างลงจากการมีผู้เข้าร่วมโครงการฯ
และแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม รวมทั้งรายงานผลการดำเนินโครงการฯ
ในแต่ละปีให้สำนักงบประมาณทราบ
เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาในการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี
แผนงานบุคลากรภาครัฐของกระทรวงกลาโหมต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งจัดทำกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวข้องให้มีรายละเอียดของหลักเกณฑ์
เงื่อนไข และวิธีการในการดำเนินการที่ชัดเจน
โดยให้ยึดหลักการของประเด็นการปฏิรูปประเทศที่ต้องจัดทำโครงสร้างเงินเดือนและผลประโยชน์ตอบแทนอื่นที่ได้มาตรฐานและเกิดความเป็นธรรม
ตลอดจนคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
153 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2565 เพื่อขยายระยะเวลาตรึงกรอบอัตรากำลังขององค์การมหาชนและการขอทบทวนกรอบอัตรากำลังขององค์การมหาชน | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนเสนอ
ดังนี้ ๑. ให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม
๒๕๖๕ เรื่อง การกำหนดและทบทวนกรอบอัตรากำลังขององค์การมหาชนให้มีขนาดที่เหมาะสม
ดังนี้ ๑.๑
ขยายระยะเวลาการตรึงกรอบอัตรากำลังขององค์การมหาชนจาก “สิ้นสุดในปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๗” เป็น “สิ้นสุดในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๗๐” ๑.๒
มอบหมายให้คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนพิจารณาทบทวน ปรับปรุงกรอบอัตรากำลังขององค์การมหาชนในกรณีที่ไม่เพิ่มกรอบอัตรากำลังภาพรวม
เพื่อให้สอดคล้องตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๖๕ เรื่อง การกำหนดและทบทวนกรอบอัตรากำลังขององค์การมหาชนให้มีขนาดที่เหมาะสม ๒. ให้เพิ่มอัตรากำลังแก่สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ
(องค์การมหาชน) จำนวน ๑๖ อัตรา และสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน)
จำนวน ๔๖ อัตรา โดยมีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติและมีเงื่อนไขว่า
สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) และสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน)
ต้องควบคุมกรอบวงเงินรวมค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร
หากมีค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรเกินอัตราที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
ให้คืนอัตรากำลังดังกล่าวภายใน ๑ ปี โดยพิจารณาระยะเวลาของสัญญาจ้างให้เหมาะสมกับลักษณะงาน
สอดคล้องหรือรองรับหลักเกณฑ์การคืนอัตรากำลังตามเงื่อนไขข้างต้น ให้คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน
สำนักงาน ก.พ.ร. สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ
(องค์การมหาชน) สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงกลาโหม
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงคมนาคม กระทรวงแรงงาน สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ
(องค์การมหาชน) รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงยุติธรรม และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เห็นว่าหากสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน
(องค์การมหาชน) ได้รับมอบภารกิจซึ่งเป็นนโยบายจากรัฐบาล
หรือรับผิดชอบการบริหารโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ ให้หน่วยงานสามารถจัดสรร
หรือเกลี่ยอัตรากำลังบุคลากรทั้งที่ปฏิบัติภารกิจสนับสนุนและปฏิบัติภารกิจหลักได้อย่างยืดหยุ่นสอดคล้องกับภารกิจที่ได้รับมอบหมายภายใต้กรอบอัตรากำลังภาพรวม
จำนวน ๓๑๐ อัตรา
ตามหนังสือสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ด่วนที่สุด ที่ นร ๑๒๐๓/๓๑๑
ลงวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๕ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
154 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ | อก. | 11/02/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ
จากเดิม อนุมัติให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ
ในส่วนของการทดสอบเพื่อรองรับรายการมาตรฐานที่จะบังคับหรือที่ต้องดำเนินการตามพันธกรณีข้อตกลงอาเซียน
จำนวน ๒๑ รายการ โดยใช้รูปแบบเดียวกันกับการจัดหาเครื่องมือทดสอบสำหรับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมบังคับ
คือ ให้เป็นการลงทุนเองของภาครัฐเฉพาะในส่วนนี้ โดยมีวงเงินงบประมาณรวม ๓,๗๐๕.๗ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้ดำเนินการจนแล้วเสร็จในช่วงปี
พ.ศ. ๒๕๕๙ - ๒๕๖๗ เป็น ให้ดำเนินการจนแล้วเสร็จในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๙ - ๒๕๗๐ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดการดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในปี
๒๕๗๐ อย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่าหากมีการดำเนินการในพื้นที่ป่า
ให้ปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
155 | มาตรการลดผลกระทบฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ระยะวิกฤติ ระหว่างวันที่ 25 - 31 มกราคม 2568 ภาคการคมนาคมในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล และขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับดำเนินการตามมาตรการวงเงิน 190.43 ล้านบาท | คค. | 11/02/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน ๑๙๐.๔๓
ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม
และกรุงเทพมหานครในการดำเนินการตามมาตรการลดผลกระทบฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ระยะวิกฤติ
ระหว่างวันที่ ๒๕ - ๓๑ มกราคม ๒๕๖๘ ตามปริมาณผู้โดยสารที่เกิดขึ้นจริง
โดยไม่เกินกรอบวงเงินดังกล่าว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ
ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๐๙/๒๕๕๙ ลงวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
156 | ขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีที่ห้ามใช้ประโยชน์ในเขตป่าที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้รักษาไว้เป็นสมบัติของชาติป่าฝั่งซ้ายห้วยศาลาพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ เพื่อดำเนินโครงการพัฒนาบริเวณจุดชมวิวผาพญากูปรีท้องที่ตำบลไพรพัฒนาอำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ | มท. | 11/02/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๓๑ (เรื่อง
มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำมูลและชีและข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำ)
และวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๓๒ (เรื่อง ขอผ่อนผันใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่
๑ เอ เพื่อก่อสร้างทางเพื่อความมั่นคง) เพื่อใช้ประโยชน์ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑
เอ เนื้อที่ ๑๔ ไร่ ๒ งาน
ในการดำเนินโครงการพัฒนาบริเวณจุดชมวิวผาพญากูปรี ตำบลไพรพัฒนา อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงคมนาคม เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม
รวมทั้งดำเนินการตามพระราชบัญญัติทางหลวง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๙ อย่างเคร่งครัด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
157 | การขยายระยะเวลาการต่ออายุใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวในลักษณะ MOU ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567 | รง. | 04/02/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบการขยายระยะเวลาการต่ออายุใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวในลักษณะ MOU ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๗
ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ๒. เห็นชอบ ๒.๑
ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
การอนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะ สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา
ลาว เมียนมา
และเวียดนามซึ่งได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวถึงวันที่ ๑๓
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๗ (ฉบับที่ ..) ๒.๒
ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะ
สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา
และเวียดนามซึ่งได้รับอนุญาตให้ทำงานถึงวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๗ (ฉบับที่ ..) ๒.๓
ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษสำหรับคนต่างด้าวสัญชาติลาวและเวียดนามตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
.... ๒.๔
ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง
การอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษสำหรับคนต่างด้าวสัญชาติลาวและเวียดนามตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
.... รวม
๔ ฉบับ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๓.
ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่า โดยที่แนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการจัดการการทำงานของคนต่างด้าวที่กระทรวงแรงงานได้เสนอมาในครั้งนี้
ซึ่งจะต้องมีการออกประกาศตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒
และพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๖๐
เพื่อให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเพื่อขออนุญาตทำงานให้ถูกต้อง และมิให้เกิดปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่จะมีผลกระทบกับเศรษฐกิจของประเทศ
และโดยที่การออกประกาศที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดผลดังกล่าวและเกิดความต่อเนื่องจึงมีกรอบระยะเวลาสำหรับการดำเนินการที่จำกัด
สมควรที่กระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้พิจารณาและมีความเห็นในสาระสำคัญของร่างประกาศที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปในแนวทางเดียวกันตั้งแต่ในชั้นการเสนอร่างประกาศ
เพื่อประโยชน์ต่อการตรวจพิจารณาร่างประกาศดังกล่าวของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
158 | การเร่งรัดการดำเนินการเบิกจ่ายงบลงทุนของทุกส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ | นร. | 04/02/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากการประชุมเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ และเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๗ เมื่อวันที่ ๓
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ เพื่อติดตามความคืบหน้าในการเบิกจ่ายงบประมาณของส่วนราชการ
และจะมีการประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าของเรื่องดังกล่าวอีกครั้งในเดือนมีนาคม
๒๕๖๘ นี้ นั้น เพื่อให้การใช้จ่ายเงินงบประมาณของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ
และหน่วยงานของรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงบลงทุน
สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้โดยเร็ว
อันจะส่งผลดีต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในวงกว้าง จึงขอมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี
(นายพิชัย ชุณหวชิร)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรับไปประสานกับสำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อเร่งรัดติดตามการดำเนินการเบิกจ่ายงบประมาณของทุกส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ
และหน่วยงานของรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงบลงทุน ให้แล้วเสร็จโดยเร็วและบรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด
ทั้งนี้ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐดำเนินการให้ถูกต้อง โปร่งใส เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
159 | การสรรหาพันธมิตรของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย | กค. | 04/02/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการสรรหาพันธมิตรร่วมลงทุนของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) โดยสรรหาพันธมิตรร่วมลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มีความรู้
ความเชี่ยวชาญด้านการเงินตามหลักศาสนาอิสลามเพื่อเข้าร่วมลงทุนใน ธอท.
โดยให้คำนึงถึงผลประโยชน์ร่วมกันอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม
และให้ความสำคัญกับการให้บริการในทุกพื้นที่ที่มีชาวไทยมุสลิม เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับ
ธอท. ในการให้บริการทางการเงินที่ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลาม
รองรับความต้องการของชาวไทยมุสลิมได้อย่างยั่งยืน รวมทั้งกระทรวงการคลังจะไม่เพิ่มทุนใน
ธอท. โดยการสรรหาพันธมิตรร่วมลงทุนจะต้องไม่ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของกระทรวงการคลังใน
ธอท. ต่ำกว่าร้อยละ ๑๐ ในช่วง ๑ ปี นับจากวันที่การสรรหาพันธมิตรร่วมลงทุนเสร็จสมบูรณ์
และพันธมิตรร่วมลงทุนจะต้องมีข้อเสนอเกี่ยวกับการดูแลพนักงาน ธอท.
ที่เหมาะสมและเป็นธรรม ขั้นตอนการสรรหาพันธมิตรร่วมลงทุนให้ดำเนินการให้เป็นตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
และมอบหมายให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณารายละเอียดการถือหุ้น วิธีการ
ราคาและสัดส่วนการถือหุ้นของกระทรวงการคลังที่เหมาะสม
โดยให้พิจารณาให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
160 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือการส่งเสริมด้านการลงทุนในสาขาเศรษฐกิจดิจิทัลระหว่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกกับกระทรวงพาณิชย์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน | สกพอ. | 04/02/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือการส่งเสริมด้านการลงทุนในสาขาเศรษฐกิจดิจิทัลระหว่างสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกกับกระทรวงพาณิชย์
สาธารณรัฐประชาชนจีน และอนุมัติให้เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจฯ
ของฝ่ายไทย โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมความร่วมมือในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจดิจิทัลระหว่างไทย-จีน
โดยดำเนินการในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะด้านการลงทุนภายในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เช่น
(๑) พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล (๒) สนับสนุนอุตสาหกรรมเป้าหมายด้านดิจิทัล (๓)
ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสาร เช่น
เครือข่ายบรอดแบนด์และระบบนำทางด้วยดาวเทียม (๔) พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะ
เช่น ระบบ AI
และเทคโนโลยีเมืองอัจฉริยะ และ (๕) พัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล เช่น
ระบบการชำระเงินที่มีประสิทธิภาพ ระบบโลจิสติกส์อัจฉริยะ และคลังสินค้าอัจฉริยะ
รวมทั้งแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทางด้านดิจิทัลและนวัตกรรมทางเทคโนโลยีระหว่างกัน
ทั้งนี้ ร่างบันทึกความเข้าใจฯ จะมีผลบังคับใช้เป็นเวลา ๓ ปี นับตั้งแต่วันที่ลงนาม
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๒.
ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ
เอกชน และสถาบันการศึกษา โดยเฉพาะกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนาด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
เพื่อสามารถเชื่อมโยง ขยายผล และต่อยอดการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล
ภายใต้กรอบความร่วมมือของร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวไปยังพื้นที่อื่น
ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประเทศด้วยการสร้างมูลค่าจากนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลได้ยั่งยืน
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|