ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 25 จากทั้งหมด 55 หน้า แสดงรายการที่ 481 - 500 จากข้อมูลทั้งหมด 1084 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 481 | การเพิ่มค่าตอบแทนให้แก่นายกองค์การบริหารส่วนตำบล | มท | 14/12/2553 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับเรื่อง การเพิ่มค่าคอบแทนให้แก่นายกองค์การบริหารส่วนตำบล ดังนี้
๑. มอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และสำนักงบประมาณร่วมกันพิจารณาตรวจสอบรายละเอียดการเพิ่มค่าตอบแทนให้แก่ผู้บริหารและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ รวมถึงผลกระทบทางอ้อมที่จะต้องมีการปรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น ๆ และบุคลากรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ ด้วย ว่าจะมีผลกระทบต่องบประมาณขององค์การบริหารส่วนตำบลที่จะใช้ในการดำเนินการโครงการพัฒนาต่าง ๆ ในท้องถิ่นหรือไม่ เพียงใด แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้า ๒. ส่วนระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยเงินค่าตอบแทน นายกองค์การบริหารส่วนตำบล รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบล รองประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบล สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนตำบล และเลขานุการสภาองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่กระทรวงมหาดไทยส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีรอผลการพิจารณาตามข้อ ๑ ก่อนดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||
| 482 | การแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการบริหารกองทุน ตามพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 (นายบุญนริศร์ สุวรรณพูล และนายนันทวัฒน์ สังข์หล่อ) | อก | 14/12/2553 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งนายบุญนริศร์ สุวรรณพูล ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ ผู้แทน
กระทรวงพาณิชย์ และนายนันทวัฒน์ สังข์หล่อ ผู้บริหารส่วน ส่วนวิเคราะห์เศรษฐกิจด้านอุปทาน ฝ่ายเศรษฐกิจ ฃในประเทศ ผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นกรรมการในคณะกรรมการบริหารกองทุนตามพระราชบัญญัติ อ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ แทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๓) เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||
| 483 | รายงานผลการเดินทางไปราชการต่างประเทศ ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน | พณ | 25/11/2553 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการเดินทางไปราชการต่างประเทศ ณ
สาธารณรัฐประชาชนจีน ของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายอลงกรณ์ พลบุตร) เพื่อประชุมเจรจา แนวทางการบริหารจัดการระบบธุรกิจค้าส่ง - ค้าปลีก และศึกษาช่องทางการขยายการค้า ระหว่างวันที่ ๑๐ - ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๓ สรุปได้ดังนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และคณะได้เข้าพบและหารือกับรองนายกเทศ มนตรีเมืองอี้อู่ รวมทั้งอธิบดี และรองอธิบดีสำนักการค้าระหว่างประเทศ โดยทั้งสองฝ่ายได้หารือเรื่องการขยาย ตลาดสินค้าเกษตรไทยในเมืองอี้อู่ซึ่งการนำสินค้าเกษตรของไทยเข้าร่วมแสดงและวางจำหน่ายในตลาดอี้อู่จะเป็น ช่องทางการกระจายสินค้าที่ดีโดยผู้บริหารตลาดอี้อู่ได้จัดสรรพื้นที่สำหรับการทดลองจำหน่ายเป็นเวลา ๖ เดือน โดยไม่คิดค่าเช่าพื้นที่ ในการนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้มอบหมายให้สำนักงานส่งเสริมการค้า ระหว่างประเทศ ณ เมืองเซียเหมิน จัดทำแผนการขยายตลาดสินค้าการเกษตรแปรรูปในตลาดอี้อู่เพื่อสร้างความ ร่วมมือและจัดกิจกรรมส่งเสริมการจำหน่ายให้สินค้าไทยเป็นที่รู้จักในวงกว้างต่อไป นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้ข้อ หารือเรื่อง การอำนวยความสะดวกแก่นักธุรกิจจีนที่สนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย นั้น รัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงพาณิชย์ได้ให้ความเชื่อมั่นในความสัมพันธ์ไทย - จีน และความร่วมมือระหว่างนักธุรกิจจีนกับไทยจะต้อง ได้รับการแก้ไขปัญหาเพื่อสนับสนุนการค้าและการลงทุนระหว่างสองประเทศให้เจริญเติบโตต่อไป
|
||||||||||||||||||
| 484 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย พ.ศ. .... | ศธ | 02/11/2553 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญคือ ๑.๑ กำหนดปริญญาในสาขาวิชา และอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาการแพทย์แผนไทย สาขาวิชาการศึกษา สาขาวิชานิติศาสตร์ สาขาวิชานิเทศศาสตร์ สาขาวิชาบริหารธุรกิจ สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิชาศิลปะศาสตร์ และสาขาวิชาสถาปัตยกรรมศาสตร์ ๑.๒ กำหนดครุยวิทยฐานะของมหาวิทยาลัย ครุยประจำตำแหน่ง และเครื่องหมายประกอบครุยประจำตำแหน่งของนายกสภามหาวิทยาลัย กรรมการสภามหาวิทยาลัย และผู้บริหารของมหาวิทยาลัย ๑.๓ กำหนดเข็มวิทยฐานะของมหาวิทยาลัย ๑.๔ กำหนดสีประจำสาขาวิชา ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการชี้แจงเหตุผลความจำเป็นในการให้ร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมีผลใช้บังคับย้อนหลังเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาในการนำร่างพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ต่อไป และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||
| 485 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา พ.ศ. .... | ศธ | 02/11/2553 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขา
วิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา พ.ศ. .... ตามที่กระทรวง ศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระ ราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญคือ ๑. กำหนดปริญญาในสาขาวิชา และอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาการศึกษา สาขาวิชานิเทศศาสตร์ สาขา วิชาบริหารธุรกิจ สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ สาขาวิชาวิจิตรศิลป์และประยุกต์ศิลป์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ และ สาขาวิชาศิลปศาสตร์ ๒. กำหนดครุยวิทยฐานะของมหาวิทยาลัย ครุยประจำตำแหน่ง และเครื่องหมายประกอบครุยประจำ ตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัย กรรมการสภามหาวิทยาลัย ผู้บริหาร และคณาจารย์ของมหาวิทยาลัย ๓. กำหนดเข็มวิทยฐานะของมหาวิทยาลัย ๔. กำหนดสีประจำสาขาวิชา
|
||||||||||||||||||
| 486 | ความก้าวหน้าการดำเนินงานตามแผนปรองดองแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ | ศธ | 26/10/2553 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา รายงาน
ความก้าวหน้าการดำเนินงานตามแนวทางการดำเนินงานตามแผนปรองดองแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ โดย ๕ องค์กรหลักของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งมีผลการดำเนินงานตามแนวทางการดำเนินงานตามแผนปรองดองฯ ใน ระยะเร่งด่วน ๓ เดือน คือ เดือนกรกฎาคม-กันยายน ๒๕๕๓ สรุปได้ดังนี้ ๑. สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ดำเนินโครงการสร้างสำนึกพลเมือง เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรม ซึ่ง ได้แก่ ผู้บริหารและครูจากสถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน (มัธยมศึกษาตอนต้น) จากสังกัดสำนักงานคณะ กรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีจิตสำนึก มีความสนใจ มีความรู้ ความเข้าใจในหลักการเรียนการสอนเพื่อสร้าง พลเมืองที่มีความสามารถและมีเหตุผล พร้อมทั้งสามารถนำไปสอนในห้องเรียนได้ รวมทั้งเพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรม เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง (Change Agent) สามารถขยายเครือข่ายการพัฒนาเสริมสร้างนักเรียนและเยาวชนให้มี สำนึกความเป็นพลเมืองที่ดีของชุมชนและประเทศชาติมากยิ่งขึ้น ๒. สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา มีการดำเนินงานใน ๒ ส่วน คือ กิจกรรมที่ดำเนินการโดย สถาบันอุดมศึกษา และกิจกรรมที่ดำเนินการโดยสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา คือ แนวทางการส่งเสริม อุดมศึกษาร่วมสร้างประเทศไทยน่าอยู่ มี ๒ โครงการ ได้แก่ โครงการค่ายแลกเปลี่ยนเรียนรู้สังคมพหุวัฒนธรรม และโครงการสร้างศักยภาพเมืองโดยวิชา “ความเป็นพลเมือง” ๓. สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดำเนินการพัฒนาการเรียนการสอน การอบรม เพื่อ เสริมสร้างคุณลักษณะของเด็กไทยและการเป็นพลเมืองที่ดี อาทิ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ประชาธิปไตย กิจกรรม เพื่อการเป็นพลเมือง-พลโลกที่ดี และพุทธชยันตี ฟื้นฟูวิถีพุทธในวันพระ โครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว โครงการคุณธรรมเยาวชนทำดีถวายในหลวง เป็นต้น ๔. สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ดำเนินโครงการ ๒ โครงการ ได้แก่ โครงการพัฒนาความ เป็นพลเมือง คนพันธุ์ R (อาชีวศึกษา) และโครงการเทิดไท้องค์ราชัน โดยจัดกิจกรรมนักศึกษาอาชีวะพร้อมใจทำ ความดีถวายในหลวง ๕. สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ดำเนินการจัดงาน “ชุมนุมเยาวชนคนรักชาติ รักประชาธิปไตย” เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพิ่มพูนทักษะ ประสบการณ์ ให้นักเรียนได้ตระหนักถึงความรัก ความสามัคคี ปรอง ดอง อันจะนำมาสู่การอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข สำหรับสำนักงานคณะกรรมการการส่งเสริมการศึกษานอกระบบและ การศึกษาตามอัธยาศัย ได้ดำเนินโครงการสร้างเสริมประชาคมประชาธิปไตยในชุมชน เพื่อความปรองดองแห่งชาติ โดยพัฒนาวิทยากรแกนนำระดับสถานศึกษา (กศน.อำเภอ) ให้เป็นกลไกสำคัญในการเผยแพร่แนวคิด จัดกิจกรรม ส่งเสริมการสร้างจิตสำนึกประชาธิปไตยสู่ความเป็นพลเมืองดีแก่นักศึกษา กศน. และประชาชน
|
||||||||||||||||||
| 487 | กรอบการเจรจาความตกลงเขตการค้าเสรีไทย - อินเดีย | พณ | 12/10/2553 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกรอบการเจรจาความตกลงเขตการค้าเสรีไทย-อินเดีย และนำเสนอกรอบการเจรจาดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยสาระสำคัญของกรอบการเจรจาฯ จะครอบคลุม ๑๐ ประเด็น ดังนี้
๑. ให้มีการลดหรือยกเลิกอากรศุลกากรให้ครอบคลุมการค้าระหว่างกันให้มากที่สุด รวมทั้งมาตรการกีดกันและอุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษี ๒. จัดทำหรือปรับปรุงกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าให้สอดคล้องกับโครงสร้างการผลิตสินค้าของไทย ๓. ให้มีความร่วมมือทางศุลกากร เพื่อลด/ขจัดอุปสรรคทางการค้าและอำนวยความสะดวกทางการค้า ๔. ให้มีมาตรการปกป้องสองฝ่ายเพื่อคุ้มกันเศรษฐกิจและภาคการผลิตภายในประเทศ ๕. ให้มีกลไกการหารือเพื่อจัดการกับปัญหาและอุปสรรคที่เกิดจากมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช ๖. หาแนวทางลดอุปสรรคทางการค้าที่เกิดจากกฎระเบียบทางเทคนิคหรือมาตรฐาน ๗. เปิดเสรีภาคบริการอย่างค่อยเป็นค่อยไป เรียกร้องการเปิดตลาดบริการในสาขาที่ไทยมีศักยภาพ และอำนวยความสะดวกให้ผู้บริหารและบุคลากรที่มีฝีมือของไทยเข้าไปทำงานได้ ๘. ให้มีการเปิดเสรีหรือลดอุปสรรคต่อการลงทุนระหว่างประเทศในสาขาที่ไทยมีศักยภาพและนอกเหนือจากภาคบริการ โดยรักษาสิทธิในการใช้มาตรการที่จำเป็นเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจกระทบต่อดุลการชำระเงิน ๙. จัดตั้งกลไกระงับข้อพิพาทที่เกี่ยวข้องกับการตีความและการบังคับใช้ความตกลง ๑๐. หารือในเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อการค้าและการลงทุนของไทย
|
||||||||||||||||||
| 488 | สรุปพระราชดำริในโอกาสที่พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้คณะบุคคลเข้าเฝ้าฯ | วท | 12/10/2553 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอว่า ด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระ ราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายสุเมธ ตันติเวชกุล ประธานกรรมการกิตติมศักดิ์สถาบันสารสนเทศทรัพยากร น้ำและการเกษตร นำคณะผู้บริหารสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตรเข้าเฝ้าฯ กราบบังคมทูลราย งานสรุปสถานการณ์น้ำประเทศไทย และขอรับพระราชทานพระราชดำริเกี่ยวกับการดำเนินงานของสถาบันฯ เมื่อ วันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๓ ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งต่อมาสำนักราชเลขาธิการได้ส่ง สรุปพระราชดำริในโอกาสดังกล่าวมาเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานสนองพระราชดำริ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องรับสรุปพระราชดำริไปเป็นแนวทางใน การดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เกิดผลเป็นรูปธรรม รวมทั้งให้มีการติดตามการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องด้วย
|
||||||||||||||||||
| 489 | ร่างพระราชบัญญัติเงินเดือน เงินวิทยฐานะ และเงินประจำตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และการปรับระบบบริหารงานบุคคลข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา | ศธ | 21/09/2553 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติเงินเดือน เงินวิทยฐานะ และเงินประจำตำแหน่งข้าราชการครูและ บุคลากรทางการศึกษา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติเงินเดือน เงินวิทยฐานะ และเงินประจำตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการ กฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับผลการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาเงินเดือนแห่งชาติ (กงช.) และความ เห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องที่ไม่เห็นด้วยกับการปรับเงินวิทยฐานะของตำแหน่งศึกษานิเทศน์ ตำแหน่งผู้บริหาร สถานศึกษา ตำแหน่งผู้บริหารการศึกษา ที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ และตำแหน่งครูที่เรียกชื่ออย่างอื่นตามที่ ก.ค.ศ. กำหนดให้มีวิทยฐานะที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ จากอัตราสูงสุด 13,000 บาท เป็น 15,600 บาท ซี่ง จะทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำกับข้าราชการประเภทอื่น ไปประกอบการพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสาน งานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป 2. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับร่างพระราชกฤษฎีกาการได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการและผู้ ดำรงตำแหน่งผู้บริหารซึ่งไม่เป็นข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ไปปรับปรุงแก้ไขให้ชัดเจน สอดคล้องกับข้าราช การพลเรือนสามัญ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง 3. อนุมัติหลักการร่างกฎ ก.พ.อ. ว่าด้วยการกำหนดบัญชีเงินเดือนขั้นต่ำขั้นสูงของข้าราชการพลเรือน ในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้มีบัญชีเงินเดือนของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดม ศึกษา และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับตำแหน่ง ผศ. รศ. และ ศ. ควรกำหนดเงินเดือนขั้นต่ำไว้ด้วย ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนิน การต่อไปได้ 4. อนุมัติหลักการร่างกฎ ก.พ.อ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาได้รับเงินเดือน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดการให้ได้รับเงินเดือนของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา และให้ส่ง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องที่เห็นควรกำหนด ให้ตำแหน่งในสายงานใดที่อยู่ในประเภทและระดับเดียวกันมีลักษณะงานคล้ายกันการได้รับเงินเดือนจะต้องไม่แตก ต่างกัน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ 5. เห็นชอบให้นำหลักการระบบการเลื่อนเงินเดือนของข้าราชการพลเรือนสามัญมาปรับใช้กับข้าราช การพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา 6. เห็นชอบการคงสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายให้แก่ข้าราชการที่ดำรงตำแหน่งแตกต่างจากโครงสร้าง ตำแหน่งที่ ก.พ.อ. กำหนดจนกว่าจะได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งตามโครงสร้างตำแหน่งที่ ก.พ.อ. กำหนด ซึ่งได้ รับสิทธิประโยชน์ไม่น้อยกว่าเดิม 7. สำหรับงบประมาณเพื่อรองรับระบบบริหารงานบุคคลของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ให้กระทรวงศึกษาธิการทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสม 8. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับผลการพิจารณาของ กงช. เกี่ยวกับการกำหนดค่าตอบแทนของข้าราช การครูและบุคลากรทางการศึกษา และข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาในภาพรวม โดยเฉพาะในระยะ ปานกลางและระยะยาวไปดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
| 490 | ผลการเดินทางเยือนมหานครเซี่ยงไฮ้ ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นางพรทิวา นาคาศัย) และคณะ (ระหว่างวันที่ 29 กรกฎาคม - 1 สิงหาคม 2553) | พณ | 14/09/2553 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการเดินทางเยือนมหานครเซี่ยงไฮ้ ประเทศ
สาธารณรัฐประชาชนจีน ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระหว่างวันที่ 29 กรกฎาคม-1 สิงหาคม 2553 สรุป ได้ดังนี้ 1. วัตถุประสงค์ของการเยือน เพื่อกระชับความสัมพันธ์และแสวงหาความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้า ระหว่างกัน ตลอดจนใช้โอกาสที่กระทรวงพาณิชย์จัดกิจกรรมต่อยอดธุรกิจจากการจัดงานมหกรรมระดับโลก World Expo 2010 ที่รัฐบาลมหานครเซี่ยงไฮ้เป็นเจ้าภาพ และเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ไทย-จีนอย่างเป็นทางการครบ 35 ปี ได้แก่ งาน Thailand Trade Expo ครั้งที่ 4 และการจัดงาน Dinner Talk & Business Networking ทั้งนี้ รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้เป็นสักขีพยานในการลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกัน (MOU) ได้แก่ การลงนามบันทึก ความเข้าใจร่วมกัน (MOU) ระหว่างกรมส่งเสริมการส่งออก หอการค้าไทยในจีน และบริษัท CP Lotus เพื่อขยาย ช่องทางจัดจำหน่ายสินค้าไทยสู่ตลาดสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างยั่งยืน และส่งเสริมประชาสัมพันธ์การสร้าง แบรนด์สินค้าไทยให้เป็นที่รู้จักในหมู่ผู้บริโภคจีน และการลงนามบันทึกความเข้าใจร่วมกัน (MOU) ระหว่างภาคเอก ชนไทยกับภาคเอกชนจีน เพื่อส่งเสริมการจำหน่ายสินค้าไทยในตลาดจีนผ่านช่องทางเชนสโตร์ และร้านจำหน่าย สินค้าของขวัญของตกแต่งบ้าน (Flagship Store) ในจีนที่จะเปิดขึ้นเป็นแห่งแรกในมหานครเซี่ยงไฮ้ 2. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และคณะผู้บริหารระดับสูงกระทรวงพาณิชย์ได้ประชุมหารือเกี่ยวกับ สถานการณ์การค้าการลงทุนไทยในจีนและทิศทางนโยบายการค้าระหว่างประเทศของไทยต่อตลาดจีนกับผู้อำนวย การสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศที่สำนักงานตั้งอยู่ในประเทศจีน ฮ่องกง และไต้หวัน ซึ่งผลการหารือ ที่ประชุมเห็นควรจัดลำดับให้ความสำคัญในการจัดสรรทรัพยากรและงบประมาณขยายตลาดไปยังภูมิภาคจีนให้เพิ่ม มากขัน โดยให้พิจารณาจากกลุ่มสินค้าที่มีศักยภาพในมณฑลต่าง ๆ และให้ขยายพื้นที่ตลาดไปยังมณฑลอื่น ๆ ที่ ไทยยังไม่ได้รุกขยายตลาดเข้าไปมากนัก โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้มอบนโยบายให้ทุกสำนักงานส่ง เสริมการค้าระหว่างประเทศในภูมิภาคจีนเร่งพิจารณาเสนอโครงการจัดกิจกรรมส่งเสริมตลาดรูปแบบใหม่ตามแนว ทางนโยบายที่กำหนดเพื่อกระตุ้นการส่งออกของไทยไปยังตลาดจีนให้ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
|
||||||||||||||||||
| 491 | ร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวม 4 ฉบับ | นร | 07/09/2553 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบร่างกฎหมาย จำนวน 4 ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ 1.1 ร่างพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ คือ รวบรวมกฎหมายว่าด้วยการกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กฎ หมายรายได้ท้องถิ่น กฎหมายจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กฎหมายเกี่ยวกับข้าราชการส่วนท้องถิ่น และกฎ หมายอื่นตามหมวด 14 การปกครองส่วนท้องถิ่น จัดทำเป็นประมวลกฎหมายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อ ประโยชน์ในการอ้างอิงและใช้กฎหมายที่จะรวมอยู่ในฉบับเดียวกัน และปรับปรุงบทบัญญัติในกฎหมายดังกล่าวให้ เหมาะสมกับสภาพปัจจุบัน 1.2 ร่างประมวลกฎหมายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีสาระสำคัญคือ รวมบทบัญญัติเกี่ยวกับการ จัดตั้ง การบริหาร อำนาจหน้าที่ รายได้ และการกำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อันได้แก่ องค์การบริหาร ส่วนจังหวัด เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบล เข้าไว้ด้วยกัน (ยกเว้นกรุงเทพมหานครและการปกครองท้อง ถิ่นรูปแบบอื่น) รวมทั้งประมวลบทบัญญัติเกี่ยวกับการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งหมด เข้าไว้ด้วยกัน 1.3 ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงกฎหมาย ว่าด้วยระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นให้เหมาะสมกับการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่นในปัจจุบันและสอด คล้องกับหลักการตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 1.4 ร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไข เพิ่มเติมพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 โดยจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการการกระจาย อำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการส่วนท้องถิ่นในสังกัดสำนัก นายกรัฐมนตรี 2. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีแก้ไขในส่วนของร่างประมวลกฎหมายองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นเกี่ยวกับการกำหนดให้ผู้บริหารท้องถิ่นวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสี่ปี และดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกิน สองวาระไม่ได้ ไม่สอดคล้องกับกฎหมายจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งไม่ได้จำกัด วาระการดำรงตำแหน่งของผู้บริหาร จึงสมควรแก้ไขให้สอดคล้องกัน ตามความเห็นของคณะรัฐมนตรี และให้ส่ง คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป |
||||||||||||||||||
| 492 | สรุปผลการประชุมโต๊ะกลมรัฐมนตรีจีน - อาเซียน ด้านการศึกษา ครั้งที่ 1 | ศธ | 07/09/2553 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอสรุปผลการประชุมโต๊ะกลมรัฐมนตรีจีน-อาเซียน ด้านการศึกษา ครั้งที่ 1 ซึ่งเป็นกิจกรรมส่วนหนึ่งของการจัดเทศกาลสัปดาห์การศึกษาจีน-อาเซียน ครั้งที่ 3 โดยกระทรงศึกษาธิการ กระทรวงการต่างประเทศ และจังหวัดกุ้ยโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ประสงค์จะเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างอาเซียน และจีน ด้านการศึกษา มีพิธีเปิดการประชุมฯ เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2553 โดยในส่วนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของไทยได้กล่าวสุนทรพจน์ในหัวข้อ “การเสริมสร้างความร่วมมือด้านการศึกษาจีน-อาเซียน การแลกเปลี่ยนนักเรียน และการสอนภาษา” โดยขอส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอาเซียนและจีนภายใต้กรอบการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกเพื่อยกระดับการแข่งขันภูมิภาค การร่วมแบ่งปันทรัพยากรทางการศึกษาระหว่างกัน นำไปสู่การส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเพื่อรองรับการปรับตัว และการเคลื่อนย้ายประชาชนในภูมิภาค รวมทั้งการสนับสนุนการดำเนินการของอาเซียน ซีมีโอ และเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน เพื่อร่วมมือกันดำเนินโครงการในการเพิ่มโอกาสทางการศึกษา ส่งเสริมการไหลเวียนขององค์ความรู้อย่างเสรี สร้างเสริมทักษะของแรงงาน และการเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพให้แก่ประชาชนในภูมิภาค ทั้งนี้ ภายหลังจากการประชุมฯ แล้ว ได้มีการออกแถลงการณ์กุ้ยหยาง (the Guiyang Declaration) ร่วมกัน สาระสำคัญมีดังนี้
1. การเสริมสร้างความร่วมมือในการสร้างกลไกเพื่อส่งเสริมการติดต่อสื่อสารระหว่างประชาชนกับประชาชน และการหารือกันระหว่างผู้บริหารระดับสูง เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างกันในด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การสาธารณสุข และกีฬา 2. การส่งเสริมการเพิ่มจำนวนทุนการศึกษาจากทั้งสองฝ่าย โดยสาธารณรัฐประชาชนจีนจะเริ่มต้นโครงการแลกเปลี่ยนนักเรียนจีนอาเซียน จำนวน 100,000 คน ภายในปี 2563 3. การพัฒนาคุณภาพการศึกษาโดยการเรียนรู้จากแนวปฏิบัติที่ดีของแต่ละประเทศเพื่อที่จะสามารถรับมือกับสิ่งท้าทายที่เกิดจากความก้าวหน้าทางสังคมเศรษฐกิจที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว และการพัฒนาในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยจะมีการพัฒนาโครงการร่วมปริญญาโทและเอกในสาขาด้านการศึกษา สิ่งแวดล้อม การแพทย์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 4. การดำเนินการเพื่อมุ่งไปสู่การยอมรับคุณวุฒิการศึกษาระหว่างกันในระหว่างประเทศสมาชิกรวมถึงการรับรองและถ่ายโอนหน่วยกิตระหว่างมหาวิทยาลัย ในสาธารณรัฐประชาชนจีน และประเทศอาเซียน 5. การสนับสนุนโครงการแลกเปลี่ยนเยาวชนจีนอาเซียน 100,000 คน เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยน การเรียนรู้ด้านภาษา วัฒนธรรม การกีฬาภายในปี 2563
|
||||||||||||||||||
| 493 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน" | สสป | 24/08/2553 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง
“แนวทางการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน” ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และ รับทราบความเห็น ผลการพิจารณาและผลการดำเนินการของสำนักงานคณะกรรมการปราบปรามการทุจริตในภาค รัฐร่วมกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ดังนี้ 1. มาตรการทางสังคม 1.1 ส่งเสริมให้มีการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมให้แก่ประชาชนในทุกระดับเพื่อสร้างจิตสำนึกที่ดี เพื่อ สร้างการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันโดยกำหนดให้เป็นนโยบายระดับชาติต้องดำเนินการอย่าง ต่อเนื่อง 1.2 ส่งเสริมให้ผู้นำประเทศหรือผู้บริหารดำรงตนเป็นตัวอย่างที่ดีในด้านความซื่อสัตย์ สุจริต คุณธรรม และจริยธรรม 1.3 ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน 1.4 สร้างเครือข่ายความร่วมมือในการเฝ้าระวังการทุจริตคอร์รัปชัน 1.5 ส่งเสริมบทบาทภาคประชาชน เปิดโอกาสและเพิ่มช่องทางการร้องเรียนเรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน ให้มากยิ่งขึ้น 2. มาตรการทางกฎหมาย 2.1 ให้มีการบังคับใช้กฎหมายในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ 2.2 ให้มีบทบัญญัติกฎหมายที่คุ้มครองหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการปราบปรามการทุจริตจากการถูก ฟ้องกลับ รวมถึงประชาชนที่เป็นผู้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่สาธารณะและหน่วยงานของรัฐ 2.3 ยกเลิกอายุความในการดำเนินคดีการทุจริตคอร์รัปชันเนื่องจากความผิดเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัป ชันเป็นการกระทำที่กระทบต่อผลประโยชน์สาธารณะผู้ที่กระทำความผิดจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายโดยไม่มีเงื่อนไข เรื่องขาดอายุความฟ้องร้อง 2.4 แก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันให้เป็นระบบสากล โดยยึดแนวทางของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ค.ศ. 2003 และควรให้สัตยาบันอนุสัญญา ฉบับนี้ด้วย 2.5 ใช้มาตรการทางกฎหมายในการเพิ่มโทษที่รุนแรงในการกระทำความผิดฐานทุจริตคอร์รัปชัน 3. การมีระบบตรวจสอบที่ดี 3.1 ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องแสดงสถานะทางการเงินของตนโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับการ กำหนดนโยบายด้านการคลังและการเงินของประเทศหรือทำหน้าที่เกี่ยวข้องในการดูแลเรื่องตลาดการเงินของประเทศ 3.2 ให้มีการสร้างระบบตรวจสอบจากภาคประชาชนและสื่อมวลชนเพื่อช่วยดำเนินการตรวจสอบควบคู่ กับการดำเนินงานของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 3.3 ให้องค์การทำหน้าที่ในการตรวจสอบมีความอิสระและปราศจากการแทรกแซงใดๆ เพื่อให้สามารถ นำกฎหมายมาบังคับใช้ได้อย่างเต็มที่ ปราศจากการแทรกแซงใด ๆ จากทุกฝ่าย 4. ด้านการสนับสนุนการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 4.1 ดำเนินการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันในประเทศอย่างจริงจังเป็นวาระแห่งชาติและมีนโยบาย ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันที่ชัดเจน และต้องรายงานความก้าวหน้าผลการดำเนินงานประจำ ปีที่ผ่านมาต่อประชาชน 4.2 จัดสรรงบประมาณสนับสนุนองค์กรพัฒนาเอกชนและองค์กรภาคประชาชนให้ทำงานคู่ขนานร่วม กับองค์กรอิสระ 4.3 ยกย่องหน่วยงานที่ซื่อสัตย์สุจริต เช่น การมอบรางวัลเกียรติคุณหรือประกาศชมเชยในการสร้าง ความดีและซื่อสัตย์สุจริต 4.4 ผลักดันให้มีการดำเนินการเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันให้เป็นไปตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วย การต่อต้านการทุจริต ค.ศ. 2003 ซึ่งประเทศไทยได้ลงนามในสัญญาเมื่อเดือนธันวาคม 2546
|
||||||||||||||||||
| 494 | รายงานผลการเดินทางไปราชการ ณ เมืองโอซากาและเมืองนาโกยาประเทศญี่ปุ่น ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (วันที่ 22 - 27 กรกฎาคม 2553) | กก | 24/08/2553 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยราย
งานผลการเดินทางไปราชการ ณ เมืองโอซากา และเมืองนาโกยา ประเทศญี่ปุ่น ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ ท่องเที่ยวและกีฬา เมื่อวันที่ 22-27 กรกฎาคม 2553 เพื่อเป็นประธานเปิดงานลอยกระทงไนท์ และเป็นประธาน การหารือการส่งเสริมการท่องเที่ยวร่วมกับผู้บริหารระดับสูงของบริษัทท่องเที่ยวชั้นนำของเมืองโอซากา และเมือง นาโกยา โดยในส่วนของผลการหารือกับผู้บริหารระดับสูงของบริษัทท่องเที่ยวฯ สรุปได้ดังนี้ 1. การหารือกับผู้บริหารระดับสูงของธุรกิจท่องเที่ยวเมืองโอซากา ผลการหารือผู้บริหารระดับสูงของ ธุรกิจท่องเที่ยวเมืองโอซากาได้แสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะว่า นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นส่วนใหญ่ยังมีความประสงค์ เดินทางท่องเที่ยวไปประเทศไทย แต่ขอให้ประชาสัมพันธ์สร้างภาพลักษณ์ด้าน Thailand Land of Smile และด้าน ความปลอดภัยให้มากขึ้นเพื่อให้นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นมีความมั่นใจและเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทยมากขึ้น สำหรับ บริษัทนำเที่ยวญี่ปุ่นมีความประสงค์ให้มีการแลกเปลี่ยนด้านกีฬาของไทย เช่น มวยไทย ตะกร้อ เพื่อให้เกิดการเดิน ทางเข้าประเทศไทยมากขึ้น และขอให้เสนอขายกอล์ฟสำหรับตลาดสตรี เนื่องจากจะมีการจัดการแข่งขัน Golf Toumament ในประเทศไทย ในส่วนของสื่อมวลชนท้องถิ่นญี่ปุ่นแจ้งว่า นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นไม่เข้าใจเรื่องพระราช บัญญัติการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินว่าคืออะไร จึงขอให้ประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัย มากยิ่งขึ้น 2. การหารือกับผู้บริหารระดับสูงของธุรกิจท่องเที่ยวเมืองนาโกยา ผลการหารือผู้บริหารระดับสูงของ ธุรกิจท่องเที่ยวเมืองนาโกยาได้แสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะว่า ในปี พ.ศ. 2552 และช่วงปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ ลำบากในการทำตลาดในประเทศไทยของบริษัทนำเที่ยวญี่ปุ่น เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในประเทศไทย ปัจจุบันตลาดยังไม่ฟื้นตัวดี แต่ประเทศไทยยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมของนักท่องเที่ยวญี่ปุ่น โดย บริษัทนำเที่ยวได้เลี่ยงเส้นทางกรุงเทพมหานครไปขายจังหวัดอื่น เช่น จังหวัดภูเก็ต เกาะสมุย เป็นต้น ทั้งนี้ ขอให้ ทำการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ประเทศไทยผ่านสื่อต่าง ๆ ของญี่ปุ่น เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง เพื่อช่วยใน เรื่องการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยว
|
||||||||||||||||||
| 495 | ความคืบหน้าในการดำเนินการเกี่ยวกับการสมัครเข้ารับการเลือกตั้งในตำแหน่งสมาชิกสภาบริหารของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ | ทก | 10/08/2553 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ดังนี้
1. รับทราบผลการดำเนินงานของประเทศไทยในการสมัครรับเลือกตั้งซ้ำในตำแหน่งสมาชิกสภาบริหาร ของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ โดยกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้มีหนังสือถึงเลขาธิ การสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ ลงวันที่ 1 ธันวาคม 2552 แจ้งว่า ประเทศไทยสมัครรับเลือกตั้งตำแหน่ง สมาชิกสภาบริหาร ภูมิภาคเอเชียและออสตราเลเซีย ในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศได้มีหนังสือถึงสถานเอก อัครราชทูตประเทศสมาชิกสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ ประจำประเทศไทยเพื่อขอรับการสนับสนุน พร้อม ทั้งได้มีหนังสือแจ้งไปยังสถานเอกอัครราชทูตของไทย ประจำประเทศที่เป็นสมาชิกสหภาพฯ เพื่อพิจารณาดำเนิน การเกี่ยวกับการขอเสียงการสมัครรับเลือกตั้งของไทยด้วย นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสน เทศและการสื่อสารได้มีหนังสือถึงรัฐมนตรีด้านโทรคมนาคม/ICT ของประเทศสมาชิกสหภาพฯ เพื่อขอเสียง/แลก เสียง 2. เห็นชอบให้กระทรวงต่าง ๆ ของไทยพิจารณาหยิบยกประเด็นการสมัครรับเลือกตั้งซ้ำในตำแหน่ง สมาชิกสภาบริหารฯ ของประเทศไทย เพื่อขอเสียงสนับสนุนจากประเทศต่าง ๆ ในโอกาสที่มีผู้แทนระดับสูงหรือ เอกอัครราชทูตจากประเทศสมาชิกสหภาพฯ เข้าพบผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานไทย หรือผู้บริหารระดับสูงใน หน่วยงานของไทยเดินทางไปราชการต่างประเทศ และมีโอกาสพบปะกับผู้บริหารระดับสูงของประเทศสมาชิกสห ภาพฯ ด้วย
|
||||||||||||||||||
| 496 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏกาฬสินธุ์ พ.ศ. .... | ศธ | 13/07/2553 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขา
วิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏกาฬสินธุ์ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวง ศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราช กฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญดังนี้ 1. กำหนดปริญญาในสาขาวิชา และอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาการศึกษา สาขาวิชานิติศาสตร์ สาขา วิชาบริหารธุรกิจ สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ และสาขาวิชาศิลปศาสตร์ 2. กำหนดครุยวิทยฐานะของมหาวิทยาลัย ครุยประจำตำแหน่ง และเครื่องหมายประกอบครุยประจำ ตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัย กรรมการสภามหาวิทยาลัย ผู้บริหาร และคณาจารย์ 3. กำหนดเข็มวิทยฐานะของมหาวิทยาลัย 4. กำหนดสีประจำสาขาวิชา
|
||||||||||||||||||
| 497 | การขอความเห็นชอบและอนุมัติการลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการอุดมศึกษาไทย - มาเลเซีย | ศธ | 06/07/2553 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบการจัดทำบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding-MOU) ว่าด้วยความร่วมมือด้าน การอุดมศึกษาระหว่างไทย-มาเลเซีย โดยบันทึกความเข้าใจ ฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนบุคลากรทางการ ศึกษา นักวิจัย ครู และนักศึกษา รวมไปถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร สื่อการเรียนการสอน และวัสดุการสาธิต เพื่อการศึกษา รวมทั้งการจัดนิทรรศการและสัมมนาทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาดูงาน การฝึกอบรมผู้บริหาร การศึกษาและอาจารย์ การจัดทำหลักสูตรลักษณะทวิภาคีร่วมกันระหว่างสถาบันการศึกษาขั้นสูงในระดับโรงเรียนเทค นิค วิทยาลัยอาชีวศึกษา และสถาบันอุดมศึกษาที่ได้รับการรับรองวิทยฐานะ การศึกษาความเป็นไปได้ในการถ่ายโอน หน่วยกิต และความเป็นไปได้ในการยอมรับคุณวุฒิทางการศึกษาและการวิจัยในสาขาที่มีความสนใจร่วมกัน เป็นต้น 2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย 3. หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าว ที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผล ประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก
|
||||||||||||||||||
| 498 | ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... | นร | 08/06/2553 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชนในการ บริหารงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ไปพิจารณาว่า จะสมควรรวมกับร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างการ พิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิก สภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการประสานงาน ด้านนิติบัญญัติ และร่างพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่าง การพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้หรือไม่ เพียงใด เนื่องจากร่างพระราชบัญญัติฯ ที่สำนักงาน ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอมีหลักการบางเรื่องทำนองเดียวกับร่างพระราชบัญญัติทั้ง 3 ฉบับดังกล่าว เช่น การ เข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่นและการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น และ บางเรื่องเป็นสาระใหม่ที่ไม่มีกำหนดไว้ในร่างพระราชบัญญัติทั้ง 3 ฉบับ เช่น การรายงานการดำเนินงานต่อประชา ชนในการจัดทำงบประมาณ การใช้จ่าย และผลการดำเนินงานในรอบปี 2. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณที่เห็นว่าในการรายงานการ ดำเนินงานที่เกี่ยวกับงบประมาณควรกำหนดขอบเขตของรายรับที่จะรายงานให้ชัดเจน เนื่องจากรายรับขององค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ประกอบด้วยรายได้จาก 3 แหล่ง คือ รายได้ที่ อปท. จัดเก็บเอง รายได้ที่รัฐจัดเก็บให้ และแบ่งให้ และเงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้ ส่วนการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมตามร่างพระราชบัญญัติฯ อาจ มีค่าใช้จ่าย จึงควรกำหนดให้ใช้จ่ายจากเงินรายได้ของ อปท. ไปพิจารณา แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง |
||||||||||||||||||
| 499 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ พ.ศ. .... | ศธ | 18/05/2553 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับ
สาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการ ต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญดังนี้ 1. กำหนดปริญญาในสาขาวิชา และอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาการบัญชี สาขาวิชาการศึกษา สาขา วิชาเทคโนโลยี สาขาวิชานิติศาสตร์ สาขาวิชานิเทศศาสตร์ สาขาวิชาบริหารธุรกิจ สาขาวิชารัฐประศาสน ศาสตร์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาศิลปศาสตร์ และสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ 2. กำหนดครุยวิทยฐานะของมหาวิทยาลัย ครุยประจำตำแหน่งและเครื่องหมายประกอบครุยประจำ ตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัย กรรมการสภามหาวิทยาลัย ผู้บริหาร และคณาจารย์ 3. กำหนดเข็มวิทยฐานะของมหาวิทยาลัย 4. กำหนดสีประจำสาขาวิชา
|
||||||||||||||||||
| 500 | สรุปผลการเดินทางไปราชการ ณ สหราชอาณาจักร และสาธารณรัฐฝรั่งเศสของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ระหว่างวันที่ 29 - 31 มกราคม 2553 และระหว่างวันที่ 8 - 9 มีนาคม 2553) | วท | 18/05/2553 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอสรุปผลการเดินทางไปราช
การ ณ สหราชอาณาจักร และสาธารณรัฐฝรั่งเศส ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สรุป ได้ดังนี้ 1. การเดินทางไปราชการ ณ สหราชอาณาจักร ระหว่างวันที่ 29-31 มกราคม 2553 1.1 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้ศึกษาดูงาน รวมทั้งพบหารือกับผู้บริหาร University of East Anglia ณ เมือง Norwich ภายใต้โครงการความร่วมมือ UK Thailand Partner in Science ผลการ เจรจาความร่วมมือ ฝ่ายไทยได้แจ้งให้ทราบว่า นโยบายของรัฐบาลที่ได้ประกาศใช้พลังงานทดแทนเพิ่มขึ้นเป็นร้อย ละ 20 ภายในปี ค.ศ. 2022 และการเพิ่มพื้นที่การปลูกป่าให้มีพื้นที่ป่าไม้ จากร้อยละ 30 เป็นร้อยละ 40 ของพื้นที่ ประเทศ เพื่อเพิ่มศักยภาพการดูดซับก๊าซเรือนกระจก 1.2 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้ร่วมประชุมวิชาการประจำปี 2553 ของ สามัคคีสมาคม ครั้งที่ 3 ภายใต้หัวข้อ "การผสมผสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน อุตสาหกรรมและหน่วย งานวิจัย เพื่อพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน" ณ ห้องประชุมของมหาวิทยาลัย Imperial College โดยรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้บรรยายพิเศษในหัวข้อ "การพัฒนาประเทศด้วยงานวิจัย" เนื้อหาประกอบ ด้วยนโยบายของรัฐบาลที่สนับสนุนโครงการการวิจัยตามแนวพระราชดำริ การวิจัยเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมและใช้ ประโยชน์เชิงพาณิชย์ การวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต การตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี (กรอ.วท.) เพื่อใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และการกำหนดเป้าหมาย การเพิ่มบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ จาก 6.5 คน เป็น 10 คน ต่อประชากร 10,000 คน และเพิ่มงบประมาณการ วิจัย จาก 0.21% เป็น 1% ของ GDP รวมถึงการเพิ่มสัดส่วนค่าใช้จ่ายการวิจัยของภาครัฐและเอกชนเป็น 50 : 50 เป็นต้น 2. การเดินทางเยือนสาธารณรัฐฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 8-9 มีนาคม 2553 รัฐมนตรีว่าการกระทรวง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้เข้าร่วมการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยความร่วมมือด้านพลังงานนิวเคลียร์ ณ ศูนย์ การประชุม OECD Conference Center กรุงปารีส โดยการประชุมดังกล่าวประกอบด้วยการประชุมโต๊ะกลม และ การกล่าวสุนทรพจน์ของผู้นำ โดยประธานาธิบดีฝรั่งเศส และผู้นำประเทศต่าง ๆ ได้ร่วมกล่าวสุนทรพจน์แสดงถึง ความจำเป็นในการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เพื่อกระจายสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงไม่ให้ขึ้นกับแหล่งพลังงานใดมาก เกินไป โดยพลังงานนิวเคลียร์เป็นพลังงานที่ยั่งยืน ปราศจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ รวมถึงการรักษา สิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ เทคโนโลยีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไม่ควรที่จะจำกัดอยู่เพียงเจ้าของเทคโนโลยี แต่ควรสนับสนุน ประเทศใหม่ที่มีโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ด้านเทคโนโลยี ความปลอดภัย และการลงทุน ทั้งนี้ การดำเนินโครง การโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ต้องคำนึงความปลอดภัย การไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ การจัดการเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ที่ ใช้แล้ว การยอมรับของประชาชน และความโปร่งใสของโครงการฯ
|
||||||||||||||||||
.....
