ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 24 จากทั้งหมด 55 หน้า แสดงรายการที่ 461 - 480 จากข้อมูลทั้งหมด 1084 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 461 | ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยคะแนนเสียงเพื่ออถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร | 20/04/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร วันพุธที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๔ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ตามที่สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
| 462 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณช่วยเหลือผู้ประกอบการด้านการขนส่งทางอากาศที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานดอนเมือง ถูกปิดล้อมของศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค (เพิ่มเติม) | คค | 04/04/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณสนับสนุนค่าใช้จ่ายบริการสาธารณูปโภค และบริการอื่น ๆ ให้กับบริษัท บรินทร จำกัด ผู้บริหารศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทคในการให้ความช่วยเหลือผู้โดยสารสายการบินระหว่างประเทศตกค้างในช่วงที่มีการปิดล้อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานดอนเมืองเพิ่มเติมเป็นค่าไฟฟ้าและภาษีมูลค่าเพิ่มตามรายการค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงอีกจำนวน ๑๗๘,๐๙๔ บาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และให้กระทรวงคมนาคมขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณโดยตรงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||
| 463 | การปรับเงินเดือนขั้นต่ำขั้นสูงและการได้รับเงินเดือนของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา | ศธ | 04/04/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการที่เห็นควรเทียบเคียงบัญชีเงินเดือนของรองศาสตราจารย์และผู้ช่วยศาสตราจารย์กับบัญชีเงินเดือนขั้นสูงของตำแหน่งประเภทผู้บริหารในสถาบันอุดมศึกษา ตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานอธิการบดีหรือเทียบเท่า และตำแหน่งผู้อำนวยการกองหรือเทียบเท่า ตามลำดับ ๒. อนุมัติหลักการร่างกฎ ก.พ.อ. จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๒.๑ ร่างกฎ ก.พ.อ. ว่าด้วยการปรับเงินเดือนขั้นต่ำขั้นสูงของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับเงินเดือนขั้นต่ำขั้นสูงของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาตามที่กำหนดไว้ในบัญชีเงินเดือนขั้นต่ำขั้นสูงของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ท้ายกฎ ก.พ.อ. ว่าด้วยการกำหนดบัญชีเงินเดือนขั้นต่ำขั้นสูงของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๓ ๒.๒ ร่างกฎ ก.พ.อ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาได้รับเงินเดือน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๒.๒.๑ ยกเลิกกฎ ก.พ.อ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาได้รับเงินเดือน พ.ศ. ๒๕๕๓ ๒.๒.๒ กำหนดให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาได้รับเงินเดือนขั้นต่ำตามตำแหน่ง ประเภท สายงาน และระดับที่ได้รับแต่งตั้ง เว้นแต่บุคคลที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนด ให้ได้รับเงินเดือนตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.พ.อ. กำหนด ๒.๒.๓ กำหนดให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาผู้ดำรงตำแหน่งวิชาการตำแหน่งศาสตราจารย์ ตำแหน่งประเภททั่วไประดับชำนาญงานพิเศษ และตำแหน่ง ประเภท สายงาน และระดับอื่นที่ ก.พ.อ. กำหนด ให้ได้รับเงินเดือนตามที่ ก.พ.อ. กำหนด ๒.๒.๔ กำหนดให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาซึ่งได้รับเงินเดือนสูงกว่าขั้นสูงของตำแหน่งที่ได้รับแต่งตั้งอยู่เดิมให้ได้รับเงินเดือนตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.พ.อ. กำหนด ๒.๒.๕ กำหนดให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาที่โอน ตามมาตรา ๓๒ หรือขอกลับเข้ารับราชการ ตามมาตรา ๓๔ ให้ได้รับเงินเดือนตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.พ.อ. กำหนด ๒.๒.๖ กำหนดให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง แต่ปรากฏภายหลังว่าเป็นผู้ขาดคุณสมบัติเฉพาะสำหรับตำแหน่งนั้น ตามมาตรา ๓๓ ให้ได้รับเงินตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.พ.อ. กำหนด |
|||||||||||||||||||||
| 464 | โครงการการแปลงแผนแม่บทระบบสถิติประเทศไทยสู่การปฏิบัติ | ทก | 04/04/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) รายงานการดำเนินการจัดทำโครงการแปลงแผนแม่บทระบบสถิติประเทศไทยสู่การปฏิบัติ ๔ โครงการย่อย เพื่อปรับปรุงกระบวนการสารสนเทศของภาครัฐโดยการบริหารจัดการ ซึ่งมีเป้าหมายให้เกิดระบบนำเสนอข้อมูลสถิติและสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจ (Thailand One Minute) บุคลากรด้านสถิติขององค์กรภาครัฐมีความเป็นมืออาชีพด้านข้อมูลสถิติและสารสนเทศ และเกิดวัฒนธรรมการใช้ข้อมูลสถิติและสารสนเทศสนับสนุนการตัดสินใจในระดับต่าง ๆ โดยมีสาระสำคัญของแต่ละโครงการและงบประมาณดำเนินการ ดังนี้
๑. โครงการบูรณาการสารสนเทศภาครัฐ (Governmental Information Integration System) ระบบข้อมูลของ สสช. เป็นการเก็บข้อมูลตามระเบียบวิธีทางสถิติซึ่งมีรอบระยะเวลาในการดำเนินการและกรอบตัวอย่างที่มีความแตกต่างจากข้อมูลปฐมภูมิหรือข้อมูลการจดทะเบียนตามภารกิจ ซึ่งเป็นข้อมูลเชิงปฏิบัติการของหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ ดังนั้น เพื่อให้ระบบการจัดทำทะเบียนและกระบวนการทางสถิติสามารถสนับสนุนนโยบายและการดำเนินนโยบายได้อย่างมีประสิทธิภาพ สสช. จึงได้จัดทำโครงการบูรณาการสารสนเทศภาครัฐ เพื่อปรับปรุงกระบวนการสารสนเทศของภาครัฐเพื่อการบริหารจัดการ งบประมาณดำเนินการโครงการฯ จำนวน ๙๕ ล้านบาท ๒. โครงการพัฒนาระบบภูมิสารสนเทศเพื่องานสถิติ (Geographical Information System for Statistics) ปัจจุบันหน่วยงานภาครัฐมีการประยุกต์ใช้ข้อมูลสารสนเทศเป็นจำนวนมาก ซึ่งทำให้การสื่อสารด้วยระบบแผนที่ดิจิตอลระหว่างหน่วยงานมีความสะดวกมากยิ่งขึ้น ข้อมูลภูมิสารสนเทศสามารถสนับสนุนภารกิจหรือกระบวนการทางสถิติได้ใน ๒ ระดับ คือ ระดับของการแสดงผลซึ่งอยู่ในรูปแผนที่แสดงแนวเขตตำบล อำเภอ และจังหวัด โดย สสช. ได้มีการพัฒนาและให้บริการต่อภาครัฐและบุคคลทั่วไปแล้ว และระดับการติดตามและประเมินผลซึ่งเน้นการใช้แผนที่แสดงพื้นที่ที่สนใจ โดยจะช่วยในกระบวนการติดตามและประเมินผลเชิงนโยบายได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการประเมินคุณภาพการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี การประยุกต์ใช้แผนที่เพื่องานสถิติเชิงปฏิบัติการนี้จำเป็นต้องมีเครื่องมือและทักษะที่เหมาะสมในการกำหนดปัญหาเชิงพื้นที่ งบประมาณดำเนินการโครงการฯ จำนวน ๗๐ ล้านบาท ๓. โครงการสร้างวัฒนธรรมการประยุกต์ใช้สถิติและสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจ (Evidence - based Statistics for Decision Making) เป็นโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ข้อมูล (Capacity Building Project) ที่นำหลักการของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการตัดสินใจผ่านกระบวนการทางสถิติ และการตั้งสมมติฐานก่อนดำเนินการทางสถิติ กล่าวคือ การเก็บข้อมูลทางสถิติต้องมีประเด็นที่สำคัญและความคาดหมายหรือผลของการเปลี่ยนแปลง ซึ่งล้วนแต่เป็นขั้นตอนการวิจัยทั้งสิ้น เพื่อเป็นการเพิ่มขีดความสามารถและสร้างวัฒนธรรมสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจ งบประมาณดำเนินการโครงการฯ จำนวน ๒๐ ล้านบาท ๔. โครงการพัฒนาระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision Support System) ระบบสนับสนุนการตัดสินใจเป็นการนำเสนอข้อมูลรายงานสถิติสารสนเทศมาประกอบกับข้อมูลเชิงพื้นที่ เพื่อเป็นเครื่องมือสำหรับผู้บริหารในการตัดสินใจในเหตุการณ์ที่ไม่มีใครสร้างแน่นอนโดยใช้ข้อมูลสถิติที่มีอยู่ และช่วยผู้บริหารในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ วิเคราะห์ข้อมูลที่มีรูปแบบที่ซับซ้อน ระบบนี้ยังครอบคลุมถึงการทำให้หน่วยงานทุกภาคส่วนและประชาชนที่ใช้ระบบสามารถรู้ข้อมูลสถิติด้านต่าง ๆ เช่น สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ในภาพรวมของประเทศไทยได้ภายในเวลาสั้น โดยสามารถดูข้อมูลในระดับประเทศ ภาค จังหวัด และลงลึกได้ถึงระดับองค์การบริหารส่วนตำบล งบประมาณดำเนินการโครงการฯ จำนวน ๒๘ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||
| 465 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเงินเดือน เงินเพิ่ม เงินค่าเบี้ยประชุม และเงินตอบแทนอื่นของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ข้าราชการการเมืองอื่น ของกรุงเทพมหานคร และกรรมการที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครแต่งตั้ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | มท | 04/04/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงมหาดไทยรับไปพิจารณาดำเนินการปรับอัตราเงินเดือนหรือค่าตอบแทนให้แก่ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและพนักงานส่วนท้องถิ่นให้เหมาะสมทั้งระบบให้สอดคล้องกับการปรับอัตราเงินเดือนข้าราชการพลเรือนสามัญและข้าราชการประเภทอื่น แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาพร้อมกับร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเงินเดือน เงินเพิ่ม เงินค่าเบี้ยประชุม และเงินตอบแทนอื่นของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ข้าราชการการเมืองอื่นของกรุงเทพมหานคร และกรรมการที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครแต่งตั้ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
|
|||||||||||||||||||||
| 466 | รายงานผลการเดินทางโลจิสติกส์การค้าสัญจร ครั้งที่ 1/2554 เยือนจังหวัดระนอง และประจวบคีรีขันธ์ | พณ | 01/03/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการเดินทางสำรวจเส้นทางโลจิสติกส์ตามโครงการโลจิสติกส์การค้าสัญจร ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ ณ จังหวัดระนอง และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ของคณะกรรมการโลจิสติกส์การค้า ระหว่างวันที่ ๗ - ๘ มกราคม ๒๕๕๔ โดยคณะกรรมการฯ และผู้แทนระดับสูงจากกระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ รวมทั้งผู้แทนหอการค้า และสภาอุตสาหกรรมจังหวัดที่เกี่ยวข้อง สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายอลงกรณ์ พลบุตร) ได้มอบนโยบายการพัฒนาโลจิสติกส์ของไทยจะต้องพัฒนาในลักษณะการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ (Multimodal Transportation) โดยใช้ประโยชน์จากข้อตกลงทางการค้า (FTA) ต่าง ๆ และจะพยายามดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเชื่อมประเทศในเอเชียใต้ กับกลุ่มประเทศ BIMSTEC และ IMT - GT โดยการผลักดันการสร้างเส้นทางเชื่อมโยง (Land Bridge) เชื่อมฝั่งอ่าวไทยและฝั่งอันดามัน ระหว่างจังหวัดระนอง - ชุมพร และประจวบคีรีขันธ์ และเป็นการเชื่อมโยงการขนส่งและการขนถ่ายสินค้าระหว่างประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) สู่กลุ่มประเทศ IMT - GT, BIMSTEC, ยุโรป, ตะวันออกกลาง และแอฟริกา รวมทั้งผลักดันการใช้ท่าเรือคู่แผด ท่าเรือระนอง - ท่าเรือประจวบ เพื่อเชื่อมฝั่งอ่าวไทยและฝั่งอันดามัน และการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดระนองในลักษณะเดียวกับเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด จังหวัดตาก เพื่อส่งเสริมการลงทุนให้กับผู้ประกอบการใช้เป็นฐานการผลิตที่สำคัญในภูมิภาค ๒. การพัฒนาท่าเรือและผลักดันให้มีเรือรับขนส่งสินค้าที่จะให้บริการขนส่งสินค้าทั้งในอ่าวไทยและในอ่าวเบงกอล กระทรวงพาณิชย์จะได้หารือกับการท่าเรือแห่งประเทศไทย ผู้บริหารท่าเรือเอกชน และบริษัทเรือทั้งของไทยและในภูมิภาค โดยมอบหมายให้รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ (นายราเชนทร์ พจนสุนทร) เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการโดยจะหารือกับฝ่ายไทยก่อนที่จะเดินทางหารือกับผู้บริหารท่าเรือในภูมิภาค เช่น จิตตะกอง ย่างกุ้ง ปีนัง และเชนไน เป็นต้น ๓. จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้เสนอยกระดับด่านสิงขรเป็นด่านถาวรผ่านกระทรวงมหาดไทยไปยังสภาความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งสภาความมั่นคงแห่งชาติได้เห็นชอบในหลักการเมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ และได้แจ้งกระทรวงการต่างประเทศประสานการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - พม่า (JBC) เพื่อการจัดทำการสำรวจเขตแดนร่วมกันโดยเร่งประสานกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า โดยได้ตั้งเป้าหมายให้สามารถเปิดด่านสิงขรเป็นด่านถาวรได้ภายในปีนี้ ซึ่งจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้เตรียมความพร้อมวางแผนพัฒนาบริเวณด่านสิงขรเพื่อรองรับการพัฒนาการค้าชายแดนที่จะเกิดขึ้นโดยมีแผนงานพัฒนาพื้นที่เฉพาะด่านสิงขร นอกจากนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายอลงกรณ์ พลบุตร) ได้กำหนดเส้นทางการค้าสำหรับประตูตะวันตก ๖ ประตู ได้แก่ แม่ฮ่องสอน - เนปิดอร์ (พม่า), เชียงราย - ยูนนาน (จีน), ตาก (แม่สอด) - เมียวดี - ทามู (พม่า) - มอเร่ (รัฐมณีปุระ อินเดีย), กาญจนบุรี (พุน้ำร้อน) - ทวาย, ประจวบคีรีขันธ์ (สิงขร) - มูด่อง (พม่า) - มะริด และ ระนอง - เกาะสอง - ย่างกุ้ง (พม่า) -BIMSTEC
|
|||||||||||||||||||||
| 467 | รายงานการประชุมสภารัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครั้งที่ 46 และ การประชุมรัฐมนตรีศึกษาอาเซียน ครั้งที่ 6 | ศธ | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการรายงานการประชุมสภารัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครั้งที่ ๔๖ และการประชุมรัฐมนตรีศึกษาอาเซียน ครั้งที่ ๖ ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๕๔ ที่ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของไทยได้กล่าวถ้อยแถลงในนามหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเกี่ยวกับการดำเนินความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและองค์การซีมีโอ โดยเฉพาะความร่วมมือในการจัดโครงการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาผู้บริหารในศตวรรษที่ ๒๑ ของกระทรวงศึกษาธิการ และการดำเนินโครงการการจัดการศึกษาสำหรับผู้ด้อยโอกาส การดำเนินโครงการทวิภาษา และการดำเนินโครงการการมีส่วนร่วมของชุมชนของซีมีโอ ในการนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของไทยและอินโดนีเซียได้ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจด้านการศึกษาระหว่างไทยและอินโดนีเซีย ประกอบด้วยการแลกเปลี่ยนข่าวสารและสิ่งพิมพ์วิชาการ การแลกเปลี่ยนครู นักเรียน และบุคลากรทางการศึกษา การแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญ การรับรองคุณวุฒิการศึกษา การให้ทุนแก่นักเรียน การดำเนินโครงการวิจัยร่วม การจัดฝึกอบรมด้านการอาชีวศึกษาและเทคนิค เป็นต้น ๒. ที่ประชุมรับทราบการปาฐกถาเรื่อง A Transformtion in Vocational Technical Education - The Way Forward โดย Dr. Law Song Seng ที่กล่าวถึงความสำเร็จในการจัดการศึกษาด้านอาชีวศึกษาของสิงคโปร์ ซึ่งนับเป็นต้นแบบการพัฒนาการดำเนินงานด้านอาชีวศึกษาของประเทศซีมีโอ ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของไทยได้เสนอข้อคิดเห็นในการประชุมโต๊ะกลมรัฐมนตรีศึกษาของซีมีโอ เกี่ยวกับการขับเคลื่อนนโยบายในเชิงยุทธศาสตร์ของซีมีโอ ได้แก่ การสนับสนุนการขยายเวลาของการดำรงตำแหน่งประธานสภาซีเมค จากเดิม ๑ ปี เป็นระยะเวลา ๒ ปี การส่งเสริมความร่วมมือกับซีมีโอในการพัฒนาภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางในการสื่อสารร่วมกัน ความร่วมมือในการพัฒนาด้าน ICT เพื่อเชื่อมโยงให้เกิดการพัฒนาการเรียนรู้ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และการจัดตั้งสถาบันความเป็นเลิศของซีมีโอเพื่อร่วมแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในภูมิภาค ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นชอบให้มีการขยายระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของประธานสภาซีเมค เป็น ๒ ปี ให้ลดระยะเวลาจัดการประชุมสภาซีเมค เหลือเพียง ๒ วัน พร้อมทั้งมอบให้สำนักเลขาธิการซีมีโอศึกษาแนวทางการดำเนินการดังกล่าวเพื่อจัดทำเป็นข้อมติเสนอต่อสภาซีเมคเพื่ออนุมัติต่อไป ๔. สาระสำคัญของการจัดประชุมรัฐมนตรีศึกษาอาเซียน ครั้งที่ ๖ ประกอบด้วย การรายงานการยกร่างแผน ๕ ปี ด้านการศึกษาของอาเซียน การรับทราบการจัดการแข่งขันกีฬาประถมศึกษาอาเซียน ครั้งที่ ๔ ณ ประเทศอินโดนีเซีย และการจัดค่ายเยาวชนมัธยมศึกษาอาเซียน ปี ๒๕๕๓ ที่ประเทศไทย และเห็นชอบร่างขอบเขตการดำเนินงานของการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการศึกษาของอาเซียน + ๓ ๕. ที่ประชุมเห็นชอบให้มีการจัดประชุมคณะกรรมการประสานงานเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการศึกษาของอาเซียนในเดือนมีนาคม ๒๕๕๔ ที่สำนักเลขาธิการอาเซียน กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อพิจารณารายละเอียดการจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านการศึกษาของอาเซียน รวมทั้งการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา
|
|||||||||||||||||||||
| 468 | การดำเนินงานของกระทรวงการต่างประเทศตามยุทธศาสตร์การสนับสนุนการศึกษาของนักศึกษาไทยมุสลิมในต่างประเทศ | กต | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศรายงานผลการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์การสนับสนุนการศึกษาของนักศึกษาไทยมุสลิมในต่างประเทศ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินการโครงการ/กิจกรรมสนับสนุนการศึกษาของนักศึกษาไทยมุสลิมในต่างประเทศ โดยกระทรวงการต่างประเทศได้ประสานกับสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ในต่างประเทศดำเนินโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ สอดคล้องกับแนวทางของยุทธศาสตร์ เช่น การจัดกิจกรรมสนับสนุนการศึกษาและการอบรมทักษะพิเศษ การสนับสนุนการพัฒนาวิชาชีพให้แก่นักศึกษา การมีปฏิสัมพันธ์อย่างสร้างสรรค์ระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐกับนักศึกษา การจัดกิจกรรมเปิดโลกทัศน์และดูงานให้แก่นักศึกษา การสนับสนุน การจัดตั้งชมรมหรือสมาคมนักศึกษาเพื่อส่งเสริมความสามัคคีในหมู่คณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้กลุ่มนักศึกษาเป็นตัวแทนของประเทศไทยในการจัดกิจกรรมสันทนาการการกีฬา หรือในโอกาสเทศกาลสำคัญของท้องถิ่น ทั้งนี้ ผลการดำเนินโครงการและกิจกรรมเพื่อสนับสนุนการศึกษาของนักศึกษาไทยมุสลิมในต่างประเทศที่ผ่านมาประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ และนักศึกษาได้แสดงความประสงค์ขอให้มีการดำเนินโครงการ/กิจกรรมในปีต่อ ๆ ไป ๒. กระทรวงการต่างประเทศได้จัดสรรงบประมาณจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ จำนวน ๕๐ ล้านบาท เพื่อให้ทุนการศึกษาแก่นักศึกษาไทยมุสลิมจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน ๒๓ ทุน ในระดับต่ำกว่าปริญญาตรี ปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก ณ ประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ อินเดีย อียิปต์ และออสเตรเลีย ปัจจุบันมีนักศึกษา ๑ ราย สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทแล้ว และอีก ๑ ราย คาดว่าจะสำเร็จการศึกษาและเดินทางกลับประเทศไทยภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๓. กระทรวงการต่างประเทศได้มุ่งเน้นการแสวงหาความร่วมมือกับต่างประเทศในด้านการให้ทุนการศึกษาแก่เยาวชนจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งโครงการความร่วมมือเพื่อพัฒนาศักยภาพและคุณภาพของครูและผู้บริหารสถานศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกจากนี้ ยังได้แสวงหาความร่วมือจากต่างประเทศเพื่อพัฒนาบุคลากรการศึกษา ได้แก่ โครงการของรัฐบาลออสเตรเลียร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในการฝึกอบรมครูจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ในด้านภาษาอังกฤษ วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ซึ่งเริ่มดำเนินการเมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๓
|
|||||||||||||||||||||
| 469 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขอรับใบอนุญาต และการต่ออายุใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานทำ ประกอบ ซ่อมแซม หรือเปลี่ยนลักษณะอาวุธ พ.ศ. .... | กห | 22/02/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขอรับใบอนุญาตและการต่ออายุใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานทำ ประกอบ ซ่อมแซม หรือเปลี่ยนลักษณะอาวุธ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญคือ ๑.๑ กำหนดให้ผู้ขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานทำ ประกอบ ซ่อมแซม หรือเปลี่ยนลักษณะอาวุธ ต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนด ๑.๒ กำหนดให้การขอรับใบอนุญาตและการออกใบอนุญาต การขอต่ออายุใบอนุญาตและการต่ออายุใบอนุญาต และการขอรับใบแทนใบอนุญาตและการออกใบแทนใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานทำ ประกอบ ซ่อมแซม หรือเปลี่ยนลักษณะอาวุธ ให้ยื่นคำขอต่อกรมการอุตสาหกรรมทหาร ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร ตามแบบและระยะเวลาที่กำหนด รวมทั้งกำหนดวิธีพิจารณาและตรวจสอบในเรื่องคุณสมบัติของผู้ยื่นคำขอเอกสาร และหลักฐานต่าง ๆ ตามที่ระบุไว้ ๒. ให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ขอรับใบอนุญาต หากเจตนารมณ์ของร่างกฎกระทรวงฯ ไม่ต้องการให้คนต่างด้าวประกอบกิจการโรงานทำ ประกอบ ซ่อมแซม หรือเปลี่ยนลักษณะอาวุธ ควรแก้ไขคุณสมบัติ ดังนี้ “มีบุคคลซึ่งไม่ใช่คนต่างด้าวตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวถือหุ้นมากกว่ากึ่งหนึ่งของคนต่างด้าวของนิติบุคคลนั้น และมีสิทธิออกเสียงรวมกันไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของสิทธิออกเสียงทั้งหมด” และควรพิจารณากระบวนการควบคุมผู้ได้รับใบอนุญาตและผู้บริหารโรงงานให้ดำเนินการเป็นไปอย่างเข้มงวดรัดกุมและตรวจสอบได้ เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหากระทบต่อความมั่นคงในอนาคต ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับไปศึกษาว่าในกรณีที่กระทรวงกลาโหมจะประกอบอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ โดยการจัดตั้งโรงงานผลิตอาวุธจะสามารถดำเนินการหรือมีแนวทางในการดำเนินการได้หรือไม่ อย่างไร ทั้งนี้ อาจเปรียบเทียบกับกฎหมายของต่างประเทศเพื่อประกอบการพิจารณาด้วย แล้วแจ้งผลการศึกษาและคำแนะนำให้กระทรวงกลาโหมเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 470 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การดำเนินการตามพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในโอกาสที่พระราชทาน พระบรมราชวโรกาสให้คณะบุคคลเข้าเฝ้าฯ (การจัดทำแผนแม่บทระบบสถิติประเทศไทย การดำเนินการศึกษาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ และโครงการระบบโทรมาตรโครงการเครือข่ายสถานีฝนอัตโนมัติ) | ทก | 08/02/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรายงานผลความคืบหน้าในการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การดำเนินการตามพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในโอกาสที่พระราชทาน พระบรมราชวโรกาสให้คณะบุคคลเข้าเฝ้าฯ เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๓ ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช สรุปได้ดังนี้
๑. สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) ได้จัดทำแผนแม่บทระบบสถิติประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๘ และจัดประชุมระดมความคิดเห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และมีแผนการดำเนินงานในการจัดตั้งกลไกในการบริหารจัดการระบบสถิติ การส่งเสริมความรู้ในการบริหารระบบสถิติของประเทศ และการจัดทำมาตรฐานสถิติ ทั้งนี้ เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๓ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแผนแม่บทฯ โดยใช้งบประมาณของ สสช. พร้อมทั้งให้รับฟังความคิดเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาด้วย ๒. กรมอุตุนิยมวิทยาได้ดำเนินการวิเคราะห์ภูมิอากาศในอนาคต นอกเหนือจากภารกิจที่ทำอยู่เป็นประจำ และได้ทำการศึกษาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโดยการประมวลผลภูมิอากาศในอนาคตจากสถานการณ์จำลอง ภูมิอากาศโลก (Climate secnario) แบบ A2 (มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการใช้พลังงานอย่างฟุ่มเฟือย) ด้วยแบบจำลองการพยากรณ์สภาพภูมิอากาศ PRECIS (Porviding Regional Climate for Impact Studies) คาดการณ์ภูมิอากาศในอดีตและอนาคตตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๔ - ๒๖๔๓ และนำมาเปรียบเทียบข้อมูลที่ได้จากการตรวจวัดจริงของสถานีตรวจอากาศอุตุนิยมวิทยาทั่วประเทศ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๔ - ๒๕๕๒ ๓. กรมอุตุนิยมวิทยาได้ดำเนินการโครงการระบบโทรมาตรโครงการเครือข่ายสถานีฝนอัตโนมัติ โดยทำการติดตั้งสถานีฝนอัตโนมัติทั้งประเทศ จำนวน ๘๒๐ สถานี แล้วส่งข้อมูลเข้าศูนย์ปฏิบัติการระบบโทรมาตร อันเป็นการพัฒนาระบบการเฝ้าระวังและการเตือนภัยด้านน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหล และน้ำล้นตลิ่งให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เกิดการบูรณาการข้อมูลด้านน้ำกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อประโยชน์ด้านการเตือนภัย มีข้อมูลเพื่อการบริหารทรัพยากรน้ำ การวางแผนและตัดสินใจของผู้บริหารประเทศ
|
|||||||||||||||||||||
| 471 | รายงานประจำปี 2552 (คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) | นร | 01/02/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอรายงานประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ของคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการปฏิบัติงานการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ ประกอบด้วย ๑.๑ การกระจายอำนาจด้านภารกิจ อำนาจหน้าที่ ได้แก่ ๑.๑.๑ การบริหารแผนการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ และแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. (ฉบับที่ ๒) ด้านการถ่ายโอนภารกิจ ๑.๑.๒ ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินความพร้อมในการจัดการศึกษาของ อปท. ในระดับอาชีวศึกษา ๑.๑.๓ ผลการดำเนินงานของคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อสนับสนุนด้านการศึกษาของ อปท. ให้แก่สถานศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ๑.๑.๔ การจัดการศึกษาเด็กที่มีลักษณะพิเศษในโรงงานสังกัด อปท. ๑.๒ การกระจายอำนาจด้านการเงิน การคลัง และงบประมาณ ได้แก่ ๑.๒.๑ การปรับปรุงรายได้ของ อปท. ๑.๒.๒ การกำหนดหลักเกณฑ์การจัดสรรรายได้ของ อปท. ๑.๒.๓ การจัดสรรเงินอุดหนุนให้แก่ อปท. ๑.๒.๔ เรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดสรรงบประมาณ ๑.๓ การถ่ายโอนบุคลากรให้แก่ อปท. ๑.๔ การดำเนินการแก้ไขกฎหมาย ได้แก่ ๑.๔.๑ การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. ๑.๔.๒ การจัดทำหรือปรับปรุงกฎหมาย ๑.๕ การจัดตั้ง อปท. รูปแบบพิเศษ ๒. ผลการดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ ประกอบด้วย ๒.๑ การติดตามประเมินผล ๒.๑.๑ การตรวจติดตามสถานศึกษาที่ถ่ายโอนให้แก่ อปท. ๒.๑.๒ การตรวจติดตามการถ่ายโอนสนามกีฬาให้แก่ อปท. ๒.๒ การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ๒.๓ การดำเนินงานตามมติ กกถ. ได้แก่ ๒.๓.๑ การฝึกอบรมหลักสูตรการเตรียมความพร้อมในการรับโอนภารกิจของ อปท. สำหรับผู้บริหาร อปท. ๒.๓.๒ การให้ความรู้การกระจายอำนาจแก่เครือข่ายภาคประชาชนประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ ๒.๓.๓ การให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักสูตรการเรียนการสอนการเมืองการปกครองส่วนท้องถิ่นสำหรับครูผู้สอนวิชาสังคมศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย ๒.๓.๔ การเสริมสร้างความรู้การกระจายอำนาจแก่วิทยุชุมชน ๒.๓.๕ การเสริมสร้างความรู้ด้านกฎหมายท้องถิ่นและเทคนิคการจัดทำข้อบัญญัติท้องถิ่น ๒.๓.๖ การสัมมนาประเด็นการกระจายอำนาจ เรื่อง ทิศทางขององค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) กับการจัดบริการสาธารณะที่มีมาตรฐานสู่การสร้างนวัตกรรมการให้บริการ ๒.๓.๗ การประชุมชี้แจงแนวทางปฏิบัติในการบริหารจัดการศูนย์อบรมเด็กก่อนระดับประถมศึกษาในศาสนสถาน
|
|||||||||||||||||||||
| 472 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. .... | สผ | 01/02/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ดังนี้ ๑.๑ การกำหนดให้นายจ้างจัดทำเอกสารหรือรายงาน โดยมีการตรวจสอบหรือรับรองบุคคลใดด้วยนั้น ควรกำหนดข้อห้ามในการที่บุคคลหรือนิติบุคคลใดที่ได้รับขึ้นทะเบียนหรือได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ให้บริการตรวจวัด ตรวจสอบ ทดสอบ รับรอง ประเมินความเสี่ยง รวมทั้งจัดฝึกอบรมหรือให้คำปรึกษาเพื่อส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ๑.๒.ควรกำหนดข้อห้ามในการที่บุคคลซึ่งเป็นผู้ชำนาญการที่จะทำหน้าที่ให้คำแนะนำหรือการรับรองผลให้แก่สถานประกอบกิจการใดต้องมิใช่ผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับเจ้าของสถานประกอบกิจการหรือเป็นผู้ถือหุ้นหรือหุ้นส่วนหรือมีความเกี่ยวข้องกับผู้บริหารสถานประกอบกิจการหรือเป็นลูกจ้าง ตลอดจนเป็นผู้ที่มีส่วนได้เสียทั้งทางตรงและทางอ้อมในผลประกอบกิจการของสถานประกอบกิจการที่จะมีการให้คำแนะนำหรือรับรองผล ๑.๓ ให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน จัดให้มีการตราพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปี โดยในการยกร่างพระราชกฤษฎีกาต้องมีผู้แทนฝ่ายนายจ้าง ผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง และผู้ทรงคุณวุฒิเข้าร่วมด้วย ๒. รับทราบผลการพิจารณาของกระทรวงแรงงานตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้แจ้งสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
| 473 | รายงานสรุปผลการเดินทางไปราชการ ณ ประเทศญี่ปุ่น (ระหว่างวันที่ 22 - 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553) | นร | 01/02/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอรายงานสรุปผลการเดินทางไปราชการ ณ ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ ๒๒ - ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๓ ของผู้แทนการค้าไทย (นายวัชระ พรรณเชษฐ์) โดยมีผู้แทนจากกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ และผู้แทนจากภาคเอกชน ได้แก่ ภาคอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ สมุนไพรไทย (ผลิตภัณฑ์เสริมความงาม และสปา) ผ้าไหมไทย และผู้ประกอบการด้าน Long Stay ร่วมเดินทาง เพื่อหารือข้อราชการกับผู้บริหารระดับสูงของทั้งภาครัฐและภาคเอกชนญี่ปุ่นเกี่ยวกับการส่งเสริมความร่วมมือทางการค้าและการลงทุนกับภาครัฐและเอกชนญี่ปุ่นภายใต้ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น หรือ JTEPA และจับคู่ทางธุรกิจให้กับภาคเอกชนไทย สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการหารือที่สำคัญของภาครัฐ พบว่า รัฐบาลญี่ปุ่นให้ความสำคัญต่อเรื่องการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก และทุกภาคส่วนของประเทศก็พร้อมใจกันปฏิบัติตามนโยบายดังกล่าว ดังจะเห็นได้จากการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เน้นการประหยัดพลังงาน การใช้พลังงานทดแทน และการร่วมใจกันประหยัดพลังงานในทุกภาคส่วนของประเทศ นอกจากนี้ ไทยสามารถใช้ประโยชน์จากการที่รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังสนับสนุนภาคเอกชนญี่ปุ่นให้ไปลงทุนในต่างประเทศ โดยการเร่งผลักดันฝ่ายญี่ปุ่นในทุกระดับทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อให้เข้ามาลงทุนในไทยในรูปแบบความร่วมมือภาครัฐและเอกชน (PPP) ในสาขาที่ญี่ปุ่นมีความชำนาญสูง เช่น การบำบัดน้ำเสีย การรักษาสิ่งแวดล้อม ระบบรถไฟความเร็วสูง และนิวเคลียร์ เพื่อให้คนไทยได้ใช้ของดีมีคุณภาพตามมาตรฐานญี่ปุ่น ๒ ผลการหารือที่สำคัญของภาคเอกชนพบว่า ภาคเอกชนไทยยังมีโอกาสในการไปทำการค้าและลงทุนในญี่ปุ่นในอีกหลายด้าน เช่น อาหาร เครื่องดื่ม ธุรกิจ Long Stay และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Medical Tourism) อย่างไรก็ตาม ภาครัฐยังคงต้องมีบทบาทนำในการผลักดันและส่งเสริมให้บริษัทขนาดกลางและขนาดย่อมของไทยกล้าที่จะออกไปทำธุรกิจในต่างประเทศเพื่อขยายตลาดหรือต่อยอดธุรกิจของไทย
|
|||||||||||||||||||||
| 474 | การแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงหรือบุคคลดำรงตำแหน่งกรรมการในรัฐวิสาหกิจหลายแห่ง | นร | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการป้องกันการทุจริตของรัฐวิสาหกิจ เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงหรือบุคคลดำรงตำแหน่งกรรมการในรัฐวิสาหกิจหลายแห่ง ตามข้อเสนอของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดังนี้
๑. มาตรการระยะสั้น ๑.๑ ห้ามผู้มีอำนาจแต่งตั้งหรือมอบหมายให้ผู้ใดเป็นกรรมการในรัฐวิสาหกิจและหรือนิติบุคคลที่รัฐวิสาหกิจเป็นผู้ถือหุ้นเกินกว่า ๓ แห่ง ทั้งนี้ ให้นับรวมการเป็นกรรมการโดยตำแหน่งและการได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติราชการแทนในตำแหน่งกรรมการด้วย ในกรณีที่ผู้ใดดำรงตำแหน่งกรรมการในรัฐวิสาหกิจและหรือนิติบุคคลที่รัฐวิสาหกิจเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ในวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเกินกว่า ๓ แห่ง ให้ผู้นั้นลาออกจากตำแหน่งกรรมการดังกล่าว หรือให้ผู้มีอำนาจสั่งให้ออกจากตำแหน่งกรรมการ เพื่อให้เหลือการเป็นกรรมการในรัฐวิสาหกิจและหรือนิติบุคคลที่รัฐวิสาหกิจเป็นผู้ถือหุ้นไม่เกิน ๓ แห่ง ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้องภายในเก้าสิบวัน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.๒ ให้กำหนดเป็นหลักการในการเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปปฏิบัติราชการ โดยให้รัฐวิสาหกิจทุกแห่งต้องถือปฏิบัติว่า ห้ามกำหนดระเบียบหรือข้อบังคับให้สามารถเบิกจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าเช่าที่พัก หรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ให้แก่คู่สมรสหรือผู้ติดตามที่มิได้มีหน้าที่เป็นผู้ปฏิบัติงานในรัฐวิสาหกิจที่ร่วมเดินทางไปกับผู้ปฏิบัติงาน หากรัฐวิสาหกิจใดได้กำหนดระเบียบหรือข้อบังคับให้สามารถเบิกจ่ายได้ไว้แล้วก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติก็ให้รัฐวิสาหกิจดำเนินการยกเลิก หรือแก้ไข ปรับปรุงระเบียบ หรือข้อบังคับ ให้เป็นไปตามหลักการดังกล่าวข้างต้นภายในสามสิบวัน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ รวมถึงห้ามรัฐวิสาหกิจทุกแห่งกำหนดระเบียบหรือข้อบังคับอื่นในลักษณะเดียวกันซึ่งเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่คู่สมรสหรือบุคคลใด ๆ ที่มิได้เป็นผู้มีหน้าที่ปฏิบัติงานในรัฐวิสาหกิจนั้นด้วย ๑.๓ ให้กระทรวงการคลังศึกษาทบทวนและปรับปรุงกระบวนการ วิธีการสรรหา คัดเลือกและจัดทำบัญชีรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิ หรือกรรมการรัฐวิสาหกิจให้มีความสมบูรณ์ รัดกุม โปร่งใส และให้เหมาะสม เพื่อให้ได้บัญชีรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิหรือกรรมการรัฐวิสาหกิจตรงตามความเชี่ยวชาญในด้านที่กำหนดไว้อย่างแท้จริงตามสภาวการณ์ในปัจจุบันมากยิ่งขึ้น ๑.๔ ส่วนมาตรการป้องกันการทุจริตของรัฐวิสาหกิจฯ ในข้ออื่น ๆ เห็นชอบ ดังนี้ ๑.๔.๑ กรณีการห้ามผู้มีอำนาจแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงตั้งแต่ระดับผู้อำนวยการสำนักหรือเทียบเท่าขึ้นไปในส่วนราชการ หรือผู้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วย รองหรือผู้บริหารสูงสุดในรัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ควบคุม กำกับ ทั้งด้านนโยบายและด้านการปฏิบัติ (Regulator) เป็นประธานกรรมการหรือกรรมการในรัฐวิสาหกิจ หรือนิติบุคคลที่รัฐวิสาหกิจถือหุ้น ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจหรือบริษัทจำกัด หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่ดำเนินกิจการเกี่ยวกับสาธารณูปโภคและมีวัตถุประสงค์ในการแสวงหากำไรรวมอยู่ด้วย ซึ่งอยู่ในการควบคุม กำกับ หรือดูแล นั้น ผู้แทน ป.ป.ช. จะขอรับไปพิจารณาจัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมสำหรับรายชื่อรัฐวิสาหกิจในแต่ละกรณี รวมถึงกรณีรัฐวิสาหกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และรัฐวิสาหกิจที่อาจยังไม่มีหน่วยงานที่ทำหน้าที่เป็น Regulator อย่างชัดเจนด้วย แล้วจะเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๔.๒ กรณีการห้ามผู้มีอำนาจแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐในองค์กรตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หมวดที่ ๑๑ ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบและดำเนินคดีเป็นประธานกรรมการ หรือกรรมการในรัฐวิสาหกิจ และหรือนิติบุคคลที่รัฐวิสาหกิจเป็นผู้ถือหุ้น นั้น ผู้แทน ป.ป.ช. จะขอรับไปประสานงานและพิจารณาในรายละเอียดร่วมกับองค์กรตามรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานอัยการสูงสุด อีกครั้งหนึ่ง แล้วจะเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒. มาตรการระยะยาว มอบหมายให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนของการพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายที่เกี่ยวข้องนั้น นอกเหนือจากพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๑๘ แล้ว สมควรพิจารณาให้ครอบคลุมถึงการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องของประโยชน์ทับซ้อน เช่น พระราชบัญญัติการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||
| 475 | ร่างพระราชบัญญัติสถาบันการพลศึกษา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กก | 24/01/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสถาบันการพลศึกษา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติสถาบันการพลศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๘ ดังต่อไปนี้ ๑.๑ กำหนดบทนิยามคำว่า “กระทรวง” “สภาวิชาการ” “วิทยาเขต” “คณะ” “บัณฑิตวิทยาลัย” “สำนัก” เพิ่มขึ้น เพื่อให้เกิดความชัดเจน ๑.๒ กำหนดให้สภาสถาบันการพลศึกษามีอำนาจหน้าที่ในการบริหารงานบุคคลของสถาบันตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ๑.๓ กำหนดให้สถาบันการพลศึกษาเป็นนิติบุคคลมีฐานะเป็นกรมในสังกัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและเป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ ๑.๔ กำหนดเพิ่มบัณฑิตวิทยาลัยเป็นส่วนราชการในสถาบันการพลศึกษา เพื่อยกฐานะให้สถาบันการพลศึกษาสามารถจัดการศึกษาได้อย่างหลากหลายสาขา และสามารถจัดการศึกษาในระดับที่สูงขึ้นได้ ๑.๕ แก้ไของค์ประกอบของสภาสถาบันการพลศึกษา โดยกำหนดให้อธิบดีกรมพลศึกษาเป็นกรรมการสภาสถาบันโดยตำแหน่ง และให้สภาสถาบันแต่งตั้งรองอธิการบดีคนหนึ่งซึ่งมิใช่กรรมการสภาสถาบัน เป็นกรรมการและเลขานุการสภาสถาบันโดยคำแนะนำของอธิการบดี ๑.๖ แก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของสภาสถาบันการพลศึกษา โดยกำหนดให้มีอำนาจหน้าที่พิจารณาอนุมัติหลักสูตรการศึกษาของสถาบัน การแต่งตั้งและถอดถอนรองอธิการบดี รองอธิการบดีประจำวิทยาเขต ผู้อำนวยการสำนักงานอธิการบดี คณบดี หัวหน้าส่วนราชการ ที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณะ ฯลฯ รวมทั้งวางระเบียบและออกข้อบังคับเกี่ยวกับการบริหารงาน การเงิน การจัดหารายได้และผลประโยชน์จากทรัพย์สินของสถาบัน และอนุมัติงบประมาณรายจ่ายจากเงินรายได้ของสถาบัน ๑.๗ แก้ไขวิธีการได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารสถาบัน และการพ้นจากตำแหน่ง รวมทั้งแก้ไขคุณสมบัติของอธิการบดี รองอธิการบดี และรองอธิการบดีประจำวิทยาเขต ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่เห็นควรกำหนดให้สภาสถาบันการพลศึกษาวางระเบียบและข้อบังคับเกี่ยวกับการเงินโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง เพื่อให้การใช้จ่ายเงินของส่วนราชการเป็นไปในแนวทางเดียวกัน ส่วนการกำหนดให้สถาบันพลศึกษาเป็นนิติบุคคลมีฐานะเป็นกรมในสังกัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและเป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ เห็นควรนำมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๓ ที่ให้ระงับการจัดตั้งหรือขยายหน่วยงาน มาประกอบการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฯ ด้วย นอกจากนี้ บทบัญญัติมาตรา ๗ วรรคสอง ที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติฯ ที่บัญญัติว่า “ให้สถาบันการพลศึกษามีฐานะเป็นกรมในสังกัดกระทรวงและเป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ” นั้น โดยผลของร่างกฎหมายฉบับนี้ สถาบันการพลศึกษามีสถานะเป็นส่วนราชการ ตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม จึงไม่จำเป็นต้องมีข้อความตอนท้ายที่บัญญัติให้สถาบันเป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณอีก ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งร่างพระราชบัญญัติฯ ให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 476 | ขอความเห็นชอบให้การท่าเรือแห่งประเทศไทย เป็นผู้บริหารท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ 2 จังหวัดเชียงราย และให้ใช้ประโยชน์ท่าเรือเชียงแสนแห่งที่1 จังหวัดเชียงราย เป็นท่าเรือท่องเที่ยว | คค | 18/01/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เป็นผู้บริหารท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ ๒ จังหวัดเชียงราย และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินกิจการท่าเรือ ประกอบด้วย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณสุข ให้ความร่วมมือในการประสานงานและสนับสนุนการดำเนินงานอย่างเต็มที่เพื่อให้การให้บริการของท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ ๒ จังหวัดเชียงราย เป็นไปในลักษณะการให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. การพิจารณาอัตราค่าเช่าและการยกเว้นค่าธรรมเนียมการจัดให้เช่าท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ ๒ จังหวัดเชียงราย รวมทั้งการพิจารณาให้ กทท. เป็นหน่วยงานบริหารท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ ๑ และอัตราค่าเช่าที่เหมาะสม มอบหมายให้กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ) รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติโดยมีกรอบเวลาที่ชัดเจน แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งภายใน ๓๐ วัน ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักในการเจรจากับกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงเพื่อหารือในเรื่องเกี่ยวกับเขตแดนและร่องน้ำ การบริหารจัดการปริมาณน้ำ และการจัดการคมนาคมในแม่น้ำโขงให้สามารถทำการขนส่งสินค้าได้ตลอดปี |
|||||||||||||||||||||
| 477 | รายงานผลการดำเนินงานและฐานะการเงินของกองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ ประจำปีงบประมาณ 2552 | กค | 04/01/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการดำเนินงานและฐานะการเงินของกองทุนบริหารเงินกู้เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะและพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ ดังนี้ ๑. ผลการดำเนินงาน ประกอบด้วย ๑.๑ การศึกษาแนวทางการกำหนดโครงสร้าง หลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติงาน ตลอดจนระเบียบในการดำเนินงานต่าง ๆ ของหน่วยราชการและกองทุนอื่น ๆ ที่มีสถานะและลักษณะการดำเนินงานคล้ายคลึงกับกองทุน เพื่อยกร่างระเบียบและข้อบังคับคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อใช้ในการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการในการบริหารงาน การดำเนินงาน และการทำธุรกรรมต่าง ๆ ของกองทุน ตลอดจนใช้บังคับในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ๑.๒ การศึกษาวิเคราะห์ถึงวัตถุประสงค์ และเป้าหมายในการลงทุนของกองทุนฯ รวมทั้งหลักการบริหารสินทรัพย์ เพื่อกำหนดแนวทางการจัดทำหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการนำเงินของกองทุนไปลงทุน การทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงที่เกิดจากการลงทุน หลักเกณฑ์การคัดเลือกและกำกับการดำเนินงานของผู้บริหารสินทรัพย์จากภายนอก รวมถึงการคัดเลือกผู้เก็บรักษาสินทรัพย์ ๑.๓ จัดทำรูปแบบมาตรฐานของสัญญาธุรกรรมทางการเงินของกองทุนฯ สำหรับใช้ในการทำธุรกรรม ได้แก่ ๑.๓.๑ การทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงจากการลงทุน เป็นการจัดทำรูปแบบมาตรฐานของสัญญาธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุน โดยการทำสัญญา ISDA Master Agreement ซึ่งจัดทำโดย International Swap and Derivatives Association, Inc (ISDA) ระหว่างกองทุนฯ และสถาบันการเงินที่จะเป็นคู่สัญญาเพื่อใช้ในการปกป้องสิทธิและลดความเสี่ยงของกองทุน ๑.๓.๒ การทำธุรกรรมซื้อโดยมีสัญญาจะขายคืนซึ่งตราสารหนี้ เป็นการจัดทำรูปแบบมาตรฐาน (Standard Format) ของสัญญาประกอบ (Schedule to the Master Agreement) ซึ่งเป็นสัญญาแบบท้ายสัญญา Global Master Repurchase Agreement (GMRA) ซึ่งจัดทำโดย International Securities Market Association (ISMA) กับคู่สัญญาเพื่อปกป้องสิทธิและลดความเสี่ยงในการทำธุรกรรม (Counter - party Risk) ของกองทุนฯ และสัญญายืนยันการเข้าทำธุรกรรม (Confirmation) ซึ่งเป็นสัญญาที่ระบุรายละเอียดของการทำธุรกรรม ๒. กองทุนได้รับจัดสรรเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของกองทุน แต่เนื่องจากระเบียบและข้อบังคับต่าง ๆ ของกองทุนยังไม่มีผลบังคับใช้ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว ดังนั้น ค่าใช้จ่ายของกองทุนจึงมีเฉพาะค่าใช้จ่ายในการจัดประชุมคณะกรรมการกองทุนฯ จำนวน ๕๙,๘๗๒ บาท สำหรับงบแสดงฐานะการเงินของกองทุน ตั้งแต่วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๒ กองทุนมีรายได้จากเงินงบประมาณและดอกเบี้ยรับรวม ๑,๐๐๐,๗๐๖.๖๑ บาท และมีค่าใช้จ่ายรวม ๕๙,๘๗๒ บาท ทำให้กองทุนมีสินทรัพย์รวม ๙๔๐,๘๓๔.๖๑ บาท
|
|||||||||||||||||||||
| 478 | การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างไทยและอินโดนีเซีย | ศธ | 04/01/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการจัดทำบันทึกความเข้าใจด้านการศึกษาระหว่างไทย - อินโดนีเซีย เพื่อใช้เป็นกรอบในการดำเนินความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างสองประเทศในการพัฒนาความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างกัน โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการพัฒนาเครือข่ายและการแลกเปลี่ยนระหว่างผู้บริหารการศึกษา เจ้าหน้าที่ระดับสูง นักวิจัย ครู และนักเรียน รวมถึงการแลกเปลี่ยนสื่อการเรียนการสอน สื่อสิ่งพิมพ์ ข้อมูลข่าวสาร การสอนภาษา การศึกษาดูงาน การฝึกอบรม และการวิจัยในสาขาที่มีความสนใจร่วมกัน ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจฯ ที่มิใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงาน ก.พ. เกี่ยวกับการจัดสรรทุนการศึกษา/ฝึกอบรมต้องสอดคล้องกับการวางแผนกำลังคนหรือความต้องการกำลังคนของส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ ตลอดจนแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และการจัดสรรทุนในรูปแบบอื่น ๆ ควรเป็นไปตามอำนาจหน้าที่และข้อกฎหมายที่กำหนด ส่วนการรับรองวุฒิการศึกษาโดยสถาบันการศึกษาของไทยและอินโดนีเซียตามระเบียบและกฎหมายของคู่ภาคี เป็นการรับรองคุณวุฒิระหว่างสถาบันการศึกษาของไทยและอินโดนีเซียเพื่อประโยชน์ในการแลกเปลี่ยนครู บุคลากร นักเรียนระหว่างกัน ตลอดจนการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อให้เกิดการพัฒนาทางวิชาการของสถาบันการศึกษาระหว่างประเทศคู่ภาคี มิได้มีความหมายในการรับรองคุณวุฒิเพื่อบรรจุเข้ารับราชการตามนัยมาตรา ๘ (๑๐) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||
| 479 | รายงานสรุปผลการเดินทางไปราชการ ณ สาธารณรัฐเปรู และสหรัฐเม็กซิโก (ระหว่างวันที่ 21 - 30 กันยายน พ.ศ. 2553) | นร | 28/12/2553 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอรายงานสรุปผลการเดินทางไปราชการ ณ สาธารณรัฐเปรู และสหรัฐเม็กซิโก ระหว่างวันที่ ๒๑ - ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ ของผู้แทนการค้าไทย (นายวัชระ พรรณเชษฐ์) และคณะผู้แทนจากส่วนราชการ ได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานส่งเสริมการลงทุน และภาคเอกชนไทย ได้แก่ หอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาธุรกิจไทย-ลาตินอเมริกา กลุ่มอุตสาหกรรมสมุนไพร อุตสาหกรรมไหมไทย กลุ่มผู้ค้าอะไหล่วรจักร และกลุ่มเครื่องจักรและอุตสาหกรรมหนัก สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการเยือนสาธารณรัฐเปรู ระหว่างวันที่ ๒๒ - ๒๖ กันยายน ๒๕๕๓ ผู้แทนการค้าไทยและคณะได้เข้าพบและหารือข้อราชการกับผู้บริหารระดับสูงของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยมีข้อหารือเกี่ยวกับการยืนยันถึงเจตนารมณ์ในการกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคี และส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน ตลอดจนความร่วมมือต่าง ๆ โดยฝ่ายเปรูได้เชิญไทยไปลงทุนด้านประมงน้ำลึก อุตสาหกรรมการสกัดสารจากทรัพยากรทางทะเล อุตสาหกรรมเหมืองแร่ และอุตสาหกรรมการเกษตร รวมทั้งการผลักดันให้กระบวนการแก้ไขพิธีสารเพื่อเร่งเปิดเสรีทางการค้าแล้วเสร็จโดยเร็ว โดยฝ่ายเปรูแสดงความสนใจและเสนอจัดทำความตกลงเพื่อพัฒนาความร่วมมือด้านการศุลกากร (Agreement on Customs Cooperation) กับไทยเพื่อส่งเสริมและรองรับปริมาณการค้าที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต ในส่วนของการหารือของภาคเอกชนได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างภาคเอกชนทั้งสองประเทศ ได้แก่ การลงนามบันทึกความเข้าใจของสภาธุรกิจไทย-ลาตินอเมริกากับสมาคมผู้ประกอบการค้าต่างประเทศเปรู (COMEXPERU) การลงนามบันทึกความเข้าใจของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกับหอการค้าแห่งกรุงลิมา (Chamber of Commerce in Lima) การลงนามบันทึกความเข้าใจของสภาธุรกิจไทย-ลาตินอเมริกา กลุ่มอุตสาหกรรมอาหารภายใต้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกับบริษัท แม็คโคร ซุปเปอร์มายอริสต้า จำกัด (Makro Supermayorista S.A.) และการลงนามบันทึกความเข้าใจของกลุ่มอุตสาหกรรมสมุนไพร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กับบริษัท แม็คโคร ซุปเปอร์มายอริสต้า จำกัด (Makro Supermayorista S.A.) และบริษัท Perufarma จำกัด ๒. ผลการเยือนสหรัฐเม็กซิโก ระหว่างวันที่ ๒๖ - ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓ ผู้แทนการค้าไทยและคณะได้เข้าพบและหารือข้อราชการกับผู้บริหารระดับสูงของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยมีข้อหารือเกี่ยวกับการพัฒนาการในภูมิภาคที่กลุ่มประเทศลาตินอเมริกาฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก ๑๑ ประเทศในกรอบ Pacific Cast Initiative เพื่อกระชับความสัมพันธ์กับภูมิภาคเอเชีย การเชิญไทยเข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์และอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ การเสนอให้มีความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลและช่วยเหลือด้านศุลกากรระหว่างกัน และการพัฒนาความร่วมมือเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและการอำนวยความสะดวกด้านศุลกากรกับประเทศคู่ค้าสำคัญของเม็กซิโก ในส่วนของการหารือของภาคเอกชนได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างภาคเอกชนทั้งสองประเทศ ได้แก่ การลงนามบันทึกความเข้าใจของหอการค้าไทยกับสภาหอการค้าแห่งชาติประจำเมืองเม็กซิโก (Mexico City National Chamber of Commerce) การลงนามบันทึกความเข้าใจของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกับหอการค้าแห่งรัฐนูโวลีออน (Camara de la Industria de la Transformacion de Nuevo Leon : CAINTRA) การลงนามบันทึกความเข้าใจของสภาธุรกิจไทย - ลาตินอเมริกากับสภาธุรกิจเม็กซิโกด้านการค้าต่างประเทศ การลงทุน และเทคโนโลยี (COMCE) การลงนามบันทึกความเข้าใจของกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยกับบริษัท คูเม่ (KUME) ผู้นำเข้าอาหารชั้นนำของเม็กซิโก และการลงนามบันทึกความเข้าใจของกลุ่มอุตสาหกรรมสมุนไพร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมสปาลาติน (Asociacion Latinoamericana de Spa)
|
|||||||||||||||||||||
| 480 | การเพิ่มค่าตอบแทนให้แก่ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่น | กค | 21/12/2553 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการพิจารณาตรวจสอบรายละเอียดการเพิ่มค่าตอบแทนให้แก่ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่น และผลกระทบต่องบประมาณขององค์การบริหารส่วนตำบล ในการประชุมร่วมกันระหว่างสำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และกรมบัญชีกลาง เมื่อวันที่ ๑๕-๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๓ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งการปรับค่าตอบแทนให้แก่ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นของกระทรวงมหาดไทยในครั้งนี้ เป็นการปรับเพื่อลดช่องว่างให้สอดคล้องและเป็นมาตรฐานเดียวกันกับค่าตอบแทนของผู้บริหารและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและเทศบาล ดังนั้น ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จะไม่มีการปรับค่าตอบแทนให้แก่ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่น รวมทั้งผู้บริหารและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและเทศบาลอีก สำหรับข้อเสนอการปรับเงินเดือน ค่าจ้าง สำหรับข้าราชการ หรือพนักงานส่วนท้องถิ่น และลูกจ้างองค์การบริหารส่วนตำบล และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประเภทอื่นเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ ๕ นั้น หากมีการดำเนินการในโอกาสต่อไป ให้ปรับค่าตอบแทนเฉพาะในส่วนของข้าราชการประจำและพนักงานส่วนท้องถิ่นและลูกจ้างเท่านั้น ๒. ส่วนระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยเงินค่าตอบแทน นายกองค์การบริหารส่วนตำบล รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบล รองประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบล สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนตำบล และเลขานุการสภาองค์การบริหารส่วนตำบล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่กระทรวงมหาดไทยส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
