ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 9 จากทั้งหมด 569 หน้า แสดงรายการที่ 161 - 180 จากข้อมูลทั้งหมด 11372 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
161 | ขอผ่อนผันการเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ เพื่อดำเนินงานก่อสร้างระบบจำหน่ายไฟฟ้า 22 kV ช่วงสถานีไฟฟ้ากาญจนบุรี 4 ถึงจุดผ่านแดนถาวรบ้านพุน้ำร้อน ตำบลบ้านเก่า อำเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ตามโครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าเพื่อรองรับการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ระยะที่ 2 และงานก่อสร้างสายส่งไฟฟ้า 115 kV ช่วงสถานีไฟฟ้ากาญจนบุรี 4 ถึงสถานีไฟฟ้าบริเวณพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมกาญจนบุรี | มท. | 08/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการผ่อนผันการเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่
๑ เอ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๓๒ เรื่อง
ขอผ่อนผันใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ เพื่อก่อสร้างทางเพื่อความมั่นคง
และมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก
และการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนอื่น ๆ
(ลุ่มน้ำชายแดน) เพื่อดำเนินงานก่อสร้างระบบจำหน่ายไฟฟ้า ๒๒ kV ช่วงสถานีไฟฟ้ากาญจนบุรี ๔ ถึงจุดผ่านแดนถาวร บ้านพุน้ำร้อน
ตำบลบ้านเก่า อำเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี
ตามโครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าเพื่อรองรับการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ระยะที่ ๒ และงานก่อสร้างสายส่งไฟฟ้า
๑๑๕ kV ช่วงสถานีไฟฟ้ากาญจนบุรี ๔
ถึงสถานีไฟฟ้าบริเวณพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมกาญจนบุรี ซึ่งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติมีมติเห็นชอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเห็นด้วยกับแผนงานก่อสร้างดังกล่าว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ให้กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค)
รับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงพลังงาน สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย กระทรวงคมนาคม เห็นควรให้โครงการนำมาตรการการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม
พร้อมทั้งกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องไปปฏิบัติอย่างเคร่งครัด และการดำเนินการก่อสร้างใด
ๆ ในเขตทางหลวงจะต้องขออนุญาตจากกรมทางหลวงตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงจะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ใช้เส้นทางเป็นสำคัญ สำนักงบประมาณ เห็นควรให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๙ สิงหาคม ๒๕๖๕ เรื่อง ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖ เรื่อง
การดำเนินโครงการใด ๆ
ของหน่วยงานของรัฐที่มีความจำเป็นจะต้องเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่า หากมีค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการ
ให้พิจารณาใช้จ่ายจากเงินรายได้ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
162 | รายงานผลการดำเนินงานและขอขยายเวลาการดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ลูกหนี้ธนาคารของรัฐ 4 แห่ง | กษ. | 08/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
ดังนี้ ๑. รับทราบผลดำเนินการโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรลูกหนี้ธนาคารของรัฐ
๔ แห่ง ๒.
เห็นชอบให้เกษตรกรที่ได้รับสิทธิเข้าร่วมโครงการฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑
ธันวาคม ๒๕๖๗
ต้องเป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนหนี้ตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรถูกต้องครบถ้วนแล้ว
และเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non -
Performing Loan : NPLs) ภายในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ ๓. เห็นชอบให้ธนาคารของรัฐทั้ง ๔ แห่ง
คิดดอกเบี้ยและเบิกจ่ายเงินชดเชยเงินต้นครึ่งหลัง (ร้อยละ ๕๐)
ที่พักไว้ทั้งจำนวนของเกษตรกร จำนวน ๑๖,๗๙๔ ราย และที่แจ้งเพิ่มเติมภายหลังที่ได้รับสิทธิเข้าร่วมโครงการฯ
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๗ ได้ถึงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๗
ทั้งนี้ ให้ธนาคารของรัฐ ๔ แห่ง ต้องควบคุมกรอบวงเงินที่ได้รับจัดสรรของแต่ละธนาคาร
โดยไม่เกินกรอบวงเงินรวมทั้งสิ้น จำนวน ๑๕,๔๘๑.๖๖ ล้านบาท
ตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้เมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๖๖ ๔. เห็นชอบให้ขยายเวลาการดำเนินโครงการฯ
ตั้งแต่วันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๘ โดยให้ระยะเวลาในการดำเนินโครงการสิ้นสุดลงภายใน ๑๕๐
วัน นับจากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ทั้งนี้
ต้องเป็นเกษตรกรที่ได้รับสิทธิเข้าร่วมโครงการฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒
มีนาคม ๒๕๖๕ และ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๗ ที่มาแสดงความประสงค์เข้าร่วมโครงการฯ
ภายในวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๘ โดยกำหนดแนวทางปฏิบัติ ดังนี้ ๔.๑
ให้เกษตรกรและสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (กฟก.)
ส่งมอบเอกสารแบบแสดงความประสงค์เข้าร่วมโครงการฯ (ปคน.๑) (ปคน.๒) และแบบ (ผค.๑/๔) ให้สถาบันเจ้าหนี้ให้แล้วเสร็จ
ภายใน ๑๒๐ วัน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ๔.๒
ให้สถาบันเจ้าหนี้ดำเนินการทำสัญญาให้แล้วเสร็จ ภายใน ๑๕๐ วัน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ๔.๓
ในกรณีที่เกษตรกรไม่สามารถทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ได้แล้วเสร็จ ภายใน ๑๕๐ วัน
เช่น ติดปัญหาเรื่องหลักประกัน
หรืออยู่ระหว่างการดำเนินการทางกฎหมายหรืออยู่ระหว่างการดำเนินการของส่วนราชการ
ให้ขยายระยะเวลาการทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้กับธนาคารออกไปอีกแต่ไม่เกิน ๑๕๐ วัน
นับแต่วันที่ศาล มีคำสั่ง หรือคำพิพากษาถึงที่สุด หรือวันที่ได้รับแจ้งผลการดำเนินการจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ๔.๔
มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกับธนาคารของรัฐทั้ง ๔ แห่ง นำมติคณะรัฐมนตรีไปดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในกรอบการขยายเวลาข้างต้นตามที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
(สำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และธนาคารแห่งประเทศไทย
รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการคลังไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นควรที่สำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้ร่วมกันกำหนดหลักเกณฑ์
แนวทาง และขั้นตอนการดำเนินการตามโครงการฯ ในแต่ละส่วนให้มีความชัดเจน เพื่อลดปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการฯ
ตลอดจนจัดทำรายละเอียดข้อมูลจำนวนเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ
และภาระหนี้ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยของเกษตรกรแต่ละรายให้ชัดเจน เพื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรีทราบเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินโครงการ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรสนับสนุนให้เกษตรกรจัดทำแผนฟื้นฟูและพัฒนาอาชีพเกษตรกรที่สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่และความพร้อมของเกษตรกรในการผลิตสินค้าเกษตร
ผลิตภัณฑ์ที่มีโอกาสและช่องทางการตลาดที่ชัดเจน
พร้อมทั้งร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสนับสนุนและผลักดันให้เกษตรกรดำเนินการได้ตามแผนที่วางไว้
เพื่อสร้างรายได้ที่เพียงพอและมีความยั่งยืนในการประกอบอาชีพ
ตลอดจนการเสริมสร้างวินัยด้านการเงินให้กับเกษตรกร
เพื่อป้องกันปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในอนาคตอีก
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
163 | บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งเนปาล | กก. | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งเนปาล
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา หรือผู้แทน
เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งเนปาล
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวผ่านการจัดกิจกรรมส่งเสริมและประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยว
ควบคู่ไปกับการแลกเปลี่ยนข้อมูล สถิติ และประสบการณ์การดำเนินงานด้านการท่องเที่ยว
โดยเฉพาะการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
รวมถึงสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญเฉพาะในสาขาการท่องเที่ยวและการบริการ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรมุ่งเน้นการประชาสัมพันธ์และจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวที่ชาวเนปาลให้ความสนใจ
โดยเฉพาะการท่องเที่ยวเชิงศรัทธาตามรอยวัฒนธรรมและความเชื่อ
และการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและการผจญภัย
ซึ่งเป็นจุดแข็งการท่องเที่ยวของประเทศไทยที่สามารถดึงดูดความสนใจให้นักท่องเที่ยวชาวเนปาลเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวและทำกิจกรรมในประเทศไทยมากขึ้น
และควรมุ่งเน้นการสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในการใช้ประโยชน์จากการพัฒนาความร่วมมือของทั้งสองประเทศให้มีความสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ตลอดจนมีการติดตามและประเมินผลความร่วมมือดังกล่าว
เพื่อนำผลที่ได้ไปต่อยอดสู่การขยายความร่วมมือในด้านอื่น ๆ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
164 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในสาขาเทคโนโลยีดิจิทัลระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งรัฐบาลสาธารณรัฐอินเดีย | ดศ. | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคโนโลยีดิจิทัลระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและกระทรวงอิเล็กทรอนิกส์และสารสนเทศของรัฐบาลสาธารณรัฐอินเดีย
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ร่วมลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ
โดยสาระสำคัญของร่างบันทึกความเข้าใจฯ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนข้อมูลในสาขาดิจิทัล
เช่น (๑) ความรู้และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับนโยบายและการกำกับดูแลด้านดิจิทัล (๒)
ส่งเสริมความร่วมมือและการวิจัยในเทคโนโลยีอุบัติใหม่ เช่น AI และ (๓) จัดประชุมเชิงปฏิบัติการและการฝึกอบรม ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๒.
ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น
เห็นควรใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับจัดสรร
หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
หรือโอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม แล้วแต่กรณี
หรือจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
165 | ขออนุมัติแนวทางดำเนินการโครงการ “บ้านเพื่อคนไทย” ของบริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด | คค. | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการดำเนินงานโครงการบ้านเพื่อคนไทย
นำร่องระยะที่ ๑ จำนวน ๔ โครงการ ของกระทรวงคมนาคม โดยให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย)
ดำเนินการต่อไปให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย กฎ
ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย) ธนาคารอาคารสงเคราะห์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงบประมาณไปประกอบการพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่าสิทธิของผู้เข้าร่วมโครงการนี้เป็นสิทธิการเช่าระยะยาว
(Leasehold) แต่โดยที่ปัจจุบันกฎหมายเกี่ยวกับการเช่าอสังหาริมทรัพย์ทั่วไปยังมีข้อจำกัดเกี่ยวกับระยะเวลาการเช่าโดยกำหนดไว้ไม่เกิน
๓๐ ปี จึงอาจไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการที่มีวัตถุประสงค์ให้ประชาชนมีสิทธิเช่าที่พักอาศัยในระยะยาว
(Leasehold) สมควรที่คณะรัฐมนตรีจะพิจารณามอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาความเหมาะสมของระบบการเช่าระยะยาว
(Leasehold) ในประเทศไทย
หากเห็นว่าสมควรที่จะปรับปรุงระบบการเช่าดังกล่าว ควรมอบหมายให้ดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไปตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
พ.ศ. ๒๕๖๒ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรพิจารณาดำเนินการศึกษาศักยภาพการพัฒนาของที่ดินแต่ละแห่งอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่ที่หน่วยงานรับผิดชอบได้มีการศึกษา/จัดทำไว้
เพื่อให้การกำหนดกลุ่มเป้าหมายและรูปแบบที่อยู่อาศัยของโครงการมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทการพัฒนาพื้นที่
และควรประสานและบูรณาการกับการรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อร่วมจัดทำแผนการพัฒนาพื้นที่
พร้อมกำหนดแนวทาง/แผนการรื้อย้ายในภาพรวม อาทิ กำหนดพื้นที่ดำเนินการ
ช่วงระยะเวลาดำเนินการ และมาตรการเยียวยาที่ชัดเจน
เพื่อเตรียมการรองรับการพัฒนาโครงการบ้านเพื่อคนไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการดำเนินโครงการจำเป็นต้องพิจารณาศึกษาเปรียบเทียบรูปแบบการบริหารโครงการทั้งในส่วนของการจ้างเอกชน/รัฐวิสาหกิจอื่น
บริหารโครงการหรือดำเนินการเอง ซึ่งในกรณีที่บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด
จะดำเนินการเองจำเป็นต้องมีแผนธุรกิจที่ชัดเจนประกอบพิจารณาด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
166 | ร่างปฏิญญาร่วมว่าด้วยการสถาปนาความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างไทย - อินเดีย | กต. | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างปฏิญญาร่วมว่าด้วยการสถาปนาความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างไทย-อินเดีย
(Joint
Declaration on the Establishment of the Thailand-India Strategic Partnership) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ลงนามในเอกสารดังกล่าวร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐอินเดีย
โดยสาระสำคัญของร่างปฏิญญาฯ เป็นการยกระดับความสัมพันธ์เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างกัน
รวมทั้งกำหนดแนวทางในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอินเดียในอนาคตเพื่อเพิ่มโอกาส
เสริมสร้างความร่วมมือที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นและตอบสนองต่อความท้าทายร่วมกัน เช่น (๑)
ความร่วมมือด้านการเมือง (๒) ความร่วมมือด้านกลาโหมและความมั่นคง
โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีทางการทหาร อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ การวิจัย การฝึกอบรม
การแลกเปลี่ยน การฝึกซ้อม (๓) เศรษฐกิจ และความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน
โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น พลังงานหมุนเวียน ยานยนต์ไฟฟ้า
เทคโนโลยีดิจิทัล หุ่นยนต์ เทคโนโลยีสารสนเทศ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๒.
ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรติดตาม
ประเมินผล
และสื่อสารผลลัพธ์ของการดำเนินงานให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับทราบถึงประโยชน์ที่ไทยจะได้รับด้วย
รวมทั้งให้รวบรวมผลการปรับแก้ปฏิญญาร่วมฯ
กับผลการปรับแก้ความตกลงระหว่างประเทศของกรอบความร่วมมืออื่น ๆ
พร้อมทั้งผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง รายงานต่อคณะรัฐมนตรีทราบในคราวเดียวกัน
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
167 | การจัดทำร่างความตกลงทางวัฒนธรรมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งเนปาล | วธ. | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างความตกลงทางวัฒนธรรมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งเนปาล
(Cultural
Agreement between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government
of Nepal) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยในร่างความตกลง
โดยสาระสำคัญของร่างความตกลงฯ มุ่งเน้นการดำเนินกิจกรรมความร่วมมือระหว่างกันในสาขาต่าง
ๆ โดยเน้นกิจกรรมการแลกเปลี่ยนวิชาการ การแลกเปลี่ยนการเยือนของบุคลากร
การร่วมพัฒนาสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ในด้านศิลปะและวัฒนธรรมระหว่างทั้งสองประเทศ
ซึ่งเป็นสาขาที่ทั้งสองฝ่ายมีจุดแข็งและส่งเสริมซึ่งกันและกันได้
และจะเป็นประโยชน์ในการช่วยส่งเสริมความเข้าใจระหว่างกัน
ตลอดจนเสริมสร้างมิตรภาพและเพิ่มพูนความรู้ระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ
ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงวัฒนธรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
168 | ร่างบันทึกว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมว่าด้วยการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-เบลารุส | พณ. | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมว่าด้วยการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-เบลารุส
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกฯ
ดังกล่าว โดยร่างบันทึกฯ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของทั้งสองฝ่ายในการพัฒนาและส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการค้าและเศรษฐกิจในสาขาความร่วมมือด้านต่าง
ๆ โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการร่วมฯ ทำหน้าที่ส่งเสริมและประสานความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจ
ประกอบกับการลงนามในร่างบันทึกฯ จะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การค้า
และการลงทุนระหว่างไทยกับเบลารุส
โดยเฉพาะในสาขาที่สองฝ่ายมีศักยภาพและเป็นประโยชน์ร่วมกัน รวมถึงการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคทางการค้า
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการติดตามและประเมินความก้าวหน้าการดำเนินงานภายใต้บันทึกความเข้าใจฉบับนี้อย่างต่อเนื่อง
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
169 | การปรับเพิ่มค่าตอบแทนครูและค่าบริหารจัดการของโรงเรียนเอกชนในระบบและนอกระบบที่สอนศาสนาอิสลามใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ | ศธ. | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการการปรับเพิ่มค่าตอบแทนครูและค่าบริหารจัดการของโรงเรียนเอกชนในระบบและนอกระบบที่สอนศาสนาอิสลามใน
๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส สตูล และสงขลา (เฉพาะอำเภอจะนะ
เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย) ของกระทรวงศึกษาธิการ ทั้งนี้ การปรับเพิ่มค่าตอบแทนครูและค่าบริหารจัดการของโรงเรียนเอกชนในระบบและนอกระบบที่สอนศาสนาอิสลามใน ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้
จะต้องใช้งบประมาณเพิ่มขึ้น รวมทั้งสิ้นปีละ ๑๖๙,๙๕๐,๐๐๐ บาท ให้กระทรวงศึกษาธิการ
(สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน) รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสม
ชัดเจน ก่อนดำเนินการต่อไป ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นควรให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาถึงความซ้ำซ้อนกับงบประมาณที่ได้รับจัดสรร
และกำหนดให้มีการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้สถานศึกษาในสังกัดมีการปรับปรุงคุณภาพการศึกษา
พร้อมรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบเพื่อนำมาประกอบการจัดสรรงบประมาณในระยะต่อไป
รวมทั้งปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี
และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญด้วย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่าการปรับเพิ่มอัตราค่าตอบแทนครูสอนศาสนาของโรงเรียนเอกชนในระบบและนอกระบบที่สอนศาสนาอิสลาม
สถาบันศึกษาปอเนาะ และศูนย์การศึกษาอิสลามประจำมัสยิด (ตาดีกา) ใน ๕
จังหวัดชายแดนภาคใต้ของครูสอนทุกกลุ่มให้เป็นอัตราเดียวกัน
เพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำกันระหว่างครูสอนศาสนากลุ่มต่าง ๆ และปรับเพิ่มค่าบริหารจัดการโดยคำนึงถึงความจำเป็นและเหมาะสม
ซึ่งการใช้จ่ายค่าบริหารจัดการส่วนใหญ่ยังคงเป็นค่าอุปโภคบริโภค
ค่าบริหารจัดการสำนักงาน ค่าใช้จ่ายสำหรับลงทะเบียนผู้เรียน
และค่าใช้จ่ายในการออกหลักฐานการสำเร็จการศึกษาตามหลักสูตร และอาจปรับเพิ่มอัตราค่าบริหารจัดการให้โรงเรียนเอกชนนอกระบบที่สอนศาสนาอิสลามทุกประเภทให้ได้รับจัดสรรในอัตราสูงสุดที่มีผลบังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน
เพื่อบรรเทาความเหลื่อมล้ำในการจัดสรรเงินอุดหนุน |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
170 | โครงการขยายผลการพัฒนาตามแนวพระราชดำริในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี “ครัวโรงเรียน สู่ ครัวบ้าน” (ทุนการศึกษา “วรเกษตรเมธี”) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 - 2572 | ศธ. | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการขยายผลการพัฒนาตามแนวพระราชดำริในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี “ครัวโรงเรียน สู่ ครัวบ้าน” (ทุนการศึกษา “วรเกษตรเมธี”) ปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ - ๒๕๗๒ รวมระยะเวลา ๕ ปีงบประมาณ ภายในกรอบวงเงิน ๒,๓๔๐,๐๐๐ บาท โดยค่าใช้จ่ายที่จะเริ่มดำเนินโครงการในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ นั้น
ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ โดยโอนงบประมาณรายจ่าย
โอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร สำหรับค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป
ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป โดยให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนจัดให้มีระบบการติดตาม
และประเมินผลการดำเนินโครงการเป็นระยะ เพื่อให้คณะรัฐมนตรีรับทราบ
รวมทั้งบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ในการแนะแนวอาชีพที่เหมาะสมและการเรียนต่อในสาขาที่สอดคล้องกับความถนัดและเชื่อมโยงกับการพัฒนาในพื้นที่
และดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญด้วย
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการ
(สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
รวมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่ากระทรวงศึกษาธิการควรมีการพัฒนากระบวนการติดตามนักเรียนทุนที่อยู่ระหว่างรับทุนจากปัจจัยต่าง
ๆ เพื่อการคงอยู่ในระบบทุน อาทิ ความสามารถทางวิชาการ
แรงจูงใจในการศึกษาด้านการเกษตร และความตั้งใจที่จะกลับไปพัฒนาท้องถิ่น
รวมทั้งการมีกลไกการบริหารจัดการร่วมกับศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ในด้านต่าง
ๆ อาทิ การจัดเก็บข้อมูล การกำกับติดตามผลการเรียน
การประเมินความคุ้มค่าการดำเนินโครงการ และการจัดทำข้อมูลประกอบการพิจารณากำหนดโควตาการจัดสรรทุนให้เหมาะสมกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป
โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจและโครงสร้างประชากรในพื้นที่
และความต้องการแรงงานในและนอกภาคเกษตรในอนาคต เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
171 | รายงานผลการลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่เพื่อรับฟังข้อเรียกร้องแนวทางการแก้ไขปัญหาด้านที่ดินทำกินของกลุ่มผู้ชุมนุม สมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่า และสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ | นร. | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายประเสริฐ
จันทรรวงทอง) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
รายงานว่าเมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๖๘
ได้ลงพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่เพื่อรับฟังข้อเรียกร้องแนวทางการแก้ไขปัญหาด้านที่ดินทำกินของกลุ่มผู้ชุมนุม
สมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่า และสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ
โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วย ได้แก่
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช)
กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ มีผู้เข้าร่วมประมาณ ๓,๐๐๐ คน โดยมีผลการหารือในประเด็นต่าง ๆ
ที่ขอให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบและมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการต่อไป
สรุปได้ดังนี้ ข้อเรียกร้องที่ ๑
การเร่งรัดให้ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อนำไปสู่การปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๖๒ และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๖๒ ทั้งฉบับโดยเร่งด่วน
โดยขอให้มีสัดส่วนของกรรมการระหว่างภาครัฐและภาคประชาชนที่เท่ากัน
และในระหว่างการดำเนินการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องขอให้ยุติการเตรียมประกาศพื้นที่ป่าอนุรักษ์เพิ่ม
จำนวน ๒๓ แห่ง จนกว่าจะมีการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จ ผลการหารือ (๑)
คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติจะเร่งรัดดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายใน
๓๐ วัน โดยจะพิจารณากำหนดสัดส่วนของกรรมการจากหน่วยงานของภาครัฐที่เกี่ยวข้อง และจากภาคประชาชนให้เหมาะสม (๒) รับข้อเรียกร้องที่ขอให้ยุติการดำเนินการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อวิถีชีวิตและละเมิดสิทธิชุมชนในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ที่ยังไม่ได้ประกาศบังคับใช้เพื่อนำไปหารือร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่อไป (๓)
รับข้อเรียกร้องที่ขอให้ยุติการเตรียมประกาศพื้นที่ป่าอนุรักษ์เพิ่ม จำนวน ๒๓ แห่ง
จนกว่าจะมีการปรับแก้ไขกฎหมายจนแล้วเสร็จไปประสานหารือร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อชะลอการประกาศเขตพื้นที่อนุรักษ์ที่ยังไม่ได้ผ่านการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ
มาตราส่วน ๑ : ๔๐๐๐ (One Map) และจะพิจารณาให้มีกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ
ข้อเรียกร้องที่ ๒
การเร่งรัดการพิสูจน์สิทธิในที่ดินของราษฎรให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๑ พฤษภาคม ๒๕๔๒ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ ผลการหารือ รับข้อเรียกร้องดังกล่าวและได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติดำเนินการมอบหมายให้คณะอนุกรรมการศึกษาและปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๖๒ และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๖๒
รับไปดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนของการสำรวจการถือครองที่ดินของกลุ่มบุคคลตามติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๗ เพื่อให้ได้รับสิทธิในการจัดที่ดินทำกิน ที่อยู่อาศัยนั้น
ได้ประสานให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาสั่งการให้กรมป่าไม้เร่งรัดดำเนินการในเรื่องนี้โดยเร็วต่อไป
ข้อเรียกร้องที่ ๓ ขอให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสุริยะ
จึงรุ่งเรืองกิจ) ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานโฉนดชุมชน
เร่งรัดการลงนามในคำสั่งแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการประสานงานเพื่อจัดให้มีโฉนดชุมชนตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดให้มีโฉนดชุมชน
พ.ศ. ๒๕๕๓ ผลการหารือ รับข้อเรียกร้องในเรื่องนี้เพื่อไปประสานกับรองนายกรัฐมนตรี
(นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ) ต่อไป
ข้อเรียกร้องที่ ๔
การเร่งติดตามและผลักดันการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๗ เพื่อเร่งรัดการแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลให้แก่บุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยเป็นเวลานาน
รวม ๔๘๙,๕๓๑ คน ผลการหารือ รับเรื่องนี้ไปประสานหารือกับรองนายกรัฐมนตรี
(นายอนุทิน ชาญวีรกูล) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อเร่งรัดการดำเนินการออกประกาศกระทรวงมหาดไทยที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง
ครบถ้วนตามข้อเท็จจริงโดยเร็วต่อไป
ข้อเรียกร้องที่ ๕
การให้คณะอนุกรรมการอิสระเพื่อศึกษากำหนดแนวทาง
มาตรการเร่งรัดการปรับปรุงแนวเขตที่ดินของรัฐ (One
Map) และแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการประกาศแนวเขตอุทยานแห่งชาติทับลาน
ตามคำสั่งคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ที่ ๑/๒๕๖๘ ลงวันที่ ๒๗
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ รับกรณีปัญหาของผู้ที่ถูกดำเนินคดีด้านที่ดินป่าไม้ของสมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่าและสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือไปพิจารณาแก้ไขปัญหาตามหน้าที่และอำนาจของคณะอนุกรรมการฯ ผลการหารือ มอบหมายให้รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง
(นายสมคิด เชื้อคง) ในฐานะประธานอนุกรรมการฯ
รับเรื่องนี้ไปพิจารณาแก้ไขปัญหาตามหน้าที่และอำนาจของคณะอนุกรรมการฯ และเมื่อคณะอนุกรรมการฯ
มีมติเป็นประการใดจะได้ประสานหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และเร่งรัดดำเนินการตามขั้นตอนในการเสนอการออกร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ราษฎร
ซึ่งได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบจากการดำเนินการตามนโยบายของรัฐ พ.ศ. ....
ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
172 | รายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 | สงป. | 27/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ ของหน่วยรับงบประมาณ และแนวทางการปรับปรุงรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ รวมทั้งการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๔๗
เรื่อง หลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐ
และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๖๘ เรื่อง การแต่งตั้งคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐ
และรับทราบผลการพิจารณาคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๙ รายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไป
ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการบริหารการคลังและงบประมาณรายจ่ายอย่างมีประสิทธิภาพและรัดกุม
ทั้งในด้านการบริหารการจัดเก็บรายได้ให้ได้ตามเป้าหมายและการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายเพื่อลดแรงกดดันจากการเพิ่มขึ้นของภาระหนี้สาธารณะ
เพื่อให้มีกรอบวงเงินงบประมาณที่เพียงพอสำหรับการรองรับความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ
และความเสี่ยงจากความผันผวนของระบบเศรษฐกิจและการค้าโลก ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
173 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างอาคารอำนวยการ ผู้ป่วยนอก และอุบัติเหตุฉุกเฉิน เป็นอาคาร คสล. 7 ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ 23,765 ตารางเมตร พร้อมอุปกรณ์ประกอบอาคาร โรงพยาบาลตรัง จังหวัดตรัง 1 หลัง (งานส่วนที่เหลือ ครั้งที่ 3) | สธ. | 27/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างรายการอาคารอำนวยการ
ผู้ป่วยนอก และอุบัติเหตุฉุกเฉินเป็นอาคาร คสล. ๗ ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ ๒๓,๗๖๕ ตารางเมตร พร้อมอุปกรณ์ประกอบอาคาร
โรงพยาบาลตรัง ตำบลทับเที่ยง อำเภอเมืองตรัง จังหวัดตรัง ๑ หลัง
(งานส่วนที่เหลือ ครั้งที่ ๓) จำนวนเงิน ๒๘๔,๘๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗จำนวน
๔๕,๘๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือ จำนวน ๒๓๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ - พ.ศ. ๒๕๗๐ รวมเป็นเงินค่าก่อสร้างทั้งสิ้น ๔๘๘,๐๙๖,๓๔๙.๗๗ บาท และอนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างอาคารดังกล่าว
จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ - พ.ศ. ๒๕๖๕ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ - พ.ศ. ๒๕๗๐ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้กระทรวงสาธารณสุข (สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข) กำกับ ติดตาม
และเร่งรัดการดำเนินการก่อสร้างอาคารอำนวยการ ผู้ป่วยนอก และอุบัติเหตุฉุกเฉิน
พร้อมอุปกรณ์ประกอบอาคารโรงพยาบาลตรังให้แล้วเสร็จ ภายในกรอบวงเงินและระยะเวลาที่ได้รับการอนุมัติไว้ในครั้งนี้อย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทยไปดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นว่าการดำเนินโครงการดังกล่าวให้กระทรวงสาธารณสุขปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง สำหรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่าหากโครงการฯ
มีอาคารที่มีความสูงตั้งแต่ ๒๓ เมตรขึ้นไป หรือมีพื้นที่รวมกันทุกชั้นหรือชั้นหนึ่งชั้นใดในหลังเดียวกัน
ตั้งแต่ ๑๐,๐๐๐ ตารางเมตรขึ้นไป
และตั้งอยู่ติดแม่น้ำตามเอกสารท้ายประกาศ ๒ ฝั่งทะเลหรือชายหาด
หรือที่ตั้งอยู่ติดหรืออยู่ในอุทยานแห่งชาติหรืออุทยานประวัติศาสตร์ จะเข้าข่ายเป็นโครงการ
กิจการ หรือการดำเนินการ ซึ่งต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
ตามประกาศฯ ลำดับที่ ๒๗
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
174 | การปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณโครงการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกจังหวัดอุดรธานี พ.ศ. 2569 | กษ. | 27/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบการปรับผังแม่บท
(Master Plan) และรายละเอียดโครงการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลก
จังหวัดอุดรธานี พ.ศ. ๒๕๖๙ เพื่อให้การดำเนินการก่อสร้างอาคารและภูมิสถาปัตย์ได้ทันก่อนเปิดงาน
โดยเป็นไปตามระเบียบข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. อนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมวิชาการเกษตร)
เปลี่ยนแปลงรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ - ๖๕๗๐
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปอย่างเคร่งครัดด้วย
เช่น กระทรวงมหาดไทย เห็นว่าหน่วยงานรับผิดชอบภารกิจเชิงพื้นที่
พร้อมสนับสนุนการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกฯ
เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการจัดงานต่อไป
ให้ดำเนินการให้เป็นไปตามแบบและระยะเวลาที่กำหนด รวมทั้งข้อกฎหมาย ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เห็นว่าแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณโครงการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกฯ
นั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๒๐ ปี
(ปรับปรุงช่วงที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๘๐) ตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. ๒๕๖๑ ทั้งนี้
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการตามความคิดเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ในส่วนของการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณโครงการจัดงานพืชสวนโลก
จังหวัดอุดรธานี พ.ศ. ๒๕๖๙ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนและตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๒ ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
175 | การจัดสรรงบประมาณให้สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ให้แก่มูลนิธิจุฬาภรณ์ เป็นเงินอุดหนุนแก่สถาบันบัณฑิตศึกษาจุฬาภรณ์ | อว. | 27/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม สนับสนุนงบประมาณรายจ่ายเพื่อเป็นเงินอุดหนุนแก่สถาบันบัณฑิตศึกษาจุฬาภรณ์โดยตรง
ตามมาตรา ๑๓ ประกอบมาตรา ๖๒ (๓) แห่งพระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. ๒๕๔๖
และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมถึงรายการผูกพันที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๙ เป็นต้นไป โดยให้สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งปฏิบัติตามขั้นตอนของกองกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
(หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๑๑.๑/๓๔๒ ลงวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๘)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
176 | ร่างพระราชบัญญัติภาพยนตร์ พ.ศ. .... | วธ. | 27/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติภาพยนตร์ พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยภาพยนตร์และวีดิทัศน์
เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมภาพยนตร์
และให้มีมาตรการการกำกับดูแลที่เหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทสังคมและเทคโนโลยีของภาพยนตร์ในปัจจุบัน
รวมทั้งส่งเสริมให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์เป็น Soft Power ของประเทศที่สามารถเติบโตและแข่งขันกับนานาประเทศได้ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน สำนักงาน ก.พ.ร.
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ
และสำนักงานอัยการสูงสุดไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป เช่น กระทรวงแรงงาน เห็นว่ามาตรา ๑๑ (๕)
กำหนดให้มีคณะกรรมการส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์แห่งชาติประกอบด้วย
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนไม่เกิน ๗ คน ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิด้านภาพยนตร์ด้านสื่อสารมวลชน
ด้านสื่อมัลติมีเดีย และด้านการตลาดแต่ไม่มีผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในสื่อที่เกี่ยวกับเด็กและเยาวชนโดยเฉพาะที่จะเข้ามาแสดงมุมมองของเด็กและเยาวชนเพื่อให้ได้รับข้อมูลอย่างเหมาะสม
ซึ่งไม่สอดคล้องตามมาตรา ๗ ที่ให้ความสำคัญในการคุ้มครองผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและเยาวชน สำนักงาน ก.พ.ร. เห็นควรจัดให้มีหลักเกณฑ์การพิจารณาที่ชัดเจนเพื่อลดการใช้ดุลยพินิจในการตรวจพิจารณาบทภาพยนตร์
เค้าโครง และเรื่องย่อของภาพยนตร์และลดอุปสรรคต่อการถ่ายทำภาพยนตร์ตามบทต้นฉบับ
นอกจากนี้ อาจกำหนดให้มีระเบียบเกี่ยวกับการจัดเก็บค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายทำภาพยนตร์
(Rate Card) เช่น ค่าใช้สถานที่
ค่าทีมงานในการอำนวยความสะดวก เพื่อให้เป็นมาตรฐานเกิดความโปร่งใส
และให้ผู้ประกอบการสามารถคำนวณต้นทุนได้อย่างชัดเจน รวมถึงพิจารณาส่งเสริมการจัดตั้งศูนย์ประสานงานการถ่ายทำภาพยนตร์ในภูมิภาคเพื่ออำนวยความสะดวกในการขออนุญาตใช้พื้นที่เพื่อถ่ายทำภาพยนตร์
ณ จุดเดียว ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
กรอบระยะเวลา
และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ๓. ให้กระทรวงวัฒนธรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงาน ก.พ.ร. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เห็นควรพิจารณาให้มีกลไกการถ่วงดุลอำนาจของรัฐมนตรีในการสั่งยุบคณะกรรมการบริหารสภาอุตสาหกรรมภาพยนตร์แห่งประเทศไทย
หรือไล่สมาชิกคนใดคนหนึ่งออก (มาตรา ๓๘) ควรส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยในเชิงรุก
เช่น การจัดตั้งกองทุนภาพยนตร์แห่งชาติ สนับสนุนภาพยนตร์ไทยที่มีคุณภาพ
สนับสนุนสถาบันภาพยนตร์แห่งชาติให้คล้ายกับสถาบันภาพยนตร์อังกฤษ (The British Film Institute : BFI) หรือสถาบันภาพยนตร์อเมริกัน
(American Film Institute : AFI) และให้สิทธิพิเศษทางภาษีสำหรับผู้สร้างภาพยนตร์ไทยที่สามารถนำผลงานออกสู่ตลาดโลก
เป็นต้น |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
177 | ข้อเสนอการปรับปรุงกฎหมายเพื่อความสะดวกในการประกอบธุรกิจ | นร.12 | 27/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบข้อเสนอการปรับปรุงกฎหมายเพื่อความสะดวกในการประกอบธุรกิจ และมอบหมายหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบดำเนินการภายในระยะเวลาที่กำหนด
รวมทั้งให้รายงานความคืบหน้าการดำเนินการให้คณะกรรมการปรับปรุงกฎหมายเพื่อความสะดวกในการประกอบธุรกิจทราบต่อไป
และรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินการของคณะกรรมการปรับปรุงกฎหมายเพื่อความสะดวกในการประกอบธุรกิจ
(คปธ.) ตามที่คณะกรรมการปรับปรุงกฎหมายเพื่อความสะดวกในการประกอบธุรกิจเสนอ ทั้งนี้
ให้รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาด้วย
ดังนี้ กระทรวงมหาดไทย เห็นว่าหากมีการกำหนดให้ใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรมสามารถดำเนินการชำระค่าธรรมเนียมแทนการต่ออายุใบอนุญาตได้นั้น
ควรมีข้อกำหนดให้ผู้ยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรมแสดงเอกสารหลักฐานต่าง
ๆ ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบการพิจารณา เพื่อเป็นการรับรองและยืนยันว่าการต่ออายุใบอนุญาตดังกล่าวเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
และหากนายทะเบียนโรงแรมตรวจสอบแล้ว ปรากฏว่าการต่ออายุใบอนุญาตดังกล่าวไม่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
นายทะเบียนมีอำนาจเพิกถอนใบอนุญาตดังกล่าวได้ทันที โดยไม่ต้องดำเนินการคืนค่าธรรมเนียมใด
ๆ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรคำนึงถึงความปลอดภัยและมาตรฐานของโรงแรมเป็นสำคัญ
โดยเฉพาะการกำหนดเกณฑ์การตรวจสอบมาตรฐานภายใต้กรอบระยะเวลาที่เหมาะสมก่อนอนุมัติการชำระค่าธรรมเนียมของธุรกิจโรงแรมต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
178 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการบรรจุบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการทหารและการให้ได้รับเงินเดือน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กห. | 18/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการบรรจุบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการทหารและการให้ได้รับเงินเดือน
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการบรรจุบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการทหารและการให้ได้รับเงินเดือน
พ.ศ. ๒๕๕๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
เพื่อปรับปรุงบัญชีคุณวุฒิและอัตราเงินเดือนของบุคคลที่ได้รับการบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการทหารเพื่อให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรจัดทำประมาณการของจำนวนกลุ่มเป้าหมายและงบประมาณที่ต้องใช้เพื่อรองรับร่างกฎกระทรวงนี้ไว้ด้วย
ควรพิจารณาอัตราเงินเดือนในบางคุณวุฒิที่กำหนดไว้สูงหรือต่ำกว่าอัตราที่สำนักงาน
ก.พ. กำหนดให้มีความสอดคล้องกัน เร่งรัดการดำเนินการเพื่อให้ทันต่อการปรับอัตราเงินเดือนของกลุ่มข้าราชการพลเรือนและเจ้าหน้าที่ของรัฐในห้วงปีที่
๒ ซึ่งจะมีผลใช้บังคับ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๘ และพิจารณาจัดทำแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากร
รวมทั้งจัดให้มีการติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานที่สอดคล้องกับหน้าที่ความรับผิดชอบด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
179 | การติดตามประเด็นมติคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากแม่น้ำโขงร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน | นร.04 | 18/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบผลการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับสภาพปัญหา สถานะปัจจุบันของการใช้ประโยชน์จากแม่น้ำโขง
ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ๒. เห็นชอบการมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑
มอบหมายให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประสานสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง
(Mekong River Commission Secretariat
: MRCS) ในการเร่งดำเนินการศึกษาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำแม่น้ำโขงล้นตลิ่งโดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มต่ำให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๒.๒ มอบหมายให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีติดตามการดำเนินงานของกระทรวงมหาดไทยในการพิจารณามาตรการป้องกันความเสี่ยงต่อการทุจริตในกระบวนการพิจารณาอนุญาตให้ดูดทรายในที่ดินของรัฐในภาพรวมทั้งระบบ
ซึ่งรวมถึงมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการดูดทราย ตามข้อเสนอแนะของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ๒.๓
มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมโยธาธิการและผังเมือง
พิจารณาขอรับจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งแม่น้ำตามแนวชายแดนระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
เพื่อให้สามารถก่อสร้างให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
ซึ่งจะเป็นการลดความเสียหายและป้องกันการพังทลายของพื้นที่ริมตลิ่งแม่น้ำชายแดนระหว่างประเทศ
และสำนักงบประมาณพิจารณาสนับสนุนงบประมาณเพื่อเร่งรัดดำเนินการ ทั้งนี้ ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอแนะของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่าประเด็นปัญหาชายฝั่งทลายและแนวทางการไหลของน้ำเปลี่ยนแปลง
ควรมีการสำรวจศึกษาเพิ่มเติมในประเด็น
แผ่นดินทรุดเกิดความสูญเสียและความเสียหายในเขตพื้นที่ชุมชน
แก่งหินและดอนทรายที่เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือถูกทำลายจะส่งผลต่อแนวเขตแดนของประเทศ
และพื้นที่สบน้ำซึ่งเป็นพื้นที่เปราะบางเกิดการกัดเซาะพังทลาย และควรมีการศึกษาและจัดทำมาตรการลดผลกระทบจากการกัดเซาะตลิ่งที่ส่งผลให้พื้นที่ตลิ่งริมน้ำโขงฝั่งไทยลดลง
รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของร่องน้ำลึก
และควรศึกษาผลกระทบจากการก่อสร้างเขื่อนบนแม่น้ำโขงในประเทศสมาชิกและการลดลงของปริมาณตะกอนในแม่น้ำโขงด้วย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่าการแก้ไขปัญหาการผันน้ำและการระบายน้ำ
ควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการลุ่มน้ำโขงในภาพรวมเพื่อให้การป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
รวมทั้งนำแผนที่พื้นที่เสี่ยงด้านอุทกภัย และข้อมูลการผันน้ำและระบายน้ำของแม่น้ำโขงเพื่อประกอบการเฝ้าระวังสถานการณ์ระดับน้ำ
ภายใต้บันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยการแลกเปลี่ยนข้อมูลอุทกวิทยา
กรณีฤดูน้ำหลากสำหรับแม่น้ำโขง - ล้านช้าง มาปรับใช้ในการวางแผนรับมือ และการแก้ไขปัญหาการดูดทราย
ควรมีการบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจัดทำฐานข้อมูลพื้นที่ที่มีศักยภาพในการดูดทรายในระดับประเทศ
โดยมีการระบุพื้นที่ที่มีศักยภาพและเหมาะสมในการดูดทราย
รวมทั้งข้อมูลพื้นที่เสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังผลกระทบจากการดูดทราย
เพื่อใช้ประกอบการอนุญาตให้ดำเนินการดูดทราย ซึ่งจะสามารถป้องกันปัญหาความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นและช่วยให้กระบวนการพิจารณาอนุญาตการดูดทรายในประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
180 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) | ทส. | 18/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ
ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน ๕
คณะ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๘ มีนาคม ๒๕๖๘) เป็นต้นไป ดังนี้ ๑.
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่าแห่งชาติ (คปป.) ๒.
คณะกรรมการแก้ไขปัญหาการลักลอบตัดไม้พะยูงบริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา ๓. คณะกรรมการร่วม (Joint
Committee) ฝ่ายไทย ๔. คณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการถ้ำแห่งชาติ ๕. คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอุทยานธรณี
|