ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 3 จากทั้งหมด 566 หน้า แสดงรายการที่ 41 - 60 จากข้อมูลทั้งหมด 11307 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
41 | ขอความเห็นชอบต่อร่างหนังสือแสดงเจตจำนงระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน | อว. | 10/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างหนังสือแสดงเจตจำนงระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย
และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน ๒ ฉบับ ดังนี้ (๑)
ร่างหนังสือแสดงเจตจำนงว่าด้วยการดำเนินการร่วมภายใต้โครงการความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยีและนวัตกรรม ในสาขาการแพทย์แผนจีน ระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย
และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการแพทย์แผนจีนโดยมีขอบเขตความร่วมมือ
เช่น ๑) การหาวิจัยร่วมด้านทฤษฎีการแพทย์แผนจีน ๒)
การยกระดับความร่วมมือในการกำหนดมาตรฐานการแพทย์ดั้งเดิม ๓)
การจัดตั้งห้องปฏิบัติการร่วมเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการแพทย์แผนจีน และ (๒) ร่างหนังสือแสดงเจตจำนงว่าด้วยการดำเนินการร่วมภายใต้โครงการพิเศษเพื่อความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยีและนวัตกรรม ระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย
และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการดำเนินความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยีและนวัตกรรมในสาขาที่เกี่ยวข้อง ๔ ด้าน ได้แก่ ๑)
เทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ๒) นวัตกรรมและการเป็นผู้ประกอบการ ๓) การบรรเทาความยากจนด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
และ ๔) ข้อมูลเชิงพื้นที่ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทั้งนี้ ร่างหนังสือแสดงเจตจำนงทั้ง
๒ ฉบับ จะมีผลภายหลังจากการลงนามเป็นระยะเวลา ๓ ปี โดยอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือแสดงเจตจำนง ทั้ง ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือแสดงเจตจำนงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
42 | ขออนุมัติปรับกรอบวงเงินลงทุนและจัดหาแหล่งเงินเพิ่มเติมเพื่อรองรับสำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต และช่วงบางซื่อ - ตลิ่งชัน | คค. | 10/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการการปรับเพิ่มกรอบวงเงินโครงการระบบรถไฟชานเมือง
(สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต และช่วงบางซื่อ - ตลิ่งชัน เพิ่มเติม
ในส่วนของงานที่เกิดจากคำสั่งเปลี่ยนแปลงงานเพิ่มเติม (Variation Order : VO) ค่าใช้จ่ายจากการขยายระยะเวลาของสัญญาจ้าง
(Prolongation Cost) และเงินชดเชยค่างานก่อสร้าง K
(Price Adjustment) โดยไม่รวมในส่วนของดอกเบี้ยจากการจ่ายค่างานล่าช้า
ซึ่งมิใช่ต้นทุนโดยตรงของโครงการฯ
รวมถึงแหล่งเงินเพื่อจ่ายค่างานที่เพิ่มขึ้นในโครงการฯ และการจัดหาแหล่งเงิน ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒. เห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทยกู้เงินตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย
มาตรา ๓๙ (๔) และอนุมัติในหลักการให้การรถไฟแห่งประเทศไทยปรับกรอบวงเงินโครงการฯ
เพิ่มเติมกรณีที่เกิดความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน หรือกรณีการเปลี่ยนแปลงอัตราค่าภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดจากการเปลี่ยนแหล่งเดิมหรือการเปลี่ยนแปลงอัตราค่าภาษีมูลค่าเพิ่มจากที่ประกาศไว้ในประมวลรัษฎากร
รวมทั้งให้กระทรวงการคลังจัดหาแหล่งเงินให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาปรับเพิ่มวงเงินโครงการฯ ก่อนดำเนินการต่อไป
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๓.
ให้การรถไฟแห่งประเทศไทยเร่งรัดการดำเนินการชำระหนี้สำหรับสัญญาที่ ๑
ตามคำพิพากษาศาลปกครองให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
เพื่อลดภาระดอกเบี้ยล่าช้าที่เกิดขึ้นวันละ ๙๙๖,๗๕๙.๙๔ บาท และให้กระทรวงคมนาคม การรถไฟแห่งประเทศไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในประเด็นการตรวจสอบข้อเท็จจริง
การกำหนดมาตรการ/แนวทาง การกำกับดูแล
และการทบทวนระเบียบและหลักเกณฑ์ที่การรถไฟแห่งประเทศไทยใช้ในการบริหารโครงการฯ รวมทั้งความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น สำนักงบประมาณ เห็นควรให้การรถไฟแห่งประเทศไทยจัดทำแผนการบริหารจัดการความเสี่ยงของโครงการอย่างเหมาะสม
เพื่อควบคุมต้นทุนโครงการให้เป็นไปตามกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติไว้
และไม่ก่อให้เกิดภาระทางการคลังและภาระงบประมาณของภาครัฐเพิ่มขึ้นในอนาคต ทั้งนี้
โดยให้การรถไฟแห่งประเทศไทยปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี
และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการ
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่าการกู้เงินจะต้องพิจารณาดำเนินการกู้เงินให้สอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐและกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะโดยเคร่งครัด
และต้องดำเนินการให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องดังกล่าวด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
43 | ขออนุมัติผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ เพื่อให้กรมชลประทาน ดำเนินโครงการอ่างเก็บน้ำน้ำรี อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดน่าน | กษ. | 10/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติผ่อนผันยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี
เพื่อให้กรมชลประทานเข้าใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ จำนวนเนื้อที่ ๕๕๐ ไร่ ๓
งาน ๗๒ ตารางวา ดำเนินการโครงการอ่างเก็บน้ำน้ำรีอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
จังหวัดน่าน ดังนี้ ๑) มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๒๙ เรื่อง
มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเรื่องการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำยมและน่าน
และข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำยมและน่าน และข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำยมและน่าน
ระบุไว้ว่า “ข้อ ๑.๑ ห้ามมิให้มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะพื้นที่ป่าไม้เป็นรูปแบบอื่นอย่างเด็ดขาด
ทั้งนี้ เพื่อรักษาไว้เป็น พื้นที่ต้นน้ำลำธารอย่างแท้จริง” และ ๒) มติคณะรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๓๒ เรื่อง ขอผ่อนผันใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ เพื่อก่อสร้างทางเพื่อความมั่นคง
“ข้อ ๒. ต่อไปจะไม่อนุมัติให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ
อีก ไม่ว่ากรณีใด” ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข
สำนักงบประมาณ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เช่น กระทรวงสาธารณสุข เห็นควรคำนึงถึงผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
พื้นที่ลุ่มน้ำ และระบบนิเวศของสัตว์ป่า โดยเฉพาะการสูญเสียทรัพยากรป่าไม้
ซึ่งส่งผลต่อการสูญเสียพื้นที่ที่เป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร
รวมทั้งการปฏิบัติของผู้ขออนุญาต ในการปฏิบัติตามกฎหมาย มติคณะรัฐมนตรี
และระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม
และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด
เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอนามัยของประชาชนในพื้นที่ สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
เห็นควรสนับสนุนการดำเนินโครงการฯ ตามแผนที่กำหนดไว้
ทั้งนี้ขอให้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม
และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามระเบียบและกฎหมายอย่างเคร่งครัดต่อไป รวมทั้งให้ถือปฏิบัติตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง
การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ)
และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ (เรื่อง การตรวจสอบและจัดเตรียมความพร้อมในการดำเนินการตามแผน/โครงการของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ)
ให้ถูกต้อง ครบถ้วน อย่างเคร่งครัดด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
44 | ขออนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินแผนงาน/โครงการฟื้นฟูเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย ปี 2567 เพิ่มเติม | กษ. | 10/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ชี้แจงเพิ่มเติมว่า
ในการเสนอเรื่อง ขออนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินแผนงาน/โครงการฟื้นฟูเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย
ปี ๒๕๖๗ เพิ่มเติม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ดำเนินการตามกระบวนการของระเบียบและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องครบถ้วนแล้ว
โดยได้เสนอเรื่องดังกล่าวต่อศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย
และดินโคลนถล่มเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบและส่งเรื่องดังกล่าวให้สำนักงบประมาณดำเนินการขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
ตามขั้นตอนของระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๒ แล้ว ๒. อนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
พ.ศ. ๒๕๖๘ วงเงิน ๑,๓๐๙,๗๖๒,๗๘๒ บาท เพื่อดำเนินแผนงาน/โครงการฟื้นฟูเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย ปี ๒๕๖๗
เพิ่มเติม ประกอบด้วย ๑) โครงการฟื้นฟูเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ ปี ๒๕๖๗
วงเงิน ๔๖๑,๐๙๘,๑๐๐ บาท และ ๒)
โครงการฟื้นฟูเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยปี ๒๕๖๗ วงเงิน ๘๔๘,๖๖๔,๖๘๒ บาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๐๗/๕๖๕๖
ลงวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๘) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุมและกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินดังกล่าวให้เป็นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรพิจารณาถึงศักยภาพและความพร้อมของเกษตรกรและพื้นที่ดำเนินโครงการฯ
ภายใต้โครงการฟื้นฟูเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย ปี ๒๕๖๗ เพิ่มเติม โดยส่งเสริมให้เกิดการปรับรูปแบบการผลิตให้สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่และลักษณะของการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ
โดยนำบทเรียนของการปรับเปลี่ยนการผลิตในพื้นที่ประสบภัยพิบัติในพื้นที่อื่น ๆ
ที่ดำเนินการประสบผลสำเร็จมาประยุกต์ใช้ในพื้นที่
พร้อมทั้งเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านการผลิต แปรรูป และการตลาดที่จำเป็นให้กับเกษตรกร
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
45 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2567 เรื่อง การทบทวนแนวปฏิบัติการดำเนินการภายในของไทยในการพิจารณาให้ความเห็นชอบเอกสารในกรอบอาเซียน | กต. | 10/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑. เห็นชอบทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖
กรกฎาคม ๒๕๖๗ (เรื่อง
การทบทวนแนวปฏิบัติการดำเนินการภายในของไทยในการพิจารณาให้ความเห็นชอบเอกสารในกรอบอาเซียน)
เพื่อปรับปรุงขยายขอบเขตให้ครอบคลุมประเภทเอกสาร และเงื่อนไขใหม่ โดยหากเข้าข่ายตามเงื่อนไขที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบไว้ให้ส่วนราชการเจ้าของเรื่องหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบของไทย
โดยไม่ต้องนำเอกสารดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีตามมาตรา ๔ (๓)
ของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘
โดยมีรายละเอียดครอบคลุมเอกสารต่าง ๆ รวม ๓ รายการ ดังนี้ ๑ ๑
เอกสารระหว่างอาเซียนกับภาคีภายนอกที่เลขาธิการอาเซียนเป็นผู้ลงนามในนามอาเซียน
ในฐานะองค์การระหว่างประเทศระดับรัฐบาล ซึ่งไม่ก่อพันธกรณีต่อประเทศสมาชิก ๑.๒
เอกสารระดับรัฐมนตรีลงมาของอาเซียน หรือระหว่างอาเซียนกับภาคีภายนอก ๑.๓
ร่างหนังสือให้ความยินยอม (Letter of Consent) ต่อการภาคยานุวัติสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
(Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia : TAC) โดยรัฐที่จะภาคยานุวัติสนธิสัญญา TAC ๒.
ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้รวบรวมผลการดำเนินการและรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบ ปีละ
๑ ครั้ง หลังการประชุมสุดยอดอาเซียน การประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้องในช่วงปลายปี
หรือมากกว่าปีละ ๑ ครั้ง หากมีเหตุจำเป็นเร่งด่วนหรือเหตุสำคัญที่จะต้องรายงานคณะรัฐมนตรีเป็นกรณีพิเศษ ทั้งนี้
ให้ส่วนราชการและหน่วยงานรัฐเจ้าของเรื่องส่งเอกสารในกรอบอาเซียนให้กระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาให้ความเห็นชอบด้วยทุกครั้งก่อนดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการคลัง เห็นว่ามีเอกสารที่มีลักษณะเดียวกันในกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศอื่น
ๆ เช่น กรอบอาเซียน + ๓ กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย - แปซิฟิค
กรอบพหุภาคีและกรอบทวิภาคีอื่น ๆ เป็นต้น
ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณามีมติครอบคลุมเอกสารเหล่านี้ด้วย
เพื่อลดขั้นตอนการดำเนินการภายในของไทย ลดปริมาณงานที่ไม่จำเป็นแก่คณะรัฐมนตรี
และช่วยให้หน่วยงานของไทยสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงทีมากยิ่งขึ้น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่าหน่วยงานที่ประสงค์จะทำความตกลงระหว่างประเทศจะต้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มกราคม ๒๕๖๗ ที่ให้หารือกับกระทรวงการต่างประเทศให้ถูกต้อง ชัดเจน ก่อนดำเนินการใด
ๆ และปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
และกระทรวงการต่างประเทศจำเป็นต้องวิเคราะห์และประเมินผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงสื่อสารผลลัพธ์การดำเนินงานให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับทราบถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงได้รับด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
46 | การพิจารณาจัดทำงบประมาณของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ | นร. | 10/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ในขณะนี้เป็นช่วงเวลาของการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี
ดังนี้ ๑. การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ ซึ่งที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้มีมติเมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๘
รับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว วงเงิน ๓.๗๘ ล้านล้านบาท แล้ว
และอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ ๒. การพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๘ งบกลาง รายการค่าใช้จ่าย เพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ
ภายใต้กรอบวงเงิน ๑๕๗,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ
และจะได้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจตามขั้นตอนต่อไป ๓. การพิจารณางบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
ตามคำขอของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงบประมาณ เพื่อให้แผนงาน/โครงการต่าง ๆ
ที่ขอใช้จ่ายงบประมาณซึ่งผ่านการพิจารณาอนุมัติของคณะรัฐมนตรีเป็นไปด้วยความรอบคอบ
ถูกต้อง และสอดคล้องกับกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
จึงขอกำชับให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐพิจารณาจัดทำงบประมาณ และโครงการที่เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณด้วยความละเอียด
รอบคอบ เหมาะสม คุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุด ตลอดจนผ่านการพิจารณาและกลั่นกรองอย่างถี่ถ้วนจากสำนักงบประมาณและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ถูกต้อง
เป็นไปตามกรอบและขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา ๑๔๔ ที่บัญญัติให้ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม
และร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะแปรญัตติเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขเพิ่มเติมรายการหรือจำนวนในรายการมิได้
แต่อาจแปรญัตติในทางลดหรือตัดทอนรายจ่ายซึ่งมิใช่รายจ่ายตามข้อผูกพันอย่างใดอย่างหนึ่ง
ได้แก่ เงินส่งใช้ต้นเงินกู้ ดอกเบี้ยเงินกู้ และเงินที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมาย
ซึ่งในการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือคณะกรรมาธิการ การเสนอ
การแปรญัตติหรือการกระทำด้วยประการใด ๆ ที่มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
สมาชิกวุฒิสภาหรือกรรมาธิการ
มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย จะกระทำมิได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
47 | ขอความเห็นชอบการปรับโอนพิกัดศุลกากรของกฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้า ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีไทย - ชิลี (TCFTA) | พณ. | 04/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบบัญชีกฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้า
[Product Specific Rules of Origin
(PSRs)] ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีไทย
- ชิลี (TCFTA) ฉบับ HS 2022 และการลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนของฝ่ายไทย
เพื่อดำเนินการแก้ไขภาคผนวก ๔.๒ (เรื่อง กฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้า) ของความตกลง TCFTA และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย
เป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนของฝ่ายไทยข้างต้น
โดยมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers)
ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนของฝ่ายไทย
และให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลังดำเนินกระบวนการภายในเพื่อให้บัญชีกฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้าภายใต้ความตกลง
TCFTA ฉบับ HS 2022
เริ่มมีผลบังคับใช้ภายในครึ่งปีแรกของปี ๒๕๖๘ ซึ่งการปรับโอนพิกัดศุลกากรของกฎ PSRs
ภายใต้ความตกลง TCFTA ประกอบด้วยพิกัดศุลกากรทั้งหมด
จำนวน ๕,๖๑๒ รายการ จากพิกัดศุลกากรเดิม (HS 2012) ที่มีอยู่จำนวน ๕,๒๐๕ รายการ โดยแบ่งออกเป็น ๓
กรณี ได้แก่ ๑) สินค้าที่พิกัดศุลกากรและกฎ PSRs ไม่เปลี่ยนแปลง
จำนวน ๔,๙๙๒ รายการ ๒) สินค้าที่พิกัดศุลกากรไม่เปลี่ยนแปลง
แต่กฎ PSRs เปลี่ยนแปลง จำนวน ๑ รายการ และ ๓)
สินค้าที่เปลี่ยนพิกัดศุลกากร และกฎ PSRs ใหม่ จำนวน ๖๑๙
รายการ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนบัญชีกฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้าภายใต้ความตกลงการค้าเสรีไทย
- ชิลี ฉบับพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ ปี ๒๐๒๒ และหนังสือแลกเปลี่ยนของฝ่ายไทย
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ทั้งนี้
ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรประชาสัมพันธ์ข้อมูลการปรับโอนพิกัดศุลกากรของกฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้าภายใต้ความตกลง
TCFTA ฉบับ HS 2022
ให้แพร่หลายในวงกว้าง
เพื่อให้ผู้ประกอบการและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องรับทราบและใช้ในการอ้างอิงได้อย่างถูกต้อง
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
48 | ขออนุมัติการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับดำเนินโครงการเร่งรัดการดำเนินงานตามหลักเกณฑ์การแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลให้แก่บุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน และกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 | มท. | 04/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
49 | แนวทางปฏิบัติเพื่อลดขั้นตอน และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4000 (One Map) | สคทช | 04/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางปฏิบัติเพื่อลดขั้นตอน
และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ
มาตราส่วน ๑ : ๔๐๐๐ (One
Map) เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นแนวทางปฏิบัติต่อไป และขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ และเมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๖๕ เฉพาะกรณีการดำเนินการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ
มาตราส่วน ๑ : ๔๐๐๐ (แผนที่ One Map)
และมอบหมายกรมธนารักษ์ กรมที่ดิน กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า
และพันธุ์พืช กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมพัฒนาที่ดิน สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมการปกครอง กรมแผนที่ทหาร สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (สคทช.)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติให้เป็นไปตามแนวทางปฏิบัติเพื่อลดขั้นตอน
และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานปรับปรุงแผนที่ One Map ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเสนอ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ข้อสังเกตของกระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เห็นควรมีการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานภาครัฐอื่น
เช่น สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) เป็นต้น เพื่อร่วมดำเนินการพิจารณาแนวทางการจัดทำแผนที่ดิจิทัล
และนำเทคโนโลยีดาวเทียมมาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดทำแผนที่แนบท้ายกฎหมาย
รวมถึงลดระยะเวลาการดำเนินงานในอนาคตด้วย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่าเนื่องจากแผนที่ท้ายถือเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายที่ใช้เป็นการแสดงแนวเขตที่ดินที่ประสงค์จะดำเนินการตามกฎหมายในเรื่องนั้น
ๆ ว่า แนวเขตที่ดินที่จะดำเนินการตั้งอยู่บริเวณใด โดยแสดงจุดยึดโยงต่าง ๆ
เพื่อให้ทราบที่ตั้งของแนวเขตที่ดินที่ชัดเจนขึ้น ด้วยเหตุนี้ในการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเพื่อให้แนวเขตที่ดินตามแผนที่ท้ายสอดคล้องกับผลการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐฯ
อาจส่งผลกระทบต่อท้องที่ที่กำหนดไว้ในแผนที่ท้ายกฎหมาย
รวมทั้งอาจมีรายละเอียดเกี่ยวกับจุดยึดโยงที่แตกต่างจากที่กำหนดไว้เดิมตามสภาพของข้อเท็จจริงที่อาจเปลี่ยนแปลงไป
ดังนั้น
หน่วยงานของรัฐผู้เสนอร่างกฎหมายจำเป็นต้องพิจารณาความถูกต้องของท้องที่การปกครองและแนวเขตการปกครองด้วย
เพื่อมิให้เกิดข้อโต้แย้งขึ้นในภายหลัง |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
50 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงศึกษาธิการ) | ศธ. | 04/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี
ของกระทรวงศึกษาธิการ จำนวน ๑๕ คณะ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๔ มิถุนายน ๒๕๖๘) เป็นต้นไป ดังนี้ ๑. คณะกรรมการกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ ๒.
คณะกรรมการอำนวยการโครงการวิทยาลัยเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ ๓. คณะกรรมการ PISA และพัฒนาคุณภาพการศึกษาแห่งชาติ เดิมชื่อ คณะกรรมการ PISA แห่งชาติ ๔.
คณะกรรมการกำหนดนโยบายผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ๕.
คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยองค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
(ซีมีโอ) ๖. คณะกรรมการพิจารณายกเว้นอากรนำเข้าสื่อ วัสดุ
เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการศึกษา ๗. คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา
วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ๘.
คณะกรรมการฝ่ายการศึกษาของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ
(ยูเนสโก) ๙. คณะกรรมการฝ่ายวัฒนธรรมของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา
วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาชาติ (ยูเนสโก) ๑๐. คณะกรรมการฝ่ายวิทยาศาสตร์ของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา
วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาชาติ (ยูเนสโก) ๑๑. คณะกรรมการฝ่ายสังคมศาสตร์ของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา
วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ
(ยูเนสโก) ๑๒. คณะกรรมการฝ่ายสื่อสารมวลชนของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา
วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ๑๓.
คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยแผนงานความทรงจำแห่งโลกของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา
วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ๑๔.
คณะกรรมการโครงการมนุษย์และชีวมณฑลของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา
วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ๑๕. คณะกรรมการโครงการ ๑ อำเภอ ๑ ทุน
ทั้งนี้ ในส่วนของคณะกรรมการโครงการ ๑ อำเภอ ๑ ทุน ให้มีหน้าที่และอำนาจเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการบริหารโครงการ
๑ อำเภอ ๑ ทุน ที่ได้รับการขยายเวลาการดำเนินโครงการไว้แล้ว ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๖ มีนาคม ๒๕๖๗ (เรื่อง ขออนุมัติขยายกรอบระยะเวลาการดำเนินโครงการ ๑ อำเภอ ๑ ทุน
รุ่นที่ ๔ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ - ๒๕๖๙) เท่านั้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
51 | มาตรการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการบรรจุบุคคลผู้ซึ่งเคยออกจากราชการเพราะกระทำผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการกลับเข้ารับราชการ | นร.10 | 04/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๒ เมษายน ๒๕๖๘ (เรื่อง
มาตรการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการบรรจุบุคคลผู้ซึ่งเคยออกจากราชการเพราะกระทำผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการกลับเข้ารับราชการ)
ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบต่อไป ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน
๒๕๖๘ (เรื่อง
มาตรการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการบรรจุบุคคลผู้ซึ่งเคยออกจากราชการเพราะกระทำผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการกลับเข้ารับราชการ)
โดยให้สำนักงาน ก.พ.
สรุปผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการ/ความเห็นในภาพรวมแล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีภายในเดือนกรกฎาคม
๒๕๖๘
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
52 | ความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยและรัฐสุลต่านบรูไนดารุสซาลามเพื่อการขจัดการเก็บภาษีซ้อนในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ และการป้องกันการหลบหลีกและการหลีกเลี่ยงรัษฎากร | กค. | 04/06/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนไทย
- บรูไนดารุสซาลาม และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในร่างความตกลงฯ
โดยให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ที่ได้รับมอบหมายดังกล่าว
และดำเนินการแจ้งหนังสือผ่านช่องทางการทูตถึงการดำเนินการตามกระบวนการภายในที่จำเป็นเพื่อให้ความตกลงฯ
มีผลใช้บังคับเสร็จสมบูรณ์ โดยร่างความตกลงฯ มีสาระสำคัญเป็นการบรรเทาหรือขจัดภาระภาษีซ้ำซ้อนในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเงินได้ระหว่างประเทศอันเป็นผลจากอำนาจในการจัดเก็บภาษีของประเทศคู่สัญญาซึ่งทำให้เกิดการจัดเก็บภาษีซ้ำซ้อนบนฐานรายได้จำนวนเดียวกัน
และป้องกันการนำความตกลงดังกล่าวไปปรับใช้โดยมิชอบเพื่อการหลบหลีกและการหลีกเลี่ยงภาษี
หรือการวางแผนเพื่อหลบเลี่ยงภาษีและการเคลื่อนย้ายกำไรไปต่างประเทศที่มีอัตราภาษีต่ำ
(BEPS) ตลอดจนการไม่จัดเก็บภาษีในประเทศคู่สัญญาทั้งสองประเทศ
(Double non - taxation) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
โดยหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการคลังดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ทั้งนี้
ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการต่างประเทศ เห็นว่าร่างความตกลงฯ เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา
๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
และหากส่วนราชการที่เกี่ยวข้องสามารถปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้ร่างความตกลงฯ ได้
โดยไม่ต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญาก็ไม่เป็นหนังสือสัญญาประเภทอื่นตามมาตรา
๑๗๘ วรรคสองของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่จะต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
เห็นว่าเงินปันผล ในร่างความตกลงฯ ยังไม่แน่ชัดว่ารวมถึงกรณีเงินได้จากการลงทุนทางอ้อมในหุ้นผ่านหลักทรัพย์อื่นด้วยหรือไม่
จึงขอให้หน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่พิจารณากำหนดขอบเขตและแนวทางการจัดเก็บภาษีเพื่อความชัดเจนและรองรับกรณีที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
53 | ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ศิลาทองวิเชียร ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ | อก. | 27/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติผ่อนผันให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด
ศิลาทองวิเชียร ใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี เพื่อทำเหมืองแร่
ตามคำขอประทานบัตรที่ ๒/๒๕๖๐ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓
และวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ อนึ่ง เมื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่
๑ บี เพื่อทำเหมืองแร่แล้ว กระทรวงอุตสาหกรรม
โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่จะได้ดำเนินการให้ครบถ้วนถูกต้องตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องก่อนการพิจารณาอนุญาตประทานบัตรต่อไป
ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เห็นควรปฏิบัติตามข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำ
มาตรการป้องกันแก้ไข และตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน การปลูกดูแลรักษาต้นไม้และพืชคลุมดิน
รวมทั้งการจัดการบ่อดักตะกอนให้มีประสิทธิภาพเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อพื้นที่โดยรอบโครงการ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
54 | ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่ของบริษัท ศิลาอุตสาหกรรม จำกัด ที่จังหวัดยะลา | อก. | 27/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติผ่อนผันให้บริษัท ศิลาอุตสาหกรรม จำกัด
ใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี เพื่อทำเหมืองแร่ ตามคำขอประทานบัตรที่
๖/๒๕๕๘ เพิ่มเติม เนื้อที่ ๓๔ ไร่ ๓ งาน ๒๕ ตารางวา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ และผ่อนผันการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม
๒๕๓๓ และวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๙ อนึ่ง
เมื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี
เพื่อทำเหมืองแร่แล้ว กระทรวงอุตสาหกรรมโดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่จะได้ดำเนินการให้ครบถ้วนถูกต้องตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องก่อนการพิจารณาอนุญาตประทานบัตรต่อไป
ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรมไปกำกับติดตามการดำเนินการของบริษัทเอกชนที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยโบราณสถาน
โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอย่างเคร่งครัด ๒.
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
เห็นควรมีการตรวจสอบ กำกับ
และติดตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัดตามรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านเหมืองแร่
พร้อมทั้งคำนึงถึงความสามารถในการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษอันเนื่องมาจากการทำเหมืองแร่หินหรือกิจการที่ก่อให้เกิดมลพิษ
โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการประกอบกิจการด้านการย่อยหินเป็นจำนวนมาก
เพื่อป้องกันผลกระทบด้านสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ และจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้อง
ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
เพื่อให้เกิดความรู้และความเข้าใจร่วมกัน รวมถึงลดผล กระทบและความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นภายหลังจากการทำเหมืองแร่ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
55 | ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้จากสัญญาจ้างงานก่อสร้าง กรณีเงื่อนไขในสัญญากำหนดให้ผู้รับจ้างต้องจัดหารถยนต์พร้อมค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องสำหรับผู้ควบคุมงาน | กค. | 27/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๖๘ (เรื่อง
ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้จากสัญญาจ้างงานก่อสร้าง กรณีเงื่อนไขในสัญญากำหนดให้ผู้รับจ้างต้องจัดหารถยนต์พร้อมค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องสำหรับผู้ควบคุมงาน)
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
56 | ร่างพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | คค. | 20/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าชนส่งมวลขนแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๔๓ ให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบัน และสามารถส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินการตามภารกิจของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
(รฟม.) ตามนโยบายรัฐบาลให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น ปรับปรุงคำนิยาม “กิจการรถไฟฟ้า”
วัตถุประสงค์ อำนาจกระทำกิจการของ รฟม. หลักเกณฑ์การออกข้อบังคับของหน่วยงาน
หลักเกณฑ์การบริหารจัดการรายได้
และการดำเนินกิจการที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
เพื่อลดปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงาน และให้ รฟม.
สามารถดำเนินการเกี่ยวกับกิจการรถไฟฟ้าได้อย่างครบถ้วนและครอบคลุมภารกิจอื่นที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงสามารถจัดหาประโยชน์ในทรัพย์สิน และดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลได้ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้ตัดประเด็นการแก้ไขร่างมาตรา
๗ ให้ยกเลิกวรรคสามของมาตรา ๑๘ และร่างมาตรา ๙ ให้ยกเลิกความใน (๓) (๔) (๕) (๖)
และ (๑๐) ของมาตรา ๗๕ แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๕๔๓ ออก สำหรับร่างมาตรา ๘ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๖๕ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ให้ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลัง
และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเป็นเรื่องด่วนต่อไป ๓. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
กรอบระยะเวลา
และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๔. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยควรพิจารณาดำเนินการให้สอดคล้องกับฐานะทางการเงินเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดภาระทางการคลังของภาครัฐในอนาคต สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟฟ้าขนส่งมวลขนแห่งประเทศไทยดำเนินการตามกฎหมาย
ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
57 | ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมคำขอเกี่ยวกับการจัดหางานในประเทศและการจัดหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศ พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมคำขอเกี่ยวกับการจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานเป็นคนประจำเรือ พ.ศ. .... | รง. | 20/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมคำขอเกี่ยวกับการจัดหางานในประเทศและการจัดหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศ
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นค่าธรรมเนียมคำขอเกี่ยวกับการจัดหางานให้คนหางานในประเทศและเพื่อไปทำงานในต่างประเทศ
เช่น ค่าธรรมเนียมคำขอใบอนุญาตจัดหางานให้คนหางานทำงานในประเทศ
ค่าธรรมเนียมคำขอใบอนุญาตจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศ
ค่าธรรมเนียมคำขอใบแทนใบอนุญาต ค่าธรรมเนียมคำขอรับรองสำเนาเอกสาร และร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมคำขอเกี่ยวกับการจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานเป็นคนประจำเรือ
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นค่าธรรมเนียมคำขอเกี่ยวกับการจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานเป็นคนประจำเรือ
เช่น ค่าธรรมเนียมคำขอใบอนุญาตจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานเป็นคนประจำเรือ
ค่าธรรมเนียมคำขอการต่ออายุใบอนุญาตจัดหางาน ค่าธรรมเนียมคำขอการแปลใบอนุญาตจัดหางานเป็นภาษาต่างประเทศ
จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร.
สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นว่ากระทรวงแรงงานควรประชาสัมพันธ์
สร้างการรับรู้และความเข้าใจให้ผู้เกี่ยวข้องทราบอย่างทั่วถึงเพื่อให้การออกกฎกระทรวงทั้ง
๒ ฉบับดังกล่าวบรรลุวัตถุประสงค์
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
58 | ขออนุมัติหลักเกณฑ์การคำนวณเงินชดเชยค่างานก่อสร้าง K (Price Adjustment) เพื่อขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2532 เป็นกรณีพิเศษเฉพาะสำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต เฉพาะในส่วนของงานโยธาของสัญญาที่ 1 และสัญญาที่ 2 | คค. | 20/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักเกณฑ์การคำนวณเงินชดเชยค่างานก่อสร้าง
K (Price Adjustment) เพื่อยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๒ เป็นกรณีพิเศษเฉพาะสำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง)
ช่วงบางซื่อ - รังสิต เฉพาะในส่วนของงานโยธาของสัญญาที่ ๑ และสัญญาที่ ๒ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
ดังนี้ ๑. อนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทยใช้หลักเกณฑ์การคำนวณเงินชดเชยค่างานก่อสร้าง
K (Price Adjustment) เพื่อยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๒ เป็นกรณีเฉพาะโครงการระบบรถไฟชานเมือง
(สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต เฉพาะในส่วนงานโยธาของสัญญาที่ ๑ และสัญญาที่ ๒
ดังนี้ ๑.๑
การคำนวณเงินชดเชยค่างานก่อสร้าง (ค่า K) ที่ใช้กับสัญญาแบบปรับราคาได้
ให้ใช้หลักเกณฑ์การคำนวณเงินชดเชยค่างานก่อสร้าง (ค่า K) ตามที่ระบุไว้ในสัญญา
โดยใช้ดัชนีราคาฐาน ๒๘ วัน ก่อนยื่นซองประกวดราคา สำหรับสัญญาที่ ๑ และสัญญาที่ ๒
เป็นฐานในการคำนวณ สำหรับประเภทงานก่อสร้าง
สูตรและวิธีคำนวณให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๒ ๑.๒
การขอเงินเพิ่มค่างานก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ให้เป็นหน้าที่ของผู้รับจ้างที่จะต้องเรียกร้องภายใน
๙๐ วัน โดยนับจากวันที่ส่งมอบงานงวดสุดท้าย ๒.
มอบหมายให้สำนักงบประมาณเป็นผู้พิจารณาและวินิจฉัยการคำนวณเงินเพิ่มหรือลด
และจ่ายเงินเพิ่มหรือเรียกเงินคืนจากผู้รับจ้างตามเงื่อนไขของสัญญาแบบปรับราคาได้ตามข้อผูกพันของสัญญาที่ได้ลงนามไปแล้ว
และหากการจ่ายเงินเพิ่มค่างานก่อสร้างดังกล่าว ทำให้เกินกรอบวงเงินที่ได้รับจากคณะรัฐมนตรีก็ถือว่าได้รับการอนุมัติขยายกรอบวงเงินโครงการจากคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้ด้วย
ส่วนการจัดหาแหล่งเงินที่เหมาะสมเพื่อเบิกจ่ายเงินชดเชยค่าก่อสร้าง K ให้แก่ผู้รับจ้าง
ขอให้สำนักงบประมาณเป็นผู้วินิจฉัย และขอให้การรถไฟแห่งประเทศไทยขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่งต่อไป ให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย)
รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น สำนักงบประมาณ เห็นว่าการดำเนินโครงการระบบรถไฟชานเมืองในอนาคตขอให้การรถไฟแห่งประเทศไทยนำเงื่อนไข
หลักเกณฑ์ ประเภทงานก่อสร้าง สูตร
และวิธีการคำนวณที่ใช้กับสัญญาแบบปรับราคาได้ของการประกวดราคานานาชาติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๙ มาใช้ อย่างเคร่งครัด โดยกรณีที่พิจารณาแล้วเห็นว่าจำเป็นต้องขอยกเว้นการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว
ให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
59 | การสนับสนุนค่าบำรุงของประเทศสมาชิกองค์การอนามัยโลก | สธ. | 20/05/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในการจ่ายเงินค่าบำรุงสมาชิกเพิ่มแบบขั้นบันได
ได้แก่ เพิ่มร้อยละ ๒๐ (จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘) สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๙ - ๒๕๗๐
เพิ่มร้อยละ ๒๕ (จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๗๐) สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๗๑ - ๒๕๗๒ และเพิ่มร้อยละ
๒๗ (จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๗๒) สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๗๓ - ๒๕๗๔ โดยใช้งบประมาณหมวดเงินอุดหนุนของกระทรวงสาธารณสุข
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศ (หนังสือกระทรวงการต่างประเทศ
ด่วนที่สุด ที่ กต ๑๐๐๒/๙๖๖ ลงวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๘)
ไปพิจารณาดำเนินการให้เหมาะสมและรอบคอบต่อไปด้วย เช่น สำนักงบประมาณ เห็นว่าค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๘ กระทรวงสาธารณสุขได้รับการจัดสรรงบประมาณไว้แล้ว ในงบเงินอุดหนุน
เงินอุดหนุนทั่วไป รายการเงินอุดหนุนองค์การอนามัยโลก จำนวน ๗๔,๙๖๒,๒๐๐ บาท
ควรให้กระทรวงสาธารณสุขใช้จ่ายจากงบประมาณที่ได้รับจัดสรร
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป
ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า
และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศแต่ละปีตามที่พันธกรณีได้กำหนดเป็นหลักเกณฑ์การคำนวณการจ่ายเงินบำรุงค่าสมาชิก
ตลอดจนความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราในแต่ละปี
เพื่อให้การกำหนดกรอบวงเงินงบประมาณมีความเหมาะสม
และก่อให้เกิดผลตอบแทนด้านสุขภาพอย่างคุ้มค่าสูงสุดต่อประเทศ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
60 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การบริหารไนท์ซาฟารี (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | 20/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การบริหารไนท์ซาฟารี
(องค์การมหาชน) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการจัดตั้งองค์การบริหารไนท์ซาฟารีขึ้นเป็นองค์การมหาชน
เพื่อดำเนินภารกิจในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และวัฒนธรรมบนพื้นฐานทางธรรมชาติในรูปแบบไนท์ซาฟารีที่มีความหลากหลาย
และร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกการโอนเงินและทรัพย์สินของสำนักงานพัฒนาพิงคนคร
(องค์การมหาชน) ไปเป็นทุนขององค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย รวม ๒ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
ตามที่คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายให้สำนักงาน ก.พ.ร.
ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน
ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจพิจารณาประเมินรูปแบบองค์กรและการบริหารจัดการองค์กรที่เหมาะสมระหว่างองค์การบริหารไนท์ซาฟารี
(องค์การมหาชน) และองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ภายในระยะเวลา ๒ ปี ๓ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงมหาดไทย และสำนักงบประมาณ ในส่วนที่เกี่ยวกับการประเมินรูปแบบองค์กรและการบริหารจัดการองค์กรที่เหมาะสมระหว่างองค์การบริหารไนท์ซาฟารี
(องค์การมหาชน) และองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน)
รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ที่เห็นว่าในการเปลี่ยนผ่านองค์กรไปสู่องค์การบริหารไนท์ซาฟารีฯ
ควรมีการเตรียมความพร้อมการดำเนินการให้เป็นไปตามที่กำหนดในบทเฉพาะกาล ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๕. เมื่อร่างพระราชกฤษฎีกาทั้ง ๒ ฉบับ
มีผลใช้บังคับแล้วให้องค์การบริหารไนท์ซาฟารี (องค์การมหาชน) รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย
สำนักงาน ก.พ. และสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงมหาดไทย เห็นควรดำเนินการตามกฎหมาย
ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การบริหารกิจการของรัฐเกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล มีความคล่องตัวในการบริหารจัดการ
รวมไปถึงควรกำหนดมาตรการ/แนวทางการประเมิน และการบริหารจัดการที่เหมาะสม
เพื่อให้การจัดตั้งองค์การบริหารไนท์ซาฟารี (องค์การมหาชน)
บรรลุตามเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป |