ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 22 จากทั้งหมด 55 หน้า แสดงรายการที่ 421 - 440 จากข้อมูลทั้งหมด 1084 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 421 | ยุทธศาสตร์และแผนงานเชิงรุกของรัฐบาลในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น | นร | 08/05/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. รายงานผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๕ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบยุทธศาสตร์ แนวทาง และแผนงานเชิงรุกของรัฐบาลในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยเฉพาะการร่วมกันปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาหน่วยงานของตนเองให้มีความโปร่งใส สรุปได้ ดังนี้
๑. ยุทธศาสตร์ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น แบ่งออกเป็น ๖ แนวทางหลักและอื่น ๆ ดังนี้ ๑.๑ การปลุกจิตสำนึกและสร้างความตระหนักรู้ (Awareness Building Approach) มุ่งเน้นการสร้างจิตสำนึกและทัศนคติเชิงบวกในการสร้างภูมิคุ้มกันและความเข้มแข็งให้กับสังคมไทย ครอบคลุมทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ควบคู่ไปกับการปลูกฝัง สร้างค่านิยมที่อยู่บนพื้นฐานความถูกต้อง โดยอาศัยกลไกของสังคมเป็นการลงโทษผู้กระทำผิดหรือทุจริตคอร์รัปชั่น ๑.๒ การพัฒนาองค์การ (Organization Development Approach) มุ่งเน้นการพัฒนาองค์การทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้เป็นองค์การสีขาว มีการดำเนินการป้องกันและลดความเสี่ยงที่เป็นช่องทางให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่น ตลอดจนวางระบบคัดกรองบุคคลเข้าสู่ตำแหน่งในระบบราชการที่คำนึงถึงความมีเหตุผลทางคุณธรรม (Moral Reasoning) หรือความสามารถทางด้านจริยธรรม (Ethicability) ๑.๓ การเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วม (Participatory Approach) มุ่งเน้นการสร้างความโปร่งใสในกระบวนการดำเนินงานของภาครัฐ โดยเฉพาะการจัดซื้อจัดจ้างของทางราชการ ซึ่งตั้งอยู่บนหลักการเปิดเผยและมีส่วนร่วม อันจะทำให้ภาคส่วนอื่นในสังคมได้เข้ามามีส่วนรับรู้ ตรวจสอบหรือร่วมในกระบวนการใด ๆ เพื่อให้กลไกการดำเนินการมีความถูกต้องชอบธรรม โปร่งใส และน่าเชื่อถือ ๑.๔ การปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย (Legal Approach) มุ่งเน้นการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายให้เป็นเครื่องมือป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนยกระดับมาตรฐานกฎหมายด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นของไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต (UNCAC) รวมถึงการแก้ไขกฎหมายลำดับรองที่เอื้อไปสู่พฤติกรรมการทุจริตคอร์รัปชั่นในวงราชการ ๑.๕ การตรวจสอบ เฝ้าระวังเชิงรุก (Surveillance Approach) มุ่งเน้นการวางกลไกการตรวจสอบและเฝ้าระวังในเชิงรุก ทั้งกลไกการเฝ้าระวังของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน กลไกการตรวจสอบตามกฎหมาย ตลอดจนการเชื่อมโยงและบูรณาการการรับแจ้งเบาะแสและเรื่องร้องเรียนให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด รวมถึงการวางระบบข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวกับการต่อต้านการทุจริตประพฤติมิชอบ ๑.๖ การปราบปรามที่จริงจังและการลงโทษที่เข้มงวด (Suppression Approach) มุ่งเน้นการดำเนินการปราบปรามการทุจริตอย่างจริงจัง รวมถึงการกำหนดมาตรการในการลงโทษที่เข้มงวดและรุนแรงขึ้น เพื่อให้ทุกภาคส่วนเกิดความตื่นตัว และเกรงกลัวต่อการประพฤติที่มิชอบ ๑.๗ อื่น ๆ เช่น การร่วมมือทางวิชาการกับรัฐบาล หรือองค์การระหว่างประเทศ และอื่น ๆ เกี่ยวกับการต่อต้านการทุจริตประพฤติมิชอบ เป็นต้น ๒. แผนงานเชิงรุกของรัฐบาลในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น เป็นการดำเนินการในระยะแรกที่คาดว่าจะก่อให้เกิดผลสำเร็จเร็วและก่อให้เกิดผลต่อเนื่องในระยะต่อไป โดยมุ่งเน้นการดำเนินงานภายใต้ ๔ แนวทาง ดังนี้ ๒.๑ การปลุกจิตสำนึกและสร้างความตระหนักรู้ ได้แก่ การสร้างข้าราชการไทยหัวใจสีขาว การมอบรางวัลเพื่อเชิดชูเกียรติและกำหนดบัญชีรายชื่อข้าราชการที่มีความซื่อสัตย์สุจริต หรือมีผลงานในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น และการติดเครื่องหมายสัญลักษณ์แสดงการอาสาต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น ๒.๒ การพัฒนาองค์การ ได้แก่ การสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการ (Clean Initiative Program) และการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น ๒.๓ การตรวจสอบ เฝ้าระวังเชิงรุก โดยการจัดตั้งศูนย์ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น (Anti - Corruption War Room) ๒.๔ การปราบปรามที่จริงจังและการลงโทษที่เข้มงวด โดยการประกาศลงโทษผู้กระทำผิดการทุจริตคอร์รัปชั่น ๓. กำหนดจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ “ยุทธศาสตร์ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น” ในวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ณ ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ โดยเชิญคณะรัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการ ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้บริหารการเปลี่ยนแปลงระดับกรมและจังหวัด ตลอดจนผู้แทนจากภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาคท้องถิ่น เข้าร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการฯ ดังกล่าว
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 422 | การจัดประชุมสามัญประจำปีสมาคมอัยการระหว่างประเทศ ครั้งที่ 17 | อส | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้สำนักงานอัยการสูงสุดเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมคณะกรรมการบริหารสมาคมอัยการระหว่างประเทศ (The Executive Committee Meeting) ระหว่างวันที่ ๒๗ - ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๕ ณ โรงแรม Royall Cliff Beach Resort เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี และการจัดการประชุมสามัญประจำปีสมาคมอัยการระหว่างประเทศ ครั้งที่ ๑๗ (The 17th IAP Annual Conference and General Meeting) ระหว่างวันที่ ๒๘ ตุลาคม - ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ณ บางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ (Bangkok Convention Center at Centralworld) กรุงเทพมหานคร ในนามราชอาณาจักรไทย สำหรับวัตถุประสงค์ของการจัดการประชุมฯ มีดังนี้ ๑.๑ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินงานของสมาคมอัยการระหว่างประเทศ เสริมสร้างความร่วมมือระหว่างพนักงานอัยการในระดับผู้บริหาร ๑.๒ เพื่อส่งเสริมกระบวนการการดำเนินคดีอาญาให้มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ยุติธรรม และเป็นกลาง ตลอดจนส่งเสริมมาตรฐานและหลักเกณฑ์ระดับสูงในการบริหารจัดการงานยุติธรรมทางอาญา รวมถึงกระบวนการในการป้องกันหรือจัดการปัญหาความผิดพลาดในหลักนิติธรรม ๑.๓ เพื่อช่วยเหลืออย่างเป็นสากลให้กับพนักงานอัยการในการต่อสู้กับองค์กรอาชญากรรมหรืออาชญากรรมร้ายแรงอื่น ๆ ในแง่มุมของการดำเนินคดีอย่างเหมาะสม เป็นอิสระ รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ๑.๔ เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือ และสัมพันธ์อันดีระหว่างพนักงานอัยการระดับบุคคล ระดับสำนักงาน ระดับระหว่างประเทศ ตลอดจนองค์การระหว่างประเทศ และหน่วยงานยุติธรรมอื่น ๆ เพื่อประโยชน์ในการแลกเปลี่ยน และการเผยแพร่ข้อมูล ความรู้ ความชำนาญ และประสบการณ์ระหว่างกัน และเพื่อสนับสนุนการใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศให้มีข้อมูลข่าวสารอย่างเพียงพอและคล่องตัวในการปราบปรามอาชญากรรมต่าง ๆ ให้สำเร็จบรรลุผล ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรุงเทพมหานคร ให้ความช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 423 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา เรื่อง ผลการบังคับใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 | สว | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของคณะกรรมาธิการพัฒนาสังคมและกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา เรื่อง ผลการบังคับใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ พร้อมข้อสังเกตและข้อเสนอแนะกับผลการดำเนินการตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยในส่วนข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ควรมีการแก้ไขบทบัญญัติของพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ โดยเฉพาะคำนิยามที่มีความบกพร่อง ไม่ชัดเจน คลุมเครือ ๒. ต้องมีการออกกฎหมายลำดับรองเพื่อบัญญัติและกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการแนวทางปฏิบัติของเจ้าหน้าที่แต่ละหน่วยงานขึ้นมา และควรจัดทำคู่มือของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในกระบวนการยุติธรรม ตลอดจนสรุปข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนาปรับปรุงการดำเนินงานช่วยเหลือผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ๓. ต้องออกกฎหมายกำหนดให้หน่วยงานและบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมที่ปฏิบัติงานคุ้มครองช่วยเหลือบุคคลที่ได้รับความรุนแรงในครอบครัวหรือทีมสหวิชาชีพ มีบทบาทที่ชัดเจน และควรมีการจัดฝึกอบรมผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานทุกหน่วยงาน ๔. ต้องมีกฎหมาย ระเบียบวิธีปฏิบัติหรือคำสั่งที่บังคับหรือส่งเสริมและสนับสนุนให้ศาลออกคำสั่งกำหนดการมาตรการหรือวิธีการเพื่อบรรเทาทุกข์ตามมาตรา ๑๐ ๕. ควรปฏิรูปบุคลากรในหน่วยงานของกระบวนการยุติธรรมที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ให้มีความเข้าใจในกฎหมายและให้ปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย อีกทั้งนำกฎหมายไปบังคับใช้อย่างจริงจัง รวมทั้งต้องทำงานให้สอดคล้องกันและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ๖. รัฐต้องส่งเสริมศักยภาพโดยเฉพาะด้านงบประมาณให้แก่หน่วยงานภาครัฐและองค์กรภาคเอกชนให้ทำงานกันอย่างใกล้ชิดในการป้องกันและยุติปัญหาความรุนแรงในครอบครัว โดยการรณรงค์ปรับเปลี่ยนทัศนคติและการเลือกปฏิบัติของประชาชน ๗. พนักงานสอบสวนควรทำความเข้าใจกฎหมาย ปรับปรุงรูปแบบการทำงานทัศนคติและวิธีการดำเนินคดี ๘. สำนักงานอัยการสูงสุดต้องออกระเบียบการดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ ขึ้นมาบังคับใช้ ๙. สำนักงานศาลยุติธรรมต้องมีการคัดเลือกและอบรมผู้พิพากษาให้มีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ๑๐. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ควรมีการจัดอบรมเผยแพร่และให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๐ แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง กว้างขวาง และครอบคลุมทุกพื้นที่เท่าที่สามารถทำได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 424 | ร่างพระราชบัญญัติองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก พ.ศ. .... | กห | 02/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้จัดตั้งองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก เรียกโดยย่อว่า “อผศ.” มีฐานะเป็นนิติบุคคล และเป็นองค์การของรัฐเพื่อการกุศล แต่มิใช่รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ และให้ อผศ. มีสำนักงานใหญ่ในกรุงเทพมหานคร และอาจตั้งสำนักงานสาขาหรือสำนักงานตัวแทนขึ้น ณ ที่ใดก็ได้ ๒. กำหนดให้ อผศ. มีรายได้จากเงินอุดหนุนจากงบเงินอุดหนุนของกระทรวงกลาโหม เงินที่รัฐบาลกำหนดให้เป็นครั้งคราว เงินผลประโยชน์และค่าธรรมเนียม อผศ. ตลอดจนเงินและทรัพย์สินอย่างอื่นซึ่ง อผศ. ได้รับบริจาค ๓. กำหนดองค์ประกอบของสภาทหารผ่านศึก วาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง อำนาจหน้าที่ และการประชุม ๔. กำหนดให้รัฐมนตรีเป็นผู้แต่งตั้งและถอดถอนผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการ โดยความเห็นชอบของสภากลาโหม และให้ผู้อำนวยการเป็นผู้บริหารกิจการของ อผศ. ตลอดจนมีอำนาจตามที่กำหนด ๕. กำหนดให้มีตราเครื่องหมายของ อผศ. โดย อผศ. อาจจัดทำเหรียญและเข็มของ อผศ. เพื่อเป็นเครื่องหมายประดับสำหรับบุคคลที่เกี่ยวข้องหรือมีอุปการคุณในกิจการของ อผศ. ๖. กำหนดบทลงโทษ สำหรับผู้ใช้ชื่อหรือถ้อยคำในประการที่น่าจะทำให้ประชาชนเข้าใจว่าเป็นกิจการของ อผศ. หรือเกี่ยวเนื่องกับกิจการ ผู้ใช้ตราเครื่องหมายของ อผศ. โดยไม่มีสิทธิใช้หรือทำตราเครื่องหมายโดยมิได้รับอนุญาต ทำปลอมหรือเลียนแบบคล้ายคลึงตราหรือรอยตราเครื่องหมาย และผู้ใช้เหรียญหรือเข็มอันเป็นเครื่องหมายประดับของ อผศ. โดยไม่มีสิทธิให้รับโทษตามที่กำหนด
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 425 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา เรื่อง การส่งเสริมและสนับสนุนให้สหกรณ์เป็นวาระแห่งชาติในโอกาสทศวรรษครบ 100 ปี ของการสหกรณ์ไทย | สว | 29/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา เรื่อง การส่งเสริมและสนับสนุนให้สหกรณ์เป็นวาระแห่งชาติในโอกาสทศวรรษครบ๑๐๐ ปี ของการสหกรณ์ไทย และผลการดำเนินการตามรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการดังกล่าว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เมื่อคณะรัฐมนตรีประกาศให้สหกรณ์เป็นวาระแห่งชาติแล้ว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะมีแนวทางดำเนินการใน ๔ ประเด็นหลัก คือ ๑.๑ การพัฒนาและขับเคลื่อนการรวมกลุ่มในชนบทให้เป็นฐานรากที่สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดยมีองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ส่งเสริม สนับสนุน โดยการจัดระเบียบกลุ่มต่าง ๆ ให้มาใช้วิธีการสหกรณ์เป็นแนวทางการดำเนินงาน มีองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นในระดับตำบลเป็นศูนย์กลางในการบูรณาการการจัดระบบการผลิตด้านการเกษตร การประกันภัยพืชผลการเกษตร ดูแลปัญหาที่ดินที่ทำกินและดูแลสวัสดิการเบื้องต้น เพื่อให้การบริหารท้องถิ่นในระดับตำบลนำระบบสหกรณ์มาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ๑.๒ ผลักดันให้กำหนดหลักสูตรสหกรณ์ไว้ในหลักสูตรการเรียนการสอน และการศึกษาอบรมผู้นำและผู้บริหารทุกระดับ โดยการจัดตั้งคณะทำงานระดับชาติ ยกร่างหลักสูตรเกี่ยวกับสหกรณ์สำหรับการเรียนรู้ทั้งในระบบและนอกระบบในแต่ละระดับให้เหมาะสม ๑.๓ ปฏิรูปโครงสร้างหน่วยงานภาครัฐให้เป็นเอกภาพและมีส่วนร่วมจากขบวนการสหกรณ์ โดยหน่วยงานภาครัฐควรมุ่งในการพัฒนาและกำกับมาตรฐานสหกรณ์เพื่อก้าวสู่ความเป็นสากล ปฏิรูปสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย ให้มีองค์ประกอบทางวิชาการมากขึ้น พร้อมกับขยายภารกิจไปสู่ภูมิภาคให้มากขึ้น มีการสร้างเครือข่ายความร่วมมืออย่างทั่วถึงและครอบคลุมทั้งกระบวนการ ๑.๔ รัฐต้องให้การสนับสนุนงบประมาณและการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยการสนับสนุนการขับเคลื่อนตามแผนพัฒนาสหกรณ์ สนับสนุนการศึกษาวิจัยด้านสหกรณ์และผลักดันให้การพัฒนาระบบสหกรณ์อยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องและยั่งยืน ๒. ควรสนับสนุนและผลักดันให้ระบบสหกรณ์เป็นกลไกในการพัฒนาประเทศไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ อย่างเป็นรูปธรรมในทุกระบบที่เกี่ยวข้อง และเพิ่มกิจกรรมรณรงค์ให้ประชาชนรู้ถึงประโยชน์ความสำคัญของสหกรณ์ และสมาชิกสหกรณ์มีส่วนร่วมในการดำเนินงานอย่างแท้จริงและยั่งยืน สำหรับแนวทางในการปฏิรูปโครงสร้างหน่วยงานภาครัฐให้เป็นเอกภาพและมีส่วนร่วมจากสหกรณ์ ได้จ้างมหาวิทยาลัยบูรพาศึกษาความเป็นไปได้และความเหมาะสมในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของหน่วยงานที่กำกับ ดูแลและพัฒนาสหกรณ์ ผลการศึกษาพบว่า ควรเป็นหน่วยงานภาครัฐในระดับทบวงสหกรณ์ ซึ่งจะได้เสนอรายงานผลการศึกษาให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาในโอกาสต่อไป รวมทั้งจะผลักดันการขับเคลื่อนผ่านแผนพัฒนาการสหกรณ์ ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙) ซึ่งขณะนี้คณะกรรมการพัฒนาการสหกรณ์แห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๕๓ กำลังดำเนินการอยู่
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 426 | ปัญหาหมอกควันในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือ | มท | 29/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานการดำเนินการแก้ไขปัญหาหมอกควันในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ (เรื่อง ปัญหาหมอกควันในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือ) โดยแจ้งให้จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน น่าน แพร่ พะเยา และตาก เร่งดำเนินการตามมาตรการแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่า ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ อย่างจริงจัง โดยให้มีการบูรณาการจากทุกภาคส่วน ดังนี้
๑. ให้มีการบูรณาการแผนการทำงานทั้งระดับจังหวัด/กลุ่มจังหวัด และตามยุทธศาสตร์/มาตรการแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่า ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ อย่างจริงจัง ๒. ให้รณรงค์ประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือจากหน่วยงานราชการ ภาคเอกชน ผู้นำท้องที่ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาชนในพื้นที่ ร่วมกันตระหนักในผลกระทบที่มีต่อสภาพแวดล้อม สุขภาพร่างกายของประชาชน รวมถึงบรรยากาศด้านการท่องเที่ยว ๓. มีการกำหนดโซนให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบและร่วมกันดูแลป้องกันและควบคุมไม่ให้เกิดการเผาป่าอย่างเคร่งครัดและจริงจัง ๔. ให้ปรับแนวทางปฏิบัติโดยให้อำเภอประสานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน รณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนฉีดพ่นน้ำในพื้นที่บ้านเรือนและพื้นที่ปลูกต้นไม้หน้าบ้านพักอาศัย สวนสาธารณะ สวนหย่อม บริเวณทางลอด ทางร่วม ทางแยก และแหล่งก่อให้เกิดมลพิษทางด้านอากาศอื่น ๆ ๕. ให้จังหวัดรายงานสถานการณ์หมอกควันต่อนายกรัฐมนตรีทุกวันจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น ๖. สำหรับการรายงานสถานการณ์ไฟไหม้ป่าและหมอกควันในพื้นที่ และการรายงานผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาของจังหวัด จังหวัดยังคงต้องรายงานให้กระทรวงมหาดไทยทราบทุกวันจันทร์ของสัปดาห์เช่นเดิม
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 427 | แผนงานส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และการธำรงไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติในระดับพื้นที่ | มท | 29/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแผนงานส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และการธำรงไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติในระดับพื้นที่ และให้ทุกส่วนราชการให้ความร่วมมือและเป็นเจ้าภาพร่วมในการดำเนินการกับกระทรวงมหาดไทย ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยแผนงานส่งเสริมการปกครองฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนเกิดความตระหนักเกิดแรงบันดาลใจ จิตสำนึก และร่วมกันในการธำรงรักษาไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติ และเกิดความเข้าใจในหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างถูกต้อง เพื่อสร้างสังคมแห่งความสงบสุข ปรองดองและสมัครสมานสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยมีแนวทางการดำเนินงาน ดังนี้
๑. เสริมสร้างความเข้าใจร่วมกันของประชาชนในชาติให้ยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และการสร้างจิตสำนึกความเป็นชาติ ความรู้สึกหวงแหนความเป็นชาติในการพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติ เป็นการเผยแพร่ความเข้าใจที่ถูกต้องในหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดย ๑.๑ จังหวัดโดยผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นแกนหลักในการบูรณาการส่วนราชการ และหน่วยงานในพื้นที่เพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจไปสู่ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐในพื้นที่ ผู้ปกครองท้องที่ (กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ) ผู้บริหารและสมาชิกสภาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เด็กและเยาวชนในสถานศึกษาและนอกสถานศึกษา กลุ่มอาสาสมัคร องค์กรภาคประชาชน และประชาชนทั่วไปในพื้นที่ ๑.๒ ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ สอดแทรกเนื้อหาเข้าไปในหลักสูตรการฝึกอบรมประชุมสัมมนาในทุกระดับที่ส่วนราชการและหน่วยงานรัฐจัดขึ้น ๒. การสร้างความตระหนักและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นการน้อมนำแนวพระราชดำริในด้านต่าง ๆ ไปสู่การปฏิบัติให้บังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้ประชาชนในชาติมีความตระหนักในพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีต่อประเทศไทย โดยจังหวัดมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นแกนหลักในการบูรณาการส่วนราชการและหน่วยงานในพื้นที่จังหวัด ๒.๑ ร่วมเผยแพร่และสร้างความตระหนักให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐในพื้นที่ ผู้ปกครองท้องที่ (กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ) ผู้บริหารและสมาชิกสภาขององค์กรปกครองท้องถิ่น เด็กและเยาวชนในสถานศึกษาและนอกสถานศึกษา กลุ่มอาสาสมัคร องค์กรภาคประชาชนและประชาชนทั่วไปในพื้นที่ ได้รับรู้และตระหนักถึงพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีต่อประชาชนในพื้นที่จังหวัด ๒.๒ ส่งเสริมและขยายผลการดำเนินการตามแนวพระราชดำริในพื้นที่ เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม ๒.๓ ให้มีศูนย์เรียนรู้พระราชกรณียกิจของสถาบันพระมหากษัตริย์ในทุกอำเภอเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้และขยายผลโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเพื่อให้เด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไปได้เรียนรู้และเกิดความตระหนักในคุณูปการของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีต่อประชาชนในทุกพื้นที่ |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 428 | มาตรการลดใช้พลังงานภาครัฐ | พน | 20/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการลดใช้พลังงานภาครัฐ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดเป้าหมายของมาตรการลดใช้พลังงานลงให้ได้อย่างน้อย ๑๐% ๑.๒ มาตรการระยะสั้น ๑.๒.๑ ให้ตัวชี้วัด (Key Performance Index : KPI) “ระดับความสำเร็จของการดำเนินการตามมาตรการประหยัดพลังงาน” เป็นหนึ่งในกรอบการประเมินผลการปฏิบัติราชการต่อไป โดยเริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๒.๑.๑ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. กำหนดให้ผลการประหยัดพลังงานเป็นตัววัดประสิทธิภาพของปลัดกระทรวง อธิบดี ผู้บริหารระดับสูงของทุกหน่วยงาน รวมถึงรัฐวิสาหกิจ องค์การปกครองท้องถิ่น หน่วยงานตุลาการ หน่วยงานรัฐสภา และโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยเริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๒.๑.๒ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานร่วมกันพิจารณากำหนดเกณฑ์ที่จะใช้สำหรับการประเมินผล ๑.๒.๑.๓ ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานเป็นเจ้าภาพหลักในการติดตามผลและรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบ ๑.๒.๒ ลดการใช้พลังงานลงอย่างน้อยร้อยละ ๑๐ ๑.๒.๒.๑ ให้ทุกหน่วยงานกำหนดเป้าหมายลดการใช้ไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงลงร้อยละ ๑๐ โดยเทียบกับปริมาณการใช้ไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ๑.๒.๒.๒ ถ้าหน่วยงานใดมีผลการใช้ไฟฟ้าและหรือน้ำมันเชื้อเพลิงในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ เพิ่มขึ้น จากปริมาณการใช้ไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยไม่มีเหตุผลสมควร หน่วยงานนั้นต้องลดการใช้พลังงานลง ๑๕% จากปริมาณการใช้ไฟฟ้าและหรือน้ำมันเชื้อเพลิงของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ ๑.๒.๒.๓ ดำเนินการตามแนวทางประหยัดพลังงานในหน่วยงานภาครัฐ ๑.๒.๒.๔ มาตรการลดใช้ไฟฟ้า ได้แก่ การจัดซื้ออุปกรณ์/เครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมดต้องเป็นอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน การกำหนดเวลาเปิดปิดเครื่องปรับอากาศ เช่น ๐๘.๓๐ - ๑๖.๓๐ น. และปรับอุณหภูมิให้อยู่ที่ ๒๕ - ๒๖ องศาเซลเซียส รวมถึงตั้งงบประมาณล้างเครื่องปรับอากาศเป็นประจำทุก ๖ เดือน โดยห้ามปรับเปลี่ยนงบประมาณไปใช้ในเรื่องอื่น และการกำหนดการใช้ลิฟต์ให้หยุดเฉพาะชั้น เช่น การหยุดเฉพาะชั้นคู่หรืออาจจะสลับให้มีการหยุดเฉพาะชั้นคี่ และปิดลิฟต์บางตัวในช่วงเวลาที่มีการใช้งานน้อย และรณรงค์ขึ้น - ลงชั้นเดียวไม่ใช้ลิฟต์ ๑.๒.๒.๕ มาตรการลดใช้น้ำมัน ได้แก่ ให้มีระบบ Car Pool : หน่วยราชการระดับกรมที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันให้จัดระบบการใช้รถแบบรวมศูนย์เพื่อให้มีการใช้รถอย่างประหยัดและประสิทธิภาพสูง กำชับพนักงานขับรถยนต์ให้ขับรถในอัตราความเร็วยานพาหนะที่พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ กำหนด รวมทั้งรถเบนซินราชการและรัฐวิสาหกิจทุกคันในจังหวัดที่มีก๊าซโซฮอล์จำหน่าย ต้องใช้ก๊าซโซฮอล์ และหากมี NGV จำหน่ายให้ติดตั้ง NGV ควบคู่ไปด้วย โดยเมื่ออยู่ในพื้นที่ที่มี NGV ให้เติม NGV และอยู่นอกพื้นที่ให้เติมก๊าซโซฮอล์ ๑.๓ มาตรการระยะยาว ๑.๓.๑ กำหนดให้ “อาคารของรัฐที่เข้าข่ายเป็นอาคารควบคุม” ก่อนปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประมาณ ๘๐๐ แห่ง เร่งปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานไม่ให้เกิน “ค่ามาตรฐานการจัดการใช้พลังงาน” ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อเป็นตัวอย่างในการจัดการอาคารของเอกชนที่เข้าข่ายเป็นอาคารควบคุม ๑.๓.๒ ให้สำนักงบประมาณจัดทำข้อกำหนดและเงื่อนไขเพื่อหน่วยงานราชการสามารถจัดซื้ออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าหรือยานพาหนะใหม่มาใช้ทดแทนของเดิมที่มีอายุการใช้งานมานาน เสื่อมสภาพ และสิ้นเปลืองพลังงาน รวมถึงการจัดการอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าหรือยานพาหนะเดิม เพื่อมิให้มีการนำไปใช้ในที่อื่น โดยการจัดการนั้นต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วย ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นถือปฏิบัติและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป และให้กระทรวงพลังงานขอความร่วมมือภาคเอกชนในการประหยัดการใช้พลังงานด้วย ทั้งนี้ ให้ทุกหน่วยงานรับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย ดังนี้ ๒.๑ การลดการใช้พลังงานมุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ให้เกิดความประหยัดเท่าที่จำเป็น โดยมิได้มุ่งที่จะตัดทอนรายการค่าใช้จ่ายโดยตรง ๒.๒ การใช้วิธีการเปลี่ยนอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีอายุใช้งานมานาน เสื่อมสภาพ หรือชำรุดแทนวิธีการซ่อมบำรุงของเดิมอาจช่วยให้สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่า ๒.๓ กรณีหน่วยงานใดพบว่ามีอัตราการใช้พลังงาน (เช่น ค่าน้ำและค่าไฟฟ้า) เพิ่มสูงขึ้นมากเป็นลำดับ ควรเร่งตรวจสอบอุปกรณ์และระบบสาธารณูปโภคของหน่วยงาน แล้วดำเนินการแก้ไขปรับปรุงเพื่อลดการใช้พลังงานต่าง ๆ โดยเร็ว ๓. ให้กระทรวงพลังงานร่วมกับสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการติดตามและประเมินผลการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 429 | การแก้ไขปัญหาหมอกควันในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน | นร | 13/03/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาหมอกควันในพื้นที่ ๘ จังหวัดภาคเหนือตอนบน ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล) ในฐานะที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่เขตตรวจราชการที่ ๑๕ (จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง และแม่ฮ่องสอน) และเขตตรวจราชการที่ ๑๖ (จังหวัดเชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน) ได้จัดประชุมติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งมอบนโยบายเพื่อเร่งรัดให้มีการแก้ไขปัญหาหมอกควันให้ลดลงโดยเร็วในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง และแม่ฮ่องสอน ระหว่างวันที่ ๖ - ๗, ๑๐ และ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามลำดับ โดยได้จัดกิจกรรมรณรงค์ลดปัญหาหมอกควัน “หยุดเผาเพื่อลมหายใจ” (NO BURN) ในทั้ง ๘ จังหวัดภาคเหนือตอนบน และกำหนดมาตรการเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาหมอกควัน ซึ่งหลังจากการดำเนินกิจกรรมและมาตรการเร่งด่วนแล้ว พบว่าปริมาณการเผาและหมอกควันสามารถควบคุมได้และเริ่มทรงตัว ยกเว้นจังหวัดเชียงรายและแม่ฮ่องสอน โดยจังหวัดเชียงรายมีปริมาณหมอกควันเพิ่มขึ้นสูงถึง ๔๓๗ ไมโครกรัม จึงได้จัดให้มีการประชุมแผนปฏิบัติการกับจังหวัดเชียงรายเป็นกรณีพิเศษ เมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๕ และสามารถลดปริมาณการเผาในพื้นที่จังหวัดเชียงรายได้ทั้งหมดจนกระทั่งลดปริมาณหมอกควันเหลือ ๓๒๙ ไมโครกรัม สำหรับจังหวัดแม่ฮ่องสอนมีปริมาณหมอกควันลดลงจาก ๓๕๙ ไมโครกรัม เหลืออยู่ที่ ๒๓๔ ไมโครกรัม เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีชนเผ่าอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และเป็นพื้นที่กว้างยากต่อการติดต่อสื่อสาร ประกอบกับเป็นจังหวัดที่มีชายแดนติดต่อกับประเทศพม่าทำให้มีปริมาณหมอกควันถูกพัดพาเข้ามาเป็นจำนวนมาก จึงทำให้ปริมาณหมอกควันยังอยู่ในเกณฑ์ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน ซึ่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล) จะได้ติดตามและแก้ไขปัญหาต่อไป ๒. ภาพรวมทุกจังหวัดจะมีมาตรการ ดังนี้ ๒.๑ ห้ามมิให้มีการเผาวัชพืช ขยะมูลฝอยทุกชนิด ฝ่าฝืนปรับ ๒,๐๐๐ บาท ๒.๒ ห้ามมิให้มีการเผาป่า ฝ่าฝืนปรับสูงสุดไม่เกิน ๑๕๐,๐๐๐ บาท และจำคุกสูงสุด ๑๕ ปี ๒.๓ ให้ศูนย์เฉพาะกิจควบคุมและแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่าจังหวัด ประชาสัมพันธ์ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า ๑๐ ไมครอน (PM10) และคุณภาพอากาศ (AQI) ทุกวัน ค่าที่เกินมาตรฐานและเป็นอันตรายต่อสุขภาพของพี่น้องประชาชน ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชนดำเนินการฉีดพ่นน้ำเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นในอากาศ เพื่อลดปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า ๑๐ ไมครอน (PM10) จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย ๒.๔ ให้ส่วนราชการทุกส่วนทั้งราชการบริหารส่วนกลางที่มีที่ทำงานตั้งอยู่ในจังหวัด ราชการส่วนภูมิภาค และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้การสนับสนุนการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่า ทั้งในด้านงบประมาณ บุคลากร และเครื่องไม้เครื่องมือในการดับไฟ ๒.๕ ให้สถานีวิทยุและวิทยุชุมชนทุกสถานีออกข่าวประกาศมาตรการแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่าอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะเข้าสู่ฤดูฝน โดยออกอากาศทั้งภาษาไทยและภาษาท้องถิ่น รวมทั้งขอความร่วมมือสถานศึกษาให้จัดทำประกาศจังหวัดเป็นภาษากลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่บนพื้นที่สูง ทุกภาษา เพื่อครอบคลุมการประชาสัมพันธ์มาตรการของจังหวัดดังกล่าว ๒.๖ ให้สาธารณสุขจังหวัดและโรงพยาบาลจัดเตรียมแพทย์และเวชภัณฑ์ให้เพียงพอในการให้บริการแก่ประชาชนกรณีที่ได้รับผลกระทบจากภาวะหมอกควันและไฟป่า ตลอดจนให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพประชาชนในช่วงที่เกิดวิกฤตหมอกควันและไฟป่า ๒.๗ จัดชุดประชาสัมพันธ์เคลื่อนที่รณรงค์และแจ้งเตือนประชาชนขอความร่วมมือในการงดเผาทุกชนิด ทั้งในพื้นที่เกษตรกรรมและในเขตป่าสงวนแห่งชาติและป่าอนุรักษ์อย่างต่อเนื่องจนกว่าจะสิ้นสุดสถานการณ์ปัญหาหมอกควันและไฟป่า ๒.๘ จัดให้มีหน่วยงานและผู้บริหารราชการรับผิดชอบเป็นรายพื้นที่ให้ครอบคลุมทุกอำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ทั้งในพื้นที่เกษตรกรรมของประชาชน รวมถึงพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติและป่าอนุรักษ์ ๒.๙ จัดให้มีอาสาสมัครรณรงค์และช่วยเหลือพนักงานเจ้าหน้าที่ในการดับไฟป่าให้ครอบคลุมทุกพื้นที่
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 430 | การจัดสรรเงินรางวัลและสิ่งจูงใจของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา และการเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษตามโครงการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | สผ | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบในหลักการและแนวทางการจัดสรรเงินรางวัลและสิ่งจูงใจของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา และการเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษตามโครงการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ และเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินการของคณะกรรมการข้าราชการรัฐสภา ตามที่คณะกรรมการข้าราชการรัฐสภา สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ ดังนี้
๑. การประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการรัฐสภา ครั้งที่ ๖/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๓ ได้เห็นชอบให้มีการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ดำเนินการจัดจ้างที่ปรึกษาซึ่งเป็นหน่วยงานภายนอกดำเนินการตามโครงการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ และในการประชุมคณะกรรมการข้าราชการรัฐสภา ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๕ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินรางวัล และสิ่งจูงใจประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ซึ่งหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินรางวัลดังกล่าวจัดสรรเงินรางวัลให้กับผู้บริหารและผู้ปฏิบัติ โดยมีวัตถุประสงค์และแนวทางเช่นเดียวกับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ๒. การดำเนินโครงการประเมินผลการปฏิบัติราชการเพื่อรับเงินรางวัล ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ได้ดำเนินการสอดคล้องกับการดำเนินการของฝ่ายบริหารทุกประการ โดยส่วนราชการสังกัดรัฐสภาใช้เงินเหลือจ่ายที่ส่วนราชการสังกัดรัฐสภาได้ดำเนินงานบรรลุวัตถุประสงค์แล้วมีเงินเหลือจ่ายอย่างแท้จริง รวมทั้งไม่มีหนี้ค่าสาธารณูปโภคค้างชำระและมีงบประมาณเพียงพอสำหรับชดเชยค่างานสิ่งก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) ๓. ส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ซึ่งประกอบด้วยสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรและสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาได้รับอนุมัติให้กันเงินงบประมาณเพื่อจ่ายเป็นค่าตอบแทนพิเศษตามโครงการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภากันเงินไว้ จำนวน ๙,๐๔๖,๘๐๐ บาท และสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรกันเงินไว้ จำนวน ๑๓,๑๕๙,๐๒๐ บาท เพื่อเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 431 | ขออนุมัติหลักการและงบประมาณในการดำเนินโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์พกพา | ศธ | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๑.๑ อนุมัติการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) แบบรัฐต่อรัฐ (G to G) โดยให้ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแต่งตั้งเป็นผู้แทนรัฐบาลไทยในการเจรจากับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ๑.๒ อนุมัติในหลักการให้จัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา ในรูปแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) กับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งเมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๔ รัฐบาลไทยกับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนได้มีบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในสาขาการพัฒนาที่ยั่งยืนในประเทศไทย โดยให้ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศใช้รายละเอียดครุภัณฑ์ คุณลักษณะเฉพาะเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) เป็นหลักในการเจรจากับสาธารณรัฐประชาชนจีน หากมีการเปลี่ยนแปลง ให้ทั้งสองฝ่ายเจรจาตกลงร่วมกันเพื่อหาข้อยุติที่เหมาะสมกับการเรียนการสอน และสอดคล้องกับงบประมาณที่มีอยู่ ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการใช้งานด้วย ๑.๓ อนุมัติให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นผู้ดำเนินการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) จัดวางระบบเครือข่าย Wi-Fi และจัดทำระบบบริหารจัดการที่เกี่ยวข้องกับโครงการฯ โดยให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ดำเนินการพัฒนาหลักสูตร สื่อการเรียนการสอน การพัฒนาบุคลากร และสร้างความเข้าใจ เพื่อการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา ๑.๔ อนุมัติให้สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นหน่วยงานเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ สำหรับจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) ของส่วนราชการต่าง ๆ จำนวนเงิน ๑,๗๙๔,๘๓๒,๘๐๐ บาท ยกเว้นงบประมาณของกรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา เนื่องจากมีกฎหมายเฉพาะ ทั้งนี้ ในส่วนของเงินอุดหนุนที่จัดสรรให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ให้คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้พิจารณาก่อน สำหรับงบประมาณที่ยังขาดอยู่เพื่อการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา และการวางระบบสนับสนุนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการพัฒนาหลักสูตรสื่อการเรียนการสอน และการพัฒนาบุคลากรของส่วนราชการดำเนินงานโครงการ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องขอรับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมตามนโยบายของรัฐบาลต่อไป ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการตามผลการเจรจาและข้อตกลงในการจัดซื้อแบบรัฐต่อรัฐที่จะจัดทำขึ้น ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทวงการต่างประเทศ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการทำสัญญาที่จัดหาในรูปแบบรัฐต่อรัฐ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารควรส่งร่างสัญญาให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาก่อน และในการเจรจาควรแต่งตั้งผู้แทนจากกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานอัยการสูงสุด เข้าร่วมในคณะเจรจาด้วย ส่วนการดำเนินโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์พกพา เห็นควรให้กระทรวงศึกษาธิการและส่วนราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือและให้การสนับสนุนการดำเนินงานแก่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในทุกขั้นตอนของโครงการฯ เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการฯ ให้กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการเกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณและการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์พกพาตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ การดำเนินโครงการฯ ควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาเนื้อหาสาระที่จะบรรจุในคอมพิวเตอร์พกพา เพื่อให้การใช้คอมพิวเตอร์พกพาเป็นเครื่องมือในการเสริมสร้างความรู้และการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนได้อย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด และเร่งเตรียมความพร้อมในการสร้างความรู้ ความเข้าใจการใช้คอมพิวเตอร์พกพาให้กับบุคลากรทั้งผู้บริหาร ครู นักเรียน และบุคลากรทางการศึกษา รวมทั้งสร้างความรู้ ความเข้าใจในเทคโนโลยีสารสนเทศให้กับผู้ปกครองควบคู่ไปด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการข้อมูลเกี่ยวกับโครงการจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์พกพาทั้งหมด ซึ่งเป็นการดำเนินการตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์แก่ประชาชนต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 432 | การเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเป็นวาระจร | นร | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีควรมีจำนวนเรื่องที่คณะรัฐมนตรีจะต้องพิจารณาเหมาะสมกับระยะเวลาที่ใช้ในการประชุมคณะรัฐมนตรีแต่ละครั้ง เพื่อให้การตัดสินใจของคณะรัฐมนตรีเป็นไปอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะไม่ควรเสนอเรื่องมาเพื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาเป็นวาระจร ยกเว้นเฉพาะเรื่องที่มีความจำเป็นเร่งด่วนเกี่ยวกับการแต่งตั้ง โยกย้ายข้าราชการ รวมทั้งการแต่งตั้งผู้บริหาร ประธานกรรมการ กรรมการในหน่วยงานของรัฐ และเรื่องที่มีผลกระทบหรือมีความอ่อนไหว (sensitive) ที่ไม่อาจเปิดเผยล่วงหน้าได้ หรือเรื่องที่เป็นความลับของทางราชการเท่านั้น ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ในการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องส่งเรื่องไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีล่วงหน้าแต่เนิ่น ๆ และให้ถือปฏิบัติตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ และระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ รวมทั้งมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 433 | ขอความเห็นชอบให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสภาหนังสือพิมพ์โลกและการประชุมบรรณาธิการสื่อสิ่งพิมพ์โลก (World Newspaper Congress and World Editors Forum) ปี 2556 | นร | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสภาหนังสือพิมพ์โลกและการประชุมบรรณาธิการสื่อสิ่งพิมพ์โลก (World Newspaper Congress and World Editors Forum) ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่สมาคมหนังสือพิมพ์และองค์กรสื่อสิ่งพิมพ์โลกได้มีหนังสือกราบเรียนนายกรัฐมนตรีขอให้ประเทศไทยพิจารณารับเป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมดังกล่าว ซึ่งในการประชุมประจำปีของสมาคมฯ จะมีบรรณาธิการสื่อสิ่งพิมพ์ ผู้บริหารองค์กรสื่อทั่วโลกกว่า ๑,๐๐๐ คน เข้าร่วมเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ สร้างเครือข่าย ส่งเสริมคุณภาพและเสรีภาพของสื่อ โดยทางสมาคมฯ ได้แจ้งเงื่อนไขเบื้องต้นสำหรับประเทศเจ้าภาพที่จะต้องสนับสนุนการประชุมซึ่งเน้นเสรีภาพในการแสดงออก รวมทั้งการสนับสนุนด้านการรักษาความปลอดภัย ยานพาหนะ การอำนวยความสะดวกในการตรวจลงตรา และการใช้สถานที่สำคัญ ๆ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีของสมาคมฯ จะเป็นโอกาสที่ดีในการประชาสัมพันธ์ประเทศไทยผ่านองค์กรสื่อต่าง ๆ เพื่อเป็นการเสริมสร้างภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นให้กับประเทศไทย ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเสรีภาพของสื่อ ๒. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการจัดตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสำหรับการจัดการประชุมสภาหนังสือพิมพ์โลกและการประชุมบรรณาธิการสื่อสิ่งพิมพ์โลก (World Newspaper Congress and World Editors Forum) ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 434 | การเสนอแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารกองทุนตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 | อก | 22/02/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการบริหารกองทุนตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ จำนวน ๑๒ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้
๑. นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ ผู้แทกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๒. นางอุไร ร่มโพธิหยก ผู้แทนกระทรวงการคลัง ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบบัญชี ๓. นายบุญนริศร์ สุวรรณพูล ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ ๔. นายประเสริฐ ตปนียางกูร ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ๕. นางวีรวรรณ ลือสุทธิวิบูลย์ ผู้แทนสำนักงบประมาณ นักวิเคราะห์งบประมาณเชี่ยวชาญ รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการ สำนักจัดทำงบประมาณด้านเศรษฐกิจ ๑ ๖. นางสาวจีรพรรณ โอฬารธนาเศรษฐ์ ผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้บริหารส่วน ส่วนเศรษฐกิจด้านอุปทาน ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน ๗. นายชัยวัฒน์ คำแก่นคูณ ผู้แทนชาวไร่อ้อย ๘. นายเอกชัย อริยมงคลชัย ผู้แทนชาวไร่อ้อย ๙. นายสุพรรณ ดวงจำปา ผู้แทนชาวไร่อ้อย ๑๐. นายอิสระ ถวิลเติมทรัพย์ ผู้แทนโรงงาน ๑๑. นายสมชาย สุวจิตตานนท์ ผู้แทนโรงงาน ๑๒. นางสาวมณีรัตน์ ไชยพฤทธิพงศ์ ผู้แทนโรงงาน
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 435 | รายงานผลการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ 18 | ทส | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๑๘ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๘ - ๙ ธันวาคม ๒๕๕๔ ณ เมืองเสียมราฐ ราชอาณาจักรกัมพูชา สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ โครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนไซยะบุรี เป็นโครงการพัฒนาไฟฟ้าพลังน้ำในแม่น้ำโขง สายประธานในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวจะต้องดำเนินการตามระเบียบปฏิบัติ ว่าด้วยการปรึกษาหารือกันก่อน (Prior Consultation : PC) ซึ่งกระบวนการปรึกษาหารือดังกล่าวต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๖ เดือน (๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๓ - ๒๒ เมษายน ๒๕๕๔) แต่ประเทศภาคีสมาชิกไม่สามารถหาข้อสรุปร่วมกันได้ เนื่องจากมีความไม่ชัดเจนในผลการศึกษาและมาตรการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนหลายประการ คณะมนตรีฯ จึงได้มีการหารือระหว่างการประชุมผู้นำลุ่มน้ำโขง - ญี่ปุ่น (Mekong - Japan Summit) ครั้งที่ ๓ เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๔ ณ เมืองบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย และมีมติอนุมัติในหลักการให้มีการศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในลุ่มน้ำโขง และแม่น้ำโขงสายประธาน รวมทั้งได้พิจารณาขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นและหุ้นส่วนการพัฒนาอื่น (Development Partners) เพื่อศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาอย่างยั่งยืนในลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ซึ่งประเทศภาคีสมาชิกต้องมีนโยบายที่ชัดเจนในกระบวนการปรึกษาหารือและการเจรจากับรัฐบาลญี่ปุ่นและหุ้นส่วนการพัฒนาอื่น เพื่อกำหนดแนวทางและระยะเวลาการดำเนินการที่เหมาะสม ๑.๑.๒ การประชุมผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่างอย่างไม่เป็นทางการ (Informal MRC Summit) จะมีขึ้นทุก ๆ ๔ ปี โดยการประชุมครั้งแรกมีขึ้นในประเทศไทยเมื่อเดือนเมษายน ๒๕๕๓ (ค.ศ. ๒๐๑๐) ณ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ผลลัพธ์ที่ได้ คือ Hua Hin Declaration ซึ่งเป็นการตกลงร่วมกันว่าประเทศภาคีสมาชิกจะมีการพัฒนาลุ่มน้ำโขงตอนล่างโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคมให้เป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด สำหรับการประชุมครั้งที่ ๒ จะมีขึ้น ณ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ (๒๐๑๔) ซึ่งคณะมนตรีฯ พิจารณาเห็นว่าภารกิจต่าง ๆ ที่ดำเนินการตาม Hua Hin Declaration มีจำนวนมากและการพัฒนาในลุ่มน้ำโขงตอนล่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หากรอให้มีการรายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานต่อการประชุม MRC Summit ครั้งต่อไปอาจนานเกินไป จึงมีมติให้มีเวทีหารือของผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่างอย่างไม่เป็นทางการ (Informal MRC Summit) เป็นครั้งแรก โดยให้เป็นวาระของการประชุมหนึ่งในการประชุม ASEAN Summit ครั้งที่ ๒๐ ณ ราชอาณาจักรกัมพูชา ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ (ค.ศ. ๑๐๑๒) และให้สมาชิกคณะมนตรีคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงนำประเด็นดังกล่าวหารือและขอความเห็นชอบภายในประเทศของตน ๑.๑.๓ คณะมนตรีฯ มีมติอนุมัติงบประมาณในการบริหารองค์กร ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ (Operating Expenses Budget for 2012) เพื่อจ่ายเป็นเงินเดือนและการบริหารงานทั่วไปขององค์กร สำหรับในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๓,๖๑๙,๓๔๖ ดอลลาร์สหรัฐ ๑.๑.๔ คณะมนตรีฯ มีมติเห็นชอบให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้บริหารระดับสูงลุ่มน้ำนานาชาติ - ลุ่มน้ำโขง (Mekong 2 Rio: Mekong to Rio + 20) ระหว่างวันที่ ๑ - ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ณ จังหวัดภูเก็ต เพื่อจัดทำ Mekong Messages นำเสนอผลงาน คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง และการพัฒนาอย่างยั่งยืนในลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ซึ่งเป็นการอนุวัตตามเป้าหมายแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goals : MDG) โดยจะนำเสนอต่อที่ประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๑๒ (Rio + 20) ในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ ณ เมืองริโอ เดอ จาเนโร สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล ๑.๒ เห็นชอบการประสานความร่วมมือกับรัฐบาลญี่ปุ่นและหุ้นส่วนการพัฒนาอื่นในการศึกษาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ๑.๓ เห็นชอบให้มีเวทีหารือผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงพลังงานและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการสนับสนุนให้มีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาอย่างยั่งยืนในลุ่มน้ำโขงตอนล่าง เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับประเทศภาคีสมาชิกในลุ่มน้ำโขง (MRC) นำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาโครงการต่าง ๆ ในลุ่มน้ำโขงให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศภาคีสมาชิกร่วมกันอย่างยั่งยืน สำหรับในการประสานความร่วมมือกับรัฐบาลญี่ปุ่นและหุ้นส่วนการพัฒนาอื่นในการศึกษาเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในลุ่มน้ำโขงตอนล่าง เห็นควรให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหารือกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน และภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทาง ขอบเขต และระยะเวลาการดำเนินการศึกษาที่เหมาะสม รวมทั้งการจัดให้มีเวทีหารือผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่างอย่างไม่เป็นทางการ เห็นควรให้ดำเนินการก่อนการประชุมผู้บริหารระดับสูงลุ่มน้ำนานาชาติ - ลุ่มน้ำโขง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 436 | รายงานสรุปผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐอิสลามปากีสถานของผู้แทนการค้าไทย (นายพิเชษฐ สถิรชวาล) | นร | 07/02/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐอิสลามปากีสถานของผู้แทนการค้าไทย (นายพิเชษฐ สถิรชวาล) ระหว่างวันที่ ๑๙ - ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๔ เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนของไทยและปากีสถาน ประกอบด้วยการหารือข้อราชการกับผู้บริหารระดับสูงของภาครัฐและเอกชนของทั้งสองประเทศ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการหารือกับเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ๑.๑ ฝ่ายปากีสถานได้เสนอให้ไทยพิจารณาการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมทางการค้าระหว่างไทยกับปากีสถาน (Joint Trade Commission : JTC) เพื่อเป็นเวทีการประชุมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งสองฝ่ายได้ร่วมหารือแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นทางการค้า การลงทุน ส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือทางเศรษฐกิจ รวมทั้งการแก้ไขปัญหา หรือลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างกัน ซึ่งผู้แทนการค้าไทยเห็นด้วยในหลักการและได้แจ้งให้ฝ่ายปากีสถานทราบว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีของไทยได้มีมติ (๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔) เห็นชอบการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมทางการค้าไทย - ปากีสถาน เพื่อให้มีการจัดตั้ง JTC ระหว่างไทยกับปากีสถาน ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการให้รัฐมนตรีพาณิชย์ของสองฝ่ายลงนามในบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ๑.๒ ฝ่ายปากีสถานเสนอจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมทางเศรษฐกิจไทย - ปากีสถาน (Thai Pakistani Joint Economic Commission : JEC) ครั้งที่ ๓ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ณ กรุงอิสลามาบัด เพื่อสานต่อความร่วมมือที่ทั้งสองฝ่ายได้เจรจาไว้ในด้านการเปิดตลาดการค้าหรือการลงทุนระหว่างกัน ๑.๓ ฝ่ายปากีสถานได้ให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการขยายความสัมพันธ์ระหว่างสภาธุรกิจไทย - ปากีสถาน และหอการค้าไทย - ปากีสถาน โดยมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลการค้าและการทำธุรกิจระหว่างกันเพิ่มมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจสองฝ่าย ตลอดจนเสริมสร้างความร่วมมือทวิภาคี (ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ ๓๕ ในระยะเวลาสองปีที่ผ่านมา) โดยเฉพาะความร่วมมือทางด้านกิจการร่วมค้า (joint venture) และการแปรรูปอาหาร ๑.๔ ปัจจุบันปากีสถานมีนโยบายเปิดเสรีการค้าบริการที่เปิดกว้างกว่าเดิม เนื่องจากปากีสถานต้องการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ โดยสาขาที่มีศักยภาพในการแข่งขันคือ โทรคมนาคม การเงิน การธนาคาร รวมทั้งการท่องเที่ยว และได้หยิบยกประเด็นเรื่องการศึกษา ความเป็นไปได้ในการเปิดสาขาธนาคารพาณิชย์ของปากีสถานในไทย รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกทางการค้า โดยเฉพาะด้านศุลกากรที่เป็นมาตรฐานสากลอันจะเอื้อประโยชน์ต่อการค้าของสองประเทศ ๒. ผลการหารือกับประธานหอการค้าอิสลามาบัด ฝ่ายปากีสถานได้ขอให้ไทยพิจารณาการจัดBusiness Forum เพื่อเป็นกลไกในการขับเคลื่อนความร่วมมือทางการค้าและการลงทุนระหว่างนักธุรกิจทั้งสองฝ่าย โดยคาดว่าจะสามารถจัดการประชุมดังกล่าวภายหลังที่รัฐมนตรีพาณิชย์ของทั้งสองฝ่ายได้ลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมทางการค้าไทย - ปากีสถาน (JTC) ๓. ผลการหารือกับผู้แทน COMSTECH ซึ่งเป็นหน่วยงานเฉพาะกิจที่ก่อตั้งโดยองค์กรความร่วมมืออิสลาม (OIC) ที่ให้การสนับสนุนนวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์แก่ประเทศสมาชิก และเป็นศูนย์วิจัยและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ ทำหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพและออกใบรับรองมาตรฐานสินค้าฮาลาลที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล โดยผู้แทนการค้าไทยได้ขอรับคำแนะนำจาก COMSTECH เกี่ยวกับแนวทางการดำเนินการที่จะได้รับการสนับสนุนการออกใบรับรองมาตรฐานคุณค่าอาหารฮาลาลของไทย ๔. ผลการหารือกับประธานสมาพันธ์หอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งปากีสถาน (FPCCI) ผู้แทนการค้าไทยได้กล่าวถึงแผนการร่วมทุนในอุตสาหกรรมสับปะรดกระป๋องกับปากีสถานและประเทศมุสลิมอื่น ๆ ภายใต้ชื่อ Mr. Pine รวมทั้งการดำเนินนโยบาย Look West ของไทย ซึ่งเสริมนโยบาย Look East ของปากีสถาน และพร้อมที่จะสนับสนุนปากีสถานให้เข้ามาร่วมมีบทบาทในอาเซียน ๕. ผลการหารือกับรัฐมนตรีอาวุโสว่าการกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับการจัดตั้ง JTC ระหว่างไทยกับปากีสถาน ซึ่งฝ่ายปากีสถานอยู่ระหว่างการรอตอบรับจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของไทยเพื่อให้มีการลงนามร่วมกันโดยเร็วที่สุด โดยเสนอให้มีการลงนามในเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ นอกจากนี้ รัฐมนตีรอาวุโสฯ ได้แสดงความสนใจในการที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลกับไทย โดยพร้อมที่จะส่งคณะผู้เชี่ยวชาญมาเพื่อเรียนรู้จากไทยและยินดีที่จะให้ไทยเข้าไปเป็นพี่เลี้ยงในการจัดตั้งสำนักงานออกใบรับรองคุณภาพอาหารฮาลาลที่ปากีสถาน รวมทั้งเชิญชวนให้ผู้ประกอบการไทยไปลงทุนในการผลิตอาหารและผลไม้กระป๋อง โดยพร้อมที่จะให้ความร่วมมือและสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนแก่นักธุรกิจไทย ๖. ผลการหารือกับผู้ว่าการธนาคารแห่งชาติปากีสถาน เกี่ยวกับการให้ธนาคารพาณิชย์ไทยมาเปิดดำเนินการในปากีสถาน โดยผู้ว่าการธนาคารฯ แจ้งว่ายินดีที่จะให้ธนาคารพาณิชย์ไทยมาเปิดดำเนินการในปากีสถาน และพร้อมจะให้ความร่วมมือทุกอย่างที่ไทยต้องการ และอยากให้ผู้แทนการค้าไทยทำหน้าที่ช่วยประสานขอข้อมูลและกฎระเบียบในการที่ธนาคารพาณิชย์ปากีสถานจะมาเปิดดำเนินการในไทย ส่วนผู้แทนการค้าไทยได้แจ้งให้ทราบถึงการหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ปากีสถานเกี่ยวกับศักยภาพของอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลของไทย และการที่ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยเข้ามามีบทบาทสนับสนุน ซึ่งผู้ว่าการฯ พร้อมที่ให้การสนับสนุนหากจะได้ทำการตกลงร่วมมือกันต่อไปในอนาคต
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 437 | การให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย | อก | 31/01/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการการให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรม การสร้างภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนในภาคอุตสาหกรรมทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เพิ่มเติม ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการจัดงาน “BOI FAIR 2011 โลกสดใส ไทยยั่งยืน” หรือ Going Green For the Future เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนและเสริมภาพลักษณ์ของประเทศ การจัดงานซีอีโอ ฟอรั่ม (CEO Forum) ซี่งได้มีการแสดงปาฐกถาของบุคคลชั้นนำในการแสดงความมั่นใจถึงศักยภาพของประเทศไทยที่จะพัฒนาเป็นผู้นำในภูมิภาค รวมทั้งการประชุมที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ด้านการลงทุน (Honorary Investment Advisor) ที่ผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทชั้นนำได้ให้ข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อการกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมและส่งเสริมการลงทุนของประเทศ และการจัดกิจกรรมเชื่อมโยงอุตสาหกรรมและจับคู่ธุรกิจ ซึ่งมีการเจรจาจับคู่ทางธุรกิจ ๑,๔๖๖ คู่ มูลค่าการซื้อขายถึง ๔,๐๕๔ ล้านบาท ประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ โดยได้รับความสนใจจากทุกภาคส่วนเป็นอย่างดี และมั่นใจว่าจะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของไทยในฐานะแหล่งรองรับการลงทุนและศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญของเอเชีย ๒. การดำเนินการฟื้นฟู เยียวยานิคมอุตสาหกรรม เขตประกอบการอุตสาหกรรม และสวนอุตสาหกรรม ๗ แห่ง ที่ประสบอุทกภัย ในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และปทุมธานี ได้แก่ นิคมสหรัตนนคร นิคมไฮเทค นิคมบางปะอิน นิคมโรจนะ นิคมแฟคตอรี่แลนด์ นิคมนวนคร และนิคมบางกะดี ขณะนี้มีโรงงานประกอบกิจการแล้ว ๒๕๘ ราย คิดเป็นร้อยละ ๒๙ ของโรงงานทั้งหมด ๘๘๘ ราย ๓. มาตรการส่งเสริมการลงทุนสำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน ๓.๑ ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรอุปกรณ์และวัตถุดิบที่นำมาทดแทนเครื่องจักรอุปกรณ์ และวัตถุดิบนำเข้าที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย จำนวน ๑๕๔ โครงการ มูลค่า ๒๑,๕๐๒ ล้านบาท ๓.๒ อนุมัติวีซ่าและใบอนุญาตทำงานแก่บริษัทที่ได้รับการส่งเสริม จำนวน ๘๑ บริษัท ผู้เชี่ยวชาญต่างชาติรวม ๓๕๖ ราย ๓.๓ อนุญาตให้ส่งออกเครื่องจักรและวัตถุดิบไปต่างประเทศ และการย้ายเครื่องจักรและวัตถุดิบไปต่างประเทศ หรืออยู่นอกโครงการเป็นการชั่วคราว สำหรับผู้ได้รับการส่งเสริมการลงทุนที่ประสบอุทกภัย จำนวน ๑๒๓ โครงการ ๓.๔ เพิ่มสิทธิประโยชน์หรือยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีเงินได้ให้ผู้ประกอบการที่ได้รับความเสียหายทั้งในกรณีทำการผลิตชั่วคราวหรือลงทุนใหม่ เพื่อฟื้นฟูธุรกิจในประเทศ อยู่ระหว่างการออกประกาศ ๔. โครงการช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย ๔.๑ โครงการจัดตั้งศูนย์พักพิงอุตสาหกรรม มีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการ จำนวน ๑๑๔ ราย ประกอบด้วย สถานประกอบการอุตสาหกรรม ๕๓ ราย และวิสาหกิจชุมชน ๖๑ ราย มีการใช้พื้นที่แล้ว ๑๓,๘๖๘ ตารางเมตร จากพื้นที่ ๒๐,๐๐๐ ตารางเมตร คงเหลือพื้นที่สามารถรองรับได้อีก ๖,๑๓๒ ตารางเมตร ๔.๒ โครงการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม และกากอุตสาหกรรมในสถานประกอบการที่ประสบอุทกภัย ได้ส่งทีมวิศวกร ๑๗ ทีม ๓๔ คน ออกปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือ เพื่อดูแล ตรวจสอบ และแนะนำเรื่องความปลอดภัยในการทำงาน การดูแลรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การกำจัดกากอุตสาหกรรมทั้งชนิดอันตรายและไม่อันตราย และแก้ไขการปนเปื้อนของสารพิษ สารเคมี โดยเก็บรวบรวมข้อมูลสถานประกอบการได้แล้ว ๖๖ ราย ๔.๓ โครงการตรวจสอบคุณภาพน้ำ ดิน และการปนเปื้อนของสารพิษอุตสาหกรรมในสถานประกอบการทั้งภายในและภายนอกนิคม ได้จัดทีมเจ้าหน้าที่ออกเก็บตัวอย่างน้ำ ดิน และสารปนเปื้อนของสารพิษอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรม/เขตประกอบการอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย ๓๗๒ ตัวอย่าง หรือร้อยละ ๓๑ ของตัวอย่างทั้งหมด (๑,๒๐๐ ตัวอย่าง) ๔.๔ โครงการคลินิกอุตสาหกรรม มีผู้ลงทะเบียนขอรับความช่วยเหลือ จำนวน ๓,๙๕๒ ราย และได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้น ๗๘๒ ราย สามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการให้ดำเนินการฟื้นฟูเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว จำนวน ๔๖๕ ราย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 438 | การเดินทางไปเยือนอินเดียและการเข้าร่วมประชุม World Economic Forum | นร | 31/01/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบสรุปผลการเดินทางไปเยือนอินเดียและการเข้าร่วมการประชุม World Economic Forum ระหว่างวันที่ ๒๔ - ๒๙ มกราคม ๒๕๕๕ ตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การเดินทางเยือนอินเดียอย่างเป็นทางการ (State Visit) ตามคำเชิญของรัฐบาลอินเดีย เพื่อร่วมงานฉลองวันชาติ ระหว่างวันที่ ๒๔ - ๒๖ มกราคม ๒๕๕๕ ในฐานะแขกเกียรติยศ (Chief Guest) ของรัฐบาล ประสบผลสำเร็จมาก เพราะอินเดียเห็นว่าไทยเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ (Strategic Partner) ที่สำคัญ โดยในส่วนของความร่วมมือกันทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน ทั้งสองประเทศได้มีการจัดทำความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ร่วมกันมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๖ และมีชนิดของสินค้าและบริการที่ทำความตกลงร่วมกันกว่า ๕,๐๐๐ รายการ โดยปัจจุบันมี ๘๒ รายการเท่านั้นที่เสร็จสมบูรณ์ และในครั้งนี้ได้ทำความตกลงเพิ่มอีก ๑ รายการ คือ สินค้าประเภทตู้เย็น รวมทั้งได้ทำข้อตกลงด้านการทหาร ความมั่นคง วัฒนธรรม และการศึกษา ซึ่งความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศจะช่วยให้มีการขยายการค้าและการลงทุน ตลอดจนการท่องเที่ยวระหว่างกันมากยิ่งขึ้น โดยให้รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) รับไปหารือกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำกับ ติดตาม การดำเนินงานของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ณ สนามบินสุวรรณภูมิ ให้สามารถให้บริการแก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าออกได้อย่างคล่องตัวและมีความเสมอภาคกัน เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศ รวมทั้งให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับไปพิจารณาเกี่ยวกับการจัดทำร่างยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวของประเทศเพื่อรองรับการส่งเสริมการท่องเที่ยวและการเป็นประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ด้วย ๒. การเข้าร่วมการประชุมเวทีเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum - WEF) ครั้งที่ ๔๒ ที่เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส ระหว่างวันที่ ๒๗ - ๒๙ มกราคม ๒๕๕๕ ได้เข้าร่วมการประชุมกลุ่มย่อยในวาระที่สำคัญ ได้แก่ การประชุมผู้นำเศรษฐกิจโลกอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งเป็นการเชิญเฉพาะนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับผู้นำประเทศอื่น ๆ และผู้บริหาร (CEO) ชั้นนำของโลก โดยใช้โอกาสนี้สร้างความเชื่อมั่นในการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย รวมทั้งตอบข้อซักถามเกี่ยวกับแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจ และแนวทางการแก้ไขปัญหาอุทกภัยของไทยในอนาคต เวทีต่อมาคือ การกล่าว Opening Remarks และร่วมเป็นผู้อภิปราย (Panelist) ในเรื่อง Woman as the way forward ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อเสนอมุมมองของผู้หญิงต่อการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก โดยได้ชี้แจงถึงแนวคิดในการจัดตั้งกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีเพื่อช่วยยกระดับให้สตรีมีโอกาสเข้าถึงแหล่งทุน เพื่อให้ผู้หญิงสามารถมีรายได้เลี้ยงตนเองและครอบครัว ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่เป็นปัญหาระดับสากล และได้เป็นประธานงาน Thai Night โดยได้กล่าวชี้แจงถึงวิสัยทัศน์และแนวทางการดำเนินนโยบายของรัฐบาลเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวในประเทศไทย ตลอดจนประชาสัมพันธ์และเชิญชวนให้ผู้สนใจเข้าร่วมการประชุม World Economic Forum East Asia ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นในระหว่างวันที่ ๓๐ พฤษภาคม - ๑ มิถุนายน ๒๕๕๕ ที่กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในภูมิภาคยุโรป ทำให้แต่ละประเทศตื่นตัวและเน้นมาให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูและเสริมสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศให้เข้มแข็ง ซึ่งเป็นแนวทางเดียวที่ประเทศไทยกำลังดำเนินการอยู่ โดยในระยะยาวจำเป็นจะต้องมีแผนพัฒนาทรัพยากรบุคคลของประเทศตั้งแต่ในระดับเด็กและเยาวชนขึ้นมาเป็นลำดับอย่างชัดเจน และในส่วนของการกำหนดเป้าหมายความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ควรมีการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วนรอบด้านทั้งในส่วนที่เป็นปัจจัยภายในประเทศและต่างประเทศ โดยให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับไปพิจารณาเกี่ยวกับการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 439 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 1/2555 | นร | 15/01/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ในภูมิภาค ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๕ ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งได้มีการพิจารณาเรื่องต่าง ๆ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ๑.๑.๑ ให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงการคลังเร่งพิจารณารายละเอียดโครงการรถไฟความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพ - เชียงใหม่ โดยกำหนดรูปแบบการร่วมลงทุนระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนตามที่ได้มีการตกลงร่วมกันเมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๔ รวมทั้งศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment : EIA) และทำการศึกษาความเหมาะสมทางการเงินและเศรษฐศาสตร์ของโครงการโดยละเอียด ๑.๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ศึกษาและสำรวจเส้นทางของการพัฒนาทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (Motorway) เส้นทางเชียงใหม่ - เชียงราย โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองเพื่อเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน ๑.๑.๓ ให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย) พิจารณาความเป็นไปได้ในการเร่งรัดแผนการพัฒนารถไฟทางคู่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยคำนึงถึงข้อจำกัดด้านขีดความสามารถในการลงทุนของภาครัฐ และขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ๑.๑.๔ ให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย) พิจารณาเพิ่มเส้นทาง เด่นชัย - เชียงราย - เชียงของ ภายใต้แผนการพัฒนาโครงการพัฒนารถไฟทางคู่ของประเทศไทย โดยคำนึงถึงความเหมาะสมและความเป็นไปได้ ๑.๒ การส่งเสริมการค้าและการลงทุน ๑.๒.๑ ให้สำนักงานสภาความความมั่นคงแห่งชาติพิจารณาเรื่องการยกระดับจุดผ่อนปรนกิ่วผาวอก และจุดผ่อนปรนบ้านห้วยต้นนุ่นเป็นจุดผ่านแดนถาวร เพื่อให้มีการพิจารณาอย่างรอบคอบทั้งมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง และความพร้อมของประเทศเพื่อนบ้าน ๑.๒.๒ ให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงมหาดไทยประสานสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ในการจัดตั้งคณะทำงานร่วมกันเพื่อดำเนินการเปิดจุดผ่านแดนถาวรระหว่างกัน และให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องด้านการอำนวยความสะดวกและการบริหารจัดการบริเวณด่านพรมแดนเตรียมความพร้อมรองรับการยกระดับจุดผ่อนปรนบ้านฮวกเป็นจุดผ่านแดนถาวร ๑.๒.๓ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกับกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการคลังเร่งรัดการพิจารณาร่างกฎหมายที่เหมาะสมสำหรับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษในประเทศไทย โดยรวมถึงเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ๑.๓ การส่งเสริมการท่องเที่ยวและบริการ ๑.๓.๑ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการรับไปพิจารณาเตรียมความพร้อมในการประกาศให้ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็น Year of MICE (Meeting, Incentive, Convention, and Exhibition) หรือธุรกิจการจัดประชุม การท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล การแสดงสินค้าและนิทรรศการตั้งแต่ระดับเล็ก จนถึงระดับใหญ่อย่างระดับชาติ หรือระดับนานาชาติ ๑.๓.๒ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเร่งดำเนินการศึกษาเพื่อกำหนดรูปแบบการบริหารจัดการศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อให้เกิดความชัดเจนและมีความพร้อมก่อนการเปิดตัวใช้งานในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ ๑.๓.๓ ให้กระทรวงคมนาคม (สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร) กระทรวงมหาดไทย (กรมโยธาธิการและผังเมือง) จังหวัดเชียงใหม่ และเทศบาลนครเชียงใหม่ จัดทำแนวทางการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนในเขตผังเมืองรวมจังหวัดเชียงใหม่ โดยนำผลการศึกษาจากโครงการจัดทำแผนแม่บทและออกแบบเพื่อการก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนเชียงใหม่ ของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๐ มาประกอบการจัดทำแนวทางการพัฒนา ๑.๓.๔ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและสถาบันการศึกษาในพื้นที่ อาทิ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นต้น ร่วมกันดำเนินโครงการฝึกอบรมภาษาต่างประเทศที่มีความจำเป็นให้กับมัคคุเทศก์อย่างต่อเนื่อง โดยประสานกับสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) ๑.๓.๕ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงมหาดไทยจัดทำปฏิทินท่องเที่ยวภูมิภาคและสนับสนุนกิจกรรมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นและส่งเสริมการท่องเที่ยวในเชิงกลุ่มพื้นที่ ๑.๔ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการน้ำ (กยน.) รับข้อเสนอของคณะกรรมการ กกร. เกี่ยวกับโครงการสร้างฝายชะลอน้ำแบบบูรณาการ เพื่อแก้ปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งในพื้นที่ลุ่มน้ำยม และการบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตรและป้องกันน้ำท่วมอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นเอกภาพ ไปพิจารณาในรายละเอียดตามขั้นตอนต่อไป ๑.๕ การพัฒนาตลาดทุนไทย ๑.๕.๑ ให้กระทรวงการคลังพิจารณาความเหมาะสมในการเพิ่มข้อกำหนดเรื่อง การยกเว้นการหักภาษี ณ ที่จ่าย เงินปันผล ดอกเบี้ย ให้กับบริษัทและกองทุนที่ลงทุนข้ามชาติ (Offshore Holding Company and Funds) ในอนุสัญญาภาษีซ้อนระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า และอนุสัญญาภาษีซ้อนระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ๑.๕.๒ ให้กระทรวงการคลังเป็นเจ้าภาพร่วมกับสภาธุรกิจตลาดทุนไทยในการให้ความรู้พื้นฐานทางการเงินแก่ผู้ประกอบการและประชาชนภาคเหนือตอนบน เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของโครงการ และขยายกลุ่มเป้าหมายให้รวมถึงกองทุนหมู่บ้าน ๑.๕.๓ ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของที่ประชุมไปเร่งรัดการพัฒนาตลาดพันธบัตรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) โดยสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องของผู้บริหาร อปท. ผู้นำชุมชน ผู้ประกอบการ และประชาชนเกี่ยวกับการจัดทำระบบบัญชีที่ดี โดยคำนึงถึงความพร้อมของ อปท. ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติที่ประชุมต่อไป โดยให้รายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีซึ่งกำกับดูแลกรมประชาสัมพันธ์ไปประสานงานกับผู้เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการประชาสัมพันธ์สนับสนุนการดำเนินงานของภาคเอกชน เช่น กกร. สทท. และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เป็นต้น ในการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาคดังกล่าวด้วย ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายชุมพล ศิลปอาชา) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รับไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นต้น เพื่อจัดทำแผนงานด้านการท่องเที่ยวในภาคเหนือในระยะยาว โดยให้มีการบูรณาการทุก ๆ มิติ เช่น การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ตลอดจนวางแผนงานเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในช่วงที่ไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยว (low season) โดยการจัดกิจกรรมการแข่งขันกีฬา การจัดงานแสดงสินค้า เป็นต้น รวมทั้งการเร่งรัดประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 440 | การให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย | อก | 15/01/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการสนับสนุนและช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรม การสร้างภาพลักษณ์และเสริมสร้างความมั่นใจในการลงทุนของนักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติในภาคอุตสาหกรรมของประเทศ และการขอรับความช่วยเหลือของภาคอุตสาหกรรม ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การสร้างภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนภาคอุตสาหกรรม ได้แก่ การจัดงาน “BOI FAIR 2011 โลกสดใส ไทยยั่งยืน” หรือ “Going Green For The Future” ระหว่างวันที่ ๕ - ๒๐ มกราคม ๒๕๕๕ ณ ศูนย์ประชุมและนิทรรศการอิมแพค เมืองทองธานี และจัดการประชุมสุดยอดผู้นำธุรกิจ (CEO Forum) ในวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๕๕ ณ โรงแรมพลาซ่าแอทธินี กรุงเทพ, เอ รอยัล เมอริเดียน โดยมีผู้บริหารระดับสูงของภาครัฐ และบริษัทชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้าร่วมงานดังกล่าว พร้อมทั้งได้เชิญผู้บริหารระดับสูง (CEO) ของบริษัทชั้นนำของโลกมาพบและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้บริหารภาครัฐและเอกชนของไทยเกี่ยวกับบรรยากาศและโอกาสการลงทุนในประเทศไทยภายใต้การเปลี่ยนแปลงของโลก รวมถึงรับฟังมาตรการป้องกันอุทกภัยและฟื้นฟูเศรษฐกิจในอนาคต ๒. โครงการช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัยและการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมภายหลังอุทกภัย ได้จัดทำโครงการเพื่อช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมทั้งด้านการส่งเสริม การฟื้นฟูกิจการ และการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมภายหลังเกิดปัญหาอุทกภัย ได้แก่ โครงการจัดตั้งศูนย์พักพิงอุตสาหกรรม โครงการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม และกากอุตสาหกรรมในสถานประกอบการที่ประสบอุทกภัย โครงการตรวจสอบคุณภาพน้ำ ดิน และการปนเปื้อนของสารพิษอุตสาหกรรมในสถานประกอบการทั้งภายในและภายนอกนิคม โครงการคลินิกอุตสาหกรรม โครงการศูนย์สารพัดช่างช่วยเหลือผู้ประสบภัย ๓. มาตรการส่งเสริมการลงทุนสำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน ได้แก่ ๓.๑ การยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรอุปกรณ์และวัตถุดิบที่นำมาทดแทนเครื่องจักรอุปกรณ์และวัตถุดิบนำเข้าที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย จำนวน ๑๑๓ โครงการ มูลค่า ๑๙,๒๐๐ ล้านบาท ๓.๒ เร่งอนุมัติวีซ่าและใบอนุญาตทำงานของเจ้าหน้าที่/ผู้เชี่ยวชาญชาวต่างประเทศที่เข้ามาซ่อมแซมเครื่องจักร จำนวน ๓๕๖ ราย ๓.๓ อนุญาตให้ส่งออกเครื่องจักรและวัตถุดิบไปต่างประเทศ และการย้ายเครื่องจักรและวัตถุดิบไปอยู่นอกโครงการเป็นการชั่วคราว จำนวน ๑๒๓ โครงการ ๔. การฟื้นฟูนิคม/เขตประกอบการ/สวนอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัยในเขตจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและปทุมธานี จำนวน ๗ แห่ง โรงงานอุตสาหกรรมเร่งดำเนินการซ่อมแซมบำรุงรักษาเครื่องจักรอุปกรณ์ที่ชำรุดเสียหาย ปัจจุบันมีโรงงานเริ่มประกอบการแล้ว จำนวน ๑๖๗ แห่ง ๕. ผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมจากอุทกภัยในเขตจังหวัดภาคใต้ ระหว่างวันที่ ๑ - ๔ มกราคม ๒๕๕๕ ได้ให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้นแล้ว ซึ่งขณะนี้โรงงานในจังหวัดนครศรีธรรมราช ชุมพร และสุราษฎร์ธานี สามารถกลับมาดำเนินการได้ตามปกติทั้งหมดแล้ว ยกเว้นโรงงานในจังหวัดสงขลา จำนวน ๑ แห่ง และจังหวัดพัทลุง จำนวน ๓ แห่ง ที่ยังไม่สามารถประกอบกิจการได้ แต่คาดว่าจะกลับมาดำเนินการได้ตามปกติภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
|
||||||||||||||||||||||||||||||
.....
