ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 21 จากทั้งหมด 55 หน้า แสดงรายการที่ 401 - 420 จากข้อมูลทั้งหมด 1084 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 401 | การจัดงาน "รัฐบาลพบประชาชน ทุนเพื่อคุณภาพชีวิต" | นร04 | 21/08/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า รัฐบาลได้เตรียมจัดงาน “รัฐบาลพบประชาชน ทุนเพื่อคุณภาพชีวิต” พร้อมกันทุกจังหวัดทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๕ เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายที่สำคัญของรัฐบาลและเข้าถึงแหล่งทุนได้อย่างถูกต้อง ทั่วถึง และอย่างแพร่หลายมากยิ่งขึ้น โดยให้รัฐมนตรีทุกท่านเข้าร่วมงานที่จะจัดขึ้นในจังหวัดต่าง ๆ ระหว่างวันดังกล่าวด้วย และมอบหมายให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีประสานงานและรวบรวมรายชื่อรัฐมนตรีที่แสดงความจำนงว่าจะลงพื้นที่เพื่อเข้าร่วมงานในจังหวัดใดแล้วแจ้งไปยังรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย) เพื่อดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้แจ้งข้อมูลดังกล่าวให้เลขาธิการนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีทราบด้วย ๒. รับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย) เสนอเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดงาน “รัฐบาลพบประชาชน ทุนเพื่อคุณภาพชีวิต” ในส่วนของพื้นที่กรุงเทพมหานครจะจัดงานในบริเวณสนามราชมังคลากีฬาสถาน หัวหมาก ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานในพิธีเปิดในวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๕ ที่กรุงเทพมหานคร เวลา ๐๙.๐๐ น. และจะเปิดงานพร้อมกันทุกจังหวัดทั่วประเทศ ทั้งนี้ ภายในงานจะมีการจัดนิทรรศการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายที่สำคัญของรัฐบาลและกองทุนต่าง ๆ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงต่าง ๆ ซึ่งกระทรวงการคลังได้จัดทำเอกสารข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งทุนต่าง ๆ จำนวน ๕๐๐ เล่ม เพื่อเผยแพร่ให้รัฐมนตรีทุกท่านและบุคคลทั่วไปได้รับทราบ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้มอบหมายให้ผู้บริหารของกระทรวงการคลังตั้งแต่ระดับผู้อำนวยการสำนักหรือผู้เชี่ยวชาญหรือเทียบเท่าขึ้นไปตรวจเยี่ยมการจัดงานและรายงานผลการดำเนินงานในทุกจังหวัดด้วยแล้ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 402 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แผนจัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ พ.ศ. 2555-2557 (แผนระยะสั้น) ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 เพิ่มเติม | สธ | 14/08/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แผนจัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ (แผนระยะสั้น) ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. ๒๕๔๒ เพิ่มเติม ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินงาน ได้แก่ การจัดทำแผนงาน/โครงการฯ ของจังหวัด รองรับการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายงบประมาณ การจัดตั้ง/ประชุมคณะกรรมการระดับจังหวัด การจัดทำทะเบียนข้อมูลสมุนไพร ๓ กลุ่ม (กลุ่มที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ กลุ่มที่มีค่าต่อการศึกษาวิจัย และกลุ่มที่อาจจะสูญพันธุ์) จำแนกแต่ละพื้นที่ การประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง/ชุมชน/เครือข่าย ในการดำเนินงานตามแผนฯ เกี่ยวกับการศึกษาวิจัยทางวิชาการ อนุรักษ์ เสริมสร้างความรู้ตามมาตรการ/กิจกรรมแต่ละพื้นที่ รวมทั้งการพัฒนาต่อยอดเพื่อการใช้ประโยชน์ และกำหนดแผนติดตาม/ประเมินผลการดำเนินงานปีแรกของแผนงานฯ ภายหลังสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๒. ปัญหาอุปสรรค ได้แก่ ข้อจำกัดด้านกฎหมาย ระเบียบในการอนุญาตเข้าไปในพื้นที่ บุคลากรในการปกป้องหรือป้องปรามและลาดตระเวนพื้นที่มีจำนวนจำกัด การสนับสนุนงบประมาณตามแผนฯ แต่ละพื้นที่ยังไม่เพียงพอ ตลอดจนภาคส่วนต่าง ๆ ยังขาดความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการดำเนินการดังกล่าว ๓. ข้อเสนอแนะ แนวทางการดำเนินงานและการพัฒนา ได้แก่ การบูรณาการความร่วมมือทั้งทางวิชาการ กฎหมาย จากทุกภาคส่วน/ทุกระดับ โดยให้ส่วนราชการ/หน่วยงาน/องค์กรที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการรองรับภารกิจ/กิจกรรมตามแผน พร้อมจัดสรรงบประมาณเพื่อรองรับการดำเนินงานบูรณาการ การสนับสนุนและผลักดันในเชิงนโยบายของผู้บริหาร การจัดทำข้อตกลงความร่วมมือด้านต่าง ๆ ใช้เป็นกรอบในการทำงาน/การปฏิบัติงานร่วมกันทุกระดับ รวมทั้งการสนับสนุนให้มีการสำรวจและศึกษาสมุนไพรเพิ่มเติมในพื้นที่เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ รวมทั้งสนับสนุนการจัดทำระบบฐานข้อมูลทางภูมิศาสตร์เพื่อประโยชน์ในการอ้างอิงทางวิชาการและการต่อสู้เชิงกฎหมายในอนาคต ๔. แผนงานในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ได้แก่ การสนับสนุนการดำเนินงานในพื้นที่โดยเน้นพื้นที่นอกเขตอนุรักษ์เพื่อขยายโอกาสให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น และเร่งรัดการออกกฎหมายลำดับรองเพื่อรองรับการขอขึ้นทะเบียนที่ดินเอกชน และนำที่ดินดังกล่าวมาขอรับการช่วยเหลือหรือสนับสนุนเกี่ยวกับการปลูก พัฒนา ส่งเสริมสมุนไพรตามเกณฑ์กำหนดต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 403 | ขออนุมัติโครงการศูนย์ฝึกอบรมดาราศาสตร์นานาชาติภายใต้ยูเนสโก (International Training Centre on Astronomy under the Auspices of UNESCO) | วท | 07/08/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการให้ดำเนินโครงการศูนย์ฝึกอบรมดาราศาสตร์นานาชาติภายใต้ยูเนสโก (International Training Centre on Astronomy under the Auspices of UNESCO) เพื่อรองรับการเข้าสู่ความร่วมมือทางวิชาการในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนและยกระดับการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศไทยสู่ระดับสากล ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยแสดงถึงศักยภาพในการเป็นผู้นำด้านการเป็นศูนย์ฝึกอบรมทางด้านดาราศาสตร์ในระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ ทั้งนี้ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) จะได้เสนอข้อเสนอโครงการดังกล่าวที่ได้รับการอนุมัติในหลักการจากคณะรัฐมนตรีต่อที่ประชุมคณะผู้บริหาร (Executive Board) ของ UNESCO ต่อไป ๑.๒ เห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินงานโครงการศูนย์ฝึกอบรมดาราศาสตร์นานาชาติภายใต้ยูเนสโก (International Training Centre on Astronomy under the Auspices of UNESCO) ปีละ ๓๐ ล้านบาท (ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นต้นไป) ๒. ในส่วนของงบประมาณในการดำเนินงานของศูนย์ฝึกอบรมดาราศาสตร์นานาชาติภายใต้ยูเนสโก สำนักงบประมาณจะพิจารณาจัดสรรให้ตามความจำเป็นและเหมาะสมในแต่ละปีงบประมาณ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการเพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการอำนวยการศูนย์ฝึกอบรมดาราศาสตร์นานาชาติภายใต้ยูเนสโก หรือแต่งตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจ ให้มีเจ้าหน้าที่ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 404 | รายงานการพัฒนาเด็กและเยาวชน ประจำปี 2553 | พม | 30/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอรายงานการพัฒนาเด็กและเยาวชน ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ซึ่งผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติแล้ว โดยสาระสำคัญของรายงาน ประกอบด้วย วัตถุประสงค์และขอบเขตรายงาน เนื้อหารายงาน และข้อเสนอเชิงนโยบายต่อการพัฒนาเด็กและเยาวชน โดยในส่วนของข้อเสนอเชิงนโยบายฯ มีดังนี้
๑. ส่งเสริมสถาบันครอบครัวและวัฒนธรรม ด้วยการพัฒนาความรู้ ทักษะ และทัศนคติที่ถูกต้องให้กับพ่อแม่และผู้ปกครองในการเลี้ยงดู เด็กและเยาวชนอย่างเหมาะสม โดยปลูกฝังให้เด็กและเยาวชนมีคุณธรรม จริยธรรม ยึดมั่นในหลักคำสอนทางศาสนา มีความพอเพียง มีสำนึกความเป็นพลเมือง มีวิถีประชาธิปไตย เคารพสิทธิผู้อื่น รู้จักคิดอย่างมีเหตุผล มีจิตสาธารณะ รักสิ่งแวดล้อม สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปลอดภัย และสนับสนุนให้ชุมชน สังคม ภาคีเครือข่ายเข้าใจปัญหาและความต้องการของเด็กและเยาวชน จัดบริการสวัสดิการให้สอดคล้องกับความต้องการของเด็กและเยาวชน ๒. ส่งเสริมสุขภาพกายและสุขภาพจิตเด็กและเยาวชน ด้านโภชนาการที่เหมาะสมตามวัยให้หญิงมีครรภ์และเด็กเล็กได้รับสารไอโอดีนอย่างทั่วถึง ให้ความรู้กับเด็กและเยาวชนในการป้องกันตนเองจากโรคและสิ่งเสพติด หมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ป้องกันปัญหาโรคอ้วน รวมทั้งดูแลสุขภาพจิตของเด็กและเยาวชนไม่ให้เกิดความเครียด ปรับปรุงคุณภาพศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและบุคลากรผู้ดูแลเด็ก รวมถึงการดูแลเด็กเล็กในโรงเรียน โรงงาน สถานประกอบการ และให้ความรู้และทักษะการใช้ชีวิตเรื่องเพศศึกษาเมื่อถึงวัยอันควร ๓. ด้านการศึกษา ควรสนับสนุนภาคีอื่นเข้าร่วมจัดการศึกษากับกระทรวงศึกษาธิการ อาทิ สื่อมวลชน องค์กรพัฒนาเอกชน องค์กรระหว่างประเทศที่ทำงานด้านการศึกษา หรือชุมชน ฯลฯ เพื่อให้การจัดการศึกษาเป็นไปอย่างมีคุณภาพและสอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนแต่ละกลุ่ม รวมทั้งเตรียมความพร้อมเด็กและเยาวชนเมื่อไทยเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน และต้องเพิ่มโอกาสทางการศึกษาของเด็กและเยาวชนที่ยากจนหรือด้อยโอกาสรุนแรงด้วยมาตรการที่หลากหลาย ดูแลเรื่องคุณภาพการศึกษาอย่างจริงจัง รวมทั้งสร้างความหลากหลายของแนวทางและช่องทางการศึกษา โดยสนับสนุนให้มีการจัดการศึกษาทางเลือกทุกระดับ ๔. ดูแลเด็กและเยาวชนด้อยโอกาส ทั้งในด้านโภชนาการ การศึกษาที่พอเพียงและมีคุณภาพ การมีงานทำ ครอบครัวที่อบอุ่น รวมทั้งสร้างทุนทางสังคมให้กับเด็กและเยาวชนที่ด้อยโอกาสที่จะมีส่วนช่วยการพัฒนาตัวเองให้หลุดพ้นสภาพด้อยโอกาส ภาครัฐควรสร้างฐานข้อมูลเด็กและเยาวชนด้อยโอกาส ซึ่งปัจจุบันยังมีความคลุมเครือและไม่สมบูรณ์ โดยเชื่อมโยงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้ด้อยโอกาส ระหว่างเครือข่ายพันธมิตรและชุมชน และทำการปรับแก้หรือบังคับใช้กฎหมายที่เอื้อต่อการพัฒนา คุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของเด็กและเยาวชนผู้ด้อยโอกาส ๕. ปรับปรุงการดำเนินงานของสภาเด็กและเยาวชน ด้วยการสร้างความเข้าใจถึงบทบาทและความสำคัญของสภาเด็กและเยาวชนในทุกระดับ เพื่อให้มีความต่อเนื่องของการดูแลเป็นพี่เลี้ยงให้ผู้บริหารสภาเด็กและเยาวชน พร้อมกับที่ต้องส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของสภาเด็กและเยาวชนไปในตัวด้วย ในขณะที่ผู้บริหารสภาเด็กและเยาวชนควรทำการปรึกษาอย่างกว้างขวางกับเด็กและเยาวชนในพื้นที่ในการจัดกิจกรรมที่ตรงกับความต้องการในพื้นที่ อันจะนำไปสู่การสนับสนุนทรัพยากรทางการเงินจากภาครัฐได้มากขึ้น ๖. ส่งเสริมบทบาทของเครือข่ายเพื่อมีส่วนร่วมพัฒนาเด็กและเยาวชน การพัฒนาเด็กและเยาวชนเป็นหน้าที่ของทุกภาคส่วนในสังคมไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ธุรกิจเอกชน ชุมชน หรือครอบครัว จึงควรมีมาตรการส่งเสริมให้ภาคส่วนเหล่านี้ตระหนักและมีการเพิ่มบทบาทของตนเองในเรื่องนี้มากขึ้น มาตรการที่อาจทำได้ เช่น การสนับสนุนการดำเนินงานของธุรกิจเพื่อสังคม (Corporate Social Responsibility) เพิ่มอัตราจ้างเด็กและเยาวชนในการทำงาน สนับสนุนให้อาสาสมัครมีบทบาทต่อการพัฒนาเด็กและเยาวชนในพื้นที่ ส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีฝ่ายงานด้านเด็กและครอบครัว ๗. ติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในทุกด้าน
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 405 | การลงนามในบันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือด้านทรัพยากรแร่ระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐโมซัมบิกและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย | พณ | 17/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือด้านทรัพยากรแร่ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐโมซัมบิก โดยให้กระทรวงพาณิชย์สามารถเปลี่ยนแปลงถ้อยคำในส่วนที่ไม่กระทบต่อสาระสำคัญของร่างความตกลงฯ โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ทั้งนี้ ร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ ความร่วมมือด้านทรัพยากรแร่ระหว่าง ๒ ประเทศ ครอบคลุมสาขาต่าง ๆ อาทิ การสำรวจทรัพยากรแร่ การส่งเสริมการลงทุนในการใช้ประโยชน์การค้าและการสร้างมูลค่าเพิ่มทรัพยากรแร่ การวิจัยและเทคโนโลยี ความช่วยเหลือทางเทคนิค การฝึกอบรม การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความรู้และข้อกฎหมายด้านการเหมืองแร่เพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน ๑.๑.๒ ให้มีการจัดตั้งคณะทำงานร่วม ประกอบด้วยผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งสองประเทศ เพื่อประสานและติดตามการดำเนินกิจกรรมภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ โดยคณะทำงานร่วมจะประชุมกันปีละ ๑ ครั้ง ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๑.๓ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ และหลังจากลงนามแล้วให้กระทรวงการต่างประเทศแจ้งผลการรับรองผูกพันความตกลงของประเทศไทยต่อประเทศโมซัมบิกอย่างเป็นทางการ ๒. ในการเดินทางไปเยือนสาธารณรัฐโมซัมบิกของผู้บริหารระดับสูงและผู้แทนการค้าของไทยเพื่อขยายความสัมพันธ์ทางการค้า การลงทุนกับประเทศในภูมิภาคแอฟริกา และลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าว ให้มีผู้แทนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรมเข้าร่วมเดินทางไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 406 | รายงานผลการประชุมผู้บริหารระดับสูงลุ่มน้ำนานาชาติ - ลุ่มน้ำโขง (Mekong2Rio : Mekong to Rio+20) | ทส | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมผู้บริหารระดับสูงลุ่มน้ำนานาชาติ - ลุ่มน้ำโขง (Mekong2Rio : Mekong to Rio+20) ระหว่างวันที่ ๑ - ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ณ จังหวัดภูเก็ต ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมผู้บริหารระดับสูงลุ่มน้ำนานาชาติ - ลุ่มน้ำโขง มีเจตนารมณ์เพื่อจัดทำ “Mekong2Rio Message” ซึ่งจะเป็นการนำเสนอข้อมูลแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง และการพัฒนาที่ยั่งยืนในลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ซึ่งเป็นการอนุวัติตามเป้าหมายแห่งสหัสวรรษต่อที่ประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ Rio+20 ที่จะจัดขึ้น ณ นครริโอ เดอจาเนโร สหพันธรัฐบราซิล เดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นการประชุมครั้งสำคัญของโลก ที่จะทำให้เกิดการพัฒนาที่รักษาความสมดุลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจของโลก โดยสารแม่น้ำโขง มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การแก้ไขปัญหาด้านน้ำ อาหาร และความมั่นคงด้านพลังงานในอนาคต องค์กรที่เกี่ยวข้องทั้งสามด้านจะต้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ๑.๒ การบริหารจัดการลุ่มน้ำข้ามพรมแดนที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดความมั่นคงในภูมิภาคในอนาคต จำเป็นต้องมีความร่วมมือและการแบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกันและต้องอยู่บนพื้นฐานของการบูรณาการ โดยให้ความสำคัญกับการปรึกษาหารือ และการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ๑.๓ การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศและภูมิภาคจะต้องคำนึงถึงความสำคัญของการลงทุน เพื่อปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ การรักษาระบบนิเวศและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนเพื่อมุ่งสู่เศรษฐกิจสีเขียว ๑.๔ การป้องกันผลที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอนาคตจะต้องพิจารณากำหนดนโยบายที่มีความเกี่ยวเนื่องระหว่างยุทธศาสตร์การปรับตัวในระดับชาติและระดับภูมิภาค ๒. คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission) และที่ประชุมนานาชาติว่าด้วยการบริหารจัดการลุ่มน้ำข้ามพรมแดนจะมีการแสดงผลงานเอกสารทางวิชาการจากการประชุมครั้งนี้ใน Stockholm World Water Week ในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 407 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏ นครศรีธรรมราช พ.ศ. .... | ศธ | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดปริญญาในสาขาวิชา และอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาการบัญชี สาขาวิชาการศึกษา สาขาวิชาเทคโนโลยี สาขาวิชานิติศาสตร์ สาขาวิชานิเทศศาสตร์ สาขาวิชาบริหารธุรกิจ สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ สาขาวิชาวิจิตรศิลป์และประยุกต์ศิลป์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาศิลปศาสตร์ และสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ ๒. กำหนดครุยวิทยฐานะและเข็มวิทยฐานะของมหาวิทยาลัย ครุยประจำตำแหน่ง และเครื่องหมายประกอบครุยประจำตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัย กรรมการสภามหาวิทยาลัย ผู้บริหาร และคณาจารย์ของมหาวิทยาลัย ๓. กำหนดสีประจำสาขาวิชา
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 408 | การรายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญของรัฐบาลและการให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรม | อก | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญของรัฐบาลและการให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมเพิ่มเติม ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น โดยกำหนดจัดงาน Outlet เพื่อประชาชน ระหว่างวันที่ ๖ - ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ณ บริเวณลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา โดยมีการออกร้านขายสินค้าราคาประหยัดกว่า ๓๐๐ ร้านค้า ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ที่ระดมสินค้าอุปโภคบริโภคราคาโรงงานมาจำหน่าย ๒. การดำเนินการฟื้นฟู เยียวยานิคมอุตสาหกรรม เขตประกอบการอุตสาหกรรม และสวนอุตสาหกรรม ๗ แห่ง ที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจังหวัดปทุมธานี ได้แก่ นิคมสหรัตนนคร นิคมไฮเทค นิคมบางปะอิน นิคมโรจนะ นิคมแฟคตอรี่แลนด์ นิคมนวนคร และนิคมบางกะดี ขณะนี้มีโรงงานประกอบกิจการแล้ว ๖๖๒ ราย คิดเป็นร้อยละ ๗๘.๙๐ ของโรงงานทั้งหมด ๘๓๙ ราย ๓. การดำเนินการฟื้นฟูโรงงานขนาดใหญ่ และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ประสบอุทกภัย ซึ่งตั้งอยู่นอกเขตนิคมอุตสาหกรรม ขณะนี้โรงงาน สถานประกอบการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เปิดดำเนินการแล้ว ๗,๗๘๓ ราย คิดเป็นร้อยละ ๙๘.๖๑ ของสถานประกอบการทั้งหมด ๗,๘๙๓ ราย ๔. โครงการช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย อาทิ โครงการจัดตั้งศูนย์พักพิงอุตสาหกรรม โครงการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม และกากอุตสาหกรรมในสถานประกอบการที่ประสบอุทกภัย โครงการตรวจสอบคุณภาพน้ำ ดิน และสารปนเปื้อนของสารพิษอุตสาหกรรมในสถานประกอบการทั้งในและนอกนิคม โครงการศูนย์สารพัดช่างเพื่อการฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัย โครงการฟื้นฟูซ่อมแซมหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย เป็นต้น ๕. ความคืบหน้าการก่อสร้างเขื่อน นิคมอุตสาหกรรม เขตประกอบการอุตสาหกรรม และสวนอุตสาหกรรม ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๗.๒๑ กิโลเมตร ยังไม่ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้าง โดยมีบริษัท สหรัตนนคร จำกัด เป็นผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการฯ ใหม่ เขตประกอบการอุตสาหกรรมโรจนะ ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๗๕ กิโลเมตร ความก้าวหน้าในการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ ๕๑ นิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า (ไฮเทค) ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๑๑.๐๓ กิโลเมตร ความก้าวหน้าในการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ ๕๙.๙๕ นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๙.๘๙ กิโลเมตร ความก้าวหน้าในการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ ๔๐.๘๕ เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมนวนคร ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๑๘ กิโลเมตร ความก้าวหน้าในการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ ๕๓.๔๕ และสวนอุตสาหกรรมบางกะดี ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๙.๑๒ กิโลเมตร ความก้าวหน้าในการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ ๕๗.๗๐
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 409 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2554 | กษ | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมวิชาการเกษตร และสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) (สวพส.) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จำนวนผู้เข้าชมงานฯ ตั้งแต่วันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ (ก่อนเปิดงานจริง) จนถึงวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๕ (วันปิดงาน) รวมทั้งสิ้น ๒,๒๓๗,๕๕๕ คน ๒. เงินรายได้และสิทธิประโยชน์ที่ได้รับจากการจัดงานฯ ตั้งแต่ก่อนเปิดงานจริงจนถึงปิดงานฯ รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน ๒๓๐,๒๑๑,๑๑๖.๒๕ บาท โดยมีรายจ่ายเป็นเงินรวม ๑๗๖,๐๖๒,๕๗๗.๙๖ บาท ทำให้มีเงินเหลือจ่ายที่สามารถส่งคืนกระทรวงการคลังได้ จำนวน ๕๔,๑๔๘,๕๓๒.๒๙ บาท ๓. การเข้าร่วมงานของต่างประเทศ มีต่างประเทศเข้าร่วมกิจกรรมจัดสวนนานาชาติและแสดงวัฒนธรรม ๓๓ ประเทศ/องค์กร ๔. การประเมินผลการจัดงานฯ ๔.๑ การประเมินผลโดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) สรุปได้ว่า จุดเด่นของงาน กิจกรรมที่ผู้เข้าชมงานชื่นชอบมากที่สุด คือ หอคำหลวง นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สวนนานาชาติ และนิทรรศการกล้วยไม้ ตามลำดับ ๔.๒ การประเมินผลโดยภาควิชาสถิติ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สรุปได้ว่า ผลการสำรวจความพึงพอใจของผู้เข้าชมงานฯ ต่อสถานที่จัดงานและการบริการของการจัดงานฯ ผู้เข้าชมงานส่วนใหญ่มีความพึงพอใจอยู่ในระดับดีถึงปานกลาง ด้านความพึงพอใจในจุดต่าง ๆ ของการจัดงานฯ รวมทั้งความพึงพอใจด้านประโยชน์และการสร้างความประทับใจที่เกิดจากการเข้าชมงานฯ ผู้เข้าชมงานส่วนใหญ่มีความพึงพอใจในระดับมาก ส่วนผลการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดต่าง ๆ ในภาคเหนือมีการเจริญเติบโตขึ้น โดยการเข้าพักในโรงแรมของนักท่องเที่ยวมีอัตราเพิ่มขึ้น และมีอัตราการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย และจากการสำรวจผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมและที่พักอาศัย ผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารและภัตตาคาร ผู้ประกอบการธุรกิจรถเช่า รถตู้และรถเมล์ และผู้ให้บริการรถแท็กซี่ รกตู้ และรถเมล์ และผู้ประกอบการขายของที่ระลึกและของฝาก พบว่ามีรายได้เพิ่มขึ้น สำหรับแนวทางในการจัดงานฯ ในโอกาสต่อไป ผู้เข้าชมงานส่วนใหญ่เห็นว่า ควรจัดในสถานที่เดิม ช่วงเวลาที่เหมาะสมควรเป็นช่วงต้นเดือนธันวาคมถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์ และควรใช้สถานที่ของพืชสวนโลกฯ ให้คุ้มค่ากับการลงทุนของรัฐบาล โดยสิ่งที่ควรจัดในโอกาสต่อไป คือ การออกแบบรูปแบบใหม่ ไม่ซ้ำรูปแบบเดิม และให้มีความหลากหลายมากขึ้น ๔.๓. การประเมินผลโดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่า จะมีเงินสะพัดในเชียงใหม่ ๓ เดือน ที่มีการจัดงานฯ คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้นประมาณ ๑๖,๐๐๐ ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวต่างถิ่นทั้งคนไทยต่างชาติ ประมาณ ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท และอีก ๑,๐๐๐ ล้านบาท เป็นเม็ดเงินจากคนเชียงใหม่ที่เข้าชมงานฯ ๔.๔ การส่งมอบพื้นที่คืน กรมวิชาการเกษตร สวพส. และผู้บริหารการจัดงานฯ ได้มีการหารือและสำรวจทรัพย์สินร่วมกันอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ และได้ส่งมอบสวนให้ สวพส. ตั้งแต่วันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๕ ซึ่ง สวพส. ได้เปิดสวนอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๕ จนถึงปัจจุบัน |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 410 | การรายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญของรัฐบาลและการให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรม | อก | 03/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญของรัฐบาลและการให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรม ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น โดยได้จัดงาน Outlet เพื่อประชาชน “มหกรรมสินค้าช่วยค่าครองชีพส่งตรงจากโรงงาน” เมื่อวันที่ ๒ - ๔ มิถุนายน ๒๕๕๕ ณ บริเวณกระทรวงอุตสาหกรรม โดยผู้ผลิตได้นำสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นมาจำหน่ายในราคาหน้าโรงงาน ผลการจัดงานประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี มีประชาชนเข้าร่วมซื้อสินค้าในงานรวม ๒๘,๓๘๐ คน ผู้ประกอบการ จำนวน ๔๗๑ ราย นำสินค้ามาจำหน่าย มียอดขายสินค้ารวมทั้งสิ้น ๑๙,๘๖๙,๒๑๓ บาท กลุ่มประเภทสินค้าที่ขายดี ๔ อันดับ ได้แก่ ประเภทอาหารและเครื่องดื่ม อุปกรณ์เครื่องครัวและเครื่องใช้ภายในบ้าน เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ยานพาหนะและอื่น ๆ และจากการสุ่มสำรวจประชาชนที่เข้ามาซื้อสินค้า ส่วนใหญ่ให้ความเห็นว่า สินค้าที่มีความจำเป็นต่อการครองชีพ เช่น น้ำตาล ข้าวสาร ไข่ไก่ น้ำมันพืช อาหารกึ่งสำเร็จรูป และเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น มีราคาถูกมากและถูกกว่าท้องตลาด ๒. การดำเนินการฟื้นฟู เยียวยานิคมอุตสาหกรรม เขตประกอบการอุตสาหกรรมและสวนอุตสาหกรรม ๗ แห่ง ที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจังหวัดปทุมธานี ได้แก่ นิคมสหรัตนนคร นิคมไฮเทค นิคมบางปะอิน นิคมโรจนะ นิคมแฟคตอรี่แลนด์ นิคมนวนคร และนิคมบางกะดี ขณะนี้มีโรงงานประกอบกิจการแล้ว ๖๕๘ ราย คิดเป็นร้อยละ ๗๘.๔๓ ของโรงงานทั้งหมด ๘๓๙ ราย ๓. การดำเนินการฟื้นฟูโรงงานขนาดใหญ่ และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ประสบอุทกภัย ซึ่งตั้งอยู่นอกเขตนิคมอุตสาหกรรม ขณะนี้มีโรงงาน สถานประกอบการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เปิดดำเนินการแล้ว ๗,๗๘๓ ราย คิดเป็นร้อยละ ๙๘.๖๑ ของสถานประกอบการทั้งหมด ๗,๘๙๓ ราย ๔. โครงการช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย อาทิ โครงการจัดตั้งศูนย์พักพิงอุตสาหกรรม โครงการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม และกากอุตสาหกรรมในสถานประกอบการที่ประสบอุทกภัย โครงการตรวจสอบคุณภาพน้ำ ดิน และสารปนเปื้อนของสารพิษอุตสาหกรรมในสถานประกอบการทั้งในและนอกนิคม โครงการศูนย์สารพัดช่างเพื่อการฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัย โครงการฟื้นฟูซ่อมแซมหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย เป็นต้น ๕. ความคืบหน้าการก่อสร้างเขื่อน นิคมอุตสาหกรรม เขตประกอบการอุตสาหกรรม และสวนอุตสาหกรรม ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๗ กิโลเมตร ยังไม่ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้าง โดยมีบริษัท สหรัตนนคร จำกัด เป็นผู้บริหารฟื้นฟูฯ ใหม่ เขตประกอบการอุตสาหกรรมโรจนะ ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๗๕ กิโลเมตร ความก้าวหน้าในการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ ๔๖ นิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า (ไฮเทค) ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๑๑.๐๓ กิโลเมตร ความก้าวหน้าในการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ ๕๑.๘๐ นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๙.๘๙ กิโลเมตร ความก้าวหน้าในการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ ๔๐ เขตส่งเสริมอุตสาหกรรม นวนคร ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๑๘ กิโลเมตร ความก้าวหน้าในการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ ๔๓.๓๕ และสวนอุตสาหกรรมบางกะดี ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๙.๑๒ กิโลเมตร ความก้าวหน้าในการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ ๕๓.๘๓
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 411 | รายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 | กค | 03/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยกรมบัญชีกลางได้รวบรวมรายงานการเงินของรัฐบาลกลางและหน่วยงานภาครัฐ กองทุนและเงินทุนหมุนเวียน รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวม ๘,๐๘๒ หน่วยงาน จาก ๘,๓๙๒ หน่วยงาน คิดเป็นร้อยละ ๙๖.๓๑ เพื่อจัดทำรายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยรวบรวมข้อมูลรายงานการเงินสิ้นสุดถึงวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๕ ๑.๒ เห็นชอบข้อเสนอแนะในประเด็นสำคัญต่าง ๆ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการ ดังนี้ ๑.๒.๑ ให้หน่วยงานทุกกลุ่มจัดทำบัญชีและรายงานการเงินให้ถูกต้องเป็นปัจจุบัน และส่งสำเนารายงานการเงินที่ส่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินให้กรมบัญชีกลาง โดยเฉพาะในส่วนของรายงานการเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ให้ส่งสำนักงานคลังจังหวัดรวบรวมส่งกรมบัญชีกลางต่อไป ยกเว้นหน่วยงานในกลุ่มของรัฐวิสาหกิจยังคงส่งข้อมูลรายงานการเงินให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจตามเดิม ๑.๒.๒ ให้ผู้บริหารให้ความสำคัญงานบัญชีมากยิ่งขึ้น และให้กำกับดูแลให้ผู้ตรวจสอบภายในวางแผนการตรวจสอบด้านการเงินและบัญชี พร้อมทั้งรายงานผลให้ผู้บริหารทราบอย่างสม่ำเสมอเพื่อรายงานปัญหาอุปสรรค และข้อเสนอแนะ กรณีมีปัญหาข้อขัดข้องในการปฏิบัติงานเพื่อสั่งการให้หน่วยงานในสังกัดดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องทันเหตุการณ์ต่อไป ๑.๒.๓ ให้ผู้บริหารระดับกรม/กระทรวง พิจารณาให้ความสำคัญในเรื่องอัตรากำลังและคุณสมบัติของเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติงานการเงินและบัญชีของหน่วยงานในสังกัด ซึ่งจำเป็นต้องมีวุฒิการศึกษาด้านบัญชี และจะต้องมีการสอนงานการเงินและบัญชีให้ผู้ที่ได้รับมอบหมายสามารถปฏิบัติงานได้ต่อเนื่องเป็นปัจจุบัน รวมทั้งพิจารณาความดีความชอบเป็นกรณีพิเศษให้กับเจ้าหน้าที่การเงินและบัญชีที่จัดทำบัญชีและรายงานการเงินถูกต้อง ครบถ้วน เป็นปัจจุบัน ๑.๒.๔ ผู้บริหารควรกำกับดูแลหน่วยงานในสังกัด โดยเฉพาะหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการจัดเก็บและนำส่งเงินรายได้แผ่นดิน/รายได้ของหน่วยงาน/เงินนอกงบประมาณต่าง ๆ ให้มีการควบคุมดูแลการรับเงินและการออกใบเสร็จรับเงิน รวมถึงการบันทึกรายการบัญชีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นปัจจุบัน ๑.๒.๕ ผู้บริหารควรกำชับหน่วยงานในสังกัดและเจ้าหน้าที่การเงินของหน่วยงานให้ตรวจสอบเอกสารหลักฐานการเบิกจ่ายเงินให้ถูกต้อง ครบถ้วน และปฏิบัติตามระเบียบ หลักเกณฑ์ ข้อบังคับที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดและรอบคอบ โดยให้มีการตรวจสอบเอกสารหลักฐานและการบันทึกบัญชีให้ถูกต้อง ครบถ้วนอย่างสม่ำเสมอ ๑.๒.๖ ผู้บริหารควรกำชับให้หน่วยงานในสังกัดและเจ้าหน้าที่การเงินและบัญชีตรวจสอบและบันทึกรายการบัญชีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนและเป็นปัจจุบัน พร้อมทั้งให้มีการจัดทำงบกระทบยอดเงินฝากธนาคารประจำเดือน เพื่อให้สามารถตรวจพบข้อผิดพลาดคลาดเคลื่อนที่เกิดขึ้นและปรับปรุงแก้ไขรายการบัญชีดังกล่าวให้ถูกต้องก่อนจัดทำรายงานการเงินประจำเดือน/ประจำปี ๑.๒.๗ ผู้บริหารควรกำชับให้หน่วยงานในสังกัดควบคุมดูแลและตรวจสอบบัญชีวัสดุและสินทรัพย์ถาวรของหน่วยงานให้ถูกต้องตรงกับข้อเท็จจริงและตรงกับทะเบียนคุมวัสดุ ทะเบียนคุมทรัพย์สิน หากพบข้อผิดพลาดให้รายงานผู้บริหารและดำเนินการปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้องโดยเร็วต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังติดตามผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะแนวทางการการปฏิบัติงานของหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องตามที่กรมบัญชีกลางเสนอ และให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งเผยแพร่ข้อเสนอแนะดังกล่าวไปยังหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ต่อราชการในการจัดทำข้อมูลทางบัญชีการเงินของภาครัฐให้มีความทันสมัย ถูกต้องเพื่อใช้ในการบริหารสินทรัพย์ หนี้สิน รายได้ และค่าใช้จ่ายของแผ่นดิน ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และยืดหยุ่นต่อการปฏิบัติงาน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 412 | โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2555 | กค | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๕ โดยหลักการของโครงการฯ มีดังนี้ ๑.๑.๑ กำหนดอัตราเบี้ยประกันภัย ๑๒๐ บาทต่อไร่ (ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) อัตราเบี้ยประกันภัยสุทธิเท่ากับ ๑๒๙.๔๗ บาทต่อไร่ เท่ากับการดำเนินโครงการฯ ในปีที่ผ่านมา วงเงินความคุ้มครอง ๑,๑๑๑ บาทต่อไร่ ตลอดช่วงการเพาะปลูก สำหรับภัยธรรมชาติทั้งหมด ๖ ภัย ได้แก่ อุทกภัย ฝนทิ้งช่วง ลมพายุ อากาศหนาว ลูกเห็บ และอัคคีภัย และขยายเพิ่มเติมความคุ้มครองรวมถึงภัยศัตรูพืชและโรคระบาด โดยมีวงเงินความคุ้มครอง ๕๕๕ บาทต่อไร่ ๑.๑.๒ กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติจะเป็นผู้รับประกันภัยต่อในกรณีที่บริษัทประกันวินาศภัยในประเทศ (ผู้รับประกันภัย) รับประกันภัยที่อัตราเบี้ยประกันภัย ๑๒๐ บาทต่อไร่ และไม่สามารถเอาประกันภัยต่อกับบริษัทรับประกันภัยต่อในต่างประเทศได้ ๑.๑.๓ เกษตรกรผู้เอาประกันภัยที่เข้าร่วมโครงการฯ จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเมื่อพื้นที่เพาะปลูกได้รับความเสียหาย (ใช้เกณฑ์การประเมินความเสียหายที่รัฐดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน) เพิ่มเติมจากเดิมที่จะได้รับเฉพาะเงินช่วยเหลือจากรัฐตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ส่วนเกษตรกรที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการฯ จะได้รับเฉพาะเงินช่วยเหลือจากรัฐเท่านั้น ๑.๑.๔ กำหนดจำนวนไร่ที่เอาประกันภัยสูงสุดไม่เกิน ๘ ล้านไร่ จากพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั้งหมดของประเทศโดยเฉลี่ยในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๔๗ - ๒๕๕๔ จำนวน ๕๗.๔๗ ล้านไร่ เป็นระดับพื้นที่เหมาะสม และอยู่ในวิสัยที่จะปฏิบัติได้ เนื่องจากการตัดสินใจทำประกันภัยหรือไม่เป็นความสมัครใจของเกษตรกร และกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติสามารถรองรับความเสียหายในกรณีที่ร้ายแรงที่สุด (Worst case scenario) ได้ ๑.๑.๕ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นผู้บริหารโครงการ โดยเป็นตัวกลางระหว่างเกษตรกรผู้เอาประกันภัยและบริษัทผู้รับประกันภัย เช่นเดียวกับการดำเนินโครงการฯ ในปีที่ผ่านมา ๑.๒ อนุมัติวงเงินงบประมาณ จำนวน ๕๕๕,๗๖๐,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัย ๑.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตรจัดส่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ให้กับ ธ.ก.ส. ประกอบด้วย ข้อมูลการขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าว และข้อมูลการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยของรัฐรายบุคคลที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติอำเภอ (ก.ช.ภ.อ.) แล้ว เพื่อความรวดเร็วในการจ่ายสินไหมทดแทน ๒. ยกเว้นหลักการที่กำหนดว่า “กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติจะเป็นผู้รับประกันภัยต่อในกรณีที่บริษัทประกันวินาศภัยในประเทศ (ผู้รับประกันภัย) รับประกันภัยที่อัตราเบี้ยประกัน ๑๒๐ บาทต่อไร่ และไม่สามารถเอาประกันภัยต่อกับบริษัทรับประกันภัยต่อในต่างประเทศได้” ให้ตัดออก และยกเว้นในส่วนของการเบิกเงินชดเชย ให้ ธกส. เบิกเงินชดเชยตามจำนวนที่จ่ายจริงพร้อมด้วยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๖ เดือน ประเภทบุคคลธรรมดา ของ ๔ ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ (FDR) + 1 ในปีงบประมาณถัดไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 413 | การแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงเกี่ยวกับการอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ จำนวน 3 ฉบับ | กค | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง จำนวน ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ ในส่วนที่เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทกิจการการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ และการจัดการเงินร่วมลงทุน มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ แก้ไขชื่อประกาศในข้อ ๑๑ (๔) ของกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามอย่างอื่นของผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์ โดยเปลี่ยนจากชื่อประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. เป็นประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรา ๑๐๓ (๙) และ (๑๐) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ ๑.๒ แก้ไขระยะเวลาในการพิจารณาเพื่อออกใบอนุญาตฯ ของคณะกรรมการ ก.ล.ต. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้มีระยะเวลาเพิ่มขึ้นจากเดิมเพื่อให้มีความรอบคอบและรัดกุมยิ่งขึ้น ๑.๓ แก้ไขให้ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทกิจการการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ และการจัดการเงินร่วมลงทุน ในข้อ ๑๖ (๖) ของกฎกระทรวงฯ ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำกับตลาดทุนประกาศกำหนด จากเดิมที่ให้คณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด ๒. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการเป็นนายหน้าระหว่างผู้ค้าหลักทรัพย์ (พ.ศ. ....) เป็นการปรับปรุงแก้ไขการอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการเป็นนายหน้าระหว่างผู้ค้าหลักทรัพย์ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๒.๑ ยกเลิกกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการเป็นนายหน้าระหว่างผู้ค้าหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๔๕ ๒.๒ กำหนดให้ผู้ขอรับใบอนุญาตเพื่อประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ดังกล่าวต้องเป็นบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่จัดตั้งขึ้นใหม่ ๒.๓ แก้ไขระยะเวลาในการพิจารณาเพื่อออกใบอนุญาตฯ ของคณะกรรมการ ก.ล.ต. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้มีระยะเวลาเพิ่มขึ้นจากเดิม เพื่อให้มีความรอบคอบและรัดกุมยิ่งขึ้น ๒.๔ กำหนดให้ผู้ได้รับอนุญาตดังกล่าวต้องดำรงคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนดตลอดเวลาตามที่คณะกรรมการกำกับตลาดทุนประกาศกำหนด จากเดิมที่กำหนดให้คณะกรรมการ ก.ล.ต. เป็นผู้กำหนด ทั้งนี้ อัตราค่าธรรมเนียมยังคงอัตราเดิม คือ ค่าธรรมเนียมคำขอรับใบอนุญาตฯ ๑๐,๐๐๐ บาท และค่าธรรมเนียมใบอนุญาตฯ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ๓. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการอนุญาตการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการให้สินเชื่อเพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ (พ.ศ. ....) เป็นการปรับปรุงแก้ไขการอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการให้สินเชื่อเพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๓.๑ ยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ ๗ (พ.ศ. ๒๕๓๙) ออกตามความในพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ และกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒๐ (พ.ศ. ๒๕๔๕) ออกตามความในพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ ๓.๒ กำหนดให้ผู้ขอรับใบอนุญาตเพื่อประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ดังกล่าวต้องเป็นบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่จัดตั้งขึ้นใหม่ ๓.๓ แก้ไขระยะเวลาในการพิจารณาเพื่อออกใบอนุญาตฯ ของคณะกรรมการ ก.ล.ต. และรัฐมนตรีว่าการกระทวงการคลัง ให้มีระยะเวลาเพิ่มขึ้นจากเดิม เพื่อให้มีความรอบคอบและรัดกุมยิ่งขึ้น ๓.๔ กำหนดให้ผู้ได้รับอนุญาตดังกล่าวต้องดำเนินงานตามที่คณะกรรมการกำกับตลาดทุนประกาศกำหนด จากเดิมที่ให้คณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด ทั้งนี้ อัตราค่าธรรมเนียมยังคงอัตราเดิม คือ ค่าธรรมเนียมคำขอรับใบอนุญาตฯ ๑๐,๐๐๐ บาท และค่าธรรมเนียมใบอนุญาตฯ ๑๐,๐๐๐ บาท |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 414 | แนวทางการจัดสรรเงินรางวัล ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 สำหรับส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา | นร | 19/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ การสนับสนุนงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ เพิ่มเติมในขั้นตอนการแปรญัตติ เพื่อใช้สำหรับการจัดสรรเงินรางวัลประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้กับส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา ที่ได้จัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการและประเมินผลการปฏิบัติงานตามคำรับรองการปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๖,๘๓๕ ล้านบาท ๑.๒ อนุมัติหลักการให้บรรจุรายการเงินรางวัลและเงินเพิ่มพิเศษสำหรับผู้บริหารไว้ในรายการงบประมาณของร่างพระราชบัญญัติรายจ่ายงบประมาณประจำปี เป็นประจำทุกปี ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับวิธีการจ่ายเงินรางวัลประจำปีของส่วนราชการต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะใช้วิธีการจ่ายเงินรางวัลโดยเฉลี่ยจ่ายในจำนวนเท่าๆกัน ซึ่งไม่สอดคล้องกับหลักการการจัดสรรเงินรางวัลประจำปี จึงเห็นควรกำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางในการจัดสรรเงินรางวัลให้สะท้อนถึงผลการปฏิบัติงานที่แท้จริง เพื่อเป็นแรงจูงใจให้บุคลากรปฏิบัติราชการสำเร็จตามเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล รวมทั้งความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเร่งศึกษาวิเคราะห์ผลการดำเนินการจัดสรรเงินรางวัลสำหรับส่วนราชการ จังหวัด และสถาบันอุดมศึกษา ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว การพิจารณาแนวทางและหลักการของการจัดสรรเงินรางวัลดังกล่าวใหม่ทั้งระบบ เพื่อให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น การกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการที่ชัดเจนเพื่อให้การจัดสรรเงินรางวัลเป็นไปด้วยความทั่วถึงและเป็นธรรม การกำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางในการจัดสรรเงินรางวัลในส่วนเงินเพิ่มพิเศษสำหรับผู้บริหารให้สะท้อนถึงผลการปฏิบัติงานที่แท้จริงมากกว่าการพิจารณาเฉพาะค่าตอบแทนที่ได้รับทั้งหมด รวมทั้งการให้ความสำคัญต่อการจัดสรรเงินรางวัลให้กับระดับปฏิบัติมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ กลุ่มผู้บริหารที่มีสิทธิได้รับเงินเพิ่มพิเศษ ควรครอบคลุมถึงตำแหน่งผู้ตรวจราชการ ที่ปรึกษา และผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งเป็นข้าราชการระดับสูงของส่วนราชการที่มีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ผลการปฏิบัติราชการตามคำรับรองฯ ขององค์กร ไปดำเนินการด้วย ๓. ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) รับไปวางเป้าหมายและกำกับดูแลเรื่องการจัดสรรเงินรางวัลให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 415 | การให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย | อก | 19/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย และการสร้างภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนในภาคอุตสาหกรรม เพิ่มเติม ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินการฟื้นฟู เยียวยานิคมอุตสาหกรรม เขตประกอบการอุตสาหกรรม และสวนอุตสาหกรรม ๗ แห่ง ที่ประสบอุทกภัย ในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจังหวัดปทุมธานี ได้แก่ นิคมสหรัตนนคร นิคมไฮเทค นิคมบางปะอิน นิคมโรจนะ นิคมแฟคตอรี่แลนด์ นิคมนวนคร และนิคมบางกะดี ขณะนี้มีโรงงานประกอบกิจการแล้ว ๖๕๓ ราย คิดเป็นร้อยละ ๗๗.๘๓ ของโรงงานทั้งหมด ๘๓๙ ราย ๒. การดำเนินการฟื้นฟูโรงงานขนาดใหญ่ และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ประสบอุทกภัย ซึ่งตั้งอยู่นอกเขตนิคมอุตสาหกรรม ขณะนี้มีโรงงาน สถานประกอบการอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เปิดดำเนินการแล้ว ๗,๖๖๙ ราย คิดเป็นร้อยละ ๙๗.๑๖ ของสถานประกอบการทั้งหมด ๗,๘๙๓ ราย ๓. มาตรการส่งเสริมการลงทุนสำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน อาทิ การยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรอุปกรณ์แก่บริษัทที่ได้รับการส่งเสริมที่นำมาทดแทนเครื่องจักรและอุปกรณ์เดิมที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย การอนุมัติวีซ่าและใบอนุญาตทำงานแก่บริษัทที่ได้รับการส่งเสริม การเพิ่มสิทธิประโยชน์หรือยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีเงินได้ให้ผู้ประกอบการที่ได้รับความเสียหายทั้งในกรณีทำการผลิตชั่วคราวหรือลงทุนใหม่ เพื่อฟื้นฟูธุรกิจในประเทศ การเพิ่มสิทธิประโยชน์หรือยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีเงินได้ให้ผู้ประกอบการที่ลงทุนใหม่ในนิคมหรือเขตอุตสาหกรรมในจังหวัดปทุมธานีและพระนครศรีอยุธยา การยกเว้นค่าบริการในการออกใบอนุญาตให้ใช้ที่ดินและประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมที่สูญหาย การยกเว้นค่าบริการในการต่อใบอนุญาตให้ใช้ที่ดินและประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรม ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ และการยกเว้นค่าบริการในการออกหนังสือรับรองสิทธิประโยชน์ด้านภาษีอากรทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-PP & Paperless) เป็นต้น ๔. โครงการช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย อาทิ โครงการจัดตั้งศูนย์พักพิงอุตสาหกรรม โครงการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม และกากอุตสาหกรรมในสถานประกอบการที่ประสบอุทกภัย โครงการตรวจสอบคุณภาพน้ำ ดิน และการปนเปื้อนของสารพิษอุตสาหกรรมในสถานประกอบการทั้งในและนอกนิคม โครงการศูนย์สารพัดช่างเพื่อการฟื้นฟูผู้ประสบอุทภัย โครงการฟื้นฟูซ่อมแซมหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย โครงการบริหารจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ประสบอุทกภัย และโครงการฟื้นฟูภาพลักษณ์ประเทศไทย เป็นต้น ๕. ความคืบหน้าการก่อสร้างเขื่อน นิคมอุตสาหกรรม เขตประกอบการอุตสาหกรรม และสวนอุตสาหกรรม ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๗ กิโลเมตร อยู่ระหว่างดำเนินการสรรหาผู้บริหารแผนฟื้นฟูฯ ใหม่ เขตประกอบการอุตสาหกรรมโรจนะ ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๗๕ กิโลเมตร ความก้าวหน้าในการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ ๓๙ นิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า (ไฮเทค) ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๑๑.๐๓ กิโลเมตร ความก้าวหน้าในการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ ๕๑.๘๐ นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๙.๘๙ กิโลเมตร ความก้าวหน้าในการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ ๔๐ เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมนวนคร ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๑๘ กิโลเมตร ความก้าวหน้าในการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ ๔๐.๐๓ และสวนอุตสาหกรรมบางกะดี ก่อสร้างเขื่อนความยาวโดยประมาณ ๙.๑๒ กิโลเมตร ความก้าวหน้าในการก่อสร้างคิดเป็นร้อยละ ๕๐.๒๖
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 416 | รายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน | กค | 12/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินงานเกี่ยวกับการประเมินผลการดำเนินงานเงินนอกงบประมาณประเภททุนหมุนเวียน ซึ่งกระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลาง ได้ดำเนินการระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนตั้งแต่ปีบัญชี ๒๕๔๗ ซึ่งเป็นลักษณะนำร่อง จำนวน ๑๐ ทุนฯ และขยายจำนวนทุนฯ ในระบบฯ ตั้งแต่ปีบัญชี ๒๕๔๘ จนครอบคลุมจำนวนทุนฯ ทั้งหมดในปีบัญชี ๒๕๕๓ สามารถสรุปผลการดำเนินงานของระบบฯ เป็น ๒ ระยะ ดังนี้ ๑.๑.๑ ระยะที่ ๑ ปีบัญชี ๒๕๔๗ เป็นปีแรกที่เริ่มใช้ระบบฯ ในเบื้องต้น จำนวน ๑๐ ทุนฯ ซึ่งมีรูปแบบและวิธีการประเมินโดยเปรียบเทียบกับแผนการดำเนินงานของทุนฯ ว่าเป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่ เพียงใด ผลการประเมินสรุปได้ว่า ในปีบัญชี ๒๕๔๗ ส่วนใหญ่ผลการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมาย กล่าวคือ มีการกำหนดตัวชี้วัดทั้งหมด ๔ ด้าน รวมจำนวน ๘๓ ตัวชี้วัด เช่น ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้จากการดำเนินงาน อัตราสูญเสียของผลผลิต (Loss Ratio) การจัดทำแผนการสำรวจความพึงพอใจของลูกค้า และระบบรับเรื่องร้องเรียน แผนการจัดระบบสถิติผลการดำเนินงานด้านปฏิบัติการ การจัดทำแผนประจำปี เป็นต้น โดยมีตัวชี้วัดผลการดำเนินงานผ่านเกณฑ์ปกติ คือ เป็นไปตามเป้าหมายและสูงกว่าเป้าหมาย จำนวน ๖๘ ตัวชี้วัด และมีตัวชี้วัดต่ำกว่าเป้าหมาย จำนวน ๑๕ ตัวชี้วัด ๑.๑.๒ ระยะที่ ๒ ปีบัญชี ๒๕๔๘ - ๒๕๕๓ ได้มีการประเมินผลการดำเนินงานเต็มรูปแบบโดยมีเกณฑ์วัดผลการดำเนินงานทั้ง ๔ ด้าน ได้แก่ ด้านการเงิน ด้านปฏิบัติการ การสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และด้านการบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน และมีการประเมินผลงานออกเป็น ๕ ระดับ จาก ๑ - ๕ คือ จากการปรับปรุงไปถึงดีมาก ๑.๑.๓ สำหรับในปีบัญชี ๒๕๕๔ มีทุนฯ เข้าสู่ระบบประเมินผลฯ จำนวน ๘๑ ทุนฯ และอยู่ระหว่างการดำเนินการของหน่วยงานเจ้าสังกัดทุนฯ ส่วนในปีบัญชี ๒๕๕๕ กระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลาง มีแผนประเมินผลทุนหมุนเวียนที่ยังไม่ได้เข้าสู่ระบบประเมินผลฯ ที่เหลือทั้งหมด ซึ่งมีทุนฯ ที่ไม่เข้าระบบประเมินผลของกระทรวงการคลัง จำนวน ๔ ทุนฯ ได้แก่ กองทุนการพัฒนาพรรคการเมือง กองทุนพัฒนาการเมืองภาคพลเมือง กองทุนเพื่อการพัฒนาและเผยแพร่ประชาธิปไตย และกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ เนื่องจากคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๑๒) ได้วินิจฉัยว่า อาจไม่จำเป็นต้องเข้าสู่ระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนฯ หรือปฏิบัติตามกฎ ระเบียบ หรือหลักเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังกำหนดในประเด็นดังกล่าวอีก ๑.๒ เห็นชอบแนวทางการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของทุนหมุนเวียน เพื่อกระทรวงการคลัง กรมบัญชีกลางจะได้ดำเนินการและแจ้งให้ส่วนราชการ/หน่วยงานเจ้าสังกัดของทุนหมุนเวียนดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดการประเมินผลการดำเนินงานของทุนหมุนเวียน โดยเฉพาะทุนหมุนเวียนที่ยังไม่ได้รับการประเมิน และให้เสนอรายงานผลการประเมินดังกล่าวต่อนายกรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับแนวทางการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของทุนหมุนเวียน โดยการรวมหรือยุบเลิกทุนหมุนเวียนที่มีคะแนนประเมินต่ำกว่า ๓.๐ คะแนน ติดต่อกัน ๓ ปี จะเกิดผลกระทบต่อกลุ่มเป้าหมายที่มาขอรับบริการจากกองทุนหรือไม่ โดยเฉพาะในทุนหมุนเวียนที่จัดตั้งเพื่อช่วยเหลือ ส่งเสริมการผลิตของเกษตรกร ส่วนข้อเสนอแนะในการจัดทำบัญชีต้นทุนที่แท้จริง โดยปันส่วนค่าใช้จ่ายในส่วนเงินเดือนของข้าราชการที่ปฏิบัติงานให้ทุนหมุนเวียน เพื่อให้เห็นถึงต้นทุนการดำเนินงานที่แท้จริง ควรมีการจัดทำเกณฑ์การปันส่วนที่ชัดเจน และกำหนดให้ทุกทุนหมุนเวียนถือปฏิบัติ รวมทั้งพิจารณาถึงวัตถุประสงค์ของทุนหมุนเวียนประกอบในการตัดสินใจของผู้บริหารด้วย สำหรับข้อเสนอให้นำหลักการ Balanced Scorecard (BSC) ไปใช้กับทุนหมุนเวียนที่มีกฎหมายเฉพาะที่จัดตั้งขึ้น รวมถึงการรายงานผลให้กระทรวงการคลังทราบ จะก่อให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติแก่ทุนหมุนเวียนที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะ เนื่องจากกฎหมายเฉพาะนั้นได้มีการกำหนดบทบัญญัติในเรื่องการติดตามประเมินผลหรือการตรวจสอบการดำเนินงานของทุนหมุนเวียนไว้เป็นการเฉพาะแล้ว นอกจากนี้ การจัดตั้งทุนหมุนเวียนใหม่ที่จัดตั้งขึ้นโดยกฎหมายเฉพาะของหน่วยงานของรัฐ ควรถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๑ และวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง แนวทางการจัดตั้งทุนหมุนเวียนและกรอบคู่มือการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนของทางราชการ) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงการคลังรับไปเร่งรัดดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์ การกำกับดูแล ตรวจสอบ และประเมินผลกรณีที่หน่วยงานมีทุนหมุนเวียนที่มีรายได้ โดยไม่ต้องนำรายได้ส่งคลัง เพื่อให้รายได้ดังกล่าวนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ของกองทุนอย่างแท้จริง ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล) ร่วมหารือในการดำเนินการดังกล่าวกับกระทรวงการคลังด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 417 | การจัดทำแผนยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการของรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวกับระบบขนส่งมวลชน (การรถไฟแห่งประเทศไทย และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ) | นร | 05/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นฝ่ายเลขานุการรับเรื่อง การจัดทำแผนยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการของรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวกับระบบขนส่งมวลชน ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ไปประสานในรายละเอียดกับกระทรวงการคลัง (สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ) กระทรวงคมนาคม รฟท. ขสมก. และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดเตรียมข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน ชัดเจน และดำเนินการจัดประชุมหารือร่วมกันระหว่างนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้รัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ได้นำเสนอยุทธศาสตร์และแผนการดำเนินงานของแต่ละรัฐวิสาหกิจในระยะยาว (๕ ปี) พร้อมทั้งรับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอ และแนวนโยบายของรัฐบาล เพื่อรัฐวิสาหกิจรับไปปรับปรุงแก้ไขและใช้เป็นกรอบแนวทางในการดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 418 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัย ราชภัฏยะลา พ.ศ. .... | ศธ | 05/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้ใช้บังคับพระราชกฤษฎีกานี้ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ๑.๒ กำหนดปริญญาในสาขาวิชา และอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาการศึกษา สาขาวิชานิเทศศาสตร์ สาขาวิชาบริหารธุรกิจ สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ สาขาวิชาวิจิตรศิลป์และประยุกต์ศิลป์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ และสาขาวิชาศิลปศาสตร์ ๑.๓ กำหนดครุยวิทยฐานะของมหาวิทยาลัย ครุยประจำตำแหน่ง และเครื่องหมายประกอบครุยประจำตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัย กรรมการสภามหาวิทยาลัย ผู้บริหาร และคณาจารย์ของมหาวิทยาลัย ๑.๔ กำหนดเข็มวิทยฐานะของมหาวิทยาลัย ๑.๕ กำหนดสีประจำสาขาวิชา ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการชี้แจงเหตุผลความจำเป็นในการให้ร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมีผลใช้บังคับย้อนหลังเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาในการนำร่างพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ต่อไป และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 419 | การให้สัตยาบันเพื่อเข้าเป็นภาคีกฎบัตรฉบับใหม่ของสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย | กต | 05/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบต่อท่าทีของรัฐบาลไทยที่ยังไม่สมควรให้สัตยาบันกฎบัตรฉบับใหม่ของสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย จนกว่าสถาบันฯ จะสร้างความกระจ่างและแก้ไขปัญหาตามข้อร้องเรียนของสมาคมนักเรียนเก่าเอไอที (ประเทศไทย) (AIT Alumni Association - Thailand) ในประเด็นปัญหาการบริหารงานของสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ซึ่งแสดงถึงการขาดธรรมาภิบาลและความโปร่งใส และการจัดทำบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding - MOU) ระหว่างผู้บริหารระดับสูงของสถาบันฯ กับบริษัท Laureate Education Asia Limited ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนที่แสวงหากำไร จึงทำให้เกิดความไม่ชัดเจนต่อทิศทางการดำเนินงานของสถาบันฯ ซึ่งตามกฎบัตรฯ กำหนดให้เป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร ให้เรียบร้อยก่อน ๑.๒ รับทราบแนวทางการดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศในการชะลอการเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียซึ่งเป็นองค์การระหว่างประเทศ พ.ศ. .... ไว้ก่อน และยืนยันให้ชะลอการบรรจุกฎบัตรฉบับใหม่ของสถาบันฯ และร่างกรอบการเจรจาความตกลงสำนักงานใหญ่ระหว่างรัฐบาลไทยกับสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ในวาระการพิจารณาของรัฐสภา ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการไปตรวจสอบข้อร้องเรียนของสมาคมนักเรียนเก่าเอไอที (ประเทศไทย) เกี่ยวกับทิศทางการดำเนินงานของสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียที่กำหนดให้เป็นองค์กรที่ไม่แสวงกำไร และแจ้งให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 420 | รายงานการประเมินผลองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. 2542 | นร | 20/05/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการประเมินผลการปฏิบัติงานตามคำรับรองการปฏิบัติงานขององค์การมหาชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามมติคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ และ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ๒. เห็นชอบข้อเสนอเกี่ยวกับการพัฒนาและปรับปรุงองค์การมหาชน จำนวน ๕ แห่ง ได้แก่ สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ และศูนย์คุณธรรม ตามมติ ก.พ.ร. เมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ และ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ส่วนองค์การมหาชนอีก ๒ แห่ง ให้ดำเนินการก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ดังนี้ ๒.๑ สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (สคพ.) มอบให้กระทรวงศึกษาธิการรับไปเร่งรัดจัดทำแผนการพัฒนาและปรับปรุง สคพ. ให้มีความคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แล้วเสนอ ก.พ.ร. พิจารณาโดยด่วนต่อไป ๒.๒ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) มอบให้ ก.พ.ร. รับไปพิจารณาทบทวนข้อเสนอเกี่ยวกับการพัฒนาและปรับปรุง อพท. อีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะการมอบภารกิจของ อพท. ไปให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการมอบการบริหารจัดการโครงการเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีและพื้นที่เชื่อมโยง ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดทำตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายของศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) เพื่อประเมินความคุ้มค่าในการจัดตั้งเมื่อดำเนินการครบ ๓ ปี การกำหนดกรอบการประเมินองค์การมหาชนโดยรวมที่สามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุกแห่ง การแบ่งกลุ่มองค์การมหาชนโดยพิจารณาบทบาทและภารกิจหลักขององค์กรที่มีลักษณะใกล้เคียงกันให้อยู่ในกลุ่มเดียวกันเพื่อให้สามารถเปรียบเทียบผลการประเมินในแต่ละกลุ่มได้ชัดเจน และการให้ความสำคัญต่อการคัดสรรผู้ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการและผู้บริหารขององค์การมหาชน ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
.....
