ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 26 จากทั้งหมด 55 หน้า แสดงรายการที่ 501 - 520 จากข้อมูลทั้งหมด 1084 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 501 | รายงานผลการประชุมคณะประศาสน์การขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ สมัยที่ 307 | รง | 11/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอรายงานผลการประชุมคณะประศาสน์การของ
องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (GB) สมัยที่ 307 ณ นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 13-28 มีนาคม 2553 ซึ่งที่ประชุมได้รับทราบและรับรองรายงานของคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ และคณะทำงาน ที่สำคัญสรุปได้ดังนี้ 1. ที่ประชุมรับทราบการผลักดันให้ประเทศสมาชิกนำข้อตกลงเรื่องงานของโลก (Global Jobs Pact) ที่รับรองในการประชุมใหญ่ ILO สมัยที่ 98 เมื่อเดือนมิถุนายน 2552 เพื่อนำมาปรับใช้เป็นแนวทางในการแก้ไข ผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ โดยผู้บริหารสูงสุดของแผนงานเพื่อการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ร่วมกับ ILO รับเอา Global Jobs Pact มาบรรจุในวาระงานของ UNDP โดยถือเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของ UNDP เพื่อดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายของการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ ซึ่ง UNDP และ ILO มีแนวทางความร่วมมือในการ สร้างงาน สร้างรายได้ และบูรณาการทางสังคม การส่งเสริม "Green Jobs" โดยสร้างงานและการพัฒนามนุษย์ ในเศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการสร้างฐานความรู้เกี่ยวกับผลกระทบของการจ้างงานต่อนโยบาย และแผนงานด้านการจ้างงาน และการสร้างมาตรการการคุ้มครองทางสังคมขั้นพื้นฐาน 2. ที่ประชุมได้รับรองข้อสรุปเกี่ยวกับปัญหาแรงงานบังคับในพม่า โดยรับทราบความก้าวหน้าในการ ดำเนินการที่ผ่านมา และขอให้พยายามอย่างจริงจังต่อไป เพื่อแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานบังคับให้หมดสิ้นอย่าง แท้จริง รวมทั้งเรียกร้องให้พม่าปล่อยตัวผู้นำแรงงานและนักโทษทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการร้องทุกข์เกี่ยวกับการ การใช้แรงงานบังคับโดยเร็ว 3. ที่ประชุมได้พิจารณาข้อเสนอของ ILO ที่ขอให้โอนเงิน Net Premium ซึ่งเป็นเงินกำไรจากอัตราแลก เปลี่ยนเงินสกุลฟรังก์สวิสกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2551-2552 รวมจำนวน 29.7 ล้าน ฟรังก์สวิสเข้ากองทุนก่อสร้างและปรับปรุงอาคารสำนักงาน โดยตกลงที่จะเสนอให้ที่ประชุมใหญ่ ILO สมัยที่ 99 ในเดือนมิถุนายน 2553 พิจารณา 3 ข้อเสนอคือ แบ่งเงิน Net Premium เป็น 2 ส่วนเท่า ๆ กัน โดยเข้ากองทุน ก่อสร้างฯ ส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งแบ่งคืนประเทศสมาชิก หรือคืนเงินทั้งหมดให้แก่ประเทศสมาชิก หรือโอน เงินทั้งหมดเข้ากองทุนก่อสร้างฯ และหากมีส่วนเหลือจากการปรับปรุงอาคารขอให้โอนคืนประเทศสมาชิกภาย หลัง 4. ที่ประชุมรับทราบกำหนดจัดการประชุมระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (Asia Pacific Regional Forum -APRM) ครั้งที่ 15 ที่กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 12-15 ตุลาคม 2553 โดยวัตถุประสงค์ของการประชุมเพื่อ ทบทวนและติดตามผลการดำเนินงานตามมติที่ประชุม APRM ครั้งที่ 14 ที่เมืองปูซาน ประเทศเกาหลี หัวข้อการ ประชุมที่สำคัญระดับ High Level ได้แก่ การเป็นหุ้นส่วนเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนของวาระงานที่มีคุณค่าในภูมิภาค เอเชียแปซิฟิก การจัดการด้านการเคลื่อนย้ายแรงงานและวาระงานที่มีคุณค่าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและ Green Jobs และวาระงานที่มีคุณค่าในเอเชียและแปซิฟิก 5. ที่ประชุมรับทราบเกี่ยวกับการบรรจุเรื่อง แผนงานระดับชาติว่าด้วยงานที่มีคุณค่าลงในยุทธศาสตร์ ที่ส่งเสริมความร่วมมือทางวิชาการในกระบวนการปฏิรูปของสหประชาชาติ โดยเฉพาะกรอบงานความช่วยเหลือ เพื่อการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDAF) โดยมี 44 ประเทศที่กำลังดำเนินการตามแผน และมี 11 ประเทศ ทำแผนเสร็จแล้วเมื่อสิ้นปี พ.ศ. 2552 และ 12 ประเทศคาดว่าจะทำเสร็จในปี พ.ศ. 2553 อีก 80 ประเทศกำลัง จัดทำแผน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 502 | ร่างพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 11/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงโครงสร้างองค์กรของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จากรูปเดิมซึ่งเป็นนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตาม กฎหมาย เป็นบริษัทมหาชนจำกัดซึ่งเป็นองค์กรธุรกิจภาคเอกชนที่มีวัตถุประสงค์ในเชิงพาณิชย์ และจัดตั้งกองทุนส่ง เสริมการพัฒนาตลาดทุนซึ่งมีทรัพย์สินส่วนหนึ่งที่ได้รับมาตามโครงการปฏิรูปตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเพื่อ ทำหน้าที่เป็นแหล่งเงินทุนสำหรับการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจหลักทรัพย์และตลาดทุนในระยะเยาว ตามที่กระทรวง การคลังเสนอ และเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์) เสนอเพิ่มเติม ให้เพิ่มบทบัญญัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีอำนาจในการให้ความเห็นชอบในหลักเกณฑ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับ กรรมการตลาดหลักทรัพย์ตามร่างมาตรา 161 เพื่อให้ตลาดหลักทรัพย์มีกรรมการที่มีความเหมาะสม มีความรู้ และ ความสามารถทำหน้าที่ได้ตามหลักธรรมาภิบาลและสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งเป็น แนวทางหนึ่งสำหรับการสร้างความน่าเชื่อถือขององค์กรและผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ไทย รวมทั้งรับข้อสังเกตของ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและกระทรวงพาณิชย์ที่เห็นควรมีบทบัญญัติห้ามผู้ที่ ไม่ได้ประกอบธุรกิจตลาดหลักทรัพย์ใช้ชื่อหรือคำแสดงชื่อในธุรกิจว่า "ตลาดหลักทรัพย์" หรือ "ตลาดทุน" หรือคำ อื่นใดที่มีความหมายเช่นเดียวกัน และตามที่พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 30 ได้กำหนด ให้บริษัทมหาชนจำกัดต้องมีข้อบังคับกำหนดในเรื่องเกี่ยวกับบริษัท เช่น การออกและโอนหุ้น การประชุมผู้ถือหุ้น จำนวนและวิธีเลือกตั้งกรรมการ เป็นต้น ซึ่งตามพระราชบัญญัติที่กระทรวงการคลังเสนอก็ได้กำหนดคำว่าข้อบังคับ ของตลาดหลักทรัพย์ไว้เช่นเดียวกัน ซึ่งดูตามเจตนารมณ์น่าจะเป็นข้อบังคับที่กำหนดเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ ในตลาดหลักทรัพย์ที่มิใช่ความหมายของคำว่าข้อบังคับตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัดฯ ดังนั้น เมื่อใช้ถ้อย คำเดียวกันอาจเกิดปัญหาในทางปฏิบัติได้ ไปประกอบการพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานด้านนิติ บัญญัติพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป 2. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ ให้กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดหน่วยงานที่จะต้องรับผิดชอบดำเนินงานด้านการส่งเสริมการ เปิดเสรีในธุรกิจตลาดหลักทรัพย์เพื่อให้การปฏิรูปตลาดทุนเป็นไปตามเจตนารมณ์ของร่างพระราชบัญญัติฯ รวมทั้ง ให้กองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุนจัดทำแผนการบริหารเงินลงทุนของกองทุนฯ ประกอบไปกับแผนการดำเนิน งานและงบประมาณรายจ่ายที่ต้องเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประจำทุกปี เพื่อให้กองทุนฯ สามารถ ดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง มีประสิทธิภาพ ตรงตามวัตถุประสงค์และไม่เป็นภาระต่องบประมาณแผ่นดินในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 503 | ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมกิจการกองทุนซะกาต พ.ศ. .... | พม | 11/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมกิจการกองทุนซะกาต พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะ
กรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และให้ส่ง คณะกรรมการประสานงานด้านนิติบัญญัติพิจารณาก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราช บัญญัติฯ มีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้ 1. กำหนดให้การดำเนินการและการจัดการซะกาต ต้องสอดคล้องกับบัญญัติศาสนาอิสลาม และการ จัดเก็บซะกาตหรือการรับบริจาคเงินต้องดำเนินการบนพื้นฐานความสมัครใจ 2. กำหนดให้การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของผู้จ่ายซะกาต ผู้บริจาคเงินหรือทรัพย์สิน ผู้มีสิทธิได้รับซะ กาต และผู้รับบริจาคเงินหรือทรัพย์สิน ต้องได้รับความยินยอมจากบุคคลนั้นก่อนหรือเพื่อประโยชน์ของทางราช การ 3. กำหนดให้มีคณะกรรมการส่งเสริมกิจการกองทุนซะกาตมีอำนาจหน้าที่ส่งเสริมและกำกับดูแลการ ดำเนินงานและการจัดการกองทุนซะกาต รวมทั้งกำหนดนโยบาย แผนงาน มาตรการและวางระเบียบหลักเกณฑ์ การดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง 4. กำหนดให้จัดตั้งกองทุนส่งเสริมกิจการกองทุนซะกาต ประกอบด้วยเงินที่รัฐบาลจัดสรรให้ เงินช่วย เหลือจากรัฐบาลต่างประเทศ หรือองค์กรต่างประเทศ เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคหรืออุทิศให้ เงินหรือทรัพย์ สินที่ได้รับโอนจากการชำระบัญชีของกองทุนซะกาต และผลประโยชน์ที่เกิดจากเงินหรือทรัพย์สินดังกล่าว 5. กำหนดแหล่งที่มาของเงินและทรัพย์สินของกองทุนซะกาต และกำหนดกรณีการจ่ายเงินและทรัพย์ สินของกองทุนซะกาต 6. กำหนดกรณีการเลิก การยุบรวม การแยกกองทุนซะกาต และการชำระบัญชีของกองทุนซะกาต 7. กำหนดองค์ประกอบของคณะกรรมการผู้บริหารกองทุนซะกาต 8. กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของคณะผู้บริหารกองทุนซะกาต
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 504 | ผลการประเมินการปฏิบัติราชการและการจัดสรรเงินรางวัลสำหรับส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา ที่มีการจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 | นร | 11/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ในการประชุมครั้งที่ 2/2553 เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2553 ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ 1.1 เห็นชอบผลการประเมินการปฏิบัติราชการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการของส่วนราชการและ จังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 1.2 ไม่สมควรจัดตั้งกองทุนเงินสะสมในรูปแบบ "เงินทุนหมุนเวียน" เนื่องจากไม่สอดคล้องกับหลักการ เหตุผล และเจตนารมณ์ของการจัดตั้งกองทุนตามหลักการของพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491 มาตรา 12 และ พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 18 หากรัฐบาลพยายามที่จะผลักดันการ จัดตั้งกองทุนเงินสะสมโดยมาจากเงินเหลือจ่ายของส่วนราชการต่าง ๆ จะต้องตราเป็นพระราชบัญญัติเฉพาะเท่านั้น 1.3 เห็นชอบให้มีการจัดสรรเงินรางวัลสำหรับส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษาที่มีการจัด ทำคำรับรองการปฏิบัติราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 1.4 ให้มีการจัดสรรเงินรางวัลสำหรับส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษาที่มีการจัดทำคำรับ รองการปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 เพียงก้อนเดียวรวมกันทั้งผู้บริหารและผู้ปฏิบัติของส่วนราช การจังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา โดยให้ส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษานำไปจัดสรรต่อในแต่ละหน่วย งานตามความเหมาะสม โดยให้ผู้บริหารและผู้ปฏิบัติอยู่ในหลักเกณฑ์ แนวทาง และวิธีการจัดสรรเงินรางวัลเดียวกัน 1.5 เห็นชอบการปรับปรุงวิธีการคำนวณเพื่อจัดสรรเงินรางวัลสำหรับหน่วยงานที่มีผลการปฏิบัติราช การที่บรรลุเป้าหมายในระดับคะแนน 3.0000 ขึ้นไป 2. ส่วนการนำเงินงบประมาณเหลือจ่ายมาจัดสรรเป็นเงินรางวัลสำหรับส่วนราชการ จังหวัด และสถาบัน อุดมศึกษาที่ไม่มีเงินเหลือจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 หรือมีอยู่ไม่เพียงพอ นั้น ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับไป พิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินการ ที่เหมาะสมต่อไป รวมทั้งดำเนินการกำหนดวิธีการจ่ายให้กับข้าราชการและลูกจ้างประจำต่อไป ตามความเห็นของ กระทรวงการคลังไปประกอบการพิจารณาด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 505 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี พ.ศ. .... | ศธ | 04/05/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับ
สาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อ ไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกา ฯ มีสาระสำคัญดังนี้ 1. กำหนดปริญญาในสาขาวิชา และอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาการบัญชี สาขาวิชาการศึกษา สาขา วิชานิติศาสตร์ สาขาวิชาบริหารธุรกิจ สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาศิลป ศาสตร์ และสาขาวิชาสารสนเทศศาสตร์ 2. กำหนดครุยวิทยฐานะของมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี ครุยประจำตำแหน่ง และเครื่องหมาย ประกอบครุยประจำตำแหน่งของสภามหาวิทยาลัย กรรมการสภามหาวิทยาลัย ผู้บริหาร และคณาจารย์ 3. กำหนดเข็มวิทยฐานะของมหาวิทยาลัย 4. กำหนดสีประจำสาขาวิชา
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 506 | โครงการจัดหาเครื่องบิน ปี 2553 - 2557 ของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) | คค | 30/03/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติโครงการจัดหาเครื่องบิน ปี 2553-2557 จำนวน 15 ลำ ประกอบด้วยการจัดหาเครื่องบินภูมิ ภาคความจุประมาณ 300 ที่นั่ง จำนวน 7 ลำ โดยวิธีการเช่าซื้อ (Financial Lease) และเครื่องบินข้ามทวีปความจุ ประมาณ 350 ที่นั่ง จำนวน 8 ลำ โดยวิธีการเช่าดำเนินงาน (Operating Lease) รวมทั้งจัดหาเครื่องยนต์อะไหล่ สำหรับเครื่องบินภูมิภาค จำนวน 2 เครื่องยนต์ และสำหรับเครื่องบินข้ามทวีป จำนวน 3 เครื่องยนต์ วงเงินลงทุน ทั้งสิ้น 35,484 ล้านบาท โดยให้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (บกท.) ดำเนินการตามแผนการเงินและ แผนการกู้เงินตามข้อเสนอของ บกท. ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ 2. ให้ บกท. รับข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย ดังนี้ 2.1 ในระยะต่อไปควรพิจารณาปรับเปลี่ยนวิธีการจัดหาเครื่องบิน โดยวิธีการเช่าดำเนินการ เป็นวิธี การเช่าซื้อ 2.2 จัดเตรียมแผนการเงินระยะยาวเพื่อรองรับการจัดหาเครื่องบินในระยะต่อไป และจัดทำแผนการ บริหารความเสี่ยงและแผนสำรองฉุกเฉิน และคำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการส่งมอบเครื่องบิน ความผัน ผวนของราคาน้ำมัน ภาวะเศรษฐกิจโลก พร้อมทั้งจัดทำแผนปฏิบัติการด้านการลดค่าใช้จ่ายน้ำมันอากาศยาน และให้เร่งจำหน่ายเครื่องบิน A340-500 จำนวน 4 ลำ โดยเร็ว เพื่อลดภาระการขาดทุนจากการให้บริการโดย เครื่องบินแบบดังกล่าว 2.3 พิจารณาเพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้นในสายการบินนกแอร์เพื่อให้สามารถกำหนดนโยบายการ ให้บริการทั้งในด้านการบริหารจัดการในเส้นทางบิน ฝูงบิน และคุณภาพการให้บริการของสายการบินนกแอร์ 2.4 ให้นำระบบการบริหารจัดการที่ดีตามหลักเกณฑ์ของบริษัทมหาชนและมาตรฐานสากลมาใช้กับ องค์กรควบคู่ไปกับการเร่งปรับโครงสร้างองค์กรเป็นหน่วยธุรกิจตามที่กำหนดไว้ในแผนวิสาหกิจปี 2553-2557 โดยเฉพาะการแยกโครงสร้างในการบริหารจัดการ และระบบบัญชี เพื่อให้หน่วยธุรกิจของ บกท. มีอิสระในการ บริหารจัดการและสามารถพัฒนาศักยภาพของหน่วยธุรกิจบางหน่วยให้สามารถขยายบริการกับสายการบินอื่น ได้ 2.5 เร่งจัดทำแผนการปรับปรุงผลิตภัณฑ์และคุณภาพการให้บริการเพื่อให้การให้บริการอยู่ในระดับ เดียวกันกับสายการบินชั้นนำอื่น ๆ 2.6 ควบคุมค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ของกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานทั้งที่ ปฏิบัติงานอยู่ในปัจจุบัน และสิทธิประโยชน์ของกรรมการและผู้บริหารในอดีต โดยเฉพาะสิทธิประโยชน์ด้านการ ใช้บริการการบินของ บกท. ควรปรับลดสิทธิพิเศษทั้งในด้านจำนวนครั้งระยะเวลาในการได้รับสิทธิ และบัตรโดย สารจะต้องไม่เกินกว่าชั้นธุรกิจ พร้อมทั้งปรับปรุงระบบงาน การบริหารและพัฒนาบุคลากร (Modern Human Resource Management) ค่าจ้างเงินเดือน สวัสดิการ และอื่น ๆ รวมทั้งแผนสร้างบุคลากรทดแทน (Succession Plan) และนำการจัดการคุณภาพทั่วทั้งองค์กร (Total Quality Management : TQM) มาเป็นนโยบายดำเนินการ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 507 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดจำนวนกรรมการ คุณสมบัติ หลักเกณฑ์การสรรหา การเลือกประธานกรรมการและกรรมการ การประชุม วาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่งของคณะกรรมการวิทยาลัย พ.ศ. .... | ศธ | 30/03/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดจำนวนกรรมการ คุณสมบัติ หลักเกณฑ์การสรรหา
การเลือกประธานกรรมการและกรรมการ การประชุม วาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่งของคณะ กรรมการวิทยาลัย พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวง ฯ มีสาระสำคัญดังนี้ 1. กำหนดคำนิยาม ผู้ปกครอง ครูหรือคณาจารย์ วิทยาลัย องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ศิษย์เก่า ผู้บริหารสถานศึกษา คณะกรรมการและกรรมการ 2. กำหนดให้มีคณะกรรมการวิทยาลัยและกำหนดองค์ประกอบของคณะกรรมการ 3. กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของกรรมการ 4. กำหนดหลักเกณฑ์การสรรหาและการเลือกกรรมการ 5. กำหนดวาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่งของกรรมการ วิธีการประชุม และองค์ประชุม 6. กำหนดให้ผู้บริหารสถานศึกษาดำเนินการสรรหา เลือก และเสนอรายชื่อประธานกรรมการและ กรรมการให้แล้วเสร็จภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ 7. กำหนดให้เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษามีอำนาจวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติหรือ การดำเนินการเลือกประธานกรรมการและกรรมการตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 508 | ขออนุมัติจัดจ้างสถาบันอุดมศึกษาพัฒนาครูและผู้บริหารสถานศึกษาตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง | ศธ | 23/03/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จัดจ้างจุฬาลงกรณ์มหา
วิทยาลัยและมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ดำเนินการทดสอบ ประเมินสมรรถนะ และดำเนินการพัฒนาครูและ ผู้บริหารสถานศึกษาตามโครงการพัฒนาครูทั้งระบบ ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง โดยวิธีกรณีพิเศษ ตามที่ กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยให้ สพฐ. ถือปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการ ตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 พ.ศ. 2552 ตามความเห็นของสำนักงบประมาณด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 509 | สรุปรายงานผลการเดินทางไปราชการตามโครงการกระตุ้นตลาดการท่องเที่ยวหลัก ณ จังหวัดฮอกไกโด และกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 3 - 8 กุมภาพันธ์ 2553 | กก | 23/03/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารายงานสรุปผลการเดินทางไปราชการ
ตามโครงการกระตุ้นตลาดการท่องเที่ยวหลัก ณ จังหวัดฮอกไกโด และกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 3-8 กุมภาพันธ์ 2553 ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยได้มีการหารือกับผู้บริหารระดับสูงของ รัฐบาล บริษัทนำเที่ยวชั้นนำ และนักธุรกิจที่สำคัญของประเทศญี่ปุ่น สรุปได้ดังนี้ 1. การประชุมหารือกับรองผู้ว่าราชการจังหวัดฮอกไกโด (Mr.Yoji Takahara) เกี่ยวกับแนวทางความร่วม มือในการส่งเสริมการท่องเที่ยวร่วมกันเพื่อให้นักท่องเที่ยวทั้งสองฝ่ายได้เดินทางไปมาหาสู่กันเพิ่มขึ้น และเสริมสร้าง ความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยและจังหวัดฮอกไกโด โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ร่างหนัง สือลงนามแสดงเจตจำนง (Letter of Intent) ร่วมกันเพื่อผลักดันให้เกิดความร่วมมือทางการท่องเที่ยวร่วมกันอย่าง เป็นรูปธรรม นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายต้องการให้มีการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารทางการท่องเที่ยวให้ มากขึ้นเพื่อให้นักท่องเที่ยวทั้งสองฝ่ายได้ทราบข้อมูลข่าวสารทางการท่องเที่ยวซึ่งกันและกัน โดยในส่วนของรัฐบาล ญี่ปุ่นได้ตั้งเป้าที่จะส่งนักท่องเที่ยวประเภทพำนักระยะยาว (Long Stay) ไปยังประเทศต่าง ๆ จำนวน 20 ล้านคนใน ปีนี้ และทำอย่างไรที่จะส่งนักท่องเที่ยวมายังประเทศไทยถึง 2 ล้านคน ทั้งนี้ รัฐบาลไทยได้มีนโยบายส่งเสริมการ ท่องเที่ยวต่าง ๆ ให้แก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เช่น มีการประกันความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยว 10,000 ยูเอส ดอลล่าร์/คน หากเกิดปัญหาในประเทศไทย การยกเว้นค่าธรรมเนียมในการขอวีซ่า และการลดค่าเข้าอุทยานแห่ง ชาติต่าง ๆ ทั่วประเทศให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ 2. การประชุมหารือเรื่องการส่งเสริมการท่องเที่ยวกับผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวของจังหวัดฮอกไกโด ผลการหารือทั้งสองฝ่ายขอให้จัดเที่ยวบินตรงเส้นทาง กรุงเทพฯ-ฮอกไกโด-กรุงเทพฯ เพื่อให้เกิดการส่งเสริมการ ท่องเที่ยวร่วมกัน และเป็นการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวของทั้งสองฝ่าย ส่วนการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวจากตลาด ญี่ปุ่นไปประเทศไทย ททท. ได้วางนโยบายด้านการตลาดที่จะสนับสนุนค่าการตลาดให้กับบริษัทนำเที่ยวที่สามารถ การันตีการเพิ่มจำนวนของนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นที่ส่งไปประเทศไทย นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายขอให้มีการแลกเปลี่ยน ข้อมูลข่าวสารทางการท่องเที่ยวเพื่อเผยแพร่กิจกรรมด้านการท่องเที่ยว ซึ่งมีความเป็นไปได้ในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสารซึ่งกันและกันกับรายการท่องเที่ยวรายการ TATV ของ ททท. สำหรับในอนาคตอาจจะสามารถแลกเปลี่ยน ข้อมูลข่าวสารกับสถานีโทรทัศน์รายการอื่น ๆ ที่สนใจจะแลกเปลี่ยนข่าวสารในประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 510 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ พ.ศ. .... | วธ | 09/03/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทย ฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญคือ 1.1 กำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาเครื่องเคลือบดินเผา สาขาวิชาดุริยาง คศิลป์ไทย และสาขาศิลปะดนตรีและการแสดงพื้นบ้าน 1.2 กำหนดครุยวิทยฐานะของสถาบัน ฯ ครุยประจำตำแหน่ง และเครื่องหมายประกอบครุยประจำ ตำแหน่งนายกสภาสถาบัน อุปนายกสภาสถาบัน กรรมการสภาสถาบัน ผู้บริหารสภาสถาบัน 2. ให้กระทรวงวัฒนธรรมรับข้อสังเกตของกระทรวงศึกษาธิการที่เห็นควรให้สถาบัน ฯ กำหนดครุยวิทย ฐานะในมาตรา 5 ให้มีสามชั้น โดยแบ่งเป็นครุยดุษฎีบัณฑิต ครุยมหาบัณฑิต และครุยบัณฑิต ตามลำดับ และไม่ ควรกำหนดครุยบัณฑิตกิตติมศักดิ์ เนื่องจากปริญญากิตติมศักดิ์สามารถใช้ครุยวิทยฐานะในปริญญานั้นอยู่แล้ว ไป ประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 511 | ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับที่ .. ) พ.ศ. .... | มท | 09/02/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่น
หรือผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขบทบัญญัติบางประการในพระราชบัญญัติว่าด้วยการ ลงคะแนนเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2542 เพื่อให้การใช้สิทธิเข้าชื่อเพื่อให้มีการลง คะแนนเสียงถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ ที่สำนัก งานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงาน ด้านนิติบัญญัติพิจารณา แล้วเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 512 | รายงานผลการประเมินการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ประจำปี 2551 | กค | 12/01/2553 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. รับทราบผลการประเมินการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ประจำปี พ.ศ. 2551 2. เห็นชอบให้กระทรวงเจ้าสังกัดดำเนินการ ดังนี้ 2.1 กำกับดูแลให้รัฐวิสาหกิจมีการจัดทำงบการเงินตามมาตรฐานบัญชีที่ยอมรับให้เป็นปัจจุบัน 2.2 กำกับดูแลให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจดำเนินการสรรหาบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ และมี ประสบการณ์เหมาะสมเข้ารับตำแหน่งผู้บริหารสูงสุด โดยเร็วอย่างช้าไม่เกิน 1 ปี นับแต่วันที่ผู้บริหารเดิมพ้นจาก ตำแหน่ง 2.3 ทบทวนบทบาท ภารกิจ และความจำเป็นในการมีอยู่ของรัฐวิสาหกิจในสังกัด และนำเสนอต่อ คณะกรรมการกำกับนโยบายรัฐวิสาหกิจ (กนร.) ภายใน 3 เดือน สำหรับรัฐวิสาหกิจที่มีผลการประเมินต่ำติดต่อ กันหลายปี ให้นำเสนอแผนปรับบทบาทหรือแผนพลิกฟื้นต่อ กนร. เพื่อพิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป 2.4 ติดตามการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจตามแนวทางการปรับปรุงองค์กรตามประเด็นปัญหาที่ได้ จากการประเมินผล ฯ เพื่อให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจนำผลการประเมินดังกล่าวไปใช้ในการพัฒนาและยกระดับ การบริหารจัดการองค์กรให้เป็นมาตรฐานต่อไป 3. ให้กำหนดเป็นหลักการว่าไม่ควรมีการปรับเปลี่ยนคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจทั้งคณะ ยกเว้นเป็นการ ดำเนินการตามกฎหมายหรือข้อบังคับที่ได้กำหนดไว้ ทั้งนี้ เพื่อให้คณะกรรมการสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างต่อ เนื่อง เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล และสอดคล้องกับหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 513 | รายงานผลการเดินทางไปราชการ ณ กรุงโตเกียว นครโอซากา และกรุงโซล ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา | กก | 01/12/2552 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอรายงานผลการเดินทางไปราชการ
ณ กรุงโตเกียว นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น และกรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่อง เที่ยวและกีฬา ระหว่างวันที่ 22-30 ตุลาคม 2552 สรุปได้ดังนี้ 1. ผลการเดินทางไปราชการ ณ กรุงโตเกียว นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น 1.1 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้หารือกับผู้บริหารระดับสูงที่สำคัญ ๆ ของ ธุรกิจท่องเที่ยวที่กรุงโตเกียว โดยมีประเด็นการหารือเกี่ยวกับแนวทางการส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบพำนักระยะ ยาว (Long Stay) และการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายใต้โครงการ Visit World Campaign (VWC) ที่จะส่งเสริมให้ ชาวญี่ปุ่นเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศทั่วโลก จำนวน 20 ล้านคน ในปี ค.ศ. 2010 ซึ่งทาง VWC พร้อมให้ความ ร่วมมือและจะพยายามในการส่งเสริมให้ชาวญี่ปุ่นเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทย จำนวน 2 ล้านคน 1.2 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้หารือกับผู้บริหาร Shizuoka Prefecture โดยมีประเด็นการหารือเกี่ยวกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างจังหวัดชิซึโอกะ-ประเทศไทย ซึ่งทางจังหวัดชิซึ โอกะพร้อมจะสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นเดินทางมาประเทศไทยรวมทั้งความร่วมมือเพื่อเพิ่มศักยภาพในการ เดินทางระหว่างจังหวัดชิซึโอกะกับประเทศไทย โดยใช้ท่าอากาศยานนานชาติ Mt. Fuji-Shizuoka 1.3 การจัดสัมมนาโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษาระดับอุดมศึกษาระหว่างญี่ปุ่น-ไทย โดยมีวัตถุ ประสงค์ของการจัดสัมมนาเพื่อกระตุ้นและส่งเสริมให้นักศึกษาระดับอุดมศึกษาในประเทศญี่ปุ่นได้ให้เดินทางมา ท่องเที่ยวและศึกษาเรียนรู้ประวัติศาสตร์วัฒนธรรม และภาษาอังกฤษในประเทศไทย 2. ผลการเดินทางไปราชการ ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี 2.1 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้พบหารือกับ Mr. Yoo, In Chon รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมเกาหลี โดยมีประเด็นการหารือเกี่ยวกับการส่งเสริมการท่องเที่ยว ในรูปแบบทวิภาคีร่วมกัน ซึ่งผลการหารือ ทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันทำสัญญาที่เรียกว่า Thailand Korea Tourism Exchange Year 2010 ภายในสิ้นปีนี้ รวมถึงการจัดตั้ง Thailand Kore a Joint Tourism Committee เพื่อส่งเสริม การโฆษณาประชาสัมพันธ์ และการทำกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกัน รวมทั้งการสถาปนาเมืองพี่น้องระหว่าง กรุงเทพมหานคร และกรุงโซล 2.2 การประชุมหารือกับผู้บริหารระดับสูงของบริษัทนำเที่ยวที่สำคัญของสาธารณรัฐเกาหลีเพื่อ เจรจาให้บริษัทนำเที่ยวชั้นนำของเกาหลีสนับสนุนการขายการท่องเที่ยวไทยภายในสิ้นปีนี้ให้มากขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 514 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ยุทธศาสตร์การผลิตและพัฒนาทรัพยากรบุคคลของสถานศึกษาให้ตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขันของประเทศ" | สสป | 03/11/2552 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง "ยุทธศาสตร์การผลิตและพัฒนาทรัพยากรบุคคลของสถานศึกษาให้ตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขันของประเทศ" และรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะของ
สภาที่ปรึกษา ฯ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะสรุปได้ดังนี้ 1. รูปแบบการผลิตและพัฒนาทรัพยากรบุคคล ควรมุ่งเน้นการพัฒนาทรัพยากรบุคคล 2 ประเภท ดังนี้ 1.1 จัดฝึกอบรมหลักสูตรระยะสั้นโดยใช้ระยะเวลาศึกษาระหว่าง 3 เดือน ถึง 1 ปี เป้าหมายของหลักสูตรเน้นฝึกทักษะพื้นฐานที่จำเป็น เพื่อให้สามารถประกอบอาชีพการให้บริการนักท่องเที่ยวทันทีที่จบการศึกษา 1.2 จัดการศึกษาหลักสูตรตามระดับการศึกษา โดยเป้าหมายหลักสูตรเน้นฝึกทักษะการปฏิบัติงานในลักษณะฐานสมรรถนะมากกว่าลักษณะรายวิชาควบคู่ไปกับหลักสูตรการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว และการเป็นผู้บริหารระดับกลางทำหน้าที่ให้คำแนะนำพนักงานที่ให้บริการนักท่องเที่ยวโดยตรง 2. ทิศทางการพัฒนาทรัพยากรบุคคล 2.1 พัฒนาทรัพยากรบุคคลไปพร้อมกับการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยเน้นบทบาทด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ดิน น้ำ ป่า และกิจกรรม การส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมวิถีชีวิตและเอกลักษณ์ท้องถิ่น ความรับผิดชอบของมัคคุเทศก์ และจรรยาบรรณ รวมทั้งการดำเนินการด้านการตลาดและสื่อโฆษณา และมาตรการด้านความปลอดภัยที่จะทำให้นักท่องเที่ยวมั่นใจและไว้วางใจ 2.2 พัฒนามาตรฐานอาชีพด้านการท่องเที่ยวและการโรงแรมโดยฝึกทักษะและพัฒนาความสามารถของทรัพยากรบุคคลตามฐานสมรรถนะ 2.3 วางแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวและพัฒนาทรัพยากรบุคคลเพื่อรองรับการท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่มที่เป็นแนวโน้มของตลาดท่องเที่ยวมากขึ้น ได้แก่ กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มคนพิการ กลุ่มท่องเที่ยวเป็นครอบครัว เป็นต้น 3. กลยุทธ์การพัฒนาทรัพยากรบุคคล 3.1 กลยุทธ์การพัฒนาทรัพยากรบุคคลควบคู่ไปกับการพัฒนาการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนเน้นการบูรณาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวให้เข้ามามีบทบาทร่วมกัน โดยเป็นเครือข่ายร่วมที่มีความคล่องตัวทั้งด้านการกำหนดนโยบาย/ทิศทางการพัฒนาการท่องเที่ยว การพัฒนาทรัพยากรบุคคล และการจัดการงบประมาณที่สอดคล้องกับสภาพการท่องเที่ยว 3.2 กลยุทธ์การจัดทำมาตรฐานอาชีพทรัพยากรบุคคลด้านการท่องเที่ยวและการโรงแรม โดยมีกฎหมายหรือมติคณะรัฐมนตรีเรื่องดังกล่าวโดยเฉพาะที่เน้นให้สถาบันการศึกษา สถานประกอบการ สมาคมวิชาชีพ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทำมาตรฐานอาชีพ และจัดตั้งศูนย์เฉพาะทางด้านการท่องเที่ยวตามภูมิภาคต่าง ๆ 3.3 กลยุทธ์การสร้างความร่วมมือการพัฒนาทรัพยากรบุคคลระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยให้ความสำคัญกับบทบาทและการมีส่วนร่วมของสถานประกอบการ ส่งเสริมบทบาทของกลุ่มจังหวัดให้มีส่วนสนับสนุนสถานประกอบการด้านการท่องเที่ยวและการโรงแรม สนับสนุนให้สถานประกอบการเข้ามามีบทบาทในการกำหนดนโยบาย การพัฒนาหลักสูตร การจัดการเรียนการสอน ร่วมมือทำวิจัยและรับนักศึกษาเข้าไปฝึกปฏิบัติงาน รวมถึงให้ทุนการศึกษา การพัฒนาผู้สอนให้สามารถถ่ายทอดความรู้ สร้างค่านิยมในอาชีพ และจริยธรรม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 515 | รายงานการหยุดเดินรถของพนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 27/10/2552 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
1. รับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอสถานการณ์การหยุดเดินรถ การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า การ ให้ความช่วยเหลือผู้โดยสาร และการแก้ไขปัญหาระยะยาว สรุปได้ดังนี้ จากกรณีที่พนักงานการรถไฟแห่งประเทศ ไทย (รฟท.) ในพื้นที่เส้นทางภาคใต้ได้ยื่นขอลาป่วยพร้อมกันเป็นจำนวนมาก ในวันที่ 19 ตุลาคม 2552 และต่อ มาได้อ้างว่าหัวรถจักรอยู่ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์ไม่สามารถให้บริการได้ทำให้มีการหยุดเดินรถไฟในเส้นทางภาคใต้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรถขบวนท้องถิ่น และจากการหยุดเดินรถทำให้เกิดความเสียหายแก่ รฟท. ประมาณ 20.16 ล้าน บาท นั้น กระทรวงคมนาคมได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า โดยมอบหมายให้กรมการขนส่งทางบก บริษัท ขนส่ง จำกัด และบริษัทเอกชนร่วมบริการจัดรถโดยสารมาให้บริการขนถ่ายสัมภาระและรับผู้โดยสารที่ตกค้างเพื่อ ไปส่งยังจุดหมายปลายทาง และให้กรมการขนส่งทางบก กรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบทจัดส่งเจ้าหน้าที่ ในพื้นที่เข้าดูแลและช่วยเหลือประชาชนเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทาง จัดหาอาหาร ที่พักชั่วคราว ขนถ่าย สัมภาระ เพื่อเปลี่ยนถ่ายผู้โดยสารไปยังจุดหมายปลางทาง รวมทั้งให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ ได้แก่ ทหาร ตำรวจ และ ฝ่ายปกครองจัดกำลังเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสาร ในส่วนของรถจักร จำนวน 4 คัน ที่ถูกยึดไว้ที่โรงรถ จักรหาดใหญ่ ซึ่งพนักงานอ้างว่ามีสภาพไม่สมบูรณ์ไม่อาจนำมาใช้เดินรถได้ ขณะที่วิศวกรใหญ่ฝ่ายช่างกลยืนยันว่า รถจักรดังกล่าวอยู่ในสภาพที่ใช้การได้ นั้น ทางผู้บริหาร รฟท. ได้จัดหาพนักงานขับรถและช่างเครื่องจำนวน 4 ชุด จากส่วนกลางไปสำรองในพื้นที่เพื่อเดินรถทันที เมื่อกู้รถจักรคืนได้ เป็นต้น สำหรับการแก้ไขปัญหาระยะยาว ได้ แต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการ รฟท. จำนวน 4 คณะ ประกอบด้วย คณะกรรมการ ฯ ด้าน โครงสร้างพื้นฐาน คณะกรรมการ ฯ ด้านทรัพย์สิน คณะกรรมการ ฯ ด้านกฎหมายและระเบียบข้อบังคับ และคณะ กรรมการ ฯ ด้านบุคลากรและอัตรากำลัง 2. เห็นชอบให้ รฟท. ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2541 โดยอนุมัติ ให้ รฟท. รับพนักงาน รฟท. จำนวน 171 อัตรา ประกอบด้วย ตำแหน่งช่างเครื่องฝึกหัด จำนวน 121 อัตรา และ ตำแหน่งพนักงานเดินรถและโยธา จำนวน 50 อัตรา |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 516 | สรุปรายงานผลการเดินทางไปเป็นประธานพิธีเปิด สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ณ เมืองเซี่ยงไฮ้ และกระตุ้นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของไทยในสาธารณรัฐประชาชนจีน (ระหว่างวันที่ 2 - 8 สิงหาคม 2552) | กก | 27/10/2552 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารายงานการเดินทางไปเป็นประธานพิธีเปิด
สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ณ เมืองเซี่ยงไฮ้ ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ทำพิธีเปิด ททท. สำนักงานเซี่ยงไฮ้ เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2552 ซึ่งมีเขต พื้นที่รับผิดชอบ ได้แก่ เทศบาลนครเซี่ยงไฮ้ มณฑลฝูเจี้ยน มณฑลหูเป่ย์ มณฑลอานฮุย มณฑลเจียงซู มณฑลเจ้อ เจียง มณฑลเจียงซี และมณฑลหูหนาน และได้หารือกับนักธุรกิจและผู้บริหารระดับสูงของเมืองกวางโจว Mr. Song Wei ดำรงตำแหน่งเป็น General Manager ของ Group Lingnan แ ละกลุ่มบริษัทนำเที่ยว CGZL ซึ่งเป็นบริษัทท่อง เที่ยวชั้นนำของเมืองกวางโจว ผลการหารือ กลุ่มนักธุรกิจระดับสูงของจีนเสนอแนะการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวจาก เมืองกวางโจวมาประเทศไทย โดยจะส่งนักท่องเที่ยวมาประเทศไทยปีละ 30,000 คน และช่วงปลายปีจะเพิ่มนักท่อง เที่ยวให้อีกจำนวน 20,000 คน โดยขอให้มีการทำการส่งเสริมการขายร่วมกัน ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่อง เที่ยวและกีฬาเห็นด้วยในข้อเสนอและมอบหมายให้บริษัท CGZL และ ททท. ไปหารือกันและทำความตกลงร่วมกัน และให้มีรายละเอียดที่สามารถวัดผลได้ในเรื่องของการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว เช่น จำนวนการขอวีซ่าของนักท่อง เที่ยวรายชื่อการเดินทางโดยสายการบิน และรายงานของบริษัท เป็นต้น ส่วนงบประมาณให้มีการแชร์ค่าใช้จ่ายคน ละครึ่ง ซึ่ง ททท. ได้เซ็นสัญญากับบริษัท CGZL ในการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวให้ได้ 20,000 คน ใน 4 เดือน ระหว่างเดือนกันยายน 2552 ถึงเดือนธันวาคม 2552 นี้ เป็นโครงการนำร่องดำเนินการในสาธารณรัฐประชาชน จีนและประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 517 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา พ.ศ. .... | ศธ | 13/10/2552 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขา
วิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา พ.ศ. .... ตาม ที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดย ร่างพระราชกฤษฎีกา ฯ มีสาระสำคัญคือ 1. กำหนดปริญญาในสาขาวิชา และอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาการบัญชี สาขาวิชาการศึกษา สาขาวิชา นิติศาสตร์ สาขาวิชานิเทศศาสตร์ สาขาวิชาบริหารธุรกิจ สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิชาศิลปกรรมศาสตร์ และสาขาวิชาศิลปศาสตร์ 2. กำหนดครุยวิทยฐานะของมหาวิทยาลัย ครุยประจำตำแหน่ง และเครื่องหมายประกอบครุยประจำ ตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัย อุปนายกสภามหาวิทยาลัย กรรมการสภามหาวิทยาลัย ผู้บริหาร และคณา จารย์มหาวิทยาลัย 3. กำหนดสีประจำสาขาวิชา 4. กำหนดเข็มวิทยฐานะของมหาวิทยาลัย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 518 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร พ.ศ. .... | ศธ | 06/10/2552 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับ
สาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร พ.ศ. .... ตาม ที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไป ได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกา ฯ มีสาระสำคัญคือ 1. กำหนดปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา และสีประจำสาขาวิชาการศึกษา สาขา วิชานิติศาสตร์ สาขาวิชาบริหารธุรกิจ สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ สาขาวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาศิลปศาสตร์ และสาขาวิชาสถาปัตยกรรมศาสตร์ 2. กำหนดครุยวิทยฐานะของมหาวิทยาลัย ครุยประจำตำแหน่งและเครื่องหมายประกอบครุยประจำ ตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัย กรรมการสภามหาวิทยาลัย ผู้บริหาร และคณาจารย์มหาวิทยาลัย 3. กำหนดเข็มวิทยฐานะของมหาวิทยาลัย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 519 | ผลการเยือนรัฐกาตาร์อย่างเป็นทางการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (ระหว่างวันที่ 4 - 5 กรกฎาคม 2552) | กต | 06/10/2552 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอผลการเยือนรัฐกาตาร์อย่างเป็นทางการ
ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ระหว่างวันที่ 4-5 กรกฎาคม 2552 ซึ่งวัตถุประสงค์ของการเยือนรัฐ กาตาร์ครั้งนี้เพื่อพบปะหารือกับบุคคลต่าง ๆ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ให้มีความคืบหน้าต่อไป ดังนี้ 1. การพบปะหารือกับเจ้าผู้ครองรัฐกาตาร์ โดยเจ้าผู้ครองรัฐได้รับสั่งถามเกี่ยวกับพระพลานามัยของพระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ และทรงฝากความระลึกถึงและปรารถนาดีไปยังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วย พร้อมกัน นี้เจ้าผู้ครองรัฐกาตาร์ทรงเห็นว่าไทยและกาตาร์ควรที่จะขยายความร่วมมือระหว่างกันให้มากขึ้นโดยเฉพาะด้านการ เกษตรกรรม โดยทรงยินดีและพร้อมสนับสนุนให้มีการขยายการลงทุนระหว่างกัน และพร้อมพิจารณาข้อเสนอโครง การที่ชัดเจน เป็นรูปธรรม และตรงไปตรงมาเพื่อตอบสนองผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย 2. การพบปะหารือกับรัฐมนตรีแห่งรัฐด้านกิจการต่างประเทศ ซึ่งผลการหารือรัฐมนตรีว่าการกระทรวง การต่างประเทศของไทยแจ้งว่า ไทยมีความกระตือรือร้นที่จะขยายการค้าข้าว และสินค้าเกษตรอื่น ๆ และยืนยันว่า ไทยพร้อมตอบสนองความต้องการของตลาดกาตาร์ และตลาดในตะวันออกกลาง ส่วนฝ่ายกาตาร์ได้เร่งรัดให้มีการ ลงนามความตกลงต่าง ๆ ที่คั่งค้างอยู่ อาทิ บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วมระดับสูง (HJC) ความตกลงเพื่อยกเว้นการจัดเก็บภาษีซ้อนไทย-กาตาร์ และความตกลงว่าด้วยการจ้างแรงงานไทยในกาตาร์ โดย เชื่อมั่นว่า ความตกลงเหล่านี้จะช่วยขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนระหว่างกันมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังได้หา รือเกี่ยวกับการติดตามเงินค้างชำระให้ภาคเอกชนไทยจากการดำเนินโครงการก่อสร้างต่าง ๆ ในกาตาร์ ซึ่งฝ่ายกา ตาร์รับจะเร่งรัดติดตามผลให้ต่อไป 3. การพบปะหารือกับผู้บริหารของ Qatar Investment Authority (QIA) ซึ่งเป็นองค์กรบริหารเงินลงทุน Sovereign Wealth Fund ของกาตาร์ โดยผู้บริหาร QIA แจ้งว่ามีความประสงค์จะลงทุนด้านอุตสาหกรรมอาหารใน ประเทศไทย แต่ยังมีความกังวลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 และสิทธิการถือ ครองที่ดินของชาวต่างชาติ รวมทั้งไม่มั่นใจนโยบายส่งออกสินค้าเกษตรของไทย ต่อข้อกังวลดังกล่าวรัฐมนตรีว่า กระทรวงการต่างประเทศของไทยรับที่จะเร่งรัดให้มีการลงนามความตกลงเพื่อยกเว้นการจัดเก็บภาษีซ้อน พร้อม ทั้งสนับสนุนให้หน่วยงานไทยที่เกี่ยวข้องได้มีการหารือเกี่ยวกับข้อจำกัดของพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของ คนต่างด้าว พ.ศ. 2542 4. การพบปะกับนักธุรกิจไทยที่ดำเนินธุรกิจในกาตาร์ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภาคการก่อสร้าง โดยนักธุรกิจ ไทยได้ขอให้หยิบยกปัญหาเกี่ยวกับความยุ่งยากซ้ำซ้อนในการนำคนงานไปทำงาน ในโครงการของคนไทยในต่าง ประเทศกับกระทรวงแรงงาน และติดตามเงินค้างชำระค่าจ้างจากฝ่ายกาตาร์ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 520 | (ร่าง) แผนพัฒนาการศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษจังหวัดชายแดนภาคใต้ (พ.ศ. 2552 - 2555) | ศธ | 29/09/2552 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบ (ร่าง) แผนพัฒนาการศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษจังหวัดชายแดนภาคใต้ (พ.ศ. 2552-2555) มีสาระสำคัญเพื่อมุ่งจัดการศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษาชาติ สร้างโอกาสในการประกอบอาชีพและพัฒนาพื้นที่ โดยยึดแนวทางหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และ "เข้า ใจ เข้าถึง พัฒนา" ตลอดจนหลักคุณธรรมนำความรู้ การมีส่วนร่วมของชุมชนและองค์กรศาสนา เพื่อสร้างสันติสุขและ เสริมสร้างความมั่นคงในพื้นที่ภายใต้ความหลากหลายทางวัฒนธรรม สอดคล้องกับวิถีชีวิต และเชื่อมโยงสู่ประชาคม อาเซียนและประชาคมโลก ภายในปี พ.ศ. 2555 และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในและนอกกระทรวงศึกษาธิการนำ (ร่าง) แผน ฯ ไปสู่การปฏิบัติ รวมทั้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาประสานการนำแผนสู่การปฏิบัติ ติดตาม ประเมินผล และรายงานต่อคณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และตามที่รัฐมนตรีว่า การกระทรวงศึกษาธิการเสนอขอเพิ่มมาตรการในส่วนยุทธศาสตร์และมาตรการเร่งด่วน ดังนี้ "ข้อที่ 5. ปรับระบบการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพ 5.1 ให้มีการบริหารจัดการศึกษาอย่างบูรณาการเพื่อให้มีเอกภาพ ให้มีคณะกรรมการบริหาร การศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีผู้บริหารระดับสูงเป็นประธาน ฯ มีอำนาจสั่งการ รับผิดชอบทั้งด้านบริหาร งานบุคคล บริหารงบประมาณ บริหารวิชาการ และบริหารทั่วไป เพื่อให้สามารถประสานการดำเนินงานในการขับ เคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์ของรัฐและกระทรวง ตลอดจนกำกับ ติดตามการพัฒนาการศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษ จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้บรรลุตามเป้าหมาย" 2. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานสภา ความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับ การนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่ทันสมัยมาใช้ ส่งเสริมการศึกษาให้กระจายอย่างทั่วถึง สร้างโอกาสและ พัฒนากระบวนการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ สร้างเครือข่ายเยาวชนกับการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์เพื่อให้เกิดการประสาน และใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลเพื่อพัฒนาระบบการเรียนการสอน การให้ความสำคัญกับมาตรการส่งเสริมการศึกษา เพื่อความมั่นคง โดยเฉพาะการสร้างความร่วมมือและใช้ประโยชน์จากนักศึกษาไทยมุสลิมในต่างประเทศ และปัญญา ชนในพื้นที่เพื่อเป็นฐานเครือข่ายในการมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาและพัฒนาท้องถิ่น ตลอดจนการให้ความสำคัญเร่งด่วน กับการสร้างโอกาสทางการศึกษากับกลุ่มเด็กกำพร้าทั้งที่ได้รับผลกระทบและไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความ ไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ การกำหนดกลยุทธ์และแนวทางพัฒนาการศึกษาในแต่ละพื้นที่ให้ชัดเจนสอด คล้องกับศักยภาพของพื้นที่ รวมทั้งการกำหนดตัวชี้วัดเป้าหมายที่ชัดเจนทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพเพื่อกำกับการ ดำเนินงานตามแผนดังกล่าวให้บรรลุวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และสามารถประเมินผลได้อย่างเป็นรูป ธรรม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
