ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 6 จากทั้งหมด 569 หน้า แสดงรายการที่ 101 - 120 จากข้อมูลทั้งหมด 11372 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
101 | การพิจารณาจัดทำงบประมาณของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ | นร. | 10/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ในขณะนี้เป็นช่วงเวลาของการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี
ดังนี้ ๑. การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ ซึ่งที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้มีมติเมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๘
รับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว วงเงิน ๓.๗๘ ล้านล้านบาท แล้ว
และอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ ๒. การพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๘ งบกลาง รายการค่าใช้จ่าย เพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ
ภายใต้กรอบวงเงิน ๑๕๗,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ
และจะได้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจตามขั้นตอนต่อไป ๓. การพิจารณางบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
ตามคำขอของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงบประมาณ เพื่อให้แผนงาน/โครงการต่าง ๆ
ที่ขอใช้จ่ายงบประมาณซึ่งผ่านการพิจารณาอนุมัติของคณะรัฐมนตรีเป็นไปด้วยความรอบคอบ
ถูกต้อง และสอดคล้องกับกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
จึงขอกำชับให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐพิจารณาจัดทำงบประมาณ และโครงการที่เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณด้วยความละเอียด
รอบคอบ เหมาะสม คุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุด ตลอดจนผ่านการพิจารณาและกลั่นกรองอย่างถี่ถ้วนจากสำนักงบประมาณและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ถูกต้อง
เป็นไปตามกรอบและขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา ๑๔๔ ที่บัญญัติให้ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม
และร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะแปรญัตติเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขเพิ่มเติมรายการหรือจำนวนในรายการมิได้
แต่อาจแปรญัตติในทางลดหรือตัดทอนรายจ่ายซึ่งมิใช่รายจ่ายตามข้อผูกพันอย่างใดอย่างหนึ่ง
ได้แก่ เงินส่งใช้ต้นเงินกู้ ดอกเบี้ยเงินกู้ และเงินที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมาย
ซึ่งในการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือคณะกรรมาธิการ การเสนอ
การแปรญัตติหรือการกระทำด้วยประการใด ๆ ที่มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
สมาชิกวุฒิสภาหรือกรรมาธิการ
มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย จะกระทำมิได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
102 | ขอความเห็นชอบการปรับโอนพิกัดศุลกากรของกฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้า ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีไทย - ชิลี (TCFTA) | พณ. | 04/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบบัญชีกฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้า
[Product Specific Rules of Origin
(PSRs)] ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีไทย
- ชิลี (TCFTA) ฉบับ HS 2022 และการลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนของฝ่ายไทย
เพื่อดำเนินการแก้ไขภาคผนวก ๔.๒ (เรื่อง กฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้า) ของความตกลง TCFTA และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย
เป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนของฝ่ายไทยข้างต้น
โดยมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers)
ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนของฝ่ายไทย
และให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลังดำเนินกระบวนการภายในเพื่อให้บัญชีกฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้าภายใต้ความตกลง
TCFTA ฉบับ HS 2022
เริ่มมีผลบังคับใช้ภายในครึ่งปีแรกของปี ๒๕๖๘ ซึ่งการปรับโอนพิกัดศุลกากรของกฎ PSRs
ภายใต้ความตกลง TCFTA ประกอบด้วยพิกัดศุลกากรทั้งหมด
จำนวน ๕,๖๑๒ รายการ จากพิกัดศุลกากรเดิม (HS 2012) ที่มีอยู่จำนวน ๕,๒๐๕ รายการ โดยแบ่งออกเป็น ๓
กรณี ได้แก่ ๑) สินค้าที่พิกัดศุลกากรและกฎ PSRs ไม่เปลี่ยนแปลง
จำนวน ๔,๙๙๒ รายการ ๒) สินค้าที่พิกัดศุลกากรไม่เปลี่ยนแปลง
แต่กฎ PSRs เปลี่ยนแปลง จำนวน ๑ รายการ และ ๓)
สินค้าที่เปลี่ยนพิกัดศุลกากร และกฎ PSRs ใหม่ จำนวน ๖๑๙
รายการ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนบัญชีกฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้าภายใต้ความตกลงการค้าเสรีไทย
- ชิลี ฉบับพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ ปี ๒๐๒๒ และหนังสือแลกเปลี่ยนของฝ่ายไทย
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ทั้งนี้
ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรประชาสัมพันธ์ข้อมูลการปรับโอนพิกัดศุลกากรของกฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้าภายใต้ความตกลง
TCFTA ฉบับ HS 2022
ให้แพร่หลายในวงกว้าง
เพื่อให้ผู้ประกอบการและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องรับทราบและใช้ในการอ้างอิงได้อย่างถูกต้อง
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
103 | ขออนุมัติการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับดำเนินโครงการเร่งรัดการดำเนินงานตามหลักเกณฑ์การแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลให้แก่บุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน และกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 | มท. | 04/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กรมการปกครองดำเนินโครงการเร่งรัดการดำเนินงานตามหลักเกณฑ์การแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลให้แก่บุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน
และกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๗
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ วงเงินทั้งสิ้น ๑๒๓,๕๓๘,๕๓๐
บาท โดยใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ จากงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นต่อไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการต่างประเทศ เห็นควรให้ความสำคัญในลำดับต้นกับการแก้ไขปัญหาเด็กไร้รัฐไร้สัญชาติที่เกิดในราชอาณาจักร
และการเข้าร่วมเป็นสมาชิกของ Global Alliance to End
Statelessness |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
104 | แนวทางปฏิบัติเพื่อลดขั้นตอน และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4000 (One Map) | สคทช | 04/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางปฏิบัติเพื่อลดขั้นตอน
และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ
มาตราส่วน ๑ : ๔๐๐๐ (One
Map) เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นแนวทางปฏิบัติต่อไป และขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ และเมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๖๕ เฉพาะกรณีการดำเนินการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ
มาตราส่วน ๑ : ๔๐๐๐ (แผนที่ One Map)
และมอบหมายกรมธนารักษ์ กรมที่ดิน กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า
และพันธุ์พืช กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมพัฒนาที่ดิน สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมการปกครอง กรมแผนที่ทหาร สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (สคทช.)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติให้เป็นไปตามแนวทางปฏิบัติเพื่อลดขั้นตอน
และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานปรับปรุงแผนที่ One Map ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเสนอ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ข้อสังเกตของกระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เห็นควรมีการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานภาครัฐอื่น
เช่น สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) เป็นต้น เพื่อร่วมดำเนินการพิจารณาแนวทางการจัดทำแผนที่ดิจิทัล
และนำเทคโนโลยีดาวเทียมมาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดทำแผนที่แนบท้ายกฎหมาย
รวมถึงลดระยะเวลาการดำเนินงานในอนาคตด้วย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่าเนื่องจากแผนที่ท้ายถือเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายที่ใช้เป็นการแสดงแนวเขตที่ดินที่ประสงค์จะดำเนินการตามกฎหมายในเรื่องนั้น
ๆ ว่า แนวเขตที่ดินที่จะดำเนินการตั้งอยู่บริเวณใด โดยแสดงจุดยึดโยงต่าง ๆ
เพื่อให้ทราบที่ตั้งของแนวเขตที่ดินที่ชัดเจนขึ้น ด้วยเหตุนี้ในการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเพื่อให้แนวเขตที่ดินตามแผนที่ท้ายสอดคล้องกับผลการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐฯ
อาจส่งผลกระทบต่อท้องที่ที่กำหนดไว้ในแผนที่ท้ายกฎหมาย
รวมทั้งอาจมีรายละเอียดเกี่ยวกับจุดยึดโยงที่แตกต่างจากที่กำหนดไว้เดิมตามสภาพของข้อเท็จจริงที่อาจเปลี่ยนแปลงไป
ดังนั้น
หน่วยงานของรัฐผู้เสนอร่างกฎหมายจำเป็นต้องพิจารณาความถูกต้องของท้องที่การปกครองและแนวเขตการปกครองด้วย
เพื่อมิให้เกิดข้อโต้แย้งขึ้นในภายหลัง |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
105 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงศึกษาธิการ) | ศธ. | 04/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี
ของกระทรวงศึกษาธิการ จำนวน ๑๕ คณะ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๔ มิถุนายน ๒๕๖๘) เป็นต้นไป ดังนี้ ๑. คณะกรรมการกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ ๒.
คณะกรรมการอำนวยการโครงการวิทยาลัยเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ ๓. คณะกรรมการ PISA และพัฒนาคุณภาพการศึกษาแห่งชาติ เดิมชื่อ คณะกรรมการ PISA แห่งชาติ ๔.
คณะกรรมการกำหนดนโยบายผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๕.
คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยองค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
(ซีมีโอ) ๖. คณะกรรมการพิจารณายกเว้นอากรนำเข้าสื่อ วัสดุ
เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการศึกษา ๗. คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา
วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ๘.
คณะกรรมการฝ่ายการศึกษาของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ
(ยูเนสโก) ๙. คณะกรรมการฝ่ายวัฒนธรรมของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา
วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาชาติ (ยูเนสโก) ๑๐. คณะกรรมการฝ่ายวิทยาศาสตร์ของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา
วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาชาติ (ยูเนสโก) ๑๑. คณะกรรมการฝ่ายสังคมศาสตร์ของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา
วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ
(ยูเนสโก) ๑๒. คณะกรรมการฝ่ายสื่อสารมวลชนของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา
วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ๑๓.
คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยแผนงานความทรงจำแห่งโลกของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา
วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ๑๔.
คณะกรรมการโครงการมนุษย์และชีวมณฑลของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา
วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ๑๕. คณะกรรมการโครงการ ๑ อำเภอ ๑ ทุน
ทั้งนี้ ในส่วนของคณะกรรมการโครงการ ๑ อำเภอ ๑ ทุน ให้มีหน้าที่และอำนาจเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการบริหารโครงการ
๑ อำเภอ ๑ ทุน ที่ได้รับการขยายเวลาการดำเนินโครงการไว้แล้ว ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๖ มีนาคม ๒๕๖๗ (เรื่อง ขออนุมัติขยายกรอบระยะเวลาการดำเนินโครงการ ๑ อำเภอ ๑ ทุน
รุ่นที่ ๔ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ - ๒๕๖๙) เท่านั้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
106 | มาตรการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการบรรจุบุคคลผู้ซึ่งเคยออกจากราชการเพราะกระทำผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการกลับเข้ารับราชการ | นร.10 | 04/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๒ เมษายน ๒๕๖๘ (เรื่อง
มาตรการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการบรรจุบุคคลผู้ซึ่งเคยออกจากราชการเพราะกระทำผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการกลับเข้ารับราชการ)
ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบต่อไป ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน
๒๕๖๘ (เรื่อง
มาตรการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการบรรจุบุคคลผู้ซึ่งเคยออกจากราชการเพราะกระทำผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการกลับเข้ารับราชการ)
โดยให้สำนักงาน ก.พ.
สรุปผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการ/ความเห็นในภาพรวมแล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีภายในเดือนกรกฎาคม
๒๕๖๘
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
107 | ขออนุมัติการจัดทำและลงนามร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ว่าด้วยกรรมสิทธิ์ การใช้ การบริหาร และการบำรุงรักษา สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) | คค. | 04/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการจัดทำและลงนามร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
(สปป.ลาว) ว่าด้วยกรรมสิทธิ์ การใช้ การบริหาร และการบำรุงรักษาสะพานมิตรภาพไทย-ลาว
แห่งที่ ๕ (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย และมีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมาธิการบริหาร (ฝ่ายไทย) ตามนัยข้อ ๔
ของร่างความตกลงฯ รวมทั้งให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคนนาคม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
สำหรับการลงนามดังกล่าว โดยร่างความตกลงฯ มีสาระสำคัญเป็นการสนับสนุนการเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมขนส่งระหว่างราชอาณาจักรไทยและ
สปป.ลาว และส่งเสริมการค้าชายแดน การท่องเที่ยว และเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
รวมถึงกำหนดกฎเกณฑ์ การบริหารและบำรุงรักษาสะพานไว้อย่างชัดเจน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้
ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
108 | ความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยและรัฐสุลต่านบรูไนดารุสซาลามเพื่อการขจัดการเก็บภาษีซ้อนในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ และการป้องกันการหลบหลีกและการหลีกเลี่ยงรัษฎากร | กค. | 04/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนไทย
- บรูไนดารุสซาลาม และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในร่างความตกลงฯ
โดยให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ที่ได้รับมอบหมายดังกล่าว
และดำเนินการแจ้งหนังสือผ่านช่องทางการทูตถึงการดำเนินการตามกระบวนการภายในที่จำเป็นเพื่อให้ความตกลงฯ
มีผลใช้บังคับเสร็จสมบูรณ์ โดยร่างความตกลงฯ มีสาระสำคัญเป็นการบรรเทาหรือขจัดภาระภาษีซ้ำซ้อนในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเงินได้ระหว่างประเทศอันเป็นผลจากอำนาจในการจัดเก็บภาษีของประเทศคู่สัญญาซึ่งทำให้เกิดการจัดเก็บภาษีซ้ำซ้อนบนฐานรายได้จำนวนเดียวกัน
และป้องกันการนำความตกลงดังกล่าวไปปรับใช้โดยมิชอบเพื่อการหลบหลีกและการหลีกเลี่ยงภาษี
หรือการวางแผนเพื่อหลบเลี่ยงภาษีและการเคลื่อนย้ายกำไรไปต่างประเทศที่มีอัตราภาษีต่ำ
(BEPS) ตลอดจนการไม่จัดเก็บภาษีในประเทศคู่สัญญาทั้งสองประเทศ
(Double non - taxation) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
โดยหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการคลังดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ทั้งนี้
ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการต่างประเทศ เห็นว่าร่างความตกลงฯ เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา
๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
และหากส่วนราชการที่เกี่ยวข้องสามารถปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้ร่างความตกลงฯ ได้
โดยไม่ต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญาก็ไม่เป็นหนังสือสัญญาประเภทอื่นตามมาตรา
๑๗๘ วรรคสองของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่จะต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
เห็นว่าเงินปันผล ในร่างความตกลงฯ ยังไม่แน่ชัดว่ารวมถึงกรณีเงินได้จากการลงทุนทางอ้อมในหุ้นผ่านหลักทรัพย์อื่นด้วยหรือไม่
จึงขอให้หน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่พิจารณากำหนดขอบเขตและแนวทางการจัดเก็บภาษีเพื่อความชัดเจนและรองรับกรณีที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
109 | ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ศิลาทองวิเชียร ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ | อก. | 27/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติผ่อนผันให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด
ศิลาทองวิเชียร ใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี เพื่อทำเหมืองแร่
ตามคำขอประทานบัตรที่ ๒/๒๕๖๐ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓
และวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ อนึ่ง เมื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่
๑ บี เพื่อทำเหมืองแร่แล้ว กระทรวงอุตสาหกรรม
โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่จะได้ดำเนินการให้ครบถ้วนถูกต้องตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องก่อนการพิจารณาอนุญาตประทานบัตรต่อไป
ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เห็นควรปฏิบัติตามข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำ
มาตรการป้องกันแก้ไข และตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน การปลูกดูแลรักษาต้นไม้และพืชคลุมดิน
รวมทั้งการจัดการบ่อดักตะกอนให้มีประสิทธิภาพเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อพื้นที่โดยรอบโครงการ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
110 | ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่ของบริษัท ศิลาอุตสาหกรรม จำกัด ที่จังหวัดยะลา | อก. | 27/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติผ่อนผันให้บริษัท ศิลาอุตสาหกรรม จำกัด
ใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี เพื่อทำเหมืองแร่ ตามคำขอประทานบัตรที่
๖/๒๕๕๘ เพิ่มเติม เนื้อที่ ๓๔ ไร่ ๓ งาน ๒๕ ตารางวา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ และผ่อนผันการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม
๒๕๓๓ และวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๙ อนึ่ง
เมื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี
เพื่อทำเหมืองแร่แล้ว กระทรวงอุตสาหกรรมโดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่จะได้ดำเนินการให้ครบถ้วนถูกต้องตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องก่อนการพิจารณาอนุญาตประทานบัตรต่อไป
ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรมไปกำกับติดตามการดำเนินการของบริษัทเอกชนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยโบราณสถาน
โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอย่างเคร่งครัด ๒.
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
เห็นควรมีการตรวจสอบ กำกับ
และติดตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัดตามรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านเหมืองแร่
พร้อมทั้งคำนึงถึงความสามารถในการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษอันเนื่องมาจากการทำเหมืองแร่หินหรือกิจการที่ก่อให้เกิดมลพิษ
โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการประกอบกิจการด้านการย่อยหินเป็นจำนวนมาก
เพื่อป้องกันผลกระทบด้านสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ และจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้อง
ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
เพื่อให้เกิดความรู้และความเข้าใจร่วมกัน รวมถึงลดผล กระทบและความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นภายหลังจากการทำเหมืองแร่ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
111 | ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้จากสัญญาจ้างงานก่อสร้าง กรณีเงื่อนไขในสัญญากำหนดให้ผู้รับจ้างต้องจัดหารถยนต์พร้อมค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องสำหรับผู้ควบคุมงาน | กค. | 27/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๖๘ (เรื่อง
ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้จากสัญญาจ้างงานก่อสร้าง กรณีเงื่อนไขในสัญญากำหนดให้ผู้รับจ้างต้องจัดหารถยนต์พร้อมค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องสำหรับผู้ควบคุมงาน)
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
112 | ร่างพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | คค. | 20/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าชนส่งมวลขนแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๔๓ ให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบัน และสามารถส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินการตามภารกิจของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
(รฟม.) ตามนโยบายรัฐบาลให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น ปรับปรุงคำนิยาม “กิจการรถไฟฟ้า”
วัตถุประสงค์ อำนาจกระทำกิจการของ รฟม. หลักเกณฑ์การออกข้อบังคับของหน่วยงาน
หลักเกณฑ์การบริหารจัดการรายได้
และการดำเนินกิจการที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
เพื่อลดปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงาน และให้ รฟม.
สามารถดำเนินการเกี่ยวกับกิจการรถไฟฟ้าได้อย่างครบถ้วนและครอบคลุมภารกิจอื่นที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงสามารถจัดหาประโยชน์ในทรัพย์สิน และดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลได้ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้ตัดประเด็นการแก้ไขร่างมาตรา
๗ ให้ยกเลิกวรรคสามของมาตรา ๑๘ และร่างมาตรา ๙ ให้ยกเลิกความใน (๓) (๔) (๕) (๖)
และ (๑๐) ของมาตรา ๗๕ แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๕๔๓ ออก สำหรับร่างมาตรา ๘ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๖๕ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ให้ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลัง
และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเป็นเรื่องด่วนต่อไป ๓. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
กรอบระยะเวลา
และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๔. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยควรพิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกับฐานะทางการเงินเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดภาระทางการคลังของภาครัฐในอนาคต สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟฟ้าขนส่งมวลขนแห่งประเทศไทยดำเนินการตามกฎหมาย
ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
113 | ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมคำขอเกี่ยวกับการจัดหางานในประเทศและการจัดหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศ พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมคำขอเกี่ยวกับการจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานเป็นคนประจำเรือ พ.ศ. .... | รง. | 20/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมคำขอเกี่ยวกับการจัดหางานในประเทศและการจัดหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศ
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นค่าธรรมเนียมคำขอเกี่ยวกับการจัดหางานให้คนหางานในประเทศและเพื่อไปทำงานในต่างประเทศ
เช่น ค่าธรรมเนียมคำขอใบอนุญาตจัดหางานให้คนหางานทำงานในประเทศ
ค่าธรรมเนียมคำขอใบอนุญาตจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศ
ค่าธรรมเนียมคำขอใบแทนใบอนุญาต ค่าธรรมเนียมคำขอรับรองสำเนาเอกสาร และร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมคำขอเกี่ยวกับการจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานเป็นคนประจำเรือ
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นค่าธรรมเนียมคำขอเกี่ยวกับการจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานเป็นคนประจำเรือ
เช่น ค่าธรรมเนียมคำขอใบอนุญาตจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานเป็นคนประจำเรือ
ค่าธรรมเนียมคำขอการต่ออายุใบอนุญาตจัดหางาน ค่าธรรมเนียมคำขอการแปลใบอนุญาตจัดหางานเป็นภาษาต่างประเทศ
จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร.
สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นว่ากระทรวงแรงงานควรประชาสัมพันธ์
สร้างการรับรู้และความเข้าใจให้ผู้เกี่ยวข้องทราบอย่างทั่วถึงเพื่อให้การออกกฎกระทรวงทั้ง
๒ ฉบับดังกล่าวบรรลุวัตถุประสงค์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
114 | ขออนุมัติหลักเกณฑ์การคำนวณเงินชดเชยค่างานก่อสร้าง K (Price Adjustment) เพื่อขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2532 เป็นกรณีพิเศษเฉพาะสำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต เฉพาะในส่วนของงานโยธาของสัญญาที่ 1 และสัญญาที่ 2 | คค. | 20/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักเกณฑ์การคำนวณเงินชดเชยค่างานก่อสร้าง
K (Price Adjustment) เพื่อยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๒ เป็นกรณีพิเศษเฉพาะสำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง)
ช่วงบางซื่อ - รังสิต เฉพาะในส่วนของงานโยธาของสัญญาที่ ๑ และสัญญาที่ ๒ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
ดังนี้ ๑. อนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทยใช้หลักเกณฑ์การคำนวณเงินชดเชยค่างานก่อสร้าง
K (Price Adjustment) เพื่อยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๒ เป็นกรณีเฉพาะโครงการระบบรถไฟชานเมือง
(สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต เฉพาะในส่วนงานโยธาของสัญญาที่ ๑ และสัญญาที่ ๒
ดังนี้ ๑.๑
การคำนวณเงินชดเชยค่างานก่อสร้าง (ค่า K) ที่ใช้กับสัญญาแบบปรับราคาได้
ให้ใช้หลักเกณฑ์การคำนวณเงินชดเชยค่างานก่อสร้าง (ค่า K) ตามที่ระบุไว้ในสัญญา
โดยใช้ดัชนีราคาฐาน ๒๘ วัน ก่อนยื่นซองประกวดราคา สำหรับสัญญาที่ ๑ และสัญญาที่ ๒
เป็นฐานในการคำนวณ สำหรับประเภทงานก่อสร้าง
สูตรและวิธีคำนวณให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๒ ๑.๒
การขอเงินเพิ่มค่างานก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ให้เป็นหน้าที่ของผู้รับจ้างที่จะต้องเรียกร้องภายใน
๙๐ วัน โดยนับจากวันที่ส่งมอบงานงวดสุดท้าย ๒.
มอบหมายให้สำนักงบประมาณเป็นผู้พิจารณาและวินิจฉัยการคำนวณเงินเพิ่มหรือลด
และจ่ายเงินเพิ่มหรือเรียกเงินคืนจากผู้รับจ้างตามเงื่อนไขของสัญญาแบบปรับราคาได้ตามข้อผูกพันของสัญญาที่ได้ลงนามไปแล้ว
และหากการจ่ายเงินเพิ่มค่างานก่อสร้างดังกล่าว ทำให้เกินกรอบวงเงินที่ได้รับจากคณะรัฐมนตรีก็ถือว่าได้รับการอนุมัติขยายกรอบวงเงินโครงการจากคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้ด้วย
ส่วนการจัดหาแหล่งเงินที่เหมาะสมเพื่อเบิกจ่ายเงินชดเชยค่าก่อสร้าง K ให้แก่ผู้รับจ้าง
ขอให้สำนักงบประมาณเป็นผู้วินิจฉัย และขอให้การรถไฟแห่งประเทศไทยขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่งต่อไป ให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย)
รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น สำนักงบประมาณ เห็นว่าการดำเนินโครงการระบบรถไฟชานเมืองในอนาคตขอให้การรถไฟแห่งประเทศไทยนำเงื่อนไข
หลักเกณฑ์ ประเภทงานก่อสร้าง สูตร
และวิธีการคำนวณที่ใช้กับสัญญาแบบปรับราคาได้ของการประกวดราคานานาชาติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๙ มาใช้ อย่างเคร่งครัด โดยกรณีที่พิจารณาแล้วเห็นว่าจำเป็นต้องขอยกเว้นการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว
ให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
115 | การสนับสนุนค่าบำรุงของประเทศสมาชิกองค์การอนามัยโลก | สธ. | 20/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในการจ่ายเงินค่าบำรุงสมาชิกเพิ่มแบบขั้นบันได
ได้แก่ เพิ่มร้อยละ ๒๐ (จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘) สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๙ - ๒๕๗๐
เพิ่มร้อยละ ๒๕ (จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๗๐) สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๗๑ - ๒๕๗๒ และเพิ่มร้อยละ
๒๗ (จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๗๒) สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๗๓ - ๒๕๗๔ โดยใช้งบประมาณหมวดเงินอุดหนุนของกระทรวงสาธารณสุข
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศ (หนังสือกระทรวงการต่างประเทศ
ด่วนที่สุด ที่ กต ๑๐๐๒/๙๖๖ ลงวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๘)
ไปพิจารณาดำเนินการให้เหมาะสมและรอบคอบต่อไปด้วย เช่น สำนักงบประมาณ เห็นว่าค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๘ กระทรวงสาธารณสุขได้รับการจัดสรรงบประมาณไว้แล้ว ในงบเงินอุดหนุน
เงินอุดหนุนทั่วไป รายการเงินอุดหนุนองค์การอนามัยโลก จำนวน ๗๔,๙๖๒,๒๐๐ บาท
ควรให้กระทรวงสาธารณสุขใช้จ่ายจากงบประมาณที่ได้รับจัดสรร
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป
ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า
และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศแต่ละปีตามที่พันธกรณีได้กำหนดเป็นหลักเกณฑ์การคำนวณการจ่ายเงินบำรุงค่าสมาชิก
ตลอดจนความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราในแต่ละปี
เพื่อให้การกำหนดกรอบวงเงินงบประมาณมีความเหมาะสม
และก่อให้เกิดผลตอบแทนด้านสุขภาพอย่างคุ้มค่าสูงสุดต่อประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
116 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การบริหารไนท์ซาฟารี (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | 20/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การบริหารไนท์ซาฟารี
(องค์การมหาชน) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการจัดตั้งองค์การบริหารไนท์ซาฟารีขึ้นเป็นองค์การมหาชน
เพื่อดำเนินภารกิจในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และวัฒนธรรมบนพื้นฐานทางธรรมชาติในรูปแบบไนท์ซาฟารีที่มีความหลากหลาย
และร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกการโอนเงินและทรัพย์สินของสำนักงานพัฒนาพิงคนคร
(องค์การมหาชน) ไปเป็นทุนขององค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย รวม ๒ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
ตามที่คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้สำนักงาน ก.พ.ร.
ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน
ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจพิจารณาประเมินรูปแบบองค์กรและการบริหารจัดการองค์กรที่เหมาะสมระหว่างองค์การบริหารไนท์ซาฟารี
(องค์การมหาชน) และองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ภายในระยะเวลา ๒ ปี ๓ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงมหาดไทย และสำนักงบประมาณ ในส่วนที่เกี่ยวกับการประเมินรูปแบบองค์กรและการบริหารจัดการองค์กรที่เหมาะสมระหว่างองค์การบริหารไนท์ซาฟารี
(องค์การมหาชน) และองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน)
รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นว่าในการเปลี่ยนผ่านองค์กรไปสู่องค์การบริหารไนท์ซาฟารีฯ
ควรมีการเตรียมความพร้อมการดำเนินการให้เป็นไปตามที่กำหนดในบทเฉพาะกาล ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๕. เมื่อร่างพระราชกฤษฎีกาทั้ง ๒ ฉบับ
มีผลใช้บังคับแล้วให้องค์การบริหารไนท์ซาฟารี (องค์การมหาชน) รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย
สำนักงาน ก.พ. และสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงมหาดไทย เห็นควรดำเนินการตามกฎหมาย
ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การบริหารกิจการของรัฐเกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล มีความคล่องตัวในการบริหารจัดการ
รวมไปถึงควรกำหนดมาตรการ/แนวทางการประเมิน และการบริหารจัดการที่เหมาะสม
เพื่อให้การจัดตั้งองค์การบริหารไนท์ซาฟารี (องค์การมหาชน)
บรรลุตามเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
117 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้าง ประจำปี พ.ศ. 2567 ระหว่างกระทรวงสาธารณสุขกับสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย | สธ. | 20/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง
- ล้านช้าง ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๗
ระหว่างกระทรวงสาธารณสุขกับสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย และอนุมัติให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุขหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ โดยร่างบันทึกความเข้าใจ
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดรายละเอียดแนวทางการดำเนินโครงการความร่วมมือในการพัฒนาสุขอนามัย
เพื่อป้องกันโรคติดเชื้อจากสัตว์สู่คน
และโครงการเพื่อส่งเสริมสุขภาพของแม่และเด็กตามแนวชายแดนของไทย สปป. ลาว
และเวียดนาม ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการต่างประเทศ เห็นควรให้กระทรวงสาธารณสุขระมัดระวังและไม่ดำเนินการใดที่จะส่งผลกระทบต่อประเทศจากการแลกเปลี่ยนการใช้การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารที่มีความอ่อนไหว
หรือเป็นองค์ความรู้หรือเป็นทรัพย์สินทางปัญญาซึ่งควรเป็นกรรมสิทธิ์ของประเทศไทยเท่านั้น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่ากระทรวงสาธารณสุขจำเป็นต้องวิเคราะห์และประเมินผลการดำเนินงาน
รวมถึงกำกับและดูแลการประเมินผลโครงการทั้งด้านการวางแผนโครงการและการดำเนินงานโครงการ
รวมถึงกิจกรรมและการบริหารงบประมาณให้เป็นไปตามข้อกำหนด
รวมถึงสื่อสารผลการดำเนินงานให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับทราบถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงได้รับ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
118 | ขอความเห็นชอบให้ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราว ของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ลาเข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบทและบวชชีพรหมโพธิเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2568 และเนื่องในโอกาสพระราชพิธีสมมงคลพระชนมายุเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สมเด็จพระปฐมบรมกษัตริยาธิราชแห่งพระราชวงศ์จักรี พุทธศักราช 2568 โดยไม่ถือเป็นวันลา | นร.01 | 20/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบให้ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราว
ของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ
ลาเข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบทและบวชชีพรหมโพธิเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๘ และเนื่องในโอกาสพระราชพิธีสมมงคลพระชนมายุเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
สมเด็จพระปฐมบรมกษัตริยาธิราชแห่งพระราชวงศ์จักรี พุทธศักราช ๒๕๖๘
โดยไม่ถือเป็นวันลา ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ทั้งนี้
ในส่วนของการเข้าร่วมบวชชีพรหมโพธิและบวชเนกขัมมะพรหมโพธิของสตรีเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลในครั้งนี้
ให้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง
การให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่
และลูกจ้างของหน่วยงานภาครัฐที่เป็นสตรีไปถือศีลและปฏิบัติธรรม) ด้วย
สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการดังกล่าว ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
ที่เห็นว่าค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการบรรพชาอุปสมบท ๙๙ รูป
และบวชชีพรหมโพธิ ๗๓ คน
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับจัดสรร
หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
หรือโอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร แล้วแต่กรณี
ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามความจำเป็นและเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ในส่วนของการขอยกเว้นการดำเนินการตามประกาศสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
เรื่อง แนวทางและขั้นตอนการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีในการให้ข้าราชการ
เจ้าหน้าที่
และลูกจ้างของหน่วยงานภาครัฐที่เป็นสตรีไปถือศีลและปฏิบัติธรรมในสำนักปฏิบัติธรรมที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติรับรอง
ลงวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ รวมถึงประกาศที่เกี่ยวข้อง นั้น
ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเร่งประสานหารือกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติและดำเนินการให้ถูกต้องตามหน้าที่และอำนาจตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อโปโดยด่วน ๓.
ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเร่งรัดการพิจารณาปรับปรุงประกาศเกี่ยวกับสำนักปฏิบัติธรรมที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติให้เหมาะสมและเป็นปัจจุบัน
เพื่อสามารถรองรับให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐที่เป็นสตรีไปถือศีลและปฏิบัติธรรมได้อย่างถูกต้องและสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
119 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันเกินกว่าหรือนอกเหนือไปจากที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 เพื่อชำระหนี้ค่าสาธารณูปโภคค้างชำระ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 | ทส. | 20/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กรมควบคุมมลพิษก่อหนี้ผูกพันเกินกว่าที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ เพื่อชำระหนี้ค่าสาธารณูปโภค ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ จำนวน ๑,๕๖๐,๒๔๖.๙๖ บาท ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ดังนี้ กระทรวงมหาดไทย เห็นควรให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่าหน่วยงานภาครัฐควรให้ความสำคัญต่อการประหยัดพลังงาน
การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อบริหารงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับการจัดสรรเป็นค่าสาธารณูปโภคได้อย่างคุ้มค่าและเหมาะสม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
120 | แผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท | กค. | 20/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน
๑๕๗,๐๐๐ ล้านบาท และมอบหมายหน่วยงานรับงบประมาณจัดทำโครงการและคำของบประมาณ
เพื่อดำเนินการตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดังกล่าว ตามมติคณะกรรมการฯ ครั้งที่
๒/๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๘ ตามนัยข้อ ๓ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่าในการจัดทำโครงการและการขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง
รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ และระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง
รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ พ.ศ.
๒๕๖๗ รวมทั้งกฎ ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เห็นว่าหากหน่วยงานได้รับการจัดสรรงบประมาณด้านน้ำแล้ว
ขอให้เร่งรัดดำเนินการ พร้อมทั้งเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง
เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ และรายงานให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติทราบด้วย |