ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 7 จากทั้งหมด 569 หน้า แสดงรายการที่ 121 - 140 จากข้อมูลทั้งหมด 11372 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
121 | ขอความเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย รัฐบาลแห่งมาเลเซีย และรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย ว่าด้วยความร่วมมือด้านน้ำมันปาล์ม | กษ. | 20/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย
รัฐบาลแห่งมาเลเซีย และรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย ว่าด้วยความร่วมมือด้านน้ำมันปาล์ม
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ
มีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกัน
สนับสนุนและเอื้ออำนวยการส่งเสริมการค้า
รวมถึงเสริมสร้างประสบการณ์และการแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดีระหว่างกัน
บนพื้นฐานของการต่างตอบแทนและผลประโยชน์ร่วมกันในด้านการพัฒนาน้ำมันปาล์ม
มีสาขาความร่วมมือ เช่น การเสริมสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องในอนุภูมิภาค
IMT - GT เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม
การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ไห้ความเห็นชอบไว้ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ที่เห็นควรคำนึงถึงพื้นที่ที่ใช้ในการปลูกปาล์ม
ควรเป็นพื้นที่ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ต้องมีการบริหารจัดการต้นปาล์มตามหลักวิชาการเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
และหากประสงค์จะดำเนินการในเขตพื้นที่ป่าไม้ ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
122 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2559 (เรื่อง ขออนุมัติจัดสรรเงินจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร) | กษ. | 20/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙
กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ เรื่อง ขออนุมัติจัดสรรเงินกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร
ในประเด็นเงินจ่ายขาด จากจำนวน ๑๐ ล้านบาท เป็นจำนวน ๒๕.๓๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นว่าให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการวิเคราะห์ลูกหนี้เพื่อจัดชั้นลูกหนี้
บริหารจัดการหนี้ที่ผิดนัดชำระหนี้ เพื่อลดปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ พร้อมกำหนดมาตรการสร้างแรงสูงใจให้กลุ่มเกษตรกรชำระหนี้ควบคู่กับการขยายระยะเวลา ๕ ปี
โดยกำหนดเป้าหมายการรับชำระหนี้และส่งเงินต้นคืนกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรไม่น้อยกว่าร้อยละ ๒๐ ต่อปี รวมถึงกำหนดแผนการดำเนินงานและแนวทางการช่วยเหลือ
กลุ่มเกษตรกร เพื่อให้สามารถเร่งรัดและติดตามผลการดำเนินงานได้อย่างเป็นรูปธรรม กระทรวงพาณิชย์ เห็นว่าการพิจารณาดำเนินโครงการฯ
รวมถึงการเบิกค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ จะต้องคำนึงถึงเหตุผล ความจำเป็น
ความคุ้มค่า รวมถึงเป็นไปด้วยความโปร่งใส
ตามข้อกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องสามารถตรวจสอบได้ และให้มีการติดตามประเมินผลโครงการและการชำระหนี้ของเกษตรกรอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง
เพื่อให้สามารถส่งคืนเงินกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมส่งเสริมสหกรณ์)
เร่งรัด ติดตามการชำระหนี้เงินกู้ของกลุ่มเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการสร้างความเข้มแข็งให้กับกลุ่มเกษตรกรเพื่อเข้าถึงแหล่งเงินทุนในการผลิตและการตลาดและบริหารจัดการหนี้ที่ผิดนัดชำระอย่างเหมาะสม
โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ภายในวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๗๓ และไม่ให้มีการขยายระยะเวลาดำเนินโครงการดังกล่าวออกไปอีก
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
123 | ขออนุมัติใช้เงินบำรุงเพื่อก่อสร้างอาคารศูนย์แพทยศาสตร์ศึกษาชั้นคลินิก 9 ชั้น เป็นอาคาร คสล. 9 ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ 8,810 ตารางเมตร โรงพยาบาลระยอง จังหวัดระยอง 1 หลัง | สธ. | 13/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติใช้เงินบำรุงโรงพยาบาลระยอง
จังหวัดระยอง ก่อสร้างอาคารศูนย์แพทยศาสตร์ศึกษาชั้นคลินิค ๙ ชั้น เป็นอาคาร คสล.
๙ ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ ๘,๘๑๐
ตารางเมตร โรงพยาบาลระยอง จังหวัดระยอง ๑ หลัง วงเงิน ๑๖๘,๕๕๔,๒๐๐ บาท ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ให้กระทรวงสาธารณสุข (สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงมหาดไทย และสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงมหาดไทย เห็นควรปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
124 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการหารือทวิภาคีทางการเมืองระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐเซอร์เบีย | กต. | 13/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการหารือทวิภาคีทางการเมืองระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐเซอร์เบีย
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
เป็นผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจดังกล่าว โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการจัดการประชุมหารือทวิภาคีระหว่างผู้เข้าร่วมทั้งสองฝ่ายเป็นประจำ
เพื่อทบทวนและพิจารณาความสัมพันธ์ทวิภาคีและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นระดับภูมิภาค
และประเด็นระหว่างประเทศที่ทั้งสองฝ่ายมีความสนใจร่วมกัน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เห็นว่าที่ผ่านมายังไม่ปรากฏข้อห่วงกังวลด้านความมั่นคงระหว่างไทย
และ เซอร์เบีย ทั้งในปัญหาระดับทวิภาคีหรือในเวทีระหว่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ
หน่วยงานความมั่นคงควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
และหากพบพฤติการณ์ที่มีความเสี่ยงต่อความมั่นคงอาจเสนอให้ทบทวนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ดังกล่าว ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
125 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งกลไกการประชุมปรึกษาหารือทางการเมืองระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศและกิจการชาวต่างชาติแห่งราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดน | กต. | 13/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งกลไกการประชุมปรึกษาหารือทางการเมืองระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศและกิจการชาวต่างชาติแห่งราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดน
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการจัดตั้งกรอบความร่วมมือในการประชุมปรึกษาหารือทางการเมือง
เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกัน ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่ากระทรวงการต่างประเทศควรสื่อสารผลลัพธ์ของการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับทราบถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับด้วย
และหากมีการแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจฯ ให้กระทรวงการต่างประเทศรวบรวมผลการปรับแก้บันทึกความเข้าใจฯ
พร้อมทั้งผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องรายงานต่อคณะรัฐมนตรีทราบในคราวเดียวกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
126 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงสาธารณสุขแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซียว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุข | สธ. | 13/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงสาธารณสุขแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซียว่าด้วยความร่วมมือด้านสาธารณสุข
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับอินโดนีเซียและพัฒนาความร่วมมือด้านสาธารณสุขในสาขาต่าง
ๆ เช่น การเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบสุขภาพและระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ
การป้องกันและควบคุมโรคติดต่อ ความมั่นคงด้านยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์
การเงินการคลังด้านสุขภาพ และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เป็นต้น ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น
เห็นควรให้กระทรวงสาธารณสุขใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับจัดสรร หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
หรือโอนเงินจัดสรร ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒
และที่แก้ไขเพิ่มเติม แล้วแต่กรณี หรือจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและความเหมาะสมตามขั้นตอน
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
127 | ขอความเห็นชอบและอนุมัติให้ลงนามร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามกับกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้า ที่ปรับปรุงใหม่ | พณ. | 13/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามกับกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้า
ที่ปรับปรุงใหม่ และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามกับกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้า
ที่ปรับปรุงใหม่ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงถ้อยคำในบันทึกความเข้าใจฯ
ฉบับปัจจุบันเพื่อให้มีความทันสมัยและเหมาะสมกับบริบทในปัจจุบัน
เนื่องจากมีการปรับชื่อหน่วยงานของเวียดนามที่รับผิดชอบภารกิจด้านความร่วมมือทางการค้าทวิภาคีกับไทย
การปรับปีเป้าหมายของวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียนจากปี ค.ศ. ๒๐๒๕ เป็นปี ค.ศ. ๒๐๔๕
รวมถึงการปรับถ้อยคำเพื่อให้สะท้อนถึงการประกาศยกระดับความสัมพันธ์ทวิภาคี
เป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์รอบด้านในปี ๒๕๖๘ ณ ประเทศเวียดนาม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
(หนังสือกระทรวงการต่างประเทศ ด่วนที่สุด ที่ กต ๐๘๐๔/๓๕๒ ลงวันที่ ๒ พฤษภาคม
๒๕๖๘) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
ดังนี้ กระทรวงการต่างประเทศ เห็นว่าร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ไม่เป็นสนธิสัญญาภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศและไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา
๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันรัฐบาลไทย
ควรเสนอเรื่องดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีตามมาตรา ๔ (๗) ของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี
พ.ศ. ๒๕๔๘ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่าการขับเคลื่อนความร่วมมือภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ ควรให้ครอบคลุมความร่วมมือในการป้องกันการสวมสิทธิการส่งออกสินค้าของประเทศที่สาม
(Transshipment หรือ Origin
Fraud) โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับผู้ต้องสงสัยและรูปแบบการกระทำความผิด
รวมถึงการเฝ้าระวังแนวโน้มการกระทำความผิดในรูปแบบใหม่
อันจะช่วยลดผลกระทบจากนโยบายการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกาในปัจจุบันและส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและเป็นประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศต่อไป ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามกับกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้า
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
128 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงสาธารณสุขแห่งสาธารณรัฐมัลดีฟส์ | สธ. | 13/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงสาธารณสุขแห่งสาธารณรัฐมัลดีฟส์
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมความร่วมมือด้านสาธารณสุขในสาขาต่าง
ๆ ระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐมัลดีฟส์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่เห็นว่าค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น
ควรให้กระทรวงสาธารณสุขใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับจัดสรร
หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ หรือโอนเงินจัดสรร
ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม แล้วแต่กรณี
หรือจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
129 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | บจธ. | 13/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการยุบเลิกสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) ออกไปเป็นภายในวันที่
๓๐ กันยายน ๒๕๖๙
เพื่อศึกษาทบทวนบทบาทภารกิจและความจำเป็นในการมีอยู่ของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน
(องค์การมหาชน) โดยในช่วงการขยายระยะเวลาดังกล่าวนี้ ให้สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) ปฏิบัติภารกิจเท่าที่จำเป็นและไม่ซ้ำซ้อนกับหน่วยงานอื่น
ตามความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน ทั้งนี้
ตามมติของคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๘
เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ และให้ปรับแก้ไขร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน
(องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
ให้สอดคล้องกับการขยายระยะเวลาการยุบเลิกสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน
(องค์การมหาชน) ตามมติคณะรัฐมนตรี แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
130 | แนวทางการดำเนินการโครงการทุนการศึกษาเพื่อขยายโอกาสและพัฒนาประเทศ (Outstanding Development Opportunity Scholarship: ODOS) | นร.10 | 13/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการดำเนินการโครงการทุนการศึกษาเพื่อขยายโอกาสและพัฒนาประเทศ
(Outstanding Development
Opportunity Scholarship : ODOS) เพื่อให้นักเรียนซึ่งขาดแคลนโอกาส
มีผลการเรียนดี มีความประพฤติดี มีศักยภาพ ได้มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างมีคุณภาพและมีศักดิ์ศรี
รวมทั้งยกระดับคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชนซึ่งขาดแคลนโอกาส
ให้เข้าถึงการศึกษาและพัฒนาทักษะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้อย่างมีคุณภาพ และปลูกฝังทัศนคติให้แก่เด็กและเยาวชนของประเทศในการพัฒนาตนเองอย่างมีเป้าหมายและต่อเนื่อง
ตามที่คณะกรรมการอำนวยการโครงการทุนการศึกษาเพื่อขยายโอกาสและพัฒนาประเทศเสนอ ให้คณะกรรมการอำนวยการโครงการทุนการศึกษาเพื่อขยายโอกาสและพัฒนาประเทศ
กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม และสำนักงาน ก.พ. รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงศึกษาธิการ
และสำนักงบประมาณ
รวมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงศึกษาธิการ เห็นควรให้มีการกำหนดแนวทางแผนรองรับภายหลังสำเร็จการศึกษาของผู้รับทุนที่มีความชัดเจนและรัดกุม
โดยบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากผู้รับทุนในการสนับสนุนเป็นกำลังสำคัญของภาครัฐและภาคเอกชน
ให้มีความสอดคล้องตามความต้องการท้องถิ่นและทิศทางการพัฒนาประเทศในระยะยาวต่อไป สำนักงบประมาณ เห็นควรที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์การดำเนินโครงการดังกล่าวในทุกปีการศึกษา เพื่อให้ทราบปัญหาอุปสรรคและนำผลการติดตามประเมินผลดังกล่าวมาใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานโครงการและจัดสรรงบประมาณในระยะต่อไปด้วย โดยให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและประหยัด การพิจารณาเป้าหมาย ประสิทธิภาพ ผลสัมฤทธิ์ และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากการดำเนินโครงการดังกล่าวเป็นสำคัญ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
131 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - เนปาล | คค. | 13/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑. รับทราบบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย - รวันดา ไทย
- โมร็อกโก และไทย - เนปาล และบันทึกการหารือระหว่างไทย - ซาอุดีอาระเบีย
ฉบับลงนามเมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๖๖ ๒.
ให้ความเห็นชอบร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างไทย - รวันดา ไทย -
โมร็อกโก ไทย - เนปาล และไทย - ซาอุดีอาระเบีย ๓. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามร่างความตกลงฯ
และให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ที่ได้รับมอบหมายดังกล่าวด้วย ๔. เห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของฝ่ายไทย
เพื่อยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจฯ/ร่างความตกลงฯ ระหว่างไทย –
รวันดา ไทย - โมร็อกโก และไทย - เนปาล รวมถึงมอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตดังกล่าว
โดยให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ ๕. มอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแจ้งเป็นหนังสือผ่านช่องทางทางการทูตดำเนินการตามกระบวนการเสร็จสิ้นเพื่อให้ร่างความตกลงฯ
ระหว่างไทย - ชาอุดีอาระเบีย มีผลใช้บังคับ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งเนปาลและร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของฝ่ายไทย
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการต่างประเทศ เห็นควรพิจารณาหารือกับฝ่ายรวันดาและเนปาลอีกครั้งถึงความจำเป็นในการจัดทำหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูต สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่าภายหลังจากร่างความตกลงฯ
มีผลใช้บังคับ ให้กระทรวงคมนาคมเร่งพิจารณาแนวทางการส่งเสริมให้สายการบินสัญชาติไทยสามารถใช้ประโยชน์จากผลการเจรจาได้อย่างเต็มศักยภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด
รวมถึงพิจารณาบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้สายการบินในประเทศสามารถเข้าสู่ตลาดเส้นทางบินระหว่างประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
132 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย-รวันดา | คค. | 13/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑. รับทราบบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย - รวันดา ไทย
- โมร็อกโก และไทย - เนปาล และบันทึกการหารือระหว่างไทย - ซาอุดีอาระเบีย มีสาระสำคัญเป็นเอกสารสรุปผลการเจรจาหารือร่วมกันระหว่างคู่ภาคี ๒. เห็นชอบร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างไทย
- รวันดา, ไทย - โมร็อกโก, ไทย - เนปาล และไทย - ซาอุดีอาระเบีย มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดสิทธิ และข้อบทต่าง
ๆ ในการดำเนินการบริการเดินอากาศระหว่างประเทศไทยกับประเทศดังกล่าว ๓. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามร่างความตกลงฯ และให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม
(Full Powers) ให้แก่ผู้ที่ได้รับมอบหมาย ๔. ในส่วนของรวันดา โมร็อกโก และเนปาล :
เห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของฝ่ายไทยเพื่อยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจฯ/ร่างความตกลงฯ
รวมถึงมอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูต โดยให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ ๕. ในส่วนของซาอุดีอาระเบีย : มอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแจ้งเป็นหนังสือผ่านช่องทางทางการทูต
เพื่อให้ร่างความตกลงฯ ระหว่างไทย - ซาอุดีอาระเบีย มีผลใช้บังคับ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
133 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย-ซาอุดีอาระเบีย | คค. | 13/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
ดังนี้ ๑.
รับทราบบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย - รวันดา ไทย - โมร็อกโก และไทย - เนปาล และบันทึกการหารือระหว่างไทย
- ซาอุดีอาระเบีย ฉบับลงนามเมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๖๖ ๒.
เห็นชอบร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างไทย - รวันดา ไทย - โมร็อกโก ไทย
- เนปาล และไทย - ซาอุดีอาระเบีย ๓.
อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามร่างความตกลงฯ
และให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ที่ได้รับมอบหมายดังกล่าวด้วย ๔.
เห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของฝ่ายไทย เพื่อยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจฯ/ร่างความตกลงฯ
ระหว่างไทย - รวันดา ไทย - โมร็อกโก และไทย – เนปาล รวมถึงมอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตดังกล่าว
โดยให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ ๕. มอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแจ้งเป็นหนังสือผ่านช่องทางทางการทูตดำเนินการตามกระบวนการเสร็จสิ้นเพื่อให้ร่างความตกลงฯ
ระหว่างไทย - ซาอุดีอาระเบีย มีผลใช้บังคับ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
134 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - โมร็อกโก | คค. | 13/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑. รับทราบบันทึกความเข้าใจระหว่างไทย - รวันดา ไทย
– โมร็อกโก และไทย - เนปาล และบันทึกการหารือระหว่างไทย - ซาอุดีอาระเบีย
ฉบับลงนามเมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๖๖ ๒.
เห็นชอบร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างไทย - รวันดาไทย - โมร็อกโก ไทย
- เนปาล และไทย - ซาอุดีอาระเบีย ๓. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามร่างความตกลงฯ
และให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ที่ได้รับมอบหมายดังกล่าวด้วย ๔.
เห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของฝ่ายไทย เพื่อยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจฯ/ร่างความตกลงฯ ระหว่างไทย -
รวันดา ไทย - โมร็อกโก และไทย - เนปาล รวมถึงมอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตดังกล่าว โดยให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ ๕. มอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแจ้งเป็นหนังสือผ่านช่องทางทางการทูตดำเนินการตามกระบวนการเสร็จสิ้นเพื่อให้ร่างความตกลงฯ
ระหว่างไทย - ซาอุดีอาระเบีย มีผลใช้บังคับ ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
ที่เห็นควรพิจารณาหารือกับฝ่ายรวันดาและเนปาลอีกครั้ง ถึงความจำเป็นในการจัดทำหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูต
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรโมร็อกโกและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของไทย
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
135 | การขอความเห็นชอบต่อร่างขอบเขตข้อกำหนดสำหรับการประชุม Navy to Navy Talks ระหว่างกองทัพเรือแห่งราชอาณาจักรไทยกับกองทัพเรือเเห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน | กห. | 06/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างขอบเขตข้อกำหนดสำหรับการประชุม Navy to Navy Talks ระหว่างกองทัพเรือแห่งราชอาณาจักรไทยกับกองทัพเรือแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
และให้ผู้บัญชาการทหารเรือ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ร่วมลงนามในร่างขอบเขตข้อกำหนดฯ
มีสาระสำคัญเพื่อกำหนดแนวทางในการปฏิบัติสำหรับการประชุมและแลกเปลี่ยนนโยบายระหว่างกองทัพเรือกับกองทัพเรือสาธารณรัฐประชาชนจีน
รวมทั้งเสริมสร้างความร่วมมือทางทหารระหว่างกัน ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างขอบเขตข้อกำหนดฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
136 | ขอความเห็นชอบร่างบันทึกความร่วมมือระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น ด้านระบบรางและการพัฒนาเมือง | คค. | 29/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความร่วมมือระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง
และการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น ด้านระบบรางและการพัฒนาเมือง และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยสำหรับการลงนามดังกล่าว โดยร่างบันทึกความร่วมมือฯ
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดความร่วมมือระหว่างไทยกับประเทศญี่ปุ่นเกี่ยวกับการพัฒนาระบบรางและการพัฒนาเมือง
ซึ่งรูปแบบความร่วมมือจะอยู่ในลักษณะของการแลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้ ประสบการณ์ และเทคโนโลยี
รวมถึงการจัดสัมมนา การศึกษาดูงาน และการจัดส่งผู้เชี่ยวชาญ โดยมีขอบเขตความร่วมมือ
เช่น (๑) การซ่อมบำรุงรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง (๒)
การพัฒนาแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ระยะที่ ๒ (๓)
การพัฒนาระบบรางในเขตเมือง (๔) การพัฒนาพื้นที่รอบสถานีขนส่งมวลชน (Transit-Oriented Development : TOD) และ (๕)
การเตรียมการต่อภัยพิบัติ เป็นต้น ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความร่วมมือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรวมทั้งความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลังไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
อาทิ กรมการขนส่งทางราง สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) และการรถไฟแห่งประเทศไทย
พิจารณาจัดทำแผนบูรณาการองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบรางภายใต้กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศต่าง
ๆ อาทิ ญี่ปุ่น จีน มาเลเซีย ฝรั่งเศส และเยอรมนี
เพื่อให้เกิดการพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีและนวัตกรรม
ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพและมาตรฐานการให้บริการระบบรางของประเทศ และสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมระบบรางภายในประเทศ
รวมถึงการพัฒนาระบบรางให้เป็นโครงข่ายหลักในการเดินทางและขนส่งสินค้าของประเทศตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ฉบับที่ ๑๓ (พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐) และแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (๗)
ประเด็นโครงสร้างพื้นฐานระบบโลจิสติกส์ และดิจิทัล (พ.ศ. ๒๕๖๑ - ๒๕๘๐) กระทรวงการคลัง เห็นว่ากระทรวงคมนาคมควรร่วมมือกับหน่วยงานต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ในการพิจารณาจัดทำแผนการพัฒนาและเชื่อมต่อโครงข่ายคมนาคมขนส่งสาธารณะในระบบต่าง ๆ
และการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ตามแนวเส้นทางและบริเวณสถานีรถไฟ เพื่อให้เกิดการบูรณาการร่วมกันกับระบบขนส่งรูปแบบอื่นอย่างไร้รอยต่อ
และเกิดประโยชน์จากการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างสมบูรณ์ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
137 | ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินโครงการรถรักษาอัมพาตเคลื่อนที่เฉลิมพระเกียรติเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการรักษาโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลันในพื้นที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช 21 แห่งทั่วประเทศ | อว. | 29/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในกรอบวงเงิน ๑๗๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท
โดยเบิกจ่ายในงบเงินอุดหนุน ประเภทเงินอุดหนุนทั่วไป
เพื่อดำเนินโครงการรถรักษาอัมพาตเคลื่อนที่เฉลิมพระเกียรติ ลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการรักษาโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน
ในพื้นที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ๕ แห่ง ในลักษณะโครงการนำร่อง
ของมหาวิทยาลัยมหิดล ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ
และให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (มหาวิทยาลัยมหิดล)
รับความเห็นของกระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทยไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ดังนี้ กระทรวงการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการดำเนินโครงการดังกล่าวให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
138 | โครงการสลากการกุศล | กค. | 29/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบ ดังนี้ ๑.๑
เห็นชอบให้ยกเลิกโครงการก่อสร้างศูนย์ฝึกอบรมต่อต้านการทุจริตแห่งประเทศไทย
ของมูลนิธิต่อต้านการทุจริตแห่งประเทศไทย วงเงิน ๒๕๐ ล้านบาท
เนื่องจากการดำเนินการดังกล่าว ล่วงเลยระยะเวลาตามที่มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๗ มีนาคม ๒๕๖๖ เห็นชอบ เนื่องจากปัจจุบันมูลนิธิฯ ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับกรมธนารักษ์เพื่อขอเช่าที่ดินแปลงอื่น ๑.๒ เห็นชอบให้มีการออกสลากการกุศลเพื่อสนับสนุนโครงการที่ผ่านการกลั่นกรองจากคณะกรรมการฯ
จำนวน ๗ โครงการ วงเงิน ๕,๓๐๘.๑๔ ล้านบาท ๑.๓
มอบหมายให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบบาล ดำเนินการดังนี้ ๑.๓.๑
เป็นผู้จัดพิมพ์ จัดจำหน่าย และจ่ายเงินรางวัลสลากการกุศลตามข้อ ๑.๒ ๑.๓.๒
ประสานงานกับหน่วยงานเจ้าของโครงการที่ได้รับการสนับสนุนตามข้อ ๑.๒
เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนการออกสลากการกุศล การขออนุญาตการออกสลากการกุศล โดยปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
และการนำส่งเงินให้หน่วยงานเจ้าของโครงการตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ
โดยให้ผู้รับใบอนุญาตการออกสลากการกุศลเสียภาษีการพนันเหลือร้อยละ ๐.๕
แห่งยอดราคาสลากซึ่งมีผู้รับซื้อก่อนหักรายจ่ายตามข้อ ๑๒ (๔) ของกฎกระทรวงมหาดไทย
ฉบับที่ ๑๗ (พ.ศ. ๒๕๐๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติพนัน พ.ศ. ๒๔๗๘
และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยกฎกระทรวงมหาดไทย ฉบับที่ ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๔๓) ๑.๓.๓
จัดทำแผนการออกสลากการกุศลและแผนการใช้เงินของแต่ละโครงการและรายงานต่อคณะกรรมการฯ
เพื่อประโยชน์ในการกำกับ ติดตามการดำเนินโครงการที่ได้รับการสนับสนุนให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนดไว้ ๑.๔
มอบหมายให้คณะกรรมการฯ ดำเนินการดังนี้ ๑.๔.๑
ให้คณะกรรมการฯ มีอำนาจในการกำหนดระยะเวลาผูกพันวงเงินขยายระยะเวลาผูกพันวงเงิน
หรือขยายระยะเวลาดำเนินการตามแผนเบิกจ่ายตามเหตุผลความจำเป็นแล้วแต่กรณี ทั้งนี้
หากคณะกรรมการพิจารณาโครงการสลากการกุศลพิจารณาแล้วเห็นว่า
โครงการดังกล่าวสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้ ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณายกเลิกการสนับสนุนเงินจากการออกสลากการกุศลให้โครงการดังกล่าว
๑.๔.๒ เปลี่ยนแปลงรายละเอียดการใช้เงินภายในโครงการที่ได้รับการสนับสนุน โดยจะต้องไม่เปลี่ยนแปลงเป็นกิจกรรมที่แตกต่างจากโครงการที่ได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ
โดยโครงการที่ได้รับการสนับสนุนตามข้อ ๑.๒ เป็นในส่วนของทุนการศึกษา
จึงเห็นควรให้ดำเนินการสนับสนุน ตามจำนวนผู้รับทุนการศึกษาที่หน่วยงานเสนอขอรับการสนับสนุนเท่านั้น
โดยให้นำเงินเหลือจ่ายโอนเข้ารายได้แผ่นดิน ทั้งนี้
ในกระบวนการคัดเลือกผู้มีสิทธิรับทุน ควรดำเนินการอย่างโปร่งใส ชัดเจน รอบคอบ
และรัดกุม โดยยึดหลักธรรมาภิบาล ความถูกต้อง และความเป็นธรรม เพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของโครงการในการลดความเหลื่อมล้ำ
ตลอดจนเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมได้รับทุนอย่างเท่าเทียมตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่าในการคัดเลือกผู้มีสิทธิรับทุนการศึกษา
หน่วยงานเจ้าของโครงการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบ
อย่างโปร่งใส โดยยึดหลักธรรมาภิบาล ความถูกต้อง และความเป็นธรรม
เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการในการลดความเหลื่อมล้ำ และเปิดโอกาสให้ผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมได้รับทุนการศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา เห็นควรให้ทุกหน่วยงานร่วมวางแผนวิจัยติดตามประเมินผลความคุ้มค่าหรือวิเคราะห์ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและสังคมของการดำเนินการโครงการสลากการกุศลดังกล่าวเพื่อนำไปสู่การกำหนดมาตรการระยะยาวของรัฐบาลที่เหมาะสมต่อไป ๒.
ให้กระทรวงการคลังประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งรัดให้การเบิกจ่ายเงินเพื่อดำเนินโครงการที่ขอรับการสนับสนุนจากโครงการสลากการกุศลแล้วเสร็จโดยเร็ว
รวมทั้งให้ดำเนินการประเมินผลโครงการที่ขอรับการสนับสนุนจากโครงการสลากการกุศล
ทั้งในด้านประสิทธิภาพและประสิทธิผลด้วย เพื่อประโยชน์ในการพิจารณาความจำเป็นและเหมาะสมของการดำเนินโครงการต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องในโอกาสต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
139 | รายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 | กค. | 22/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ และรายงานการเงินรวมภาครัฐ (บทวิเคราะห์) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ ๒. ให้หน่วยงานของรัฐตามบัญชีรายชื่อหน่วยงานของรัฐที่ไม่ส่งรายงานการเงินประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ ส่งรายงานการเงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗
พร้อมทั้งรายงานเหตุผลหรือปัญหาอุปสรรค และแนวทางแก้ไขให้กระทรวงเจ้าสังกัดและกระทรวงการคลังภายใน
๖๐ วัน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ และให้หน่วยงานของรัฐส่งรายงานการเงินประจำปีงบประมาณถัดไปให้ทันภายในระยะเวลาที่กำหนด
เพื่อให้การจัดทำรายงานการเงินรวมภาครัฐมีความครบถ้วนสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
140 | ร่างบันทึกความร่วมมือด้านดิจิทัลและเทคโนโลยีสารสนเทศระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงการพัฒนาดิจิทัล นวัตกรรม และอุตสาหกรรมการบินและอวกาศแห่งสาธารณรัฐคาซัคสถาน | ดศ. | 22/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความร่วมมือด้านดิจิทัลและเทคโนโลยีสารสนเทศระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งราชอาณาจักรไทย
และกระทรวงการพัฒนาดิจิทัล นวัตกรรม
และอุตสาหกรรมการบินและอวกาศแห่งสาธารณรัฐคาซัคสถาน และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ร่วมลงนามในร่างบันทึกความร่วมมือฯ
โดยร่างบันทึกความร่วมมือฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีและความร่วมมือในการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลระหว่างไทยและคาซัคสถาน
เช่น (๑) แบ่งปันประสบการณ์ในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาระดับชาติ
(๒) ส่งเสริมความร่วมมือในด้านการบริหารจัดการภาครัฐในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์
และการบริหารสาธารณสุขในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (๓) แบ่งปันแนวปฏิบัติอันเป็นเลิศในการพัฒนาอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(๔) ส่งเสริมความร่วมมือในการออกแบบและผลิตระบบอิเล็กทรอนิกส์ (๕)
ส่งเสริมบริษัทสตาร์ทอัพในธุรกิจในสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ (๖) แบ่งปันประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่
เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (๗) แบ่งปันความรู้เกี่ยวกับกฎหมาย และ (๘)
ส่งเสริมความร่วมมือด้านอื่น ๆ ทั้งนี้ ร่างบันทึกความร่วมมือฯ จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ลงนามเป็นระยะเวลา
๓ ปี และสามารถขยายออกไปได้ โดยการตกลงร่วมกันเป็นลายลักษณ์อักษร ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความร่วมมือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|