ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 31 จากทั้งหมด 74 หน้า แสดงรายการที่ 601 - 620 จากข้อมูลทั้งหมด 1479 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 601 | ผลการประชุมคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ครั้งที่ 2/2555 | กค | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เป้าหมายการเบิกจ่ายเงิน กำหนดเป้าหมายการเบิกจ่ายเงินโครงการตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๑๐๐.๐๐ ของวงเงินตามแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินที่ได้รับอนุมัติให้ดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๒ แนวทางการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๒.๑ ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับหน่วยงานในสังกัดที่ได้รับเงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ ปฏิบัติตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินอย่างเคร่งครัด ๑.๒.๒ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเพิ่มบทบาทให้คลังจังหวัดดำเนินการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินฯ ของส่วนราชการในจังหวัดเพื่อให้การเบิกจ่ายเป็นไปตามเป้าหมาย ๒. ส่วนการทบทวนมาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ (เรื่อง มาตรการและแนวทางเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕) เห็นชอบให้ทบทวนมาตรการฯ ดังกล่าวเป็นว่า “ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายในลักษณะงบลงทุนสำหรับโครงการปีเดียวและโครงการผูกพันข้ามปีงบประมาณเร่งขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อให้หัวหน้าส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเห็นชอบการซื้อหรือจ้างให้แล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ หากมีเหตุอันควรที่ไม่สามารถดำเนินการได้ภายในกำหนดเวลาดังกล่าวให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องนำเรื่องเสนอรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐเพื่อพิจารณาผ่อนผันเป็นกรณี ๆ ไปตามความจำเป็นและเหมาะสม และให้นำผลการพิจารณาดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไปด้วย” ทั้งนี้ ยกเว้นโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการให้ดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ) |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 602 | เร่งรัดการดำเนินงานแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการน้ำและปัญหาอุทกภัย | นร | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอเกี่ยวกับการเร่งรัดการดำเนินงานแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการน้ำและปัญหาอุทกภัย โดยให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการ ดังนี้
๑. ให้ทุกส่วนราชการเร่งดำเนินการส่งข้อมูลและรายงานเกี่ยวกับการดำเนินงานแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการน้ำและปัญหาอุทกภัยให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ภายในเดือนกรกฎาคมนี้ เพื่อให้ กบอ. รวบรวม จัดพิมพ์ และเผยแพร่ให้สาธารณชนทราบต่อไป ๒. ให้สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยจัดทำโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ (workshop) เพื่อทบทวนแผนการทำงานที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยต่าง ๆ ในระหว่างเดือนกรกฎาคม - สิงหาคม ๒๕๕๕ โดยใช้กรณีศึกษา (case study) จากปีที่ผ่านมาเป็นต้นแบบ แล้วนำไปปรับปรุงโดยผ่านกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบ (Systematic thinking) เพื่อนำไปสู่ขั้นตอนการปฏิบัติต่อไป ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ. ดำเนินการแจ้งเรื่องการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ (workshop) เพื่อทบทวนแผนการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยต่าง ๆ ดังกล่าวให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบ รวมทั้งให้กระทรวงมหาดไทยประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด รวมถึงกรุงเทพมหานครในการจัดบุคลากรเข้าร่วมการฝึกอบรมดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 603 | ผลการดำเนินงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยในปีงบประมาณ 2554 นโยบายของคณะกรรมการและโครงการและแผนงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยในอนาคต | คค | 03/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ นโยบายของคณะกรรมการ และโครงการและแผนงานของ รฟม. ในอนาคต ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลการดำเนินงานของ รฟม. ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๑.๑.๑ ด้านการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ๑.๑.๑.๑ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่ - บางซื่อ ดำเนินการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินแล้วเสร็จ การก่อสร้างงานโยธามีความก้าวหน้าร้อยละ ๓๔.๘๙ ล่าช้ากว่าแผนร้อยละ ๖.๕๙ งานระบบรถไฟฟ้ามีความล่าช้ากว่าแผน โดยอยู่ระหว่างดำเนินงานเพื่อคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนโครงการฯ ๑.๑.๑.๒ โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงบางซื่อ - ท่าพระ ดำเนินการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินมีความก้าวหน้าร้อยละ ๖๖.๖๖ ล่าช้ากว่าแผนร้อยละ ๒.๘๙ การก่อสร้างงานโยธามีความก้าวหน้าร้อยละ ๔.๙๕ เร็วกว่าแผนร้อยละ ๐.๐๗ งานระบบรถไฟฟ้ามีความล่าช้ากว่าแผน โดยอยู่ระหว่างแต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนโครงการฯ ๑.๑.๑.๓ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ อยู่ระหว่างการปรับปรุงแบบรายละเอียดของสถานีวัดพระศรีมหาธาตุเพื่อแก้ไขปัญหาที่กรุงเทพมหานครไม่ยินยอมให้ใช้พื้นที่สำนักงานเขตบางเขนเพื่อก่อสร้างโครงการฯ และอยู่ระหว่างรอพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนเพื่อจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน การดำเนินงานล่าช้ากว่าแผน ๑.๑.๑.๔ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ ดำเนินการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินมีความก้าวหน้าร้อยละ ๖๐.๑๔ ล่าช้ากว่าแผนร้อยละ ๒.๘๙ ดำเนินการคัดเลือกผู้รับจ้างงานโยธาสัญญาที่ ๑ (งานโครงสร้างพื้นฐานทางวิ่งรถไฟฟ้ายกระดับและสถานี) แล้วเสร็จ และอยู่ระหว่างจัดเตรียมเอกสารประกวดราคาและจัดทำราคากลางสำหรับการประกวดราคางานสัญญาที่ ๒ (ระบบราง) การดำเนินงานล่าช้ากว่าแผน ๑.๑.๑.๕ โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย - มีนบุรี ดำเนินการคัดเลือกที่ปรึกษาเพื่อศึกษาทบทวนรายละเอียดความเหมาะสม ปรับปรุงแบบ และจัดเตรียมเอกสารประกวดราคาแล้วเสร็จ การดำเนินงานโครงการเป็นไปตามแผนงาน ๑.๑.๑.๖ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงตลิ่งชัน - มีนบุรี ดำเนินการคัดเลือกที่ปรึกษาเพื่อศึกษาทบทวนรายละเอียดความเหมาะสม ปรับปรุงแบบ จัดเตรียมเอกสารประกวดราคา และดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ แล้วเสร็จ การดำเนินงานโครงการเป็นไปตามแผนงาน ๑.๑.๑.๗ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน - ราษฎร์บูรณะ อยู่ระหว่างดำเนินการคัดเลือกที่ปรึกษาเพื่อศึกษาทบทวนรายละเอียดความเหมาะสม ปรับปรุงแบบ จัดเตรียมเอกสารประกวดราคา และดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ การดำเนินงานโครงการในส่วนของการจัดจ้างที่ปรึกษาฯ มีความล่าช้ากว่าแผนงานเล็กน้อย ๑.๑.๒ ด้านการให้บริการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ได้ปรับปรุงการให้บริการในด้านต่าง ๆ เช่น ให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพและเอกชนใช้พื้นที่บริเวณลานจอดรถของ รฟม. เป็นท่าจอดรถโดยสาร และที่จอดรถรับ - ส่งผู้โดยสาร เชื่อมต่อทางเดินระหว่างอาคารศูนย์การค้าและอาคารอื่น ๆ กับสถานีรถไฟฟ้า รวมทั้งรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยภายในเขตระบบรถไฟฟ้า กำกับดูแลการเดินรถของผู้รับสัมปทานให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีปริมาณผู้โดยสารเฉลี่ยต่อวันเท่ากับ ๑๙๐,๙๔๑ คน เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. ๒๕๕๓ คิดเป็นร้อยละ ๕.๕๒ ๑.๑.๓ ด้านการเงิน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ รฟม. มีผลประกอบการขาดทุนสุทธิ ๑๑,๘๓๓.๑๕ ล้านบาท โดยมีรายได้รวม ๕๕๔.๕๔ ล้านบาท ค่าใช้จ่ายรวม ๑๒,๓๘๗.๖๙ ล้านบาท ๑.๑.๔ ด้านการพัฒนาองค์กรและทรัพยากรบุคคล ได้แก่ การพัฒนาและปรับปรุงระบบบริหารจัดการองค์ความรู้เพื่อให้ รฟม. เป็นศูนย์กลางองค์ความรู้ด้านระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน การจัดกิจกรรมเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม เช่น การบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัย การมอบทุนการศึกษา การปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ การดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ การพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศตามแผนแม่บทเทคโนโลยีและการสื่อสาร การจัดทำแผนถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีจากที่ปรึกษา ผู้รับจ้างก่อสร้างงานโยธา และเอกชน ผู้ลงทุนงานระบบรถไฟฟ้า และการจัดทำแผนวิสาหกิจ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ เพื่อใช้เป็นกรอบในการดำเนินงานขององค์กร ๑.๒ นโยบายของคณะกรรมการ รฟม. ได้แก่ การเร่งรัดดำเนินโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนสายต่าง ๆ ให้เปิดบริการได้ตามแผน การให้บริการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนด้วยความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ตรงต่อเวลา การให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน การดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล มีการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงให้ความสำคัญต่อการป้องกันและลดผลกระทบต่าง ๆ ที่อาจเกิดจากการดำเนินงานขององค์กร การบริหารสินทรัพย์ ดำเนินธุรกิจต่อเนื่อง และให้บริการเสริมต่าง ๆ เพื่อเพิ่มรายได้และลดภาระการสนับสนุนจากภาครัฐ การบริหารจัดการทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ การสื่อสารในเชิงรุกในรูปแบบต่าง ๆ การพัฒนาบุคลากร การบริหารจัดการภายใน และระบบสารสนเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานขององค์กร การถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีจากผู้รับเหมาและที่ปรึกษา รวมทั้งการพัฒนาและปรับปรุงระบบแรงจูงใจทั้งในรูปตัวเงินและไม่ใช่ตัวเงินเพื่อสร้างความเป็นธรรมและสร้างขวัญกำลังใจแก่พนักงาน ๑.๓ โครงการและแผนงานของ รฟม. ในอนาคต มีโครงการหลักที่สำคัญที่จะดำเนินการในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๒๒ โครงการ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟม. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งดำเนินการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าให้แล้วเสร็จตามแผนงานและจัดหาเอกชนเข้าร่วมลงทุนและให้บริการเดินรถเพื่อให้สามารถเปิดให้บริการได้ตามเป้าหมาย และมีโครงข่ายที่เชื่อมโยงและครอบคลุมพื้นที่บริเวณกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเพิ่มขึ้น การให้ความสำคัญกับการกำหนดโครงสร้างอัตราบุคลากรให้สอดคล้องกับบทบาทขององค์กรในการกำกับดูแลการให้บริการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน รวมทั้งเร่งจัดทำแผนธุรกิจและแนวการพัฒนาสมรรถนะของบุคลากรเพื่อรองรับการให้บริการโครงการรถไฟฟ้าในเส้นทางนำร่อง ไปประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 604 | เร่งรัดการดำเนินงานเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำและป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัย | นร | 03/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอเกี่ยวกับการเร่งรัดการดำเนินงานการบริหารจัดการน้ำและป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัย ดังนี้
๑. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวง (และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง) ที่มีโครงการในความรับผิดชอบของกระทรวงที่จะต้องดำเนินการในพื้นที่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ โดยเฉพาะโครงการที่มีความสำคัญและจำเป็นเร่งด่วน (Flagship) ลงพื้นที่เพื่อเร่งรัดติดตามการดำเนินโครงการในความรับผิดชอบดังกล่าวให้แล้วเสร็จตามกรอบเวลาที่กำหนดโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้ประสานงานกับผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ รวมทั้งให้รัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบติดตามการปฏิบัติราชการในแต่ละจังหวัดลงพื้นที่เร่งรัดติดตามการดำเนินโครงการดังกล่าวอีกทางหนึ่งด้วย ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ประสานการดำเนินงานร่วมกับรองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) เพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินงานและสายการบังคับบัญชาของศูนย์บัญชาการ (command center) ให้เกิดความคล่องตัว รวดเร็ว ทันกับสถานการณ์ในปัจจุบัน และเชื่อมโยงกับการดำเนินงานของ กบอ. และศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ รวมทั้งกับข้อมูลการพยากรณ์อากาศของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไปด้วย ๓. โดยที่นายกรัฐมนตรีจะจัดการประชุมเพื่อกำกับติดตามการดำเนินการเกี่ยวกับการบริหารจัดการและป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัยทุกสัปดาห์ จึงขอให้รัฐมนตรีและผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุมโดยพร้อมเพรียงกัน ในกรณีที่ท่านใดไม่สามารถเข้าร่วมการประชุมได้ให้พิจารณามอบหมายผู้ที่สามารถตัดสินใจและชี้แจงข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้เป็นผู้เข้าร่วมประชุมแทน ๔. ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๕ (เรื่อง เร่งรัดการดำเนินงานแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการน้ำ) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์) เร่งรัดการดำเนินการจัดทำประกาศเชิญชวนและขอบเขตงาน (TOR) ของการดำเนินโครงการที่ใช้เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ (๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) นั้น ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมเร่งรัดการดำเนินการดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว แล้วประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศเพื่อดำเนินการจัดการประชุมชี้แจงผู้สนใจทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งสถานทูตต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญนำเสนอแผนงานโครงการเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำของประเทศ เพื่อที่รัฐบาลจะได้พิจารณาคัดเลือกผู้ที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพดีที่สุดมาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 605 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ในไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และให้ส่วนราชการให้ความสำคัญกับการเร่งรัดดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมภายในระยะเวลาที่เหมาะสม สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ สถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์ของประชาชน ในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประชาชนแจ้งเรื่องร้องทุกข์ผ่านช่องทางต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๓๑,๓๖๓ ครั้ง เปรียบเทียบกับในไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ พบว่าในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประชาชนใช้บริการร้องทุกข์เพิ่มขึ้น จำนวน ๑๔,๐๐๔ ครั้ง โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ เรื่องขอให้ซ่อมแซมไฟฟ้ากับขยายและติดตั้งปรับปรุงระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้า รองลงมาคือ สวัสดิการสงเคราะห์ผู้ประสบภัย การปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่และการอำนวยความสะดวกในการให้บริการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามลำดับ ๑.๒ ข้อมูลเรื่องร้องทุกข์ที่อยู่ในความสนใจของประชาชน ได้แก่ การแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับการจำหน่ายและเสพยาเสพติด การแจ้งเบาะแสการลักลอบเปิดบ่อนการพนัน/เล่นการพนัน การปรับขึ้นเงินเดือนของข้าราชการและบุคลากรภาครัฐในระดับปริญญาตรี ราคาจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิง การปรับขึ้นราคาจำหน่ายก๊าซ LGP และ NGV นโยบายสร้างความปรองดองของรัฐบาลเพื่อลดปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง และการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันเพื่อนำไปสู่ความปรองดอง ๒. ข้อมูลการแจ้งเบาะแสจากประชาชนในประเด็นที่เกี่ยวกับยาเสพติดในรอบ ๖ เดือนแรกของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเป็นหน่วยงานหลักในการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำข้อมูลไปดำเนินการขยายผลการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติดต่อไป โดยสถิติการแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับยาเสพติด พบว่า ประชาชนแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับยาเสพติดในพื้นที่ของกรุงเทพมหานครมากที่สุด รองลงมาคือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ชลบุรี นนทบุรี และสุราษฎร์ธานี ตามลำดับ โดยประเภทของยาเสพติดที่มีการแจ้งเบาะแสมากที่สุด ได้แก่ ยาบ้า รองลงมาคือ ยาไอซ์ และกัญชา ตามลำดับ ซึ่งสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้จัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมในส่วนของสถานที่จำหน่ายหรือเสพยาเสพติด จำแนกเป็นรายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและจังหวัดเพื่อเตรียมจัดส่งให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดในการเป็นหน่วยงานหลักประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำข้อมูลไปดำเนินการขยายผลการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติดต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 606 | การขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นงบประมาณสำหรับอัตรากำลังใหม่ที่ได้รับอนุมัติในปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | สธ | 19/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ เนื่องจากกระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการบรรจุอัตรากำลังใหม่สำหรับนักเรียนทุนแพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร และพยาบาลวิชาชีพในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ได้รับอนุมัติในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๔,๘๔๖ อัตรา ก่อนขอทำความตกลงในกรอบวงเงินค่าใช้จ่าย จึงเป็นเหตุให้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีไม่เพียงพอสำหรับรองรับการบรรจุอัตรากำลังใหม่ดังกล่าว ประกอบกับคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ เห็นชอบให้คณะอนุกรรมการบริหารจัดการกำลังคนและภารกิจด้านสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข ที่ประธานกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐแต่งตั้ง ศึกษาภาพรวมและจัดทำข้อเสนอในการแก้ปัญหากำลังคนและการบริหารจัดการภารกิจด้านสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุขเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุขจึงควรเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ เพื่อจะได้เป็นกรอบในการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีกรณีต้องกำหนดอัตรากำลังใหม่เพิ่มเติมต่อไป ๑.๒ เพื่อให้การบริหารงานบุคคลและสิทธิประโยชน์ของนักเรียนทุนรัฐบาลและพยาบาลวิชาชีพในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง กรณีค่าใช้จ่ายในการบรรจุนักเรียนทุนรัฐบาลและพยาบาลวิชาชีพในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่วันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ จำนวน ๒๙๘.๙๙๕๕ ล้านบาท เห็นสมควรที่กระทรวงสาธารณสุขจะใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบบุคลากรของกระทรวงสาธารณสุข หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จากงานที่ดำเนินการล่าช้า เบิกจ่ายไม่ทัน รวมทั้งพิจารณาจากรายการเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีตามลำดับ โดยให้กระทรวงสาธารณสุขขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นเจ้าภาพในการเร่งรัดคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ในการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔ และวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๕ เกี่ยวกับการศึกษาภาพรวมอัตรากำลังทั้งระบบและจัดทำข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาอัตรากำลังคนและการบริหารจัดการภารกิจด้านสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข โดยให้กระทรวงสาธารณสุขหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อจัดทำแผนรายปีในการบรรจุนักเรียนทุนรัฐบาล (แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร) พยาบาลวิชาชีพ และบุคลากร เช่น พนักงานราชการ ลูกจ้างชั่วคราว โดยกำหนดสัดส่วนให้เหมาะสมกับจำนวนประชากร ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงการกระจายตัวไปในพื้นที่ชนบทเป็นหลัก เพื่อประกอบการพิจารณาของ คปร. ในภาพรวมด้วย แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 607 | การขยายระยะเวลาการพิสูจน์สัญชาติและผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักรแก่แรงงานต่างด้าว | รง | 12/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการพิสูจน์สัญชาติและผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักรแก่แรงงานต่างด้าว ตามมติคณะกรรมการบริหารแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ โดยขยายระยะเวลาการพิสูจน์สัญชาติและผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักรแก่แรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองสัญชาติพม่า ลาว และกัมพูชา ที่ได้รับการผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักร ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๔ และวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ซึ่งใบอนุญาตทำงานจะหมดอายุในวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๕ อยู่ในราชอาณาจักรต่อไปอีกจนถึงวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๕ เพื่อเข้ารับการพิสูจน์สัญชาติให้แล้วเสร็จ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับการออกใบอนุญาตทำงานให้ตรวจสอบสำเนาใบรับรองแพทย์ที่ใช้ประกอบการขอใบอนุญาตทำงาน ต้องเป็นสำเนาใบรับรองแพทย์จากสถานบริการที่เข้าร่วมโครงการตรวจสุขภาพและประกันสุขภาพแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง ของกระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งประสานกับทางการพม่า ลาว และกัมพูชาให้ช่วยออกเอกสารรับรองสถานะบุตรแรงงานต่างด้าวฯ ที่เกิดในประเทศไทยควบคู่กับการเร่งรัดพิสูจน์สัญชาติ ไปดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 608 | การปรับปรุงแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 1 และ 2 รวม 8 จังหวัด ตามมติคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดกาญจนบุรี วันที่ 20 พฤษภาคม 2555 ของจังหวัดราชบุรี | นร | 05/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับปรุงแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง ๑ และ ๒ รวม ๘ จังหวัด (จังหวัดนครปฐม กาญจนบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สมุทรสงคราม และสมุทรสาคร) ตามมติคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดกาญจนบุรี วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ของจังหวัดราชบุรี ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรอบแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดและจังหวัดภาคกลางตอนล่าง ๑ และ ๒ รวม ๘ จังหวัด จำนวน ๒๐๓ โครงการ วงเงินรวม ๓๓,๐๙๓.๔๓ ล้านบาท ๑.๒ โครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน ๖๑ โครงการ วงเงินรวม ๑,๐๔๑.๔๓ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งรัดจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จัดส่งให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อสำนักงบประมาณพิจารณาวงเงินงบประมาณที่เหมาะสม โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นต่อไป ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับไปประสานงานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) รวมทั้งจังหวัดราชบุรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและแนวทางการดำเนินการกรณีการปรับลดงบประมาณโครงการฝายลำน้ำห้วยแห้ง ตำบลทุ่งหลวง อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี จากเดิมวงเงิน ๔๐ ล้านบาท ลงเหลือ ๓๐ ล้านบาท (ปรับลด ๑๐ ล้านบาท) เพื่อมิให้กระทบต่อวัตถุประสงค์และเป้าหมายในการกักเก็บและระบายน้ำของโครงการดังกล่าว
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 609 | การมอบหมายให้รัฐมนตรีติดตามความก้าวหน้าผลการดำเนินงานป้องกันและบรรเทาปัญหาอุทกภัย | วท | 05/06/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการมอบหมายรัฐมนตรีติดตามความก้าวหน้าผลการดำเนินงานป้องกันและบรรเทาปัญหาอุทกภัย และเพื่อดำเนินการเร่งรัดการติดตามผลการดำเนินงาน ตามที่ได้รับมอบหมายต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องสนับสนุนการทำงานของรัฐมนตรีผู้ได้รับมอบหมาย เสนอข้อมูล ประสานงาน อำนวยความสะดวก และให้ความร่วมมือในการปฏิบัติงาน ๑.๓ ให้รัฐมนตรีผู้ได้รับมอบหมายรายงานผลต่อนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีทุกสัปดาห์ ๒. ให้รัฐมนตรีผู้ได้รับมอบหมายให้ติดตามความก้าวหน้าผลการดำเนินงานป้องกันและบรรเทาปัญหาอุทกภัยนำข้อมูลแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ในระบบการติดตามความก้าวหน้าในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยผ่านเว็บไซต์ www.pmocflood.com มาใช้ประกอบการลงพื้นที่ตรวจติดตามความก้าวหน้าผลการดำเนินงานฯ และให้เน้นการตรวจติดตามโครงการที่ยังไม่มีความคืบหน้า หรือมีความคืบหน้าน้อยเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเร่งลงพื้นที่โดยเร็ว และให้จัดทำรายงานผลการตรวจติดตามความก้าวหน้าผลการดำเนินงานฯ ครั้งแรก พร้อมข้อเสนอแนะต่าง ๆ ส่งถึงนายกรัฐมนตรีและคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ภายในวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ และให้ กบอ. ประมวลผลการตรวจติดตามความก้าวหน้าผลการดำเนินงานฯ ดังกล่าวเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีในวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 610 | การกู้เงินเพื่อเป็นค่ารับซื้อสับปะรดโครงการแก้ไขปัญหาสับปะรด ปี 2555 | กษ | 29/05/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) กู้ยืมเงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อรับซื้อสับปะรดสดจากเกษตรกรตามโครงการแก้ไขปัญหาสับปะรดปี ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้ อ.ต.ก. กู้ยืมเงินจาก ธ.ก.ส. โดยใช้จากวงเงินกู้โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ในกรอบวงเงิน ๕๐๐ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการรับซื้อสับปะรดสดจากเกษตรกรตามปริมาณการรับซื้อจริง โดยมีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ (ต้นทุนเงิน) FDR + 1 ซึ่งเป็นอัตราเดียวกับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ที่สำนักงบประมาณได้ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ รองรับไว้แล้ว โดยรัฐบาลรับภาระชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ยจากการกู้เงินที่เกิดขึ้นจริง รวมทั้งผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจากโครงการทั้งหมด ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดทำบัญชีการดำเนินงานให้ชัดเจน การตรวจสอบสินค้าที่ได้จากการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์กระป๋อง การบริหารจัดการสินค้าและการระบายสินค้าให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ การเร่งรัดดำเนินการจำหน่ายสับปะรดกระป๋องที่ผลิตได้และนำรายได้จากการขายส่งคืนคลังเพื่อเป็นรายได้แผ่นดิน การรายงานผลความคืบหน้าการดำเนินการ รวมทั้งปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกไตรมาส จนกว่าการระบายจำหน่ายสับปะรดกระป๋องจะเสร็จสิ้น การเตรียมความพร้อมตั้งแต่การกำหนดจุดรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกร การขนส่ง และการจัดหาโรงงานผลิตแปรรูป การจัดทำแผนการจำหน่ายผลิตภัณฑ์สับปะรดทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตลอดจนการกำหนดเขตการผลิตที่เหมาะสมและมีศักยภาพของพื้นที่เพาะปลูก โรงงาน และตลาดรองรับในพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ๔. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) หารือร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดกลไกและกระบวนการดำเนินงานในการป้องกันและแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรชนิดต่าง ๆ มีราคาตกต่ำให้สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว ทันต่อสถานการณ์ และไม่ก่อให้เกิดผลกระทบและความเดือดร้อนแก่เกษตรกรและผู้ที่เกี่ยวข้อง และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 611 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 4/2555 | นร | 20/05/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๔/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ณ จังหวัดกาญจนบุรี โดยพิจารณาข้อเสนอของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ๒. เห็นชอบตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๔/๒๕๕๕ ณ จังหวัดกาญจนบุรี และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการตามมติที่ประชุมและรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ดังนี้ ๒.๑ ข้อเสนอของ กกร./สทท. จำนวน ๙ เรื่อง ได้แก่ ๒.๑.๑ การพัฒนาโครงการท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย ที่ประชุมมีมติเห็นชอบการสนับสนุนการพัฒนาโครงการดังกล่าว และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำแผนพัฒนาความเชื่อมโยงของไทยกับท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย รวมทั้งบูรณาการแผนงานและโครงการโดยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๒.๑.๒ การเร่งรัดการพัฒนาเส้นทางเชื่อมโยงภาคตะวันตก ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งเพื่อรองรับการพัฒนาท่าเรือทวายและการเปิดด่านบ้านพุน้ำร้อน พร้อมทั้งจัดลำดับความสำคัญของถนนสายทางหลักและสายทางรอง และเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๒.๑.๓ การเตรียมความพร้อมรองรับการพัฒนาโครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย และการเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจ Southern Economic Corridor (SEC) ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม และจังหวัดกาญจนบุรี ประสานงานกับรัฐบาลเมียนมาร์ในการเร่งรัดการเปิดจุดผ่านแดนชั่วคราว และเจรจาเพื่อขอเปิดจุดผ่านแดนถาวรบ้านพุน้ำร้อน จังหวัดกาญจนบุรีต่อไป ๒.๑.๔ การส่งเสริมและอำนวยความสะดวกการค้าชายแดนและการค้าข้ามแดนไทย - เมียนมาร์ ที่ประชุมมีมติ ดังนี้ ๒.๑.๔.๑ ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักในการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องของพื้นที่ที่มีศักยภาพในการยกระดับเป็นจุดผ่านแดนระหว่างไทย - เมียนมาร์ เพื่อเตรียมความพร้อมในการเจรจากับรัฐบาลเมียนมาร์ ๒.๑.๔.๒ รับทราบแนวทางการดำเนินงานของกองกำลังสุรสีห์ กระทรวงกลาโหม ในการแก้ไขปัญหาร่วมกับเมียนมาร์ เพื่อให้มีการเปิดจุดผ่านแดนชั่วคราวพระเจดีย์สามองค์ และเมื่อทั้งสองฝ่ายมีความพร้อม เห็นควรส่งเรื่องให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติพิจารณาความเหมาะสมในการยกระดับเป็นจุดผ่านแดนถาวร และให้กระทรวงกลาโหมประสานกับกระทรวงมหาดไทยในด้านความมั่นคงอย่างใกล้ชิด ๒.๑.๔.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ติดตามและประเมินสถานการณ์การพัฒนาในเมียนมาร์ ทั้งในมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง หากเห็นสมควรให้มีการเปิดจุดผ่อนปรนการค้าตะโกบนให้ดำเนินการตามระเบียบและขั้นตอนต่อไป ๒.๑.๔.๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาผลกระทบจากการเปิดจุดผ่านแดนระหว่างไทย - เมียนมาร์ โดยเฉพาะการดำเนินงานเพื่อสนับสนุนการพัฒนาความสามารถแข่งขันของสินค้าเกษตรไทย ๒.๑.๕ โครงการลดการสูญเสียในวงจรการผลิต และโครงการบริหารจัดการพลังงานแบบบูรณาการเพื่อลดต้นทุนและส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน หรือพลังงานชีวมวล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในโรงงานอุตสาหกรรม ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการ โดยให้กระทรวงแรงงานร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรมนำโครงการลดการสูญเสียในวงจรการผลิตไปพิจารณาดำเนินการ และให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงพลังงานดำเนินการในรายละเอียดของการดำเนินโครงการบริหารจัดการพลังงานแบบบูรณาการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในโรงงานอุตสาหกรรม สามารถลดต้นทุนและส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนหรือพลังงานชีวมวล ๒.๑.๖. การส่งเสริมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในกลุ่มภาคกลางตอนล่าง ที่ประชุมมีมติ ดังนี้ ๒.๑.๖.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการปรับปรุงสภาพคลองตาหลวงจากสำนักงบประมาณ ภายใต้กรอบวงเงินการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยตามขั้นตอนต่อไป ๒.๑.๖.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับข้อเสนอโครงการปรับปรุงระบบนิเวศคลองดำเนินสะดวกและคลองสาขา จังหวัดราชบุรี - สมุทรสาคร - สมุทรสงคราม และการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการของแม่น้ำท่าจีนในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง ๑ (จังหวัดนครปฐม กาญจนบุรี ราชบุรี และสุพรรณบุรี) ไปพิจารณาในรายละเอียดแล้วเสนอคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เพื่อขอรับการสนับสนุนในการดำเนินการต่อไป ๒.๑.๖.๓ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาโครงการนำร่องสู่อุตสาหกรรมเชิงนิเวศพื้นที่ภาคกลางตอนล่าง โดยให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ส่งเสริมเมืองอุตสาหกรรมนิเวศ และให้ความสำคัญกับการสร้างเครือข่ายและการพัฒนาศักยภาพของท้องถิ่น ๒.๑.๗ โครงการถนนท่องเที่ยวเลียบชายฝั่งทะเลอ่าวไทย จังหวัดสมุทรสาคร - สมุทรสงคราม (Royal Coast Road) ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงคมนาคมรับไปศึกษารายละเอียดของโครงการดังกล่าว เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ๒.๑.๘ การประกาศเขตพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเมืองหัวหินและพื้นที่เชื่อมโยง (ชะอำและปราณบุรี) ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาดำเนินการประกาศเมืองหัวหินและพื้นที่เชื่อมโยง (ชะอำ - ปราณบุรี) ภายในกลุ่มท่องเที่ยว The Royal Coast ให้เป็นเขตพื้นที่พิเศษตามขั้นตอนต่อไป ๒.๑.๙ การปรับปรุงอุทยานประวัติศาสตร์สงคราม ๙ ทัพ จังหวัดกาญจนบุรี ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวมีชีวิต ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงกลาโหมขอรับการจัดสรรงบประมาณเพื่อปรับปรุงอุทยานประวัติศาสตร์สงคราม ๙ ทัพ จังหวัดกาญจนบุรี ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวมีชีวิต โดยหารือกับกระทรวงวัฒนธรรม และกระทรวงการต่างประเทศในรายละเอียดของการจัดแสดงนิทรรศการด้วย ๒.๒ เรื่องอื่น ๆ ที่ภาคเอกชนเสนอเพิ่มเติม ได้แก่ ๒.๒.๑ ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย พ.ศ. .... (ผลกระทบตามประกาศ Financial Action Task Force : FATF) ที่ประชุมมีมติรับทราบและให้นำความเห็นที่ประชุมที่เห็นว่าประเทศไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีความเสี่ยงในการป้องกันและปราบปรามในการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย เนื่องจากยังไม่มีกฎหมายที่เข้มงวดในการติดตามธุรกรรมทางการเงิน การอายัดทรัพย์ หรือการดำเนินทางกฎหมายผู้ที่อยู่ในข่ายต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือสนับสนุนการก่อการร้าย ซึ่งจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการทำธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศ รวมทั้งการออกพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย พ.ศ. .... จะต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงความพร้อมของภาคเอกชนไทย และความเป็นไปได้ในการบังคับใช้ ไปประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ซึ่งจะมีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ๒.๒.๒ การปรับกลไกและกระบวนการบริหารจัดการด้าน Climate Change ของประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับข้อเสนอของ กกร. เกี่ยวกับการปรับปรุงโครงสร้างการบริหารจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย กำหนดยุทธศาสตร์ นโยบายและเป้าหมายในการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศโดยสมัครใจ และจัดทำแผนแม่บทการดำเนินการลดก๊าซเรือนกระจกที่เหมาะสมของประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 612 | แผนยุทธศาสตร์ชาติ การพัฒนาภูมิปัญญาไท สุขภาพวิถีไท ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2555 - 2559) | สช | 20/05/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการแผนยุทธศาสตร์ชาติ การพัฒนาภูมิปัญญาไท สุขภาพวิถีไท ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) และมติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นตามที่คณะกรรมการภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพเสนอ ตามมติคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้คณะกรรมการพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพแห่งชาติประสานงานเพื่อขับเคลื่อน ผลักดันการดำเนินงาน ติดตาม กำกับ ประเมินผล แผนยุทธศาสตร์ชาติ และการดำเนินงานตามมติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็น รายงานผลการดำเนินการให้คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติทราบต่อไป ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการบูรณาการการทำงานจากทุกภาคส่วนโดยร่วมกันจัดทำแผนงาน/โครงการ แผนเงิน และผู้รับผิดชอบอย่างชัดเจน มีการติดตามและประเมินผลเป็นระยะ มีแนวทางการส่งเสริมและการสร้างหลักฐานที่น่าเชื่อถือในด้านความปลอดภัย ศักยภาพ คุณประโยชน์ และการรักษาจากการแพทย์พื้นบ้าน การแพทย์แผนไทย การแพทย์ทางเลือก มีการพัฒนากำลังคนด้านการแพทย์พื้นบ้าน การแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือกให้มีสมรรถนะที่เหมาะสม รวมทั้งการกำหนดเรื่องการใช้ประโยชน์จากผลิตภัณฑ์สุขภาพและสมุนไพรไทยในเชิงพาณิชย์อย่างชัดเจน การเร่งรัดจัดทำระบบข้อมูลภูมิปัญญาการแพทย์พื้นบ้านและการแพทย์แผนไทยในระดับประเทศ และการสนับสนุนทางด้านวิชาการ เทคโนโลยี และนักวิชาการเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมยาสมุนไพรไทยให้ได้มาตรฐานสากล เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 613 | การจัดทำถ้อยแถลงร่วมสำหรับการประชุมรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สปป. ลาว - ไทย - เวียดนามว่าด้วยการพัฒนาแนวพื้นที่ เศรษฐกิจตะวันออก - ตะวันตก | กต | 14/05/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงร่วมสำหรับการประชุมรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สปป.ลาว - ไทย - เวียดนามว่าด้วยการพัฒนาแนวพื้นที่เศรษฐกิจตะวันออก - ตะวันตก โดยสาระสำคัญของร่างถ้อยแถลงฯ เป็นการยืนยันเจตนารมณ์ของทั้งสามประเทศที่จะพัฒนาแนวพื้นที่เศรษฐกิจตะวันออก - ตะวันตกให้เป็นแนวพื้นที่เศรษฐกิจอย่างแท้จริง โดยกล่าวถึงประเด็นปัญหาและแนวทางแก้ไขในด้านต่าง ๆ เช่น การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน การเร่งรัดให้สามารถปฏิบัติตามความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนภายในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (Cross Border Trade Agreement) ได้อย่างสมบูรณ์โดยเร็วเพื่อลดขั้นตอนและต้นทุนในการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารผ่านแดน การปรับปรุงกฎระเบียบต่าง ๆ ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันและสอดคล้องกัน ๑.๒ อนุมัติให้ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้แทนรับรองเอกสารดังกล่าว ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการเจรจาเรื่องต่าง ๆ ในการประชุมดังกล่าว โดยยึดกรอบความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนภายในอนุภูมิภาคน้ำโขง (Cross Border Trade Agreement) เพื่อให้เกิดการประสานงานและเป็นไปในทิศทางเดียวกันด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 614 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการแทรกแซงตลาดรับซื้อข้าวเปลือก ปี 2552/53 | กษ | 01/05/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง โครงการแทรกแซงตลาดรับซื้อข้าวเปลือก ปี ๒๕๕๒/๕๓ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ การค้ำประกันเงินกู้ตามประกันเงินกู้โครงการแทรกแซงตลาดรับซื้อข้าวเปลือก ปี ๒๕๕๒/๕๓ อยู่ระหว่างการดำเนินการลงนามในหนังสือเพิ่มเติมต่อท้ายสัญญาค้ำประกันออกไปถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๑.๒ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้ขยายระยะเวลาการชำระหนี้เงินกู้ตามโครงการฯ ให้แก่องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) จำนวน ๑๒๑,๖๑๙,๙๘๑.๑๘ บาท พร้อมดอกเบี้ย จากเดิมครบกำหนดชำระภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ เป็นครบกำหนดชำระภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ๑.๓ อ.ต.ก. ได้รับจัดสรรเพื่อชำระหนี้เงินกู้และดอกเบี้ย ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ จำนวน ๑๒๖,๐๒๔,๙๐๐ บาท ซึ่ง อ.ต.ก. ได้นำไปชำระหนี้เงินกู้ (บางส่วน) จำนวน ๑๒๑,๒๓๔,๒๕๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยจำนวน ๔,๗๙๐,๖๕๐ บาท เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ แล้ว คงเหลือหนี้เงินกู้จำนวน ๓๘๕,๗๓๑.๑๘ บาท (๑๒๑,๖๑๙,๙๘๑.๑๘ - ๑๒๑,๒๓๔,๒๕๐) ๑.๔ เนื่องจากพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประกาศใช้เมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ซึ่ง อ.ต.ก. ไม่สามารถชำระหนี้เงินกู้ตามโครงการฯ ได้ทันในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ ซึ่ง อ.ต.ก. จะได้ขอตั้งงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ เพิ่มเติมในส่วนที่ขาดเพื่อชำระหนี้เงินกู้คืนให้แก่ ธ.ก.ส. เป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน ๔๐๙,๗๖๔.๗๖ บาท (หนี้เงินกู้จำนวน ๓๘๕,๗๓๑.๑๘ บาท พร้อมดอกเบี้ยจ่าย ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๒๔,๐๓๓.๕๘ บาท) ๑.๕ การดำเนินการตามโครงการฯ ของ อ.ต.ก. สรุปผลการดำเนินงาน ณ วันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ โดย อ.ต.ก. รับซื้อข้าวเปลือกได้จำนวน ๔๖,๔๖๑.๑๑๑๘๐๗ ตัน มูลค่า ๔๑๔,๖๒๙,๒๙๗.๔๓ บาท จำนวนเกษตรกร ๕,๙๐๔ ราย จำนวนจุดรับซื้อ ๒๔ จุดใน ๑๐ จังหวัด รับมอบข้าวสารเข้าคลังสินค้าจำนวน ๒๖,๖๔๘.๑๗๕๐๑๕ ตัน เก็บรักษาข้าวสารในคลังสินค้า ๔ คลังใน ๓ จังหวัด ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย อ.ต.ก. กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาการชำระหนี้เงินกู้ที่เหลือของ อ.ต.ก. การเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขยายระยะเวลาการค้ำประกันเงินกู้สำหรับโครงการฯ การเร่งดำเนินการระบายข้าวสารที่เหลืออยู่ของ อ.ต.ก. เพื่อไม่ให้ข้าวเสื่อมสภาพมากขึ้น และช่วยลดภาระงบประมาณในการเก็บรักษา การจัดทำแผนธุรกิจและแผนการชำระหนี้เพื่อใช้ประกอบการวางแผนชำระหนี้เงินกู้ดังกล่าวให้ชัดเจน การเร่งรัดการระบายข้าวในคลังสินค้าภายใต้โครงการฯ และการให้ความสำคัญอย่างจริงจังกับการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน พัฒนาคุณภาพและค่าของข้าวไทย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 615 | โครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2554/55 (ผลคืบหน้าเกี่ยวกับการกำหนดแนวทางการส่งเสริมและให้สินเชื่อแก่เกษตรกร) | กค | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลความคืบหน้าเกี่ยวกับการกำหนดแนวทางการส่งเสริมและให้สินเชื่อแก่เกษตรกรเพื่อให้เกษตรกรมีเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบอาชีพ โดยกระทรวงการคลังได้พิจารณาแนวทางดังกล่าวร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และกระทรวงพาณิชย์ โดยมีแนวทางในการช่วยเหลือเกษตรกร ๓ แนวทาง ดังนี้
๑. มาตรการรับจำนำมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ เพื่อยกระดับราคามันสำปะหลังตามนโยบายคณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลัง โดย ธ.ก.ส. ได้ดำเนินโครงการรับจำนำมันสำปะหลังตั้งแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ จนถึงวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ซึ่งรับจำนำมันสำปะหลังแล้ว จำนวน ๒๕,๐๙๘ ตัน เป็นจำนวนเงิน ๖๙ ล้านบาท ๒. ธ.ก.ส. ชะลอการเร่งรัดชำระหนี้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกร โดยการเปลี่ยนแปลงกำหนดชำระคืนเงินกู้กรณีเกษตรกรมีหนี้เงินกู้ที่ถึงกำหนดชำระคืนภายในปีบัญชี ๒๕๕๔ คือ หากไม่สามารถชำระหนี้ได้เพราะยังไม่สามารถขุดมันสำปะหลังขายหรือจำนำได้ให้เปลี่ยนแปลงกำหนดชำระคืนเป็นวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๕ ๓. ธ.ก.ส. กำหนดมาตรการจ่ายสินเชื่อชะลอขุดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรกรณีที่ยังไม่สามารถขุดมันสำปะหลังขายหรือจำนำได้ โดย ธ.ก.ส. จะจ่ายสินเชื่อเพื่อชะลอขุดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ แก่เกษตรกร ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้นำเรื่องนี้เสนอคณะรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบไปแล้วเมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ทั้งนี้ ธ.ก.ส. ได้เตรียมพร้อมในการดำเนินการโดยได้เสนอคณะกรรมการ ธ.ก.ส. เมื่อวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ แล้ว |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 616 | การเร่งรัดดำเนินโครงการบริหารจัดการน้ำและป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัย | นร | 24/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๕๕ (เรื่อง การเร่งรัดดำเนินโครงการบริหารจัดการน้ำและป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัย) โดยให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เร่งรัดติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำและป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัย และรายงานความคืบหน้าในภาพรวมให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกสัปดาห์ นั้น โดยที่ปัจจุบันการดำเนินโครงการฯ หลายส่วนยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายเท่าที่ควร จึงขอให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
๑. ให้ส่วนราชการ จังหวัด กลุ่มจังหวัด และผู้ที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการแผนงาน/โครงการต่าง ๆ โดยใช้ฐานข้อมูลและแผนที่ในการประกอบการดำเนินงานที่มีมาตรฐานเดียวกัน เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ และ กบอ. สามารถรวบรวมและประมวลข้อมูลในภาพรวมในฐานะหน่วยงานศูนย์กลาง (centre) ในการบริหารจัดการในเรื่องนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป สำหรับโครงการในระดับจังหวัด ให้รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการเป็นรายจังหวัด โดยจังหวัดที่อยู่ในพื้นที่บริเวณต้นน้ำให้ดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ บริเวณกลางน้ำภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ และบริเวณปลายน้ำภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ ตามลำดับ ทั้งนี้ โครงการต่าง ๆ ที่ยังไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร เช่น โครงการการติดตั้งกล้องวงจรปิด การติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำและเครื่องสูบน้ำบริเวณคูคลองต่าง ๆ เป็นต้น ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และผู้เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ร่วมกับสำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการจัดทำระบบการตรวจสอบติดตาม โดยประสานงานกับ กบอ. ต่อไปด้วย ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ที่มีโครงการที่ใช้เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ (๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) และอยู่ในกรอบบูรณาการการบริหารจัดการน้ำของคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๕ [เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕] เร่งรัดจัดทำรายละเอียดและคำของบประมาณโครงการที่เกี่ยวข้อง แล้งส่งไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีโดยด่วน โดยคำขอดังกล่าวจะต้องเสนอโดยรัฐมนตรีต้นสังกัด และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเป็นเจ้าภาพหลักในการพิจารณากลั่นกรองรายละเอียด ความสมบูรณ์ของเอกสาร และความพร้อมของโครงการต่าง ๆ ในเบื้องต้นร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ก่อนนำเสนอ กบอ. พิจารณาตามขั้นตอนตามระเบียบและอำนาจหน้าที่ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 617 | ผลการเดินทางเยือนกรุงวอชิงตัน ของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายภูมิ สาระผล) | พณ | 17/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเดินทางเยือนกรุงวอชิงตัน ดีซี สหรัฐอเมริกา ของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายภูมิ สาระผล) ระหว่างวันที่ ๑๑ - ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยมีสาระสำคัญของการเดินทางเยือนกรุงวอชิงตัน ดีซี สรุปได้ ดังนี้
๑. การพบหารือผู้แทนสมาคมทรัพย์สินทางปัญญาระหว่างประเทศ (International Intellectual Property Alliance : IIPA) และสมาพันธ์ธุรกิจซอฟต์แวร์ (Business Software Alliance : BSA) ผลการหารือ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายภูมิ สาระผล) ได้แจ้งให้ IIPA และ BSA ทราบนโยบายรัฐบาลไทยที่ให้ความสำคัญกับเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา โดยได้มีการกำหนดแผนยุทธศาสตร์ทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศสำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๙ ครอบคลุม ๗ ด้าน เช่น การสร้างสรรค์ทรัพย์สินทางปัญญา การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา การป้องปราบการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ตลอดจนมีการจัดทำแผนเร่งรัดการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น ซึ่งทาง IIPA และ BSA แสดงความกังวลกับปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์บนอินเทอร์เน็ตและขอให้ไทยเร่งออกฎหมายเพื่อป้องกันการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาบนอินเทอร์เน็ต กฎหมายเอาผิดเจ้าของพื้นที่ที่สนับสนุนการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา (landlord liability) และการป้องกันการแอบถ่ายในโรงภาพยนตร์ เป็นต้น ๒. การพบหารือผู้แทนสมาคมผู้วิจัยและผลิตเภสัชภัณฑ์ (PhRMA) และสมาคมอุตสาหกรรมชีวภาพ (BIO) ผลการหารือ PhRMA และ BIO ได้ขอบคุณรัฐบาลไทย โดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์ที่รับฟังข้อกังวลของภาคอุตสาหกรรมยาสหรัฐฯ เกี่ยวกับการบังคับใช้สิทธิบัตรยา (compulsory licensing : CL) และความโปร่งใสของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง และหวังว่าจะได้รับความร่วมมือที่ดีจากรัฐบาลไทยต่อไปในอนาคต ส่วนประเด็นเกี่ยวกับการส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงยาที่มีคุณภาพ การแก้ปัญหายาปลอม และการคุ้มครองข้อมูลผลทดสอบยา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายภูมิ สาระผล) แจ้งว่าเรื่องยาเป็นเรื่องละเอียดอ่อนสำหรับไทย จึงเห็นควรร่วมมือและหารือกันอย่างสร้างสรรค์ และดำเนินการอย่างรอบคอบเพื่อให้ประชาชนไทยเข้าถึงยาได้อย่างมีคุณภาพ นอกจากนี้ PhRMA แจ้งว่า ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ได้เสนอให้สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) จัดไทยเป็นประเทศที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ (PWL) ซึ่งเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าอุตสาหกรรมยาสหรัฐฯ เห็นถึงความพยายามของรัฐบาลไทย โดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์ในการสร้างกลไกความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนตัวแทนกลุ่มอุตสาหกรรมยา ๓. การพบหารือกับนาย Demetrios Marantis รองผู้แทนการค้าสหรัฐฯ และนาง Barbara Weisel ผู้ช่วยผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ผลการหารือ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายภูมิ สาระผล) ได้แจ้งให้ USTR ทราบถึงนโยบายด้านทรัพย์สินทางปัญญาของรัฐบาลไทย โดยเฉพาะการตั้งคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ การเร่งรัดการดำเนินมาตรการที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การคุ้มครองและบังคับใช้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น พร้อมทั้งแจ้งความคืบหน้าการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การบังคับใช้กฎหมาย และการรณรงค์สร้างจิตสำนึกด้านทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น ในการนี้ ฝ่ายสหรัฐฯ ได้หยิบยกประเด็นการค้าอื่นขึ้นหารือ ได้แก่ เรื่องที่ไทยมีคำร้องขอให้สหรัฐฯ คงสิทธิประโยชน์ทางศุลกากร (GSP) สินค้าของไทย นโยบายของรัฐบาลไทยในการเข้าร่วมเจรจาจัดทำความตกลง Trans - Pacific Partnership (TPP) การขอให้ไทยสนับสนุนการเจรจาขยายขอบเขตความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศ (ITA Expansion) และข้อกังวลของสมาคม National Pork Producers Council (NPPC) ของสหรัฐฯ ต่อมาตรการของไทยในการห้ามนำเข้าเนื้อสุกรที่มีการใช้สารเร่งเนื้อแดง (ractopamine) ๔. การลงนามในบันทึกความร่วมมือทวิภาคีระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญาและสำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าสหรัฐฯ (USPTO) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายภูมิ สาระผล) ได้เป็นสักขีพยานในการลงนามบันทึกความร่วมมือทวิภาคี (MOU) ระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญาและ USPTO ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลทรัพย์สินทางปัญญา ฝึกอบรมบุคลากร และกิจกรรมเสริมสร้างความตระหนักด้านทรัพย์สินทางปัญญาระหว่างสองหน่วยงาน ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพด้านการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของไทยต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
| 618 | โครงการปรับปรุงขยายการประปาส่วนภูมิภาคสาขาสุราษฎร์ธานี ปี 2554 | มท | 10/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ดำเนินโครงการปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาสุราษฎร์ธานี วงเงินลงทุน ๙๒๖.๒๐๘ ล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยให้ กปภ. กู้เงินภายในประเทศ (พันธบัตร) เพื่อลงทุนโครงการโดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สำหรับสาระสำคัญของโครงการ ฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบผลิต ระบบส่งน้ำ และระบบจ่ายน้ำประปาในพื้นที่เทศบาลนครสุราษฎร์ธานี เทศบาลตำบลวัดประดู่ เทศบาลเมืองท่าข้าม เทศบาลตำบลท่าทองใหม่ เทศบาลตำบลกาญจนดิษฐ์ เทศบาลตำบลพุมเรียง เทศบาลตำบลตลาดไชยา เทศบาลตำบลท่าฉาง และชุมชนรอบนอกให้สามารถบริการน้ำประปาแก่ประชาชนได้เพิ่มขึ้นในอีก ๑๐ ปีข้างหน้าอย่างพอเพียง ใช้เวลาดำเนินการก่อสร้างประมาณ ๓ ปี เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก ๙๖,๐๐๐ ลบ.ม./วัน สามารถให้บริการผู้ใช้น้ำเพิ่มขึ้นอีก ๔๖,๒๐๐ ราย โดยจะมีการก่อสร้างวางท่อส่งน้ำ ท่อจ่ายน้ำ และท่อบริการขนาดต่าง ๆ เพื่อเปลี่ยนทดแทนท่อเก่าและวางท่อใหม่ในเขตจ่ายน้ำต่าง ๆ และพื้นข้างเคียง รวมความยาวทั้งสิ้นประมาณ ๕๔.๑๕ กม. และก่อสร้างระบบผลิตน้ำประปาประกอบด้วยระบบสูบน้ำแรงต่ำ - แรงสูง โรงกรองน้ำ ระบบจ่ายสารเคมี ถังน้ำใส และหอถังสูง รวมทั้งก่อสร้างระบบชักน้ำดิบและขุดสระระบายตะกอนเพิ่มด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กปภ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับแนวทางการจัดเก็บค่าบริการบำบัดน้ำเสียรวมกับค่าน้ำประปา โดยเฉพาะในพื้นที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีระบบบำบัดน้ำเสียรวมของชุมชนและใช้บริการน้ำประปาจาก กปภ. การศึกษาผลกระทบจากการดำเนินงานของประปาในภาวะเหตุฉุกเฉิน ภัยแล้ง และอุทกภัย โดยจัดทำแผนการรองรับในกรณีดังกล่าว การพิจารณาแนวทางการนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ (Reuse) การตรวจสอบการบริหารจัดการลดน้ำสูญเสียในระบบให้เหลือในเกณฑ์ที่ยอมรับได้เพื่อลดปริมาณการใช้น้ำดิบ การพิจารณาขยายเขตจ่ายน้ำไปยังชุมชนที่ขาดแคลนน้ำสะอาดในพื้นที่ใกล้เคียง การเร่งรัดจัดหาที่ดินให้แล้วเสร็จก่อนดำเนินโครงการฯ เพื่อมิให้การดำเนินโครงการเกิดความล่าช้า และส่งผลกระทบต่อขอบเขตแผนงานโครงการ การควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการบริหารจัดการและค่าใช้จ่ายในการผลิตให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมควบคู่กับการเพิ่มรายได้จากการให้บริการให้เป็นไปตามเป้าหมาย การพิจารณาปรับโครงสร้างและอัตราค่าน้ำประปาที่สะท้อนต้นทุน เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อฐานะการเงินขององค์กรในระยะยาว การเร่งดำเนินการตามแนวทางการบริหารจัดการลดน้ำสูญเสียให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ร้อยละ ๒๕ การติดตามตรวจสอบการดำเนินงานของผู้รับจ้างปฏิบัติให้สอดคล้องกับมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้นที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด รวมทั้งประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำแผนบริหารจัดการน้ำเสียทั้งระบบ และพิจารณาจัดทำแผนป้องกันและลดผลกระทบต่อการให้บริการน้ำประปาในกรณีเกิดอุทกภัยหรือภัยแล้งในพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 619 | ขอความเห็นชอบปรับปรุงหลักเกณฑ์การซื้อทรัพย์สินของเกษตรกรคืนจากเจ้าหนี้หรือบุคคลภายนอกที่ซื้อทรัพย์สินจากการขายทอดตลาด (NPA) | นร | 10/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการปรับปรุงหลักเกณฑ์การซื้อทรัพย์สินของเกษตรกรคืนจากเจ้าหนี้หรือบุคคลภายนอกที่ซื้อทรัพย์สินจากการขายทอดตลาด (Non Performing Asset : NPA) ที่คณะรัฐมนตรีมีมติไว้เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๒ (เรื่อง การแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกร) ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายชุมพล ศิลปอาชา) ประธานกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้ใช้งบประมาณที่เหลือจากที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติจัดสรรให้ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๒ ไปซื้อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non Performance Loan : NPL) ที่รวมอยู่ในหนี้ NPA ได้ด้วย ๑.๒ เห็นชอบรายชื่อเกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรที่เป็นหนี้ NPA เพิ่มเติมจำนวน ๒,๘๙๔ ราย มูลหนี้จำนวน ๑,๕๕๒,๓๔๘,๕๖๒.๑๕ บาท โดยให้ใช้งบประมาณที่เหลือหรือได้รับจัดสรรประจำปีไปดำเนินการตามหลักเกณฑ์การซื้อทรัพย์สินของเกษตรกรคืนจากเจ้าหนี้หรือบุคคลภายนอกที่ซื้อทรัพย์สินจากการขายทอดตลาดที่ปรับปรุงใหม่ ๑.๓ เห็นชอบให้นำงบประมาณที่เหลือจากข้อ ๑.๑ และงบประมาณที่กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรได้รับจัดสรรประจำปีไปซื้อหนี้ NPA ที่ตรวจพบเพิ่มเติมในภายหลังที่ไม่ใช่เกษตรกรในข้อ ๑.๑ และข้อ ๑.๒ ภายใต้หลักเกณฑ์ที่ปรับปรุงใหม่ โดยให้เสนอขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรก่อนจึงดำเนินการได้ ๑.๔ เมื่อกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ใช้งบประมาณที่ได้รับจัดสรรดังกล่าวและงบประมาณที่ได้รับจัดสรรประจำปีไปดำเนินการตามข้อ ๑.๑ ข้อ ๑.๒ และข้อ ๑.๓ แล้ว หากงบประมาณไม่เพียงพอ ให้กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรเสนอของบประมาณรายจ่ายประจำปีมาดำเนินการต่อไป ๒. ให้กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดทำแผนฟื้นฟูอาชีพเกษตรกรที่ผ่านการพิจารณาให้ความเห็นชอบของคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรแล้ว ให้สอดคล้องเหมาะสมกับวิถีชีวิตของเกษตรกรและทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่นควบคู่ไปกับการเร่งรัดการแก้ไขปัญหาหนี้สิน และติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อดูแลการแก้ไขปัญหาหนี้สินและการรักษาที่ดินเพื่อการเกษตรให้สามารถเป็นฐานสำหรับการพัฒนาอาชีพเกษตรกรได้อย่างมั่นคงต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
| 620 | การเร่งรัดดำเนินโครงการบริหารจัดการน้ำและป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัย | นร | 02/04/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการเร่งรัดดำเนินโครงการบริหารจัดการน้ำและป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัย ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ โครงการที่ใช้เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ (๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) ๑.๑.๑ ให้ส่วนราชการที่มีโครงการที่ได้รับการอนุมัติกรอบในการดำเนินโครงการแล้วเร่งจัดทำรายละเอียดของโครงการเพื่อเสนอคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) พิจารณาโดยด่วน ทั้งนี้ ให้หัวหน้าส่วนราชการทำความเข้าใจในโครงการให้ชัดเจนด้วย ๑.๑.๒ ให้ส่วนราชการที่ยังไม่ได้รับอนุมัติกรอบในการดำเนินโครงการแต่เห็นว่ามีความเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำและป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัยเร่งเสนอขออนุมัติโครงการที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัยดังกล่าวให้ กบอ. พิจารณาโดยด่วนต่อไป ๑.๒ โครงการที่ใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ๑.๒.๑ ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดเร่งรัดให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยโดยเร็ว ทั้งนี้ โดยให้ดำเนินการให้เป็นไปตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ) ๑.๒.๒ ให้ส่วนราชการรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการต่าง ๆ ในความรับผิดชอบต่อ กบอ. ทุกสัปดาห์ ๒. ให้ กบอ. เร่งรัดติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำและป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัย และรายงานความคืบหน้าในภาพรวมให้คณะรัฐมนตรีทราบทุกสัปดาห์ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การเร่งรัดดำเนินการบริหารจัดการน้ำและการป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัย) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
.....
