ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 23 จากทั้งหมด 55 หน้า แสดงรายการที่ 441 - 460 จากข้อมูลทั้งหมด 1084 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 441 | การให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย | อก | 10/01/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการสนับสนุนและช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรม การสร้างภาพลักษณ์และเสริมสร้างความมั่นใจในการลงทุนของนักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติในภาคอุตสาหกรรมของประเทศ และการขอรับความช่วยเหลือของภาคอุตสาหกรรม ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การสร้างภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนภาคอุตสาหกรรม ได้แก่ การจัดงาน “BOI FAIR 2011 โลกสดใส ไทยยั่งยืน” หรือ “Going Green For The Future” ระหว่างวันที่ ๕ - ๒๐ มกราคม ๒๕๕๕ ณ ศูนย์ประชุมและนิทรรศการอิมแพค เมืองทองธานี มีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมฉลองปีมหามงคลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระชนมพรรษา ๗ รอบ และจัดกิจกรรมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างภาพลักษณ์ของประเทศ และสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนภายหลังผ่านวิกฤตอุทกภัย และการจัดการประชุมสุดยอดผู้นำภาคธุรกิจ (CEO Forum) ในวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๕๕ ณ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี กรุงเทพ, เอ รอยัล เมอริเดียน โดยมีผู้บริหารระดับสูงของภาครัฐ และบริษัทชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้าร่วมงาน ทั้งนี้ นายโทนี แบลร์ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ จะกล่าวปาฐกถาหัวข้อเรื่อง “โอกาสและความท้าทายของโลกโลกาภิวัตน์” และนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะกล่าวปาฐกถาเรื่อง “Roadmap การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย” โดยผู้บริหารระดับสูงขององค์กรระหว่างประเทศและภาคเอกชนทั้งชาวไทยและต่างชาติเข้าร่วมแสดงปาฐกถาด้วย ๒. โครงการช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัยและการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมภายหลังอุทกภัย ได้แก่ โครงการจัดตั้งศูนย์พักพิงอุตสาหกรรม โครงการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม และกากอุตสาหกรรมในสถานประกอบการที่ประสบอุทกภัย โครงการตรวจสอบคุณภาพน้ำ ดิน และการปนเปื้อนของสารพิษอุตสาหกรรมในสถานประกอบการทั้งภายในและภายนอกนิคม โครงการคลินิกอุตสาหกรรม และโครงการศูนย์สารพัดช่างช่วยเหลือผู้ประสบภัย ๓. การขอรับความช่วยเหลือของภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมบางกลุ่มได้ขอให้ภาครัฐพิจารณาให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติม โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนที่ไม่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน ได้แก่ มาตรการยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักรอุปกรณ์ทดแทนเครื่องจักรอุปกรณ์ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล และการยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับผลิตภัณฑ์หรือสินค้าสำเร็จรูปของโรงงานอุตสาหกรรมที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย ๔. การฟื้นฟูนิคม/เขตประกอบการ/สวนอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัยในเขตจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และปทุมธานี จำนวน ๗ แห่ง โรงงานอุตสาหกรรมเร่งดำเนินการซ่อมแซมบำรุงรักษาเครื่องจักรอุปกรณ์ที่ชำรุดเสียหาย ปัจจุบันมีโรงงานเริ่มประกอบการแล้ว จำนวน ๑๖๕ แห่ง ๕. ผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมจากอุทกภัยในเขตจังหวัดภาคใต้ ระหว่างวันที่ ๑ - ๔ มกราคม ๒๕๕๕ มีโรงงานอุตสาหกรรมได้รับความเสียหาย ๕ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสงขลา นครศรีธรรมราช ชุมพร สุราษฎร์ธานี และพัทลุง โรงงานได้รับความเสียหาย จำนวน ๖๓ แห่ง และวิสาหกิจชุมชน จำนวน ๑๔ กลุ่ม โรงงานส่วนใหญ่ได้รับความเสียหายเล็กน้อย และโรงงานบางส่วนต้องหยุดการผลิตเนื่องจากไม่มีวัตถุดิบ ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้ให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้น และจะให้ความช่วยเหลือจนกว่าจะฟื้นฟูกิจการได้
|
||||||||||||||||||
| 442 | รายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ประจำปี 2552 และ 2553 | กค | 04/01/2555 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ประจำปี ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ ผลการประเมินผลฯ คะแนนประเมินผลฯ ภาพรวมทุกหัวข้อของรัฐวิสาหกิจทุกแห่งในระบบประเมินผลฯ [ไม่รวมบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)] มีการปรับปรุงดีขึ้นในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๒ - พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยค่าเฉลี่ยของคะแนนประเมินผลฯ ภาพรวมในปี ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ อยู่ที่ ๓.๕๙๑๗ คะแนน และ ๓.๗๑๐๑ คะแนน โดยรัฐวิสาหกิจที่มีคะแนนประเมินผลฯ สูงสุด ๕ อันดับแรก ได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) มีคะแนน ๔.๘๖๒๙ และ ๔.๘๗๑๘ คะแนน ธนาคารออมสิน มีคะแนน ๔.๗๗๘๓ และ ๔.๘๑๐๑ คะแนน การไฟฟ้านครหลวง มีคะแนน ๔.๘๕๖๘ และ ๔.๗๖๕๕ คะแนน การประปานครหลวง มีคะแนน ๔.๗๐๗๕ และ ๔.๗๕๒๙ คะแนน และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค มีคะแนน ๔.๗๑๔๒ และ ๔.๗๓๓๗ คะแนน ๑.๑.๒ ผลการประเมินผลฯ รายสาขา ในปี ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ สาขาที่มีคะแนนประเมินผลฯ ในภาพรวมเฉลี่ยสูงสุด คือ สาขาพลังงาน มีคะแนนเฉลี่ย ๔.๗๗๙๒ และ ๔.๗๔๗๘ คะแนน โดยรัฐวิสาหกิจที่มีคะแนนสูงสุด คือ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) มีคะแนน ๔.๘๖๒๙ และ ๔.๘๗๑๘ คะแนน ๑.๑.๓ ผลการประเมินผลฯ ด้านบริหารจัดการองค์กรของรัฐวิสาหกิจ ในปี ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ รัฐวิสาหกิจที่มีคะแนนประเมินผลด้านการบริหารจัดการองค์กร สูงสุด ๕ อันดับแรก ได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) มีคะแนน ๔.๖๒๑๕ และ ๔.๖๗๕๘ คะแนน การไฟฟ้านครหลวง มีคะแนน ๔.๕๙๑๐ และ ๔.๕๙๒๖ คะแนน การประปานครหลวง มีคะแนน ๔.๓๖๖๘ และ ๔.๔๙๘๓ คะแนน ธนาคารออมสิน มีคะแนน ๔.๓๖๖๗ และ ๔.๔๕๗๔ คะแนน และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) มีคะแนน ๔.๓๑๕๕ และ ๔.๔๔๙๖ คะแนน ๑.๑.๔ ผลการดำเนินงานที่สำคัญที่เป็นตัวชี้วัดร่วม (Common KPIs) ของรัฐวิสาหกิจ ประจำปีบัญชี ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ มีดังนี้ ๑.๑.๔.๑ การเบิกจ่ายงบลงทุนเฉลี่ยของรัฐวิสาหกิจในปี ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ โดยในปี ๒๕๕๒ สาขาที่มีอัตราการเบิกจ่ายงบลงทุนมากที่สุด ได้แก่ สาขาพลังงาน - ไฟฟ้า - น้ำมัน มีการเบิกจ่ายร้อยละ ๙๓ (วงเงินอนุมัติ ๔๘,๗๔๐ ล้านบาท) รัฐวิสาหกิจที่มีอัตราการเบิกจ่ายมากที่สุด คือ การประปาส่วนภูมิภาค และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ซึ่งมีการเบิกจ่ายร้อยละ ๑๐๐ ส่วนในปี ๒๕๕๓ สาขาที่มีอัตราการเบิกจ่ายงบลงทุนมากที่สุด ได้แก่ สาขาพลังงาน - ไฟฟ้า - น้ำมัน มีการเบิกจ่ายร้อยละ ๙๙ และรัฐวิสาหกิจที่สามารถเบิกจ่ายได้เต็มวงเงินอนุมัติ ได้แก่ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปานครหลวง องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด และการไฟฟ้านครหลวง ๑.๑.๔.๒ การบริหารจัดการเพื่อสร้างมูลค่าเชิงเศรษฐศาสตร์ของรัฐวิสาหกิจ ผลการประเมินความคืบหน้าฯ ณ สิ้นปี ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ ได้คะแนนเฉลี่ยที่ ๔.๒๗๑๓ และ ๔.๓๘๖๘ คะแนน โดยมีปัจจัยแห่งความสำเร็จที่สำคัญ คือ การให้การสนับสนุนของคณะกรรมการและผู้บริหารระดับสูง ๑.๑.๔.๓ การบริหารจัดการองค์กรของรัฐวิสาหกิจ ซึ่งผลการดำเนินงานในปี ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ โดยเฉลี่ยมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากเดิม ๓.๒๗๕๐ เป็น ๓.๔๑๒๓ คะแนน โดยหัวข้อที่รัฐวิสาหกิจมีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นสูงสุด คือ หัวข้อการบริหารจัดการสารสนเทศ และหัวข้อการบริหารความเสี่ยง เพิ่มขึ้น ๐.๒๗ และ ๐.๒๔ คะแนน ๑.๒ เห็นชอบให้กระทรวงเจ้าสังกัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตจากการประเมินผลฯ และข้อสังเกตของคณะกรรมการประเมินผลงานรัฐวิสาหกิจ ไปดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการนำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายโดยเฉพาะข้อเสนอแนะที่เกี่ยวข้องกับการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๔ (เรื่อง กรอบและงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕) มาปฏิบัติให้เกิดเป็นรูปธรรมเพื่อให้ระบบการประเมินผลฯ มีประสิทธิภาพ สามารถเสริมสร้างความเข้มแข็งในการดำเนินงานและการจัดการของรัฐวิสาหกิจ ซึ่งจะช่วยลดภาระงบประมาณได้ในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางการกำกับติดตามผลการดำเนินงานและการบริหารจัดการของรัฐวิสาหกิจให้ได้ข้อมูลที่รวดเร็วเหมาะสม เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการกำหนดนโยบายและทิศทางการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น
|
||||||||||||||||||
| 443 | การปรับระบบบริหารงานบุคคลข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา | ศธ | 27/12/2554 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาการได้รับเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการและผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารซึ่งไม่เป็นข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาอาจได้รับเงินประจำตำแหน่งตามที่กำหนดในบัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ เว้นแต่ผู้ดำรงตำแหน่งประเภทผู้บริหารตามที่กำหนดให้ได้รับตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัติเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่ง พ.ศ. ๒๕๓๘ ๑.๒ กำหนดให้ตำแหน่งศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ได้รับเงินประจำตำแหน่งวิชาการตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ ก.พ.อ. กำหนด ๑.๓ กำหนดให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาได้รับเงินประจำตำแหน่งประเภทวิชาชีพเฉพาะ (วช.) เฉพาะตำแหน่งที่กำหนด ๑.๔ กำหนดให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาได้รับเงินประจำตำแหน่งประเภทเชี่ยวชาญเฉพาะ (ชช.) เฉพาะบุคคลที่ปฏิบัติงานโดยใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านตามที่กำหนด ๑.๕ กำหนดให้ตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานอธิการบดี ผู้อำนวยการสำนักงานวิทยาเขต ผู้อำนวยการกอง หรือหัวหน้าหน่วยงานที่มีฐานะเทียบเท่ากองตามที่ ก.พ.อ. กำหนด ได้รับเงินประจำตำแหน่งผู้บริหาร ๑.๖ กำหนดให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาผู้ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอาจารย์และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ซึ่งเดิมดำรงตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และข้าราชการพลเรือนสามัญ และได้รับสิทธิประโยชน์ของตำแหน่งดังกล่าว ได้รับเงินประจำตำแหน่งตามที่กำหนด ๒. เห็นชอบในหลักการให้สำนักงบประมาณสนับสนุนงบประมาณเพื่อรองรับการกำหนดให้ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาได้รับเงินประจำตำแหน่งตามระบบบริหารงานบุคคลใหม่ โดยให้กระทรวงศึกษาธิการทำความตกลงกับสำนักงบประมาณต่อไป |
||||||||||||||||||
| 444 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงปิโตรเลียมแห่งสาธารณรัฐแองโกลาและกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยความร่วมมือด้านปิโตรเลียมและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง | พน | 13/12/2554 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงปิโตรเลียมแห่งสาธารณรัฐแองโกลาและกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยความร่วมมือด้านปิโตรเลียมและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑.๑ ขอบเขตของความร่วมมือด้านพลังงาน ประกอบด้วย การแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายปิโตรเลียม อุตสาหกรรมปิโตรเลียม และการดำเนินการของสถาบันที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง การร่วมจัดเตรียมการศึกษาร่วมและโครงการความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย การฝึกอบรมหลักสูตรเฉพาะสำหรับผู้เชี่ยวชาญ และการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนการเยือนของผู้เชี่ยวชาญ ผู้บริหารในด้านปิโตรเลียมและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างบริษัทน้ำมันแห่งชาติของคู่ภาคี การเข้าร่วมสัมมนา จัดการประชุมและการจัดนิทรรศการร่วมกัน การให้ความช่วยเหลือในการกำหนดและนำนโยบายการประชุม และการจัดนิทรรศการร่วมกัน รวมถึงการให้ความช่วยเหลือในการกำหนดและประยุกต์นำนโยบาย กฎหมายและกฎระเบียบไปใช้ในกิจกรรมอุตสาหกรรมปิโตรเลียมของแต่ละฝ่าย ๑.๑.๒ กำหนดให้มีการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อทำหน้าที่ประสานงานและดำเนินการตามกิจกรรม แผนงาน และโครงการความร่วมมือต่าง ๆ โดยที่ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมนั้นแต่ละฝ่ายเป็นผู้รับผิดชอบ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ที่จะลงนามฝ่ายไทยต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
| 445 | ร่างข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและแนวทางการจัดตั้งมหาวิทยาลัยของรัฐโดยการหลอมรวม ยุบรวม สถาบันอุดมศึกษา | ศธ | 06/12/2554 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและแนวทางการจัดตั้งมหาวิทยาลัยของรัฐ โดยการหลอมรวม ยุบรวม สถาบันอุดมศึกษา ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สำหรับสาระสำคัญของร่างข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและแนวทางการจัดตั้งมหาวิทยาลัยของรัฐฯ มีดังนี้ ๑.๑ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย โดยหลักการไม่ควรมีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยของรัฐใหม่ แต่ควรใช้วิธีการยุบรวม หลอมรวม ยกฐานะสถาบันอุดมศึกษาในการจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ โดยรัฐควรสนับสนุนการสร้างความเข้มแข็งให้กับมหาวิทยาลัยที่มีอยู่แล้ว โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยใหม่ และวิทยาเขตต่าง ๆ เพื่อให้เป็นสถานศึกษาที่มีคุณภาพ มีความคล่องตัวในการบริหารจัดการทั้งการบริหารทั่วไปและการบริหารวิชาการโดยมีแผนการดำเนินงาน ทิศทางและงบประมาณในการพัฒนาด้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องและใช้การจัดสรรงบประมาณอุดมศึกษาเป็นเครื่องมือในการกำหนดทิศทางการพัฒนาของมหาวิทยาลัย ๑.๒ นโยบาย และวิธีการในการหลอมรวม ยุบรวม ๑.๒.๑ สถานภาพของมหาวิทยาลัยที่เกิดจากการหลอมรวม ยุบรวม ควรเป็นมหาวิทยาลัยเฉพาะทาง (Specialized University) ที่เป็นประโยชน์ต่อท้องถิ่น มุ่งสนองการผลิตบัณฑิตในสาขาที่เป็นความต้องการของท้องถิ่น และเป็นมหาวิทยาลัยที่ได้รับความร่วมมือจากท้องถิ่นและทุกภาคส่วน ในรูปของการสนับสนุนด้านทรัพยากร เช่น งบประมาณในสัดส่วนที่เหมาะสม (ร้อยละ ๕๐ - ๗๐) ของบุคลากร ที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง ตลอดจนการมีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรและการพัฒนามหาวิทยาลัย เป็นต้น สำหรับกรณีเป็นมหาวิทยาลัยของกลุ่มจังหวัด จะต้องได้รับความเห็นร่วมจากกลุ่มจังหวัด เกี่ยวกับสถานที่จัดตั้งและสาขาวิชาที่จะเปิดสอนเพื่อให้เป็นมหาวิทยาลัยที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อกลุ่มจังหวัดอย่างแท้จริง ๑.๒.๒ การดำเนินงานประกอบด้วย (๑) ต้องมีการศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study) ในการหลอมรวม ยุบรวม เพื่อให้มีความมั่นใจว่าจะได้มหาวิทยาลัยใหม่ที่มีคุณภาพ และได้รับการยอมรับจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง (๒) ต้องมีการวางแผนแม่บท (Master Plan) อย่างเป็นระบบทั้งด้านบริหาร ด้านกายภาพ ด้านวิชาการ ด้านการเงินและด้านบุคลากร (๓) ระบบบริหารตามแผนแม่บทต้องเป็นระบบที่มีธรรมาภิบาล สามารถสรรหาผู้บริหารที่มีภาวะผู้นำสูงที่จะนำมหาวิทยาลัยให้มีความก้าวหน้าในทิศทางที่เป็นประโยชน์ต่อพื้นที่และต่อประเทศในภาพรวม (๔) ต้องมีระบบในการบริหารเป้าหมายในการรับนักศึกษาเพื่อให้จำนวนรับ สอดคล้องกับนโยบายของท้องถิ่นและของประเทศ และ (๕) อาจใช้การสร้างเป็นวิทยาเขตที่สามารถพัฒนาให้เกิดคุณภาพขึ้น ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย ประธานกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. และฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ที่เห็นควรมีการศึกษาความเป็นไปได้และความต้องการจากทุกภาคส่วนในสังคมและในพื้นที่เพื่อให้การจัดตั้งมหาวิทยาลัยเกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาคน ชุมชน ท้องถิ่นและประเทศชาติ การกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินความพร้อมในการจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) การประสานและส่งเสริม อปท. ให้สามารถจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับนโยบายและได้มาตรฐานการศึกษา การเสนอแนะการจัดสรรงบประมาณอุดหนุนในการจัดการศึกษาของ อปท. การมุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพทางด้านการศึกษา ศักยภาพ ประสิทธิภาพ และไม่ก่อให้เกิดภาระงบประมาณเพิ่มขึ้นทั้งด้านบุคลากรและการลงทุนในระยะยาว การกำหนดแนวทางเพื่อไม่ให้สถาบันการศึกษาของรัฐไปจัดตั้งหรือขยายวิทยาเขตในพื้นที่ที่มีการหลอมรวม ยุบรวม สถาบันอุดมศึกษา การกำหนดเงื่อนไขให้มีการเสนอแผนบริหารจัดการทรัพยากรที่บูรณาการในมิติพื้นที่ทั้งด้านสถานศึกษา ด้านบุคลากร ด้านหลักสูตรการเรียนการสอน ด้านงบประมาณ ด้านการบริหารจัดการ ด้านความต้องการของตลาดแรงงาน ตลอดจนการติดตามประเมินผลการหลอมรวม ยุบรวมสถาบันอุดมศึกษาที่ผ่านมาเพื่อนำมาปรับปรุง พัฒนา แนวทางในการดำเนินการให้เกิดความคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสูงสุด และเห็นควรคำนึงถึงสถานที่ตั้งและการจัดการเรียนการสอนทางไกลของสถานศึกษาของรัฐ เอกชน และต่างประเทศในพื้นที่ประกอบด้วย นอกจากนี้ ในการหลอมรวมหรือยุบรวมต้องไม่ทำให้เกิดมหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้นอีก ๑ แห่ง รวมทั้งจะต้องกำหนดให้ชัดเจนว่ามหาวิทยาลัยที่เกิดจากการหลอมรวมหรือยุบรวมจะมีความเฉพาะทางที่เป็นประโยชน์ต่อท้องถิ่นอย่างไร และกำหนดเงื่อนไขให้มีการเสนอแผนการพัฒนาคุณภาพการศึกษา แผนบูรณาการทรัพยากร และแผนการติดตามประเมินผล ก่อนการดำเนินการทุกครั้ง ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. การจัดตั้งมหาวิทยาลัยขึ้นใหม่ ให้ใช้แนวทางการหลอมรวม ยุบรวม สถาบันอุดมศึกษา ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ |
||||||||||||||||||
| 446 | การดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย | ทส | 22/11/2554 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยกรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมป่าไม้ กรมควบคุมมลพิษ และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้ดำเนินการตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ตั้งแต่วันที่ ๑๓ - ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ สรุปได้ ดังนี้
๑. จัดขบวนคาราวานแจกน้ำดื่มช่วยเหลือผู้ประสบภัยครอบคลุมพื้นที่ ๓๐ เขตในกรุงเทพมหานคร ๒. จัดประชุมประเมินสถานการณ์น้ำและวางแนวทางการแก้ไขปัญหาอุทกภัยร่วมกันระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงฯ ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร ๓. ลงพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยและตรวจเยี่ยมความเป็นอยู่ของราษฎรและร่วมกิจกรรมทำความสะอาดถนน ซอย เก็บและขนขยะในเขตบางพลัด บริเวณถนนจรัลสนิทวงศ์ ซอยจรัลสนิทวงศ์ ๔๖, ๖๕, ๖๘, ๗๑, ๗๓ และ ๗๕ ซอยสิรินธร ๑ และ ๓ ถนนสิรินธร (ตั้งแต่บริเวณแยกบางพลัดถึงสถานีขนส่งสายใต้เก่า) เขตจตุจักร บริเวณสี่แยกรัชโยธิน ถนนรัชดาภิเษก [ตั้งแต่บริเวณศาลฎีกา กรมส่งเสริมการส่งออกถึงหน้าธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สำนักงานใหญ่] บริเวณหมู่บ้านเสนานิคม ถนนลาดปลาเค้า และบริเวณรอบสี่แยกวังหิน ถนนพหลโยธิน (บริเวณโรงภาพยนตร์เมเจอร์รัชโยธิน) เขตบางเขน ถนนพหลโยธิน (บริเวณกรมวิทยาศาสตร์ทหารบกและกรมป่าไม้) และเขตลาดพร้าว บริเวณหมู่บ้านเสนานิเวศน์ ๔. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นประธานเปิดโครงการ "โฟม ๒๐ ใบ แลก ไข่ ๑ ฟอง" และปล่อยขบวนช่วยเหลือแก้ไขปัญหามลพิษในพื้นที่อุทกภัยเคลื่อนที่ โดยลงพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยในเขตบางกรวย จังหวัดนนทบุรี ตั้งจุดโครงการขยะโฟมแลกไข่ ณ ตลาดกระโจมทอง พร้อมแจกน้ำจุลินทรีย์ ตรวจวัดคุณภาพน้ำ การใช้จุลินทรีย์น้ำบรรเทาน้ำเสียในพื้นที่ และให้ความรู้เรื่องการจัดการขยะมูลฝอยในศูนย์อพยพชุมชน
|
||||||||||||||||||
| 447 | การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล | ยธ | 22/11/2554 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญของรัฐบาลเกี่ยวกับปัญหายาเสพติด ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) ได้รับมอบหมายตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๔ (เรื่อง การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล) ตามที่กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) เสนอสรุปได้ ดังนี้
๑. การเปิดปฏิบัติการวาระแห่งชาติพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด เมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๔ เพื่อทำความเข้าใจและบูรณาการแนวความคิดตามยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์หลักในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดของรัฐบาล รวมทั้งเพื่อให้เกิดความเข้าใจในแนวทางปฏิบัติให้เป็นไปทิศทางเดียวกัน ๒. การประชุมศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติ (ศพส.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๔ ซึ่งที่ประชุมฯ มีมติ ดังนี้ ๒.๑ เห็นชอบการขับเคลื่อนปฏิบัติการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด จำนวน ๔ ภารกิจ ได้แก่ ๒.๑.๑ การจัดตั้งกลไกการดำเนินงาน ประกอบด้วย ศพส. ระดับกระทรวง การจัดตั้งสำนักงาน ศพส. การจัดตั้งกลไกเฉพาะใน ๓ พื้นที่สำคัญ ได้แก่ ศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินฯ สกัดกั้นชายแดนภาคเหนือ ศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินฯ แก้ไขปัญหากรุงเทพมหานครและปริมณฑล และศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินฯ แก้ไขปัญหา ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ และการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๒.๑.๒ การจัดทำแผนระดับต่าง ๆ รองรับปฏิบัติการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด ได้แก่ การบูรณาการประสานแผนส่วนกลาง จำนวน ๗ แผนงานหลัก การบูรณาการแผนและงบประมาณลงพื้นที่ และการให้สำนักงาน ป.ป.ส. ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยจัดประชุมชี้แจงแผนระดับจังหวัด ในวันที่ ๒๒ - ๒๓ กันยายน ๒๕๕๔ และให้จังหวัดจัดทำแผนปฏิบัติการฯ ภายในเดือนตุลาคม ๒.๑.๓ การเตรียมการรองรับการปฏิบัติ เช่น การคัดเลือกและอบรมชุดปฏิบัติการมวลชนระดับอำเภอ การจัดหาสถานที่จัดทำค่ายปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้เสพ ๑ อำเภอ : ๑ ค่าย การจัดชุดปฏิบัติการปราบปรามนักค้ารายสำคัญตามเป้าหมาย และการเตรียมห้อง Operation Room ของ ศพส. เป็นต้น ๒.๑.๔ การปฏิบัติการ ๖ เร่ง ระหว่างวันที่ ๑๖ กันยายน ถึงเดือนตุลาคม ๒๕๕๔ โดยให้ทุกจังหวัดเร่งหาข้อมูลผู้ค้า ผู้เสพ กลุ่มเสี่ยง/พื้นที่เสี่ยง และเร่งจัดค่ายปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้เสพ รวมทั้งให้จังหวัดป้องกัน กวดขันพื้นที่เสี่ยง กลุ่มเสี่ยง และปัจจัยเสี่ยงรอบสถานศึกษา ๒.๒ เห็นชอบแนวทางการดำเนินการปราบปรามยาเสพติดและบังคับใช้กฎหมาย แนวทางการดำเนินงานแก้ไขปัญหาผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด แนวทางการดำเนินงานสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันยาเสพติดในสถานศึกษา และการแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลรองรับแผนปฏิบัติการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด ๓. การประชุมเชิงปฏิบัติการสกัดกั้นยาเสพติดพื้นที่ชายแดนภาคเหนือตอนบน เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๕๔ เพื่อระดมความคิดเห็นในการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ และวิเคราะห์สถานการณ์ปัญหายาเสพติดร่วมกัน เพื่อบูรณาการการดำเนินงานให้เป็นเอกภาพโดยเฉพาะด้านการข่าว ส่วนแนวทางการแก้ไขปัญหา ได้แก่ การเน้นการสกัดกั้นตามแนวชายแดนที่เป็นพื้นที่ลักลอบนำเข้ายาเสพติด และสกัดกั้นสารตั้งต้นโดยใช้กลไกระดับอำเภอ โดยแผนบูรณาการระดับอำเภอดำเนินงานในพื้นที่ รวมทั้งเพิ่มและเสริมสร้างความเข้มแข็งของพลังแผ่นดินและพลังประชาชนที่อยู่เดิม ได้แก่ ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ให้มีส่วนในการสกัดกั้นโดยเฉพาะแหล่งข่าวภาคประชาชน ๔. การประชุมผู้นำชุมชนเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่กรุงเทพมหานครตามแผนยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ เพื่อมอบนโยบายและชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดด้วยการใช้แผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่กรุงเทพมหานครให้แก่หน่วยงานทั้งภาคราชการและประชาชนในชุมชนพื้นที่กรุงเทพมหานคร ๕. การประชุมกองบัญชาการตำรวจนครบาลและผู้บริหารสำนักงาน ป.ป.ส. เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๔ เพื่อเร่งรัดแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และจัดทำแผนปฏิบัติการรองรับยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด
|
||||||||||||||||||
| 448 | รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ 29 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 19 - 21 กันยายน 2554 ณ รัฐบรูไนดารุสซาลาม | พน | 08/11/2554 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ ๒๙ (The 29th ASEAN Ministers on Energy Meeting : 29th AMEM) และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๙ - ๒๑ กันยายน ๒๕๕๔ ณ รัฐบรูไนดารุสซาลาม โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเดินทางเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุม 29th AMEM ที่ประชุมที่ได้รับทราบผลสำเร็จของการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการด้านความร่วมมือพลังงานอาเซียน สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๘ (APAEC 2010 - 2015) ซึ่งประกอบด้วยโครงข่ายสายส่งไฟฟ้าอาเซียน (ASEAN Power Grid) โครงข่ายท่อส่งก๊าซอาเซียน (Trans ASEAN Gas Pipeline) ถ่านหินและเทคโนโลยีถ่านหินสะอาด ประสิทธิภาพและการอนุรักษ์พลังงาน พลังงานทดแทน นโยบายและแผนพลังงานของอาเซียน และการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในทางสันติ รวมทั้งรับทราบความก้าวหน้าของโครงการทางด้านพลังงาน อาทิ โครงการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ (Project on Promotion of Energy Efficiency and Conservation - PROMEEC) การรับรองผู้จัดการพลังงานและผู้ใช้พลังงานขั้นสุดท้ายที่เพิ่มขึ้นภายใต้แผนงานสำหรับผู้บริหารพลังงาน (ASEAN Energy Manager Accreditation Scheme - AEMAS) การมอบรางวัลสาขาการจัดการพลังงานแก่ผู้ประกอบการของอาเซียน (ASEAN Energy Awards) ศูนย์พลังงานหมุนเวียนอาเซียน โครงการสนับสนุนพลังงานหมุนเวียนอาเซียนระหว่างอาเซียน - เยอรมัน (ASEAN - Germany Renewable Energy Support Program for ASEAN - ASEAN-RESP) โครงการกลไกการพัฒนาที่สะอาดของอาเซียน + ๓ (ASEAN + 3 for Clean Development Mechanism - CDM) และโครงการความร่วมมือด้านการพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์อย่างปลอดภัยในอาเซียนเพื่อเป็นทางเลือกในอนาคต ๒. การประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ๒.๑ การประชุมรัฐมนตรีอาเซียน + ๓ ด้านพลังงาน ครั้งที่ ๘ (8th AMEM + 3) ได้มีการหารือใน ๓ สาขาความร่วมมือหลัก ๆ ได้แก่ ความมั่นคงด้านพลังงาน ตลาดน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ และพลังงานทดแทนพลังงานหมุนเวียน (NRE) และประสิทธิภาพและการอนุรักษ์พลังงาน (EE&C) ๒.๒ การประชุมรัฐมนตรีเอเชียตะวันออกด้านพลังงาน ครั้งที่ ๕ (5th EAS EMM) ที่ประชุมได้ให้การรับรองแผนปฏิบัติการและเป้าหมายการประหยัดพลังงานที่จัดทำไว้โดยความสมัครใจและใช้ร่วมกันในประเทศเอเชียตะวันออกที่เกี่ยวข้อง และรับทราบความก้าวหน้าของโครงการเชื้อเพลิงชีวภาพเพื่อการขนส่งและเพื่อวัตถุประสงค์อื่น ๆ ๒.๓ การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงานกับทบวงการพลังงานระหว่างประเทศ ได้มีการนำเสนอข้อมูลและทิศทางของอุปสงค์และอุปทานพลังงานของโลก และนำเสนอผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประเทศในเอเชียและภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างอาเซียนกับทบวงการพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency : IEA) เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางวิชาการและเทคโนโลยีด้านพลังงาน รวมถึงนโยบายทางด้านพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการเตรียมความพร้อมต่อสถานการณ์ฉุกเฉิน
|
||||||||||||||||||
| 449 | โครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกิจการลูกเสือชาวบ้าน | นร | 04/10/2554 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบโครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ โดยผ่านกิจการลูกเสือชาวบ้าน ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
๑. รูปแบบการดำเนินโครงการฯ มุ่งเสริมสร้างให้ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการแสดงออกซึ่งความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และสืบสานความเป็นเอกลักษณ์ที่ดีงามของชาติไทย รวมทั้งเพื่อเสริมสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของภาคประชาสังคม ลดปัญหาความแตกแยก ตลอดจนการสร้างจิตสำนึกให้เกิดความร่วมมือของประชาชนทุกภาคส่วน เพื่อร่วมกันพัฒนาและแก้ปัญหาในชุมชนและสังคม นอกจากนี้ เพื่อฟื้นฟูกิจการลูกเสือชาวบ้านให้มีความยั่งยืน และเพิ่มจำนวนลูกเสือชาวบ้านในท้องที่ต่าง ๆ และให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติในโอกาสต่าง ๆ ๒. กลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้แก่ ลูกเสือชาวบ้านและประชาชนทั่วไปทั่วทุกภูมิภาค ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องของหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน รวมทั้งบุคลากรของภาคสื่อสารมวลชนทุกแขนงที่เกี่ยวข้อง ๓. ระยะเวลาขับเคลื่อนโครงการฯ ๔ ปี (ต่อเนื่อง) โดยเริ่มดำเนินการระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๘ งบประมาณในการดำเนินการปีงบประมาณละ ๑๕๐ ล้านบาท รวมทั้งสิ้นจำนวน ๖๐๐ ล้านบาท ๔. แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นชุดหนึ่งชื่อว่า คณะกรรมการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ โดยผ่านกิจการลูกเสือชาวบ้าน เรียกย่อว่า คปด.ลส.ชบ. เพื่อบริหารจัดการโครงการฯ และให้สำนักบริหารกลาง สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางด้านอำนวยการเพื่อรองรับภารกิจด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้แก่คณะกรรมการและโครงการฯ
|
||||||||||||||||||
| 450 | รายงานผลการตรวจสอบและผลการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ประจำปี พ.ศ. 2552 | ปช | 20/09/2554 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการตรวจสอบและผลการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) เสนอ โดยสาระสำคัญของรายงานดังกล่าว ประกอบด้วยผลการปฏิบัติงานด้านปราบปรามการทุจริต ด้านป้องกันการทุจริต ด้านตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน และด้านบริหารจัดการองค์กร รวมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งมีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะ รวม ๒ เรื่อง ดังนี้ ๑.๑ เรื่อง “คุณธรรมและจริยธรรมของนักการเมือง” คณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่า ตามมาตรา ๓๐๔ บัญญัติให้ดำเนินการจัดทำประมวลจริยธรรมให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปีนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ โดยในส่วนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองประเภทที่ ๑ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับชาติ ได้แก่ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ได้จัดทำประมวลจริยธรรมของตนแล้วเสร็จ และได้ออกประกาศใช้บังคับแล้ว สำหรับของผู้ดำรงตำแหน่งประเภทที่ ๒ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับท้องถิ่น ได้แก่ ผู้บริหารและสมาชิกสภาในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประเภทต่าง ๆ ทั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การบริหารส่วนตำบล เทศบาลนคร เทศบาลเมือง เทศบาลตำบล และท้องถิ่นที่มีลักษณะการปกครองแบบพิเศษ คือ กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา ยังมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอีกเป็นจำนวนมากที่ยังมิได้จัดทำประมวลจริยธรรมของหน่วยงาน จึงเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่รัฐบาลและรัฐสภาในฐานะผู้กำกับดูแลและตรวจสอบการปฏิบัติราชการของหน่วยงานของรัฐจะเร่งรัดให้หน่วยงานของรัฐดังกล่าวดำเนินการจัดทำประมวลจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองฝ่ายบริหารและฝ่ายสภาหรือประมวลจริยธรรมของข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยเร็ว ๑.๒ เรื่อง “ปัญหาการทุจริตที่ดินของรัฐ” คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีข้อเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาด้านกฎหมายและระเบียบด้านนโยบาย ด้านการบริหารราชการ ด้านผู้มีอิทธิพลและอำนาจแฝง และด้านการบูรณาการกลไกภาคประชาสังคมในการป้องกันการทุจริตที่ดินของรัฐ เพื่อป้องกันมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการทุจริตในการออกเอกสารสิทธิที่ดิน ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับประเด็นข้อเสนอแนะเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมของนักการเมืองและเรื่องปัญหาการทุจริตที่ดินของรัฐ เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||
| 451 | การมอบหมายเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัย และการเตรียมความพร้อมในการดำเนินงานเรื่องเร่งด่วนต่าง ๆ | นร | 20/09/2554 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการมอบหมายเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัย และการเตรียมความพร้อมในการดำเนินงานเรื่องเร่งด่วนต่าง ๆ ตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. การให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัย ให้รัฐมนตรีทุกท่านประสานงานการลงพื้นที่กับกระทรวงมหาดไทยและสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี รวมทั้งให้รายงานผลการดำเนินงาน และให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) พิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินงาน การประสานงาน และรายงานผลให้ชัดเจน มีเอกภาพ และไม่เกิดความซ้ำซ้อนกันด้วย ๒. การบูรณะ ซ่อมแซมเส้นทางคมนาคม ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมประสานงานกับกระทรวงกลาโหมเพื่อเร่งรัดดำเนินการบูรณะ ซ่อมแซมเส้นทางคมนาคมที่เกิดความชำรุดเสียหายจากสถานการณ์อุทกภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางหลวงสายต่าง ๆ จำนวน ๒๑ สายทาง ใน ๑๐ จังหวัด ทั้งนี้ ให้จัดลำดับความสำคัญเร่งด่วนของสายทางที่จะต้องดำเนินการด้วย ๓. การเร่งอัตราความเร็วการไหลของกระแสน้ำเพื่อระบายน้ำลงสู่ทะเล ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประสานงานกับผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการการกำกับ ดูแล และดำเนินการเพื่อเร่งความเร็วการไหลของน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีปริมาณน้ำท่วมสูงเพื่อให้ระบายน้ำลงสู่ทะเลได้อย่างรวดเร็ว ๔. การจัดงานหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) รับไปพิจารณาดำเนินการเตรียมความพร้อมในการจัดงาน OTOP ทั้งในด้านสถานที่จัดงาน การประสานงานกับผู้ผลิตสินค้า ระยะเวลาดำเนินการ และด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้สามารถจัดงาน OTOP รองรับช่วงเทศกาลปีใหม่ต่อไป ๕. การจัดซื้อจัดจ้างของส่วนราชการ ให้รัฐมนตรีและผู้บริหารที่เกี่ยวข้องทุกท่านกำกับ ดูแล การดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างในส่วนราชการ และหน่วยงานของรัฐในความรับผิดชอบให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบโดยถูกต้อง โปร่งใส เป็นประโยชน์สูงสุดแก่ราชการ และมิให้เกิดปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบขึ้น ๖. การแต่งตั้งโฆษกประจำกระทรวง ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทุกท่านพิจารณาแต่งตั้งโฆษกประจำกระทรวงแล้วแจ้งชื่อผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งไปยังโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีโดยด่วน เพื่อจะได้ปฏิบัติหน้าที่ประชาสัมพันธ์เผยแพร่ผลงานการดำเนินงานของกระทรวง รวมทั้งประสานงานการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ ให้นำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีทราบด้วย ๗. การจัดตั้งกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) รับไปเร่งรัดการดำเนินการจัดตั้งกรมฝนหลวงและการบินเกษตรขึ้นในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง การจัดตั้งกรมฝนหลวงและการบินเกษตร) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้ทันกับการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔
|
||||||||||||||||||
| 452 | ร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมของรัฐมนตรีพลังงานอาเซียนอาเซียน+3 และเอเชียตะวันออกกับร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างอาเซียนกับทบวงการพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) | พน | 13/09/2554 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมของรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน อาเซียน+๓ และเอเชียตะวันออก รวมทั้งร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างอาเซียนกับทบวงการพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency : IEA) ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถบังเกิดผลเป็นรูปธรรมสำหรับความร่วมมือด้านพลังงานในกรอบอาเซียน อาเซียน + ๓ และเอเชียตะวันออก ในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ในวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๔ ณ กรุงดาร์เสรีเบกาวัน รัฐบรูไนดารุสซาลาม ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมของรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน จำนวน ๓ ฉบับ ได้แก่ ร่างแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ ๒๙ (Joint Ministerial Statement of the 29th AMEM) ร่างแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีอาเซียน + ๓ ด้านพลังงาน ครั้งที่ ๘ (Joint Ministerial Statement of 8th Amem+3) และร่างแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีเอเชียตะวันออกด้านพลังงาน ครั้งที่ ๕ (Joint Ministerial Staterment of the 5th EAS EMM) โดยร่างแถลงการณ์ทั้ง ๓ ฉบับ จะเป็นแถลงการณ์สรุปผลการประชุมของรัฐมนตรีพลังงานทั้ง ๓ คณะ ประกอบด้วยสาระหลัก คือ การผลักดันประเทศสมาชิกไปสู่เป้าหมายในการลดอัตราการใช้พลังงานในภูมิภาค และเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนในการผลิตไฟฟ้า การเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันผ่านการเชื่อมโยงโครงข่ายด้านพลังงานในภูมิภาค การดำเนินงานร่วมกันเพื่อยกระดับการใช้พลังงานหมุนเวียนและเทคโนโลยีพลังงานใหม่ การสนับสนุนให้มีการแบ่งปันและปรับปรุงข้อมูลการใช้เทคโนโลยีที่ช่วยประหยัดพลังงาน การตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานและการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ และแสดงความมุ่งมั่นที่จะทำกิจกรรมช่วยลดภาวะโลกร้อน การให้ความสำคัญต่อความหลากหลายของแหล่งพลังงาน การเสริมสร้างขีดความสามารถของประเทศสมาชิก ตลอดจนการส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนและเศรษฐกิจการเติบโตแบบคาร์บอนต่ำ (low - carbon growth economy) ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน) เป็นผู้ให้การรับรองในร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมทั้ง ๓ ฉบับ ร่วมกับรัฐมนตรีพลังงานของกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน อาเซียน+๓ และเอเชียตะวันออก ๓. เห็นชอบให้กระทรวงพลังงานร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศสามารถพิจารณาปรับปรุงถ้อยคำในร่างแถลงการณ์ร่วมทั้ง ๓ ฉบับ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญของแถลงการณ์ร่วมได้ตามความเหมาะสมก่อนที่จะมีการรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมทั้ง ๓ ฉบับดังกล่าวในที่ประชุมได้ ๔. เห็นชอบในหลักการร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างอาเซียนกับทบวงการพลังงานระหว่างประเทศ (Memorandum of Understanding on Energy Co - Operation between the Association of Southeast Asian Nations and the International Energy Agency) ระหว่างเลขาธิการอาเซียนกับผู้บริหารทบวงการพลังงานระหว่างประเทศ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับความร่วมมือทางด้านวิชาการและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องทางด้านพลังงาน รวมถึงนโยบายทางด้านพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการเตรียมความพร้อมต่อสถานการณ์ฉุกเฉินทางด้านพลังงาน |
||||||||||||||||||
| 453 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2554 ครั้งที่ 2/2554 | กษ | 28/06/2554 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมวิชาการเกษตร รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ ๒๕๕๔ ครั้งที่ ๒/๒๕๕๔ โดยผลการจัดจ้างผู้บริหารจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกฯ ราชพฤกษ์ ๒๕๕๔ ได้ดำเนินการตามขั้นตอนการประกวดราคาด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ในวันที่ ๒๑ มีนาคม - ๑ เมษายน ๒๕๕๔ ผลการประกวดราคา บริษัท ไร้ท์แมน จำกัด เป็นผู้เสนอราคาต่ำสุด เป็นเงิน ๓๙๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท และได้มีการลงนามสัญญาจ้างฯ เรียบร้อยแล้ว ส่วนความก้าวหน้าการดำเนินงานด้านการปรับปรุงสถานที่ สิ่งก่อสร้าง และการจัดสวน คณะอนุกรรมการด้านการปรับปรุงสถานที่ สิ่งก่อสร้าง และการจัดสวน ได้ประชุมเพื่อติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงาน โดยล่าสุดในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๔ สรุปความก้าวหน้าการดำเนินงาน ณ วันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๔ ประกอบด้วย รายการที่กำลังก่อสร้าง จำนวน ๑๓ รายการ ได้รับงบประมาณจากสำนักงบประมาณ รวม ๑๑๘,๒๖๖,๕๕๐ บาท รายการที่อยู่ระหว่างการจัดซื้อจัดจ้าง จำนวน ๘ รายการ วงเงินราคากลาง ๕๘,๖๑๘,๔๐๒ บาท และรายการที่อยู่ในขั้นตอนการตรวจแบบและราคากลาง จำนวน ๑๐ รายการ วงเงิน ๓๑,๘๖๗,๐๐๐ บาท คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนเมษายน ๒๕๕๔ และมีกำหนดระยะเวลาดำเนินงานไม่เกิน ๙๐ วัน สำหรับปัญหา/อุปสรรคในการดำเนินการ มีการดำเนินงานบางส่วนล่าช้ากว่าแผนการปฏิบัติงานที่กำหนด ซึ่งกรมวิชาการเกษตรได้ร่วมกับคณะทำงานด้านต่าง ๆ จัดทำแผนการปฏิบัติงานเพิ่มเติม และติดตามงานอย่างต่อเนื่อง โดยกรมวิชาการเกษตรและคณะทำงานฯ ได้ดำเนินการตามแผนงานที่วางแล้วบางส่วน และได้ส่งมอบงานให้ผู้บริหารจัดการงานฯ ดำเนินการต่อแล้ว เพื่อให้มีความต่อเนื่องและเป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้
|
||||||||||||||||||
| 454 | รายงานผลความคืบหน้าการดำเนินการสร้างหลักประกันด้านรายได้แก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพ (การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ) | พม | 28/06/2554 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานผลความคืบหน้าการดำเนินการสร้างหลักประกันด้านรายได้แก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพ (การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ) ตามที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) และกระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้แจ้งการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ของโครงการสร้างหลักประกันด้านรายได้ให้แก่ผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นเงินอุดหนุนเฉพาะกิจสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายสนับสนุนการสงเคราะห์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุในงวดที่ ๒ โดยให้จังหวัดดำเนินการจัดสรรงบประมาณให้แก่ผู้สูงอายุที่มีสิทธิรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่ได้ลงทะเบียนไว้แล้วให้ครบตามจำนวนของทั้งปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ (ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๓ เป็นต้นไป) ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา จะมีผู้สูงอายุได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ รวมทั้งสิ้น ๖,๕๒๑,๗๔๙ คน จำนวนงบประมาณที่จ่าย ๓๗,๘๙๓,๓๙๘,๐๐๐ บาท ส่วนในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีจำนวนผู้สูงอายุที่มีสิทธิรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ รวม ๗,๐๘๔,๙๖๗ คน ๒. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้จัดทำโครงการปรับปรุงกระบวนการและพัฒนาติดตั้งระบบการจ่ายตรงเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้สูงอายุในการรับเบี้ยยังชีพตรงเวลา ครบถ้วน และสามารถตรวจสอบได้ ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ ๓. การพัฒนากระบวนการการลงทะเบียนและการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุโดยการเชื่อมโยงข้อมูลเลขบัตรประจำตัวประชาชน ๑๓ หลัก จากระบบทะเบียนราษฎรเพื่อการตรวจสอบข้อมูล คุณสมบัติของผู้สูงอายุ การยืนยันบุคคล สถานที่อยู่ สถานภาพการมีชีวิต โดยให้ผู้สูงอายุใช้เพียงบัตรประจำตัวประชาชนขึ้นทะเบียนรับสิทธิเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุได้ นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ ๔. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้ทำหนังสือขออนุญาตรับบริจาคเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเข้ากองทุนผู้สูงอายุไปยังคณะกรรมการควบคุมการเรี่ยไรของหน่วยงานรัฐ ก่อนที่จะดำเนินการรณรงค์เพื่อขอรับบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ๕. กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เทศบาล และเมืองพัทยา รายงานวิธีการตรวจสอบการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุว่า ในส่วนของเทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบลได้รายงานผลดำเนินงานการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุไปยังจังหวัดทุกรอบ ๓ เดือน ส่วนกรุงเทพมหานครและเมืองพัทยาได้รายงานเสนอผู้บริหารเป็นประจำทุกเดือน |
||||||||||||||||||
| 455 | การแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงหรือบุคคลดำรงตำแหน่งกรรมการในรัฐวิสาหกิจหลายแห่ง | ปช | 07/06/2554 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) ในคราวประชุมครั้งที่ ๒๘๑-๒๘/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๔ เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงหรือบุคคลดำรงตำแหน่งกรรมการในรัฐวิสาหกิจหลายแห่ง ดังนี้ ๑.๑ กรณีการห้ามผู้มีอำนาจแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงตั้งแต่ระดับผู้อำนวยการสำนักหรือเทียบเท่าขึ้นไปในส่วนราชการ หรือผู้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วย รองหรือผู้บริหารสูงสุดในรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ควบคุม กำกับทั้งด้านนโยบายและด้านการปฏิบัติ (Regulator) เป็นประธานกรรมการหรือกรรมการในรัฐวิสาหกิจหรือนิติบุคคลที่รัฐวิสาหกิจถือหุ้น ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจหรือบริษัทจำกัด หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่ดำเนินกิจการเกี่ยวกับสาธารณูปโภคและมีวัตถุประสงค์ในการแสวงหากำไรรวมอยู่ด้วย ซึ่งอยู่ในการควบคุม กำกับ หรือดูแลนั้น เห็นควรให้หน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับ ควบคุม ดูแลรัฐวิสาหกิจหรือนิติบุคคลที่รัฐวิสาหกิจถือหุ้นซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจหรือบริษัทจำกัด หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเป็นผู้พิจารณากำหนดรายชื่อรัฐวิสาหกิจหรือนิติบุคคลที่รัฐวิสาหกิจถือหุ้นซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจหรือบริษัทจำกัด หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเหล่านั้น ๑.๒ กรณีการห้ามผู้มีอำนาจแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐในองค์กรตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หมวดที่ ๑๑ ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบและดำเนินคดีเป็นประธานกรรมการหรือกรรมการในรัฐวิสาหกิจ และหรือนิติบุคคลที่รัฐวิสาหกิจเป็นผู้ถือหุ้นนั้น เนื่องจากการเสนอมาตรการในข้อนี้ต่อคณะรัฐมนตรีเป็นการเสนอในหลักการ ส่วนการพิจารณาว่าจะสมควรหรือไม่เป็นเรื่องที่คณะรัฐมนตรีจะพิจารณาความเหมาะสมและตัดสินใจเอง การที่จะให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ประสานรายละเอียดร่วมกับองค์กรตามรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องน่าจะเป็นการไม่เหมาะสม ๒. ให้ทุกกระทรวงที่มีหน้าที่กำกับ ควบคุม ดูแลรัฐวิสาหกิจ หรือนิติบุคคลที่รัฐวิสาหกิจถือหุ้นรับมติคณะกรรมการฯ ตามข้อ ๑ ไปพิจารณาศึกษาวิเคราะห์ในรายละเอียดว่ามีรัฐวิสาหกิจใดบ้างที่จะเข้าข่ายและสมควรดำเนินการตามมาตรการป้องกันการทุจริตของรัฐวิสาหกิจตามข้อเสนอของคณะกรรมการฯ กรณีการห้ามผู้มีอำนาจแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงตั้งแต่ระดับผู้อำนวยการสำนักหรือเทียบเท่าขึ้นไปในส่วนราชการ หรือผู้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วย รองหรือผู้บริหารสูงสุดในรัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ควบคุม กำกับ ทั้งด้านนโยบายและด้านการปฏิบัติ (Regulator) เป็นประธานกรรมการหรือกรรมการในรัฐวิสาหกิจ หรือนิติบุคคลที่รัฐวิสาหกิจถือหุ้น ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจหรือบริษัทจำกัด หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการเกี่ยวกับสาธารณูปโภค และมีวัตถุประสงค์ในการแสวงหากำไรรวมอยู่ด้วย ซึ่งอยู่ในการควบคุม กำกับ หรือดูแล และกรณีการห้ามผู้มีอำนาจแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐในองค์กรตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หมวดที่ ๑๑ ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบและดำเนินคดีเป็นประธานกรรมการหรือกรรมการในรัฐวิสาหกิจและหรือนิติบุคคลที่รัฐวิสาหกิจเป็นผู้ถือหุ้น ทั้งนี้ โดยให้คำนึงถึงความสอดคล้องกับข้อกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น กฎหมายเกี่ยวกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กฎหมายเกี่ยวกับการพลังงาน หลักธรรมาภิบาล (Good Governance) เป็นต้น แล้วให้จัดทำผลการพิจารณาส่งไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อรวบรวมนำเสนอคณะรัฐมนตรีชุดใหม่พิจารณาต่อไป
|
||||||||||||||||||
| 456 | การพัฒนาระบบการเตรียมพร้อมของชาติและการจัดการสาธารณภัยตามบัญชานายกรัฐมนตรี | นร | 31/05/2554 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เกี่ยวกับการพัฒนาระบบการเตรียมพร้อมของชาติและการจัดการสาธารณภัยตามบัญชานายกรัฐมนตรี ดังนี้
๑. การดำเนินการเชิงป้องกันต้องให้ความสำคัญกับการแจ้งเตือนภัยที่ชัดเจน โดยที่ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้กำหนดให้มีแผนปฏิบัติการการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแบบบูรณาการระดับกระทรวงด้านการแจ้งเตือนภัย ด้านการประชาสัมพันธ์และจัดการข่าวสาร และด้านการบริหารจัดการภัยพิบัติ ตามลำดับ จึงเห็นควรดำเนินการ โดยระยะยาว ให้คณะกรรมการบริหารระบบการเตือนภัยแห่งชาติพิจารณาการประกาศแจ้งเตือนภัยของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เป็นหนึ่งเดียว และระยะเร่งด่วน ให้ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติร่วมกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และกรมประชาสัมพันธ์ วางแผนและกำหนดขั้นตอน/การปฏิบัติการแจ้งเตือนภัยที่ชัดเจนและเป็นหนึ่งเดียว และกำหนดหน่วย/ผู้มีสิทธิประกาศการแจ้งเตือนให้แก่ประชาชน ๒. การบริหารจัดการภัยที่ประสานสอดคล้องกันระหว่างหน่วยนโยบายกับหน่วยปฏิบัติทุกระดับในเชิงรุก การมีศูนย์กลางการประสานการปฏิบัติงาน การมีกฎ ระเบียบ ระบบบริหารจัดการ คลังข้อมูลด้านสาธารณภัย เครือข่ายข้อมูลด้านความมั่นคง ระบบเทคโนโลยีและการสื่อสาร อาทิ ภาพถ่ายดาวเทียมสำรวจพื้นที่เสียหาย ระบบ Video down - link ของกองทัพอากาศเข้าสำรวจพื้นที่เพื่อเสนอข้อมูลภาพ RealTime ชุด Emergency Response Team (ERT) Medical Emergency Response Team (MERT) ต้องมีการทำงานในทุกระดับที่สนับสนุนการป้องกันและแก้ไขปัญหาในทิศทางเดียวกัน เพื่อนำเสนอข้อมูลประกอบการพิจารณาของคณะผู้บริหารวิกฤตการณ์ โดยทุกหน่วยงานให้ความร่วมมือและสนับสนุนการทำงานของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย |
||||||||||||||||||
| 457 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สผ | 31/05/2554 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติให้นำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญบัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... แก้ไข เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศราชกิจจานุเบกษา และให้แจ้งสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||
| 458 | แนวทางการปรับค่าตอบแทนของผู้บริหารและสมาชิกสภาท้องถิ่น | มท | 03/05/2554 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้ปรับเงินเดือนหรือค่าตอบแทนของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและข้าราชการการเมืองอื่นของกรุงเทพมหานคร ผู้บริหารและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและเทศบาล ผู้บริหารและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล โดยให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงบประมาณร่วมกันพิจารณาปรับเงินเดือนและค่าตอบแทนดังกล่าวไม่เกินร้อยละ ๒๐ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยให้กระทรวงมหาดไทยและสำนักงบประมาณร่วมกันพิจารณาปรับเงินเดือนหรือค่าตอบแทนดังกล่าวไม่เกินร้อยละ ๒๐ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๒.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเงินเดือน เงินเพิ่ม เงินค่าเบี้ยประชุม และเงินตอบแทนอื่นของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ข้าราชการการเมืองอื่นของกรุงเทพมหานคร และกรรมการที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครแต่งตั้ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงอัตราเงินเดือนของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และข้าราชการการเมืองอื่นของกรุงเทพมหานคร ๒.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเงินประจำตำแหน่ง เงินค่าเบี้ยประชุม และเงินตอบแทนอื่นของสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร สมาชิกสภาเขตของกรุงเทพมหานคร และกรรมการของสภากรุงเทพมหานคร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงบัญชีเงินประจำตำแหน่งและเงินตอบแทนของประธานสภากรุงเทพมหานคร รองประธานสภากรุงเทพมหานคร สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร ประธานสภาเขต และสมาชิกสภาเขตของกรุงเทพมหานคร และแก้ไขการลดเงินประจำตำแหน่งและเงินตอบแทนของประธานสภากรุงเทพมหานคร รองประธานสภากรุงเทพมหานคร หรือสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร กรณีขาดการประชุมเกินหนึ่งในสี่ของจำนวนวันที่มีการประชุมในสมัยประชุมนั้น ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการปรับค่าตอบแทนดังกล่าว เห็นควรให้ใช้จ่ายเงินรายได้ของกรุงเทพมหานคร องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบล โดยให้ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป นอกจากนี้ การปรับเพิ่มค่าตอบแทนควรกำหนดเงื่อนไขให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละแห่งพิจารณารักษาสัดส่วนของงบลงทุนต่องบประมาณตามข้อบัญญัติหรือเทศบัญญัติขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และดำเนินการปรับลดรายจ่ายประจำที่ไม่จำเป็นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารงานและพัฒนาการจัดเก็บรายได้ให้เพิ่มขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
| 459 | แนวทางการจัดสรรเงินรางวัลและสิ่งจูงใจ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ส่วนราชการสังกัดรัฐสภา | สผ | 03/05/2554 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการจัดสรรเงินรางวัลและสิ่งจูงใจ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ ส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ซึ่งได้กำหนดหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินรางวัลให้ทั้งผู้บริหารและผู้ปฏิบัติ เนื่องจากเห็นว่าการจัดสรรเงินรางวัลเป็นการดำเนินการตามหลักการจ่ายค่าตอบแทนผลงานซึ่งหลักการสำคัญของนโยบายรัฐบาลในเรื่องนี้คือการกระตุ้นหรือจูงใจให้ข้าราชการระดับบริหารของส่วนราชการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงขึ้น สามารถธำรงรักษาข้าราชการระดับสูง ที่มีความรู้ความสามารถมีภาวะผู้นำให้อยู่ในระบบราชการได้อย่างมีศักดิ์ศรี และมีขวัญกำลังใจโดยได้รับค่าตอบแทนผลงาน ทั้งนี้ ต้องมีผลการประเมินการปฏิบัติราชการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการไม่ต่ำกว่า ๓.๐๐๐๐ คะแนน ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ
|
||||||||||||||||||
| 460 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ พ.ศ. .... | วธ | 20/04/2554 | |||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีตรวจพิจารณา มีสาระสำคัญคือ ๑.๑ กำหนดให้พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป เว้นแต่บทบัญญัติมาตรา ๙ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ เป็นต้นไป เนื่องจากมีผู้สำเร็จการศึกษาในสาขาวิชาวิจิตรศิลป์และประยุกต์ศิลป์ สาขาเครื่องเคลือบดินเผา ได้รับพระราชทานปริญญาไปแล้ว ๑.๒ กำหนดปริญญาในสาขาวิชา และอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาวิจิตรศิลป์ และประยุกต์ศิลป์ และสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ ๑.๓ กำหนดครุยวิทยาฐานะ ครุยประจำตำแหน่ง และเครื่องหมายประกอบครุยประจำตำแหน่งของนายกสภาสถาบัน กรรมการสภาสถาบัน ผู้บริหารและคณาจารย์ของสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ๑.๔ กำหนดเข็มวิทยฐานะของสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ๑.๕ กำหนดสีประจำคณะ ๒. ให้กระทรวงวัฒนธรรมชี้แจงเหตุผลความจำเป็นในการให้ร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมีผลใช้บังคับย้อนหลังเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาในการนำร่างพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายต่อไปและให้ดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||
.....
