ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 7 จากทั้งหมด 566 หน้า แสดงรายการที่ 121 - 140 จากข้อมูลทั้งหมด 11307 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
121 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (1. นางวิลาวรรณ มังคละธนะกุล ฯลฯ รวม 9 คน) | ดศ. | 18/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
รวม ๙ คน เนื่องจากประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปี
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๘ มีนาคม ๒๕๖๘) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
ดังนี้ ๑. นางวิลาวรรณ มังคละธนะกุล ประธานกรรมการ ๒. นายกอบศักดิ์ ดวงดี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านการเงิน ๓. นายทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านการเงิน ๔. นางปิยนุช วุฒิสอน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ๕. นายศักรินทร์ ร่วมรังษี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านนิติศาสตร์ ๖. นายเฉลิมรัฐ นาควิเชียร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ ๗. นายสุพันธุ์ ตั้งจิตกุศลมั่น กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ด้านวิทยาศาสตร์หรือวิศวกรรมศาสตร์ ๘. พลตำรวจตรี เอกธนัช ลิ้มสังกาศ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านสังคมศาสตร์ ๙. นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านสังคมศาสตร์ ทั้งนี้ ในครั้งต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างเคร่งครัดด้วย
ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ (เรื่อง การดำเนินการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการต่าง
ๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามกฎหมาย)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
122 | ร่างแถลงการณ์แสดงเจตจำนงร่วมในการจัดตั้งเวทีหารือด้านพลังงาน ระหว่างกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงเศรษฐกิจและการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี | พน. | 11/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์แสดงเจตจำนงร่วมในการจัดตั้งเวทีหารือด้านพลังงาน
ระหว่าง กระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงเศรษฐกิจและการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในแถลงการณ์ฯ
ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๘ - ๑๙ มีนาคม ๒๕๖๘ ณ กรุงเบอร์ลิน เยอรมนี โดยร่างแถลงการณ์ฯ
มีสาระสำคัญเพื่อเสริมสร้างเวทีหารือด้านการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานเพื่อนำไปสู่ความเป็นกลางทางสภาพภูมิอากาศ
ภายใต้หลักการผลประโยชน์ร่วม ความเท่าเทียม และการต่างตอบแทน
เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนจากภาคการผลิตพลังงานและภาคอุตสาหกรรม
สนับสนุนความร่วมมือระหว่างภาคธุรกิจกับภาคธุรกิจ และเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน
ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพลังงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงพลังงาน (สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน) รับความเห็นของสำนักงบประมาณ
ที่เห็นควรพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ โดยโอนงบประมาณรายจ่าย
โอนเงินจัดสรร หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร แล้วแต่กรณี
ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามขั้นตอน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
123 | รายงานปัญหาการนำเข้ากุ้งจากต่างประเทศ ตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี | กษ. | 11/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี
คณะที่ ๕ (ด้านเศรษฐกิจและการเกษตร) ในคราวประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๑๐
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ ดังนี้ ๑.
เห็นควรเสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์กุ้งทะเลของไทยประเด็นการนำเข้ากุ้งจากต่างประเทศ
และมาตรการในการแก้ไขปัญหากุ้งทะเลของประเทศไทย ๒.
สำหรับการจัดทำโครงการเพื่อแก้ปัญหากุ้งทะเลของประเทศไทย เห็นควรมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โดยกรมประมง รับความเห็นของสำนักงบประมาณ กระทรวงพาณิชย์
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาจัดทำโครงการเพื่อแก้ไขปัญหากุ้งทะเลของประเทศไทยให้เป็นรูปธรรมในระยะยาว
โดยต้องไม่ขัดกับพันธกรณีของไทยภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศและความตกลงว่าด้วยการอุดหนุนและมาตรการตอบโต้การอุดหนุน
(Subsidy and Countervailing Measure :
SCM) รวมถึงไม่ซ้ำซ้อนกับโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการภายใต้มาตรการสำคัญเพื่อแก้ไขปัญหากุ้งทะเล
ตลอดห่วงโซ่อุตสาหกรรมกุ้งทะเลของประเทศไทย ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ จำนวน ๑๑ มาตรการ
และโครงการที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ทั้งนี้
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงมหาดไทย เห็นควรให้กรมประมงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องในการขอใช้งบประมาณสำหรับดำเนินโครงการฯ ต่อไป สำนักงบประมาณ เห็นควรให้กรมประมงทบทวนและจัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายให้เป็นไปอย่างเหมาะสมและประหยัด
และพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ หรือโอนเงินจัดสรร
หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร แล้วแต่กรณี ทั้งนี้
หากพิจารณาแล้วยังคงมีความจำเป็นต้องขอใช้งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
ให้กรมประมงจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
และดำเนินการตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามขั้นตอนต่อไป โดยคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า ผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
124 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 4/2566 เรื่อง การจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ : ศูนย์ธุรกิจอีอีซีและเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ | สกพอ. | 11/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
ครั้งที่ ๔/๒๕๖๖ เรื่อง การจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ :
ศูนย์ธุรกิจอีอีซีและเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ ทั้งนี้ หากคณะรัฐมนตรีรับทราบโดยไม่มีข้อทักท้วงหรือไม่มีความเห็นเป็นอย่างอื่น
ให้ถือว่าคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหรือเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
ครั้งที่ ๔/๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๖
เพื่อคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกจะออกประกาศจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
ตามที่คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปอย่างเคร่งครัด
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเร่งรัดการดำเนินงานและบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบคมนาคมและขนส่ง
และการบริหารจัดการน้ำ เช่น กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท กรมชลประทาน
และการประปาส่วนภูมิภาค เป็นต้น รวมทั้งจัดเตรียมความพร้อมในการดำเนินโครงการ
เพื่อลดปัญหาการดำเนินงานล่าช้าในอนาคต กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นควรให้ความสำคัญกับการสร้างความรู้ความเข้าใจและประโยชน์ที่ได้รับจากการดำเนินโครงการ
รวมทั้งผลกระทบและการป้องกันปัญหาจากการพัฒนาที่จะเกิดขึ้นโดยเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน
เพื่อส่งเสริมให้เกิดความยั่งยืนและน่าอยู่ของเมืองและพื้นที่โดยรอบ และการดำเนินการใด
ๆ ในพื้นที่ป่า ขอให้ปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
125 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 3/2566 เรื่อง (ร่าง) แผนภาพรวมเพื่อการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2566 - 2570 | สกพอ. | 11/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
ครั้งที่ ๓/๒๕๖๖ เรื่อง (ร่าง) แผนภาพรวมเพื่อการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐ ทั้งนี้
หากคณะรัฐมนตรีรับทราบโดยไม่มีข้อทักท้วงหรือไม่มีความเห็นเป็นอย่างอื่น
ให้ถือว่าคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแผนภาพรวมเพื่อการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐ ตามที่คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย
กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และข้อเสนอแนะของกระทรวงคมนาคมไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป เช่น กระทรวงการคลัง เห็นว่าในการดำเนินการตามแนวทางการพัฒนาพื้นที่
EEC ในแนวทางที่ ๑ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมายและบริการแห่งอนาคตในพื้นที่
EEC จะต้องพิจารณาถึงความเป็นธรรม ความเสมอภาค
และการไม่เลือกปฏิบัติ
รวมทั้งการพัฒนาและสนับสนุนเสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม
เพื่อให้สอดคล้องกับบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
ด้วย กระทรวงมหาดไทย เห็นว่าการขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่เขตภาคตะวันออกต้องเป็นไปตามข้อกฎหมาย
ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี ขั้นตอนและแนวทางการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
โดยคำนึงถึงความถูกต้อง โปร่งใส และประโยชน์สูงสุดของรัฐและประชาชนเป็นสำคัญ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรเร่งแปลงแผนภาพรวมฯ
พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐ ไปสู่การปฏิบัติ
โดยจัดทำแผนปฏิบัติการ/ขับเคลื่อนการดำเนินงานตามความเหมาะสมของการพัฒนาในแต่ละประเด็น
ติดตามและประเมินผลการพัฒนาเป็นระยะและประเมินผลสัมฤทธิ์ รวมทั้งให้ความสำคัญกับการสร้างการรับรู้ในวงกว้างและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน
การดำเนินงานด้านการตลาดและประชาสัมพันธ์เชิงรุก
การเสริมสร้างความเชื่อมั่นของภาคเอกชนเพื่อดึงดูดการลงทุนจากนานาชาติ
ตลอดจนบูรณาการความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐเพื่ออำนวยความสะดวก แก้ไขปัญหา/อุปสรรค
และสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีสำหรับการลงทุนของภาคเอกชน
ซึ่งจะช่วยให้การขับเคลื่อนการดำเนินงานตามแผนภาพรวมฯ
สามารถบรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายของการพัฒนาได้อย่างเป็นรูปธรรม |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
126 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 5/2567 เรื่อง การจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ: ศูนย์การแพทย์และสุขภาพ ปลวกแดง | สกพอ. | 11/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
(กพอ.) ครั้งที่ ๕/๒๕๖๗ เมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ เรื่อง
การจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ ศูนย์การแพทย์และสุขภาพ ปลวกแดง ทั้งนี้
หากคณะรัฐมนตรีรับทราบโดยไม่มีข้อทักท้วง หรือไม่มีความเห็นเป็นอย่างอื่น
ให้ถือว่าคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหรือเห็นชอบตามมติ กพอ. ดังกล่าว เพื่อ กพอ.
จะออกประกาศจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ตามที่คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ทั้งนี้ ให้ดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ
ประกาศมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้ความสำคัญกับการกำหนดขอบเขตงานและความรับผิดชอบระหว่างภาครัฐและเอกชน
โดยควรกำหนดลักษณะ/นิยามของทรัพย์สินและสินทรัพย์ที่เอกชนจะต้องส่งมอบให้ภาครัฐให้มีความชัดเจนโดยเฉพาะอุปกรณ์ทางการแพทย์
อาคารปฏิบัติงานต่าง ๆ เป็นต้น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่าการดำเนินโครงการมีการระบุระยะเวลาดำเนินโครงการรวม ๕๐ ปี
หากในกรณีที่โครงการมีการสร้างอาคารและสิ่งก่อสร้างประกอบเพิ่มเติม ที่เข้าข่ายประเภทและขนาดที่ต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
ให้ดำเนินการตามข้อกำหนดของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และการเพิ่มและดูแลพื้นที่สีเขียวในการจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ
: ศูนย์การแพทย์และสุขภาพ ปลวกแดง มีประเด็นที่ควรคำนึงถึง ได้แก่ ๑)
การออกแบบแนวกันชนพื้นที่สีเขียว ๒) การใช้ไม้พื้นถิ่นและไม้ยืนต้น รวมทั้งต้นไม้ที่มีประสิทธิภาพ
ในการดูดซับมลพิษ ๓) การนำพรรณไม้ที่มีคุณสมบัติต่าง
ๆ มาใช้ในการสร้างสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการเป็นศูนย์สุขภาพ และ ๔)
การเปิดพื้นที่สีเขียวเพื่อบริการสาธารณะ หรือสวนสุขภาพ เพื่อเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ
เสริมสุขภาพให้กับชุมชน
เป็นแหล่งเรียนรู้และสร้างความมั่นคงทางอาหารอีกทางหนึ่งด้วย ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขติดตามประเมินผลการดำเนินการของโรงพยาบาลปลวกแดง
๒ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงจัดเตรียมแผนรองรับการใช้ประโยชน์ในสินทรัพย์หรือทรัพย์สิน
ตลอดจนการบำรุงรักษาอาคารและอุปกรณ์ทางการแพทย์ภายหลังสิ้นสุดระยะเวลาร่วมลงทุนเพื่อให้โรงพยาบาลสามารถให้บริการสาธารณสุขต่อไปได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
127 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการชลประทานขนาดใหญ่ จำนวน 4 โครงการ | กษ. | 11/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการชลประทานขนาดใหญ่
จำนวน ๔ โครงการ ประกอบด้วย (๑)
โครงการประตูระบายน้ำศรีสองรักอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย
จากเดิม ๖ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ - พ.ศ. ๒๕๖๖) เป็น ๑๐ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๑ - พ.ศ. ๒๕๗๐) ภายใต้กรอบวงเงินโครงการที่ได้รับอนุมัติไว้เดิม (๒)
โครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองนครศรีธรรมราชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
จังหวัดนครศรีธรรมราช จากเดิม ๖ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ - พ.ศ. ๒๕๖๖) เป็น ๑๐ ปี (ปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๑ - พ.ศ. ๒๕๗๐) ภายใต้กรอบวงเงินโครงการที่ได้รับอนุมัติไว้เดิม (๓)
โครงการประตูระบายน้ำบ้านก่อพร้อมระบบส่งน้ำ จังหวัดสกลนคร จากเดิม ๕ ปี (ปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๒ - พ.ศ. ๒๕๖๖) เป็น ๙ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ - พ.ศ. ๒๕๗๐)
ภายใต้กรอบวงเงินโครงการที่ได้รับอนุมัติไว้เดิม และ (๔) โครงการประตูระบายน้ำลำน้ำพุง
- น้ำก่ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดสกลนคร จากเดิม ๕ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒
- พ.ศ. ๒๕๖๖) เป็น ๙ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ - ๒๕๗๐) ภายใต้กรอบวงเงินโครงการที่ได้รับอนุมัติไว้เดิม
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน)
เร่งรัดติดตามการดำเนินโครงการทั้งหมดให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๗๐
ตามที่ได้ขอขยายเวลาในครั้งนี้อย่างเคร่งครัด โดยให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ
และสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงมหาดไทย เห็นควรเร่งรัดดำเนินการให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติการที่กำหนดไว้
รวมทั้งดำเนินการให้เป็นไปตามข้อกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรรายงานความคืบหน้าการดำเนินโครงการชลประทานขนาดใหญ่
ทั้ง ๔ โครงการ ต่อคณะกรรมการลุ่มน้ำที่เกี่ยวข้องและคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติทราบ
ทุก ๖ เดือน เพื่อติดตามและกำกับโครงการดังกล่าวให้แล้วเสร็จตามแผนที่กำหนดไว้
เนื่องจากเป็นโครงการสำคัญต่อการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
128 | การจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสโลวีเนียว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับการพำนักระยะสั้นสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและราชการ | กต. | 11/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสโลวีเนียว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับการพำนักระยะสั้นสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและราชการ
และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทน เป็นผู้ลงนามความตกลงฯ ทั้งนี้
ในกรณีมอบหมายผู้แทน
ให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนามดังกล่าว
โดยร่างความตกลงฯ มีสาระสำคัญ เช่น ผู้ถือหนังสือเดินทางทูตหรือหนังสือเดินทางราชการของคู่ภาคีที่มีอายุใช้ได้จะไม่ต้องขอรับการตรวจลงตราสำหรับการเดินทางเข้า
ออก แวะผ่าน และพำนักในดินแดนของอีกฝ่ายหนึ่งเป็นระยะเวลาไม่เกิน ๙๐ วัน
ภายในระยะเวลา ๑๘๐ วัน นับจากวันเดินทางเข้า และกำหนดว่า ภาคีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจระงับการบังคับใช้ความตกลงนี้ด้วยเหตุผลในการธำรงไว้ซึ่งการปกป้องความมั่นคงแห่งชาติ
ความสงบเรียบร้อยของสาธารณะ หรือสาธารณสุข โดยต้องแจ้งภาคีอีกฝ่ายให้ทราบทันที แต่ไม่เกิน
๗๒ ชั่วโมง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
129 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนโคกตูม จังหวัดลพบุรี พ.ศ. .... | มท. | 11/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนโคกตูม จังหวัดลพบุรี
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลโคกตูม และตำบลนิคมสร้างตนเอง
อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี
เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท
ในด้านการใช้ประโยชน์ในที่ดินการคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ
และสภาพแวดล้อมให้สอดคล้องกับการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ซึ่งมีนโยบายและมาตรการในการส่งเสริมและพัฒนาชุมชนให้เป็นศูนย์กลางการบริหาร
การปกครอง การพาณิชยกรรมและการบริการในระดับตำบล
การส่งเสริมและพัฒนาด้านที่อยู่อาศัย พาณิชยกรรม และอุตสาหกรรม
ให้สอดคล้องกับการขยายตัวของชุมชนและระบบเศรษฐกิจในอนาคต ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข
และกระทรวงอุตสาหกรรมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงคมนาคม เห็นว่าจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ
หรือระเบียบ และความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล เกิดผลสัมฤทธิ์
หรือประโยชน์ต่อภาครัฐและประชาชนเป็นสำคัญ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
130 | ปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2552 เกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ และมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง | นร.07 | 11/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์
๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
และมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) ในส่วนที่สำคัญ เช่น (๑) ยกเลิกหลักเกณฑ์เกี่ยวกับสัดส่วนรายจ่ายลงทุนที่หน่วยรับงบประมาณจะได้รับในแต่ละปีงบประมาณในอัตราไม่เกินร้อยละ
๖๐ ในปีที่ ๑ ไม่เกินร้อยละ ๔๐ ในปีที่ ๒ ไม่เกินร้อยละ ๒๐ ในปีที่ ๓
และไม่เกินร้อยละ ๑๐ ในปีที่ ๔ โดยกำหนดใหม่ให้สัดส่วนรายจ่ายลงทุนที่หน่วยรับงบประมาณจะได้รับในแต่ละปีงบประมาณเป็นไปตามที่สำนักงบประมาณกำหนด
(๒) ยกเลิกหลักเกณฑ์เกี่ยวกับสัดส่วนรายจ่ายลงทุนที่จะขออนุมัติผูกพันข้ามปีงบประมาณจะต้องได้รับจัดสรรงบประมาณในปีแรก
เป็นจำนวนไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๒๐ โดยกำหนดใหม่ให้สัดส่วนรายจ่ายลงทุนที่จะขออนุมัติผูกพันข้ามปีงบประมาณจะต้องได้รับจัดสรรงบประมาณในปีแรกไม่ต่ำกว่าร้อยละ
๑๕ และ (๓) ปรับปรุงข้อความบางประการของหลักเกณฑ์ข้ออื่น ๆ
เพื่อให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น เช่น ๑) ยกเลิกการกำหนดให้การผูกพันงบประมาณที่มีเหตุผลความจำเป็นพิเศษนอกเหนือไปจากหลักเกณฑ์ที่กำหนด
จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อน และ ๒) การปรับถ้อยคำ จากเดิม ส่วนราชการเปลี่ยนเป็น
หน่วยรับงบประมาณ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
131 | การช่วยเหลือโรงเรียนเอกชนที่ประสบภัยพิบัติ กรณีสถานการณ์อุทกภัยและโกดังเก็บสินค้าดอกไม้เพลิงระเบิด | ศธ. | 11/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการให้ความช่วยเหลือโรงเรียนเอกชนที่ประสบภัยพิบัติ กรณีสถานการณ์อุทกภัยและโกดังเก็บสินค้าดอกไม้เพลิงระเบิด
จำนวน ๑๐ โรงเรียน ในวงเงิน ๑,๙๘๕,๑๕๑ บาท
โดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗
แผนงานยุทธศาสตร์พัฒนาคุณภาพการศึกษาและการเรียนรู้
โครงการบริหารจัดการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ กิจกรรมส่งเสริมสนับสนุนคุณภาพการศึกษาเอกชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้
งบเงินอุดหนุน รายการค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือโรงเรียนเอกชนที่ประสบภัยพิบัติ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
และให้กระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน) รับความเห็นของสำนักงบประมาณ
ที่เห็นควรให้กระทรวงศึกษาธิการ
โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
132 | ขอความเห็นชอบการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ขององค์การเภสัชกรรมให้กับมหาวิทยาลัยมหิดล (คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี) เป็นการจำหน่ายด้วยวิธีการโอนให้แก่มูลนิธิรามาธิบดี ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี | สธ. | 11/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้องค์การเภสัชกรรมจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ด้วยวิธีการโอนให้มูลนิธิรามาธิบดี
ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
เพื่อรองรับโครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดีและย่านนวัตกรรมโยธี
โดยจะดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ให้กระทรวงสาธารณสุข
(องค์การเภสัชกรรม) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ
และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปดำเนินการต่อไป เช่น สำนักงบประมาณ เห็นว่าขั้นตอนและวิธีการ
หรือการอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว
กระทรวงสาธารณสุขโดยองค์การเภสัชกรรมควรดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
133 | ขออนุมัติโครงการนำเรือประมงออกนอกระบบ เพื่อการจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืน | กษ. | 03/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการนำเรือประมงออกนอกระบบ
เพื่อการจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืน และกรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินโครงการนำเรือประมงออกนอกระบบฯ
โดยมีงบประมาณค่าใช้จ่ายในการชดเชยเรือประมง จำนวน ๙๒๓ ลำ วงเงิน ๑,๖๒๒,๖๐๕,๓๐๐ บาท โดยขอใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมประมง)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงคมนาคม เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ หลักเกณฑ์ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
และหลักธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัดต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินโครงการดังกล่าว
โดยให้กรมประมงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการควบคุม กำกับ
ดูแลให้การดำเนินการนำเรือประมงออกนอกระบบให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ
ข้อกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หลักเกณฑ์และวิธีดำเนินการที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
134 | หนังสือสัญญาการรับเงินอุดหนุน (Grant Agreement) ภายใต้โครงการความร่วมมือไทย-เยอรมัน ด้านพลังงาน คมนาคม และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Thai-German Cooperation on Energy, Mobility, and Climate: TGC-EMC) ระหว่างสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (Deutsche Gesellschaft für Internationale Zusammenarbeit: GIZ) | ทส. | 03/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบหนังสือสัญญาการรับเงินอุดหนุน (Grant Agreement) ภายใต้โครงการความร่วมมือไทย - เยอรมัน
ด้านพลังงาน คมนาคม และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Thai - German Cooperation on Energy, Mobility, and Climate : TGC - EMC)
ระหว่างสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (Deutsche Gesellschaft
fur Internationale Zusammenarbeit : GIZ) และให้เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในหนังสือสัญญาการรับเงินอุดหนุนฯ โดยหนังสือสัญญาการรับเงินอุดหนุนฯ
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดวงเงินสนับสนุนทั้งหมดไม่เกิน ๔.๔ ล้านยูโร (ประมาณ ๑๕๖.๕๗
ล้านบาท) โดยมีระยะเวลาการให้เงินสนับสนุนระหว่างวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๖ - ๓๑ ธันวาคม ๒๕๗๐
รวมถึงกำหนดเงื่อนไขการรับเงินสนับสนุน เช่น การยื่นขอเบิกจ่ายเงินและรายงานต่าง ๆ
ต่อ GIZ การมอบสิทธิให้ GIZ ใช้ผลลัพธ์ของโครงการ
เงื่อนไขการระงับการให้เงินสนับสนุน เป็นต้น ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนหนังสือสัญญาการรับเงินอุดหนุน (Grant
Agreement) ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
(สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)
รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และสำนักงบประมาณ รวมถึงข้อสังเกตของสำนักงานอัยการสูงสุด
(หนังสือสำนักงานอัยการสูงสุด ด่วนที่สุด ที่ อส ๐๐๐๖/๑๖๐๓ ลงวันที่ ๑ กุมภาพันธ์
๒๕๖๗) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรพิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามสัญญาด้วยความรอบคอบเพื่อไม่ให้เกิดการชำระคืนเงินอุดหนุนดังกล่าว
กรณีผู้รับสัญญาไม่ปฏิบัติตามสัญญาหรือมีเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินโครงการ กระทรวงคมนาคม เห็นว่าการจัดสรรเงินกองทุนควรพิจารณาตามหลักเกณฑ์
ความรับผิดชอบที่เท่าเทียมในระดับที่แตกต่างกันด้วย เพื่อบรรเทาปัญหาในระยะยาวในทุกมิติและหากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขหนังสือสัญญาดังกล่าวให้คำนึงถึงประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
135 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2562 เรื่อง ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2552 เรื่อง การทบทวนระบบบริหารจัดการนมโรงเรียน | กษ. | 03/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบทบทวนมติคณะรัฐมนตรี วันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๒
เรื่อง ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๒ เรื่อง
การทบทวนระบบบริหารจัดการนมโรงเรียน
และให้ใช้ข้อเสนอแนวทางการพัฒนาโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมส่งเสริมสหกรณ์)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงศึกษาธิการ
และสำนักงบประมาณ
รวมทั้งข้อเสนอแนะของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงพาณิชย์ เห็นควรให้ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการอาหารเสริม
(นม) โรงเรียน
ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมด้านการบริหารจัดการฟาร์มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
อาทิ ให้ความรู้ในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการเกษตร เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตน้ำนมโคที่มีคุณภาพ
รวมถึงลดต้นทุนการเลี้ยงโคนมได้อย่างยั่งยื่น กระทรวงศึกษาธิการ เห็นควรมีการตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์นมให้เป็นไปตามมาตรฐานที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
(อย.) กระทรวงสาธารณสุขกำหนด เพื่อให้นักเรียนได้บริโภคอาหารเสริม (นม) โรงเรียน
ที่มีคุณภาพ ซึ่งจะเป็นประโยชน์สำหรับนักเรียนในการเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกายและภูมิคุ้มกันโรค |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
136 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนดอนแสลบ จังหวัดกาญจนบุรี พ.ศ. .... | มท. | 03/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนดอนแสลบ
จังหวัดกาญจนบุรี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม
ในท้องที่ตำบลดอนแสลบ อำเภอห้วยกระเจา จังหวัดกาญจนบุรี
เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท
ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค
บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม
เพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
โดยได้มีการกำหนดแผนผังและการใช้ประโยชน์ที่ดินภายในเขตผังเมืองรวมจำแนกออกเป็น ๗
ประเภท ซึ่งแต่ละประเภทจะกำหนดลักษณะกิจการที่ให้ดำเนินการตามวัตถุประสงค์การใช้ที่ดินแต่ละประเภทนั้น
ๆ อีกทั้งได้กำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินตามแผนผังแสดงที่โล่ง แผนผังแสดงโครงการคมนาคมและขนส่ง
และแผนผังแสดงโครงการกิจการสาธารณูปโภค ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข
และกระทรวงอุตสาหกรรมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เห็นว่าการใช้ประโยชน์ในที่ดินประเภทต่าง ๆ
ควรใช้ประโยชน์ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของที่ดินประเภทนั้น ๆ และควรคำนึงถึง กฎ
ระเบียบที่เกี่ยวข้องในการใช้ประโยชน์ที่ดินด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมด้วย
อีกทั้งการดำเนินการใด ๆ ในพื้นป่าไม้ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
137 | เรื่องสืบเนื่องจากการลงพื้นที่ตรวจราชการที่อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ของนายกรัฐมนตรี | นร. | 03/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า
สืบเนื่องจากการลงพื้นที่ตรวจราชการที่อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ เพื่อติดตามการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี
ในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น การพนันออนไลน์
การหลอกลวงผ่านคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากทุกหน่วยงานและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงกลาโหม หน่วยงานความมั่นคงสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และภาคเอกชนในการดำเนินการตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์
การตัดสายสื่อสารข้ามแดน ตลอดจนการปรับลดระดับความสูงและกำลังส่งของเสาสัญญาณโทรศัพท์
ส่งผลให้ปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีดังกล่าวบรรเทาลงได้ในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม
เพื่อให้การแก้ไขปัญหาดังกล่าวบรรลุผลและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จึงขอมอบหมายการดำเนินการเพิ่มเติม
ดังนี้ ๑. ให้กระทรวงกลาโหมร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งศึกษาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการสร้างกำแพงกั้นแนวชายแดนไทย
- กัมพูชา เพื่อป้องกันการลักลอบข้ามแดนและลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายของประชาชน
รวมทั้งการลักลอบนำเข้า - ออก สิ่งผิดกฎหมายต่าง ๆ ด้วย ทั้งนี้
ให้พิจารณาจัดลำดับความสำคัญในการสร้างกำแพงกั้นแนวชายแดนในพื้นที่ที่มีความชัดเจนว่าเป็นจุดเสี่ยง
เป็นจุดล่อแหลม เป็นช่องทางธรรมชาติ และต้องไม่เป็นพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนกันเป็นลำดับแรก
โดยขอให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงกลาโหมประสานงานในการดำเนินการในเรื่องนี้กับฝ่ายกัมพูชาด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลัง
(กรมศุลกากร) พิจารณาความจำเป็นในการจัดหาเครื่องเอกซเรย์สินค้ามาใช้ในด่านศุลกากรในพื้นที่ชายแดนไทย
- กัมพูชา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้า -
ออกสิ่งผิดกฎหมายข้ามชายแดนให้มากยิ่งขึ้น ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงกลาโหม
หน่วยงานความมั่นคง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งศึกษาความจำเป็นและเหมาะสมในการดำเนินการติดตั้งระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด
(CCTV) เพิ่มเติมบริเวณแนวชายแดนไทย -
กัมพูชา
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบและติดตามสถานการณ์ในพื้นที่ให้ครอบคลุมและทั่วถึงมากยิ่งขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
138 | มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวกับการบริหารราชการหรือข้าราชการ ตามมาตรา 13 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 | นร.05 | 03/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการคงมติของคณะรัฐมนตรีชุดเดิมที่เกี่ยวกับการบริหารราชการหรือข้าราชการ
จำนวน ๑๔ มติ ตามมาตรา ๑๓
แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘
เพื่อถือปฏิบัติต่อไป ประกอบด้วย ๑) มติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการบริหารราชการ จำนวน
๑๒ มติ และ ๒) มติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับข้าราชการ จำนวน ๒ มติ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
139 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (1. นายพันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ฯลฯ รวม 6 คน) | อว. | 25/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ
รวม ๖ คน
เนื่องจากประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปี
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ดังนี้ ๑. นายพันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ประธานกรรมการ ๒. นายชิดชนก เหลือสินทรัพย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๓. นายเกรียงไกร เธียรนุกุล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๔. นางสาวสิริวรรณ พงษ์ไพโรจน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๕. นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๖. นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ให้สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน)
รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร.
ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน ที่เห็นว่าคณะกรรมการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำชุดเดิมได้ครบวาระแล้ว
การดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการครั้งนี้จึงไม่เกิดผลกระทบต่อการบริหารงาน ทั้งนี้
การสรรหาฯ ในครั้งต่อไป องค์การมหาชนต้องดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัดและรอบคอบ
ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
140 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ญัตติเพื่อพิจารณาแนวทางการจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย ของคณะกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร | ศธ. | 25/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง
ญัตติเพื่อพิจารณาแนวทางการจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย
ของคณะกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำข้อมูลและแก้ไขปัญหาสถานะของเด็กที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎร
หรือไม่มีสัญชาติไทยตามมติคณะรัฐมนตรี (๒๐ เมษายน ๒๕๖๘) และมติคณะรัฐมนตรี (๒๖ มกราคม
๒๕๖๔) เรียบร้อยแล้ว
และได้จัดทำคู่มือและแนวทางปฏิบัติสำหรับการจัดการศึกษาแก่บุคคลที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย
(ฉบับปรับปรุงใหม่ พ.ศ. ๒๕๖๗)
เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติให้แก่หน่วยงานในพื้นที่และสถานศึกษา
รวมถึงมีการจัดตั้งศูนย์บริการประชาชนและให้บริการสายด่วน ๑๕๗๙ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการให้คำแนะนำและคำปรึกษาให้กับครูและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|