ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 3 จากทั้งหมด 569 หน้า แสดงรายการที่ 41 - 60 จากข้อมูลทั้งหมด 11372 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
41 | การพ้นจากตำแหน่งของคณะกรรมการหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย | มท. | 19/08/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้คณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
และคณะกรรมการการประปาส่วนภูมิภาคพ้นจากตำแหน่งกรรมการทั้งคณะ
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๙ สิงหาคม ๒๕๖๘) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงมหาดไทยได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙
มีนาคม ๒๕๓๗ (เรื่อง หลักเกณฑ์การแต่งตั้งและการพ้นจากตำแหน่งกรรมการรัฐวิสาหกิจ
และบทกำกับข้าราชการที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจ)
และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๔๓ (เรื่อง
การแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเกี่ยวกับการสรรหาและแต่งตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ไปพิจารณาดำเนินการโดยเร็วต่อไป
ดังนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นควรที่จะเสนอแต่งตั้งคณะกรรมการชุดใหม่โดยเร็ว
เนื่องจากหลายกิจการของรัฐวิสาหกิจต้องได้รับอนุมัติหรือความเห็นชอบจากคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจก่อน สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เห็นควรดำเนินการตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่กำหนดในพระราชบัญญัติการพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ
พ.ศ. ๒๕๖๒ และประกาศ สคร. เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และระยะเวลา
ในการสรรหาบุคคลเพื่อแต่งตั้งเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจ
กรณีรัฐวิสาหกิจมีกรรมการไม่เพียงพอที่จะทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.
๒๕๖๖ ประกาศ ณ วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๖
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
42 | ขออนุมัติโครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง ระยะที่ 3 | กษ. | 19/08/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติโครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง
ระยะที่ ๓ เพื่อเสริมสภาพคล่องโดยสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้แก่ผู้ประกอบการประมงพาณิชย์และพื้นบ้าน
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในการดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการประมง
ระยะที่ ๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมประมง) ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมประมง)
ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เช่น กระทรวงคมนาคม เห็นควรให้หน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้องและครบถ้วนด้วย สำนักงบประมาณ เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โดยกรมประมงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน
รวมถึงตรวจสอบรายละเอียดคุณสมบัติผู้ประกอบการประมงในการขอสินเชื่อให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดอย่างเคร่งครัด
โดยคำนึงถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ
มีความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
43 | ร่างกฎกระทรวงการขอรับใบคู่มือคนงาน ผู้รับจ้าง หรือใบคู่มือผู้แทนของผู้รับหนังสืออนุญาต ตามกฎหมายว่าด้วยป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. .... | ทส. | 19/08/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการขอรับใบคู่มือคนงาน
ผู้รับจ้าง หรือใบคู่มือผู้แทนของผู้รับหนังสืออนุญาต
ตามกฎหมายว่าด้วยป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอรับ
การตรวจสอบ การออกใบคู่มือคนงาน ผู้รับจ้าง หรือใบคู่มือผู้แทนของผู้รับหนังสืออนุญาตเข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติ
หรือทำการบำรุงป่าหรือปลูกสร้างสวนป่าหรือไม้ยืนต้นในเขตป่าเสื่อมโทรม
เพื่อให้การเข้าไปดำเนินการต่าง ๆ
ในพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตเป็นไปตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้เพิ่มเติมคำนิยาม “คนงาน” “ผู้รับจ้าง”
และ “ผู้แทนของผู้รับหนังสืออนุญาต” ไว้ในร่างกฎกระทรวงฉบับนี้ด้วย ให้รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและความเห็นของสำนักงาน
ก.พ.ร. ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่าร่างกฎกระทรวงฉบับนี้กำหนดรองรับการขอรับใบคู่มือเฉพาะกรณีการอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์และอยู่อาศัยในป่าสงวนแห่งชาติตามมาตรา
๑๖ และการอนุญาตให้ทำการบำรุงป่าหรือปลูกสร้างสวนป่าในเขตป่าเสื่อมโทรมตามมาตรา ๒๐
เท่านั้น ซึ่งอาจยังไม่ครอบคลุมการอนุญาตตามที่พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติฯ กำหนดไว้ในกรณีอื่น
เช่น การทำไม้หรือเก็บหาของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติตามมาตรา ๑๕ การอนุญาตให้บุคคลทำประโยชน์และอยู่อาศัยในเขตป่าเสื่อมโทรมตามมาตรา
๑๖ ทวิ การอนุญาตให้กระทำการเพื่อการศึกษา หรือวิจัยทางวิชาการตามมาตรา ๑๗ สำนักงาน ก.พ.ร. เห็นว่าร่างกฎกระทรวงข้อ ๕
ควรกำหนดการดำเนินการโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ให้ครอบคลุมกรณีการแจ้งยกเลิกใบคู่มือคนงาน
ผู้รับจ้าง หรือใบคู่มือผู้แทนและการยื่นคำขอใบแทน และร่างกฎกระทรวงฯ ข้อ ๗ และข้อ
๘ ที่กำหนดให้ส่งคืนใบคู่มือคนงานฯ แก่จังหวัดท้องที่ กรณียกเลิกใบคู่มือคนงานฯ หรือขอใบแทนกรณีชำรุดเสียหาย
เห็นควรกำหนดให้รองรับกรณีการออกใบอนุญาตโดยวิธีการอิเล็กทรอนิกส์ด้วย และในแบบคำขอรับใบแทนใบคู่มือคนงาน
ผู้รับจ้าง
หรือใบคู่มือผู้แทนของผู้รับหนังสืออนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยป่าสงวนแห่งชาติ
กำหนดให้แนบสำเนาหลักฐานการจดทะเบียนนิติบุคคลและหนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล
ซึ่งเป็นข้อมูลที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเปิดให้บริการเชื่อมโยงข้อมูลแก่หน่วยงานภาครัฐ
เห็นควรให้มีการเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อยกเลิกการขอเอกสารดังกล่าวซึ่งเป็นการลดภาระเอกสารและอำนวยความสะดวกแก่ผู้ขอรับใบอนุญาต ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย และสำนักงาน
ก.พ.ร. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ดังนี้ กระทรวงมหาดไทย เห็นควรให้ดำเนินการตามระเบียบ กฎหมาย
มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด สำนักงาน ก.พ.ร. เห็นควรเร่งดำเนินการตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยจัดทำคู่มือสำหรับประชาชนและเผยแพร่ตามช่องทางที่กำหนด
รวมถึงในเว็บไซต์ศูนย์รวมข้อมูลเพื่อติดต่อราชการ (www.info.go.th)
ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
44 | การติดตามการดำเนินการพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของบุคคลในเขตที่ดินของรัฐ | นร.04 | 19/08/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี
(นายภูมิธรรม เวชยชัย) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีเสนอว่า
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๙ มกราคม และ ๘ ตุลาคม ๒๕๖๗
เกี่ยวกับการช่วยเหลือประชาชนที่อยู่อาศัยในเขตที่ดินของรัฐให้เข้าถึงสาธารณูปโภคไฟฟ้า
ประปา และการเร่งรัดดำเนินการพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของบุคคลในเขตที่ดินของรัฐ
ซึ่งมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเร่งรัดการดำเนินการขอผ่อนผันการดำเนินการต่าง
ๆ ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเร่งรัดการดำเนินการพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของบุคคลในเขตที่ดินของรัฐที่เกี่ยวข้อง
ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย
หรือในที่ดินของรัฐที่ถูกบุกรุก หรือในที่ดินที่อยู่ระหว่างพิสูจน์สิทธิการครอบครองมาก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติในวันดังกล่าว
(๙ มกราคม ๒๕๖๗) สามารถเข้าถึงสาธารณูปโภคทั้งไฟฟ้าและน้ำประปาได้ในอัตราค่าบริการที่เหมาะสม
นั้น โดยที่ในขณะนี้ยังมีประชาชนจำนวนมากร้องเรียนว่ายังคงได้รับความเดือดร้อนเนื่องจากไม่สามารถเข้าถึงบริการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานดังกล่าวข้างต้นได้
จึงขอมอบหมายการดำเนินการ ดังนี้ ๑. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๙ มกราคม ๒๕๖๗ (เรื่อง
การเร่งรัดการดำเนินการพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของบุคคลในเขตที่ดินของรัฐ) รวมทั้งความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๘ ตุลาคม ๒๕๖๗ (เรื่อง ผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๖๗
การช่วยเหลือประชาชนที่อยู่อาศัยในเขตที่ดินของรัฐให้เข้าถึงสาธารณูปโภคไฟฟ้า
ประปา
และการเร่งรัดดำเนินการพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของบุคคลในเขตที่ดินของรัฐ) ให้แล้วเสร็จและครบถ้วนโดยด่วน ๒.
ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเร่งจัดการประชุมร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อติดตามความคืบหน้าและรวบรวมปัญหา
อุปสรรคต่าง ๆ ที่ทำให้การดำเนินการเกี่ยวกับการพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของบุคคลในเขตที่ดินของรัฐเกิดความล่าช้า
รวมทั้งให้จัดทำกรอบระยะเวลาในการดำเนินการในเรื่องนี้ให้เหมาะสมและชัดเจน
แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีในคราวประชุมครั้งต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
45 | ขอความเห็นชอบโครงการขอใช้เงินกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร และขออนุมัติจัดสรรเงินจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร โครงการรับซื้อน้ำนมดิบเพื่อการผลิต ขององค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย | กษ. | 19/08/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบให้องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย กู้ยืมเงินกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร
จำนวน ๒๐๐ ล้านบาท และอนุมัติจัดสรรเงินจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรให้องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทยกู้ยืมเงินเพื่อไปดำเนินการตามโครงการรับซื้อน้ำนมดิบเพื่อการผลิตขององค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย
มีกำหนดชำระคืนภายใน ๓ ปี ระยะเวลาในการดำเนินโครงการ พ.ศ. ๒๕๖๘ ถึง พ.ศ. ๒๕๗๑
โดยอนุมัติวงเงิน จำนวน ๒๐๐ ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๐ เพื่อรวบรวมและรับซื้อน้ำนมดิบของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม
ในเขตพื้นที่ส่งเสริมการเลี้ยงโคนมขององค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย
ตามมติคณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกร ครั้งที่ ๔/๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๖๘ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการคลังไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม เห็นควรมีการดำเนินการตามแผนงานอย่างเคร่งครัด
ตลอดจนการกำกับติดตามการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ
เพื่อให้การดำเนินงานที่เกี่ยวข้องสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้และเกิดผลสัมฤทธิ์สูงสุด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โดย อ.ส.ค. พิจารณาดำเนิน (๑) แก้ไขปัญหานมทั้งระบบ
เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการสินค้าคงคลังและเป็นการกระตุ้นยอดจำหน่าย และ (๒)
กำกับดูแลและติดตามการดำเนินงานขององค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย
ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการรับซื้อน้ำนมดิบฯ
พร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้คณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกรทราบหากประสบปัญหา ๒. ให้คณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์เร่งรัดดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๖ (เรื่อง ขออนุมัติปรับเพิ่มราคาน้ำนมดิบเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรโคนม)
และเมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๖ (เรื่อง การเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนยนมและครีม
ปี ๒๕๖๖ เพิ่มเติม)
ที่ให้ทบทวนแนวทางการให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรโคนมให้เหมาะสมและตรงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น
ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมและมีความยั่งยืน
รวมทั้งให้พิจารณากำหนดมาตรการในการดำเนินการเพื่อรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมโคนมและเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมภายในประเทศจากการยกเลิกโควตาภาษีสินค้าเกษตรทั้งหมดตามความตกลงต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาราคาน้ำนมดิบในครั้งต่อไป
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการดำเนินงานตามนัยมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวข้างต้น
เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีให้ชัดเจนด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
46 | ขอความเห็นชอบมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา | นร.08 | 05/08/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ
ดังนี้ ๑.๑
เห็นชอบหลักเกณฑ์ให้เงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
นับตั้งแต่วันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๘ จนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ ทั้งนี้
หากมีผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวเพิ่มเติม
ให้หน่วยงานขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒
เห็นชอบกรอบอัตราเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ๑.๓
เห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
(วันที่ ๑๖ กรกฎาคม - ๒ สิงหาคม ๒๕๖๘) จำนวน ๔๐๔,๖๐๐,๐๐๐ บาท ทั้งนี้
ให้กระทรวงกลาโหมและสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นหน่วยรับผิดชอบและเป็นหน่วยเบิกจ่ายงบประมาณสำหรับดำเนินการเยียวยาเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้รับผลกระทบ
และให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยรับผิดชอบและเป็นหน่วยเบิกจ่ายงบประมาณสำหรับดำเนินการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ทั้งนี้
การได้รับเงินช่วยเหลือเยียวยาของผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
ในครั้งนี้ไม่ทำให้ผู้ได้รับเงินช่วยเหลือเยียวยาดังกล่าวเสียสิทธิในการรับเงินหรือผลประโยชน์อื่นใดที่พึงได้รับตามกฎหมายอื่น
ๆ ด้วย ๒. ให้กระทรวงกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นควรให้กระทรวงกลาโหม
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงมหาดไทย เป็นหน่วยงานรับผิดชอบและเป็นหน่วยเบิกจ่ายงบประมาณสำหรับดำเนินการเยียวยาเจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนที่ได้รับผลกระทบ
โดยปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และกำกับ ติดตาม ตรวจสอบ
การใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข
อัตราที่กำหนด และสามารถตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน และหากมีผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวเพิ่มเติม
หรือมีลักษณะเฉพาะในบางกรณี เช่น กรณีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสต่อมาเสียชีวิตลง
เป็นต้น
ให้หน่วยงานเสนอเรื่องต่อสำนักงานสภาความมั่นคงพิจารณาตามขั้นตอนก่อนให้หน่วยงานขอรับการจัดสรรงบประมาณต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งขอรับการจัดสรรงบประมาณและเบิกจ่ายให้แก่ประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยเร็วต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
47 | ขออนุมัติจัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สินค้า (บทต.) โดยกำหนดให้นำชิ้นส่วนภายในประเทศและต่างประเทศมาประกอบภายในประเทศ จำนวน 946 คัน ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค. | 05/08/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย)
กู้ยืมเงินภายในกรอบวงเงิน ๒,๔๕๙,๙๗๕,๕๖๒ บาท สำหรับจัดหารถโบกี้บรรทุกตู้สินค้า
จำนวน ๙๔๖ คัน โดยให้การรถไฟแห่งประเทศไทยกู้เงินในประเทศ รับภาระเงินต้น ดอกเบี้ย
และค่าใช้จ่ายในการกู้เงิน และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน พิจารณาการจัดหาเงินกู้
กำหนดวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน
ตามความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคม
(การรถไฟแห่งประเทศไทย) ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไปอย่างเคร่งครัด ๒. ให้กระทรวงคมนาคม การรถไฟแห่งประเทศไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ ที่ นร ๐๗๐๙/๕๓๐๕
ลงวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๗) และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (หนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่ นร ๑๑๐๖/๑๑๓๑๔ ลงวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๗) ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เห็นควรคำนึงถึงประโยชน์และความคุ้มค่าทางด้านเศรษฐศาสตร์ในการลงทุนโครงการดังกล่าว สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรกำกับให้การรถไฟแห่งประเทศไทยเร่งดำเนินการตามแผนวิสาหกิจการรถไฟแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐ โดยเฉพาะการจัดหา/ซ่อมบำรุงรถจักรและล้อเลื่อน
การปรับโครงสร้างบุคลากร การหารายได้เชิงพาณิชย์จากทรัพย์สินที่มีอยู่การแก้ไขปัญหาจุดตัด/ทางลักผ่านทางรถไฟ
รวมถึงการกำกับการบริการให้เป็นไปตามมาตรฐานความตรงต่อเวลา และประสานหารือกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและผู้ประกอบการเอกชน
เพื่อพิจารณาแนวทางการลงทุนก่อสร้างเส้นทางรถไฟเชื่อมต่อนิคมอุตสาหกรรมตามที่กรมการขนส่งทางรางศึกษาไว้
ซึ่งจะช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการขนส่งสินค้าจากถนนสู่ระบบราง (Shift mode) ได้อย่างเป็นรูปธรรม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
48 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาและขยายกรอบวงเงินโครงการ โครงการปรับปรุงคลองยม-น่าน จังหวัดสุโขทัย | กษ. | 05/08/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการปรับปรุงคลองยม-น่าน
จังหวัดสุโขทัย จากระยะเวลาดำเนินโครงการเดิม
๕ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ - พ.ศ. ๒๕๖๗) เป็น ๘ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๓ - พ.ศ.
๒๕๗๐) และขยายกรอบวงเงินโครงการปรับปรุงคลองยม-น่าน จังหวัดสุโขทัย จากกรอบวงเงินโครงการเดิม ๒,๘๗๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็น ๓,๐๖๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน)
และกระทรวงมหาดไทย (กรมโยธาธิการและผังเมือง)
รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ รวมทั้งความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป เช่น กระทรวงมหาดไทย เห็นควรเร่งรัดดำเนินการให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติการที่กำหนดไว้
รวมทั้งดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย มติคณะรัฐมนตรี
และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่ากรมชลประทานควรเร่งรัดการจัดหาที่ดินเพื่อการก่อสร้างในส่วนที่เหลือให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
โดยการจ่ายค่าชดเชยที่ดินและทรัพย์สินให้ดำเนินการตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
รวมทั้งให้ความสำคัญกับการวางแผนบริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำยมให้มีประสิทธิภาพ
ทั้งในฤดูน้ำหลากและฤดูแล้ง เพื่อลดอุปสรรคต่อการก่อสร้างโครงการ
และการประชาสัมพันธ์แผนการดำเนินโครงการและแผนบริหารจัดการน้ำเพื่อสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ
เพื่อให้การดำเนินการโครงการแล้วเสร็จตามแผนที่กำหนดไว้ โดยไม่ต้องขอขยายระยะเวลาและขยายกรอบวงเงินโครงการเพิ่มเติมอีก สำหรับภาระงบประมาณที่เพิ่มขึ้น
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรให้กรมชลประทานจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
49 | ข้อตกลงการดำเนินงานภายใต้ข้อ 6 ของความตกลงปารีสระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสิงคโปร์กับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย (Implementation Agreement Pursuant to Article 6 of the Paris Agreement between the Government of the Republic of Singapore and the Government of the Kingdom of Thailand) | ทส. | 05/08/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานว่า
การจัดทำข้อตกลงการดำเนินงานภายใต้ข้อ ๖ ของความตกลงปารีสระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสิงคโปร์กับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยจะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อบรรลุเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contribution : NDC) ของประเทศไทย โดยปัจจุบันประเทศไทยสามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่าที่แผนกำหนดไว้ ๒. เห็นชอบต่อข้อตกลงการดำเนินงานภายใต้ข้อ ๖
ของความตกลงปารีสระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสิงคโปร์กับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย (Implementation Agreement Pursuant to
Article 6 of the Paris Agreement between the Government of
the Republic of Singapore and the Government of the
Kingdom of Thailand) และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้มีอำนาจลงนามในข้อตกลงฯ
รวมทั้งมอบหมายกระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) เพื่อให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้แทน
ลงนามในข้อตกลงฯ และมอบหมายกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงานตามข้อตกลงฯ
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนข้อตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นว่าค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับการจัดสรร
หรือพิจารณาปรับแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
หรือโอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรรว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒
หรือใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณในโอกาสแรกก่อน หรือจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความเหมาะสมและจำเป็น แล้วแต่กรณี
โดยคำนึงถึงความครอบคลุมของทุกแหล่งเงิน ความประหยัด ความคุ้มค่า ผลสัมฤทธิ์
หรือประโยชน์ที่จะได้รับเป็นสำคัญด้วย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรพิจารณาถึงความเป็นธรรมของการแบ่งปันผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการที่จะเกิดขึ้นภายใต้ข้อตกลงฯ
เนื่องจากต้นทุนดำเนินงานและราคาคาร์บอนเครดิตในประเทศไทยและสาธารณรัฐสิงคโปร์มีราคาที่แตกต่างกัน
และควรระวังการถ่ายโอนผลการลดก๊าซเรือนกระจกระหว่างประเทศ (Internationally Transferred Mitigation Outcomes
: ITMOs) ไม่ให้มีปริมาณมากเกินไป
เพื่อไม่ให้ส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมาย NDC ของประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
50 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2544 ในประเด็นเรื่องการปรับองค์กรในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม | พน. | 05/08/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบทบทวนมติคณะรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๔๔ ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ ๖/๒๕๔๔
(ครั้งที่ ๘๗) เมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๔
ในประเด็นเรื่องการปรับองค์กรในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม
จาก “ตั้งแต่ปีงบประมาณ ๒๕๔๖ เป็นต้นไป ให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลัก
รับผิดชอบดูแลงานด้านการกำหนดนโยบายและมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียมแทนสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
และรับไปดำเนินการจัดทำคำขอรับการจัดสรรงบประมาณแผ่นดินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียมให้แก่หน่วยงานต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้อง
โดยให้ยุติการนำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม
ตั้งแต่ปีงบประมาณ ๒๕๔๖ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังประสานงานกับสำนักงบประมาณในการจัดสรรงบประมาณตั้งแต่ปีงบประมาณ
๒๕๔๖ เป็นต้นไป” เป็น “ให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลัก
รับผิดชอบดูแลงานด้านการกำหนดนโยบายและมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม
และให้หน่วยงานที่มีความประสงค์ขอรับการจัดสรรงบประมาณแผ่นดินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียมดำเนินการจัดทำคำขอรับการจัดสรรงบประมาณโดยตรงตั้งแต่ปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ เป็นต้นไป” ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
โดยให้เริ่มถือปฏิบัติตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๗๐ เป็นต้นไป
สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๙ ให้กระทรวงการคลัง (กรมสรรพสามิต)
เป็นหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการจัดทำคำขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
51 | ขออนุมัติหลักการและวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือเกี่ยวกับที่ดินให้แก่ราษฎรผู้ถือครองและทำประโยชน์ในที่ดินที่หน่วยราชการดูแล เนื่องในการก่อสร้างหรือพัฒนาท่าอากาศยาน | คค. | 05/08/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี
คณะที่ ๒ (ด้านการต่างประเทศ การคมนาคม การท่องเที่ยว และวัฒนธรรม) ในคราวประชุมครั้งที่
๑/๒๕๖๘ เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๖๘ โดยให้กรมท่าอากาศยานนำมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ เรื่อง อนุมัติหลักการและวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือเกี่ยวกับที่ดินให้แก่ราษฎรผู้ถือครองและทำประโยชน์ในที่ดินที่หน่วยราชการดูแล
เนื่องในการสร้างทางหลวง มาปรับใช้ในการพิจารณาการจ่ายเงินค่าขนย้าย
ค่ารื้อย้ายอาคาร บ้านเรือน สิ่งปลูกสร้าง ต้นไม้ยืนต้น พืชล้มลุก ให้แก่ราษฎรผู้ถือครองที่ดินโดยไม่มีเอกสารสิทธิ
ซึ่งได้รับผลกระทบจากโครงการก่อสร้างหรือพัฒนาท่าอากาศยาน ทั้งนี้
ให้นำหลักเกณฑ์ที่ได้รับอนุมัติ
มาใช้กับการจัดหาที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม รวมเนื้อที่ประมาณ ๑๗๕
ไร่ ๒ งาน ๐๖ ตารางวา สำหรับก่อสร้างต่อเติมความยาวทางวิ่ง
ขยายทางขับและลานจอดเครื่องบิน ขนส่งสินค้าและอาคารคลังสินค้า พร้อมระบบไฟฟ้าสนามบิน
ท่าอากาศยานบุรีรัมย์ ตำบลร่อนทอง อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์
และโครงการก่อสร้างหรือพัฒนาท่าอากาศยานอื่น ๆ ของกรมท่าอากาศยาน
ที่มีการดำเนินงานในลักษณะเดียวกัน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้
ในส่วนของการแต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดราคาค่าขนย้าย ค่ารื้อย้ายอาคาร บ้านเรือน
สิ่งปลูกสร้าง ต้นไม้ยืนต้น พืชล้มลุก ให้กระทรวงคมนาคม (กรมท่าอากาศยาน)
พิจารณาปรับปรุงโครงสร้างคณะกรรมการดังกล่าวโดยเฉพาะในส่วนของผู้แทนกรมท่าอากาศยานเพื่อให้องค์ประกอบของคณะกรรมการมีความสมดุล
ตามความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ให้กระทรวงคมนาคม (กรมท่าอากาศยาน)
รับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ข้อสังเกตของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และข้อเสนอแนะของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรให้กรมท่าอากาศยานพิจารณาปรับปรุงโครงสร้างคณะกรรมการกำหนดค่าทดแทนที่ดินและทรัพย์สิน
(คณะกรรมการฯ) โดยเฉพาะในส่วนของผู้แทนกรมท่าอากาศยานเพื่อให้องค์ประกอบของคณะกรรมการฯ
มีความสมดุล รวมถึงเร่งพิจารณาจัดทำหลักเกณฑ์การคำนวณค่าทดแทนต่าง ๆ ที่เหมาะสม เป็นธรรม
และสอดคล้องกับสภาพการถือครองที่ดินเพื่อให้คณะกรรมการฯ สามารถใช้เป็นแนวปฏิบัติประกอบการพิจารณากำหนดราคาค่าทดแทนให้เป็นไปอย่างรอบคอบ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
52 | ขอยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่อยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ | ปปท. | 05/08/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ที่อยู่ในความรับผิดชอบของศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ จำนวน ๙ ฉบับ
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
ดังนี้ ๑. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่
๑๙/๒๕๕๘ เรื่อง แต่งตั้งและให้เจ้าหน้าที่ของรัฐดำรงตำแหน่งและปฏิบัติหน้าที่อื่น
ลงวันที่ ๒๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๘ ๒. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ๑/๒๕๕๙ เรื่อง
ประกาศรายชื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบเพิ่มเติม ครั้งที่ ๓
ลงวันที่ ๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ ๓. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่
๓๓/๒๕๕๙ เรื่อง ให้ข้าราชการไปปฏิบัติราชการในหน่วยงานอื่น ลงวันที่ ๒๔ มิถุนายน
พุทธศักราช ๒๕๕๙ ๔. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ที่ ๔๓/๒๕๕๙ เรื่อง ประกาศรายชื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบเพิ่มเติม
ครั้งที่ ๔ ลงวันที่ ๑๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ ๕. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่
๔๗/๒๕๕๙ เรื่อง การดำเนินการตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๓๓/๒๕๕๙
ลงวันที่ ๑๘ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ ๖. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่
๕๒/๒๕๕๙ เรื่อง
ประกาศรายชื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบเพิ่มเติม ครั้งที่ ๗
ลงวันที่ ๒ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๙ ๗. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ที่ ๕๙/๒๕๕๙ เรื่อง ประกาศรายชื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบเพิ่มเติม ครั้งที่ ๘
และการปรับปรุงการบริหารงานบุคคลในบางหน่วยงานของรัฐ ลงวันที่ ๒๗ กันยายน
พุทธศักราช ๒๕๕๙ ๘. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ที่ ๓๕/๒๕๖๐ เรื่อง ประกาศรายชื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบเพิ่มเติม
ครั้งที่ ๙ ลงวันที่ ๒๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐ ๙. คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ที่ ๓๙/๒๕๖๐ เรื่อง ประกาศรายชื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบเพิ่มเติม
ครั้งที่ ๑๐ ลงวันที่ ๘ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ ทั้งนี้
ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่าคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จำนวน ๙ ฉบับดังกล่าวเป็นคำสั่งที่มีลักษณะเป็นคำสั่งทางบริหารที่สามารถยกเลิกได้
โดยมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งหากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐเห็นสมควรยกเลิกคำสั่งดังกล่าว
ก็สามารถดำเนินการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อยกเลิกคำสั่งดังกล่าวต่อไปได้
สำหรับกรณีที่นายกรัฐมนตรีจะมีคำสั่งให้บุคคลผู้มีรายชื่อตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่อยู่ระหว่างดำเนินการให้กลับไปปฏิบัติราชการในอัตราและตำแหน่งเดิมหรืออัตราและตำแหน่งที่หัวหน้าส่วนราชการนั้น
ๆ พิจารณาตามความเหมาะสม
โดยอาศัยอำนาจตามบัญชีห้าท้ายคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ ๙/๒๕๖๒ ตาม
๑. วรรคหก นั้น เห็นว่า นายกรัฐมนตรีสามารถอาศัยอำนาจดังกล่าวแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงหรือให้บุคคลดังกล่าวกลับไปปฏิบัติราชการในอัตราและตำแหน่งเดิม
หรืออัตราและตำแหน่งที่หัวหน้าส่วนราชการนั้น ๆ พิจารณาตามความเหมาะสม และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐดังกล่าวตามอำนาจหน้าที่และกระบวนการตามกฎหมาย
กฎ หรือระเบียบที่เกี่ยวข้องของหน่วยงานนั้น ๆ กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
53 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงมหาดไทย) | มท. | 05/08/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบคณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรีของกระทรวงมหาดไทย
จำนวน ๒ คณะ โดยปรับปรุงองค์ประกอบของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จากจำนวน ๒๒ ราย
เป็นจำนวน ๒๐ ราย ในคณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายของกระทรวงมหาดไทย คณะที่ ๑
และคณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายของกระทรวงมหาดไทย คณะที่ ๒ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
54 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 3/2567 เรื่อง (ร่าง) แผนสิ่งแวดล้อมในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2566-2570 | สกพอ. | 29/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
ครั้งที่ ๓/๒๕๖๗ เรื่อง (ร่าง) แผนสิ่งแวดล้อมในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐ ตามที่คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ ให้คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข
สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เห็นว่า (ร่าง)
แผนสิ่งแวดล้อมในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐ จำเป็นต้องอาศัยมาตรการทางเศรษฐศาสตร์ เพื่อจูงใจให้ทุกภาคส่วนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการบูรณาการขับเคลื่อนการพัฒนาให้บรรลุตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายของแผนต่อไป กระทรวงมหาดไทย เห็นว่าการขับเคลื่อนการพัฒนาและบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมดังกล่าวต้องเป็นไปตามข้อกฎหมาย
ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี ขั้นตอนและแนวทางการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
โดยคำนึงถึงความถูกต้อง โปร่งใส และประโยชน์สูงสุดของรัฐและประชาชนเป็นสำคัญ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
55 | การจัดงานเทศกาลดนตรี Tomorrowland ในประเทศไทย ประจำปี พ.ศ. 2569 - 2573 (5 ปี) | กก. | 29/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบการจัดงานเทศกาลดนตรี Tomorrowland ในประเทศไทย ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๙ - ๒๕๗๓
(๕ ปี) ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
56 | ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการแสวงหาประโยชน์และการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม กรณีเจ้าพนักงานของรัฐนำรถยนต์ไฟฟ้าส่วนตัวไปอัดประจุไฟฟ้าของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ โดยมิได้รับอนุญาต | นร.10 | 29/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๖๘ (เรื่อง
ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการแสวงหาประโยชน์และการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม
กรณีเจ้าพนักงานของรัฐนำรถยนต์ไฟฟ้าส่วนตัวไปอัดประจุไฟฟ้าของส่วนราชการ
รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ โดยมิได้รับอนุญาต) ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ
และแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
57 | การมอบหมายให้รัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา | กก. | 29/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
ดังนี้ ๑. ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์
๒๕๖๘ (เรื่อง
การมอบหมายให้รัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา) ๒.
อนุมัติมอบหมายให้รัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้
ตามความในมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ จำนวน ๒
ราย ตามลำดับ ดังนี้ ๒.๑
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล) ๒.๒
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวจิราพร
สินธุไพร)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
58 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการ โครงการห้วยโสมงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดปราจีนบุรี | กษ. | 29/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการ โครงการห้วยโสมงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
จังหวัดปราจีนบุรี จากเดิม ๑๕ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ - พ.ศ. ๖๕๖๗) เป็น ๑๘ ปี
(ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ - พ.ศ. ๒๕๗๐)
ภายใต้กรอบวงเงินโครงการที่ได้รับอนุมัติไว้เดิม ๙,๐๗๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน)
รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ
และสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นควรที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โดยกรมชลประทานจะเร่งรัดดำเนินโครงการให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้
รวมทั้งปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี
และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการ
ตลอดจนประโยชน์และความคุ้มค่าที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญด้วย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่ากรมชลประทานควรมีแผนการติดตามตรวจสอบและเร่งรัดให้การดำเนินการก่อสร้างในส่วนที่ยังคงเหลือให้แล้วเสร็จตามแผนและระยะเวลาที่ขอขยายในครั้งนี้
โดยไม่ต้องขอขยายระยะเวลาและขยายกรอบวงเงินโครงการเพิ่มเติมอีก
เพื่อให้การก่อสร้างโครงการห้วยโสมงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดปราจีนบุรี
เป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ เนื่องจากเป็นโครงการที่เป็นการสร้างแหล่งน้ำต้นทุน
สามารถเพิ่มพื้นที่ชลประทานในฤดูฝน
และส่งผลต่อการแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำปราจีนบุรีและลุ่มน้ำสาขา ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน)
เร่งรัดดำเนินโครงการห้วยโสมงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดปราจีนบุรี
ให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในกรอบระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติในครั้งนี้อย่างเคร่งครัดและให้ถือเป็นการขยายระยะเวลาดำเนินโครงการห้วยโสมงอันเนื่องมาจากพระราชดำริจังหวัดปราจีนบุรี
ครั้งสุดท้าย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
59 | ร่างระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. .... | กค. | 29/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบกระทรวงการคลัง
ว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงระเบียบกระทรวงการคลัง
ว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยยังคงหลักการเดิม
และปรับปรุงแก้ไขบทบัญญัติเกี่ยวกับบทนิยาม
วงเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน
หน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติอำเภอและจังหวัด
และขยายระยะเวลาในการจัดส่งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายเงิน
และการกำหนดบทเฉพาะกาล ตลอดจนการปรับปรุงถ้อยคำ
เพื่อให้การดำเนินการและการใช้จ่ายเงินทดรองราชการฯ
เป็นไปอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ชัดเจน ถูกต้อง และเหมาะสม
รวมทั้งสอดคล้องกับสภาพการณ์ของภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เห็นควรให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาดำเนินการปรับปรุงแก้ไขหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือด้านที่พักอาศัยผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวด้วย สำนักงบประมาณ เห็นควรที่กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีประสิทธิภาพ และบรรลุตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
60 | รายงานผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity & Transparency Assessment: ITA) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 | ปช. | 22/07/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ
(Integrity & Transparency Assessment : ITA) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ ๒. ให้สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กรมบัญชีกลาง ผู้ว่าราชการจังหวัด
และนายอำเภอ
ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่กำกับติดตามและผลักดันการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐตามมติคณะรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๔ มกราคม ๒๕๖๕ ดำเนินการสนับสนุน ส่งเสริม
และให้ความช่วยเหลือแก่หน่วยงานภาครัฐที่ยังมีผลการประเมิน ITA ไม่ผ่านตามค่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ในแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ
ประเด็น (๒๑) การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๖๕๘๐)
(ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม) ให้สามารถยกระดับผลการดำเนินงานให้ผ่านค่าเป้าหมายตามที่กำหนดไว้ในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ รวมทั้งให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติรับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงาน
ก.พ.ร. และข้อเสนอแนะของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย สำนักงาน ก.พ.ร. เห็นว่าสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
ควรนำข้อมูลของหน่วยงานที่มีผลการประเมินอยู่ในระดับผ่านดีเยี่ยมมาถอดบทเรียนปัจจัยความสำเร็จ
และจัดทำเป็นกรณีศึกษาของหน่วยงานที่มีแนวปฏิบัติที่ดีสำหรับหน่วยงานแต่ละประเภท
ทั้งในการดำเนินการภาพรวม
และการดำเนินการรายตัวชี้วัดเพื่อเป็นแนวทางการพัฒนาให้กับหน่วยงานที่ไม่ผ่านเกณฑ์การประเมิน
ให้สามารถนำแนวทางการดำเนินงานไปศึกษาและต่อยอดปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของหน่วยงาน
รวมทั้งควรมีการวิเคราะห์สาเหตุหรือจุดอ่อนของตัวชี้วัดที่ไม่ผ่านเกณฑ์
(ตัวชี้วัดที่ ๘ การปรับปรุงระบบการทำงาน) เพื่อให้หน่วยงานสามารถเร่งพัฒนาการดำเนินการในตัวชี้วัดดังกล่าวนำไปสู่การบรรลุค่าเป้าหมายของแผนย่อยของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ
ประเด็น (๒๑) การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบได้ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ
เห็นว่าการกำหนดหลักเกณฑ์การประเมิน ITA ไม่ควรใช้หลักเกณฑ์เดียวกันในการประเมินกับทุกหน่วยงาน ควรพิจารณาหลักเกณฑ์การประเมินให้สอดคล้องกับลักษณะงานหรือภารกิจของแต่ละหน่วยงานเพื่อให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
เช่น
หน่วยงานที่ให้บริการทางวิชาการไม่ควรใช้หลักเกณฑ์เดียวกันกับหน่วยงานที่มีหน้าที่พิจารณาอนุมัติ
อนุญาต เพื่อจะได้สะท้อนผลการปฏิบัติงานที่ตรงต่อภารกิจงานของหน่วยงานนั้น ๆ ๓. ให้ส่งความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ.ร.
และข้อเสนอแนะของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติต่อไป
|